((ต่อ))
หลังจากจูจุ๊ฟ มือพี่โม่งไปแล้ว ไขก็สบายใจ ลากมือนั้นเดินต่อ
ทำไม พี่โม่งไม่ค่อยเดินเลย
“อ้าวเป็นไรไปอ่ะพี่ ไม่สบายเหรอ” เอื้อมมือไปจับหน้า วัดอุณหภูมิ “เอ๋ ก็ไม่เป็นไรนิ” ว่าแล้วก็หันกลับก้มตัวไปจับๆกะลาที่ผูกเชือกคู่กัน
“พี่โม่ง ไอ้นี่มันคืออะไรน่ะ” เอ๋ ถามแล้วไม่ตอบ ถามลุงคนขายก็ได้...
.
.
.
.
พี่โม่งของฟ้าใสจะเป็นอะไรล่ะ ก็แค่ยังไม่ข้ามวัน ฟ้าใสบอกรักพี่โม่งไปกี่คำแล้วล่ะ ไหนยังจะเที่ยวจูจุ๊ฟมือพี่โม่งอีก
พี่โม่งไม่สบายไปเลยนะสิ ก็หัวใจมันทำงานหนักเกินดึกแล้ว หลังจากปิดไฟเข้านอน เวลาก็ผ่านไปเกือบ2ชั่วโมง
ฟ้าใสยังนอนไม่หลับพลิกตัวไปมา เกรงใจพี่โม่ง ฟ้าใสขยับตัวให้เบาที่สุด
แต่โม่งก็ดูจะรู้สึก
“ไข นอนไม่หลับเหรอ” โม่งลูบศีรษะคนตัวเล็กข้างกาย
“ฮะ” ตอบเสร็จก็เอาหัวทิ่มแหมะแปะไว้กับอกคนตัวโต
“งั้นไปเดินเล่นที่หาดไหมล่ะ” โม่งเอ่ยชวนฟ้าใสมองหน้า สบสายตาพี่โม่งก็พยักหน้าตกลง
อากาศกลางคืนไม่เย็นเกินไป ลมพัดสดชื่น พี่โม่งเดินจูงมือฟ้าใส
มือใหญ่ที่อบอุ่น ฟ้าใสน้ำตาเอ่อรื้อขึ้นมา สัมผัสนี้เขาไม่ค่อยได้รับนักหรอก
ในเรื่องร้ายๆคงมีเรื่องดีๆบ้าง ฟ้าใสกุมมือใหญ่แน่นขึ้น
โม่งเดินก้าวเท้าช้าๆ คนตัวเล็กพยายามก้าวให้พอดีกับเขา
โม่งเห็นเก้าอี้ผ้าใบที่โรงแรมตั้งไว้ให้แขกนอนเล่น จึงชวนฟ้าใสไปนอนเล่น
โม่งรู้ว่าหากปล่อยให้ฟ้าใสอยู่คนเดียว คิดอะไรคนเดียว คนตัวเล็กคงวกกลับไปคิดถึงเรื่องร้ายๆนั้นอีก
โม่งตบเก้าอี้ที่ตัวเองนั่ง ให้ฟ้าใสมานั่งด้วยกัน ทั้งสองนอนมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดาว.....
