[เรื่องสั้นขนาดยาว] จอมโจรแฟนท่อม (จบสมบูรณ์ครับ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้นขนาดยาว] จอมโจรแฟนท่อม (จบสมบูรณ์ครับ)  (อ่าน 26325 ครั้ง)

ออฟไลน์ Misiroseki.siro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
    • Misiroseki Siro's Facebook
<<<<<<<<<<<<<<<< ข้อความจาก Administrator >>>>>>>>>>>>>>>>

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

<<<<<<<<<<<<<<<<<<< จากผู้เขียน >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>

สวัสดีครับ ปราการครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ
ผมปรกติเข้ามาอ่านนิยายที่นี่เป็นระยะ ๆ โดยตัวเองก็เขียนเรื่องสั้นบ้างแบบสมัครเล่น แต่ปรกติแล้วไม่เคยเขียนแนวนี้
เลยไม่เคยลองเอาเรื่องที่เขียนมาลงให้อ่านกันครับ บังเอิญสองสามวันก่อน เทพเจ้าวายลงทรง ทำให้เกิดไอเดียที่จะเขียน
เรื่องแนว Boy Love ขึ้นมา เลยทำการปั่นเรื่องนี้ขึ้นมาประมาณ 100 กว่าหน้า ความยาวครื่ง ๆ กลาง ๆ จะเป็นนิยายหรือก็ไม่ได้ยาวขนาดนั้น เป็นเรื่องสั้นก็หนาซะ เลยขอเรียกว่าเรื่องสั้นขนาดยาว (ตามที่เคยอ่านเจอจากปลายปากกาของคุณมนันยา) ครับ
ส่วนตัวแล้ว ผมไม่ค่อยนิยมที่จะโพสนิยายที่ยังเขียนไม่จบ ดังนั้นจริง ๆ ผมได้จัดการเขียนแล้ว convert เป็น pdf ไว้แล้ว กะว่าจะแปะลิงค์ไปให้เพื่อน ๆ โหลดไปอ่านได้เลย แต่พออ่านกฎเห็นว่า ไม่อนุญาติให้แปะลิงค์ ก็เลยคงจะเอามาแปะเป็นตอน ๆ ให้เพื่อน ๆ อ่านแทนครับ โดยเรื่องนี้ แน่นอนว่าเป็น แนว Boy Love แต่เรื่องที่ผมแต่ง เรทมันค่อนข้างจะสุ่มเสี่ยงต่อกฎของบอรด์อยู่สักนิด (จริง ๆ ก็ไม่ได้มีฉากอะไรขนาดไปอ่านหนังสือโป๊ก็เหมือนกันหรอกครับ ช่วงแต่งแรก ๆ ผมมันส์มือมากไปหน่อย แฮะ ๆ) ผมเลยจัดการแก้ต้นฉบับ ปรับเรื่องนิดหน่อย รวมถึงตัดฉากที่อาจจะติดเรทออกไป เท่าที่เนื้อหาจะอำนวย เพื่อปรับให้เรื่องลงมาอยู่ในระดับ Boy Love ไม่ต้องมีเรทครับ โดยเนื้อเรื่องหลัก ๆ นั้นจะคงเดิม เท่าที่ผมอ่านดูคงไม่สูญเสียเนื้อเรื่องไปเท่าไหร่ แค่อารมณ์ของเรื่องละลดลงนิดหนึ่งครับ

     ส่วนข้อตกลงต่าง ๆ ก็ตาม admin ว่าไว้ครับ แต่ผมขอเสริมนิดหนึ่งครับ
     1. โดยส่วนตัวผมไม่ได้เป็นนักแต่งนิยายอาชีพครับ เป็นแค่มือสมัครเล่น จึงต้องออกตัวก่อนว่า เรื่องราวคงไม่ได้สุดยอดกลมกล่อมเหมือนนักเขียนหลาย ๆ คนครับ รวมถึงผมเองตอนพิมพ์ ผมไม่ค่อยได้ตรวจอักษร หรือการสะกด ซึ่งผมมั่นใจว่า ต้องมีผิดอื้อซ่า ซึ่่งตรงนี้ถ้ามีสามารถแจ้งได้นะครับ ผมจะพยายามแก้ไขเท่าที่โอกาศจะอำนวย แต่ได้โปรดอย่าด่าว่ากันเลยครับ (T/\T)
     2. เรื่องที่ผมแต่งนี้ ผมแต่งด้วยความคิดตัวเองทั้งหมด แต่ด้วยความที่ผมอ่านหนังสือมาเยอะมาก ตัวเองก็ไม่แน่ใจว่าเกิดไปดึงเองเรื่องไหนต่อเรื่องไหนมายำในหัวบ้างหรือเปล่า รวมถึงนิยายที่มีอยู่อีกมากมายในประเทศและต่างประเทศ ที่ผมเองก็ไม่กล้าบอกว่า เรื่องแบบนี้จะไม่ไปคล้ายกับเรื่องไหนที่ผมไม่เคยอ่านมาก่อน ดังนั้นถ้ามีเค้าโครงไปคล้ายกับเรื่องไหน ผมขออภัยล่วงหน้าครับ รับรองว่าเป็นเหตุบังเอิญแน่นอนเพราะผมไม่ได้ลอกเรื่องไหนมาแต่งแม้แต่น้อยครับ เพราะตัวเองก็ไม่ได้อยากดังด้วย...
     3. เรื่องนี้ที่ผมแต่งไม่ได้หวังผลด้านการค้าใด ๆ ดังนั้นใครต้องการนำไปปล่อยต่อ ขอแค่ช่วยแจ้งเวปที่นำไปปล่อย และช่วยให้เครดิตผู้แต่ง ผมจะได้ไปอ่านคำวิจารณ์ในเวปนั้น ๆ ได้ จะขอบพระคุณมากครับ อ้อ และผมขออนุญาติไม่ให้นำไปจำหน่าย หรือลงในเวปที่ต้องมีการเสียค่าใช้จ่ายในการสมัครสมาชิคเพื่ออ่านนะครับ
   
     สุดท้ายนี้ ขอบคุณนักเขียนหลาย ๆ คนที่ในนี้นะครับที่แต่งนิยายดี ๆ ให้อ่านเสมอมา ผมถือว่านิยายเรื่องนี้เป็นการขอบคุณสำหรับเรื่องดี ๆ ทั้งหลายครับ ขอให้สนุกกับเรื่องที่ผมแต่งขึ้นครับ


จอมโจร Phantom (ver.BL)

ปราการ รัตนวิสุทธิตระการ


คำเตือน!!! เป็น Boylove, Yaoi หรือว่า Y แล้วแต่จะเรียกแถมอาจจะมีเรท SM, Bondage ติดมาหน่อย ๆ อีกต่างหาก แต่หลัง ๆ จะลดดรีกรีลงเรื่อย ๆ ตรงข้ามกับความเข้มข้นของเนื้อเรื่อง หากท่านไม่ถนัดกับแนวดังกล่าวมาแล้ว โปรดหลีกเลี่ยงที่จะอ่านเรื่องนี้ด้วยครับ ถ้าไม่เลี่ยงแล้วไม่ชอบ อย่ามาด่าคนเขียนนะครับ =P
ขอบคุณครับ
   
หมายเหตุ * Version BL เป็น Version ลดเรทลงให้อยู่ในระดับเรื่องแนว Boy Love ครับ แต่เนื้อหาโดยรวมเกือบเหมือนกันทั้งหมด ใครต้องการอ่าน Version original ขอมานะครับผมจะส่งลิงค์ pdf ไปให้ครับ (อยู่ใน 4Shared)

หมายเหตุสำหรับ เล้าเป็ด - ผมจะทะยอยโพสเรื่องทั้งหมดลงทีเดียวเลยครับ ขออนุญาติอย่าเพิ่งโพสก่อนโพสเรื่องจบครับ จะพยายามเริ่งโพสให้ครบครับ ทุกคนจะได้อ่านได้อย่างต่อเนื่อง อนึ่งผมรับคำติชมวิจารณ์ได้หมดครับ สามารถวิจารณ์ได้ครับ ขอแค่อย่าด่าอย่างไม่มีเหตุผลครับ =D
ปล. ลงครบเรียบร้อยแล้วครับ ขอให้สนุกกับการอ่านครับ ขอบคุณครับ m(_ _)m

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-08-2012 17:47:47 โดย Misiroseki.siro »

ออฟไลน์ Misiroseki.siro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
    • Misiroseki Siro's Facebook
บทที่ 1 – The Phantom that invisible to naked eye.
«ตอบ #1 เมื่อ28-08-2012 15:15:22 »

บทที่ 1 – The Phantom that invisible to naked eye.
ครืน....
ท้องฟ้าคำรามเล็กน้อย ทั้ง ๆ ที่ฟ้าแทบจะไม่มีเมฆบดบังดวงจันทร์ นายทหารคริสที่ทำหน้าที่เฝ้ายามที่ป้อมหนึ่งในป้อมรอบ ๆ บริเวณราชวังกลาง เงยหน้ามองฟ้าอย่างไม่แน่ใจ เขาเป็นชายหนุ่มอายุ 20 กว่า ๆ ผู้อยู่ในชุดทหารที่ฟิตเข้ากับรูปร่างสีเขียวเข้ม หมวกเบเร่พาดเฉียงอย่างถูกระเบียบไม่สามารถปิดบังผมสีทองที่ตัดสั้นตามระเบียบได้หมด ใบหน้าที่คมคายนั้นทำให้เขานับว่าเป็นหนึ่งในทหารที่หน้าตาดีมากในกองทีเดียว เขาหันไปมองป้อมข้าง ๆ ที่อยู่ถัดไปพอจะมองเห็นเงาเพื่อนทหารที่ยืนเฝ้ายามอยู่ในป้อมแบบเดียวกันอย่างขยันขันแข็ง ทั้งสองด้าน
   ป้อมที่เขาเฝ้าอยู่นี้เหมือน ๆ กันหมด เป็นป้อมขนาดเล็ก ด้านหน้าและด้านข้างจะมีโครงสูงขึ้นมาประมาณครึ่งตัวสำหรับใช้เป็นกำบังในกรณีมีการยิงกัน ด้านหน้าก็จะมีไม้ยื่นออกมาเล็กน้อยเผื่อ ๆ ใช้เป็นโต๊ะ ส่วนด้านข้างทั้งสองด้านจะเว้นช่องไว้พอดีตัวคนสำหรับเดินเข้าออก ทั้งสี่ด้านครึ่งบนเปิดโล่งเพื่อสังเกตุการณ์ ทั้งสี่มุมมีเสาปูนขึ้นไปจรดหลังคาสำหรับกันแดดฝน  ระยะห่างของทุกป้อมจะเท่า ๆ กัน โดยจะไม่ใกล้กันเกินไป แต่ก็ไม่ได้ห่างจนมองไม่เห็นกัน รายร้อมกำแพงเบื้องหลังที่เป็นคลังสมบัติของพระราชวัง ประตูทางเข้าหลักนั้นมีแค่ทางเดียว มียามเฝ้าอยู่อย่างหนาแน่น ซึ่งแม้แต่หนูซักตัวก็เล็ดลอดเข้าไปไม่ได้
“เฮ้อ” เขารู้สึกเมื่อยนิดหน่อยเพราะยืนยามมาตั้งแต่หัวค่ำแล้ว ปรกติแล้ว คงไม่มีใครหาเรื่องใส่ตัวโดยการบุกปล้นพระคลังหลวงหรอก เขาคิด พลางบิดตัวเล็กน้อยแก้เมื่อย
ทันใดนั้นมีเสียงดังจ๋อมดังขึ้นมาจากคูน้ำข้างหน้าเขา คูน้ำนี้จะวิ่งรอบตัวคลังอีกรอบ ถือเป็นปราการอีกชั้นหนึ่ง เขากระชับปืนกลมือไว้ พร้อมเล็งไปยังคูน้ำเบื้องหน้า จากมุมนี้เขาเห็นคูได้ไม่หมด แต่เห็นการพระเพื่อมเล็กน้อยอยู่ในกระแสน้ำ เขาหันไปมองเพื่อน ๆ ที่จุดข้าง ๆ ดูเหมือนจะไม่มีใครสังเกตุเห็นอะไรผิดปรกติ เขากระชับปืนออกมาในท่าพร้อม และค่อย ๆ เดินออกมาจากตัวป้อมในท่าพร้อมเล็ง ควับ เขาดึงตัวมาด้านหน้าป้อมพร้อมหันปืนไปยังจุดอับสายตา ไม่มีอะไร นอกจากความว่างเปล่า และวงน้ำที่ค่อย ๆ สงบลง
ติ๊ด ๆ เสียง วิทยุติดต่อที่เสียบอยู่ที่หูดังขึ้น เขากดปุ่มตอบรับ
“มีอะไรหรือเปล่า” เสียงที่คุ้นหูดังขึ้น เพื่อนของเขาที่อยู่ป้อมด้านข้างนั่นเอง เขาหันไปดู เห็นเพื่อนที่อยู่ป้อมด้านซ้าย เดินออกมายืนตรงทางเข้าออกของป้อมของเขา จากไฟที่ย้อนทำให้เห็นแค่เงาตะคุ่ม ๆ แต่เขาก็จำโครงร่างของเพื่อนได้ดี
“ไม่มีอะไร คงแค่ปลาในคูมันขึ้นมางับน้ำจนดัง ผมเลยตื่นตัวเกินไปหน่อย” ว่าพลางเขาก็โบกมือให้เพื่อนที่อยู่อีกป้อม
“อีก ชม. ก็เปลี่ยนเวรแล้ว ไว้ค่อยคุยกัน” เพราะสัญญาณติดต่อทั้งหมดจะถูกบันทึกไว้ จึงไม่เหมาะจะคุยสัพเพเหระผ่านวิทยุ เขาจึงกดตัดการติดต่อ และเดินบิดขี้เกียจเล็กน้อยและเดินไปประจำป้อมต่อ ระหว่างที่เขาดึงเอาปืนกลไปไว้ที่หลังเพื่อพักนั่นเองก็มีเสียงดังขึ้นเบา ๆ
“โย หวัดดีครับ นาย 85 คะแนน!” เขาสะดุ้งก้มมองลงไปยังต้นเสียงทันที
ต้นเสียงเป็นชายร่างเพรียวที่อยู่ในชุดรัดรูปสีดำเปียกน้ำที่ปิดบังหมดทั้งใบหน้าที่ดูเหมือนจะทำจากพวกโพลิเมอร์เว้นให้เห็นเฉพาะตาที่ดำสนิทและปากที่อิ่มได้รูปนั้นเท่านั้น เขานั่งคุกเข่าซ่อนตัวอยู่ในใต้กระดานที่เป็นโต๊ะชั่วคราว โดยกรอบซิเมนต์รอบ ๆ บดบังตัวเขาจากสายตาของทหารที่ป้อมรอบ ๆ
   ยังไม่ทันหายตะลึงชายคนนั้นจู่ ๆ ก็ลุกขึ้นมาอย่างเร็วแล้วประกบปากเข้ากับปากเขาทันที แขนทั้งสองข้างของชายลึกลับโอบแขนเขาไว้ไม่ให้ขยับตัวได้ อ๊า เขากำลังถูกขโมยจูบ เล่นเอาเขาตะลึงงันอีกรอบ ซึ่งถึงไม่ถูกกอดรัดไว้เขาก็คงตะลึงจนขยับไม่ได้อยู่ดี แค่ไม่กี่วิแล้วชายลึกลับก็กลับไปทรุดตัวลงในจุดกำบังอีกที ถึงตอนนี้เขาพยายามจะดึงเอาปืนกลออกมา แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนเขาก็ไม่สามารถขยับตัวได้ เหมือนทั้งตัวเป็นอัมพาต แม้แต่เสียงก็พูดไม่ออก เขาได้แต่กลอกตาไปมาจ้องไปยังชายลึกลับคนนั้น
“ไม่ต้องพยายามหรอกครับ ไม่ต้องกังวลด้วย ฤทธิยาแค่จะทำให้นายเป็นอัมพาตชั่วคราว โดยที่นายจะไม่สามารถบังคับตัวเองได้ คุณทหาร 85 คะแนน”
ชายคนนั้นเปลี่ยนท่าเป็นนั่งขัดสมาธิพร้อมเงยหน้ามาอธิบาย
“ดูสายตาท่าทางคุณอยากจะถามอะไรหลายต่อหลายอย่างสินะครับ แต่ผมคงตอบอะไรคุณไม่ได้หรอกครับ นอกจากว่าแหม คืนนี้มีแต่คุณละที่ผ่านเกณฑ์ 75 คะแนนของผม ทหารยามคนอื่น ๆ มีแต่พวกบ้ากล้าม หรือไม่ก็พวกหน้าตาไม่เป็นสัประรดทั้งนั้น ผมเองก็ไม่ใช่พวกบ้ากล้ามซะด้วย ส่วนหน้าตาใช้ไม่ได้นั้นไม่ต้องพูดถึงเลย”
เขาพูดพลางยิ้ม
“ใช่แล้วครับ นายคงพอเดาออกแล้วสินะ ผมจะขอยื้มตัวตนของนายหน่อยนะ ก็นะที่นี่มันป้องกันอย่างแข็งแรงซะไม่มี จะให้ผมบุกไปตรง ๆ คงไม่ไหว อ้อ ไม่ต้องห่วงนะครับ รับรองว่าผมไม่เอาคุณตายแน่”
เขาพูดติดตลกพลางเปลี่ยนท่าขึ้นมานั่งชันเข่า พลางปลดกางเกงของคริสออก ล้วงกระเป๋าเอากระเป๋าเงินกับบัตรของเขาไปดู ปากก็พูด
“เฮ้อ ไม่ต้องกังวลครับ ผมแค่อยากได้ตัวอย่างพันธุกรรมของนายหน่อย เออ..คุณคริส เฟน”
ไม่ว่าเขาจะพยายามขัดขืนอย่างไร เขาก็ไม่สามารถขยับได้แม้แต่นิดเดียว และในท่านี้ เพื่อนป้อมข้าง ๆ ก็เห็นแค่เขายืนยามอย่างขันแข็งเท่านั้นเอง เขาได้แต่ปล่อยให้ชายลึกลับถอดกางเกงของเขาออก ชายคนนั้นปลดรองเท้าคอมแบ็ต แม้แต่ถุงเท้าออกจนหมดทีละข้าง ตอนนี้ครึ่งล่างของเขาเหลือแต่กางเกงในบิกินี่ตัวจิ๋วสีแดงปกปิดความเป็นชายของเขาไว้เท่านั้น
“แหมน่ารักจริง ๆ ครับ ผมออกจะตกหลุมรักคุณตั้งแต่เห็นแล้ว ดีใจจังที่คุณมาประจำเวรวันนี้พอดี”

ว่าพลางชายคนนั้นก็ใช้เล็บกรีดที่ต้นขาของคริสเบา ๆ เลือดของคริสซึมออกมาเล็กน้อย ก่อนชายคนนั้นใช้ลิ้นเลียเลือดของเขาไป
แล้วร่างของชายคนนั้นก็ก้มหน้าลง มือข้างหนึ่งขึ้นมาจับใบหน้าตัวเอง และก็กระตุกเล็กน้อย กล้ามเนื้อใต้ชุดแนบเนื้อสีดำนั้นดูเหมือนค่อย ๆ พองออกมาเล็กน้อย จากร่างเพรียวบางกลับดูสมส่วน และดูคุ้น ๆ ตาคริสเป็นอย่างยิ่ง
ชายลึกลับ ถอนหายใจเล็กน้อยก่อนเงยหน้าขึ้นมองคริสอีกครั้ง ตาสีฟ้าที่มองตรงมายังคริสตอนนี้ สีฟ้า... ตาของคน ๆ นี้สีดำไม่ใช่หรือ ทำไมถึงเปลี่ยนเป็นสีฟ้าที่คุ้นตาเขาอย่างมาก ชายคนนั้นค่อย ๆ ถอดหน้ากากของตัวเองออกมา ปล่อยผมสั้นสีทองออกพ้นซิปของหน้ากากที่อยู่เบื้องหลัง ก่อนหันหน้าที่ไม่มีอะไรปิดบังขึ้นมายังคริสพร้อมยิ้มให้ วูปหนึ่งคริสรู้สึกวูบเหมือนจะเป็นลม เพราะเหมือนจู่ ๆ ความจริงมันก็พังทะลาย เพราะเขากำลังมองใบหน้าตัวเองเหมือนส่องกระจกยังไงยังงั้น เพียงแต่ตัวเขาอีกคนนั้นใส่ชุดรัดรูปสีดำกำลังมองจ้องกลับมายังตัวเอง...
“เหมือนใช่ไหมครับ” ชายคนนั้นพูดด้วยเสียงของคริส “นี่ละผมถึงไม่อยากปลอมตัวเป็นพวกเกรดต่ำ ๆ แค่คิดว่าต้องทำอย่างนี้ให้กับพวกนั้นก็อยากแบกปืนใหญ่บุกเข้าตรง ๆ ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป”
 เขาพูดขำ ๆ ระหว่างที่กำลังถอดชุดแนบเนื้อนั้นออกมา จนเปลือยเปล่า จนเหลือแต่กางเกงในสีดำที่ดูเหมือนจะทำจากเนื้อผ้าแบบเดียวกัน เผยร่างที่คริสเห็นอยู่ทุกวันเมื่อเขาส่องกระจก เขาได้แต่มองร่างของตัวเองกำลังใส่ชุดของเขาทั้ง ถุงเท้า กางเกงและรองเท้าคอมแบ็ตที่ย่อมฟิตเป๊ะพอดี..
“ไม่ต้องกังวลนะครับ ผมไม่ปล่อยให้คุณยืนหนาวหรอก” ว่าแล้วชายลึกลับที่ตอนนี้เปลือยแค่ส่วนบนก็จัดการเอาชุดรัดรูปที่เขาใส่มา บรรจงใส่กลับมาให้กับคริส ตอนนี้คริสจึงอยู่ในชุดครึ่งบนเป็นชุดทหาร และครึ่งล่างเป็นชุดรัดรูปสีดำสนิท คริสรู้สึกได้ถึงความชื้นเล็กน้อยของชุด
“คราวนี้ต้องเร็วหน่อยครับ”
ชายคนนั้นแอบโผล่หัวไปมองป้อมข้าง ๆ ทั้งสองข้างว่าทั้งสองด้านไม่ได้มองมาทางนี้ ก่อนลุกขึ้นมาอย่างว่องไวและปลดเสื้อทหารทั้งเสื้อนอกและเสื้อในสีเขียวเข้มออกไปใส่ให้กับตัวเองอย่างรวดเร็ว จนแม้แต่คริสเองก็ได้แต่งงว่าจู่ ๆ เขาเปลือยได้ยังไง และเขาก็ดันตัวคริสชนตู้ล็อกเกอร์ด้านหลังขณะที่ตัวเองมายืนแทนที่ หลังจากนั้นก็สะพายปืนกลที่ปลดออกมา และทำการสวมใส่ชุดแนบเนื้อสีดำให้กับคริสจนครบทั้งตัว โดยที่คริสก็ได้แต่ทำตาปริบ ๆ เพราะขยับตัวไม่ได้ และสุดท้ายเขาก็ถูกสลับตำแหน่งโดยสิ้นเชิงขณะที่ชายคนนั้นเอาหมวกเบเร่จากหัวเขาไป ตอนนี้ ในป้อมจึงมีคริสอีกคนหนึ่งยืนยามอยู่ โดยเหมือนกับคริสคนที่ขยับตัวไม่ได้ทุกประการ
“อ้อ จริงสิครับ เกือบลืมไป ผมต้องขอโทษล่วงหน้านะครับ” ว่าพลางเขาก็ก้มไปหยิบ สายรัดปากออกมาจากเป้ใบเล็ก ๆ ที่วางอยู่ พรอ้มกับสายยางรัดอีกสองเส้น ว่าแล้วเขาก็จัดการมัดปากของคริสไว้ และก็ใช้สายยางทั้งสองเส้น มัดแขน และขาของคริส เขาได้แต่พยายามดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง
“ขอดูหน้าหล่อ ๆ ของนายอีกเป็นครั้งสุดท้ายนะครับ เฮ้อ เสียดายที่ต้องจากกันแค่นี้ ว่าพลางเขาก็ก้มลงไปหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกมาจากเป้  ปิดจมูกของคริสอย่างพอดี คริสได้กลิ่นหอม ๆ  และเขาก็รู้สึกว่าสติค่อย ๆ จะหลุดลอยไปเขาก็ได้ยินประโยคสุดท้าย
“ยาสลบนะครับ ขอให้นอนหลับฝันดีนะครับ” เขาก็เห็นตัวเองยิ้มให้ พลางเอาหมวกไอ้โม่งมาใส่ให้เขาและสติของเขาก็วูบไป
คริสตัวปลอมมองร่างที่ถูกพันธนาการไว้อย่างคุมอารมณ์เกือบไม่อยู่ มันช่าง... น่ากินเสียนี่กระไร พลางกลืนน้ำลายเอื้อกและได้แต่ตัดใจ เขาเดินไปเปิดล็อกเกอร์ด้านหลัง โดยใช้กุญแจของคริสในกระเป๋าเปิด และพลักร่างของคริส เฟน นายทหารหนุ่ม เข้าไปไว้ในล็อกเกอร์ ก่อนล็อค และยืนยามแทน และก็ตามแผน แค่ 20 นาทีให้หลัง ยามกะเช้าก็เข้ามาเปลี่ยนกะ คริสตัวปลอม เดินคุยไปกับเพื่อน ๆ ป้อมข้าง ๆ อย่างที่คริสตัวจริง จะทำเป็นประจำ เพราะไม่ว่าจะเป็นนิสัย ลักษณะต่าง ๆ เขาใช้เวลาร่วมเดือนศึกษาคริสไว้อย่างลึกซื้ง จนรู้สึกออกจะตกหลุมรักเล็ก ๆ กับนายทหารหนุ่มซะแล้ว นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องงาน และไม่มีช็อทย์ที่ดีกว่า เขาคงตัดใจทำไม่ลง... เขาในร่างของคริส เดินผ่านประตูเข้าไปสู่ตึกพักสำหรับยาม ในนั้นจะมีห้องพักสำหรับให้ยามนอนพักผ่อน ซึ่งทหารยามคนอื่น ๆ หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนชุดลำลอง บ้างก็แค่ถอดเสื้อชั้นนอกออก เพื่อพักผ่อนกันหมดแล้ว คริสตัวปลอมก็เข้าไปหลบรอในห้องน้ำเพื่อให้ทุกคนหลับสนิทกันก่อน หลังจากนั้นคริสตัวปลอมก็เดิ่นดุ่ม ๆ เข้าสู่ห้องยามส่วนในทันที
ยามส่วนในตอนนี้กำลังคึกคักเพราะกำลังจะพลัดเปลี่ยนเวร หลาย ๆ คนเพิ่งตื่นกำลังเตรียมเปลี่ยนเสื้อผ้า บ้างก็ยังนอนอยู่
เมื่อเขามองดูรอบ ๆ เขาได้แต่ถอนหายใจ... เพราะยามในส่วนนี้ไม่มีใครผ่านเกณฑ์เลยสักคน เขาเลยได้แต่นั่งมองหาทหารผู้โชคร้าย ขณะที่ทักทายเพื่อนทหารที่มาทักทายหลาย ๆ คน และห้องก็ค่อย ๆ ว่างลงจากการที่ทหารไปยังโรงเลี้ยงเพื่อกินอาหารเช้า เหลือแต่คุณกล้ามเนื้อคนหนึ่งที่เพิ่งสลึมสลือเหมือนเมาค้าง ก่อนมองนาฬิกาแล้วตาลีตาเหลือกเข้าห้องอาบน้ำ
“เฮ้อ 23 คะแนน ฮือ ๆ” เขาเดินตามเข้าไปพลางร้องครางอย่างเบา ๆ
หลังจากเดินตามเข้ามาในห้องล็อคเกอร์ เขาถอดชุดของคริสออก พับไว้อย่างเรียบร้อย
“เฮ้อถ้าไม่ถอดเสื้อของคริสคงรับไม่ไหวแหง ๆ” พลางเดินออกมาอย่างเสียดาย
ในห้องอาบน้ำ ทหารคนนั้นอยู่ในสภาพเปลือย กำลังสระผมอยู่ หลับตากันแชมพูเข้าตาปี๋ แต่คงได้ยินเสียงฝีเท้าจึงตะโกนถามขึ้นมา
“นั่นใครนะ!”  คริสตัวปลอมไม่ตอบ วิ่งและใช้สันมือจู่โจมอย่างรวดเร็วเข้า ที่ท้ายทอยของนายทหารคนนั้นอย่างไม่ปราณี จนทรุดลงไป ก็อย่างว่าละไม่ผ่านเกณฑ์นี่หว่า ไม่ตายก็บุญแล้ว!!!
เขายืนมองทหารที่นอนสลบบนพื้นห้องน้ำ พลางถอนหายใจเฮือก แล้วเขาก็เอาเล็บกรีดที่ท้องแขนของร่างที่สลบอยู่ เลือดแดง ๆ ซึมออกมา เขาก็เอาปากไปรองเลือด ที่ซึมออกมา
แล้วร่างของเขาค่อย ๆ กลายเป็นนายทหารอย่างสมบูรณ์ เขาก็ลากเอาตัวนายทหารที่เปลือยเปล่านั้น ไปยัดไว้ในตู้ไม้กวาด โดยใช้เชือกที่อยู่ในห้องกับผ้าขี้ริ้วอุดปากนายทหารเอาไว้ แล้วเดินไปยังล็อคเกอร์ของนายทหารแล้วเปิดออก
โอ๊ย เหม็นชะมัด เขาได้แต่คิดถึงกลิ่นชายหนุ่มที่หอมหวานของคริส ในขณะที่ล็อคเกอร์นี้มีขวดเหล้าที่กินไม่หมดอยู่หลายขวด ส่งกลิ่นเหล้าฉึ่ง เสื้อผ้าก็กองไว้อย่างระเกะระกะ เขารื้อจนได้ชุดทหารออกมาทั้งชุด แต่ถุงเท้าที่อยู่ในล็อกแกอร์มันสุดจะทน ทั้งเหม็นทั้งสกปรกจนเขาต้องเบ้ปาก จึงไปหยิบเอาถุงเท้าของคริสมาใส่แทน ซึ่งก็แทบปริเพราะขนาดมันต่างกัน แต่เขาก็สบายใจกว่า หลังจากนั้นเขาก็แต่งเครื่องแบบทหารชั้นในเรียบร้อย ยศนายกองซะด้วยมิน่าถึงได้เมาแอ๊แต่หัววัน.. ก่อนจะออกไป เขาหันไปมองชุดของคริสที่วางอยู่บนม้านั่งอย่างอาลัย...
“อย่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยเฟ้ย!” สุดท้ายแล้วเขาก็เอาชุดของคริสใส่เป้เก็บไว้ ก่อนเก็บเขาได้แต่สูดกลิ่นกายของคริสเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินออกไปเพื่อทำตามแผนต่อ
บรึม....กรี๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง!!!!!
เสียงระเบิดตามมาด้วยเสียงสัญญาณเตือนภัยดังระงมไปทั่วทั้งเขตคลัง ทหารยามต่างวิ่งกันหน้าตาตื่น ทหารยามที่ประตูใหญ่ได้แต่ตระลึงกับควันสีขาวที่ฟุ้งกระจายออกมาจากคลังกระจายไปทั่วบริเวณ มียามภายในแข่งกันวิ่งออกมาสำลักควัน ทหารยามร่างใหญ่นายหนึ่งวิ่งตรงมายังทหารยามที่ประตูพร้อมไอสำลักควัน ก่อนพูดไปไอไป
“มีขโมย! มีคนพยายามปล้นคลัง ขโมยวางระเบิดแก๊สไว้ทั่วทั้งคลัง พวกนายรีบเข้าไปช่วยทุกคนออกมาก่อนสำลักควันตาย!
“แต่ว่า...” หัวหน้าทหารยามที่ประตูได้แต่ยืนมองหน้ากันไปมา “เราไม่ควรละทิ้งประตูไปนะครับ”
“แค๊ก ๆ ไม่เป็นไรหรอก แฮก ๆ ไว้เดี๋ยวฉันค่อยยังชั่วจะรีบเข้าไปช่วยอีกแรง”
“อืมมมมม..”
 ทหารที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าชุด ลังเล แต่ก็ดูเหมือนจะตัดใจได้ในที่สุด
“... โอเค ไนค์ ดิว ตามชั้นมาช่วยคน จิม นายอยู่ทางนี้ เฝ้าประตูไว้ให้ดีอย่าให้ใครเข้าออกไปได้ ถ้านายกองดีขึ้นแล้ว ให้เขาช่วยกันคนเข้าออกไปพลาง ๆ” หัวหน้ายามว่าพลาง เข้าห้องหยิบหน้ากากกันแก๊สแจกจ่ายให้กับลูกทีม แล้วรีบนำทหารทั้งสองคนตรงเข้าไปช่วยคนในกลุ่มควันทันที... โดยไม่ได้หันกลับมามองนายกองที่กำลังก้มหน้าก้มตาไออยู่และเผยรอยยิ้มออกมาที่มุมปากเล็กน้อย
“หวังว่าทุกคนคงจะไม่เป็นอะไรนะครับ...” จิมนายทหารยามที่เหลืออยู่คนเดียวมองย้อนไปในกลุ่มควัน และกระชับปืนไว้อย่างแข็งขัน
“อย่าห่วงเลย มันก็แค่ควันที่ทำให้ระคายนิดหน่อยนะไม่มีพิษอะไรถึงตายหรอก...”
“เอ๋?! ทำไมเสียงนายกองถึง....” จิมหันมามองจุดที่นายกองควรยืนอยู่เมื่อครู่นี้ กลายเป็นคริส ใส่ชุดหลวมโพรกยืนอยู่ตรงนั้นแทน เขาได้แต่ยืนงงด้วยความแปลกใจขณะที่คริสปล่อยหมัดอัดเข้าที่ท้องของเขาจนเขาทรุดลง และตามด้วยเข่าเข้าที่ปลายคางจนจิมลงไปนอนสลบแผ่หลาบนพื้น แล้วคริสก็กระโดดข้ามแผงกั้นออกสู่ภายนอก ท่ามกลางสายตา งง ๆ ของทหารที่ยืนประจำจุด เขาโบกมือให้ ทหารตามป้อมโบกมือตอบอย่างงง ๆ คริสหันหน้าไปมองกล้องตรวจการที่อยู่เหนือซุ้มประตู ทำหน้าคิกคุก่อนพูดกับหน้ากล้อง
“ขอบคุณมากนะครับ สำหรับเพชรแห่งนาเบีย ขอตัวก่อนนะครับ...” ก่อนโค้งให้อย่างงดงาม โบกมือให้ ยิ้มอย่างท้าทายโยนกระดาษแข็งใบหนึ่งทิ้งไว้พ้นมุมกล้องไป และหันกลับวิ่งหายไปท่ามกลางกลุ่มคนที่เข้ามามุงดูเหตุการณ์โดยรอบ...
ครืน... สายฝนบาง ๆ เริ่มตกลงมา สักครู่หนึ่งกองทหารรักษาการณ์ก็มาถึงหน้าประตู และกันบริเวณอย่างรวดเร็ว นายกองทหารรักษาการได้รับแจ้งถึงภาพที่ปรากฎในกล้องตรวจการเรียบร้อยแล้ว จึงเดินเข้าไปและหยิบกระดาษใบนั้นขึ้นมาดู ท่ามกลางสายฝนเม็ดเล็ก ๆ กระดาษใบนั้นคือนามบัตรที่ทำจากพลาสติกอ่อนสีดำสนิท บนนามบัตรมีรูปหัวกระโหลกการ์ตูนทำหน้าแอ๊บแบ๊วแลบลิ้นที่มุมปากพร้อมกับชูสองนิ้วและหลิ่วตาสีแดงประทับอยู่ พร้อมกับข้อความพิมพ์อยู่อีกแค่สองบรรทัด
“ขอบคุณมากครับ สำหรับการต้อนรับและเพรชแห่งนาเบีย ไว้ถ้ามีโอกาศคงจะได้มาเยี่ยมเยียนพวกคุณอีก”
“ด้วยรักและเคารพยิ่ง Phantom =D”
นายกองตะโกนอย่างเจ็บใจพร้อมขย้ำนามบัตรใบนั้นจนเป็นก้อน
“หนอยแนะเจ้า Phantom!!!!”

ออฟไลน์ Misiroseki.siro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
    • Misiroseki Siro's Facebook
บทที่ 2 – The Hanged man who was sacrificed.
«ตอบ #2 เมื่อ28-08-2012 15:16:04 »

บทที่ 2 – The Hanged man who was sacrificed.

“พวกคุณทำงานกันยังไง!!!”
พร้อมกับเสียงทุบโต๊ะปัง ดังออกมาจากห้องของหัวหน้าราชองครักษณ์ แน่นอนเสียงนี้ย่อมมาจาก โรฟท หัวหน้าหน่วยราชองครักษณ์ที่ใส่ชุดเต็มยศและกำลังหงุดหงิดอย่างเต็มที่ เพราะเขาถูกปลุกขึ้นจากที่นอนแต่เช้า พร้อมกับข่าวที่น่าหัวเสียที่สุดของปี
“แล้วนี่จะให้ผมไปรายงาน องค์เหนือหัวได้ยังไง!?....  ว่าเพชรแห่งนาเบียที่สูงค่าถูกโจรกระจอกขโมยออกไปแบบล้วงคองูเห่าจากในคลังที่มีการป้องกันสูงสุดเนี่ยนะ!!!” ก่อนจะตบโต๊ะอีกปังแล้วทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่ และหันไปไล่เบี้ยกับคนที่อยู่ตรงหน้า ได้แต่ หัวหน้าหน่วยยามหน้าประตู นายกองยามภายในคลัง และคริสที่ยืนตัวสั่นอยู่ในชุดแนบเนื้อสีดำที่ถูกเปลี่ยนไปและยังไม่ได้มีเวลาเปลี่ยน
   กว่าเขาจะถูกพบตัว ก็อีกพักใหญ่หลังจากที่แฟนท่อมในร่างของคริสหายตัวไปจากบริเวณแล้ว มีการตรวจค้นพื้นที่อย่างละเอียด จนทหารรักษาการณ์คนหนึ่งเปิดตู้เจอร่างของเขาที่ถูกมัดอยู่และยังคงสลบอยู่ ในตู้ล็อคเกอร์ในป้อมที่เขาประจำการ เจ้าหน้าที่จัดการปลดหน้ากากครอบออก พรอ้มดึงเอาผ้าเช็ดหน้าที่ปิดปากไว้ออกมา ทหารยามประจำจุดจึงยืนยันว่านี่คือพลทหารคริสที่เมื่อเช้านี้เปลี่ยนเวรเข้าไปพักผ่อนแล้ว ร่างของเขาถูกแก้พันธนาการ แล้วแบกเข้าไปยังห้องพยาบาลของคลัง ก่อนจะได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นจนเขาตื่นขึ้นมา ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร ก็มีทหารราชองครักษณ์มาพาตัว เพราะก็ถูกเรียกตัวเข้าพบจากหัวหน้าหน่วยราชองครักษณ์ทันที เขาจึงไม่มีเวลาแม้แต่จะเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว...
   ฝ่ายนายกองทหารยามภายใน ตื่นขึ้นมาได้สักพักแล้วตั้งแต่ถูกมัดอยู่ในตู้เก็บไม้กวาด ได้แต่พยายามดิ้นรนส่งเสียงร้องจนไม้กวาดที่วางไว้หล่นระเนระนาด เสียงดังทำให้ทหารยามที่กำลังตรวจสอบบริเวณเข้ามาพบเข้าจึงช่วยเหลือไว้
“มีอะไรจะแก้ตัวไหมแต่ละคน!” โรฟท ถามอย่างเสียงกร้าว... พลางมองไปทีละคน “ไหนลองเล่ามาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น!!!” แล้วก็ชี้มือมายังหัวหน้ายามประตูก่อน
“ครับท่าน” หัวหน้ายามยืนวันทยาหัติก่อนตอบ “ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 6 นาฬิกาเศษครับ ทหารเวรดึกเพิ่งเปลี่ยนกะกับยามกะกลางวัน จู่ ๆ ก็มีกลุ่มควันฟุ้งกระจายออกมาจากภายในตัวอาคารคลังครับ ระหว่างที่ทุกอย่างกำลังสับสน ทหารยามประจำคลังหลายคนได้ไอสำลักควันวิ่งออกมาจากบริเวณคลังครับ หนึ่งในนั้นคือ ท่านนายกองเกรท ที่ยืนอยู่นี่..”
“เฮ๊ย ไม่ใช่ผมนา...” นายกองเกรทอดที่จะแย้งไม่ได้ โรฟท ตัดบท “ผมยังไม่ได้อนุญาติให้คุณพูด!!!”
“ขออภัยครับท่าน...” นายกองเกรทได้แต่ทำหน้ามุ่ย ก้มหน้าลง

“ต่อนะครับ นายกองเกรทได้วิ่งออกมาด้วย... และแจ้งกับผมว่ามีการโจรกรรมและวินาศกรรมเกิดขึ้นในบริเวณคลัง โดยมีการวางระเบิดแก๊สไว้ทั่วบริเวณคลัง อยากขอความช่วยเหลือของหน่วยที่ประตูให้นำทหารที่อยู่ภายในออกมาก่อนที่จะมีใครเป็นอันตรายครับ ผมชั่งน้ำหนักแล้วเห็นว่าชีวิตคนต้องมาก่อนครับ จึงสั่งพลทหารไนท์ พลทหารดิว ใส่หน้ากากป้องกันแก๊สและเข้าไปช่วยเหลือครับ โดยเหลือพลทหารจิมเฝ้าประจำจุด และให้นายกองเกรทอยู่ที่จุดจนกว่าจะหายจากพิษของควันครับ หลังจากนั้นกลุ่มของผมก็เข้าไปช่วยนายทหารที่บาดเจ็บจากแก๊สออกมาได้หลายนาย จึงให้นายทหารเหล่านั้นเฝ้าบริเวณโดยรอบของคลังระหว่างที่กำลังพักจากพิษแก๊ส ป้องกันคนร้ายหลบหนี เมื่อแก๊สเริ่มจางลงและไม่มีทหารตกค้างแล้ว ผมก็กลับมาประจำตำแหน่งทีหน้าประตู พบว่าพลทหารจิมนอนสลบอยู่ และนายกองเกรทหายตัวไป ผมจึงตรวจสอบไปยังทหารยามประจำคลังทุกนายที่อยู่โดยรอบ ทุกนายต่างรายงานว่าไม่พบบุคคลต้องสงสัยออกมาจากภายในคลัง รวมทั้งไม่พบนายกองเกรทด้วยครับ ต่อมาอีกสักพักถึงมีรายงานว่าพบนายกองเกรทแล้วในห้องพักครับผม”
หลังจากรายงานเสร็จ โดน่าหัวหน้าชุดยามประจำประตูก็ถอยกลับไป
สายตาของโรฟท หันมายังผู้กองเกรท ที่กำลังยืนตัวสั่นเอามือกุมเป้ารออยู่
“ต่อไปนาย !!! “ ว่าพลางชี้มายังเกรท
“ครับผม!!!” ผู้กองเกรทสะดุ้งแปดกลับก้าวขึ้นมาข้างหน้าอย่างเซ ๆ พร้อมรายงานอย่างตะกุกตุกัก
“คือว่า ผม กระผม เอ่อ คือ เช้าวันนี้ผมไม่รู้จริง ๆ นะครับ ว่าที่โดน่าบอกว่าเห็นกระผมเป็นไปได้ไงขอรับ” เขาพูดพลางเหล่ตาไปที่โดน่า และโดน่าก็จ้องตอบอย่างไม่เข้าใจ 
“เช้าวันนี้ขณะที่กำลังเปลี่ยนกะ หลังจากกระผมตื่นขึ้นมาแล้ว ผมก็เข้าห้องน้ำไป ระหว่างที่ผมกำลังสระผมอยู่นั่นเอง ผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาในห้องน้ำ กระผมจึงได้แต่ตะโกนถามออกไปว่า นั่นใคร แล้วผมก็จำอะไรไม่ได้อีกเลยขอรับกระผม กระผม.. รู้ตัวอีกที กระผมก็ถูกจับมัด ถูกอุดปากอยู่ให้ห้องมืด ๆ ผมพยายามดิ้นรนจนไม้กวาดหล่นไส่ นี่ครับ ยังมีรอยแผลอยู่เลย”
ว่าพลางเขาก็โชว์รอยแผล ที่จริง ๆ แล้วเป็นแผลที่แฟนท่อมกรีดไว้นั่นเอง
“หลังจากนั้นพอมีเสียงดัง นายทหารยามจึงมาพบและช่วยกระผมไว้ขอรับ ผมก็รีบไปเปลี่ยนชุด และเรียกระดมพลทหารประจำคลัง แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไร นายทหารรักษการก็เข้ามาแจ้งว่าท่านหัวหน้าราชองครักษณ์ต้องการพบ ผมจึงถูกนำตัวมาที่นี่ขอรับ...”
กล่าวเสร็จเขาก็ถอยลงไป
“ต่อไปแก ว่ามาสิ”
โรฟท์ชี้มายังคริส ซึ่งคริสก็ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนออกมา ตั้งแต่เขาเห็นน้ำกระเพื่อม จนจบลงที่ถูกจับขังในล็อคเกอร์ โดยเขาเล่าข้ามตอนที่เขาถูกขโมยจูบ ไปเพราะเขาอายเกินกว่าจะเล่าออกมาได้ จึงได้แต่เปลี่ยนเรื่องว่าเขาถูกปืนจี้ให้ปลี่ยนชุดกับแฟนท่อนตอนที่ยามป้อมอื่น ๆ เผลอและแฟนท่อมเตรียมหน้ากากยางใบหน้าของเขาไว้แล้วใต้ชุดรัดรูป...
หลังจากเล่าเสร็จ โรฟท์ก็ได้แต่นั่งนิ่ง เอามือประสานกันไว้บนโต๊ะ จ้องมองมายังทั้งสามคนอย่างไม่วางตา
ก๊อก ๆ
 “ขออภัยครับ ท่านโรฟท”
“เชิญ”
   เสียงเคาะประตูดัง ขึ้นทำลายบรรยากาศมาคุที่กำลังคุกรุ่นอยู่ หัวหน้ากองทหารรักษาการณ์ อิริค เดินเข้ามา ผมมีรายงานจากทหารหน่วยต่าง ๆ มาส่งครับท่าน
“มาแจ้งแบบลับสิ”
“ครับท่าน”
   แล้วอิริคก็เดินเข้าไปกระซิบกระซาบกับโรฟท ซึ่งระหว่างนั้น หน้าที่แดงก่ำของโรฟท ก็แดงขึ้น ๆ ยิ่งพอได้พลิกอ่านรายงาน ตัวของโรฟทก็สั่นสะท้านไปด้วยความโกรธ ยิ่งเห็นนามบัตรที่ทิ้งไว้ สภาพของท่านหัวหน้าราชองครักษณ์ตอนนี้ยังกับภูเขาไปใกล้ระเบิดเต็มที หัวหน้ากองรักษาการณ์เห็นท่าไม่ค่อยดี จึงขอตัวออกไปก่อน หลังจากนั้น บรรกาศมาคุในห้องก็ยิ่งทวีทับขึ้นมาอีก สายตาที่โรฟทมองมาทั้งสามคนยังกับสิงห์โตกำลังจะขย้ำเหยื่อ...
“จากรายงานทั้งหมดนี่ชั้นว่าชั้นเจอแนวที่ห้าแล้ว....” ว่าแล้วเขาก็ยิ้มออกมาแบบที่คุณคงไม่ขอให้เขายิ้มให้แบบนี้อีกเลยทั้งชาติ
“นายกองเกรท!!!”
ทั้งสามคนสะดุ้งโหยง นายกองเกรทได้แต่มองซ้ายมองขวาเหมือนกับเพิ่งตื่น และไม่เชื่อว่าชื่อเขาจะโผล่ขึ้นมาตอนนี้
“แกมีอะไรจะพูดไหม!!!”
“เอ่อ คือว่า กระผม เอ่อ กระผม เอ่อ ไม่ เข้าใจ ขอรับท่านน”
“จะไม่เข้าใจอะไรไอ้เจ้าสายลับของแฟนท่อม!!!”
หน้าที่ซีดอยู่แล้วของเกรทตอนนี้ยิ่งซีดหนักจนไม่มีสีเลือด
“จากรายงานที่ชั้นได้รับมานี่ทหารประจำการทุกนายต่างยืนยันเรื่องของโดน่ากันหมด พลทหารที่ประตูทั้งสามนายต่างยืนยันว่าเห็นนายไปที่ประตู และทหารยามประจำคลังต่างยืนยันว่าไม่เห็นเลยหลังจากที่โดน่าแจ้งให้ค้นหา ส่วนเรื่องของพลทหารคริส ทหารยามประจำป้อมและประจำประตูต่างยืนยันว่าเมื่อเช้ามีนายทหารคริสอีกคนเข้าไปในห้องพักนายทหารจริง ๆ และนายทหารที่ประจำจุดแทนพลทหารคริสก็ยืนยันว่า ไม่ได้ออกจากจุดประจำการเลยตั้งแต่เปลี่ยนเวร แม้แต่ตอนเกิดเรื่อง จนกระทั่งมาพบตัวพลทหารคริสถูกมัดไว้ในล็อคเกอร์ ดังนั้นพลทหารคริสจึงไม่สามารถไปไหนให้ความร่วมมือกับแฟนท่อมได้ ดังนั้นเรื่องที่เขาเล่าจึงสอดคล้องกับประจักษณ์พยานอื่น ๆ ... ส่วนแก ...”
โรฟทยิ่งจ้องหนักไปยังเกรทที่ยืนเซไปมาเหมือนจะเป็นลม
“มีรายงานว่าเมื่อเช้านี้แกเข้าเวรตามปรกติ แถมยังเข้าไปตรวจข้างในคลังอีกด้วย และจากรายงานตลอดทั้งเช้า ไม่มีใครอื่นอีกที่เข้าไปในคลังนอกจากแก!!! และที่ยิ่งไม่ต้องพิสูจน์เลย... มีกล้องตัวหนึ่งจับภาพแกกำลังหย่อนอะไรบางอย่างจากเป้ใส่ลงไปในแจกัน ที่อีกไม่กี่นาทีต่อมาก็ระเบิดออกเป็นระเบิดแก๊ส!!! ไหนมีอะไรจะแก้ตัวอีก!!!”
เกรทได้แต่ทรุดตัวลงร้องให้ยังกับเด็ก ๆ ปากก็บอกได้แต่ ผมไม่รู้นะคร๊าบ ไม่รู้เรื่องจริง ๆๆๆๆๆๆๆ
“เอ๊อ แกจะบอกว่ามีใครปลอมเป็นแกเรอะ ตัวแกยังกะควาย เจ้าแฟนท่อมมันตัวนิดเดียวพอ ๆ กับพลทหารคริส ไม่งั้น ทหารประจำป้อมกับประตูคงผิดสังเกตุแล้วคงไม่ปล่อยให้มันผ่านเข้าไปได้ จะให้มันปลอมเป็นแกได้ไง... หึหึ”
โรฟทหัวเราะอย่างสะใจอย่างที่สามารถจับผิดคนได้
“เรื่องคงเป็นงี้ละสิ แกคงร่วมมือกับแฟนท่อม โดยเข้าไปในคลังเพื่อปล้นของออกมา หลังจากนั้นก็วางระเบิดสร้างสถานะการณ์ แล้วหลอกทหารยามที่ประตูให้ออกไปช่วย ส่วนตัวแกเองก็มอบเพชรให้กับแฟนท่อมที่นั่นเอง เพราะพลทหารจิมที่ถูกซัดจนสลบ ยืนยันว่า หลังจากทุกคนเข้าไปช่วยทหารประจำคลังแล้ว พอหันกลับมาแกก็หายไปแล้ว เหลือแต่พลทหารคริสตัวปลอมอยู่และอัดเขาจนสลบไป ส่วนแกคงไปแก้ผ้าในห้องพัก แล้วไปแกล้งถูกมัดรอให้คนมาเจอละสิ เพื่อตัวเองจะได้พ้นข้อกล่าวหา หารู้ไม่ว่ากล้องตัวหนึ่งยืนยันความผิดของแกอย่างไม่มีทางหนีพ้น!!!”
เกรทได้แต่ปฎิเสธอย่างหมดหวังพลางร้องให้ตีอกชกตัว
“ทหาร เอาตัวไอ้เจ้านายกองเกรทไปขังไว้ก่อน รอให้หน่วยสอบสวนพิเศษเข้ามาสอบอีกที”
ทหารเข้ามาหิ้วปีกเกรทออกไป แต่ก่อนจะพ้นประตู โรฟท ยังสำทับอีกว่า
“หึหึ รู้ไว้ซะ หากยังไม่ยอมรับสารภาพดีดี หน่วยสอบฯ เขามีวิถีที่จะทำให้แกยอมรับอย่างไม่ต้องรอเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
แล้วโรฟทก็หัวเราะส่งท้ายอย่างเลือดเย็นให้กับเกรทที่ถูกลากออกไป
บรรยากาศดูเหมือนจะดีขึ้นหน่อยเพราะโรฟทเชื่อว่า แม้ว่าตอนนี้เกรทยังไม่รับสารภาพ แต่หลังจากถูกกองสอบฯ จัดการแล้ว ยังไงเขาต้องได้เรื่องของแฟนท่อมอย่างแน่นอน เขาจะต้องจัดการได้โจร 500 ที่กล้ามาเหยียบหางมังกรให้จงได้...
แล้วเขาก็หันมาพูดกับสองคนที่ยืนรออยู่
“สำหรับคุณสองคน... หัวหน้าชุดยามประจำประตู โดน่า คุณปฎิบัติหน้าที่ได้ดีมากและเหมาะสมกับสถานะการณ์แล้ว ผมจะรายงานให้กับองค์เหนือหัวให้ทราบเองว่า คุณได้ปฎิบัติหน้าที่อย่างเหมาะสมแล้ว เหนือหัวคงจะไม่เอาโทษคุณเรื่องนี้ ส่วนพลทหารคริส... เรื่องครั้งนี้ถือว่าคุณปฎิบัติหน้าที่หละหลวมไปหน่อย แม้จะโทษคุณหมดไม่ได้ แต่คุณคงต้องปรับปรุงตัวให้ดีกว่านี้ ผมขอคาดโทษโดยลดเงินเดือนของคุณสามขั้น และเปลี่ยนให้คุณเข้ากะเช้าแทนกะกลางคืนเริ่มจากพรุ่งนี้เป็นต้นไป รับทราบ?”
“ครับผม!!!”
ทั้งสองตะเบ๊ะและตอบพร้อมกัน
“ดีมาก ... ไปได้”
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังจะเดินออกจากห้อง โรฟทก็ได้พูดตามมาปิดท้าย
“อ้อ ทั้งสองคน ช่วงนี้อย่าได้ออกจากเมืองเด็ดขาด เป็นไปได้ว่าหน่วยสอบฯ อาจจะต้องการคำให้การของคุณทั้งสองอีกที เป็นไปได้พยายามอย่าออกจากบริเวณที่พักกับคลังจะดีที่สุด”
“ครับผม!!!”
แล้วทั้งสองก็เดินออกมา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-08-2012 16:52:48 โดย Misiroseki.siro »

ออฟไลน์ Misiroseki.siro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
    • Misiroseki Siro's Facebook
บทที่ 3 – The Day dream which become one?
«ตอบ #3 เมื่อ28-08-2012 15:17:11 »

บทที่ 3 – The Day dream which become one?
คริสและโดน่าเดินกันอยู่สักครู่ก่อนแยกย้ายกันไป คริสเดินกลับไปยังห้องพัก ในห้องพัก ทหารส่วนใหญ่สลบไหลไปด้วยความเพลียจากเหตุการณ์เมื่อเช้า อีกส่วนหนึ่งถูกฝ่ายสอบฯ เรียกสอบ ห้องจึงเงียบสนิท คริสเดินไปที่ล็อคเกอร์ของตัวเอง เขาถอดชุดรัดรูปออก และเปลี่ยนเป็นชุดลำลองของทหาร หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จ เขาก็หันไปมองที่ชุดรัดรูปสีดำ... เขามีความรู้สึกแปลก ๆ เกิดขึ้น เขานึกถึงตอนที่ถูกแฟนท่อนมัดเอาไว้ เขาได้แต่หยิบชุดมองแล้ว ก็มีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาในห้องพัก เขารีบวางชุดนั้นไว้บนเตียง..
   ทหารรักษาการณ์เป็นคนเดินเข้ามา พร้อมกับหอบหลักฐานเข้ามากองใหญ่ ทั้งหมดแพ็คอยู่ในถุงพลาสติกเรียบร้อย นายทหารฯ เดินเข้ามาที่คริสพร้อมกล่าวทักทายและบอกจุดประสงค์
“ผมมาเก็บหลักฐานชุดของแฟนท่อมครับ” ว่าพลางก็วางกองหลักฐานลงบนเตียงของคริส
“นี่ครับ” คริสส่งชุดให้
“อ้อและต้องขอเก็บลายนิ้วมือของคุณไว้ด้วยครับ เพื่อใช้ตัดออกจากลายนิ้วมือของแฟนท่อม เราจะได้ไม่ต้องยื่นขอไปยังส่วนกลางอีก”
“ได้ครับ”
ระหว่างที่เจ้าหน้าที่ทำการเก็บรายนิ้วมือของคริส ใจของเขาได้แต่จดจ่ออยู่กับชุดสีดำที่วางอยู่ เมื่อเก็บรายนิ้วมือเสร็จ นายทหารฯ ก็จัดเก็บชุดลงถุงพร้อมใบกำกับ โดยมีคริสมองตามเป็นครั้งสุดท้าย แล้วนายทหารฯ ก็กอบเอากองหลักฐานและขอตัวออกไปจากห้อง คริสได้แต่มองส่งไปจนนายทหารฯ ลับตาไป
แต่เมื่อคริสมองมายังเตียงของเขา ปรากฎว่านายทหารฯ ทำซองหลักฐานหล่นไว้ซองหนึ่ง ซึ่งในพลาสติกใสนั้น คือผ้าเช็ดหน้าของแฟนท่อมที่ทิ้งไว้นั่นเอง คริสรีบหยิบซองขึ้นมา ทำท่าจะวิ่งออกตามนายทหารฯไป แต่แวบหนึ่งความคิดอีกฝ่ายก็ทำให้เขาหยุดยืนอยู่กับที่ เขากำลังชั่งใจอย่างลำบาก สุดท้ายเขาก็ฉีกซองหลักฐานออก รีบเอาซองไปกดทิ้งลงชักโครก เวรละ.. เขาทำลายหลักฐานสำคัญ เอามาเป็นของตัวเอง  แถมยังเรื่องของนายกองเกรทอีก เขาปิดบังความจริงที่ว่าแฟนท่อมสามารถแปลงร่างเป็นใครก็ได้ไว้ ทั้ง ๆ เรื่องนี้เป็นเบาะแสสำคัญที่จะจับตัวแฟนท่อมแท้ ๆ และยังเป็นเบาะแสที่จะทำให้เกรทพ้นผิดอีกด้วย แต่เขาก็ใจไม่ด้านพอจะเปิดเผยเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ ยิ่งกว่านั้น เรื่องของคนที่แปลงร่างได้แบบนี้ ใครจะเชื่อเขา หากเล่าออกไปเดี๋ยวคนจะหาว่าเพ้อเพราะประสาทหลอนซะมากกว่า เขากลับมานอนที่เตียง เอาผ้าห่มคลุมโปง ข้างใต้ผ้าห่มนั้น เขาคลี่ผ้าเช็ดหน้าขาวผืนนั้นออกมา เขานึกถึงโครงหน้าที่ได้รูปของแฟนท่อมที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากาก นัยตาสีดำสนิทนั่น ริมฝีปากที่โอบอิ่มนั่น นึกถึงกลิ่นกายของแฟนท่อมตอนที่เข้ามาจูบเขา ตอนที่เอาผ้าผืนนี้นี้ปิดจมูกเขาไว้ เขาสูดดมกลิ่นหอมจาง ๆ บนผ้าเช็ดหน้า เขาก็รู้สึกวิงเวียนหัว...
เวรละ... เขาลืมไปปป ผ้าเช็ดหน้าของแฟนท่อมมียาสลบวางอยู่.... เขาใช้สติสุดท้ายเอาผ้าเช็ดหน้าของแฟนท่อมซุกเข้าไปในปลอกหมอน ก่อนที่จะสลบไสลไปด้วยความเหนื่อยและฤทธิของยา.... หลับให้สบายนะพลทหารคริส โชคดีที่เขาไม่ต้องเข้าเวรกะดึกคืนนี้อีกแล้ว เพราะเขาถูกเปลี่ยนให้เข้าเวรกะเช้าแทน...วันนี้เขาอาจจะฝัน ฝันถึงใครบางคน....

ใครบางคน ๆ นั้นกำลัง ยืนมองเพชรแห่งนาเบียอยู่ในห้องอพาท์เม้นของเขาเองที่อยู่ในตึก ๆ หนึ่งในเมือง เขามีเซฟเฮ้าท์หลายแห่งและนี่เป็นแค่หนึ่งในนั้น... เขาจ้องมองประกายของเพชร เขาเองก็ไม่รู้หรอกว่ามันมีค่าแค่ไหน แค่มีคนจ้างให้เขาขโมยมาด้วยราคาที่ไม่ต้องพูดถึง แสดงคุณค่าของเพชรเม็ดนี้ได้เป็นอย่างดี แล้วเขาก็โยนเพชรอย่างไม่ใยดีลงไปยังกระเป๋าสำหรับแลกเปลี่ยน พรุ่งนี้เขาต้องไปแลกเปลี่ยนเพชรกับค่าจ้างกับนายจ้าง สำหรับเขาแล้วเพชรเม็ดนี้ไม่ได้มีค่าอะไรมากไปกว่ากรวดหินข้างทางนัก แค่มันมีค่าเป็นเงินสำหรับให้เขาใช้จ่ายเท่านั้นเอง แต่สิ่งที่มีค่าจริง ๆ สิ...
เขาเปิดเป้ออกมา หยิบชุดทหารของคริสออกมา เขาจ้องมองไปยังเสื้อพลางจินตนาการถึงเจ้าของ เจ้าของชุด ๆ นี้... เฮ้อ... เขาได้แต่ถอนหายใจ
แฟนท่อมหันไปดูกระจก ชายหน้าตาเกลี้ยงเกลา ตาสีดำและผมสีน้ำตาลเข้ม ลักษณะทุกอย่างบ่งบอกถึงเป็นชาวเอเซีย แม้จะบอกยากว่าประเทศไหน แต่ยังไงก็จัดว่าหน้าตาดีทีเดียว รูปร่างที่ผอมบาง แล้วร่างของเขาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป กล้ามเนื้อค่อย ๆ พองขึ้นเล็กน้อย ผมสีดำค่อย ๆ จางลงเป็นสีทองพร้อมหดสั้นลงจนเป็นทรงทหาร สีตาที่ดำสนิทค่อย ๆ จางลงเปลี่ยนเป็นสีฟ้าสดใส โครงหน้าค่อย ๆ เปลี่ยนไป และแล้ว พลทหารคริส เฟนก็ยืนอยู่ตรงนั้น... โอ อารมณ์ของแฟนท่อมกระเจิดกระเจิง เขาหยิบเอาชุดทหารของคริสออกมาสวมอีกครั้ง ทั้งถุงเท้าและคอมแบต รวมถึงหมวกเบเร่ด้วย ก่อนที่เขาจะสวมหมวกเขาเอาหมวกขึ้นมาดม... ดมกลิ่นของคริส ชายตัวเล็กตาสีฟ้าใสที่อยู่ในกระจกมองกลับมาที่ตัวเขา... เขามองตัวเองในกระจก คริสหายไปแล้ว เหลือแต่ชายหนุ่มเอเซียหน้าตาดี แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาคือแฟนท่อม เจ้าชายแห่งรัตติกาล ผู้ขโมยได้อย่างไร้ทางป้องกัน เขาบรรจงถอดชุดทหารของคริสออก เปลี่ยนเป็นชุดลำลอง กางเกงยีนส์ เขาพับชุดของคริสใส่ถุง
เขาเดินถือถุงที่ใส่ชุดของคริสไปยังตู้ไม้ ที่ ๆ เขาเก็บคอเลคขั่นของเขาเอาไว้ เมื่อเขาเปิดออก ภายในนั้นมีชุดของทหาร ตำรวจ เครื่องแบบหลายหลากหน่วยงาน แม้กระทั่งนักบินถูกซิลเก็บไว้ในถุงเป็นชุด ๆ แต่ละชุดคือแต่ละงานที่เขาทำมา เขาทำมาแล้วสารพัด ไม่ว่าจะขโมยอะไร ถ้ามีการว่าจ้าง เขาก็จัดให้ อัตราความสำเร็จ 100 เปอร์เซนต์เต็ม เขาไม่เคยพลาดมาก่อน เขามองคอเล็คชั่นของเขาอย่างภูมิใจ ก่อนละสายตามาที่ชุด เขาไม่เคยรู้สึกพอใจเท่านี้มาก่อนเลยนับแต่เริ่มขโมยมา สายตาที่เหม่อลอยนั้นไม่อาจคาดเดาได้ว่าเขาจินตนาการอะไรอยู่... เนิ่นนานก่อนที่เขาจะวางชุดของคริสลงบนสุดของคอเล็คชั่น เขาปิดตู้ ปิดไฟ และเดินออกไปจากห้อง เหลือทิ้งไว้แต่ความเงียบงัน

ออฟไลน์ Misiroseki.siro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
    • Misiroseki Siro's Facebook
บทที่ 4 – The Trade that full with dirty trap.
«ตอบ #4 เมื่อ28-08-2012 15:17:57 »

บทที่ 4 – The Trade that full with dirty trap.

ที่ร้านกาแฟเทอร์เรสใจกลางเมืองแห่งหนึ่ง ท่ามกลางลานกว้างอันร่มรื่น ผู้คนเดินกันขวักไขว่ท่ามกลางตึกสูงมากมาย ที่นี่คือใจกลางเมืองหลวงอินแกรมของประเทศยูนิเซีย ประเทศที่ยังคงปกครองด้วยระบบกษัตรย์ โดยมีรัฐบาลทหารทำหน้าที่ทางการเมือง แต่ถึงจะถูกปกครองด้วยระบบที่ซับซ้อน แต่บ้านเมืองกลับเจริญรุดหน้ากว่าหลาย ๆ ประเทศด้วยซ้ำ เพราะกษัตรย์เองมีวิสัยทัศน์กว้างไกล รัฐบาลทหารที่มีอำนาจเต็มขั้นแม้แสวงหาประโยชน์ใส่ตัวกันเต็มอิ่ม แต่ก็ยังคง ฉลาดพอจะให้คนในประเทศได้ทำงานแบบทุนนิยม แทนที่จะกดขี่ด้วยระบอบเผด็จการ ทำให้ประชาชนกลับไม่รู้สึกว่าตัวเองถูกเอาเปรียบ กลับรู้สึกว่าต้องให้ลูกหลานส่วนหนึ่งรับราชการทหาร เพื่อให้มีเส้นสายในการทำธุรกิจกว้างไกลขึ้น ประเทศนี้จึงมีกองทัพที่เข้มแข็ง ขณะเดียวกันเศรษฐกิจก็รุดหน้าอีกด้วย เห็นได้จากเมืองหลวงอินแกรมของประเทศ นับว่าเป็นเมืองหลวงที่ไม่น้อยหน้าเมืองใหญ่ ๆ เมืองไหนของโลกเลย แต่ด้านมืดของเมืองนี้ก็คือ ระบบการปรกครองด้วยระบบทหาร ทำให้กฎหมายเอื้อกับทหารมาก จึงมีทหารนอกแถวคอยเอาเปรียบประชาชนอยู่บ่อยครั้งนั่นเอง
ที่โต๊ะ ๆ หนึ่งมีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งร่างสูงแต่งกายด้วยชุทสูทสีเทา ผิวสีเข้ม ใบหน้าคมคาย มีรอยแผลที่พาดผ่านใบหน้ารอยใหญ่จนผ่านดวงตาข้างซ้ายที่อยู่ใต้แว่นตาดำท่าทางมีอำนาจ สองข้างมีบอดี้การด์ในร่างสมสวน ดูเหมือนจะเป็นทหารฝึกมามาอย่างดี อยู่ในชุดสูทดำทั้งชุด พร้อมแว่นตาดำ และมีวิทยุอยู่ที่ใบหูสังเกตุได้จากสายสีขาวที่ห้อยอยู่ข้างหู โดยบอดี้การด์คนหนึ่งถือกระเป๋าหนังสีดำใบเขื่องเอาไว้ด้วย
ชายวัยกลางคนยกนาฬิกาข้อมือหรูขึ้นมาดูเวลา
“ทำไมช้าอย่างนี้..”
แล้วก็ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ ก่อนที่จะได้ดื่ม ก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น แต่บนโต๊ะไม่มีโทรศัพท์วางอยู่ และเสียงนี้ไม่ใช่ของคนทั้งสามด้วย เสียงดูเหมือนดังมาจากโต๊ะเบื้องหน้า บอดี้การด์คนหนึ่งเดินไปที่โต๊ะพร้อมก้มลง ข้างใต้โต๊ะมีโทรศัพท์มือถือถูกแปะติดอยู่ด้วยกระดาษกาว เขาหยิบขึ้นมาแล้วรับสาย
“สวัสดีครับ ขอพูดกับผู้ว่าจ้างด้วยครับ...”
บอดี้การด์หันไปยังชายที่นั่งอยู่ พร้อมแจ้งสิ่งที่ได้ยิน
“อืม เอามาสิ” เขารับโทรศัพท์ สิ่งแรกที่เขาพูดอย่างเรียบ ๆ คือ
“ไหนละของ”
เสียงในโทรศัพท์ตอบมาอย่างกวน ๆ ว่า
“แหม ใจร้อนจังครับ คุณผู้ว่าจ้าง เอาจริงเอาจังเกินเหตุหรือเปล่าครับ มิน่า กินกาแฟแต่แบบเข้ม ๆ น้ำตาลนมก็ไม่ใส่”
ชายในสูทหันไปดูรอบ ๆ จบสายตาจ้องที่ถ้วยกาแฟของตนที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ
“แหม ๆ ๆ ไม่ต้องมองหาหรอกครับ สิ่งที่คุณผู้ว่าจ้างต้องการไม่ใช่ตัวผมสักหน่อย แต่เป็นก้อนหินสวย ๆ ก้อนหนึ่งใช่ไหมละครับ ก่อนที่จะเดินหน้ากันต่อไป ผมขอดูของในกระเป๋าที่บอรดี้การด์ของท่านถือไว้หน่อยสิครับ แค่เปิดออกมานิดนึ่งก็พอแล้ว”
ชายในสูท หันไปบอกบอดี้การด์ที่ถือกระเป๋าอยู่สองสามคำ แล้วบอรดี้การด์คนนั้น ก็ทำการใส่รหัสเปิดกระเป๋าออกมา ภายในมีทองแท่งบรรจุอยู่เต็มกระเป๋า หลังจากเปิดออกแวบเดียวก็ปิดกลับอย่างเดิม
“แกก็เห็นแล้ว ตามที่แกขอมา ไหนละของ”
“ดีมากเลยครับ ขอบคุณมากที่ตรงไปตรงมานะครับ ถึงผมจะเป็นขโมย แต่ผมก็ทำธุรกิจอย่างตรงไปตรงมาเสมอครับ แต่นิดหนึ่งนะครับ คุณผู้ว่าจ้าง ผมค่อนข้างเป็นคนขวัญอ่อน ไม่ค่อยสู้หน้าคนเยอะ ๆ คุณช่วยบอกลูกน้องของคุณที่ปลอมตัวอยู่ทั่วทั้งลานให้หลบออกไปก่อนได้ไหมครับ ผมมันคนขวัญอ่อนนะครับ ทั้งผู้หญิงที่ทำเป็นคุยโทรศัพท์อยู่ตรงนั้น แต่สายตากับจ้องเป้งไปทั่ว หรือนักธุรกิจที่ทำทีอ่านหนังสือพิมพ์แต่สายตากลับมองลอดออกมาที่นั่งที่โต๊ะข้างหลังท่าน แล้วก็...”
“พอ ๆ โอเค” แล้วชายในสูทก็บอกกับบอดี้การด์ ๆ คนนั้นก็แจ้งไปยังวิทยุ ทั้งชายหญิงกว่า 20 คนที่อยู่ในลาน ต่างลักษณะทะยอยกันเดินออกไปจากลานอย่างเงียบ ๆ ปล่อยให้คนที่มาพักผ่อนมองตามอย่างสงสัย”
“ขอบคุณมากครับ” แกร๊ก แล้วโทรศัทพ์ก็เงียบไป
ทันใดนั้นก็ปรากฎชายคนหนึ่งใส่เสื้อแบบมีฮูทปิดบังใบหน้า สวมแว่นดำ ถือกระเป๋าเอกสารเดินเข้ามาในลานอย่างช้า ๆ ชายคนนั้นหยุดยืนอยู่ที่หน้าโต๊ะ ยื่นกระเป๋าวางลงบนโต๊ะโดยไม่พูดอะไร พลางผายเมือเชื้อเชิญ เหมือนจะให้ตรวจสอบ ชายในสูทพยักหน้าเล็กน้อย การด์ของเขาคนหนึ่งเดินเข้ามา เปิดกระเป๋าออกตรวจสอบก่อนหันกระเป๋าไปยังชายในสูทนั้น เพชรแห่งนาเบีย ถูกวางไว้ในที่รองกำมะหยี่ในกระเป๋าอย่างเรียบร้อย แค่ดูแวบเดียวเขาก็มั่นใจว่านี่คือของจริงอย่างแน่นอน เขาพยักหน้าอีกครั้ง การด์ของเขาปิดกระเป๋าลงก่อนนำมาถือไว้ การด์อีกคนที่ถือกระเป๋าทอง วางกระเป๋าลงบนโต๊ะ ชายในฮูทกำลังจะเอื้อมมือมาหยิบกระเป๋า ทันใดนั้น การด์ที่เพิ่งวางกระเป๋าลง วิ่งเข้าชารท์ชายในฮูทจนล้มลงทันที แล้วกลุ่มชายชุดดำอีกหลายคนที่ซุ่มอยู่รอบ ๆ ก็วิ่งกันขึ้นมาบนลานล้อมเอาไว้ จนคนที่มาพักพ่อนต่างตื่นตระหนกวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น  แล้วการ์ดก็จับแขนของชายในฮูทบิดมาข้างหลังก่อนจับกดไว้กับพื้น
“โอ๊ย...เจ็บบบบนะ”
ชายในสูทยกกาแฟขึ้นจิบอีกครั้ง ก่อนลุกขึ้น เดินมาที่ร่างที่ถูกจับล็อคอยู่บนพื้น... ก่อนเอาเท้าเหยียบที่ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ฮูทนั่น.. ก่อนเตะอัดเข้าที่ท้อง
“แกรู้ไหม อวดฉลาดมากไปมันน่าหมั่นใส้ ... ไม่มีใครกล้าสั่งให้ชั้นทำโน่นนี่ แกควรจะรีบ ๆ ส่งของมาแล้วไปให้พ้น ๆ แทนที่จะมาทำอวดฉลาดแบบนี้ หึหึ”
ชายในฮูทส่งเสียงสะอื้นออกมา ก่อนพูด
“นี่มันอะไรกันครับ ผมปล่าวทำอะไรสักหน่อย...”
“ยังมีหน้ามาพูดอีกเรอะ” แล้วชายในสูทก็พยักหน้า การด์ที่จับชายในฮูทกดไว้ก็ดึงเอาฮูทที่คลุมใบหน้าออก
เผยใบหน้าของเด็กชายวัยรุ่นคนหนึ่งที่ดูธรรมดาสุด ๆ ที่ใบหูมีต่างหูเจาะอยู่สามสี่อัน คล้ายกับเด็กแว้นท์ธรรมดานี่เอง วัยรุ่นคนนั้นพยายามหันมาพูดทั้ง ๆ เจ็บแขนจนร้อง
“ผมแค่รับจ้างให้เอากระเป๋านี่มาให้ กับเอากระเป๋าของทางนี้ไปส่งเท่านั้นเอง!”
“อย่ามาทำไก๋ดีกว่า”
“เปล่าจริง ๆ นะครับ มีชายคนหนึ่ง ท่าทางวัยกลางคนใส่สูทผูกไทด์ ไว้ผมเรียบแปร้ยังกับนักธุรกิจ เขาจ้างผมที่นั่งสูบบุหรี่อยู่หน้าร้านสะดวกซื้อใกล้ ๆ นี่ บอกว่า เวลานี้ให้เอากระเป๋าใบนี้มาส่งให้ท่าน แล้วรับกระเป๋าอีกใบกลับไป แล้วเขาจะจ่ายให้ผมอย่างงาม แถมยังมัดจำไว้อีกด้วย นี่ไงครับ”
แล้วชายหนุ่มคนนั้นก็ใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้ถูกล็อคไว้ล้วงเข้าไปในกระเป๋า ควักปึกแบงค์ออกมา
ชายในสูทจ้องมองไปที่วัยรุ่นน่าสมเพศคนนี้ที่ถูกเอามาเป็นนกต่อ
“ชิ ไอ้เจ้าแฟนท่อมฉลาดนักนะ ถึงจะรอดตัวไปได้ แต่สุดท้ายแกก็ไม่ได้อะไรอยู่ดี ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
แกร๊ก เสียงจากโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะดังขึ้นอีกครั้ง
“มันก็ไม่แน่หรอกนาย!!!”
บรึม... ฟู่ กระเป๋าที่ใส่เพชรมาที่การด์ถืออยู่มีเสียงระเบิดดังขึ้น พร้อมกับมีควันพุ่งออกมาอย่างรวดเร็วจนทั่วทั้งลานเต็มไปด้วยควันจนมองอะไรไม่เห็น ท่ามกลางเสียงกรี๊ดของผู้คนที่อยู่รอบ ๆ การด์ที่ถือกระเป๋ารีบโยนกระเป๋าไปที่โต๊ะ กลุ่มการด์เข้าล้อมชายในสูทเอาไว้อย่างเงียบ ๆ และมีระเบียบ ควันจากกระเป๋าค่อย ๆ จางลงไป ควันที่ลอยอยู่รอบ ๆ ลานก็ค่อย ๆ หายไป คล้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชายในสูทที่ถูกล้อมไว้ด้วยกลุ่มการด์มองไปรอบ ๆ เห็นเจ้าวัยรุ่นยังนอนบิดตัวอยู่ แต่การด์อีกคนหายไป เขากวาดสายตาไปที่กระเป๋าเพชรที่ยังคงอยู่บนโต๊ะ แต่กระเป๋าทองหายไปแล้ว ยามอีกคนที่เป็นคนถือกระเป๋าเพชรส่ายหน้าเลิกลักมองหาร่างของเพื่อนอีกคนที่หายไปกับกระเป๋าทอง
ชายในสูทดีดนิ้ว กลุ่มการด์ กระจายกำลังออกไปทั่วทั้งลานค้นหา
ชายในสูทเดินกลับมาที่โต๊ะมองไปยังกระเป๋าใส่เพชร การด์รีบเปิดกระเป๋าออก แล้วยิ้มด้วยความโล่งอก ก่อนหันกระเป๋าที่มีเพชรอยู่ให้ชายในสูทดู เขายิ้มอย่างน้อยเพชรก็ยังอยู่ แต่สิ่งที่ชายในสูทเห็นถัดมาคือบนโต๊ะนั้น กาแฟถูกเทราดอยู่ เขียนเป็นลูกศรชี้ไปยังห้องน้ำของเทอร์เรส พรอ้มเขียน WC และเครื่องเล่นบันทึกเสียงขนาดเล็กอันหนึ่ง เขาชี้ให้การด์ดู แล้วให้การด์ที่กำลังค้นหาอีกสองสามคนเดินนำไปยังห้องน้ำนั่น ภายในห้องน้ำโล่ง แต่ในห้องสุดท้ายนั้นกลับล็อคอยู่ การด์คนหนึ่งถีบประตูเปิดออกอย่างไม่ต้องเตือน ภาพที่เห็นคือ การด์อีกคนที่เป็นคนถือกระเป๋าทอง นอนสลบถูกจับมัดติดกับโถส้วม ทั้งร่างเปลือยเปล่า บนหน้าอกมีกระดาษนามบัตรติดอยู่ เป็นนามบัตรสีดำของแฟนท่อม ที่มีตรากระโหลกกวนโมโหสีแดงอันนั้น พร้อมกับข้อความ
“หัดค้าขายอย่างตรงไปตรงมาบ้างนะครับ คุณลูกค้า !!!  คราวหน้าคุณอาจจะเสียมากกว่าที่คิด ด้วยรักและเคารพยิ่ง Phantom”
ฮ่า ฮ่า ฮ่า เสียงหัวเราะของชายในสูทดังขึ้น
“แกแน่มากแฟนท่อม”
จังหวะเดียวที่แฟนท่อมจะสลับตัวกับการด์คนนี้ได้ก็มีแต่ตอนเช้าที่เขาให้การด์เข้ามาเช็คห้องน้ำ แค่ไม่กี่นาที แต่การด์ก็ถูกเล่นงานและสลับตัวกันตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เขาเปิดเครื่องเล่นบันทึกเสียงออกมา
“สวัสดีครับ ขอพูดกับผู้ว่าจ้างด้วยครับ...”
“แหม ใจร้อนจังครับ คุณผู้ว่าจ้าง เอาจริงเอาจังเกินเหตุหรือเปล่าครับ มิน่า กินกาแฟแต่แบบเข้ม ๆ น้ำตาลนมก็ไม่ใส่”    ฯลฯ
ข้อความที่แฟนท่อมพูดกับเขาในโทรศัพท์อยู่ในเครื่องนั่นทั้งหมด ดูเหมือนแฟนท่อมจะเตรียมการไว้อย่างดีจริง ๆ ในร่างการด์คงเตรียมโทรศัพท์อีกอันไว้กับเครื่องเล่นบันทึกเสียง ระหว่างที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็โทรเข้า และคอยเปิดเครื่องเล่นตอบกลับคำถามมาเรื่อย ๆ นี่ทำให้รู้ได้ว่านอกจากความสามารถทางด้านร่างกายแล้ว เจ้าแฟนท่อมยังมีความสามารถในทางจิตวิทยาอย่างล้ำลึกในการเดาการตอบโต้กับเขาไว้ล่วงหน้าอีกด้วย... แล้วจะไม่ให้เขาชมเจ้าจอมโจรคนนี้ได้ยังไง เอาเถอะของก็ได้แล้ว ทองนั่นก็ตามข้อตกลง ยังไงเทียบกับผลประโยชน์ที่จะตามมาแล้ว นั่นมันก็แค่เบี้ยไบ้รายทาง เขาก็แค่อยากลองดีกับเจ้าโจรที่ว่ากันว่าไม่มีทางจับตัวได้ยังกับภูติผีเท่านั้นเอง ถ้ามันกระจอกขนาดถูกจับได้ตรงนี้ เขาจะได้ไม่ต้องเสียเวลา เงินทองกับมัน เขาสั่งให้การด์นำผ้ามาห่มร่างของการด์ที่นอนสลบอยู่และให้แบกออกไป
เขาเดินออกมาในลานที่ว่างเปล่า ก่อนตะโกนพร้อมหมุนตัวไปรอบ ๆ
“ยอดมาก ยอดมาก สมคำล่ำลือจริง ๆ ไว้พบกันใหม่” แล้วชายในสูทกับขบวนการด์ก็ยกพลกันขึ้นรถลีโมฯ ที่จอดอยู่กับรถติดตามอีกหลายคันออกไปจากที่นั่น...
“เฮ้อ... ใครจะอยากจะไปพบกับนายอีกเล่า...”
เสียงนี้ดังมาจากชายหนุ่มผมดำที่ยืนอยู่ที่ชั้น 2 อาคารข้าง ๆ ลาน เขาอยู่ในชุดสูทสีดำของการด์ กระเป๋าทองใบนั้นวางอยู่ข้าง ๆ เท้าที่ไคว้กัน มือสองข้างเท้าคางไว้กับระเบียง จ้องมองดูขบวนรถถอยออกไปจากลานอย่างเป็นระเบียบ ก่อนจะหันหลังคว้ากระเป๋าก่อนตะโกนทิ้งท้าย จนคนรอบ ๆ หันมามอง
“วัดโธ่ จะทำธุรกิจให้ตรงไปตรงมาหน่อยก็ไม่ได้ เสียเส้นจริง ๆ วุ้ย!”
แล้วเขาก็เดินกลับไปบนลาน ที่ชายในฮูทนอนบิดตัวอยู่ เข้าไปช่วยดึงเขาขึ้นมา
“ขอบใจมากพี่ชาย เอ๋พี่ชายเป็นพวกเดียวกับการด์พวกนั้นนี่”
ชายวัยรุ่นขอบคุณเขา ก่อนเอามือปิดหน้าด้วยความตะหนก
“เปล่า ๆ ... เออนี่ เอาไป”
แล้วเขาก็ส่งปึกธนบัตรให้กับวัยรุ่นคนนั้น วัยรุ่นคนนั้นได้แต่รับมาด้วยท่าทาง งง ๆ ก่อนจะได้ถามอะไร แฟนท่อมก็เดินจากมาซะแล้ว เขาพูดกับตัวเองเบา ๆ ขณะเดินฝ่าหายเข้าไปในฝูงนักธุรกิจใส่สูทที่เดินกันขวักไขว่
“ก็บอกแล้ว... ว่าแฟนท่อมนะ ตรงไปตรงมาเรื่องธุรกิจเสมอ...”

ออฟไลน์ Misiroseki.siro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
    • Misiroseki Siro's Facebook
บทที่ 5 – The thinking which reflex each others.
«ตอบ #5 เมื่อ28-08-2012 15:18:45 »

บทที่ 5 – The thinking which reflex each others.
   แฟนท่อมยืนมองออกไปนอกหน้าต่างเซฟเฮ้าท์ของเขาเบื้องนอกนั้นฝนกำลังตกโปรยปรายท่ามกลางฟ้าที่มืดครึ้ม... เขาหยิบเอากล้องส่องทางไกลขึ้นมาก่อนส่องมองไปยังคลังหลวง สาดกล้องไปตามป้อมต่าง ๆ อย่างที่เคยจับตามาร่วมเดือนอย่างใกล้ชิด แต่คราวนี้เขาไม่ได้มองเพราะเรื่องงาน โจทย์ของเขาอยู่นั่นไง กำลังยืนยามอย่างขันแข็งเช่นเคย นับแต่เหตุการณ์วันนั้นก็ผ่านมาร่วมอาทิตย์แล้ว เขายังตัดใจจากนายทหารร่างเล็กคนนั้นไม่ได้สักที... ทั้ง ๆ ที่เป็นแค่คุณ 85 คะแนน แท้ ๆ ระหว่างปฎิบัติงาน เขาเจอคนคะแนนสูงกว่ามาแล้วหลายคน แต่ไม่เลย ไม่เคยมีใครที่ประทับรอยใว้ในใจเขาอย่างลึกซึ้งเท่ากับนายทหารร่างเล็กคนนี้ ... แฟนท่อมวางกล้องลง เดินไปหยิบชุดทหารของคริสออกมาจากตู้ แต่ไม่แกะออกมาจากซอง เขากลับมานั่งที่หน้ากระจก มือหนึ่งกอดชุดเอาไว้ อีกมือหนึ่งส่องกล้องไปยังคริสที่ยืนรักษาการณ์อยู่... ทำไม เขาถึงโหยหาคริสขนาดนี้นะ.... หรือคนอย่างเขา... จอมโจรแฟนท่อมนี่นะ จะตกหลุมรักกับแค่นายทหารยามคนหนึ่ง.... รัก... กี่ครั้งแล้วที่เขาคิดแบบนี้กับเป้าหมายของเขาอย่างติดตลก ไม่เคยคิดเลยว่า เขาจะจริงจังอะไรกับกับคำ ๆ นี้ แม้แต่เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน... ว่าทำไมเขาถึงติดใจชายร่างเล็กคนนี้นัก...
ตะวันลับขอบฟ้าไป ม่านของสายฝนถูกทับถมลงด้วยความมืด... นั่นคริสกำลังเปลี่ยนกะแล้ว... ทหารยามกะดึกเข้ามาเปลี่ยนกะ คริสและทหารคนอื่น ๆ ต่างเดินกอดคอกันเข้าไปยังอาคารห้องพัก คุย หัวเราะ กันอย่างมีความสุข แฟนท่อมเห็นรอยยิ้มของคริสแล้ววูปหนึ่ง รู้สึก... อิจฉา.. เขาโยนกล้องทิ้งไปกับพื้นดังโครม พอดีกับเสียงฟ้าผ่า
เปรี้ยง.........
“หวา ฟ้าผ่าแถวนี้ละมั้ง... ฝนเมื่อไหร่จะหยุดซะทีว่ะ” คริสบ่นพึมพัม เพราะฝนตกติดต่อกันมาหลายวันแล้ว เขาเกลียดฝน...”
“คริส พรุ่งนี้นายออกเวรใช่ไหม”
“อืม ใช่ มีอะไรหรือเปล่าละวิน”
คริสตอบไปยังวิน เพื่อนทหารยามสนิทคนใหม่ ที่เพิ่งคบกันได้ไม่กี่วันเพราะคริสเปลี่ยนมาอยู่กะเช้า ทำให้เพื่อนที่คบกันก่อนหน้านี้ไม่ค่อยจะได้คุยกันอีก เจอหน้ากันก็แค่ช่วงเปลี่ยนกะทำให้ห่างเหินกันไป แต่ด้วยความที่เขาเข้ากับคนง่าย แป๊บเดียวก็รู้จักคนไปทั่วแล้ว และวินคนนี้เป็นคนง่าย ๆ ทำให้คบกันสนิดอย่างเร็ว ยิ่งเป็นคนนอนเตียงข้าง ๆ แล้วถึงไม่อยากเจอก็ต้องเจอกัน
   “คืนนี้ เรากะว่าจะไปเที่ยวกันยันรุ่งซะหน่อย สนใจไหม เที่ยวกันตามประสาหนุ่มโสดที่ไม่สด ฮ่า ฮ่า”
   “อืมมมม” คริส “แต่ผมถูกแจ้งไว้ว่าไม่ควรออกไปจากคลังในช่วงนี้นะสิ เพราะหน่วยสอบฯ อาจจะต้องการสอบถามเพิ่มเติม”
   “อ๊าย อย่ากังวลมากเกินไปนักเลย ตาโรฟท แกก็ขู่ไปงั้นแหละ ยิ่งเขาได้คนที่ร่วมมือกับแฟนท่อมไปแล้วด้วยอย่างนี้ จะมาสนใจอะไรกับทหารตัวเล็ก ๆ แบบเราเล่า ไปน่า ยังไงก็ไม่ได้ออกจากเมืองหรอก”
   “อืมมมม เอาไปก็ไป”
   แล้วคืนนั้นทั้งสองก็ลาเวรออกไปเที่ยวในย่านกลางคืนของอินแกรม ย่านนี้จะมีบาร์ ผับ และสถานบริการเปิดให้บริการตลอดแนวถนน ทั้งของชายและหญิง ถือเป็นย่านโลกีย์ของเมืองทีเดียว แถมอยู่ใกล้คลังและค่ายทหาร จึงเป็นที่นิยมของเหล่าทหารหนุ่มกลัดมันเป็นอันมาก เขาทั้งสองตรงไปที่ผับแห่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่า ถูก และดี ในหมู่ทหาร ข้างในมีทหารเฮฮาโหวกเวกกันอยู่เต็ม ทั้งอยู่ในชุดทหารเต็มตัว ทั้งลำลอง ทั้งไปรเวท คริสและวินไปนั่งที่เคาท์เตอร์ พอเหล้าเข้าปากจนตึง ๆ คริสก็เอาแต่บ่นเรื่องถูกตัดเงินเดือน ๆ จะไม่พอใช้ จะกรอบตายอยู่แล้ว วินก็เอาแต่เล่าเรื่องตลก ขำอยู่คนเดียว ต่างฝ่ายต่างพูด ๆ ๆ ไม่ได้ฟังกันเลย จนหลัง ๆ คริสเหมือนจะจมอยู่กับการบ่นกับตัวเองเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปเรื่อย จนลืมเพื่อนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ไปเลย พอหันมาอีกที วินที่นั่งกินเหล้าเป็นเพื่อนก็หายตัวไปจากเก้าอี้ซะแล้ว... โน้น ไปยืนป้อสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ในมุมมืดเงียบ ๆ คนเดียว เฮ้อ... คริสได้แต่ถอนหายใจและบ่นกับบาร์เทนเดอร์แทน...ซะงั้น...
   สักพักใหญ่คริสก็ไม่มีเรื่องจะบ่นแล้ว ได้แต่จิบเหล้าเงียบ ๆ อยู่บนโต๊ะอย่างหงอย ๆ แล้วเขาก็ถูกตบบ่า พอหันไปมองวินอยู่ตรงนั้น
   “เฮ้เพื่น จะมานั่งหงอยอะไรอยู่คนเดียวเล่า... เออ นี่... คริสคืนนี้นายกลับคนเดียวได้เลยนะ...”
   พูดพลางเขาก็แอบชูนิ้วก้อยขึ้นมา พร้อมพยักพะเยิดไปที่สาวใหญ่ทื่ยืนจิบเบียร์อยู่ในเงามืดนั้น... พอให้เขาเข้าใจความหมาย
   “เฮ้อ... “ คริสได้แต่ถอนหายใจ
   “เออ ๆ เอาเหอะ แหมตอนชวน ๆ กันออกมา ตอนกลับไล่กลับคนเดียวซะนี่...”
   วินยกมือขึ้นไหว้เหนือหัว
   “น่า นะ ขอโทษทีว่ะเพื่อน วันนี้อั้วจ่ายเองนะ... ว่าแล้ว เขาก็โยนเงินให้บาร์เท็นเดอร์ พลางกล่าวว่าให้เช็คบิลทั้งสองคนกับเขา... แล้ววินก็ขอตัวพาตัวเองไปยังสาวใหญ่คนนั้น ก่อนจูงมือกันเดินออกไปจากร้าน ทิ้งให้คริสนั่งจิบเหล้าจนหมดแก้ว เขานั่งต่ออีกพักใหญ่ คิดถึงเรื่องหลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นมาในไม่กี่วันนี้ และที่ขาดไม่ได้คือ คิดถึงแฟนท่อมคนนั้น... หน้าจริง ๆ ก็ไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้จักอะไรกันมา แค่พบกันครั้งเดียว ทำไมเขาถึงลืมเจ้าโจรคนนี้ไปไม่ได้นะ.. ยิ่งนึกถึงดวงตาคู่นั้นที่จ้องมองมายังเขา ยิ่งคิดเขายิ่งรู้สึกได้... รู้สึกถึงความเปลี่ยวเหงาโหยหาอย่างบอกไม่ถูก...คล้ายลูกแมวที่ถูกทิ้งท่ามกลางสายฝน... จนเขารู้สึกสงสาร... รัก? ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้... เฮ้อ...ตกหลุมรัก ผู้ชายด้วยกัน แถมยังเป็นคนจับเขามัดขังไว้ในตู้ล็อคเกอร์นี่นะ เฮ้อ.. เขาถอนหายใจเป็นครั้งที่ร้อยแล้วมั้ง เขาดื่มเหล้าในแก้วจนหมด แล้วเดินออกมาจากร้าน เดินตรงกลับไปยังคลัง... สายฝนที่หยุดไปโปรยปรายลงมาอีกครั้ง... เขาเกลียดฝน... ฝนทำให้เขานึกถึงตอนเด็ก ๆ ตอนที่เขายืนอยู่ท่ามกลางสายฝน หน้าสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า... ตอนนนั้นเขาอายุ 8 ขวบ... แม่ของเขาพาเขามายืนที่นั่นหน้าตึกหลังนั้น ท้องฟ้าวันนั้นมืดครึ้มไปด้วยเมฆฝน เขาจำหน้าแม่ไม่ค่อยได้แล้ว ตอนนั้น แม่ก้มหน้าลง เอามือปัดหน้าของเขา เขาจำได้ลาง ๆ ว่า แม่บอกเขาว่า ให้ยืนรอแม่อยู่ตรงนี้... แล้วแม่จะกลับมา แล้วแม่ก็เดินไป ก่อนหันกลับมาอีกครั้ง แล้วเหมือนตัดใจก่อนวิ่งหายไป ... เขายืนรอแม่ ยืนตั้งแต่บ่าย จรดค่ำ และสายฝนก็เทลงมา เขาเปียก หนาว หิว เขาร้องให้...เสียงร้องให้ของเขาทำให้แม่ชีที่ในสถานรับเลี้ยงเปิดประตูออกมาดู... พวกเธอวิ่งออกมาเอาร่มกับผ้าเช็ดตัวออกมาด้วย แล้วพาเขาเข้าไปในความอบอุ่นของอาคาร และตั้งแต่นั้น เขาก็อยู่ในสถานรับเลี้ยงจนโต แล้วจึงสมัครเข้าทหาร เพราะเป็นทางที่ง่ายที่สุดสำหรับคนที่ไม่ได้มีวุฒิอย่างเขาจะได้งานทำ...
ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปราย เขาได้แต่นึกถึงใบหน้าของแม่... ที่เขานึกไม่ออก เขาจำได้แค่เขาเห็นน้ำตาของแม่สะท้อนอยู่บนหางตา.. เขาเชื่อว่าแม่ต้องกลับมารับเขา แต่แม่ไม่เคยมา...
เขาเดินตากฝนไปเรื่อย ๆ ขอบตาของเขามีน้ำหยดลงมา น้ำฝน?
เมื่อถึงคลังเขาแจ้งหน่วยสังกัดออกไปเพื่อขออนุญาติเข้าคลัง ถึงแม้จะไม่ค่อยจำเป็นเพราะทหารส่วนใหญ่ของกะดึกรู้จักเขาเป็นอย่างดีอยู่แล้วจึงตรวจกันอย่างเป็นพิธีเท่านั้นเอง ก่อนจะทักทายกันอย่างเป็นกันเอง
เขาเดินกลับมายังที่อาคารพัก ในอาคารตอนนี้เงียบสนิท เพราะเป็นเวลาค่อนข้างดึกแล้ว ทหารที่ออกเวรพรุ่งนี้ส่วนใหญ่จะออกไปกลับบ้านหรือเที่ยวยันรุ่งมากกว่าจะกลับมา ส่วนพวกที่ต้องเข้าเวรก็หลับกันหมดแล้ว...ส่วนเขา ไม่มีที่ไหนจะให้กลับไปอีก..
   “อืม ๆ “
   “อ้าว โทษที ทำให้นายตื่นเหรอ... “
   วินที่เดินย่องเข้ามากระซิบตอบเบา ๆ
   “อ้าววิน กลับแล้วเหรอ ไหนว่าจะกลับเช้า... คิดว่าคืนนี้จะไม่กลับแล้วซะอีก...”
   คริสถามอย่างคนครึ่งหลับครึ่งตื่น
   “ฮ่า ๆ พอดีเปลี่ยนใจนะ เหนื่อย ๆ เลยกลับมานอนดีกว่า”
   “อ้าวเหรอ แล้วเป็นไงบ้างละแม่สาวอกโตคนนั้นนะ...” คริสพลิกตัวถามก่อนหลับตาเตรียมนอนต่อ
   “ก็ดีเลยละ สูดยอดไปเลย.... “
   

วินเปลี่ยนชุดเสื้อยืดกางเกงยีนออก จนเหลือแค่กางเกงในบ็อกเซอร์ตัวเดียวก่อนทรุดตัวลงที่เตียง แล้วพูดขึ้นเบา ๆ
   “เออนี่คริส....”
   “อะไรเหรอ...” คริสตอบอย่างงัวเงีย..
   “... เปล่า ไม่มีอะไรหรอก นอนเถอะ”
“อืมม....” แล้วคริสก็หลับไป
วินทอดตัวลงบนเตียงก่อนห่มผ้า พลิกตัวมองมายังคริสที่นอนหันหลังให้อยู่ สายตาเหมือนคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะหลับตาและหลับไป....

ออฟไลน์ Misiroseki.siro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
    • Misiroseki Siro's Facebook
บทที่ 6 – Do you feeling alone?
«ตอบ #6 เมื่อ28-08-2012 15:19:27 »

บทที่ 6 – Do you feeling alone?
   “วิน วิน... นายเป็นอะไรหรือเปล่า... ตั้งแต่เมื่อวานนี้พอตื่นก็ไม่เห็นนายแล้ว ไปไหนมาหรือ วันนี้ก็ทำตัวเหม่อลอยจัง” คริสทักวินขณะพักทานอาหารเที่ยงภายในโรงเลี้ยง
   “เอ่อ ก็เปล่านี่...” วินก้มหน้าลงมองถาดอาหาร ค่อย ๆ ตักขึ้นมากิน
   “เปล่าได้ไง เห็นปรกตินายออกจะร่าเริง หลังจากกลับมาจากออกเวรนั่นละ เงียบเชียบเลย หรือว่า....”
   คริสชี้มาที่ตัววินก่อนกระโดดกอดคอ
   “นายไปติดโรคจากผู้หญิงในคืนนั้นว่ะ เมื่อวานเลยไปหาหมอใช่ป่าว!”
   “เฮ้ยป่าวจริง ๆ ฮ่า ฮ่า แค่สองวันนี้ท่าทางตากฝน เลยดูเหมือนครั่นเนื้อครั่นตัวจะเป็นหวัดนะ เมื่อวานเลยถือโอกาศเข้าไปให้หมอตรวจ เลยเตร่ไปทั่วเท่านั้นเอง” วินยิ้มออกมาในที่สุด
   “งั้นเรอะ ระวัวตัวนะ อาจจะไม่ใช่แค่หวัดนะนาย ฮ่า ฮ่า” คริสพูดพลางเอามือขยี้หัววิน
   “เฮ้ย ไอ้นี่เล่นถึงหัวกันเลย ไม่มีทางหรอก อั้วป้องกันเฟ้ย”
   “เออนี่จริงสิ เย็นนี้ เคนนี่มันจะจัดงานเลี้ยงสละโสด นายจะไปด้วยไหม”
   “หืมคืนนี้เหรอ อืมมม ไม่ว่างวะโทษที คืนนี้มีธุระนิดหน่อยต้องออกไปจัดการ”
   “ธุระอะไรกันว้า ค่อยทำวันอื่นไม่ได้เหรอ”
   “ไม่ไดจริง ๆ ขอโทษด้วย ธุระสำคัญทางบ้านนะ สนุกเผื่อ ด้วยละกัน”
   “เอ้า ไม่ว่างก็ไม่ว่าง”
   แล้วทั้งสองก็คุยสัพเพเหระกันระหว่างมื้อเที่ยง โดยมีเพื่อนทหารอีกสองสามคนเข้ามาแจมกันอย่างเฮฮา ก่อนแยกย้ายกันไปประจำจุดต่อไป
   ตกเย็นหลังจากเปลี่ยนกะเรียบร้อย เพื่อน ๆ รวมทั้งคริสต่างเปลี่ยนชุดไปรเวท เตรียมออกไปงานเลี้ยงสละโสดของเคนนี่ คริสหันมาถามวินที่ยังไม่ได้เปลี่ยนชุด
   “แน่ใจแล้วเหรอวิน ไม่น่าพลาดเลยนะงานนี้นะ”
   “อืม แน่ใจ ไปเถอะ”
   หลังจากเพื่อน ๆ ออกไปกันหมดแล้ว สักพัก วินก็ออกจากบริเวณคลังไป จับรถเข้าไปในเมือง ลงที่อาคารอพาท์เม้นท์แห่งหนึ่ง เขากดลิฟท์ขึ้นไปยังชั้น 23 ก่อนเข้าสู่ห้องส่วนตัวของเขา เขาเดินเข้ามาตามทางเดินท่ามกลางแอร์เย็นอ่อน ๆ ก่อนเปิดไฟดวงเล็ก ๆ กลางห้อง
   “ขอโทษที่ทำให้ต้องรอนะครับ เหงาไหมครับ”
วินพูดพร้อมยิ้ม ๆ พร้อมเลื่อนผ้าห่มออกจากร่างที่อยู่บนเตียง เขามองไปที่ร่างที่อยู่บนเตียง ร่างนั้นถูกผูกมัดกับเสาเตียงทั้งสี่ด้านด้วยเชือกยาง ที่แม้จะหยุ่นแต่ก็เหนียวจนไม่มีทางดึงออกได้ ร่างชายคนนั้นเกือบเปลือย ยกเว้นใบหน้าที่ถูกครอบอยู่ด้วยหน้ากากยางปิดทั้งใบ ส่วนปากปิดสนิท มีแต่ท่อยื่นออกมาต่อกับท่อส่งน้ำที่อยู่ที่หัวเตียง แขนของคนที่ถูกมัดข้างหนึ่ง ถูกเจาะกับสายน้ำเกลือสามขวดที่ว่างไปแล้วสอง ท่อนล่างของชายที่ถูกมัดถูกใส่ไว้ด้วยกางเกงหนังพิเศษ ที่มีท่อพอดีกับน้องชายของเขา และต่อท่อปัสสวะออมา รวมถึงมีท่อต่อกรณีถ่ายหนักไว้อีกด้วย... ชายคนที่ถูกมัดอยู่ได้แต่ส่งเสียงอื้อ อ้า เพราะปากถูกปิดอยู่...
   “ถ้าคุณรักษาสัญญาว่าจะเงียบ เดี๋ยวผมจะช่วยถอดหน้ากากกับทำความสะอาดร่างกายให้ครับ”
   ร่าง ๆ นั้น ได้แต่พงกหัวอย่างรวดเร็วเป็นการตอบรับ
   “ดีครับ งั้นผมขอจัดการเรื่องความสะอาดก่อนนะครับ”
   แล้ววินก็เข้าไปในห้องน้ำ ทำการเตรียมผ้าเช็ดตัวกับน้ำอุ่นออกมา เขาบรรจงถอดกางเกงพิเศษออก ทำความสะอาดน้องชายของคนที่นอนอยู่ รวมถึงกำจัดของเสียและเปลี่ยนกางเกงพิเศษตัวใหม่ให้ ก่อนจะเปลี่ยนน้ำและผ้าผืนใหม่ ทำการลูบไล้และชำระร่างกายของชายคนนั้น จนชายคนนั้นได้แต่กระตุกด้วยความเสียวซ่าน
   “ขอเช็ดหน้านะครับ สัญญาแล้วนะครับ ห้องนี้ผมบุป้องกันเสียงไว้แล้ว ต่อให้คุณตะโกนสุดเสียงห้องข้าง ๆ ก็ไม่ได้ยินหรอกนะครับ อย่าพยายามให้เสียเปล่าดีกว่า”
   แล้ววินก็ถอดหน้ากากของชายคนนั้นออกมา ชายคนนั้นได้แต่สูดหายใจเฮือกใหญ่เพราะหายใจไม่ถนัดมาเป็นเวลานาน และแล้ว วินที่ถูกมัดอยู่ก็ถามวินที่กำลังเช็ดใบหน้าให้อย่างโกรธเคือง
   “นายจะทำอะไรกันแน่ แฟนท่อม!”
   คืนนั้น หลังจากที่เขาออกมาจากบาร์กับสาวหุ่นสะบึม สาวเจ้าก็เสนอให้มาที่อพาท์เม้นท์ของหล่อน ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่ขัดอยู่แล้ว ยิ่งดีใหญ่ที่ไม่ต้องเสียค่าห้อง.. หลังจากเข้ามา หญิงสาวก็เสนอเบียร์ให้เขาอีกหลายกระป๋อง พร้อมยั่วเย้าอารมณ์ของเขาจนของขึ้น แล้วเขาก็ถูกถอดเสื้อผ้าออกจนเปลือยเปล่า ถูกพลักขึ้นเตียง ก่อนจะถูกมัด
   “ไม่เห็นบอกเลยว่าชอบแบบนี้” เขาถามอย่างมีอารมรณ์
   “ก็คุณไม่ถามนี่” หญิงสาวยิ้มให้อย่างยั่วยวน ก่อนผูกมือเท้าของวินเข้ากับเสาเตียง และเอาผ้ามาปิดตา เขาถูกพรมจูบทั่วร่างจนต้องครางออกมาอย่างสยิว ท่ามกลางความมืดของผ้าปิดตา เขาได้แต่บิดตัวครางไปมา ก่อนเจ้าหล่อนจะกรีดหน้าอกเขาเล็กน้อยก่อนชิ้ล้นเลีย ...เจ้าหล่อนช่างเก่งเหลือเกิน แล้วเขาก็ถูกแก้ผ้าปิดตาออก... เขาลืมตาขึ้นมองอย่างคาดหวัง แต่ที่เขาเห็นตอนนี้คือ ชายคนหนึ่งนอนคร่อมเขาอยู่ และชายคนนั้นหน้าตาเหมือนกับเขาทุกอย่าง ก่อนที่เขาจะได้ตะโกนพูดอะไร ตัวเขาอีกคนก็เอาที่อุดปากกับหน้ากากมาสวมให้เขา โดยเขาไม่มีโอกาศจะโต้ตอบอะไรเลย ก่อนตัวเขาอีกคนจะลุกขึ้นยืนออกไปจากเตียง แล้วก็ไปหยิบ เอากางเกงตัวพิเศษมาใส่ให้เขา พลางพูด
   “เฮ้อ ไม่ต้องกังวลอะไรนะครับ.. ผมแค่จะขอกักตัวคุณไว้สักพัก.. ไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำอาหาร” ว่าแล้วเขาก็ต่อท่อน้ำเข้าที่หน้ากากพิเศษ และลากเอาตัวจ่ายน้ำเกลือระยะยาวมาเสียบจึกเข้าให้อย่างเชี่ยวชาญ
   วินได้แต่มองตาปริบ ๆ อย่างช่วยอะไรตัวเองไม่ได้
   “คิดว่าของเสียของคุณคงจะขับถ่ายในวันนี้วันพรุ่งนี้เท่านั้นครับ หลังจากนั้นคุณคงจะอยู่กับน้ำเกลือไปซักพัก คงไม่ต้องอดทนกับของเสียตัวเองนะครับ”
   วินอีกคนพูดพลางเอาชุดของเขาขึ้นมาใส่ เสื้อกางเกง รองเท้าถุงเท้า แล้วเขาก็เห็นตัวเขาอีกคนยังกับส่องกระจก ยืนอยู่ตรงปลายเตียง
   “ผมขอตัวก่อนละครับ คุณทหาร 78 คะแนน” ร่างเขายิ้มให้ตัวเขาเองก่อนเดินออกประตูไป ปล่อยให้เขาจมกับความคิดของตัวเอง “คุณทหาร 78 คะแนน” ประโยคแบบนี้มัน! คริสเล่าให้เขาฟังถึงการจู่โจมของแฟนท่อม และที่พูดแบบนี้กับคริส “คุณทหาร 85 คะแนน” ขนเขาลุกเกรียว มันนั่นเองจอมโจรแฟนท่อม....

   ตัดกลับมายังปัจจุบัน วินในชุดทหารได้แต่ยืนยิ้มไม่ตอบอะไร
   “ตอบฉันมาสิแฟนท่อม!!! นายคิดจะขโมยอะไรอีกกันแน่”
   นั่นสิ เขาคิดจะขโมยอะไรกันนะ ประโยคนี้ทำให้แฟนท่อมเหม่อลอยไปเลย เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เย็นวันนั้นเขาเห็นวินกอดคอกันเดินคุยอย่างสนุกสนานกับคริส แล้วก็รู้สึกอิจฉาจนหน้ามืด เลยเปลี่ยนตัวเองเป็นผู้หญิงตามพวกเขาเข้าไปในบาร์ ยิ่งดูยิ่งเจ็บใจว่าทำไม เขาถึงไม่ได้เป็นคนที่อยู่ข้าง ๆ ตรงนั้น พอดีกับวินทิ้งคริสเดินเข้ามาทักทาย สมองชั่วร้ายของเขาจึงนึกแผนขึ้นมาได้อย่างฉุกละหุก
   “... ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน... “ แฟนท่อมถอนหายใจ พลางมองลงที่พื้นเหมือนคิดอะไรอยู่ คำตอบเล่นเอาวินงงไปเลย หมายความว่ายังไง การที่เขาต้องเสียตัวให้ผู้ชาย แถมยังถูกมัดอยู่แบบนี้ แต่คนทำทำไปเพราะไม่รู้ว่าเพื่ออะไรเนี่ยนะ โอ๊ย ฉุนโว๊ยยยยยย
แล้วแฟนท่อมก็เงยหน้าขึ้นมา ตาเป็นประกายคล้ายเห็นความหวังอะไรสักอย่าง ก่อนเอ่ยปากขึ้น
   “ยังไงก็ตาม แบบวันนั้นผมวางแผนแบบฉุกละหุกไปหน่อย เลยไม่ได้ศึกษาตัวคุณล่วงหน้าอย่างปรกติที่ทำ วันนี้กับคริสผมท่าทางทำตัวผิดปรกติไปเยอะจนเดี๋ยวเขาสงสัย...”
   “นายมีอะไรกับคริสกันแน่” วินถามด้วยความโกรธ แฟนท่อมก้มหน้าหลบสายตา
   “เปล่าครับ... ผมแค่อยาก... ช่างเถอะ เอาเป็นว่าเล่าเรื่องคุณกับคริสมาให้หมดทีครับ...”
   แล้วแฟนท่อมก็ยิ้มอย่างชั่วร้าย
   “ถ้าคุณปฎิเสธ ผมคงต้อง...” ว่าแล้วแฟนท่อมก็เดินไปที่ตู้ พอเปิดออกมา ในตู้เต็มไปด้วยเครื่องทรมาณสารพัดชนิดแน่นขนัดจนแทบล้นตู้ แค่เห็นวินก็ต้องกลืนน้ำลายเฮือกแล้ว แฟนท่อมจับเอาเครื่องทรมาณเหล็กอันหนึ่งออกมา
   “รู้ไหมครับ มนุษย์เรานั้น แม้จะฝึกมาดีแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถรักษาความลับไปได้ตลอดหรอกครับ ถ้าคนสอบสวนรู้วิธีการ...”
   แฟนท่อมมองกลับไปมาบนเครื่องทรมาณอันนั้นพลางยิ้มอย่างชั่วร้ายและเดินย่างสามขุมเข้ามายังวินที่กำลังหน้าซีดลง ๆ
   “รู้จักเครื่องนี้ไหมครับ เขาเรียกว่าดอกบัวเหล็ก ดูรูปร่างของมันสิครับ ยังกับดอกบัวเลยใช่ไหมครับ แต่อย่าวัดความร้ายกาจของมันด้วยแค่รูปร่างนะครับ... “ ว่าแล้วแฟนท่อมก็บิดคันหมุดบริเวณโคนของดอกบัวเหล็ก ดอกบัวที่ตูม ๆ อยู่ค่อย ๆ บานออกมาช้า ๆ จนแทบจะเป็นสองเท่าของขนาดเดิม
   “เครื่องมือนี้ในยุโรปยุคกลางเขาไว้ใช้กับภรรยาที่ให้ร้ายสามีครับ โดยจะสอดเข้าไปในปากก่อนจะหมุนให้มันเปิดออกช้า ๆ เพื่อทรมาณจนกว่ากรามจะหลุดเพื่อเป็นการลงโทษ... ต่อมามีคนเอาไปประยุคใช้กับคนที่ผิดข้อหาร่วมประเวณีกับผู้ชายด้วยกัน โดยการเสียบมันเข้าไปที่ไหนคุณคงนึกภาพออกนะครับ... และหมุนจนกว่า.... แคว๊ก!”
   แฟนท่อมจบประโยคด้วยเสียงดังจนวินสะดุ้ง ก่อนที่จะเหงื่อแตกพลักเพราะแฟนท่อมกำลังถอดกางเกงของเขาออก และค่อย ๆ ยื่นดอกบัวเหล็กมายังประตูหลังของเขา พลางยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม
   “รู้ไหมครับผมยังไม่มีโอกาศลองสักที... คุณไม่ต้องรีบตอบก็ได้นะครับ”
   ว่าแล้วเขาก็เอาดอกบัวเหล็กจิ้มมายังก้นของวิน
   “จ๊าก บอกแล้วครับ บอกหมดเลย อยากถามอะไรก็ถามมาได้เลย....”
เขาซักวินจนดึก ทั้งความชอบนิสัย การหยอกล้อ และถามอ้อม ๆ ถึงเรื่องของคริสด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวแค่ไหน เขาถามวินจน วินเองหมดแรงจะตอบ หลังจากนั้นก็จัดวินเข้าที่ตามเดิม จัดการปิดหน้ากาก, ใส่กางเกงพิเศษกลับให้ เพิ่มน้ำ และน้ำเกลือให้ ห่มผ้าให้เรียบร้อย ก่อนกลับเขามองไปยังร่างที่ถูกพันธนาการไว้อีกครั้ง
   “ขอบคุณมากครับสำหรับข้อมูล” เขายิ้มให้ “ไว้อีกสองวันผมจะกลับมานะครับ ขอให้หลับให้สบายนะครับ”
   วินยิ้มและเดินออกมาจากห้อง โดยไม่ลืมจะโยนดอกบัวเหล็กทิ้งลงถังข้าง ๆ ประตู พลางแลบลิ้น ก่อนปิดประตู และคิด คุณต้องศึกษาประวัติศาสารต์ให้มากกว่านี้นะครับคุณวิน ดอกบัวเหล็กไม่มีหลักฐานว่าเคยใช้จริง และโครงข้อต่อก็บอบบางเกินไปที่จะถ่างกรามคนได้โดยไม่งอซะก่อน จึงเชื่อว่าความจริงเป็นแค่ของเอาไว้ใช้ขู่อย่างวันนี้เท่านั้นละครับ ขอโทษด้วย =P จริง ๆ แล้วเขาเกลียดการทรมาณคนที่สุด จึงนิยมขู่กินมากกว่า ฮ่า  ฮ่า ฮ่า

ออฟไลน์ Misiroseki.siro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
    • Misiroseki Siro's Facebook
บทที่ 7 – Sunshine will banish all ghost aways
«ตอบ #7 เมื่อ28-08-2012 15:20:17 »

บทที่ 7 – Sunshine will banish all ghost aways

คริสรู้สึกได้ว่า สองวันมานี้วินกลับมาร่าเริงเหมือนเดิมแล้ว หลังจากไปทำ”ธุระ” ในวันนั้น แม้บางทีจะดูไฮเปอร์ไปบ้าง แต่ก็สมแล้วที่เป็นวินละนะ จริง ๆ แล้วเขารู้สึกว่าวินคบกันง่ายขึ้นด้วยซ้ำไป จากเดิมที่ชอบทำตัวบ้า ๆ บอ ๆ ไปเรื่อย ๆ แต่ตอนนี้หันมาเข้าใจคริสมากขึ้นซะอีก จนสองคนแทบติดกันเป็นตังเมไปแล้ว แต่ก็ทำให้คริสหัวเราะได้ตลอดนอกเวลางาน แต่วินเองก็สังเกตุออก บางครั้ง คริสเองก็มีรอยยิ้มเศร้า ๆ อยู่เหมือนกัน คริสสังเกตุว่า วินจะหาตัวไปช่วงเย็นทุก ๆ สองสามวัน ครั้งหนึ่งสักชั่วโมง เขาเองไม่ได้อยากรู้เรื่องชาวบ้าน แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า เขาหายไปไหน จะว่าไปหาเหล้ากินก็เปล่า เพราะไม่เคยมีกลิ่นเหล้ากลับมา แต่ก็ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ
คืนถัดมาท่ามกลางสายฝนที่ตกพร่ำ ๆ วินกำลังเดินกลับเข้ามาในห้องพัก คริสนั่งอยู่บนเตียง เหมือนนั่งคิดอะไรสักอย่าง
“กลับมาแล้วเหรอ”
“อืม ยังไม่นอนเหรอ”
   “อืม กำลังคิดอะไรนิดหน่อย”
   วินเดินเข้าไปเปลี่ยนชุดจากล็อคเกอร์เป็นชุดลำลอง ก่อนนั่งลงบนเตียงหันหน้าเข้าหาคริส ทั้งสองนั่งจ้องหน้ากันเงียบ ๆ สักพักหนึ่ง วินสังเกตุได้ถึงสายตาของคริสที่ดูเศร้าเป็นพิเศษ
   “มีเรื่องอะไรไม่สบายใจเหรอ...”
   “....” คริสเงียบไม่ได้ตอบคำถามในทันที หากแต่ทอดตัวลงบนเตียงนอน สองมือรองหัวไว้
   “ฉันเคยบอกนายแล้วใช่ไหมว่า ฉันเกลียดฝน”
   “... อืม”
   “แต่ไม่เคยบอกว่าทำไม...”
   “..อืม”
   “จริง ๆ คืนนี้ละของหลายปีก่อนที่เรื่องมันเกิดขึ้น อากาศมันก็เหมือนกันวันนี้ไม่ผิด”
   คริสถอนหายใจ มีน้ำตาหยดเล็ก ๆ อยู่ที่ปลายหางตา ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ เล่าเรื่องของเขาสมัยเด็กให้วินฟัง จริง ๆ เขาไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังมาก่อน แต่วินสองสามวันนี้ดูเหมือนจะสามารถรับฟังเรื่องของเขาได้ ดูเหมือนจะเข้าใจเขาได้... จนเขาตัดสินใจเล่าให้ฟัง...
คริสพลิกตัว กดหน้าไปบนหมอน ปล่อยให้ทุกอย่างจมอยู่ในความเงียบ...
“นายไม่ได้อยู่คนเดียวแล้วนี่... “ วินพูดขึ้น พลางมองไปที่คริสอย่างเข้าใจถึงความเจ็บปวดของความโดดเดียวและการถูกทอดทิ้งเป็นอย่างดี
แล้วก็ปล่อยให้ความเงียบครอบครองห้องอีกสักครู่...
…………………………..
“ฉันคิดว่านายไปอกหักมาจากใครซะอีก” แล้ววินก็โยนหมอนปาใส่คริส เพื่อตัดสินใจทำให้คริสสดชื่นขึ้น
“ไอ้บ้าวิน ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ว่าแล้วเขาก็หยิบหมอนปากใส่กันไปมา เพื่อลบความหดหู่ให้หายไป จริงสิ ถึงไม่มีครอบครัวแต่ตอนนี้เขามีเพื่อนแล้ว เพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้....
ระหว่างขว้างกันไปมานั่นเอง ผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนนั้นที่คริสซุกไว้ในปลอกหมอนก็หลุดออกมา ท่ามกลางสายตาของทั้งคู่
ทั้งสองตรงเข้าไปตะครุบจนหัวโขกกัน
“โอ๊ย”
มือทั้งสองที่จับอยู่บนผ้าเช็ดหน้านั้น และทั้งสองก็พูดขึ้นมาพร้อมกัน
“ผ้าเช็ดหน้าชั้น”
วินเผลอพูดออกไปพร้อมกับคริส คริสมองมายังวินด้วยความแปลกใจ...ตัวเขาเองโกหกว่าผ้าเช็ดหน้าตัวนี้เป็นของเขานั้นย่อมไม่แปลก แต่ทำไมวินถึงบอกเป็นของเขาด้วย....
คริสปล่อยมือออกจากผ้าเช็ดหน้าใ เอามือมาจับใบหน้าของวินที่เขาคิดว่าเขารู้จักมาตลอด มองลึกเข้าไปในดวงตาที่กำลังตื่นตระหนกเล็กน้อยก่อนกลับมานิ่งอีกครั้ง ไม่ผิดแน่ แม้สีตาจะไม่เหมือน แต่แววตานี้ แววตาเหมือนกับแมวหลงทางกลางสายฝน... แล้วเขาก็โพล่ง คำแรกที่เขานึกถึงออกมาเบา ๆ
“แฟนท่อม...”
วิน/แฟนท่อม ได้แต่ตะลึงงัน อ้าปากค้าง การปลอมตัวของเขาที่ไม่เคยมีใครจับได้มาก่อนถูกจับได้แล้ว เขาเข้าใจได้ทันทีที่เห็นแววตาคริสที่มองเขา เป็นแววตาที่บ่งถึงความจำได้อย่างไม่ต้องสงสัย เขาพลักคริสออกไป ก่อนวิ่งหนี
คริสที่ถูกพลักล้ม ลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว วิ่งตามวินออกไปในทันที ท่ามกลางสายฝน ผู้ชายคนหนึ่งวิ่งหนี อีกคนวิ่งตาม จนมาถึงอพาทเม้นท์ที่วินตัวจริงถูกขังไว้อยู่ แฟนท่อมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ทำไมต้องทำแบบนี้ คริสที่วิ่งไล่มาติด ๆ เห็นวิน/แฟนท่อม ยืนอยู่หน้าห้อง ๆ หนึ่งหันมามองเขาก่อนก้าวเข้าไป จึงวิ่งตามเข้าไป เขาเห็นวิน/แฟนท่อม ยืนอยู่หน้ากระจก ก้มหน้า อยู่เขาเดินเข้าไปปิดประตู  แฟนท่อมตะโกนถามเขา
   “ทำไม....”
   “ทำไมถึงรู้ได้!!! การปลอมตัวของผมไม่เคยพลาดมาก่อน ถึงผมจะโผล่งออกไปเรื่องกางเกงใน แต่อาจจะเป็นแค่การเข้าใจผิดก็ได้ แต่ทำไมสายตาของคุณถึงมั่นใจขนาดนั้น ทำไมคุณถึงจับแฟนท่อมได้”
   “...” คริสได้แต่เงียบ เมื่อมองไปในห้องก็เห็นร่างของผู้ชายถูกมัดอยู่กับเตียง
   “ไม่ต้องเป็นห่วงครับ เขาสบายดี ผมไม่เคยฆ่าคน ผมไม่ชอบทำร้ายคน หรือแม้แต่ทรมาณ ที่ทำก็แค่กักตัวเขาไว้ที่นี่เท่านั้นครับ....ตอนนี้เขาหลับอยู่เพราะฤทธิ์ยา ผมไม่อยากให้เขาต้องมาทรมาณเพราะถูกจับมัดทั้งวันถึงให้ยานอนหลับเขา”
   แฟนท่อมดูเหมือนจะพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองลง ก่อนจะยื่นเก้าอี้ให้คริสนั่ง และเขาก็นั่งลงบนโต๊ะเครื่องแป้งนั่นเอง แฟนท่อมมองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนถามซ้ำอีกที
   “ตกลงคุณรู้ได้ยังไงครับว่าเป็นผม”
   “... เพราะแววตาของนายนะ”
   แฟนท่อมหันกลับมามองหน้าคริสอย่างสงสัย...
   “แววตา?”
   “ใช่แววตา ของนาย ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันแล้ว ผมแววตาของนายได้ไม่ลืม แววตาของแมวที่หลงทางกลางสายฝน ที่โหยหาอะไรสักอย่าง....”
   “บ้าไปแล้ว ของไม่มีมูลเหตุอย่างนั้นคุณจะเอามาจดจำแบ่งแยกคนได้ยังไงกันครับ”
   “บ้าไม่บ้า ผมก็ทำไปแล้วละ... พอผมเห็นแววตานาย ไม่ว่าเปลือกนอกนายจะเป็นวิน แต่ผมก็จำนายได้ทันที”
   แฟนท่อมได้แต่เอามือตบหน้าผาก แล้วก็หัวเราะ...
   “ฮ่า ฮ่า ฮ่า จอมโจร แฟนท่อม ถูกคนแค่ทหารยามเผยคราบออกมาได้ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น ฮ่า ฮ่า ฮ่า แถมยังเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างแววตาอีก ช่างไม่เป็นวิทยาศาสตร์เอาซะเลยนะครับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
คริสปล่อยให้แฟนท่อมหัวเราะจนพอใจ หลังจากนั้นเขาก็เงียบ... ทั้งสองจมอยู่ในความคิดของตนสักพัก แฟนท่อมก็ผายมือไปทางวินที่ถูกมัดอยู่
   “นั่นไงครับวินตัวจริง เชิญคุณพากลับไปได้ครับ อ้อ...”
   ว่าแล้วแฟนท่อมก็ถอดชุดทหารของวินที่ใส่อยู่ออกมา จนเปลือยเปล่า ก่อนไปหาชุดจากตู้มาใส่
   “นั่นชุดของเขาครับ เดี๋ยวผมช่วยคุณใส่คืนให้ ถึงจะเปียกนิดหน่อย”
   แล้วแฟนท่อมที่ยังอยู่ในร่างของวินก็ช่วยปลดพันธนาการของวินตัวจริงออกพร้อมใส่ชุดของวินกลับไปให้... คริสพยุงวินออกมาที่หน้าประตู
   “นายจะปล่อยผมไปง่าย ๆ อย่างนี้เหรอ ไม่กลัวผมจะพาทหารมาจับหรือไง”
   แฟนท่อมหันมายิ้มอย่างเศร้า ๆ
   “ตามสบายเลยครับ กว่าพวกคุณจะกลับมาที่นี่คงว่างเปล่าแล้ว และไม่ต้องเสียเวลาตามสืบหาคนเช่าหรอกครับ เดี๋ยวเจ้าของชื่อที่ผมยืมมาใช้จะเดือนร้อนซะเปล่า ๆ ตัวคุณเองก็รู้ดีนี่ครับความสามารถของผมนะ”
   คริสพยักหน้า ใช่เขาเห็นมากับตาตัวเองแล้ว ....
   “ฉันขอนายสักสองข้อสิ...”
   “เอาสิครับ ถือว่าเป็นรางวัล... ที่เจอตัวผมได้.... “
   “อย่างแรก นายแฝงตัวมาเป็นวิน เข้ามาเพื่ออะไรกันแน่...”
   “อึก... เอ่อ... “
   “นายไม่ได้พยายามขโมยอะไรเลย และดูสภาพแล้วนายน่าจะอยู่แทนที่วินตั้งหลายวันแล้วด้วยซ้ำ ถ้าจะขโมยอะไรคงลงมือทำไปแล้ว ไม่ปล่อยให้มันยืดยาดอยู่แบบนี้หรอก” คริสถามจี้ใจดำของแฟนท่อม
   แฟนท่อมมองไปยังพื้นพร้อมกัดปาก ก่อนเงยหน้ามองคริสอย่างเต็มตา กับคำตอบที่รู้อยู่เต็มอก
   “ผมจะขโมยอะไรก็เรื่องของผมครับ”
   “อ้าวไหนว่าจะตอบ”
   “ผมแค่อนุญาติให้คุณขอ ไม่ได้บอกว่าจะตอบครับ”
   “โห สมแล้วที่เป็นจอมโจร โกงได้หน้าด้าน ๆ มาก งั้นผมไปละ”
“เดี๋ยวสิครับ คุณบอกว่าจะขออีกข้อหนึ่ง”
“เดี๋ยวนายก็ไม่ยอมตอบอีกละ”
“มันก็ขึ้นกับขอครับ”
คริสสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนเอ่ยขอ
“ขอดูหน้าจริง ๆ ของนายได้ไหม....”
แฟนท่อมอื้งไปชั่วขณะ...ตลอดมาไม่เคยเลยที่จะมีคนเห็นใบหน้าแท้จริงของแฟนท่อม ไม่เคย... วันนี้เขาเสียศักดิ์ศรีไปแล้วครั้งหนึ่ง หากเผยใบหน้าจริงอีก.... แล้วเขาจะเหลืออะไรละ.... เขาหันหน้าไปมองคริส...ก่อนตัดสินใจ
ใบหน้าของวินเริ่มเปลี่ยนไป ผมเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มขึ้น นัยตาก็กลายเป็นสีดำสนิท ใบหน้าของจอมโจรแฟนท่อมที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อนได้ปรากฎต่อหน้าของคริสแล้ว...
“นี่ละครับใบหน้าผม ผมเองก็ไม่รู้หรอกนะครับว่ามันเป็นหน้าจริง ๆ ของผมหรือเปล่า... แต่มันคือใบหน้ายามที่ผมไม่ได้ปลอมเปลี่ยนเป็นใคร...”
คริสยื่นมือขึ้นมา แฟนท่อมไม่เคลื่อนไหว เขาใช้มือลูบที่ใบหน้าของแฟนท่อม ลูบไล้คล้ายพยายามจดจำใบหน้านี้ไว้ด้วยฝ่ามือ ตาของคริสมองลึกเข้าไปในดวงตาของแฟนท่อม ดวงตาที่ดำลึกล้ำเหมือนบ่อน้ำไร้ก้น ที่มีแววตาเปลี่ยวเหงา และเขาก็ยิ้มให้กับแฟนท่อม แฟนท่อมได้แต่ประหลาดใจเมื่อคริสโน้มตัวเข้ามา จูบเขา... ริมฝีปากของทั้งสองประกบกัน แต่ทั้งสองคนไม่หลับตา ต่างจ้องมองลึกเข้าไปในแววตาของทั้งคู่อย่างโหยหา แฟนท่อมเข้าใจทันที อย่างนี้นี่เอง เขาก็เข้าใจแววตาของคริสเป็นอย่างดี แววตาที่โหยหาความเข้าใจ เหมือนเด็กที่ขาดน้ำกลางทะเลทราย...ที่ค่อย ๆ ชุ่มชื่นขึ้นจากหยาดน้ำ เขาจูบกันอย่างลึกซึ้งเนินนาน ก่อนจะแยกออกมาจากกัน ทั้งสองหน้าแดงก่ำเหมือนเด็กผู้หญิงที่เพิ่งพบพานความรัก... ด้วยจูบ ๆ นี้ สายใจที่เคยห่างกันก็แทบจะไม่ต้องอธิบายกันด้วยคำพูด เขาเงยหน้าขึ้นมามองกัน ทั้งสองต่างยิ้มให้กัน.. นี่สินะ ความรัก ทั้งสองคนคิด.... อย่างเนิ่นนาน ทั้งสองมองตากัน สื่อสารเป็นล้านคำพูดผ่านการมองตาซึ่งกันและกัน ก่อนทีคริสจะเอ่ยขึ้นมา...
“เราจะได้เจอนายอีกไหม”
แฟนท่อมก้มหน้าลง... เงียบไปก่อนจะพูด
“ผมเองก็ไม่รู้ครับ....จริง ๆ ผม ผม... ผมไม่ได้มีอะไรจะขโมยจากคลังแล้วหรอกครับ ที่ผมปลอมเป็นวินเข้าไปเพราะอยากอยู่ข้าง ๆ คุณเท่านั้น.... ตั้งแต่เจอคุณ ผมก็รู้สึกว่าขาดคุณไม่ได้ จึงต้องลำบากคุณวินแล้ว...”
“...” คริสได้แต่เงียบ
“ผมว่าเราอย่าเจอกันอีกดีกว่าครับ มันดีต่อตัวคุณและงานของคุณ ผมเป็นโจร การที่คุณปล่อยให้ผมลอยนวลอยู่ ถึงคุณเป็นทหารยาม แต่ก็เป็นทหาร ย่อมไม่เป็นการดีแน่ ยิ่งถ้ามีใครรู้... ผมไม่อยากให้คุณเดือดร้อน...”
“แต่ผมรักนายนะ...” คริสตอบกลับเบา ๆ
“ผมก็... รักคุณครับ ขอโทษด้วย...ลาก่อน”
แล้วแฟนท่อมก็วิ่งออกมา ปล่อยให้ คริสที่แบกวินอยู่ทำให้ตามไปไม่ได้ และคริสเองก็ไม่สามารถก้าวขาตามไปได้แม้อยากสักแค่ไหนก็ตาม แฟนท่อมเข้าไปในลิฟท์ ประตูลิฟท์ที่ปิดลงอย่างช้า ๆ ให้เห็นใบหน้าที่เศร้าหมองของแฟนท่อมเป็นครั้งสุดท้าย
“แฟนท่อม ... นายเป็นใครกันแน่นะ”

ออฟไลน์ Misiroseki.siro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
    • Misiroseki Siro's Facebook
บทที่ 8 – When the storm coming the wind will stop blowing
«ตอบ #8 เมื่อ28-08-2012 15:21:01 »

บทที่ 8 – When the storm coming the wind will stop blowing

ห้องภายในอพาทเม้นท์ระเกะระกะไปด้วยข้าวของที่ถูกโยน กวาด เขวี้ยง ฯ เท่าที่จะนึกได้ ท่ามกลางเศษข้าวของ บนเตียงนั้น แฟนท่อมนอนอยู่ มือข้างหนึ่งปิดที่ตาที่มีคราบน้ำตาอยู่บนแก้ม หลังจากออกแรงอาละวาดจนข้าวของเสียหายให้มันสาแก่ใจกับความผิดหวังของตนแล้ว เขาก็ได้แต่นอนจมน้ำตาของตัวเองอยู่อย่างนี้อย่างเนิ่นนาน....
ปิ๊บ ๆ ๆ
เสียงโทรศัทพ์สายพิเศษของเขาดังขึ้น เฉพาะโทรสายนี้เท่านั้นที่มาจากฟิกเซอร์ ผู้ติดต่อกับผู้จ้างวานในงานของเขา ทำให้เขาไม่รับสายไม่ได้... เขาลุกขึ้นนั่ง เอื้อมมือไปหยิบโทรศัทพ์จากหัวเตียง
“สวัสดีครับ ฟาเธอร์”
“สวัสดี ทอม มีงานเข้ามา ผู้จ้างวานคนเดิมจากงานที่แล้ว ลูกจะปฎิเสธไหม”
เขาเรียกฟิกเชอร์ด้วยรหัสของเขาเองว่าฟาเธอร์หรือหลวงพ่อ ส่วนฟิกเซอร์ก็จะเรียกเขาว่าทอมเสมอ ทอม จาก แฟนท่อม
แฟนท่อมเดินไปที่หน้าต่างก่อนนั่งลง พร้อมปรับอารมณ์ของตัวเอง
“แหม คุณหน้าบากเองหรือครับ งานที่แล้ว กะเอาผมตายเลยนะครับระหว่างส่งมอบนะ”
“งั้นลูกจะปฎิเสธ”
“.... ไม่ครับ” แฟนท่อมประกาศกร้าว เขาไม่มีทางถอยเรื่องเกี่ยวกับงานเด็ดขาด
“คราวนี้ถ้าคุณหน้าบากยังพยายามเล่นตลกกับผมอีกละก็ ผมเองนี่ละ จะจัดการเขาให้ไม่กล้ามาแหยมกับผมอีกเลย”
“งั้นลูกตกลงรับงานนี้”
“ใช่ครับ”
“รายละเอียดของงานพ่อจะส่งให้ลูกทางเดิม”
“โอเคครับฟาเธอร์
“ทอม... พ่อว่างานคราวนี้มันมีกลิ่นไม่ค่อยดี จริง ๆ ไม่อยากให้ลูกตกลงเลย แต่ในฐานะคนกลางคงปฎิเสธไปเลยไม่ได้...”
“ไม่เป็นไรครับ ฟาเธอร์ผมจัดการเอง”
“โชคดีทอม ขอให้พระเจ้าคุ้มครอง”
“ขอบคุณครับฟาเธอร์”
เขาวางสายลง
“เฮ้อ... มันจะมีไปได้ยังไงละครับพระเจ้านะ ฟาเธอร์”
เขาเหม่อมองออกไปนอกระจกเอื้อมนิ้วขึ้นมาแตะริมฝีปาก พร้อมลูบผ่าน นึกถึงรสจูบที่ดื่มด่ำที่ได้รับมา เขาเคยจูบคนมาก็เยอะ แต่ไม่เคยเลยที่จะรู้สึกอะไรเหมือนครั้งนี้ มันหวานหอมตราตรึงอยู่ในความทรงจำ นี่ละมั้งที่เขาว่า หวานปานน้ำผื้ง ... เสียงปิ๊บ ๆ ดังขึ้นอีกครั้ง เขาเปิดมือถือขึ้นมา ฟาเธอร์ส่งรายละเอียดงานมาให้เรียบร้อยแล้ว เขาค่อย ๆ พลิกอ่านรายละเอียดงาน ก่อนกดลบทิ้ง พร้อมหัวเราะ
“ฮ่า ๆ ๆ ไอ้เจ้าหน้าบากนั่น มันเข้าใจหาเรื่องมาให้จริง ๆ แฮะ คราวที่แล้วบุกคลังหลวง คราวนี้ก็... หึหึหึ”
เขาวางมือถือลง ยืนขึ้น
“เอาสิ งานยิ่งท้าทายก็ยิ่งสนุก”
เอกสารที่ปรากฎในมือถือค่อย ๆ ขึ้นคำว่า <deleted> ทีละหน้า ๆ และที่หน้าสุดท้ายนั่นเองที่ปรากฎภาพของคฑาทองคำของราชวงค์ปรากฎขึ้นแวบหนึ่งก่อนจะถูกลบหายไป

ออฟไลน์ Misiroseki.siro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
    • Misiroseki Siro's Facebook
บทที่ 9 – The memory was stay to torture people.
«ตอบ #9 เมื่อ28-08-2012 15:21:33 »

บทที่ 9 – The memory was stay to torture  people.
คริสพยุงวินจนมาถึงคลัง เขาโกหกทหารที่หน้าประตูว่าวินล้มลงหัวฟาดพื้นจนสลบไป จะพาไปห้องพยาบาล แต่หลังจากเข้ามาแล้ว เขาก็พาวินไปนอน เพราะเขารู้อยู่แล้วว่า วินแค่โดนยานอนหลับไป เดี๋ยวก็ฟื้นเอง เขาพาวินไปนอนที่เตียง จัดการเปลี่ยนชุดลำลองให้ ก่อนห่มผ้า และมองไปยังวินที่นอนอยู่... เขาคิดถึงวินอีกคนหนึ่ง ที่เมื่อวานนี้อยู่ตรงนี้ คนที่เข้าใจเขาดีกว่าใคร ๆ แค่หลับตาลง เขาก็เห็นใบหน้าของแฟนท่อมลอยอยู่เบื้องหน้าแล้ว เขาเข้าใจแล้วว่าทำไม เขาถึงเข้าใจความรู้สึกของแฟนท่อม เพราะเขาต่างเป็นคนแบบเดียวกัน แม้จะเดินทางคนละเส้น แต่ความจริงแล้ว เปรียบเหมือนหัวก้อยซึ่งกันและกัน เมื่อเขามองตาของแฟนท่อม เขาเข้าใจถึงความปวดร้าวของความโดดเดียว ขณะที่เขาก็รู้ว่า แฟนท่อมก็เข้าใจความเจ็บปวดของความเปลี่ยวเหงาของเขาเช่นกัน...
   “อะ อืม...” เสียงของวินพึมพัมขึ้นมา ดูเหมือนเขาจะฟื้นแล้ว
   “หวะ อ๋า ไม่นะ” วินสะดุ้งตัวขึ้นมาจากที่นอน “อ๊ะ อ้าว นี่ชั้นกลับมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วแฟนท่อมละ มันอยู่ไหนแล้ว”
   คริสตัดสินใจโกหกวิน
   “อะไรกันนาย ตื่นแล้วก็เพ้อเลยเหรอ นายพอเลิกงานก็ออกไปเที่ยว เดินอีท่าไหนก็ไม่รู้จนหัวฟาดพื้นสลบ ชั้นเลยต้องแบกนายจนถึงคลังเนี่ย หมอตรวจนายแล้วเห็นว่าไม่เป็นไร ชั้นเลยพานายมานอนที่นี่แล้วหลับเป็นตาย พอตื่นมาก็เพ้อถึงแฟนท่อมเลย เป็นอะไรไป ฝันว่าเจอแฟนท่อมหรือไง”
   วินสบัดหัว พยายามเรียกความทรงจำตัวเอง
   “งั้นเหรอ ทั้งหมดแค่ฝันเหรอ... “
   “ไม่เชื่อลองถามเพื่อนคนอื่นดูสิ ทุกคนเป็นพยานได้ว่านายอยู่ทำงานตลอดนี่ละ”
   “ไม่สิ ไม่ใช่ ทั้งหมดนั่นมันดูสมจริง เกินกว่าจะเป็นความฝัน วันนั้นฉันพาผู้หญิงไป แต่ผู้หญิงกับกลายเป็นผู้ชาย กลับกลายเป็นตัวฉันเองอีกคน เอ ยังไง จริง ๆ มันคือแฟนท่อม ฉันถูกจับมัดหลับ ๆ ตื่น ๆ ถูกแก้ผ้า  โอ๊ย ยิ่งพูดยิ่งงง เอง หรือว่า ทั้งหมดนั่นแค่ฝันไป”
   “แหงละสิ นายมันคงเมายามั้ง ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
   ขอโทษนะวิน ให้เรื่องทั้งหมดเป็นแค่ความฝันเถอะ...
   “เปล่านา... หรือว่า จะเป็นแค่ฝันจริง ๆ งง เฟ้ย”
   “ใช่ ทั้งหมดมันแค่ความฝันแห่งความสุข น่าเศร้าที่แสนสั้น” คริสพูดประโยคนี้ขึ้นมา ไม่รู้ว่า เขาพูดให้วินหรือพูดให้กับตัวเองกันแน่...

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

บทที่ 9 – The memory was stay to torture people.
« ตอบ #9 เมื่อ: 28-08-2012 15:21:33 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Misiroseki.siro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
    • Misiroseki Siro's Facebook
บทที่ 10 – Prelude of the storm is a flash form the past.
«ตอบ #10 เมื่อ28-08-2012 15:22:17 »

บทที่ 10 – Prelude of the storm is a flash form the past.
รุ่งขึ้นมีประกาศจากราชวังแจ้งกำหนดการณ์งานฉลองครองราช 50 ปีของกษัตริย์ โดยพิธีจะมีขึ้น ณ.บริเวณสนามกลางของ อินแกรมโดยงานนี้ จะจัดอย่างยิ่งใหญ่ และมีการนำเครื่องราชภัณฑ์ที่เก็บรักษาไว้ในส่วนในสุดของคลังออกมาตั้งแสดงอีกด้วย ปรกติแล้วส่วนนี้ของคลังต้องมีทหารระดับหัวหน้ากององครักษณ์ , หัวหน้ากองรักษาการณ์, หัวหน้ากองทหารยามประจำคลังสามคน ไขกุญแจพร้อมกันถึงจะสามารถเปิดออกมาได้ ดังนั้นในส่วนนี้จึงเป็นส่วนลับสุดยอดจริง ๆ ที่แม้แต่จอมโจรคนไหนก็ไม่สามารถเข้าถึงได้ แต่ในงานนี้ เครื่องราชภัณฑ์ทั้งสามที่ถูกเก็บจะถูกนำมาจัดแสดงภายในงาน โดยมีการอารักขาจากทั้งสามหน่วยงานอย่างเคร่งครัด โดยทหารจากทั้งสามส่วนจะรักษาการณ์ ด้านนอก ส่วนกลาง และส่วนใน ตามลำดับ ความสำคัญ โดยในสุดติดกับบริเวณจัดเก็บราชภัณฑ์จะเป็นหน้าที่ของทหารกองอครักษณ์นำโดย หัวหน้ากอง โรฟท และ ส่วนบริเวณภายในงาน จะเป็นของกองทหารรักษาการณ์ นำโดยหัวหน้าอิริค และภายนอกโดยรวมทั้งหมด จะดูแลโดยหัวหน้ายามของคลังโดน่า นอกจากนั้นยังมีการขอความร่วมมือไปยังกองวิจัยและพัฒนาอาวุธให้ความร่วมมือส่งเครื่องตรวจดีเอนเอแบบให้ผลทันที ที่จะตรวจผลกับคลังข้อมูลของฝ่ายวิจัยฯ ที่สามารถทราบผลทันทีอีกด้วย เพื่อป้องกันแฟนท่อมปลอมแปลงตัวเข้ามา
วันนี้จึงมีการประชุมหัวหน้าทั้งสี่ฝ่าย ตอนนี้ในห้องประชุม โดน่า อิริค และโรฟท ได้เข้าประชุมกันพร้อมหน้าแล้ว เหลือแค่ หัวหน้าฝ่ายวิจัยฯ ที่ยังมาไม่ถึง ทั้งสามกำลังตกลงถึงรายละเอียดปลีกย่อยและการจัดการยามฉุกเฉินต่าง ๆ จริง ๆ คงต้องบอกว่า ทั้งอิริคและโดน่า นั่งฟังโรฟท อธิบายแผนของเขาให้ฟังมากกว่า เพราะตามยศแล้ว โรฟท์นั้นถือว่ามีอำนาจพอ ๆ กับระดับนายพลของกองทัพทีเดียว
“ในครั้งนี้นอกจากที่กล่าวมาทั้งหมด ผมอยากให้นายทหารทุกหน่วย ใช้ชุดของฝ่ายตัวเอง เพื่อแยกแยะหน่วยสังกัดได้ง่าย”
“แต่ท่านครับ ในกรณีแบบนี้ จะไม่เกิดการสับสนซ้ำซ้อนหรือครับ ผมว่าน่าจะใช้เครื่องแบบเหมือนกันหมดจะได้ไม่สับสน”
“ไม่หรอก ถ้าเป็นแบบนั้น จะยิ่งทำให้ถูกแทรกซึมได้ง่าย และตอนนี้ในบริเวณงาน ผมได้เช็คแพลนก่อสร้างเรียบร้อยแล้ว พยายามที่สุดที่จะไม่ให้มีมุมใดอับสายตา โดยทุกมุมทหารจะสามารถมองเห็นถึงกันได้โดยไม่ต้องเดินยาม เพื่อไม่ให้เกิดจุดบอด”
“ขออนุญาติครับ ขอโทษที่มาช้าไปหน่อย งานมันติดพัน”
คนที่เปิดประตูเข้ามาไม่ได้อยู่ในชุดทหาร แต่เป็นชุดกราวด์ของนักวิทยาศาสตร์ เป็นชายร่างสูง แก้มตอบ ใบหน้ายาว ไว้ผมยาวจนละเอว ผมข้างหน้าก็ถูกรวบขึ้นปัดไปข้างหลังแบบลวก ๆ คล้ายกับไม่ได้ตัดผมมาแรมปี
“อ้อ มาถึงแล้ว” โรฟท แนะนำ
“ขอแนะนำนี่คือศาสตราจารย์อิชน่า หัวหน้ากองแผนกวิจัยและพัฒนาอาวุธ”
“ยินดี่ที่ได้รู้จักครับท่าน” อิริคและโดน่ากล่าวพร้อมกัน
ปรกติแล้วคนระดับหัวหน้ากองมักจะเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ยกเว้นก็แต่แผนกวิจัยฯ ซึ่งหัวหน้ากองแทบไม่เคยโผล่หน้าไปตามงานสังคมเลย จริง ๆ ต้องพูดว่า แทบไม่เคยก้าวเท้าออกจากศูนย์แผนกวิจัยฯ เลยซะมากกว่า และแผนกนี้ถูกเก็บไว้เป็นความลับสูงสุด ระดับที่มีกองทหารรักษาการณ์ส่วนตัวด้วยซ้ำ
“ครับ ยินดี ยินดี ขอโทษทีนะครับที่ผมมาสภาพนี้ งานมันติดพันมากจนไม่มีเวลาเปลี่ยนชุดด้วยซ้ำ”
ไม่ต้องบอกก็รู้เพราะกลิ่นตัวที่โชยออกมานี่ ท่าทางทั่นจะไม่ได้อาบน้ำมาหลายวันด้วยซ้ำ
“เอาละครับ ผมขออนุญาตินำเสนอก่อน จะได้ขอตัวกลับไปทำงาน เอ้าเอาเครื่องเข้ามาได้”
พลทหารสองนายเดินรุนเครื่องจักรอันหนึ่งเข้ามาในห้อง ก่อนเดินออกไป ตัวเครื่องคล้าย ๆ กับแป้นที่มีลูกล้อ สูงประมาณเอว ตัวแป้นมีแค่แผงหน้าจอ ที่มีรูปมือปรากฎอยู่ตอนนี้ พร้อมคำอธิบายให้วางมือลงที่นี่
 “นี่ครับ นี่คือเครื่องตรวจดีเอ็นเอรุ่นล่าสุดที่พัฒนาโดยกองวิจัยฯ ของเรา เครื่องนี้แค่วางมือลงบนแป้นนี่ เครื่องจะจัดเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอจากผิวหนังเหงื่อที่มีอยู่ และจะประมวลผลส่งผลไปจัดเก็บหรือตรวจสอบดีเอ็นเอจากฐานข้อมูลหลักที่กองวิจัยฯ จะทราบผลได้ในแทบจะทันทีครับ รับรองว่าไม่มีใครปลอมตัวเข้าไปได้อย่างแน่นอน...”
“ยอดเยี่ยมมากครับด็อกเตอร์ ลองทดสอบดูหน่อยได้ไหมครับ”
“ได้สิครับ เอาใครดีละ อ้อ เออ ทหาร”
ด็อกเตอร์กวักมือเรียกทหารเดินสารที่ยืนประจำการอยู่ภายในห้องให้เข้ามา
“วางมือลงบนจอสิ นั่นละไม่ต้องสั่น ไม่เจ็บหรอกน่า ไอ้เครื่องแบบที่เจาะเลือดไปตรวจมันเชยไป 50 ปีแล้ว”
นายทหารวางมือลงบนหน้าจอ หน้าจอก็เปลี่ยนเป็น รอสักครู่ และแค่วินาทีถัดมา รูปภาพพร้อมชื่อตำแหน่งของทหารนายนั้นก็ปรากฎขึ้นมาบนหน้าจอแทน พร้อมแจ้งยืนยันถูกต้องเป็นสีเขียว นายทหารก็ถอยกลับไปยืนประจำจุด
“ขณะนี้เราไม่ได้เซ็ตข้อมูลของคนที่สามารถเข้าระบบได้ในวันนั้นที แต่รับรองว่าในวันงาน หากมีคนที่ไม่อยู่ในฐานข้อมูลที่ได้รับอนุญาติให้เข้างานได้ปลอมปนเข้าไป จะมีสัญญาณเตือนให้จับได้ในทันที ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วงครับ”
“เออ ขอโทษที ผมมารบกวนหรือเปล่าเนี่ย” อย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง ชายในชุดเครื่องราชเต็มยศคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง
นายทหารทั้งหมดตะเบ๊ะให้กับชายผู้นี้ทันที จะมีแต่ด็อกเตอร์อิชน่าเท่านั้นที่ถอยไปที่กำแพงพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย
“โอ๊ะ ท่านอัครเสนาบดี โบนิช ท่านไม่ได้แจ้งล่วงหน้าว่าจะมาครับ ผมจะได้เตรียมตัวต้อนรับ” โรฟท กล่าวอย่างแข็งขัน
“ไม่เป็นไร ๆ ผมแค่มาตรวจสอบความเรียบร้อยของงานราชพิธีเท่านั้นเอง ทุกอย่างคงเรียบร้อยดีสินะ”
“ครับ ทุกอย่างเป็นไปตามแผนครับ ผมเชื่อว่างานราชพิธีครั้งนี้จะต้องผ่านไปอย่างเรียบร้อยครับ”
“ดีมาก ๆ อ้อจริงสิทางราชวังได้รับไอ้นี่เมื่อเช้านี้” ว่าแล้วเขาก็โยนกระดาษใบนั้นลงบนโต๊ะ
กระดาษสีดำอักษรแดง หัวกระโหลกกวนส้น นามบัตรของแฟนท่อม! คราวนี้ข้อความเขียนไว้ว่า
คฑาที่อยู่ในพิธีคราวนี้สวยดีครับ ผมอยากจะขอเอาไปเชยชมหน่อย – ด้วยรัก Phantom -
“นี่มัน สารเตือน!!! ไอ้โจร 500 นี่ชักจะกำเริบใหญ่แล้ว ถึงขนาดกล้าส่งสารเตือนถึงราชวังว่าจะมาขโมยราชภัณฑ์คฑาทอง” โรฟทพูดอย่างฉุนเฉียว ยิ่งคดีเพรชแหน่งนาเบียยังไม่คืบหน้าไปอย่างที่ตั้งใจไว้ เขายิ่งโกรธจัด เพราะเหมือนแฟนท่อมจะพยายามหักหน้าเขาอย่างแรง
“ดีละ เพิ่มกำลังเป็นสองเท่า เกณฑ์ทุกหน่วย ทุกกะ เข้าทำงานในวันราชพิธี จะปล่อยให้มันเหิมเกริมไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
“ดีมาก ท่านหัวหน้าราชองครักษณ์ ยังไงต้องขอฝากด้วยละ” แล้วเขาก็หันไปมองที่ ด็อกเตอร์อิชน่า พร้อมทักขึ้น
“แหม ๆ หัวหน้ากองวิจัยฯ ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะครับ ไม่ทักทายกันเลย จริงสิเรื่องนั้นไปถึงไหนแล้วละครับ”
“อา อย่าถือโทษโกรธกันเลยท่านอัครเสนาบดี ผมมันคนไม่ค่อยรู้จักธรรมเนียมขุนน้ำขุนนายนะครับ ส่วนเรื่องที่ว่าถ้าเป็นเรื่องที่ผมกำลังคิดอยู่ตอนนี้ มันเกือบจะใช้งานได้แล้วละครับไม่ต้องกังวล”
“ดีจริง ๆ ผมคาดหวังกับท่านอยู่นะท่านหัวหน้ากองวิจัยฯ” แล้วโบนิชก็เดินออกไปพลางยกมือโบกโดยไม่ได้หันกลับมาเพื่อขอตัว
“ดีจริงที่เรารู้ตัวก่อน แบบนี้ต้องปรับแผนกันอีกหน่อย เพื่อรับมือไอ้เจ้าโจร 500 นี่ คราวนี้จะต้องจับมันให้ได้ !!! ทหาร”
“ครับผม” ทหารส่งสารตบเข้าขึ้นมาตะเบ๊ะรอคำสั่ง
“นำแปลนนี้ไปส่งที่ฝ่ายวิศวกรรม เน้นกับทางนั้นว่า ชั้นสั่งให้สร้างตามนี้เป๊ะ ๆ ห้ามใครแก้แบบโดยพลการเด็ดขาด”
“รับทราบครับ” แล้วนายทหารส่งสารก็นำแปลนวิ่งออกไปจากห้องประชุมทันที
“งั้นผมก็ต้องขอตัวเหมือนกัน มีงานวิจัยรออยู่นะ”
“อ้าวด็อกเตอร์อิชนาไม่อยู่ทานข้าวด้วยกันซักมื้อก่อนครับ”
“ไม่ละครับ ผมไม่ค่อยมีเวลานะครับ ต้องขอตัวก่อน” ว่าแล้ว ด็อกเตอร์ก็เดินออกไป ทิ้งให้นายทหารทั้งสามถกเถียงกันเรื่องแผนงานต่อไป


หลังจากเดินออกมาได้สักครู่ ด็อกเตอร์อิชน่าก็ได้รับสายด่วนจากห้องวิจัย
“ด็อกเตอร์ค่ะ กลับมาด่วนเลยค่ะ รหัสแดง DOP004 ค่ะ”
ด็อกเตอร์อิชน่าตาโตด้วยความตื่นเต้น
“จริง ๆ เรอะ ยืนยันเมื่อไหร่”
“สักครู่นี่เองค่ะ”
“ผมจะกลับไปเดี๋ยวนี้”
รถประจำตำแหน่งมาจอดข้างหน้าด็อกเตอร์ เขารีบพูด
“กลับห้องวิจัยเดี๋ยวนี้ เร็วที่สุด”
แล้วรถก็ห้อตะบึงออกไปอย่างรวดเร็ว จนเกือบชนกับรถมอเตอร์ไซด์ของนายทหารส่งสาร ที่มองรถของด็อกเตอร์จนลับตา ก่อนขับออกไปตรงไปที่กองวิศวกรรมเพื่อนำส่งแปลน แต่พอชับมาได้สักพัก พ้นบริเวณเขตทหาร เขาก็เลี้ยวรถเข้าไปในซอยเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่ไม่มีคน ก่อนหยิบแปลนออกจากกระบอกและเปิดออกดู ก่อนฮัมเพลงเบา ๆ และหยิบปากกาขึ้นมา ขีด ๆ เขียน ๆ อะไรบางอย่างลงในแปลน ก่อนที่จะนำกลับเข้าไปในกระบอกและขับตรงต่อไปยังกองวิศวกรรม
“หึหึ สนุกแน่ ๆ ขอบอก” ว่าแล้วเขาก็อัมเพลงไปเรื่อย ๆ ก่อนรถจะลับเข้าไปในกองวิศวกรรม

ณ.กองวิจัยฯ อาคารวิจัยหลัก ด็อกเตอร์อิชน่าเดินอย่างรีบเร่งเข้าสู่ส่วนในของอาคาร ที่เป็นหน่วยวิจัยลับขึ้นสูงสุด ที่นอกจากหน่วยวิจัยแล้วก็มีแต่นายทหารระดับสูงที่ได้รับอนุญาติเท่านั้นจะเข้ามาได้ เขาตรงไปยังห้องคอนโทรลรูมที่นักวิจัยของเขากำลังเดินกันให้ควัก พอเห็นเขา รองหัวหน้านักวิจัยหญิงก็รีบส่งแฟ้มข้อมูลให้กับเขาทันที
“นี่คะด็อกเตอร์ ข้อมูลเพิ่งแจ้งเตือนสักครู่นี่เองจู่ ๆ มันก็ปรากฎขึ้นมา ทำให้เราไม่ทันเตรียมตัว กำลัง back track ว่าสัญญาณข้อมูลถูกส่งมาจากที่ไหนค่ะ”
ด็อกเตอร์พลิกหน้ากระดาษพลางกรอกตาดูอย่างรวดเร็ว
“ไม่อยากเชื่อเลย ไม่ใช่สัญญาณลวงด้วย ตลอดสิบปี้นี้ชั้นคิดว่า DOP004 ถูก delete ไปแล้วตลอดมา ไม่อยากเชื่อเลยจริง ๆ”
“กระบวนการ back track เสร็จแล้วค่ะ”
“เอาขึ้นจอเลย”
“ค่ะ”
“นี่มัน !?” ด็อกเตอร์มองที่จอภาพอย่างประหลาดใจ ก่อนหัวเราะอย่างเมามัน
“อ๊ะ อ๋อ................อย่างนี้นี่เอง มิน่าละ มิน่าละ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ น่าสนุกจริง ๆ “
นักวิจัยคนอื่นได้แต่มองหัวหน้าตนอย่างงงงัน...นี่ถ้ามีฟ้าผ่าลงมาตอนนี้ หัวหน้าของพวกเขายังกับด็อกเตอร์แฟรงเกนท์สไตน์ที่ปลุกผีดิบขึ้นมาสำเร็จยังไงยังงั้นเลย
เย็นวันนั้นเองเขาก็เปิดประตูห้องในหอพักทหารออก ทั้งยังฮัมเพลงอย่างมีความสุข ร่างของเขาอีกคนนอนสลบไสลเปลือยเปล่าอยู่บนเตียงในห้อง
“เฮ้อ วันรุ่งขึ้นยังมีเวรแท้ ๆ ไม่น่าดื่มหนักเลยนี่หน่า” แฟนท่อมยิ้มให้กับร่างที่นอนหลับอยู่ แน่นอนว่าไม่ตื่นง่าย ๆ หรอก เพราะเขาจัดยานอนหลับอย่างแรงให้ตั้งแต่เมื่อคืนวาน หลังจากเขาถูกนายทหารคนนี้หิ้วกลับมาที่ห้อง ในสภาพเด็กชาย เขาก็ป้อนเหล้าผสมยาแบบจัดหนักให้กับนายทหารคนนี้จนหลับไม่ได้สติจนถึงป่านนี้ เขาจะได้ไปทำงานแทนให้หนึ่งวันไงละ คุณทหารโชตะค่อน
“กว่าจะตื่นก็คงพรุ่งนี้เช้า คงงงน่าดูละมั้งที่จู่ ๆ วันหายไปวันหนึ่งเต็ม ๆ ฮ่า ๆ ๆ “
เขาพูดพลางถอดชุดฟอรม์ออกและพับเก็บไว้เข้าที่เป็นอย่างดี เพราะไม่อยากให้ผิดสังเกตุ
แล้วเขาก็เข้าไปจูบแก้มส่งลา ก่อนใส่ชุดที่เขาเตรียมเอาไว้ก่อนล็อคและออกจากห้องไป
“เฮ้อ ดูท่าทางงานนี้คงมันส์พิลึกละนะ”

ออฟไลน์ Misiroseki.siro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
    • Misiroseki Siro's Facebook
บทที่ 11 – the moment of chaos in the tide of firestorm
«ตอบ #11 เมื่อ28-08-2012 15:22:58 »

บทที่ 11 – the moment of chaos in the tide of firestorm
หนึ่งวันก่อนราชพิธี เครื่องราชภัณฑ์ทั้งสามได้ถูกเคลื่อนย้ายออกจากคลังมาสู่บริเวณงานกายใต้การอารักขาสูงสุดจากกองทัพ มีทั้งรถหุ้มเกราะ และรถถัง ทั้งทหารอีกทั้งกอง อารักขาการเคลื่อนย้ายตลอดทั้งเส้นทาง ถนนถูกปิดชั่วคราวระหว่างการขนย้าย เรียกได้ว่าเป็นขบวนเกราะเหล็กเคลื่อนที่เลยทีเดียว เมื่อถึงบริเวณพิธี เครื่องราชภัณฑ์ทั้งสามต่างถูกนำไปจัดเก็บในโคมแก้วที่มีระบบการป้องกันชั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นสวิทแรงดัน ไฟฟ้าที่ครอบแก้ว หรือแม้กระทั่งข่ายอินฟราเรทล้อมบริเวณตั้งแสดงไว้ทั้งหมด แถมด้วยนายทหารรักษาพระองค์อีกแปดนายที่จะยืนคุมแต่ละมุมห้อง ทำหน้าที่จับตามองทุกมุมของห้องอย่างไม่มีจุดบอด ทุกนายมีหน้ากากกันแก๊สกรณีมีการใช้แก๊ส เรียกว่าเตรียมตัวพร้อมสรรพ
โดยรอบมีการกั้นด่านตรวจสอบการผ่านเข้าออก รวมถึงการผ่านเข้ามาต้องมีการตรวจดีเอ็นเออีกด้วย
คืนวันนั้นเอง
หัวหน้าหน่วยทั้งสามคนต่างมองดูการป้องกันอย่างกำแพงเหล็กด้วยความชื่นมื่น
“ผมเชื่อว่าถ้ามันจะลงมือคงต้องเป็นคืนนี้อย่างแน่นอน” โรฟท พูด
“เป็นไปได้ครับ” อิริคเสริม “เพราะพรุ่งนี้ถ้าพระราชพิธีเริ่มแล้ว การอารักขาจะเพิ่มขึ้นกว่าเดิมอีก ถ้าเป็นคืนนี้มันยังมีโอกาศ”
“แต่คงเกือบเป็นศูนย์ละ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” การควบคุมครั้งนี้ของเราดุจกำแพงเหล็ก มันจะเอาร่างเนื้อมากระแทก ก็ลองดู ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
หัวหน้าโดน่าได้แต่ยิ้ม จากประสบการณ์ของเขา อะไรก็เกิดขึ้นได้จึงไม่ต้องการให้ใครประมาท เขาขอตัวเดินไปตรวจลูกน้องที่ประจำการอยู่โดยรอบ ที่หน้าประตูนั่นเอง คริสและวินประจำการอยู่ตรงนี้ เขาวันทยาวุธให้กับหัวหน้ากอง
“ทุกอย่างเรียบร้อยนะ”
“ครับผม เหตุการณ์ปรกติครับ” วินตอบกลับไป
“แฟนท่อมจะมาจริง ๆ หรือครับหัวหน้าโดน่า” คริสถาม
“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ เพราะราชวังได้รับสารเตือนของแฟนท่อม และถ้าจะลงมือคืนนี้ย่อมเป็นโอกาศดีที่สุด ขอให้ทุกคนหูไวตาไวเข้าไว้ มีอะไรผิดปรกติสักนิด ให้แจ้งทันทีอย่าได้รอช้า”
“ครับผม” ทั้งสองคนขานรับก่อนที่โดน่าจะเดินตรวจต่อไปรอบ ๆ
“แฟนท่อม นายจะมาจริง ๆ หรือ” คริสพูดกับตัวเอง แต่วินเข้าใจว่า คริสพูดกับเขา
“ก็น่าจะมานี่ ในเมื่อส่งสารเตือนมาแล้ว”
“นั่นละที่แปลก ชั้นไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าแฟนท่อมส่งสารเตือนก่อนขโมย มีแต่โจรอีเดียดหลงยุคที่คิดว่าตัวเองยังเป็นลูแปงค์เท่านั้นละที่จะทำอะไรบ้า ๆ แบบนี้ ส่งแล้วการป้องกันจะหนาแน่นขึ้น แล้วจะส่งให้ได้อะไรขึ้นมา เท่าที่ชั้นรู้จัก แฟนท่อมไม่เคยทำอะไรไร้สาระแบบนี้หรอก”
“อาจจะอยากเท่ห์มั้ง ใครจะไปรู้ละ หรืออยากดังมากขึ้น” วินตอบส่ง ๆ ไปพร้อมแบมือเหมือนยอมรับว่าไม่รู้
“ชั้นสงสัยว่า อาจจะมีอะไรร้ายแรงกว่าการขโมยของแฟนท่อมเกิดขึ้นนะสิ”
“คิดมากนา จะมีอะไรไปได้เล่า”
แล้วก็ผ่านเวลาเที่ยงคืนไป แต่ทหารทุกหน่วยยังเฝ้ายามอย่างแข็งขัน ทันใดนั้นเองก็มีเสียงระเบิดดังขึ้น แล้วไฟของทั้งบริเวณก็ดับลง
“มีคนวินาศกรรมหม้อแปลง!!!”
“ทหารทุกหน่วยประจำจุดของตนไว้ อย่าได้เคลื่อนไหว” โรฟทประกาศกร้าวจากเต้นท์บัญชาการ
“รีบเดินไฟสำรองเร็วเข้า เครื่องราชภัณฑ์ยังปลอดภัยหรือเปล่า” ว่าแล้วโรฟท อิรค และโดน่า ทั้งสามคนต่างมุ่งไปยังห้องเก็บราชภัณฑ์ทันที
ในห้องราชภัณฑ์ ทุกอย่างยังคงอยู่อย่างเรียบร้อย นายทหารทั้ง 8 นายต่างรายงานสถานะการณ์ปรกติ ถึงไฟดับไปครู่หนึ่งแต่ไม่มีการเคลื่อนไหวผิดปรกติอะไรที่เครื่องราชภัณฑ์
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ทำได้แค่นี้เหรอไอ้โจร 500 คงหมดหนทางแล้วละสิ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” โรฟทหัวเราะอย่างสะใจ
ทันใดนั้นก็มีเสียงเอะอะโวยวายจากข้างนอกทั้งสองชั้น
“เฮ้ยแกเป็นใคร ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
โรฟทได้แต่เกาหัวแกรก
“นี่มันอะไรกันอีกเฟ้ย”


ทั้งสามคนรีบเดินออกมาด้านนอกทันที และที่ชั้นสองที่เป็นที่รักษาการของนายทหารรักษาการณ์ เห็นนายทหารกำลังรุมล้อมอยู่ อิริคจึงเดินเข้าไปถาม
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
“หัวหน้าอิริคครับ หลังจากไฟติด เราพบชายคนนี้ครับ ทำท่าเหมือนคลานกำลังจะลุกขึ้นมาอยู่ ตอนแรกเราเห็นชุดนายทหารรักษาการณ์ คิดว่าเป็นพวกเราถูกเล่นงาน แต่เราไม่เคยเห็นหน้าชายคนนี้มาก่อนครับ คาดว่าต้องเป็นแฟนท่อมอย่างแน่นอน
แล้วทั้งสามก็แหวกเข้าไปดูชายคนนั้น ที่ยังทำท่ามึน ๆ อยู่
“เฮ้ย จิม! แกมาทำอะไรที่นี่ แล้วชุดนั่น”
จิมสบัดหัวไปมาจนเห็นหัวหน้าของตัวเองยืนอยู่ จึงรีบลุกขึ้นทำความเคารพ
“แกมาอยู่ที่นี่ได้ไง ไม่ใช่ว่าแกต้องเข้าเวรถัดไปเหรอ” โดน่าถาม
“ผมเองก็ไม่ทราบครับ ผมนอน ๆ อยู่จู่ ๆ ก็มีคนเอาอะไรไม่รู้มาอุดปาก แล้วผมรู้ตัวอีกทีก็มานอนกองอยู่ตรงนี้แล้วครับ”
“แล้วแกเอาชุดนี่มาจากไหน”
จิมก้มลงมองตัวเอง
“เฮ้ย นี่มาอยู่ในชุดนี้ได้ไงฟ่ะ”
โดน่าได้แต่สายหน้า อิริคจึงสั่งการให้คุมตัวจิมเอาไว้ก่อน แล้วให้เดินตามมา แล้วทั้งสามก็เดินออกมาด้านนอกสุดที่ดูเหมือนจะเกิดความวุ่นวายเหมือนกัน
โดน่าเดินเข้าไปถามลูกน้องของเขา
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ”
วินหันกลับมาตอบ
“พอไฟติดหน่วยของเราด้านหลังพบชายคนนี้นอนสลบอยู่ครับ เขาอยู่ในชุดของทหารยามคลัง ตอนแรกเราคิดว่าถูกเล่นเงานแล้ว แต่พอพลิกตัวขึ้นมา กลายเป็นว่าเราไม่เคยเห็นหน้าคน ๆ นี้มาก่อนครับ”
“อ๊ะอีกแล้วเหรอ” โดน่า ชักประติดประต่อเรื่องได้ “ท่านอิริค เชิญทางนี้หน่อยครับ”
อิริคเดินเข้ามา แล้วเขาก็เห็นหน้าชายที่นอนสลบอยู่
“หา นี่มัน ดีฟ หนึ่งในทหารรักษาการ ไหงมานอนสลบในชุดของทหารยามคลังได้ละ”
“ผมว่าชักประติดประต่อเรื่องได้แล้วครับ ขอเช็คอีกทีเพื่อความแน่ใจ ขอเครื่องตรวจดีเอ็นเอหน่อย”
แล้วทั้งสองคนก็ถูกตรวจสอบดีเอ็นเอ ซึ่งทั้งสองต่างให้ผลบวกอย่างถูกต้อง
“แย่แล้วครับ อย่างที่ผมกลัวเลย นี่มันแผนล่อเสือออกจากถ้ำ รีบกลับไปยังที่เก็บราชภัณฑ์ด่วนเลยครับ”
ระหว่างที่วิ่งเข้าไป โดน่าที่เข้าถึงเรื่องได้ก็อธิบายเพิ่มเติม
“ทหารของเราถูกเล่นงานด้วยยาสลบ แล้วเจ้าแฟนท่อมก็จับทั้งสองคนสลับชุดกัน แล้วเอามาปล่อยไว้ที่คนละหน่วยเพื่อให้จำหน้ากันไม่ได้ จะได้ทำให้ความสนใจของพวกเราไปอยู่ที่การตรวจสอบคนของเราเอง ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันมีเวทย์มนต์อะไรที่จับเอาทหารมาไว้ในบริเวณพิธีได้ แต่ว่าประเมินดูแล้ว แน่นอนว่ามันต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของเรานั่นเองครับ”
แน่ยิ่งกว่าแช่แป้ง แฟนท่อมซึ่งปลอมเป็นนายทหารอีกคนหนึ่งของหน่วยองครักษณ์ อาศัยจังหวะไฟดับเล่นงานทหารองครักษณ์ที่เฝ้าห้องอยู่คนหนึ่งและเปลี่ยนตัวกัน ชุดที่ใส่เขาก็ได้มาจากนายทหารที่นอนสลบอยู่ในเต้นท์ของราชองครักษณ์ที่รอเปลี่ยนกะนั่นละ และก็ไม่ใช่เวทย์มนต์อะไรเลย เขาแค่แก้แปลนเล็กน้อย ให้มีประตูซ่อมบำรุงเพิ่มขึ้นตามจุดต่าง ๆ และใต้บริเวณพิธีนี้ข้างล่างมักจะยกพื้นสูงนิดหน่อยเพื่อเดินไฟและง่ายต่อการซ่อมแซมอยู่แล้ว เขาจึงเหมือนมีประตูลัดไปที่ไหนก็ได้กระจายอยู่ทั่ว รวมถึงห้องเก็บราชภัณฑ์ด้วย เขาก็วางประตูไว้ตรงกับยามที่ต้องยืนเฝ้านั่นเอง ระหว่างยืนเฝ้านั้นเขาก็ค่อย ๆ ปล่อยแก๊สสลบออกมาจากกระเป๋า เนื่องจากห้องมันใหญ่เลยต้องใช้เวลาหน่อย แต่แก๊สไม่มีสีไม่มีกลิ่น กว่าคนอื่น ๆ จะรู้ตัว ต่างก็โดนพิษแก๊สจนลงไปนอนกองกันหมดแล้ว ใครเขาจะใช้แต่มุขเดิม ๆ เล่า =D
ตอนที่เขาปีนไปบนครอบแก้วนั่นเอง ที่นายทหารทั้งสามคนก็กลับเข้ามา ทั้งสามคนเห็นทหารยามนอนสลบต่างเอาผ้าขึ้นมาปิดจมูก
“ไอ้แฟนท่อม”
“สวัสดีครับ ท่านโรฟท ท่านอิริค และท่านโดน่า รู้สึกตัวเร็วจังครับ เร็วกว่าที่ผมคาดไว้ตั้ง 3 นาทีแนะ นี่คงเป็นฝืมือของคุณสินะครับ ท่านโดน่า”
“มอบตัวซะดี ๆ แฟนท่อม นายจะหนีไปไหนพ้น ตอนนี้บริเวณนี้ถูกล้อมไว้หมดแล้ว”
“เฮ้อ ผมเข้ามาได้ก็ต้องออกไปได้สิครับ” ว่าแล้วแฟนท่อมก็เปิดครอบแก้วออกแล้วก็หยิบเอาคฑาไปอย่างง่ายดาย
“ทำไม ทำไม สัญญาต่าง ๆ รวมถึงกับดักไฟฟ้าแรงสูงที่อยู่ที่สวิทแรงดันถึงไม่ทำงาน ทั้ง ๆ ที่มันควรเผาแกเป็นถ่านแล้วแท้ ๆ”
“โหย น่ากลัวจังครับ” แฟนท่อมเอาคฑาเคาะกับบ่าพลางนั่งคู้เข่าแบบกวน ๆ
“แต่ท่านลืมอะไรไปหรือเปล่าครับ ตอนนี้นะ กำลังใช้ไฟฟ้าสำรองอยู่ =D ซึ่งถึงแม้มันอาจจะพอเลี้ยงระบบเตือนภัย แต่คงไม่มีทางพอเลี้ยงระบบกับดักไฟฟ้าแรงสูงหรอกครับ” และที่เขาไม่ได้บอกอีกคือ เขาจัดการตัดสายระบบต่าง ๆ เผื่อเอาไว้เรียบร้อยโรงเรียนแฟนท่อมแล้ว
“ไอ้ ไอ้ ไอ้ โจร 500!!!” แน่นอนว่าจะเป็นใครไม่ได้นอกจากโรฟท
“ทุกคนรุมจับมัน”
“โหยน่ากลัวจัง ว่าแล้วเขาก็เอาคฑาพาดหลัง และเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋า ทันใดนั้น
บรึม ตูม ฟูม เสียงระเบิดดังไปทั่วทั้งบริเวณพิธี ทั้งบริเวณสั่นไปด้วยแรงระเบิดอย่างต่อเนื่อง ไฟลุกท่วมทั้งบริเวณอย่างรวดเร็ว รวมถึงในห้องเก็บราชภัณฑ์ด้วย แรงระเบิดกระแทกให้แฟนท่อมกระเด็นไปติดฝา นายทหารหลายคนบาดเจ็บสาหัส ท่ามกลางเปลวไฟ แฟนท่อมรู้สึกตัวลุกขึ้นมา แม้จะรู้สึกจุกจากการระเบิด เมื่อมองไปรอบ ๆ เห็นทหารบาดเจ็บล้มตายไปทั่วทั้งห้อง และบริเวณรอบ ๆ ต่างลุกเป็นไฟ โรฟท แม้บาดเจ็บแต่ก็พยายามช่วยเหลือลูกนอ้งของตนที่นอนเสียชีวิตไปแล้ว ส่วนอิริค ถูกแรงระเบิดอัดจนเสียชีวิตคาที่ ส่วนโดน่าก็มีแผลฉกรรณจนลุกไม่ขึ้น
โรฟทหันมามองที่แฟนท่อมด้วยสายตาเคียดแค้น
“แก ไอ้แฟนท่อม!!! แกถึงกับวางระเบิดฆ่าทหารเป็นเบือเพื่อของแค่นี้เหรอ” แม้บาดเจ็บโรฟท ก็วิ่งเข้าใส่แฟนท่อมอย่างบ้าเลือด เขาวิ่งเข้ามาคว้าคอของแฟนท่อมไว้
“แก ตายยยยยยยย!!!!” แฟนท่อมพยายามปฎิเสธ ทั้ง ๆ ถูกมือเค้นคอจนกระดูกเริ่มลั่นดังกร๊อบ
“ผ ผ ผ ผม เปล่า”
“ไม่ต้องมาแก้ตัวววววววววว แกต้องชดใช้ชีวิตแกกกกกกกก”
เขาถูกบีบคอจนลมหายใจเริ่มขาดห้วง จนสติกำลังจะหายไปแล้ว...
ปุ
เสียงเล็ก ๆ ดังขึ้น ใบหน้าของโรฟทหงายหลังลงไปเล็กน้อย กลางหน้าผากมีรูกลวง ๆ โผล่ออกมาและฟุ่บ หัวกระโหลกด้านหลังของโรฟท แตกออก ส่งมันสมองกระจัดกระจายไปทั่ว ก่อนทรุดตัวลงและคลายมือออกจากคอของแฟนท่อม แฟนท่อมได้แต่มองอย่างไม่เข้าใจ และเขาก็หันกลับไปมองไปไกลในความมืดห่างจากบริเวณพิธี บนเนินนั่นมีชายกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ จากที่นี่เห็นแค่เป็นเงาเท่านั้น ทำให้แฟนท่อมเข้าใจเรื่องเกือบทั้งหมดทันที เขาตรงไปที่โดน่า พยุงโดน่าออกมาตามทาง ระหว่างนั้นเขาก็พูดอะไรบางอย่างกับโดน่า มีหลายครั้งเขาต้องหลบจากกำแพงที่ติดไฟที่กำลังถล่มลงมา จนเกือบตายไปพร้อมกัน จนในที่สุดเขาก็พาโดน่าออกมาจากกองเพลิงได้ เขาเห็นคริสกำลังช่วยลากคนบาดเจ็บออกจากกองเพลิง เขาดีใจที่คริสไม่เป็นอะไรเลย คริสเห็นแฟนท่อมลากโดน่าออกมา ก็รีบตรงเข้ามาช่วยโดน่าทันที โดน่าสลบไปแล้วเพราะเสียเลือดมาก คริสตั้งใจจะถามแฟนท่อมว่าเกิดอะไรขึ้นกับโดน่า แล้วเขาก็สังเกตุเห็นคฑาทองโผล่ออกมาจากหลังของแฟนท่อม เขาจึงเข้าใจได้ในทันที
   “แฟนท่อมเหรอ?”
   “อืม”
   “นายเป็นคนทำทั้งหมดนี่เหรอ” สายตาที่คริสจ้องมองยังแฟนท่อมเต็มไปด้วยความสงสัยระคนรักและเจ็บแค้น
   “... เปล่า ผมไม่ได้ทำ โปรดเชื่อผม ผมไม่ฆ่าคน ไม่เคยคิดแม้สักนิดว่าจะฆ่าใคร...”
   คริสมองตาแฟนท่อม สายตาที่ไม่เคยเปลี่ยนไม่ว่าจะอยู่ในร่างไหน
   “ผมเชื่อนาย...” แฟนท่อมมองตาของคริส เขารู้ว่าคริสพูดอย่างจริงใจ สายตาของคริสแทนคำพูดมากมาย แค่คำพูดนี้ก็ทำให้แฟนท่อมมีความสุขที่สุดในชีวิตแล้ว คุณอาจจะไม่เข้าใจ การที่มีใครสักคนเชื่อมั่นในตัวคุณอย่างสุดในเวลาที่คุณต้องการที่สุดมันมีค่าแค่ไหน
   “ผมต้องไปจบเรื่องนี้...  คริส คุณรออยู่ที่นี่ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อย่าตามผมไปเด็ดขาด”
   “แต่ว่าคุณบาดเจ็บ” เขาเพิ่งสังเกตุเห็นที่หลังของแฟนท่อมมีเลือดซึมออกมา...
   “ไม่เป็นไรครับ ผมขอไปสะสางเรื่องนี้ก่อน แล้วเราค่อยเจอกันอีก”
   แล้วแฟนท่อมก็ประคองตัวเองเดินไปที่กลุ่มคนที่เขาเห็นจากห้องเก็บราชภัณฑ์ ทิ้งความวุ่นวายและเปลวเพลิงไว้เบื้องหลัง

ออฟไลน์ Misiroseki.siro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
    • Misiroseki Siro's Facebook
บทที่ 12 – The Truth that knocking at the door
«ตอบ #12 เมื่อ28-08-2012 15:23:38 »

บทที่ 12 – The Truth that knocking at the door
แฟนท่อมลากร่างของตัวเองเดินไปหากลุ่มคนกลุ่มนั้น และเขาก็พบ ชายหน้าบาก ซ้ายขวาของเขามีชายในชุดทหารยืนประกบอยู่ หนึ่งในนั้นถือปืนไรเฟิลที่ควันยังคงกรุ่น ๆ อยู่ และแล้วเขาก็ทักทายนายจ้างของเขา
“สวัสดีครับ คุณโบนิช อครเสนาบดีโบนิช ผู้ว่าจ้างคนดีของผม”
ชายหน้าบากเลิกตาสูงขึ้นเล็กน้อยอย่างแปลกใจ ก่อนยิ้ม และเดินออกมาสู่แสงไฟจากกองเพลิง ขณะนี้เขาอยู่ในชุดทหารประดับยศเต็มที่ ถูกต้องแล้วเขาคือ อครเสนาบดีโบนิช คนเดียวกับที่เข้าประขุมเตรียมการนั่นเอง
“ยอดมากแฟนท่อม แกนี่มีอะไรให้ชั้นแปลกใจเสมอจริง ๆ ชั้นนะชื่นชมแกจริง ๆ นะ ไม่คิดเลยว่าแกจะรู้ตัวจริงของชั้นด้วย จริง ๆ ก็ไม่ได้ตั้งใจปิดบังอะไรหรอกนะ แต่กฎของมืออาชีพนี่ที่ไม่ถามซอกแซก”
“ใช่ครับ แฮก เฮ้อ- จริง ๆ ผมน่าจะรู้ความจริงเร็วกว่านี้ จะได้ป้องกันเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี่”
“ความจริง?”
“ใช่ครับ ความจริง”
แฟนท่อมจ้องหน้าของโบนิช โบนิชเองก็ยิ้มพรายเหมือนอยากจะรู้ว่าแฟนท่อมรู้อะไรบ้าง
“คุณคืออัครเสนาบดี แต่ขณะเดียวกัน คุณคือผู้สืบเชื้อสายของกษัตรย์ นาเบีย ที่คิดกันว่าสาบสูญไปแล้ว!!!”
โบนิชอ้าปากอย่างประหลาดใจ ก่อนจะปรบมือให้ ขณะเดียวกันแฟนท่อมก็โค้งตัวรับคำชม
“ยอดมาก ยอดมากจริง ๆ นะ ไม่คิดเลยว่าแค่ขโมยอย่างแกจะประติดประต่อเรื่องได้ถึงขนาดนี้”
“ผมขอตัวนั่งหน่อยนะ ชักเหนื่อยแล้ว”
“เอาสิ เชิญ ๆ ไม่ต้องเกรงใจ”
“หึหึ” แล้วแฟนท่อมก็ทรุดตัวลงนั่งด้วยความเหนื่อยอ่อน แผลที่หลังชักเริ่มทำพิษแล้ว แล้วแฟนท่อมก็เริ่มเล่าต่อ
“นอกจากนั้น คุณก็วางแผนทำรัฐประหารในเร็ว ๆ นี้ การที่คุณปลอมนามบัตรของผมส่งให้กับทางราชวัง เพื่อล่อให้ทหารส่วนใหญ่ต้องมาประจำการที่นี่ แล้วคุณจะได้วางระเบิดกำจัดเหล่าทหารผู้ภักดีซะให้หมด ทั้งทหารองครักษณ์ ทั้งทหารรักษาการราชวัง รวมถึงหน่วยคลังอีกด้วย...”
“ยอดมาก แกเดาถูกเกือบ 95 เปอร์เซนต์เลยนะเนี่ย”
“เสียดายที่ผมเดาถูกช้าเกินไป ผมมองข้ามอะไรหลาย ๆ อย่างไปจนนาทีสุดท้ายแล้ว คงเพราะสมองผมช่วงนี้ถูกอารมณ์เล่นงานซะย่ำแย่ ไม่งั้นตั้งแต่คุณ จ้างผมครั้งที่สองให้ขโมยคฑาทองคำ ที่เป็นราชภัณฑ์เดียวของวงศ์กษัตริย์นาเบียเดิม ผมก็ควรเอะใจแล้ว” แล้วแฟนท่อมก็ถอนหายใจ
“ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่คุณนำนามบัตรของผมเข้ามามอบให้กับหัวหน้าทั้งสาม ผมก็ยิ่งควรจะรู้ตัวทันทีว่ามันเป็นกับดักแบบไหน แต่ผมดันมัวโง่หลงมัวเมาอยู่กับแผนการขโมยที่แยบยลของผม...”
แฟนท่อมหันไปมองยังกองเพลิง
“เพราะผมถึงมีคนตายมากมายโดยที่ควรจะป้องกันไว้ได้”
โบนิชมองชมไปยังกองเพลิงเช่นกัน ก่อนพูด
“ยังไงซะแกก็เป็นแค่ขโมย.... ไม่ใช่วีระบุรุษ....”
“นั่นสิ” แล้วแฟนท่อมก็โยนคฑาทองคำให้กับโบนิช สมุนคนหนึ่งของเขาเก็บขึ้นมา
“อ้าว ชั้นคิดว่านายจะเก็บคฑาแล้ววิ่งหนีซะอีก จะได้ป้องกันแผนต่อไปของชั้นได้... “
“เฮ้อ ขืนแบกของหนัก ๆ แบบนั้นวิ่งหนี ผมก็เป็นเป้าของปืนไรเฟิลกระบอกนั้นนะสิ เหมือนที่ผมถูกเล็งตลอด ถ้าผมไม่เดินมาทางนี้คงถูกส่องเก็บไปแล้ว”
“ฮ่า ๆ ๆ ยอดจริง ๆ นะแกนี่ ทั้งหัวคิด ทั้งความสามารถ ชั้นขอเสนอเงื่อนไขนี้ให้แกเป็นพิเศษ.... จงมาเป็นพวกชั้นซะ แล้วต่อไปแกไม่ต้องไปขโมยอะไรอีกแล้ว แค่ทำงานให้ชั้น ชั้นจะให้แกเป็นมือขวาเลย ทั้งมันสมองของแก ทั้งความสามารถ พูดตรง ๆ นะชั้นเสียดายนะหากแกปฎิเสธ”
“ฟู่” แฟนท่อมถอนหายใจออกมา “แหมเป็นข้อเสนอที่ปฎิเสธได้ยากด้วยสิ... ท่าทางถ้าชั้นปฎิเสธไป งานนี้คงไม่รอดไปจากนี่แน่ใช่ไหมละ
“ไม่เห็นแกจะต้องถามนี่” โบนิชตอบยิ้ม ๆ
“รู้ไหมคุณโบนิช นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่คุณเบี้ยวผมนะ ผมอุตสาห์บอกแล้วว่าให้คุณตรงไปตรงมา ทั้ง ๆ ที่ผมตรงไปตรงมากับคุณแท้ ๆ แล้วจะให้ผมเชื่อใจทำงานกับคุณได้ไงละ วันหน้าคุณก็เบี้ยวผมอีกละ”
“ฮ่า ๆ ๆ นั่นสินะ... งั้นคำตอบคงเป็นปฎิเสธสินะ” ทหารทั้งสองข้างชัดปืนพกออกมา และปลดสลัก...
“เฮ้อ ผู้กล้าจะตอบตกลงตอนจอมมารถามว่ามาร่วมมือกันแล้วแบ่งโลกคนละครึ่งไหมละครับ”
“ฮ่า ๆ ๆ นั่นสินะ..” แล้วโบนิชก็หันหลังเดินจากไปพร้อมกับคฑาทอง
“คุณโบนิช” แฟนท่อมพูดต่อ
“ก็อย่างที่คุณรู้ละนะ ผมไม่ใช่ผู้กล้า แต่เป็นโจร!!!” ว่าแล้วแฟนท่อมก็โยนระเบิดควันที่เตรียมไว้ใช้ในห้องราชภัณฑ์สำหรับหลบหนีลงบนพื้น พริบตาเดียวทั่วทั้งบริเวณก็เต็มไปด้วยควัน ทหารทั้งสองคนกระหน่ำกระสุนไปยังจุดที่แฟนท่อมนั่งอยู่ในทันที แต่แฟนท่อมอาศัยจังหวะนั้นกลิ้งหลบไปแล้ว
ฟุบ กระสุนนัดหนึ่ง ยิงถูกแขนของแฟนท่อมก่อนที่เขาจะกระโจนเข้าไปยังกลุ่มควัน กระสุนนัดนั้นดูเหมือนว่าไม่ได้ยิงมาจากทหารทั้งสองคน แต่มีชายอีกคนหนึ่งยืนอยู่ใต้เงามืดของต้นไม้...
“นายก็มาด้วย?”  โบนิชถามคนที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้
“ก็แค่ไม่อยากพลาดดอกไม้ไฟนะ....”
“ทุกอย่างเป็นไปตามกำหนดการณ์ไหม”
“หึหึ อาจจะดีกว่าที่กำหนดไว้ก็ได้” แล้วเขาก็จุดบุหรี่ขึ้นสูบ แสงไฟเผยหน้าตอบในแว่นตาเล็ก ดร.อิชน่า สูดเอาควันเข้าไปก่อนหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอีกครั้งจนสำลักควันบุหรี่ของตัวเอง โบนิชได้แต่ส่ายหน้า เขาไม่เคยเข้าใจชายคนนี่เลยจริง ๆ นอกจากความบ้าในวิทยาศาตร์อย่างเข้าเส้นของชายคนนี้ที่จะทำประโยชน์ให้กับเขาเร็ว ๆ นี้แล้ว

แฟนท่อมพาตัวเองหลบกระสุนที่ถูกกราดยิงจากทหารทั้งสองคน แล้วกระสุนลูกหลงลูกหนึ่งก็เจาะเข้าที่ขาของเขาจนทรุด แฟนท่อมได้แต่คิดกับตัวเอง เฮ้อ เราต้องมาจบแบบนี้แล้วเหรอเนี่ย ถ้างั้นสวรรค์ครับ ช่วยส่งนางฟ้ามารับตัวผมด้วยนะคร๊าบบบ แล้วเขาก็หัวเราะความคิดตัวเอง คนเอย่างเขานี่นะจะไปสวรรค์ ประตูนรกละมั้งที่เปิดรอ ทันทีนั้นเอง เขาก็ถูกตระครุบตัวลากไปเรื่อย ๆ ในกลุ่มควัน เขามองขึ้นไป คริสนั่นเอง!
“คริส ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่ได้”
“ผมจะปล่อยนายไปได้ไงเล่า เห็นนายบาดเจ็บขนาดนั้นยังพยายามลากสังขารไปอีก เดี๋ยวก็ตายกลางทางพอดี”
“งั้นคุณก็ได้ยินทุกอย่างหมดแล้ว”
“อืม... ไม่คิดเลยว่าแผนการณ์ทั้งหมดนั่นจะเป็นเรื่องจริง”
“แต่มันก็เป็นความจริงครับ”
“อืม... เอานะทนอีกนิดฉันจะแบกนายเอง มีหน่วยพยาบาลอยู่เดี๋ยวฉันจะพานายไปที่นั่นเอง”
“อึก.... อย่าครับ ถ้าผมหมดสติไป ผมจะกลับร่างเดิม... เดี๋ยวจะมีคนรู้ตัวจริงของผม... ช่วยพาผมไปที่นี่ครับ”
 แฟนท่อมส่งนามบัตรใบหนึ่งให้กับคริส
“ถ้าเป็นที่นั่นเขาจะไม่ถามอะไรซอกแซกครับ”
“ตกลง” แล้วคริสก็ลากแฟนท่อมขึ้นรถของทหารคันหนึ่ง ก่อนขับตรงเข้าเมืองไป....
ระหว่างอยู่บนรถนั่นเอง แฟนท่อมก็สลบไป... ใบหน้าของเขาค่อย ๆ กลับเป็นตัวจริง ชายชาวเอเซียที่ลึกลับ..
อย่าเพิ่งตายนะแฟนท่อม คริสคิดพลางเยียบคันเร่งขึ้นอีก

ออฟไลน์ Misiroseki.siro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
    • Misiroseki Siro's Facebook
บทที่ 13 – When you open lid of the past, yet it flied with pain.
«ตอบ #13 เมื่อ28-08-2012 15:24:14 »

บทที่ 13 – When you open lid of the past, yet it flied with pain.
“ฮึก”
แฟนท่อมพื้นขึ้นมาในห้องพยาบาลเก่า ๆ เตียงโทรม ๆ เพดานพุ ๆ แค่เห็นเขาก็เบาใจ ว่าเขาปลอดภัยแล้ว เขาเพิ่งสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายวัยเด็ก มือของเขารู้สึกอุ่น ๆ เขายกมือขึ้นมอง มีมืออีกข้างกุมมือของเขาอยู่... คริสนั่นเอง เขาฟุบหลับไปในเก้าอี้ข้าง ๆ เตียงของแฟนท่อม มือของเขากุมือของแฟนท่อมแน่น เหมือนกลัวว่าจะหนีไปไหน แฟนท่อมได้แต่ยิ้ม...เขาขับตัวเล็กน้อย แต่ก็ต้องครางเพราะอาการปวด คริสจึงสะดุ้งตื่นขึ้นมา
“ขอโทษครับที่ผมทำคุณตื่น”
“นายอย่าเพิ่งขยับตัวดีกว่า หมอบอกว่านายมีแผลใหญ่อยู่ที่หลังเลยนะ คงเกิดขึ้นตอนระเบิดนะ บ้าจริงนายนี่ โชคดีมากที่รอดมาได้รู้ไหม... ส่วนกระสุนสองนักนั้นหมอผ่าออกเรียบร้อยแล้ว ไม่เข้าจุดสำคัญอะไร”
แฟนท่อมยิ้ม
“โดนสิครับ นัดสำคัญ เข้าที่หัวใจผมเป๊ะ ฝีมือคุณไงครับ อุ๊บ”
“อย่าเพิ่งหวานตอนนี้เลยนาย เมื่อเช้าผมฟังข่าว เขาประกาศจับนายในฐานะผู้ก่อการร้ายไปแล้วรู้ไหม เขายัดเยียดความผิดในการวางระเบิดให้นายหมด แถมว่านายเป็นคนขโมยคฑาอีกด้วย”
แฟนท่อมหลับตาและถอนหายใจ
“มันก็เป็นความจริงนี่ครับ... ผมเองที่เป็นคนขโมยคฑา และผมเองที่มัวแต่โง่งม จนมองแผนของพวกโบนิชไม่ออกจนวินาทีสุดท้าย...”
แล้วแฟนท่อมก็หลั่งน้ำตาออกมา เขาเจ็บใจ รู้สึกผิดบาปที่เขาควรจะทำอะไรได้ดีกว่านี้แท้ ๆ
คริสเอามือลูบใบหน้าของแฟนท่อม และปาดน้ำตาให้
ก่อนจับมือของแฟนท่อมขึ้นมากุมไว้
“นายอย่าคิดแบกรับบาปทุกอย่างไว้คนเดียวหมดสิ ถึงนายอาจจะมีส่วนในเรื่องนี้ แต่นายไม่ใช่คนฆ่าพวกเขา... ถึงทั้งโลกจะไม่เข้าใจนาย ไม่เชื่อนาย แต่ฉันนี่ละพร้อมจะอภัยบาปนี้ให้กับนาย”
แล้วแฟนท่อมก็ร้องให้ออกมา คริสก้มตัวลงไปกอดแฟนท่อมไว้ ร่างบาง ๆ นั้นยังดูเป็นเด็กอยู่เลย ทำไมเขาถึงแบกรับเรื่องต่าง ๆ ไว้มากมายขนาดนี้... เขาเป็นเด็กน้อยที่น่าสงสารจริง ๆ..
เขากอดกันอยู่เนิ่นนาน... จนแฟนท่อมค่อย ๆ หยุดร้องให้ เขากอดคริสไว้ ซึมซับความอบอุ่นที่เขาไม่เคยได้รับมาก่อน ความอบอุ่นจากคนที่รักและเชื่อใจเขา และเป็นคนที่อภัยบาปใด ๆ ที่เขากระทำ...
“ขอบคุณมากครับ คริส ขอบคุณจริง ๆ ....“ แฟนท่อมพึมพัม
จนอีกสักพักแฟนท่อมถึงคลายอ้อมกอดออก เหมือนได้เติมความรักความอบอุ่นอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว ใบหน้าของเขาดูสดชื่นขึ้น เขายิ้มเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มที่เศร้าสร้อย...
“คริสครับ คุณเคยสงสัยไหมครับว่า ตัวประหลาดอย่างผม เป็นใครมาจากไหน...”
คริสก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนเงยหน้าขึ้นมองแฟนท่อมและตอบตามตรง
“เคยสิ ชั้นเคยสงสัยมาตลอดว่านายเป็นใครกันแน่ มาจากไหนกัน แล้วทำไมถึงมาเป็นแฟนท่อมแบบนี้ แต่นี่คงไม่ใช่เวลา...”
แฟนท่อมยิ้ม
“ไม่ครับ นี่ละครับเวลา เวลาที่คุณที่เป็นที่รักของปีศาจตนนี้จะได้ทราบที่มาของมัน...
จริง ๆ แล้วผมเองก็ไม่รู้หรอกครับว่าตัวเองเป็นใครมากจากไหน ความจำแรกของผมคือแสงสว่าง สว่างจ้ามาก ๆ ผมจำได้แค่ผมวิ่งหนีจากแสงนั่น วิ่งๆ ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ จนรู้ตัวอีกที ผมก็อยู่ในตรอกแห่งหนึ่งในเมืองนี้แล้ว... พูดไปเหมือนนิยาย ผมจำอะไรไม่ได้สักอย่าง แต่ผมพอรู้ภาษา เข้าใจที่คนพูดโดยไม่ได้เรียนอะไรมาก่อน สมองผมซึมซับเอาความรู้เหมือนฟองน้ำซึมซับน้ำ แต่ตอนนั้นผมยังเด็กเกินไปครับ เกินไปสำหรับเมืองแบบนี้ โลกแบบนี้ ผมได้แต่อาศัยอยู่ข้างถนน ขอทานและหาเศษอาหารกินไปวัน ๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง มีวัยรุ่นคนหนึ่งเสนอเงินให้กับผม... แลกกับให้ผมทำ... ให้กับเขา ผมยังเด็กมาก และเงินนั้นมีค่ามากเกินกว่าผมจะปฎิเสธไม่ว่าเขาจะให้ผมอะไร... แต่เขาเป็นพวกซาดิส เขาทั้งเตะ ตบ กระทืบผมในตรอกนั่น... (แฟนท่อมตัวสั่น) แล้วเขาก็ลากตัวผมขึ้นมา เปิดซิปกางเกงออก แล้วให้ผม oral ให้เขาจนแตก... ผมกลืนน้ำของเขาไปจนหมด และนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมรู้ถึงพลังนี้ของตัว วัยรุ่นคนนั้นได้แต่มองผมที่ค่อย ๆ กลายเป็นเขาอย่างตกตลึง และพึมพัมออกมาว่า “ปีศาจ (แฟนท่อม) “ ผมที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ดีเห็นเขาพยายามจะวิ่งหนีและไม่จ่ายเงินให้ ผมจึงกระโดดใส่เขา ทั้งชก ทั้งกระทืบแบบเดียวกับที่เขาทำกับผม... รู้ตัวอีกทีวัยรุ่นคนนั้นก็นอนจมกองเลือด... ผมมองตัวเองตัวผมโตจนเสื้อผ้าขาดหมด ผมจึงถอดชุดจากวัยรุ่นคนนั้นมาใส่ แล้วผมก็รู้สึก... ปลอดภัย ผมคือปีศาจ ปีศาจที่ไม่มีตัวตนของตัวเอง จะรู้สึกปลอดภัยได้ก็ต่อเมื่อสวมชีวิตของผู้อื่น....นับแต่วันนั้น แฟนท่อม จึงถือกำเนิดขึ้น...ผมไม่รู้เหมือนกันว่าช่วงนั้นผมเล่นงานคนไปเท่าไหร่ แต่ก็เหมือนแค่กุ้ยข้างถนนที่เล่นงานคนไม่เลือกหน้าเพื่อเงินและเปลือกเท่านั้น... จนกระทั่งผมพบกับ ฟาเธอร์... เขาเป็นบาทหลวงอยู่ในโบสถ์เล็ก ๆ วันนั้นผมบุกเข้าไปในโบสถ์ กะว่าจะปล้นเงินวัดไปใช้ แต่แล้ว ฟาเธอร์ก็จับผมไปนอนวัดพื้น ผมพุ่งเข้าหาเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็จับผมทุ่มติดฝา ติดพื้นนับครั้งไม่ถ้วนเหมือนกัน (แฟนท่อมยิ้มเหมือนเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเขา) จนเขาเองก็เหนื่อย ผมเองก็ลุกไม่ขึ้น เราถึงมีเวลาคุยกัน เขาก็ถามว่าผมเป็นใคร...ผมก็ตอบเขาไม่ได้.... ได้แต่บอกชื่อเดียวที่ผมรู้จักเสมอมา แฟนท่อม.... แค๊ก ๆ (คริสหยิบแก้วน้ำประคองให้แฟนท่อมจิบ) ฟาร์เธอร์มองมายังผม เขาจ้องอยู่นาน ก่อนพูดว่า อย่างเธอนี่ เป็นแค่ ทอม (ลูกแมว) มากกว่าละมั้ง เขาไม่เคยเรียกผมด้วยชื่ออื่นอีกเลย.... แล้วเขาก็รับผมไว้อุปการะ เขาสอนการใช้ชีวิตอย่างถูกต้องให้กับผม สอนความรู้ต่าง ๆ รวมถึงช่วยฝึกให้ผมเคลื่อนไหวได้อย่างแคล่วคล่อง...มีอย่างหนึ่งที่เขาสอนให้ผม แต่ผมไม่เคยเชื่อเลยคือ เรื่องพระเจ้า ฮ่า ๆ ๆ
ต่อมาผมก็รู้สึกได้ว่าว่า ฟาเธอร์มีความลับบางอย่าง แม้เบื้องหน้าท่านเป็นหลวงพ่อที่เป็นที่เคารพของชาวบ้านแถบนั้น แต่บางครั้งก็จะมีคนบางพวกเข้ามาหาท่าน พวกที่เหมือนผม มีกลิ่นไอของปีศาจมากกว่ามนุษย์...ผมได้แต่เก็บความสงสัยไว้ จนวันหนึ่งผมก็ทนไม่ได้อีก มีแขกประเภทนี้มาหาหลวงพ่อ ผมก็จัดการลอกคราบเขาซะ แล้วทำเป็นนั่งรอหลวงพ่อเอง ไม่นานนักหลวงพ่อก็มา ท่านพยักหน้าให้ผมตามไป ในห้องสารภาพบาป ท่านก็ถามว่า ต้องการงาน หรือหาคนทำงาน ผมเองก็ยังไม่เข้าใจนัก.... จึงตอบว่า มาหางานครับ หลวงพ่อจึงตอบว่า ฆ่า ขโมย ลักพา หรือเผา แค่นั้นผมก็เข้าใจ.... ผมกลายร่างต่อหน้าหลวงพ่อ... ท่านเห็นว่าจริง ๆ แล้วเป็นผม ท่านก็ไม่พูดอะไร ปิดประตูแล้วเดินเข้าไปด้านหลัง ผมเดินตามเข้าไป สายตาของผมมองเขาอย่างสิ้นหวัง ฟารเธอร์พูดแค่ “แล้ววันหนึ่งเธอจะเข้าใจ” ซึ่งแม้จนบัดนี้ผมเองก็ยังไม่เข้าใจ... ผมออกมาจากโบสถ์ ผมไม่สามารถหางานสุจริตทำได้ เพราะผมไม่มีอะไรซักอย่าง นอกจากชื่อแฟนท่อม แล้วผมก็ตัดสินใจ ใช้ความรู้ความสามารถของผมในการเป็นขโมย... ผมไม่เคยทำร้ายใคร ไม่เคยฆ่าใคร เพราะทุกครั้งผมจะเห็นหน้าฟาร์เธอร์กำลังเจ็บปวดเสมอหากผมทำ ผมจึงได้แต่ขโมย ๆ ๆ หลายปีผ่านไป จนชื่อแฟนท่อมกลายเป็นชื่อที่ติดหูของอาชญากรในเมือง และทหารไปแล้ว...ผมเริ่มมีความเป็นอยู่ดี มีเซฟท์เฮ้าหลายแห่ง แต่ผมไม่เคยคิดเลยว่า เรื่องนี้จะเป็นไปได้...
วันนั้นผมนั่งอยู่ในเซฟเฮ้าแห่งหนึ่ง ทั้ง ๆ ผมก็เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ แต่จู่ ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา ผมตกใจนิดหน่อย แน่นอนว่าผมไม่เคยให้เบอร์โทรศัพท์ใครไว้ จึงไม่คิดว่าจะมีใครโทรหาด้วย... ด้วยความแปลกใจระคนสงสัยผมรับโทรศัทพ์ขึ้น แล้วผมก็ได้ยินเสียงที่ไม่คิดว่าจะได้ยินอีกครั้ง
“นั่นทอมใช่ไหม”
“ฟาร์เธอร์....”
ไม่แม้แต่จะคุยถึงอดีต ท่านถามผม
“มีงานนะทอม สนใจไหม....”
นั่นคือจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์อีกครั้งของผมกับฟาร์เธอร์ เราไม่เคยคุยกันเรื่องอดีต ทุกครั้งที่โทรจะมีแต่เรื่องงานเท่านั้น บางครั้งฟาร์เธอร์เองก็มีคำพูดเจือความห่วงใยมาบ้าง แต่เขาก็ไม่เคยนำมาปนกับงาน และทุกครั้งที่จบการสนทนา เขาก็จะจบด้วย “โชคดีทอม ขอให้พระเจ้าคุ้มครอง” ฮ่า ๆ ๆ ทั้ง ๆ ผมเองไม่เคยเชื่อเรื่องพระเจ้า และเขาเองก็รู้... ผมไม่เคยกลับไปพบเขาอีกเลย... ทุกครั้งเราแค่คุยผ่านโทรศัพท์ ต่อมาผมถึงรู้ว่าท่านเป็นฟิกเซอร์หรือผู้จัดหา ไม่ว่าจะเป็นอะไร ท่านจะจัดหามาให้ได้หมด ไม่ว่าจะเป็นยา แผนการณ์ คู่หู หรือแม้แต่ความตาย.... ชีวิตมันช่างน่าตลก บาทหลวงที่อยู่ใกล้ชิดพระเจ้าที่สุด กลับเป็นชายที่ยืนอยู่ข้างมารร้ายที่สุดด้วย.... เขาหัวเราะ แต่ก็มีหยาดน้ำตาหลั่งออกมาด้วย... ฮ่ะ ฮ่ะ...
นั่นละครับ เรื่องทั้งหมดก่อนที่ผมจะเจอคุณ.... หลังจากนั้นผมก็ได้รับงานขโมยเพชรแห่งนาเบีย ผมก็เฝ้าดูทหารทั้งหมดที่คลัง... ผมใช้เวลาไม่นานเลยที่เลือกคุณ เพราะคุณถูกสเป็คผมที่สุด ฮ่า ๆ แล้วผมใช้เวลาอีกเดือนศึกษาคุณ ถ้าพระเจ้ามีจริง และประทานพรสวรรค์อะไรให้แก่มนุษย์ สิ่งที่ผมได้คือการสังเกตุคน ผมสามารถอ่านคนได้อย่างง่ายดายไม่ว่าเขาจะคิดอะไรอยู่ ผมก็อธิบายไม่ได้หรอกนะครับ แต่มันออกมาทางสีหน้า การกระทำ อารมณ์ บรรยากาศ อ่านร้อยครั้งผมอาจจะพลาดสักหนสองหน แต่โดยปรกติแล้ว แทบไม่เคยพลาด ... แล้วระหว่างที่ผมศึกษาคุณอยู่นั้นเอง ผมเริ่มตกหลุมรักคุณ (คริสและแฟนท่อมหน้าแดงทั้งคู่) รู้ไหมครับ ผมเกือบยกเลิกงานหลายหนเพราะ ผมเกิดไม่อยากจะทำร้ายคุณ สุดท้ายมผได้แต่วางแผนให้รอบคอบที่สุด เป็นธรรมชาติที่สุด ให้คุณเดือดร้อนน้อยที่สุด... วันนี้ผมรู้สึกดีใจที่มันคุ้มค่า... ทำให้ผมได้เจอคุณ...”
แฟนท่อมหยิบน้ำขึ้นมาจิบอีกครั้ง ข้างนอกพระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าไปแล้ว แสงสีแดงสาดผ่านมู่ลี่เข้ามา...
“ชั้นก็ดีใจที่ได้พบนาย...” คริสพูดทั้ง ๆ หน้าแดงก่ำ
“อ๊ะแอ่ม หวานกันเสร็จแล้วหรือยังจ๊ะ” นางพยาบาลเดินเข้ามา...
“อ๊า คุณโบว์นี่ แอบฟังหมดเลยสิครับเนี่ย... “แฟนท่อมติง
“เปล่าหรอกย่ะ แค่เข้ามาเจอตอนสองหนุ่มกำลังสารภาพรักที่เจอกันครั้งแรกเท่านั้นละ”
“....” คริสอายจนพูดไม่ออก ได้แต่หลบหน้า
“เอ้าจบเรื่องสวีท หมอให้เอาใบเสร็จมานะ นายก็รู้ใช่ป่ะที่นี่ไม่ถามไม่ไถ่ รักษาแล้วก็เก็บสด ไม่จ่ายก็เก็บศพแทน”
“ไม่มีปัญหาอยู่แล้วละครับ ขอโทรศัพท์หน่อยครับ “
แล้วแฟนท่อมก็โทรศัพท์ไปให้ธนาคารโอนเงินมาเข้าบัญชีให้ คริสแอบมองตัวเลขบนบิลแล้วก็ขนลุก.. แฟนท่อมสังเกตุเห็นจึงอธิบาย...
“เป็นค่าความลับนะครับ ความลับในโลกนี้จะเป็นความลับอยู่ได้ ก็ต้องมีแต่เงินทับถมบังมันไว้ครับ ยิ่งความลับใหญ่โต ก็ต้องมีเงินมากมายมาทับถมมันจนมิดมันถึงจะเป็นความลับต่อไป มนุษย์ถึงแสวงหาเงินอยู่เสมอไงครับ..”

ออฟไลน์ Misiroseki.siro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
    • Misiroseki Siro's Facebook
บทที่ 14 – The past will recall you when you not need it anymore
«ตอบ #14 เมื่อ28-08-2012 15:24:57 »

บทที่ 14 – The past will recall you when you not need it anymore
“ชั้นขอตัวกลับไปรายงานตัวที่คลังก่อนนะ หายตัวมาแบบนี้เดี๋ยวจะเป็นเรื่อง นายอยู่ที่นี่รักษาตัวให้หายไว ๆ ละ”
“ครับ ระวังตัวด้วยนะครับคริส”
“อืม... “ แล้วคริสก็ก้มลงมาจูบหน้าผากของของแฟนท่อมก่อนยิ้มเล็กน้อยแล้วเดินออกไป
“ไม่นานก็กลับมา”
คริสขับรถออกจากโรงพยาบาล... ที่จริงเป็นแค่คลีนิคมากกว่า ตั้งอยู่ในแหล่งเสื่อมโทรมของเมือง ก็สมแล้วละนะ เพราะถ้าเป็นคลีนิกอยู่ที่ในเมืองจริง ๆ ไม่มีทางจะเก็บความลับได้หรอก...
เขาขับรถตรงกลับไปยังคลังทันที...
ที่คลัง ทหารประจำคลังน้อยลงอย่างน่าใจหาย ทหารประจำประตูเหลือแค่สองคน ขณะที่ทหารประจำป้อมต้องยืนป้อมเว้นป้อม เขารายงานตัวแล้วเข้าไปยังอาคารพัก วิงนั่งอยู่บนเตียงของเขา ใบหน้าของวินเศร้าสร้อย แขนของวินถูกเข้าเฝือกไว้ข้างหนึ่ง พอเห็นคริส วินก็วิ่งเข้ามากอดคริส พร้อมร้องให้ไปด้วย
“เราคิดว่านายตายไปแล้ว!!! หายไปไหนมา... นี่หน่วยเก็บกู้ยังไม่สามรถระบุตัวศพอีกเยอะแยะได้เลย... เราคิดว่านายเป็นหนึ่งในนั้นไปแล้ว....”
“ผมขอโทษ... พอดีมีเพื่อนบาทเจ็บหนัก ผมเลยพาไปโรงพยาบาลแล้วเฝ้าไข้เขาทั้งวัน จนเขาปลอดภัยถึงกลับมานี่แหละ”
“เหรอ โชคดีจัง.... เขาอยู่หน่วยไหนหรือ พักอยู่ที่โรงพยาบาลของกองทัพหรือเปล่า แต่ที่นั่นคนเจ็บอื้อเลย...”
ว่าแล้ววินก็สะอื้นออกมาอีกที....ก่อนจะแค่นเสียงพูดด้ยความแค้น
“ทั้งหมดนี่... เป็นเพราะไอ้เจ้าแฟนท่อม!!!”
คริสสะอึก เขาจะทำยังไงดีให้คนอื่น ๆ เชื่อว่า แฟนท่อมไม่ได้ลงมือในครั้งนี้... ความแค้นของเพื่อนพ้องทั้งหมดตกลงไปอยู่กับแฟนท่อมหมดแล้ว เพราะประกาศจับปรักปรำนั่น...
“นายอย่าเพิ่งฟุ้งซ่านเลย พักผ่อนก่อนเถอะ... “แล้วคริสก็เลื่อนสายตาไปที่แขนที่หักของวิน
“เราไม่เป็นไรหรอก แค่แขนเดาะนิดหน่อยโชคดีไม่ถึงหัก... อย่างอื่นยังปรกติดี แล้วนายละ”
“ผมโชคดีแทบไม่โดนอะไรเลย เลยหายห่วง... งั้นผมขออาบน้ำแต่งตัวไปเฝ้าไข้เพื่อนอีกทีนะ”
“โอเค ไปเลย ช่วงนี้การส่งต่อคำสั่งขาดตอนเพราะหัวหน้าโดน่าบาดเจ็บสาหัสยังไม่ได้สติอยู่ และทหารส่วนใหญ่ที่ไปรักษาการณ์ ณ.บริเวณพิธีต่างได้รับบาทเจ็บมากบ้างน้อยบ้างกันทั้งนั้น จึงต้องให้ทหารที่ไม่ได้ไปในพิธีสลับเวรกันทำงานไปก่อน .... ผมขอนอนพักซักหน่อย ยาแก้ปวดชุดนี้ทำเอาง่วงเป็นบ้าเลย”

แล้วคริสก็อาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าตัวใหม่ แต่ยังคงใส่ทหารเต็มชุด เผื่อ ๆ ไว้ก่อนพอเขาออกมาก็เห็นวินหลับไปแล้ว
เขาขับรถออกไปจากคลังตรงไปยังโรงพยาบาล กำลังคิดว่าคงต้องปรึกษากับแฟนท่อมแล้วว่าจะทำยังไงดี... แต่พอเข้าใกล้โรงพยาบาลเขาก็สังเกตุว่า แถว ๆ โรงพยาบาลดูวุ่นวายชอบกล เขาชลอรถ... แย่แล้วนั่นมันรถของทหารประจำกองวิจัยฯ กำลังล้อมโรงพยาบาลอยู่ ทหารกองนี้โดดเด่นเห็นปุ๊ปรู้ป๊บเพราะไม่ได้ใส่ชุดทหารทั่ว ๆ ไป ทหารกลุ่มนี้จะใส่ชุดโพลิเมอร์รัดรูปพิเศษ ที่มีคุณสมบัติป้องกันรังสี, เคมี, และเชื้อโรคได้ระดับหนึ่ง และหมวกก็เป็นหมวกกักอากาศพิเศษที่มีระบบกรองสารพิษและเชื้อโรค แถมมีกล้องบันทึกภาพเพื่อใช้เก็บภาพกรณี unit lost จะได้มีข้อมูลเหลือไว้ อีกทั้งทั้งชุดยังสามารถเปลี่ยนเป็นระบบปิดใช้อากาศจากแท็งอากาศชั่วคราวที่เอวได้อีกด้วย โดยรวมชุดของทหารกลุ่มนี้จะคล้ายกับนักประดาน้ำ แต่ไม่มีตีนกบ ขยับได้คล่องตัวกว่า และเป็นสีน้ำเงินทั้งชุดเท่านั้นเอง...
เขายืนมอง จนกระทั่งเห็นแฟนท่อมถูกจับมัดด้วยชุดพิเศษ พาตัวขึ้นรถไป...
ก่อนคริสจะมาถึง 10 นาที..แฟนท่อมกำลังพยายามขยับตัวอยู่ ทันใดนั้นเสียงรถเบรค ต่อเนื่องดังขึ้นล้อมรอบทางเข้าโรงพยาบาล เขาขยับบานเกร็ดดูเล็กน้อยก็เห็นหน่วยทหารกองวิจัยฯ ตั้งแถวเข้ามายังโรงพยาบาลนี้
แฟนท่อมไตร่ตรองกับตัวเองสักครู่ ก่อนจะมองไปยังกระสุนหนึ่งในสองนัด ที่เขาเพิ่งสังเกตุว่า รูปร่างของมันไม่ใช่กระสุนธรรมดา
“เฮ้อ... ผมประมาทไปอีกแล้วสิครับเนี่ย....” มันคือกระสุนติดตามที่จะส่งคลื่นวิทยุออกไปแจ้งตำแหน่งผ่านดาวเทียม ที่ทหารใช้ยิงในการติดตามคนร้ายนั่นเอง เสียดายที่เขาตระหนักถึงมันช้าไปอีกแล้ว ทั้ง ๆ ที่ถ้าเป็นปรกติเขาไม่มีทางพลาดกับเรื่องแค่นี้แน่
นางพยาบาลวิ่งเข้ามาแล้วเรียกเขา
 “ทอม”
“ไม่เป็นไรครับ โบนี่ ตอนนี้ผมคงสู้ไม่ไหวครับ ปล่อยให้เขาเข้ามาแล้วทำไม่รู้เรื่องซะครับ อย่าให้ผมทำให้พวกคุณต้องเดือดร้อนเลยครับ”
“จะเอาอย่างนั้นจริง ๆ เหรอ”
“ครับ พวกนี้พวกหน่วยพิเศษครับ อย่าให้ที่นี่ต้องเสียหายเพราะผมเลยครับ”
มีเสียงตึงตังโครมคราม พร้อมเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาที่ชั้นสองนี้
“เฮ้อ พวกนี้นี่จะทำอะไรแบบเบา ๆ ไม่เป็นเลยนะเนี่ย” แฟนท่อมพูดยิ้ม ๆ
แล้วทหารสี่คนก็พุ่งเข้ามาในห้อง ส่องปืนไปที่ร่างทั้งสอง แฟนท่อมและโบนี่ยกมือขึ้นและรอ...

เสียงฝีเท้าที่ต่างไปค่อย ๆ เดินขึ้นมา ช้า ๆ แล้วร่างที่สูงผอมของ ดร.อิชน่าก็ผ่านประตูเข้ามา เขาขยับแว่นเล็กน้อยก่อนมองมาที่แฟนท่อม แล้วยิ้มคล้ายกับเด็กเจอของเล่นใหม่... เขายื่นมืออกมา แฟนท่อมยื่นมือมาจับตอบ แล้วเขาก็พูด
“ยินดี่ที่ได้พบกันอีกครั้ง DOP004 หรือจะให้เรียกว่าแฟนท่อมดี โตขึ้นเยอะจนจำไม่ได้เลย”
“ยินดีที่ได้พบครับ ผมกลับจำไม่ได้ว่าเคยเจอคุณตั้งแต่เมื่อไหร่ แถมไอ้ชื่อตัวเลขประหลาด ๆ นั่น ผมเองก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
ดร.อิชน่าก้มหัวลงไปแล้วหัวเราะคิกคัก
“จริงสิ จริงสิ เอาเป็นว่า ผมเป็นคนฝากลูกกระสุนติดตามลูกนั้นให้กับเธอเองก็แล้วกัน”
“อ้อ คุณคนใต้ต้นไม้นั่นเอง ตอนนั้นมันมืดมากนะครับ ผมเลยดูไม่ออก”
“ฮิ ๆ ๆ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ยังไงเราคงจะได้รู้จักกันดียิ่งขึ้นกว่านี้เร็ว ๆ นี้ละ..
แล้ว ดร.อิชน่าก็เดินออกมา ปล่อยให้ทหารใส่ชุดพิเศษเพื่อพัธนาการเขาไว้ แล้วคุมตัวเขาลงมา แฟนท่อมเห็นหมอกำลังเอามือเท้าคางมองมาที่เขาอย่างเคือง ๆ แฟนท่อมยิ้ม ก่อนพูด
“ต้องขอโทษด้วยครับคุณหมอที่ทำให้ต้องเดือดร้อน”
หมอหันหน้าหลบพลางถอนหายใจจากจมูกดังฮึ ก่อนยิ้มที่มุมปากนิดหน่อย แต่ไม่ได้พูดอะไรอีก แล้วแฟนท่อมก็ถูกคุมตัวขึ้นรถไป แล้วขบวนรถก้เคลื่อนตัวกลับไปยัง กองวิจัยฯ บนรถนั้น เขานั่งตรงข้ามกับ ดร.อิชน่า ที่มองเขาล่างจดบนซ้ำ ๆ พร้อมหัวเราะคิกคักหลาย ๆ ครั้งยังกะคนเพี้ยน
คริสที่ขับรถตามมาห่าง ๆ จนกระทั่งแน่ใจว่ารถเข้าไปยังกองวิจัยจึงจอดรถ เพราะในเขตนี้แม้แต่ทหารก็ไม่สามาถเข้าไปได้ตามใจ นอกจากมีคำสั่งพิเศษเท่านั้น... แฟนท่อม ชั้นจะทำยังไงดี....

ออฟไลน์ Misiroseki.siro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
    • Misiroseki Siro's Facebook
บทที่ 15 – Something better not to know, if know better forget it suddenly.

คริสนั่งอยู่บนรถได้แต่คิด คิด คิดว่าจะช่วยแฟนท่อมได้ยังไง... จนกระทั่งเขานึกถึง... เอาละว่ะ แต่งานนี้ต้องมีตัวช่วย คริสกลับรถไปยังคลัง ตรงไปยังห้องพัก วินยังนอนหลับอยู่ เขาเขย่าตัวพยายามปลุกวินที่กำลังงัวเงียเพราะฤทธิยา..
“เฮ้ ๆ ๆ เบา ๆ หน่อยสิ ตื่นแล้ว ตื่นแล้ว ไหนว่านายจะไปเฝ้าไข้เพื่อนไง ทำไมถึงกลับมาละ”
“ก็เรื่องนี้แหละ” คริสสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนชั่งใจอีกครั้งว่าจะพูดดีหรือไม่
“วิน นายเชื่อสายตาของชั้นไหม”
“อืม ... ชั้นเชื่อว่านายมองคนไม่พลาด”
“ไม่ว่าชั้นจะพูดอะไรต่อจากนี้ ขอให้นายเชื่อใจชั้นโอเคไหม”
“อืม อืม มีอะไรร้ายแรงขนาดนั้นเหรอ”
วินที่ตื่นตัวเต็มที่แล้ว ลุกขึ้นมานั่งจ้องตาคริส เขาคบกับคริสมาพักใหญ่แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นเขาเอาจริงเอาจังขนาดนี้ และดูสับสนขนาดนี้...
“ชั้นสัญญาว่าจะเชื่อนาย พูดมาเถอะ”
“ก่อนพูดอยากให้นายสัญญาอีกเรื่องเป็นอย่างน้อย... ถึงนายไม่เชื่อเรื่องของชั้น ก็ขอให้นายช่วยเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ”
“นี่มันอะไรกันนักหนา ชั้นสัญญา สัญญา สาบานก็ได้เอ้า เราเพื่อนสนิทกันนะ”
คริสสูดหายใจเข้าไปอีกครั้งก่อนพูดออกมา
“เพื่อนคนที่ชั้นพูดถืง คือ แฟนท่อม”
วินได้แต่ตะลึงงัน สมองของเขาเรียงลำดับเรื่องไม่ถูกไปชั่วขณะ ทำไมคริสถึงไปเป็นเพื่อนกับแฟนท่อมได้ละ ไหงฆาตกรฆ่าเพื่อนถึงกลายเป็นเพื่อนของเพื่อน ฯลฯ
“ชั้นรู้ว่านายสับสน ฉันขอเล่าเรื่องทั้งหมดอย่างไม่ปิดบังนายเลยละกัน”
คริสจึงเล่าเรื่องทั้งหมดตั้งแต่เจอแฟนท่อมครั้งแรก การที่เขาช่วยปกปิดเรื่องของแฟนท่อมอย่างไม่ตั้งใน การที่เขาตกหลุมรักแฟนท่อม เรื่องที่วินถูกแฟนท่อมจับตัวไปแต่เขาก็ไม่ได้ทำร้ายวิน (วินบ่นพึมพัมอะไรสักอย่างเรื่องดอกบัว ๆ นี่ละ) และเขาปลอมเป็นวินเพื่ออยู่ข้าง ๆ เขา การที่เขาจูบกันตอนที่แฟนท่อมปล่อยวิน ฯลฯ ทุก ๆ เรื่องที่เขารู้มา รวมถึงแผนการร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้าของอครเสนาบดีด้วย...
วินได้แต่นั่งมืนไปกับข้อมูลปริมาณมากที่ถูกยัดเข้ามาในทีเดียว... คริสปล่อยให้เขาเรียบเรียงเรื่องและรอคอย คำถาม....
แล้ววินก็เอ่ยขึ้นมา
“ชั้นมีคำถามสามข้อต้องการถามนาย”
“ถามมาเลย”
“ข้อแรก นายได้ยินเรื่องทั้งหมดที่อัครเสนาบดีเป็นคนวางแผนนั่นทั้งหมด และแผนการร้ายนั่นด้วยด้วยตัวเอง ไม่ใช่แฟนท่อมเล่าให้ฟัง”
“ใช่ ชั้นแอบอยู่ตรงนั้น ไกล้พอจะได้ยินเรื่องทั้งหมด และโบนิชเองก็ยอมรับกับปากเองด้วย ที่เหลือขึ้นอยู่กับนายจะเชื่อชั้นหรือเปล่า”
“โอเค ข้อต่อไป นายเชื่อว่า แฟนท่อมเป็นอย่างที่เขาเล่าให้ฟังทั้งหมด”
“ใช่ ชั้นเชื่อ ถ้านายได้คบกับเขานายก็จะเชื่อเหมือนกัน”
“โอเค งั้นอีกข้อเดียว ข้อสุดท้าย..... นายรักกับแฟนท่อมจริง ๆ อ่ะ”
คริสหน้าแดงกล่ำ กัดฟันพูด
“บ๊ะไอ้วิน เล่ามาขนาดนี้แล้วยังต้องถามย้ำอีกเรอะ”
“อ้าวก็อยากถามให้แน่ใจ”
แล้ววินก็ยิ้มให้ เขาเชื่อสายตาของคริส ถ้าคริสไว้ใจแฟนท่อม มันก็ดีพอที่เขาจะเชื่อเหมือนกัน
“งั้นจะให้ทำยังไงดีละ...”
“คือแผนเป็นงี้...”
แล้วคริสก็อธิบายแผนที่เขาเพิ่งคิดได้ให้กับวินฟัง ยิ่งฟังวินยิ่งกุมขมับ ก่อนพูด
“เฮ้อนายนี่นะ ชั้นชักเชื่อแล้วว่านายสองคนเป็นแฟนกัน แผนการณ์แบบนี้มันแผนแบบไอ้เจ้าแฟนท่อมชอบใช้แท้ ๆ เลย”
“อ๊ะเหรอ”
แล้วคริสก็ทำหน้าตาบ๊องแบ๊วเหมือนบริสุทธิ
“โอ๊ย รู้งี้ไม่ฟังเรื่องที่นายเล่าหรอก มีอะไรแถวนี้ช่วยให้ลืม ๆ ไปได้ไหม จะได้ไม่ต้องเข้าร่วมแผนนี้กับนาย”
“มีสิ นายไปยืนกลางถนน เดียวชั้นช่วยสงเคราะห์ให้เอง”

ออฟไลน์ Misiroseki.siro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
    • Misiroseki Siro's Facebook
บทที่ 16 – Phantom is not only one who invisible to naked eye.
«ตอบ #16 เมื่อ28-08-2012 15:26:08 »

บทที่ 16 – Phantom is not only one who invisible to naked eye.

รถทหารคันนั้นแล่นผ่านเขตหวงห้าม ปรกติแล้วเขตนี้จะอนุญาติให้รถขับผ่านไปเลย เพราะมีเขตทหารอื่น ๆ อยู่รอบ ๆ ตราบใดที่ไม่จอดรถ ก็ไม่มีปัญหา... แต่แล้วรถเจ้ากรรมก็เวี่ยงซ้ายขวา ก่อนจะไปดับสนิทที่โคนต้นไม้ที่ขอบสุดของเขตพอดี ทหารที่เดินยามอยู่ส่งสัญญาณไปที่รถ แจ้งว่าห้ามจอด ทหารคนหนึ่งเดินลงมาจากรถ เปิดกระโปรงรถออกก่อนจะโบกมือข้างหนึ่งให้ ก่อนชี้ไปที่มืออีกข้างที่ถูกพันผ้าไว้ ทหารยามจึงเดินเข้ามาหาในท่าเตรียมอาวุธ
“บริเวณนี้เป็นเขตหวงห้ามครับ ห้ามจอดครับ กรุณาขับออกไปด้วย”
วินได้แต่ส่ายหน้าแล้วพูดตอบ
“ขอโทษครับ พอดีรถมันตายนะครับ แล้วแขนผมก็เป็นซะงี้ รบกวนช่วยดูเครื่องให้หน่อยสิครับ ผมต้องรีบไปส่งรายานที่หน่วยสี่ด้วย...”
ยามถอนหายใจ พร้อม สะพายปืนกลับไปไว้ข้างหลัง แล้วเดินเข้ามาดูที่เครื่องยนต์
“ผมเองก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องเครื่องเยอะด้วยสิ”
“จู่ ๆ ดับไปผมว่าน่าจะเป็นหัวเทียนละมั้ง” วินชวนคุยไปเรื่อย ๆ กลบเสียงฝีเท้าของคริสที่ค่อย ๆ แอบลงจากท้ายรถแล้วเดินมาพร้อมแป๊บเหล็ก
“ก็สะอาดดีน๊า... พล็อก อุ๊บ...” ทหารยามถูกแป๊บตีเข้าจัง ๆ ที่ท้ายทอยจนสลบเหมือดคารถ วินกับคริสช่วยกันแบกเขาหลบมาด้านหลังรถที่อยู่อีกด้านของอาคาร แล้วคริสก็จัดการลอกคราบทหารยามออกมาจนเหลือแต่กางเกงใน ระหว่างนั้นวินก็ทำเป็นพยายามแก้เครื่องยนต์ไปเรื่อย
แล้วคริสก็จัดการเปลี่ยนชุดตัวเองเป็นชุดทหารยาม แล้วคริสก็อยู่ในชุดของทหารหน่วยวิจัยฯ เรียบร้อย
“เฮ้ย นายเซ็กซี่เป็นบ้าเลยฟ่ะ”
“ไอ้บ้า”
แล้วเขาก็จัดการฉีกชุดของเขามามัดเป็นเชือก มามัดทหารยามที่นอนสลบอยู่ เอาถุงเท้าของเขายัดปากก่อนจะมัดซ้ำและลากขึ้นไปไว้บนรถ แล้วคริสก็เดินออกมาจากวิน วินกระซิบ
“โชคดีเพื่อน อย่าลืมสัญญาณละ”
แล้วก็ตะโกน
“ขอบคุณมากครับคุณทหารที่ช่วยซ่อมรถให้”
คริสโบกมือตอบเหมือนจะบอกว่าไม่เป็นไร
 แล้วเขาก็ขึ้นรถไปสตาท์รถ ก่อนขับพ้นเขตหวงห้ามแล้วเขาก็จอดรถเข้าพุ่มไม้ข้างทาง และดับเครื่องและรอ...

คริสเดินเข้ามายังศูนย์วิจัยฯ ทหารยามที่ประตูทักเขา
“เฮ้ว่าไง รถนั่นมีอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าหรอกแค่รถเสียนะ ซ่อมเรียบร้อยก็วิ่งผ่านไปแล้ว”
“งั้นเหรอก็ดี...”
“เดี๋ยวขอเข้าไปเข้าห้องน้ำก่อนหน่อยสิ ทนไม่ไหวแล้ว”
“โอเค”
แล้วคริสก็เดินผ่านยามที่หน้าประตูเข้ามายังศูนย์วิจัยฯ โห เขาเพิ่งเคยเข้ามาเป็นครั้งแรก ทำไมมันโครตใหญ่โตขนาดนี้ ทางเดินก็ซับซ้อนเต็มไปหมด เล่นเอาคริสก็งง จนไม่รู้จะเริ่มที่ไหนดี ได้แต่ทำทีเป็นเดินตรวจ สวนทางกับทหารยามที่กำลังเดินตรวนคนอื่นเป็นระยะ ๆ เดินไป เดินมาจน
“แย่แฮะ แล้วนี่มันที่ไหนเนี่ย”
ขณะมองซ้ายมองขวาอยู่นั่นเอง ก็มีเสียงเรียก
“นี่นายทหารคนนั้นนะ”
คริสหันไปตามเสียงเรียก
“มาช่วยทางนี่หน่อย”
“ครับ”
คนเรียกเป็นชายใส่ชุดกราวด์ ที่ยืนอยู่กับยามอีกคน
“ตามมาสิ เดี๋ยวเราจะไปพาตัวทดลองไปที่ห้องวิจัย ช่วยคุ้มกันด้วย
“ครับผม” ทั้งสองคนตอบพร้อมกัน
ตัวทดลองเหรอ.. คริสได้แต่เดินตามไปเรื่อย ๆ เขาผ่านระบบความปลอดภัยซัก 4-5 ชั้นได้ก่อนจะเข้าสู่บริเวณห้องขนาดใหญ่ในห้องนี้คริสได้แต่อ้าปากค้าง เพราะมีกรงทั้งเล็กใหญ่เรียงรายอยู่สองข้างทาง ภายในกรงมีสัตว์แปลก ๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนอยู่เต็มไปหมด บางกรงก็มีสัตว์ทั่ว ๆ ไปอย่าง หมา เสือ ฯ และพอเดินลิกเข้าไปอีก คราวนี้พื้นที่แคบลง สองข้างกลายเป็นคุก ที่บุด้วยอคิลิคแข็งพิเศษ ด้านในกลับเป็นคน ทั้งชายหญิง พอเขาเดินผ่านพวกนี้จะเงยหน้าขึ้นมามองเล็กน้อย ก่อนก้มกลับไปอีก และในสุดนั่นเอง ก็มีประตูที่ดูเหมือนจะเป็นการป้องกันแบบพิเศษ แม้รายทางจะมียามเดินตรวจอยู่ตลอด แต่หน้าห้องนี้หน้าห้องมียามเฝ้าถึงสี่คน ประตูเป็นเหล็กตัน ไม่มีเครื่องยนต์กลไลอะไรทั้งนั้น นักวิทย์ฯ พูดกับยาม
“เรามารับตัวทดลอง DOP004 ไปห้องวิจัยที่ 4”
“ขอดูใบอนุญาติด้วยครับ”
นักวิทย์ฯ ส่งเครื่อง tablet ทิ่ถืออยู่ให้กับยาม  ยามเปิดเช็คและอ่านอยู่สักนาทีก่อนจะ นำ tablet ไปติดกับฐานที่อยู่ข้างประตู แล้วหน้า tablet ก็ปรากฎแผงตัวเลขขึ้นมา เขากดรหัสยืนยันคำสั่งลงไป มีคำ please wait ขึ้นมาสักอึดใจหนึ่งก่อนปรากฎเป็นรูปมือ นักวิทย์เดินเข้าไปวางมือบน tablet นั้น สักครู่ หน้าจอก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวและมีข้อความ <status confirmed> ปรากฎขึ้นมา แล้วเปลี่ยนเป็นรูปมืออีกครั้ง ถึงตอนนี้ทหารยามถอดถุงมือออกแล้ววางมือของเขาด้วย แล้วก็แบบเดียวกัน หลังจากนั้นมีเสียงปิ๊บขึ้น ทหารยามดึง tablet ออก บริเวณฐาน ทันใดนั้นมีเสียงเตือน ก่อนที่ประตูจะค่อย ๆ เลื่อนขึ้นไป พร้อมคำเตือน
“กำลังทำการเปิดห้องควบคุมตัวอย่างทดลองระดับสี่ โปรดเตรียมพร้อม”
ทหารยามรอบ ๆ กระชับปืนของตัวเองขึ้นในท่าเตรียมพรอ้ม หลังจากประตูเหล็กเลื่อนขึ้นด้านในยังมีกรงอคิลิคพิเศษอีกชั้น ประตูค่อย ๆ เลื่อนเปิดออก ทหารยามก็กรูเข้าไปภายใน
ภายในห้องเป็นห้องสีขาวล้วน ทั้งสี่ด้านไม่มีอะไรประดับตกแต่ง นอกจากมุมบนเพดานทั้งสี่ด้าน มีกล้องตรวจการในกระจกโดมแข็งพิเศษเล็ก ๆ อยู่ทั้ง ทำให้ในห้องไม่มีมุมอับ ปลายสุดมีเตียงที่ติดกับผนัง กับโถสุขภัณฑ์  ร่างในชุดสีขาวที่นอนอยู่บนเตียงลุกขึ้นมา
“อ้าวมากันสักทีหรือครับ...”
แฟนท่อม! แม้แฟนท่อมจะอยู่ในร่างอื่น คริสก็จำเขาได้ในทันที คริสอยากจะเดินเข้าไปกอด แต่ตอนนี้เขาต้องทำตามน้ำไปก่อน
“ตัวอย่าง DOP004 ช่วยตามมาด้วยครับ อย่าทำลูกเล่นอะไรนะครับ ผมได้รับอนุญาติให้ยิงคุณได้ทันทีหากคุณพยายามขัดขืน”
“ผมไม่ใช่ชื่อ DOP004 ผมคือแฟนท่อม” แฟนท่อมพูดเรียบ ๆ อย่างไม่ค่อยพอใจ
“ถ้าคุณชอบชื่อนั้นผมจะเรียกคุณว่าแฟนท่อมก็ได้ครับ คุณทหารช่วยจัดการด้วย...”
ทหารยามหยิบเครื่องพันธนาการขึ้นมา ทำการผูกรัดแขนของแฟนท่อมไว้ติดกับตัว
“โปรดตามมาอย่างสงบด้วยครับ”
แล้วทั้งหมดก็เครื่องขบวน โดยนักวิทย์เดินนำ และทหารยามจากห้องขังสองคนเดินตาม แฟนท่อมอยุ่ตรงกลาง ส่วนคริสและทหารยามอีกคนเดินปิดท้าย ส่วนทหารยามอีกสองคนยังคงเฝ้าอยู่หน้าประตูที่กำลังปิดลง
ระหว่างเดินไปมีวิทยุเข้ามาที่ชุดของคริส
“เฮ้ย ยังไม่ออกจากห้องน้ำอีกเหรอ ตกส้วมแล้วเหรอ”
“เปล่า ๆ ครับ พอดี นักวิจัย ขอให้ผมช่วยคุ้มกันตัวทดลองนะครับ”
“ว่ะ คราวหลังช่วยแจ้งด้วยสิ จะได้จัดทหารมาประจำการแทน”
“ขออภัยด้วยครับ”
แล้วการติดต่อก็หยุดไป แฟนท่อมดูเหมือนจะหันกลับมามองนิดหนึ่งก่อนจะมองตรงต่อไป
แล้วหลังจากผ่านประตูอีกหลายบาน ระบบนิรภัยอีกหลายชั้น ก็มาถึงประตูบานใหญ่ ที่บนประตูมีระหัส P4 สีแดงตัวใหญ่ พร้อมกับข้อความ < Aurtorized people only, Breaking in will result death panitaly >
<Biohazard containment>  นักวิทย์ฯ วาง tablet ลงบนแท่น ก่อนจะวางมือเพื่อตรวจ dna และใส่รหัส แล้วประตูก็เลื่อนเปิดออก ภายในห้องโถงขนาดใหญ่ สองข้างมี หลอดแก้วขนาดใหญ่ที่ข้างในมีร่างลอยอยู่ในของเหลวข้างใน สุดทางนั้นเองมีคอนโซลขนาดใหญ่ที่มีนักวิจัยกำลังวุ่นวายอยู่กับงานของตัวเอง บนผนังเป็นจอขนาดยักษ์ที่กำลังแสดงผลต่าง ๆ อย่างสับสนไปหมด และคนที่ยืนอ่านกระดาษรายงานอยู่นั่นคือ ดร.อิชน่านั่นเอง ดร.อิชน่าพลิกหน้ากระดาษอย่างรวดเร็ว แล้วก็หันหน้าขึ้นมามอง
   “อ้อมาถึงกันแล้วสินะ ขอโทษด้วยที่ไม่ได้จัดการต้อนรับเป็นพิเศษ คุณแฟนท่อม...” ว่าแล้วเขาก็ผายมือให้แฟนท่อมนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง ส่วนเขาก็ลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมา แล้วก็หันด้านพนักมาด้านหน้า ก่อนนั่งลง วางมือทั้งสองข้างบนพนักพิงหลัง และมองมาที่แฟนท่อม แล้วยิ้ม แล้วยิ้มอีก แล้วเขาก็โบกมือมาที่กลุ่มทหาร ทหารทั้งหมดรวมทั้งคริสถอยออกมายืนติดพนังตามคำสั่ง คริสได้แต่มองแฟนท่อมอย่างเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรหรอครับ ผมก็ไม่ได้กะว่าจะได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นอยู่แล้ว” แฟนท่อมพูดยิ้ม ๆ
ดร. เลิกคิ้วสูงอย่างแปลกใจ
“อ้าวเหรอ... ชั้นคิดว่านายจะรู้สึกอบอุ่นซะอีก ที่ได้กลับบ้านในที่สุด”
เป็นครั้งแรกที่คำพูดของ ดร. สร้างสายตาที่แปลกใจให้กับแฟนท่อม
“บ้านหรือครับ?”
ดร.ยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ไม่ค่อยน่าไว้วางใจเท่าไหร่
“ใช่บ้าน”
“หมายความว่ายังไงครับ”
“อะไรนี่นายจำอะไรไม่ได้จริง ๆ อ่ะ” แล้ว ดร.ก็เอามือตบหน้าผากพร้อมทำหน้าแปลกใจ
“จำอะไรไม่ได้ครับ”
“อ๊ะ งั้นเหรอ งั้นเหรอ อย่างนี้นี่เอง ฮิ ฮิ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” แล้วเขาก็หัวเราะจนหัวโยกไปมา พร้อมเอามือตบที่หน้าขาของตัวเองเหมือนนึกอะไรได้ซ้ำไปมา
“ฮ่า ๆ ๆ โทษที ๆ งั้นนายคงงง แย่แล้วสิเนี่ยว่าชั้นพูดถึงเรื่องอะไร แย่จริง แย่จริง ฉันละคิดว่านายแกล้งทำซะอีก ที่แท้ก็ อย่างนี้เอง อย่างนี้เอง”
แล้ว ดร. ก็พลักเก้าอี้ออกก่อนยืนขึ้น เขายื่นหน้าออกมาจนแทบชนกับหน้าแฟนท่อม สายตาของทั้งสองประสานกัน แฟนท่อมจ้องกลับอย่างไม่ยอมแพ้ แล้ว ดร.ก็ยิ้ม หมุนตัว ก่อน โค้งให้กับแฟนท่อม
“งั้นอนุญาติให้ชั้นได้อธิบายละกันนะ ฮิฮิ”
“ผมไม่มีทางเลือกอยู่แล้วนี่ครับ”
“นั่นสิ นั่นสิ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

ออฟไลน์ Misiroseki.siro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
    • Misiroseki Siro's Facebook
บทที่ 17 – The truth is always make people pain than worst nightmare.
«ตอบ #17 เมื่อ28-08-2012 15:26:43 »

บทที่ 17 – The truth is always make people pain than worst nightmare.

“จะเริ่มยังไงดีละ อืม...”
“เอาเป็นจากคุณรู้จักผมได้ยังไงดีไหมครับ”
“อืมมมม เอางั้นเหรอ ก็ได้” ดร.เดินไปมาพร้อมอธิบาย
“ฉันต้องรู้จักนายอยู่แล้ว คุณแฟนท่อม ในเมื่อนายคือ DOP004 หรือในอีกแง่หนื่ง นายคือลูกชายคนหนึ่งของฉันเอง...”
แฟนท่อมทำหน้าเหยเกที่สุดในชีวิต จน ดร. หันมาอ้าปากค้าง
“อย่าล้อเล่นสิครับ คุณไม่ใช่คุณฟืดฟาดในชุดดำแกว่งดาบเลเซอร์ซักหน่อย จู่ ๆ มาบอก I’m your father. มันขำไม่ออกนะครับ”
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ นั่นสิ นั่นสิ คำพูดชั้นอาจจะทำให้นายเข้าใจผิดไปหน่อยสินะ เปล่าหรอก เปล่าหรอก ฉันไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น...”
แล้วสีหน้าของ ดร.ก็จริงจังขึ้น ก่อนจ้องมองมาที่แฟนท่อม
“จริง ๆ แล้วคงต้องว่า นาย...คือ...ผลงาน...ของ...ฉัน” เขาเน้นคำต่อคำ เป็นครั้งแรกที่หน้าของแฟนท่อมดูจริงจังขึ้นมานับแต่เข้ามาในห้องนี้
“ผลงานหรือครับ”
“ถูกต้องแล้ว ... นายคือผลจากการทดลองของฉัน รหัสผลิตภัณฑ์ของนายคือ DOP004 หรือก็คือ Dopple Ganger NO.004 ผลงานรุ่นแรก ๆ จากการทดลองโคลนนิ่งและดัดแปลงพันธุกรรมมนุษย์เพื่อพัฒนาอาวุธมนุษย์ยังไงละ...” ดร.ยิ้มขณะมองมาที่แฟนท่อมอย่างชั่วร้าย...
“เมื่อราว ๆ สิบปีก่อน ... ชั้นได้ริเริ่มโปรเจ็คการสร้างทหารสายพันธ์พิเศษขึ้น... โดยแต่ละโครงการจะมีความสามารถที่แตกต่างกันไป โดยยึดหลักการณ์ตามสายงานของทหาร  พลทหารอมตะที่แม้จะถูกยิง ถูกระเบิด แต่ก็จะเดินหน้าต่อไป... ทหารที่มีความสามารถในการต่อสู้เหนือมนุษย์ เพื่อใช้ในการรบระยะประชิด...”
แล้ว ดร.ก็ชี้มือมายังแฟนท่อม
 “และนาย.. ทหารฝ่ายข่าวกรองที่สามารถแทรกซึมเข้าไปยังที่มั่นศัตรู เพื่อข่าวสารและการจารกรรม... ที่ได้รับการพัฒนายีนให้มีความสามารถปรับเปลี่ยน ร่างกายตัวเองได้ในระดับโมเลกุล ตามข้อมูลดีเอ็นเอที่ได้รับมา... และได้รับการพัฒนาการทางสมองให้มีความฉลาดเกินกว่ามนุษย์ปรกติอีกด้วย!!! “
แล้ว ดร.ก็ดูเหมือนจะสงบลง สายตาที่มองมายังแฟนท่อมแฝงความเจ็บปวด ดร.หันหลังมองไปยังมอนิเตอร์ที่ฝา..
“แต่ ไม่มีโครงการไหนเลยที่ประสบผลสำเร็จ... ตัวอย่างส่วนมากลอสไประหว่างกระบวนการปรับแต่งยีน พวกที่เพาะพันธ์ขึ้นมาได้ ส่วนมากก็พิการ หรือไม่ก็ตายตั้งแต่ยังเป็นตัวอ่อน... มีแค่ DOP004 นายเท่านั้น ที่กระบวนการผ่าเหล่าภายในโครงสร้าง DNA ที่เกิดจากความบังเอิญ ที่ไม่มีใครเข้าใจ แม้แต่ชั้น.. มีชีวิตอยู่รอดมาได้...”
“ชั้นได้กักตัวนาย ใช้ยีนของนายเพื่อพยายามสร้างก็อปปี้เพิ่ม แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จ ดูเหมือนว่ายีนของนายจะสมบูรณ์ด้วยฝีมือ... พระเจ้าละมั้ง”
“พระเจ้า..งั้นเหรอ”
“พระเจ้านะสิ!!!! “ ดร.ตะโกน “มีแต่ปาฐิหารของพระเจ้าเท่านั้นเหรอที่จะสร้างชีวิตได้ บ้าจริง ๆ บ้าชัด ๆ ลองคิดดูสิ การกำเนิดของชีวิตเหมือนกับคนโยนตัวต่อนับล้าน ๆ ชิ้นลงมาจากเครื่องบิน แล้วหวังให้ลม แรงดึงดูด มวล ทั้งหมดนั่นดึงเองตัวต่อทั้งหมดมาประกอบเป็นเครื่องบินอีกลำที่บินได้ บ้าจริง ๆ ฮ่า ๆ ๆ ๆ”
ดร.หัวเราะอย่างบ้าคลั่งก่อนมองมาที่แฟนท่อมอีกครั้ง
“แล้วนายก็หายไป นายแหกคุกไปได้ด้วยวิธีไหนนั้นไม่มีใครรู้ รู้แค่อยู่ ๆ นายก็หายไปจากห้อง... ไม่ว่าชั้นจะกวาดทั้งเมืองหายังไงก็ไม่เคยพบ.. จนชั้นคิดว่า นายก็คงเหมือนกับคนอื่น ๆ ยีนที่ถูกดัดแปลงอายุสั้นที่คงไปจบชีวิตลงที่ไหนสักแห่ง...”
“แต่แล้วนายก็กลับมา!!!” เขาชี้มาที่แฟนท่อม
“รู้ไหมฉันดีใจแค่ไหนที่เห็นสัญญาณเตือน DNA ของนายปรากฎขึ้นในวันนั้น วันที่มีการประชุมวางแผนราชพิธี เสียดายที่กว่าจะรู้ว่าสัญญาณนั้นได้รับตัวอย่างมาจากนายทหารเดินสารในห้องประชุม มันก็สายเกินไปแล้ว ฉันเสียดายที่ไม่ได้เปิดให้สัญญาณเตือน DOP004 แจ้งผลที่หน้าจอ เพราะมันเป็นงานวิจัยลับสุดยอด และฉันก็ไม่คิดว่านายจะยังอยู่ จนกระทั่งในวันนั้นที่ฉันประติดประต่อเรื่องทั้งหมดได้... ว่าที่แท้แฟนท่อมคือ DOP004 นั่นเอง ฮ่า ๆ ๆ ๆ”
แฟนท่อมในที่สุดก็ควบคุมอารมณ์ได้ หลังจากได้รับข้อมูลที่เจ็บปวดมากมาย...
สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นอย่างนี้เองสินะ เป็นแค่ของทดลอง ไม่ใช่คน ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีตัวตน เป็นแค่ตัวอย่างให้กับนักวิทยาศาตร์สติแตกคนนี้...
แฟนท่อมมองมายัง ดร.อิชน่าอย่างพยายามควบคุมอารมณ์ของตน
“แล้วจะเอายังไงต่อละครับ ส่งผมไปให้กับ โบนิช หรือเก็บผมไว้ทดลองต่อ แยกเป็นชิ้น ๆ”
“ฮ่า ๆ ๆ เรื่องอะไร เรื่องอะไร ฉันจะส่งนายให้กับโบนิช ให้มันค้นหานายให้พลิกแผ่นดินไปเถอะ นายนะเป็นของ ๆ ฉัน ฉันจะเก็บนายไว้ วันนี้ฉันฉลาดมากกว่าสิบปีที่แล้วมากกกกกกก ตอนนี้วิทยาศาสตร์ก็ก้าวหน้าไปกว่าเมื่อสิบปีที่แล้วเยอะมากกกกกกก คราวนี้ฉันต้องทำสำเร็จอย่างแน่นอน ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
แล้ว ดร. ก็โบกมือ นักวิจัยคนหนึ่งถือเข็มเดินเข้ามาที่แฟนท่อม ยกแขนแฟนท่อมขึ้น ก่อนใช้เข็มนั้นดูดเลือดออกจากแฟนท่อมไปจนเต็มหลอด ก่อนหลอดจะหลุดออกและดันตัวเองเข้าไปยังท่อสแตนเลสที่อยู่ด้านท้าย ฟุบ
ดร.โบกมือเรียก ทหารสองคน
“นำตัวอย่างนี้ไปที่แล็บ N05”
   “ครับผม” แล้วทหารทั้งสองก็รับหลอดที่มีเลือดของแฟนท่อมไป ก่อนเดินออกประตูไป
   “ตอนนี้ ขอให้นายกลับไปพักผ่อนก่อนนะคุณแฟนท่อม...” ดร.พูดขึ้นอย่างยิ้มแย้ม
   “... ขอให้คิดว่าเราต้องอยู่ด้วยกันอีก นานนนนน เลยละ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
   แฟนท่อมจ้องกลับไป พร้อมยิ้มเล็กน้อย ตอบกลับไป
   “ไม่แน่นะครับ มันอาจจะสั้นกว่าที่คุณคิดก็ได้”
   ดร.ทำตาโต แล้วหัวเราะ “งั้นเหรอ งั้นเหรอ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
   พอหยุดหัวเราะได้ ดร.ก็โบกมือเรียกทหารกับคริสให้เข้ามา
   “พวกนายช่วยพาคุณแฟนท่อมกลับไปพักผ่อนที่ห้องหน่อยนะ ระวังละอย่าให้เขาหนีไปได้ ไม่งั้นพวกนายสองคนอาจจะต้องเจอนรกแบบที่ไม่เคยจะคิดฝันเลยก็ได้”
   ว่าแล้ว ดร.ก็ส่ง tablet มาให้กับคริส บนหน้าจอมีรูปมือขึ้นมาอยู่ เขามองอย่างงง ก่อนที่จะเข้าใจเขารับ tablet มาและถอดถุงมือออก วางมือลงไป tablet ทำการสแกนมือของเขาและทำการจดจำ DNA ของเขาไว้ และมีข้อความขึ้นมา <DNA Recorded> หลังจากนั้น ก็มีแป้นตัวเลขขึ้นมา เขาก็กดรหัสลงไป Tablet จึงแจ้ง <Password recorded> แล้วหน้าจอก็ดับไป
   “ไปได้แล้ว” แล้ว ดร.ก็หันมาที่แฟนท่อม
   “หลับให้สบายนะคุณแฟนท่อม อย่าลืมละว่าร่างกายของนายเท่านั้นที่มีประโยชน์ ถ้าขัดขืนละก็ให้ยิงทิ้งได้เลย เราสามารถเก็บร่างกายนายไว้ได้นานนนนทีเดียวละเพื่อการวิจัย แต่ยังไงชั้นก็อยากได้ตัวอย่างสด ๆ มากกว่า อย่างที่เขาพูด ๆ กันไงละว่า ของสด ๆ มันย่อมจะอร่อยกว่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า...”

ออฟไลน์ Misiroseki.siro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
    • Misiroseki Siro's Facebook
บทที่ 18 – Escape is too easy but to fight back is more important.
«ตอบ #18 เมื่อ28-08-2012 15:27:24 »

บทที่ 18 – Escape is too easy but to fight back is more important.
คริสและทหารยามเดินคุมแฟนท่อมออกมาจากห้อง และเดินตามเส้นทางเดิมเพื่อนำแฟนท่อมกลับไปยังห้องขัง จริง ๆ ระหว่างทางมาเมื่อครู่นี้คริสได้พยายามสังเกตุดูแล้ว พบว่ามีจุด ๆ หนึ่งปลอดยาม แถมเป็นจุดบอดจากกล้องวงจรปิดด้วย ตรงบริเวณหน้าห้องน้ำ แต่ตอนนั้นคนเยอะเกินไป เขาไม่แน่ใจว่าจะลงมือได้สำเร็จ แต่ตอนนี้มีแต่เขา แฟนท่อมและยามคนเดียว ขอแค่ไปถึงตรงนั้นได้ คงมีโอกาศลงมือ อีกนิด อีกนิด เอาละ
แล้วก่อนที่คริสจะได้ลงมือทำอะไร แฟนท่อมเตะตะหวัดขากลับมายังทหารยามอีกคนจนทหารกระเด็นไปติดฝา
“ไอ้บ้านี่” ทหารที่กระเด็นไปยกปืนขึ้นเล็ง แต่ก่อนที่จะได้ยิง แฟนท่อมก็เตะขาไปที่ท่อนแขนของยามจนต้องปล่อยปืนตกลงไป
“เฮ้ย มัวทำบ้าอะไรอยู่ ยิงมันเลยเซ่” ทหารตะโกนมาที่คริส คริสถือโอกาศนี้ใช้พานท้ายปืนประเคนเข้าใส่ท้ายทอยของทหารยามอย่างจังจนล้มลงสลบไป แฟนท่อมเดิ่นตรงเข้ามาลากร่างที่สลบไสลไปในห้องน้ำก่อนพูด
“คริสครับเก็บปืนของทหารมาด้วย”
คริสได้แต่งง แต่ก็รีบเก็บปืนตามเข้าไปในห้องน้ำ โชคดีมากที่ในห้องน้ำไม่มีใคร
“ช่วยปลดที่ล็อคแขนผมหน่อยครับ”
คริสไม่ได้พูดอะไร ได้แต่ปลดที่ล็อคแขนของแฟนท่อมออก พอเป็นอิสระ แฟนท่อมก็ยื่นมาปลดหมวกของคริสออก พร้อมกระโดดเข้ามาจูบเขาอย่างดีใจ เขากอดกันอยู่สักพัก แล้วคริสก็ถามขึ้น
“นายรู้ได้ยังไงนะ...”
“ผมเห็นรูปร่างของคุณตั้งแต่ในห้องขังผมก็จำได้แล้วละครับ เพียงแต่ยังไม่แน่ใจเท่านั้น”
 แฟนท่อมพูดพลางเปลื้องชุดของทหารที่นอนสลบออกมา
“แต่ผมก็มามั่นใจเอาตอนที่คุณตอบวิทยุนั่นละครับ ผมจำเสียงคุณได้ เลยกำหนดแผนไว้ตั้งแต่ตอนนั้น จริง ๆ แผนนี่มันก็ยัง 50/50 เสี่ยงเอาเรื่องอยู่ครับ เพราะยามถึงสามคน ถ้าเราสองคนจัดการไม่ทันเวลา ผมได้เป็นเป้ากระสุนแน่ แต่โชคดีจริง ๆ ครับที่เจ้าอิชน่าให้ทหารสองคนนั้นไปส่งเลือดผม”
แฟนท่อมถอดชุดของยามออกจนชายคนนั้นนอนเปลือยเปล่าอยู่บนพื้น ก่อนเริ่มถอดชุดของตัวเองออก
“แผนการณ์ของผมเลยมั่นใจว่าประสบความสำเร็จแน่ 99 เปอร์เซ็นต์ =D ขอบคุณมากเลยครับที่เสี่ยงเข้ามาเพื่อผม”
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวฉันไปเฝ้าหน้าประตูนะ นายจัดการแต่งตัวให้เรียบร้อยละกัน”
“ครับ แป๊บเดียวก็เสร็จแล้วครับ” แล้วแฟนท่อมที่ตอนนี้เปลือยเปล่า ก็ใช้เล็บกรีดที่ท้องแขนของยามเล็กน้อยจนเลือดไหลออกมา ก่อนใช้ลิ้นเลียเลือดนั่นไปจนหมด แล้วแฟนท่อมก็ค่อย ๆ เปลี่ยนร่างไปเป็นนายทหารที่นอนเปลือยอยู่ ก่อนจะบรรจงใส่ชุดทหารนั่นกับตัวเอง
แฟนท่อมในร่างของทหารยาม จัดการใส่ชุดขาวของตนให้ทหาร จัดการเอาชุดพันธนาการแบ่งออกเป็นสามส่วนมัดแขน และส่วนหนึ่งก็มัดขา และปิดปาก ก่อนลากเข้าไปในห้องน้ำห้องหนึ่ง ปิดล็อกแล้วปีนออกมา แล้วก็เดินไปห้องเก็บของรื้อ ๆ ๆ อยู่สักพัก ก่อนหยิบป้ายอันหนึ่งโชว์ให้คริสดูพร้อมยิ้มแฉ่ง
“กำลังทำความสะอาดโปรดใช้ห้องน้ำอื่นก่อน”
หลังจากจัดป้ายไว้หน้าห้องน้ำแล้ว ทั้งสองก็สวมหมวก
คริสก็ถามแฟนท่อม
“แล้วนายรู้ไหมเราจะออกไปได้ไง ในนี้ยังกับเขาวงกต เดี๋ยวซ้าย เดี๋ยวขวา จนชั้นเองงงไปหมดแล้ว”
แฟนท่อมยิ้มแม้คริสจะไม่เห็นก็รู้สึกได้
“ไม่ต้องกลัวครับ การจะออกจากที่นี่ไม่ยากอะไรหรอก แต่ว่า เรามีอะไรที่ต้องทำก่อนนั้นครับ”
“อะไรละ”
“สู้กลับไงครับ”
“จะบ้าเหรอ เดี๋ยวถ้าพวกนั้นรู้เรื่องที่นายหลบหนี เราจะหมดโอกาศนะ”
“ใช่ครับ แต่ถ้าหนีเฉย ๆ ก็ไม่ใช่แฟนท่อมแล้วละครับ =D ยังไงซะป้ายนี่คงพอช่วยถ่วงเวลาไว้ได้ครับ”
แล้วแฟนท่อมก็วิ่งนำไป “ตามมาสิครับ ผมจำแผนที่ ๆ นี่ได้จากป้าย ๆ แสดงแผนฝังใกล้ห้องสอบระหว่างถูกจับไปขังครับ เราจะไปที่ ๆ หนึ่งก่อนจะหนีไปครับ”
“เอาว่ะ เอาก็เอา” แล้วคริสก็วิ่งตามแฟนท่อมไป
แฟนท่อมเดินนำคริสไปอย่างชำนาญทางจนน่าอิจฉาความสามารถในการจดจำจริง ๆ ถ้าปล่อยให้เขาเดินคนเดียวคงหลงจนถูกจับได้นั่นละ
“นายจำอะไรเกี่ยวกับที่นี่และสมัยก่อนได้หรือยังละ”
คริสถามขณะวิ่งไป แฟนท่อมยกมือขึ้นให้คริสหยุด และทั้งสองค่อย ๆ เดิน ขณะที่มียามอีกสองคนเดินสวนมา ทั้งสองกลุ่มพยักหน้าให้กันนิดหน่อยก่อนสวนกันไป พอลับมุม แฟนท่อมก็เริ่มวิ่งต่อ ก่อนตอบ
“ยังหรอกครับ แต่ก็ช่างมันเถอะครับ อดีตพรรนั้น แค่ฟังที่ไอ้เจ้าอิชน่าเล่าให้ฟัง ถึงจำไม่ได้แต่ผมก็นึกภาพออกแล้วครับ”
คริสเองก็พอจะนึกภาพออกเหมือนกัน ว่าแฟนท่อมต้องโดนอะไรมาบ้าง...
“ถึงแล้วครับ” แฟนท่อมเดินนำคริสมาที่ห้อง ๆ หนึ่ง มีป้าย “ศูนย์ข้อมูลกลาง” ติดอยู่ หน้าห้องมีทหารยามสองคนยืนอยู่ แฟนท่อมหันหน้ามามองคริส คริสมองไปยังแฟนท่อม แล้วก็เข้าใจ ได้แต่ถอนหายใจเฮือก..
ทั้งสองเดินเข้าไปหายามแต่ละคน ยามก็ถาม
“มีอะไรเหรอ ยังไม่ถึงเวลาเปลี่ยนเวรนี่”
แล้วทั้งคริสและแฟนท่อมก็ทำท่าวันทยาวุธให้ทั้งสอง ด้วยความเคยชิน ทหารยามทั้งสองก็วันทยาวุธตอบปล่อยให้ช่วงท้องว่าง แล้วเหมือนการเคลื่อนไหวของฝาแฝด ทั้งสองอัดหมัดของเขาเข้าที่ท้องของทหารทั้งสองเต็มแรงจนจุกตัวงอ ก่อนกำหมัดทั้งสองขึ้นเหนือหัวแล้ว ฟาดลงไปที่ยามอย่างแรงจนล้มคว่ำไป แล้วทั้งสองก็ดีมือกัน
“เราไม่มีเวลามากนักครับ รีบหน่อยครับ คริสช่วยเอา tablet มาเปิดห้องนี้หน่อยครับ”
คริสหยิบ tablet ที่ได้รับมาขึ้นมา วางไว้ ทำการวางแสกน dna ใส่ระหัส แล้ว หน้าจอก็ขึ้นรูปฝ่ามืออีกที คริสมองไปที่แฟนท่อม แฟนท่อมถอดถุงมือของยามออกเรียบร้อยแล้ว แล้วก็เอามือของยามที่สลบอยู่มาวาง แล้วประตูก็เปิดออก แฟนท่อมลากทหารยามที่หมดสติเข้าไปในห้อง คริสจึงลากอีกคนหนึ่งเข้าไปเช่นกัน แล้วปิดประตู จากนั้นแฟนท่อมก็พุ่งความสนใจไปที่คอมพิวเตอร์หลักที่อยู่ในห้อง เขาคีย์ข้อมูลค้นหาอย่างรวดเร็ว จนคริสเองก็ตามไม่ทัน คริสจึงเลื่ยงไปยืนที่ประตูคอยฟังเสียงเดินของยามภายนอก สักพักแฟนท่อมก็ทุบโต๊ะ
“อย่างนี้นี่เอง! มิน่าละ”
“มีอะไรหรือแฟนท่อม”
“ดูข้อมูลนี่สิคริส”
“นี่มัน!!!”
“ใช่แล้ว นี่ละแผนที่โบนิชร่วมมือกับอิชน่า มิน่าละเขาถึงต้องการเลือดของผม เพราะความคืบหน้าของการทดลองไม่เป็นไปตามที่คิดนั่นเอง”
“หมายความว่า”
“ใช่ครับ ถ้าดูจากรายงานนี้ ถ้ามีเลือดผมละก็ งานนี้แผนของพวกนี้คงสำเร็จอย่างไม่ต้องสงสัยครับ”
“งั้นเราจะทำไงดีละ”
“คงต้องไปทำลายหลอดเก็บเลือดของผมครับ เดี๋ยวนะครับ”
แล้วแฟนท่อมก็ค้นข้อมูลต่อ
“นี่เองครับแล็บ N05 ที่เก็บตัวอย่างเลือดผม ค่อนข้างไกลทีเดียว”
บนมอนิเตอร์แสดงขวกเก็บเลือดของเขาที่มีป้าย Dop004 อยู่ท่ามกลางขวดคล้าย ๆ กันอีกหลายใบ
ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไรต่อ สัญญาณเตือนภัยก็ดังขึ้น
“อ๊ะแย่แล้วครับ สงสัยความจะแตกแล้ว แบบนี้คงต้องแผนสอง คริสครับส่ง tablet มาให้ผมครับ”
คริสยื่น tablet ให้แฟนท่อม เขาดึงสายจาก tablet ไปเสียบเชื่อมกับเมนคอมพิวเตอร์
“ผมจะ download ข้อมูลพวกนี้ไปครับ แล้ว อิอิ ผมจะวางกับดักเล็ก ๆ ไว้ด้วย เมนคอมพิวเตอร์หน่วยวิจัยฯ นี่ลูกเล่นเยอะจริง ๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
“กับดักหรือ”
“ใช่ครับ หวังว่ามันจะได้ผล”
แล้วแฟนท่อมก็คลุกอยู่กับคอมอีกสักครู่หนึ่ง คริสไปเฝ้าหน้าประตูด้วยความกระวนกระวายใจ
“เอาละครับ อิอิ เชิญฟังเพลงกันหน่อยนะครับ” แล้วแฟนท่อมก็กด enter ทันใดนั้นในลำโพงวิทยุติดต่อของหมวกก็มีเพลงคลาสสิคดังขึ้นมา
“รสนิยมของอิชน่านี่ดีไม่เลวนะครับ ชอบฟัง Requiem ของ โมสาสซ์ซะด้วย ผมแจมระบบวิทยุติดต่อด้วยเพลงนี้แล้วครับ คงช่วยให้เราหนีออกไปได้ อ้อ เสร็จพอดี”
แฟนท่อมคว้าเอา tablet ที่ดาว์โหลดข้อมูลเสร็จเรียบแล้วออกมา
“รีบไปเถอะครับ”

ระหว่างที่แฟนท่อมวิ่งนำออกไปยังประตูใหญ่ คริสอดจะถามไม่ได้
“เพลงนี่เหรอกับดักที่นายบอก”
“เปล่าครับ กับดักผมยังไม่แสดงผลออกมาตอนนี้ครับ ขออนุญาติเก็บไว้เป็นความลับนะครับ ไม่งั้นจะไม่สนุก”
แล้วเขาก็โพล่ออกมาที่หน้าประตู แฟนท่อมเดินเข้าไปหายามอย่างทำเนียนก่อนวันธยาวุธให้พร้อมแจ้ง
“มีนักโทษหลบหนีครับ ดร.อิชน่าแจ้งให้ยามกระจายตัวกันค้นหาโดยด่วนครับ”
“ยังไม่ได้รับรายงานเรื่องนี้เลย วิทยุมีแต่เพลงอะไรไม่รู้ดังตลอด ติดต่อใครไม่ได้เลย”
“วิทยุคาดว่าถูกแจมครับ ดร.ถึงให้ผมนำคำสั่งมาโดยตรง”
“โอเค งั้นนายสองคนไปค้นหาบริเวณด้านซ้าย เดี๋ยวฉันจะจัดหน่วยค้นหาออกไปช่วยสักสองคน จริง ๆ แล้วยังไม่มีใครผ่านประตูออกมาเลยนะ ไม่น่าจะมีนักโทษหลบหนีไปแล้วได้”
“รับทราบครับ” แล้วคริสกับแฟนท่อมก็วิ่งในท่าพร้อมออกประตูไป ถึงตรงนี้ คริสบอกกับแฟนท่อมให้ตามเขาไป คริสเดินนำแฟนท่อมไปยังพุ่มไม้ที่ขอบเขตหวงห้าม ก่อนหยิบไฟฉายขึ้นมาส่งสัญญาณ แล้วก็มีรถทหารวิ่งออกมาจากพุ่มไม้ไกล ๆ อย่างเร็ว และวิ่งมาทางนี้ คริสออกจากพุ่มไม้ไปโบกมือให้  รถตรงเข้ามาจอดอย่างรวดเร็ว ทั้งสองถอดหมวกออกโยนเข้าไปในรถ
“ขึ้นรถก่อนครับ” คริสหันมาบอกกับแฟนท่อม แฟนท่อมมองเข้าไปในรถเห็นวินทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ เขาเปิดประตูเดินขึ้นไปนั่งที่นั่งข้าง ๆ คนขับที่วินนั่งอยู่ ระหว่างนั้นคริสก็ลากเอาทหารยามที่ถูกมัดไว้ลงมา ก่อนปลดพันธนาการออกจนหมด แล้ววิ่งขึ้นไปนั่งบนรถ
“ไปได้เลย”
แต่วินยังไม่ออกรถ เขาหันมามองแฟนท่อมที่ทำหน้าเป๋อเหรออยู่ ก่อนจะใช้มือข้างที่ดี อัดโครมที่จมูกของแฟนท่อมจนเลือดกำเดาไหล
“นี่ค่าจับชั้นไปเปลือยอีกตั้งหลายวัน” แล้วเขาก็พุ่งรถออกไป
“หูย โอ๊ย หมัดหนักเป็นบ้าเลยครับ” แฟนท่อมเอาผ้าขึ้นมาซับเลือด “งั้นเราหายกันแล้วสินะครับ”
ในที่สุดวินก็ยิ้ม ๆ ออกมาได้
“ยังเฟ้ย แค่หมัดเดียวจะมาชดใช้ความเสียหายของจิตใจชั้นได้หมดได้ไงว่ะ”
แล้วเขาก็หัวเราะ แฟนท่อมก็หัวเราะ คริสก็หัวเราะ ทั้งสามคนหัวเราะร่า พร้อมนำรถเข้าไปในเมืองหายเข้าไปในการจราจรอันคับคั่ง

ออฟไลน์ Misiroseki.siro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
    • Misiroseki Siro's Facebook
บทที่ 19 – Even brave warrior also need to rest.
«ตอบ #19 เมื่อ28-08-2012 15:28:03 »

บทที่ 19 – Even brave warrior also need to rest.

“แล้วเราจะเอาไงต่อดีละ” วินเอ่ยขึ้นก่อน
ทั้งหมดตอนนี้มาจอดรถอยู่ที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งในย่านเสื่อมโทรม ที่คนปรกติคงไม่กล้ามานั่งจอดรถคุยกันแถวนี้ แต่สามคนนี้มันปรกติซะที่ไหนละ...
“จะกลับไปตั้งหลักที่คลังดีไหม? “ คริสเอ่ยขึ้น
“อย่าดีกว่าครับ ... ตอนที่คุณบุกไปช่วยผม คุณสองคนต่างอยู่ในชุดทหารยามของคลัง ป่านนี้ทางโน้นคงรู้แล้วว่า ผมมีคนคอยช่วยเหลืออยู่ และที่คลังคงถูกจับตาไว้แล้ว ถ้าเราโผล่ไปคงถูกจับอย่างแน่นอนครับ” แฟนท่อมขัดขึ้น พร้อมกับมองขึ้นไปบนฟ้าดำมืดที่มองแทบไม่เห็นดวงดาว
“แต่ที่นั่นมีพรรคพวกเราเยอะแยะนะ ถ้าอธิบายให้ฟังเขาน่าจะฟัง” วินขัด
“เหรอครับ... เขาจะเชื่อใครละครับ ระหว่างอัครเสนาบดี กับจอมโจรที่เพิ่งปล้นคลังเขาไปได้ไม่นานนี้เอง...”
“แต่เรามีหลักฐานนี่ ไหนว่าพวกนายโหลดข้อมูลมาจากในเมนเฟรมของที่ศูนย์ฯ”
“ก็อีกละครับ ข้อมูล ข้อเท็จจริง นะ มันอยู่ที่ใครมีอำนาจมากกว่ากันเป็นคนอ้างครับ ถ้าเขามีอำนาจมากกว่า จะเปลี่ยนเรื่องเท็จให้เป็นจริง จริงให้เป็นเท็จมันง่ายมากเลยครับ... โลกเรามันก็เป็นแบบนี้ละครับ”
คริสยืนพิงฝา มือสอดไว้ในกระเป๋ากางเกง มองพื้นอย่างไม่แน่ใจอนาคต
“งั้นเราจะทำยังไงดีละแฟนท่อม”
“ขอเวลาผมนิดครับ ผมคงต้องรวบรวมข้อมูลในหัวก่อน เสียดายที่เรามีเวลาน้อยเหลือเกิน ในเมื่อพวกโบนิชรู้ว่าเราหลุดออกมาพร้อมกับแผนของพวกมันแล้ว แถมมันยังมีตัวอย่างเลือดของผมแล้ว มันคงจะดำเนินการอย่างรีบด่วนแน่นอนครับ ไม่น่าจะเกินวันสองวันนี้พวกนั้นต้องลงมือแน่ครับ...”
เฮ้อ... แฟนท่อมถอนหายใจ
“แต่ก่อนหน้านั้น เราคงต้องไปที่หนึ่งก่อนครับ ที่นั่นปลอดภัยสำหรับซ่อนตัว และผมจะได้มีสมาธิในการวางแผนด้วย และอาจจะ... เอาละครับ ขอผมขับเองละกันครับ ยังไงก็ไม่ไกลจากนี่นัก”
แล้วแฟนท่อมก็เข้าไปนั่งที่คนขับ วินกับคริสขึ้นไปนั่ง แล้วแฟนท่อมก็ขับออกไป... แฟนท่อมขับรถออกจากตัวเมืองไป เข้าสู่ชุมชนเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง แถบชานเมือง เขาขับตรงไปที่โบสถ์ก่อนจอดรถ
“แฟนท่อม หรือว่า” คริสมองหน้าแฟนท่อม
“ใช่ครับ อย่างที่คุณคิดละครับ”
แฟนท่อมเดินนำไปที่โบสถ์ ก่อนมองไปที่ชั้นสอง เห็นงาคนไหว ๆ อยู่ เขาก็ถอนหลายใจ ก่อนเคาะประตูโบสถ์ มีเงา ๆ หนึ่งออกมาที่หน้าต่าง พร้อมตะโกน
“ลูก ๆ วันนี้โบสถ์ปิดแล้วครับ มีอะไรจะติดต่อเป็นวันพรุ่งนี้เถอะนะ”
“ฟาร์เธอร์ครับ” แล้วแฟนท่อมก็เปลี่ยนร่างตัวเองกลับเป็นหน้าของตัวเอง เงานั้นสะท้านเล็กน้อยก่อนเดินหายไป
วินที่ไม่เคยเห็นถึงกะช็อคที่เห็นการกลายร่างชัด ๆ คราวนี้เอง
“จิงดิ ตั้งแต่ฟังคริสเล่าให้ฟังไม่เคยเชื่อมาก่อนเลยนะเนี่ย คิดว่า คริสมันโม้ซะอีก แล้วนี่มันหน้าใครละ”
“นี่คือหน้าจริง ๆ ของผมเองครับ วิน คุณเป็นคนที่สามในโลกนี้ที่รู้จักใบหน้าจริงของแฟนท่อมครับ แม้แต่ตอนที่ถูกบุกจับผมยังเปลี่ยนร่างเป็นคนอื่นเผื่อไว้แล้ว ถ้าเขาประกาศหาผมในหน้านั้น คงไปจับโดนทหารสักคนมั้งครับ ฮ่ะ ฮ่ะ”
วินหันไปมองที่คริสเหมือนอยากถาม คริสก็ยิ้มให้และพยักหน้า เขาเข้าใจแฟนท่อมดี หากเขาไม่ไว้ใจวินแล้ว ไม่มีทางที่จะแสดงหน้าที่แท้จริงให้เห็นอย่างแน่นอน
เสียงกลอนประตูเปิดออกดังแกร๊ก ก่อนประตูเปิดแง้มออกมา
บาทหลวงท่าทางใจดี รูปร่างใหญ่ ไว้เคราเป็นคนเปิดประตูออกมา เขามองไปที่แฟนท่อมและทัก
“ทอม”
“สวัสดีครับ ฟาร์เธอร์ ขอโทษด้วยที่ต้องมารบกวนครับ”
“เข้ามาก่อนสิ”
ทั้งหมดเดินเข้าไปในโบสถ์เล็ก ๆ แห่งนั้น บาทหลวงปิดและล็อคประตู แล้วผายมือให้ทั้งหมดนั่งลงที่เก้าอี้ที่ใช้ฟังธรรม ก่อนจะเดินหายไปด้านหลังสักครู่ หลังจากนั้นก็เดินออกมาในถาดมีขนมปังหลายก้อน กับโกโก้ร้อนที่กำลังส่งควันฉุยอยู่
“ขอโทษด้วยดึกดื่นป่านนี้แล้ว คงไม่มีอะไรดี ๆ เลี้ยง ทานนี่รองท้องไปก่อนละกัน”
ทั้งสามต่างตอบขอบคุณ และทานขนมปังกับโกโก้กันอย่างเงียบ ๆ ระหว่างนั่น ฟาร์เธอร์ก็ไม่ได้ซักถามอะไร ปล่อยให้ทานกันตามสบาย.. คริสรู้สึกค่อยยังชั่วขึ้น เพิ่งนึกได้ว่าตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อวานนี้ เขายังไม่ได้ทานอะไรตกถึงท้องเลย แค่สองวัน มันมีเรื่องเกิดขึ้นมากมายจริง ๆ...
หลังจากทุกคนอิ่มแล้ว ฟาร์เธอร์ก็ทำการเก็บแก้วจาน คริสจะขยับขึ้นมาช่วย แต่ฟาร์เธอร์ห้ามไว้
“พวกเธอนั่งเฉย ๆ พักผ่อนก่อนเถอะ งานแค่นี้พ่อจัดการได้ เดี๋ยวพ่อกลับมานะ”
แล้วฟาร์เธอร์ก็เดินถือถาดกลับเข้าไปด้านหลัง คริสสังเกตุว่าแฟนท่อมก็มองดูฟาร์เธอร์เดินไปจนลับตา สายตาของแฟนท่อมเหมือนเด็กที่มองพ่อแม่ เขาก็กะอยู่แล้ว... แฟนท่อมคิดเสมอมาว่าฟาร์เธอร์เป็นพ่อแท้ ๆ ของตัวเอง ไม่ว่าจะยังไง เขาก็ไม่เคยเปลี่ยนความคิดนั้น..  คริสยิ้ม แฟนท่อมบอกเสมอว่าตัวเองโดดเดี่ยว จริง ๆ แล้ว เขาอาจจะแค่ไม่เข้าใจความรักดีพอมาตลอดก็เป็นได้...
ฟาร์เธอร์เดินกลับเข้ามาพร้อมกับผ้าขนหนู 3 ผืน กับอ่างน้ำร้อน
“เอ๊า ล้างหน้าล้าตาซะก่อน” ...
แล้วเขาก็เงียบ ปล่อยให้ทั้งสามคนเช็ดหน้าเช็ดตาให้สดชื่นขึ้น แล้วเมื่อทุกคนดูสดชื่นดีแล้ว ฟาร์เธอร์ก็เอ่ยถามแฟนท่อมในที่สุด
“ทอม ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ครับ ฟาร์เธอร์ จำงานสุดท้ายนั่นได้ไหมครับ ที่ฟาร์เธอร์บอกว่ากลิ่นไม่ดี...” แล้วแฟนท่อมก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟาร์เธอร์ฟัง ท่านก็ฟังอย่างไม่พูดแทรกแม้แต่คำเดียว ได้แต่ตั้งใจฟังเรื่องราวทั้งหมด ตั้งแต่การปฎิบัติงานของแฟนท่อม การรู้ตัวจริงของโบนิช การวินาศกรรมในลานพิธี ถูกจับไปยังศูนย์วิจัยฯ และรู้ความจริงเกี่ยวกับตนเอง จนการช่วยเหลือของเพื่อนทั้งสอง...”
เมื่อเล่าจนจบ ฟาร์เธอร์ก็เอามือขึ้นมากอดอก ก่อนพิงเก้าอี้พร้อมหลับตาลง แล้วพูด
“มิน่าละ อย่างนี้นี่เอง....” แล้วท่านก็ถอนหายใจ และนั่งอยู่ในท่านั้นครู่ใหญ่ ในที่สุดท่านก็ลืมตาขึ้นแล้วมองไปยังทอมก่อนถาม
“แล้วเธอจะเอายังไงต่อไปละทอม...”
“คืนนี้พวกผมขออาศัยพักที่นี่ก่อนครับ ส่วนผมเองจะได้เรียบเรียงข้อมูลทั้งหมดให้เรียบร้อย เผื่อจะคิดแผนอะไรออกมาได้บ้าง ห้องของผมกับคอมฯ ยังอยู่ที่เดิมใช่ไหมครับ”
“อืม... “ ฟาร์เธอร์พูดแล้วยิ้ม
แล้วท่านก็เดินนำทั้งสามคนขึ้นมาชั้นสอง เอากุญแจมาไขเปิดห้องออก ห้อง ๆ นั้นเรียบง่าย มีเพียงหนังสือไม่กี่เล่ม คอมพิวเตอร์ตัวหนึ่งบนโต๊ะ กับเตียงนอน แฟนท่อมเดินเข้าไปในห้อง แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย เขาเอามือลูบที่รอยสลัก P บนโต๊ะที่เขาสลักไว้ตั้งแต่เด็ก ไม่มีฝุ่นเลย แสดงว่าฟาร์เธอร์ต้องเข้ามาทำความสะอาดอยู่เสมอ ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้กลับมาตั้งหลายปีแท้ ๆ ...
“ทำไมเตียงใหญ่จัง มันใหญ่มากนะสำหรับห้องเด็ก”
แฟนท่อมยิ้ม พร้อมตอบ
“เดิมห้องนี้เป็นห้องพักแขกนะ พอฟาร์เธอร์รับผมมาอุปการะ ท่านก็จัดให้ผมอยู่ห้องนี้ เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่เลยใหญ่ไปสำหรับเด็ก ๆ แต่สำหรับพวกเราตอนนี้คงพอดีละนะ”
“เอ้า เอ้า ช่วยหน่อยสิลูก ๆ”
ฟาร์เธอร์เดินหอบที่นอนเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ คริสรีบวิ่งเข้าไปช่วยรับ ฟาร์เธอร์มองคริสแล้วยิ้มให้
“แย่หน่อยนะที่นี่ไม่มีชุดให้เปลี่ยนกัน” คริสมองดูตัวเองที่ยังอยู่ในชุดทหารสีน้ำเงินของกองวิจัย เหมือนกับแฟนท่อมส่วน วินก็อยู่ในชุดทหาร
“ไม่เป็นไรครับ พวกเราชินกันอยู่แล้วครับ” คริสพูด
ฟาร์เธอร์ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ยิ้มให้ ก่อนเดินออกไป ท่านหันกลับมา
“ลูก ๆ พักผ่อนก่อนเถอะ พ่อเองก็ต้องพักผ่อนแล้ว ... ทอม อย่าลืมสวดมนต์ก่อนนอนละ” ฟาร์เธอร์พูดแล้วปิดประตูออกไป แฟนท่อมตรงไปที่โต๊ะ เปิดคอมขึ้นพร้อมเอา tablet เชื่อมเข้ากับเครื่อง วินกระโดดใส่เตียง
“ชั้นจองเตียงเฟ้ย พวกนายนอนพื้นไปละกัน โอ๊ย” ปรากฎว่ากระโดดโดยลืมคิดถึงแขนที่เดาะอยู่ จนไปทับเข้า     วินจึงได้แต่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาพร้อมโอดโอย เรียกเสียงหัวเราะกันได้ทั้งห้อง
ฟาร์เธอร์ที่กำลังเดินไปที่ห้อง ได้ยินเสียงหัวเราะก็หันกลับมาเล็กน้อย ก่อนยิ้ม
“นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่เคยได้ยินทอมหัวเราะ...”
แล้วท่านก็เดินยิ้มเข้าห้องของท่านไป

 “มีอะไรให้ฉันช่วยไหม แฟนท่อม”
“ไม่เป็นไรครับ คุณสองคนนอนก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมจัดการข้อมูลเสร็จก็จะนอนเหมือนกัน เป็นวันที่ยาวนานซะไม่มี...
“เออนี่ แฟนท่อม จะรังเกียจไหมถ้าฉันจะเรียกนายว่าทอมเหมือนฟาร์เธอร์นะ” วินถามขึ้นมา
แฟนท่อมเลิกตามองที่วินอย่างแปลกใจ
“ก็แบบมานั่งเรียก แฟนท่อม แฟนท่อมมันน่ารำคาญนะ จะชื่อหรือก็เปล่า ถ้านายไม่อยากก็ไม่เป็นไร”
แฟนท่อมยิ้มให้ ก่อนพูด
“ได้สิครับ เรียกผมทอมได้ตามสบายครับ”
“เย้ ดีมากเพื่อน งั้นฉันขอตัวเข้าแดนฝันก่อนนะ ทอม คริส” ว่าแล้ว วินก็คลุมผ้าห่มโปง แค่ไม่นานก็ได้ยินเสียงกรน
“โห หลับง่ายเป็นบ้าเลย... รู้งี้ตอนนั้นผมไม่ต้องวางยาก็ได้มั้งครับเนี่ย หัวถึงหมอนปุ๊บหลับปั๊บ”
“ฮ่ะ ฮ่ะ” คริสหัวเราะ “เอ่อ...........ทอม”
“ครับ”
คริสตรงเข้าไปกอดทอมจากด้านหลัง... ทอมหยุดมือจากการพิมพ์ข้อมูล หันหน้ามาจ้องตอบคริส... ทอมจูบคริสที่แก้มอย่างแผ่วเบา
“ผมอยากให้เวลานี้คงอยู่ตลอดไปเหลือเกิน..”
ทอมยิ้ม...
“ผมก็เหมือนกันครับ แต่ว่าเสียดายที่เรายังมีสิ่งที่ต้องทำอยู่ เพื่ออนาคตของเราเองครับ ผมรับรองว่า ผมจะทำทุกอย่างเพื่ออนาคตของเราครับ คริส....”
ทอมพยักหน้าไปทางคอมฯ ก่อนมองมาที่คริส คริสพยักหน้าก่อนถอนตัวลงมาบนที่นอนที่ปูอยู่บนพื้น ขณะที่ทอมหันไปให้ความสนใจกับข้อมูลต่าง ๆ ที่เขาได้รับมา... เสียงคีย์บอรด์ก็อกแก๊ก ๆ กล่อมให้คริสหลับไหลไปด้วยความอ่อนเพลีย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

บทที่ 19 – Even brave warrior also need to rest.
« ตอบ #19 เมื่อ: 28-08-2012 15:28:03 »





ออฟไลน์ chin-ruyze

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-10
มาติดตามคร้าบบบบบ :กอด1: :mc4:
+ เป็ดๆๆ สนุกอ่ะ :z13:
ต่อๆเลยคร้าบบบบ o13

ออฟไลน์ Misiroseki.siro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
    • Misiroseki Siro's Facebook
ตอนที่ 20 – The tear of parent which sons will never see.
«ตอบ #21 เมื่อ28-08-2012 15:28:40 »

ตอนที่ 20 – The tear of parent which sons will never see.
รุ่งเช้า คริสตื่นขึ้นมาก่อนเพื่อน... เขามองซ้ายมองขวาอย่างแปลกที่ ก่อนนึกได้ว่าตัวเองนอนอยู่ที่ไหน เขาลุกขึ้น วินยังคงหลับสนิทอยู่บนเตียง เขามองหาแฟนท่อม ปรากฎว่าแฟนท่อมฟุบหลับอยู่หน้าคอม เขาได้แต่ส่ายหน้า เขาหยิบผ้าห่มขึ้นมา ห่มให้กับแฟนท่อม...ทอม... เขาอยากจะอุ้มลงมานอนที่ที่นอนเหมือนกัน แต่กลัวว่าจะปลุกให้ตื่นซะเปล่า ๆ ดูหน้าตอนนอนสิ ยังกับแมวนอนหงวด เจ้าแมวหลงเจ้าปัญหาเอ๋ย.... คริสคิดแล้วก็ยิ้มออกมา
คริสเปิดประตูออกมา พบว่าหน้าประตูมีเสื้อผ้ากางเกงยีนกับเสื้อยืดสามชุด กับผ้าเช็ดตัว กับแปรง สบู่ ยาสีฟัน ฟาร์เธอร์คงเตรียมไว้ให้ เขาหยิบขึ้นมาชุดหนึ่งก่อนเดินไปอาบน้ำ... เขาถอดชุดทหารที่เต็มไปด้วยเหงื่อไคลออก ก่อนอาบน้ำแปรงฟันจนเสร็จ และเปลี่ยนเป็นชุดไปรเวทที่บาทหลวงเตรียมไว้ให้ เขามองไปที่ชุดทหารแล้วคิดชั่งใจว่าจะเก็บไว้เผื่อ ๆ ต้องใช้หรือเปล่า สุดท้ายแล้วก็ตัดสินใจเก็บไว้ อย่าที่เขาว่า ให้มีแล้วไม่ได้ใช้ดีกว่าต้องใช้แล้วไม่มี..
เขาเดินลงมาชั้นล่าง ก็พบฟาร์เธอร์กำลังคุกเข่าสวดมนต์อยู่ เขาจึงเลี่ยงเดินมานั่งที่ม้านั่งเงียบ ๆ จนบาทหลวงลุกขึ้นยืนและหันกลับมายิ้มให้
“ตื่นแล้วเหรอ... ดีจริงที่ใส่เสื้อผ้าได้ กลัวอยู่ทีเดียวว่าจะไม่พอดี พ่อวานให้เด็กแถวนี้วิ่งไปซื้อมาให้จากมารท์ใกล้ ๆ นะ”
แล้วฟาร์เธอร์ก็เดินมานั่งข้าง ๆ คริส
“จริงสิ เมื่อวานเห็นเพลีย ๆ เลยข้ามเรื่องพิธีการไป เรายังไม่ได้แนะนำตัวกับเลยนี่”
“อ้อครับจริงด้วย ผมคริส เฟนครับ เป็นทหารยามประจำคลังหลวงครับ เป็น เอ่อ ... เพื่อนของทอมครับ”
“งั้นเหรอ ส่วนพ่อ เบน หลวงพ่อเบนจามิน จะเรียกฟาร์เธอร์แบบทอมเรียก็ได้นะ”
“ครับ ผมพอได้ยินเรื่องของ ฟาร์เธอร์มาบ้างจากทอม...”
“เหรอ เขาเล่าเรื่องของเขาให้ลูกฟังเลยเหรอ...”
“ครับ...”
ฟาร์เธอร์มองมาที่คริส คริสก็มองตอบเขาก็ตระหนักว่า หลวงพ่อยิ้มอย่างรู้ทันเรื่องระหว่างเขากับแฟนท่อม
“ไม่เป็นไรหรอก พ่อไม่ซักไซร้อะไรลูกหรอก แม้จะน่าแปลกใจอยู่บ้างที่ทอมเปิดใจให้กับทหาร แต่การพบกันนั้นล้วนเป็นพรหมลิขิต ไม่ใช่เหตุบังเอิญ หากทอม เชื่อใจลูก พ่อเองก็เชื่อใจเหมือนกัน...”
แล้วทั้งสองก็นั่งอย่างเงียบ ๆ อีกสักพัก ก่อนคริสจะรวบรวมความกล้าขึ้นถาม
“ทอมเล่าให้ผมฟังว่าท่านเป็นฟิกเซอร์...”
ฟาร์เธอร์ก้มหน้ารับ
“อืม...”
“ทำไมครับ ทำไมหลวงพ่อที่ดูใจดีอย่างท่านถึงทำงานแบบนี้ครับ ทอมเขา ทอมเขา.... “
“เฮ้อ.... ลูกเอ๋ย เรื่องบางเรื่องนั้น แม้อยากทำ แต่ก็ทำไม่ได้ แต่บางเรื่อง แม้ไม่อยากทำ แต่ก็ต้องทำ”
ฟาร์เธอร์ลุกขึ้น เดินไปที่หน้าต่าง
“ลูกมองดูรอบ ๆ สิ เพราะโบสถ์แห่งนี้ ชุมชนนี้ถึงอยู่แบบนี้ได้... ลูกไม่ได้สังเกตุเหรอว่าถึงชุมชนนี้อยู่ในเขตเสื่อมโทรม กับดูสงบสุข... ทั้งหมดนี้ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนทั้งนั้น...”
“พ่อหมายถึง...”
“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของลูก ๆ หรอก จงทำในสิ่งที่ตัวเองต้องทำ พ่อก็จะทำในสิ่งที่พ่อต้องทำ”
“ขอถามอีกข้อครับ...”
“เอาสิ”
“ทำไมคุณพ่อถึงป้อนงานให้กับทอมครับ ผมมองดูท่านผมก็ทราบ ว่าท่านนั้นรักทอมเหมือนลูกแท้ ๆ ของท่านเอง ทำไมป้อนงานอันตรายให้กับเขาครับ...”
“...”
“ทำไมท่านไม่ห้ามเขาไม่ให้ทำงานแบบนี้ครับ” คริสถามพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมา.. เขาสงสารทอม...
“สำหรับคำถามแรก... เพราะทอมเลือกทางเดินนั้นด้วยตัวเอง... หากลูกได้เป็นพ่อแม่คงเข้าใจ ไม่ว่าลูกของลูกจะเดินไปทางไหน พ่อแม่มีแต่ต้องยอมรับมัน.... สำหรับคำถามสอง... พ่อ... จะเอาสิทธิอะไรไปห้ามเขา...”
หลวงพ่อหันกลับมา
“มือข้างหนึ่งของพ่อจับอยู่กับพระเจ้า แต่มืออีกข้างของพ่อนั้นจับอยู่กับซาตาน คนที่มือทั้งสองไม่ว่างแบบนี้ จะโอบอุ้มใครได้.... พ่อก็ได้แต่พยายาม เลือกงานที่ไม่ยากเกินความสามารถ และค่าตอบแทนสูง เพื่อทอมจะได้ทำงานน้อยที่สุด เสี่ยงน้อยครั้งที่สุด ทุกครั้งพ่อได้แต่รอฟังข่าวว่าทอมไม่ถูกจับไปแล้ว...ว่าทอมไม่ได้ถูกยิงไปแล้ว ทุก ๆ วัน ทุก ๆ วัน....”
ฟาร์เธอร์คุกเข่าลง กับพื้นแล้วร้องให้
“นี่อาจจะเป็นฑัณฑ์ ที่พระเจ้ามอบให้แก่พ่อ ที่ไปทำสัญญากับซาตาน หางานให้กับเหล่าปีศาจ ทำให้พ่อไม่มีวันจะมีความสุขอีกต่อไป.... และแม้แต่ห้าม พ่อก็ทำไม่ได้..... “
“ฟาร์เธอร์ครับ” คริสเดินเข้าไปจับมือที่สั่นเทาของหลวงพ่อ มือนั้นหยาบกร้านด้วยงานหนัก มือที่เจ้าตัวคิดว่าได้แบกรับบาปมากมายไว้สั่นเทาไปด้วยน้ำหนักนั้น...
“คริส... ชั่วชีวิตของพ่อไม่เคยขอร้องใครมาก่อน ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น”
ฟาร์เธอร์หันมามองหน้าคริสทั้งน้ำตา
“โปรดช่วยอยู่เคียงข้างทอมด้วย... เด็กคนนั้นแม้จะดูเข้มแข็ง แต่จริง ๆ แล้ว เขาเปราะบางเหมือนแก้ว ที่เขาทำทั้งหลายล้วนฝืนทนอยู่ อย่าให้เขาต้องแบกรับบาปเพียงคนเดียว อย่างพ่อ เพราะไม่ช้า เขาต้องแตกสลายแน่...”
“ทอมไม่เคยคิดว่าตันเองมีตัวตน เขาจึงได้แต่ใส่คราบของผู้อื่นอยู่ร่ำไป... ทั้ง ๆ ที่ใจนั้นแสวงหาคนที่จะมองเห็นตัวตนจริง ๆ ของเขาตลอดมา... หากลูกเป็นคน ๆ นั้น โปรดเถอะ โปรดอยู่ข้าง ๆ เขา... ช่วยพยุงเขาไว้ให้เขารู้ถึงตัวตนของตัวเอง...”
แล้วฟาร์เธอร์ก็ร้องให้ คริสก็ร้องให้ เขากุมมือของฟาร์เธอร์ไว้
“ครับ ผมสัญญาครับ”
ชายผุ้นี้แบกรับเรื่องไว้มากมายเหลือเกิน คริสจึงอยากช่วยเขาแบกรับเรื่องของทอมไว้สักนิด ให้มือที่สั่นเทานั้นเบาบางลง...
ที่บรรได แฟนท่อมยืนพิงพนังอยู่... น้ำตาของเขาไหลอาบแก้ม... เขานึกถึงตอนที่ฟาร์เธอร์บอกเขาว่าวันหนึ่งเขาจะเข้าใจ ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว... เข้าใจทั้งหมดแล้ว...
“ขอบคุณมากครับ คุณพ่อ” เขาพึมพัมกับตัวเอง
เขาค่อย ๆ ย่องขึ้นไปชั้นสองใหม่ เช็ดน้ำตาออก แกล้งทำเหมือนไม่ได้ยินเรื่องมื่อครู่ แล้วเดินเสียงดังลงมา
“ท่าทางทอมจะตื่นแล้ว เด็กคนนี้นี่ไม่เคยเปลี่ยนเลยจริง ๆ “ ฟาร์เธอร์ยิ้มออกมา คริสพยุงท่านขึ้นมายืน
“อรุณสวัสดิ์ครับ ฟาร์เธอร์ คริส วินยังอาบน้ำอยู่เลย...”
“รอวินลงมาก่อนละกัน ผมวางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว” แฟนท่อมยิ้มอย่างพอใจ

ออฟไลน์ Misiroseki.siro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
    • Misiroseki Siro's Facebook
ตอนที่ 21 - The return of the phantom menace strike back to the empire, but not have a Jedi.
“นี่คือแผนทั้งหมดครับ!”
ทอมเอามือมายกคางของวินที่อ้าค้างอยู่ให้หุบเข้า ส่วนคริสก็เอามือกุมหน้าผากพร้อมส่ายหน้า ด้านฟาร์เธอร์กำลังหัวเราะร่วน...
“แผนของนายนี่มัน!” วินพูด “มันแย่ยิ่งกว่าแผนของไอ้เจ้าคริสอีกมั้งเนี่ย!!!”
“ผมลองนึกความเป็นไปได้ 25,870 แบบ แล้ว นี่ละเป็นทางที่ดี่สุด”
“แต่มันก็เสี่ยงเอาการนะ” คริสพูด “โดยเฉพาะนาย ทอม”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ อย่างที่เขาว่า ไม่เข้าลูกเสือก็ไม่ได้ถ้ำเสือ”
“เขาพูดว่า ไม่เข้าถ้ำเสือก็ไม่ได้ลูกเสือเฟ้ย ไอ้เจ้าทอมเพี้ยนเอ๊ย นายจะเข้าลูกเสือไปทำไม แล้วเอาถ้ำเสือไปทำแป๊ะอะไร แล้วไอ้ที่โม้ว่าคิดไว้สองหมื่นกว่าแบบนะ ชั้นไม่เชื่อหรอดเฟ้ย” วินพูดพลางแกะเฝือกออก แขนเขาใช้ได้แล้ว แค่ต้องไม่ไปออกแรงอะไรหนัก ๆ สักพัก
แฟนท่อมหันมายิ้มให้วิน
“ครับ ผมแค่บลัฟเล่น ๆ ผมไม่ใช่คอมพิวเตอร์ซักหน่อยจะไปทำอะไรอย่างนั้นได้ยังไงละครับ”
ฮ่า ฮ่า ฮ่า....
“เอาละ ๆ ตลกกันพอแค่นี้เถอะนะลูก ๆ ... สายข่าวของพ่อแจ้งว่า กองทัพมีการเครื่อนไหวอย่างแปลก ๆ ตั้งแต่เช้า โดยเฉพาะหน่วยพิเศษของกองวิจัยฯ มีความเป็นไปได้ว่า โบนิชอาจจะเริ่มแผนของมันในคืนนี้หรือไม่ก็พรุ่งนี้...”
“งั้นเราคงรอช้าไม่ได้แล้วละครับ คงต้องเริ่มแผนตั้งแต่วันนี้”

ในห้องทดลอง p4 โบนิชและอิชน่ายืนมองตัวอย่างในหลอดทดลองที่กำลังระบายน้ำออก
“แน่ใจนะว่ามันพรอ้มใช้งานแล้ว”
“ฮิ ฮิ แน่นอน สิ แน่นอน คนอย่าง ดร.อิชน่าซะอย่าง” ถึงเราจะเสีย DOP004 ไปอีกครั้ง แต่มันก็เหลือตัวอย่างให้เราไว้เกินพอแล้ว...ฮ่า ฮ่า อ๊อก”
โบนิชเอื้อมมือไปเค้นคอของอิชน่า
“ก็ที่เสียไปเพราะแกไม่ยอมแจ้งเรื่องที่แกจับตัวมันได้นั่นละ ไอ้เจ้าคนบ้าของเล่นเอ๊ย ดีที่มันไม่มีผลกระทบกับแผน ถึงต้องปล่อยมันลอยนวลไปก่อน ตอนนี้ต้องเอาความสนใจไว้ที่แผนไว้ก่อน ไม่งั้น...”
โบนิชมองมาที่อิชน่าด้วยแววตาวาวโรจน์ ก่อนโยนอิชน่าลงบนพื้น
“แค๊ก ๆ ๆ”
การระบายน้ำออกเสร็จสิ้นแล้ว บัดนี้เบื้องหน้ามีร่างเด็กหนุ่มวัยรุ่นไม่เกินอายุ 18 คนหนึ่งยืนเปลือยหลับตาอยู่
“ทดสอบได้แล้ว อิชน่า อย่าทำให้ฉันผิดหวังนะ...”
“แน่นอน แน่นอน ปลุก DOP005 ได้แล้ว” จากนั้นก็มีเสียงชารท์ประจุ ก่อนที่จะช๊อตร่างเบื้องหน้าจนกระตุก ร่างเด็กหนุ่มลืมตาขึ้น พร้อมสำลัก LCL ออกมาก่อนสูดหายใจเข้าออกดังฟี้ ๆ หลายครั้ง หลังจากนั้นเมื่อเห็นหน้า ดร.อิชน่า เด็กหนุ่มก็คุกเข่าลง
“สวัสดี ท่านพ่อ”...
“ดี ดี ดี ดี อิอิอิ” ดร.อิชน่าหัวเราะอย่างพอใจ
“ทหาร! “ อิชน่าตะโกนเรียกทหารที่ยืนรักษาการอยู่ ทหารเดินเข้ามา
“ช่วยถอดถุงมืออกนิดสิ” แล้วพอทหารถอดถุงมือออก แวบเดียว ข้อมือเขาก็ถูกกรีดเป็นแผลจนเลือดไหลนอง ด้วยมีดผ่าตัดในมือของอิชน่า...
“พอละ เอาตัวไปทำแผลซะ” ทหารอีกนายรีบเข้ามาแบกทหารที่กำลังพยายามกุมแขนห้ามเลือดอยู่ออกไป
“DOP005 เปลี่ยนร่าง... “ เขาสั่งไปที่เด็กหนุ่ม ๆ ทำการเลียเลือดที่อยู่ที่พื้น แล้วร่างกายของเด็กหนุ่มก็ค่อย ๆ เปลี่ยนร่างเป็นชายวัยรุ่นเต็มตัว ที่ตัดผมทรงทหาร ทุกอย่างเหมือนทหารเจ้าของเลือดเมื่อครู่ไม่ผิดเพี้ยน...
โบนิชยิ้มอย่างพอใจก่อนเดินดูรอบ ๆ ตัวของ DOP005 อย่างพอใจ
“ดีมากอิชน่า อย่างนี้แผนการณ์ของเราต้องสำเร็จได้อย่างแน่นอน” แล้วทันใดก็หันกลับมาที่อิชน่า “แต่ว่า แน่ใจนะว่าเจ้า DOP005 นี่จะไม่พยศอย่างเจ้าแฟนท่อม”
“แน่นอนสิ แน่นอน DOP005 ถูกปลูกฝังการเรียนรู้แบบเจาะจงให้เท่านั้น มันจะตอบสนองต่อคำสั่งของผมคนเดียว นอกจากนั้นก็จะทำงานเหมือนหุ่นที่ถูกโปรแกรมไว้นั่นละ ฮ่า ฮ่า ฮ่า...ผมนะเรียนรู้มาแล้วจากความผิดพลาดของ DOP004 ละน่า.. แต่ว่า...”
“แต่อะไร”
“ก็มันก็ยังมีจุดอ่อนอยู่นะสิ ด้วยปฎิกริยาต่อต้านยีนของ DOP004 ทำให้ DOP005 อายุใช้งานสั้นมาก ถึงเราจะสร้าง Seires เดียวกันออกมา อายุการใช้งานแต่ละตัวสุดท้ายก็สั้นมากอยู่ดี อย่างตัวนี้คงไม่เกินสัปดาห์ละมั้ง...”
“ไม่เป็นไร ตัวนี้ขอให้ใช้งานได้ในคืนนี้เรียบร้อย ต่อไปนายค่อยปรับปรุงให้เหมาะใช้กับกองทัพเป็นใช้ได้แล้ว”
“ดร.อิชน่าค่ะมีสัญญาณจากหน่วยพิเศษที่อยู่ด้านนอกต้องการเรียนท่านค่ะ”
“ต่อเข้ามาสิ”
ภาพของทหารขึ้นมาที่จอใหญ่ ของห้อง
“ครับท่าน” นายทหารทำความเคารพ “เราจับผู้ต้องสงสัยได้ครับ เขาพยายามจะลอบเข้าศูนย์วิจัยจากด้านหลัง แต่ทหารของเราพบเข้าพอดีจึงยิงใส่ ถูกบริเวณขา จึงลากมาที่นี่เพื่อเรียนให้ท่านตัดสินใจครับ”
“อ๊าย ไร้สาระ ไร้สาระ ก็รู้นี่ว่าใครบุกรุกที่นี่มีโทษสถานเดียวคือยิงทิ้ง ณ ที่ก่อเหตุ จัดการซะ”
“รับทราบครับ” แล้วแวบหนึ่ง ดร.ก็เห็นหน้าผู้บุกรุกที่กำลังถูกรุมซ้อมอยู่ “เฮ้ยเดี๋ยว ๆ  นำผู้บุกรุกเข้ามาที่นี่สิ”
“รับทราบครับ” แล้วสัญญาณก็ตัดไป
“คิ คิ คิ คิ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ท่านโบนิชดูท่าไม่ต้องกังวลแล้วละครับ”
“หืม “ เมื่อครู่นี้โบนิชมัวแต่สนใจอยู่กับร่างทดลอง เรื่องหยุมหยิมอย่างการบุกรุกเขาเลยไม่ได้สนใจ
“ขออนุญาติครับ” แล้วทหารสี่นายก็แบกผู้บุกรุกที่อยู่ในเปลเข้ามา ผู้บุกรุกนอนบิดดัวกุมขาที่เลือดกำลังไหลนองออกมา
“ท่านโบนิช ขอแนะนำท่านกับ DOP004 หรือแฟนท่อม”
“หือ!!! “ โบนิชหันมาดูคนที่ถูกหามมา “แกแน่ใจได้ไงว่านี่คือแฟนท่อม”
แฟนท่อมเงยหน้าขึ้นมา เขาใช้ใบหน้าที่เขาใช้เมื่อถูกจับตัวมาคราวที่แล้วอยู่
“อ้าว สวัสดีครับ คุณโบนิช ไม่คิดเลยนะครับ อึก... ว่าจะเจอกันอีกที่นี่”
โบนิชทำหน้าผิดหวังเล็กน้อย
“ไม่น่าเชื่อ”
“เดี๋ยวก็รู้ครับ” แล้วอิชน่าก็เอาสำลีเช็ดเลือดที่นองอยู่ นำไปป้ายกับเครืองตรวจดีเอ็นเอ ครู่เดียวสัญญาณเตือน DOP004 ก็ดังขึ้น
“ตัวจริงอย่างไม่ต้องสงสัย อิ ๆ ๆ ฮ่า ๆ ๆ ๆ” อิชน่าหัวเราะร่วนด้วยความสะใจ
“เป็นไงมาไงละคุณแฟนท่อม คิดถึงบ้านหรือไง เพิ่งจากไปเมื่อวาน วันนี้กลับมาอีกแล้ว..”
แฟนท่อมกัดฟันอย่างแค้นใจก่อนพูดตอบ
“แหม บ้านแบบนี้ผมก็ไม่ได้อยากกลับมานักหรอกนะครับ เสียดาย เสียดายจริง ๆ”
“หึ หึ หึ แกคิดจะเข้ามาทำอะไรฉันก็ไม่รู้ละนะ แต่แผนของแกมันล้มไม่เป็นท่าแล้ว ฮ่า ๆ ๆ”
โบนิชเดินเข้ามาที่แฟนท่อม เอามือจิกผมยกหัวขึ้น ใบหน้าแฟนท่อมช้ำเล็กน้อย มีเลือดซึมออกจากปาก เพราะถูกซ้อมก่อนเข้ามา
“แกคิดจะทำอะไรกันแน่ ฉันไม่เชื่อเด็ดขาดว่าแกจะจู่ ๆ จะเดินเข้ามาให้จับเอง... แกมีแผนอะไรกันแน่...”
“เราพบระเบิดนี่อยู่ในเป้ที่ชายคนนี้แบกมาครับ” แล้วทหารยามก็ส่งเป้ให้กับ อิชน่า ภายในมีระเบิดเวลาหลายลูก
“โอ๊ย บ้าจริง” ปรากฎว่ามีมีดโผล่ออกมาจากเป้ด้านล่าง ทำให้มันบาดใส่อิชน่า
อิชน่าจับกระเป๋าอย่างระวังขึ้นแล้วตรวจสอบดูระเบิด ก่อนส่งให้กับ โบนิช
“นี่เหรอ แค่แผนง่าย ๆ แบบนี้เนี่ยนะ เข้ามาวางระเบิดเพื่อหยุดแผนของชั้นที่นี่เนี่ยนะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
โบนิชหัวเราะอย่างสะใจ
“นี่เรอะคนที่ชั้นอุตสาห์คิดว่ามีสมองดี... เฮ้อ น่าเสียดายจริง ๆ คิดเหรอว่าที่นี่ระเบิด ฉันเสียร่างทดลองไป ฉันจะไม่มีแผนสำรองนะ แค่แผนสำรองมันสูญเสียมากไปหน่อยเท่านั้น ฉันอยากจะให้มันสำเร็จอย่างงดงามมกากว่า ไอ้แผนโง่ ๆ แบบใช้แต่กำลังเข้าว่านะ มันไม่งดงามเอาซะเลย เอาเถอะไหน ๆ แล้ว”
 โบนิชหยิบปืนขึ้นมา ขึ้นนก แต่ก่อนจะลั่นไก อิชน่าก็เข้ามาจับมือไว้
“อย่าเพิ่งครับท่านโบนิช เจ้านี่ยังเป็นประโชยน์กับการสร้างกองทัพของเราภายหลัง ยิ่งมีชีวิตอยู่ ยิ่งให้เวลาเราพัฒนา ถ้ามันตาย เราจะมีตัวอย่างเหลือแค่เท่าที่อยู่ตรงนี้ ตอนนี้มันก็ขาเดี้ยงไปแล้ว เอางี้ละกัน จับมันไปขังทั้งงี้ก่อน แล้วเราค่อยมาคิดว่าจะจัดการยังไงดีหลังจากแผนการคืนนี้สำเร็จเรียบร้อยดีกว่านะท่าน”
โบนิชชั่งใจ เขารู้สึกว่า แฟนท่อมอันตรายเกินไป ที่จะปล่อยให้มีชีวิตอยู่  แต่ความคิดที่จะมีกองทัพไร้เทียมทานทำให้เขาตัดใจเก็บปืนไว้
“โชคดีไปนะแฟนท่อม” แล้วเข้าก็เตะอัดเข้าที่ท้องจนแฟนท่อมจุก
“เอาตัวมันไปขังไว้ก่อน อ้อแล้วพาตัว DOP005 ไปเตรียมพร้อมไว้ด้วย DoP005 เคลื่อนที่ ฟังคำสั่ง รอคอย”
“ครับท่าน”
ทหารแบกแฟนท่อมออกไปจากห้อง และอีกสองคน เดินนำ DoP005 ตามออกไป
 “อิชน่า สั่งรวมพลทหารได้ เราจะเตรียมพร้อมสำหรับการดำเนินการในคืนนี้!!!”
“ครับ ท่านโบนิช” แล้ว สัญญาณรวมผลก็ประกาศดังไปทั้งศูนย์

ทหารสี่คนหามเปลของแฟนท่อมไปยังห้องขังพิเศษอีกครั้ง หลังจากแบกแฟนท่อมไปวางบนที่นอนจนเลือดไหลเปื้อนไปหมดแล้ว พวกเขาก็ออกมาและปิดล็อค ส่วน DOP005 ได้ถูกนำมาไว้ที่ห้องอคิลิคใกล้ ๆ และทำการใส่ชุดรัดรูปสีน้ำเงินของหน่วยวิจัยฯ ก่อนถูกปล่อยเอาในห้องและล็อคปิดประตู ทั้ง ๆ ที่ไม่จำเป็นเพราะ DOP005 จะไม่ทำอะไรนอกจากมีคำสั่งจาก อิชน่าเพียงคนเดียว ตั้งแต่ถูกจับให้นั่ง เขาก็นั่งอยู่อย่างนั้น แม้แต่ทหารยามก็รู้สึกขนลุกกับ DOP005

ฝ่ายแฟนท่อมที่นอนอยู่ในห้องพยายามบอกตัวเองให้นอนอยู่เฉย ๆ นอน เฉย ๆ พลางเหลือบสายตาไปที่ไฟที่กล้องตรวจการที่อยู่ภายในห้อง ทันใดนั้นไฟก็เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีแดง แฟนท่อมรีบลุกขึ้นยืน ปล่อยถุงใส่เลือดที่กำอยู่ในมือไปพลางขยับกรามให้เข้าที่
“ไอ้บ้าวิน ซัดซะเต็มที่เลย กะล้างแค้นอีกแหง ๆ”

ออฟไลน์ Misiroseki.siro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
    • Misiroseki Siro's Facebook
ตอนที่ 22 – All card reveal .
«ตอบ #23 เมื่อ28-08-2012 15:30:11 »

ตอนที่ 22 – All card reveal .
พระราชวังในคืนนั้น ทหารหน่วยพิเศษของกองวิจัยฯ บุกเข้าจู่โจมราชวังโดยแทบไม่มีการต่อต้านเลยเพราะกำลังส่วนใหญ่ของหน่วยราชองครักษณ์ต้องตายไม่ก็บาดเจ็บไปในเหตุการณ์ระเบิดทีลานพิธี รวมถึงยังไม่มีการแต่งตั้งหัวหน้าคนใหม่ทำให้ขาดผู้สั่งการ ทหารองครักษณ์จึงถูกสยบได้โดยแทบไม่มีการยิงปืนเลยสักนัด โบนิชหัวเราะร่ากับการดำเนินการที่ง่ายดายเกินคาด เขาก้าวอาด ๆ ตรงไปที่ห้องบรรทมของกษัตรย์ พร้อมกับทหารและอิชน่าที่เดินหัวเราะร่วนตามมา
เขาเปิดประตูห้องบรรทมออกอย่างไม่เกรงใจ กษัตรย์ชรานั่งอยู่บนเก้าอี้ เหมือนคาดการรอไว้อยู่แล้ว
“กระหม่อมขอนุญาติเข้าพบ พระยะค่ะ” โบนิชพูดแบบขำ ๆ ส่วนอิชน่า หัวเราะแบบบ้าแตกอยู่ข้างหลัง
ทหารหน่วยพิเศษกระจายกำลังล้อมกษัติย์ไว้
“ดีจริง ๆ ที่กระหม่อมจัดการพวกทหารรักษาพระองค์เสียเกือบหมดในงานราชพิธี.. ทำให้กระหม่อมทำงานง่ายขึ้นเยอะเลย ไม่งั้นคงต้องเสียเลือดกันมากหน่อยก่อนถึงที่นี่ อา ไหน ๆ แล้ว กระหม่อมอยากจะกราบทูลขออะไรสักอย่าง พระยะค่ะ”
กษัตรย์ชรายังคงจ้องมองกลับมาอย่างเงียบงัน แต่สายตานั้นแฝงไปด้วยความเจ็บปวด
“โปรดมอบบัลลังค์ให้หม่อมชั้นซะแต่โดยดี” แล้วโบนิชก็โค้ง ก่อนยืนมองกษัตรย์ชรา
กษัตรย์ในที่สุดก็พูดขึ้น
“ถ้าเจ้าทำถึงเพียงนี้แล้ว โบนิช ทำไมต้องอ้อมค้อมอยู่ด้วยเล่า มาแย่งมงกุฎจากศรีษะข้าเลยไม่ง่ายกว่าหรือ”
“เฮ้อ “โบนิชถอนหายใจ แล้วพูด
“จริงอยู่ว่ากระทำเช่นนั้นมันง่ายดายนัก แต่ก็อย่างที่ท่านทราบ กษัตริย์นั้น อยู่ได้ด้วยประชาชน หาใช่ตำแหน่งไม่ หากกระหม่อมใช้กำลังแย่งชิงมงกุฎตรง ๆ ประชาชนต้องลุกฮือแน่ ถึงตอนนั้นประเทศย่อมอยู่ไม่ได้ แล้วตำแหน่งกษัตริย์ จะมีไว้เพื่อเหตุใดเล่า พระจ้าค่า”
“แยบยลนัก โบนิช... หรือจะให้ข้าเรียกเจ้า โบนาริช เอล นาบีน่า บุตรคนสุดท้ายแห่งสายเลือด นาเบีย “
โบนิชเลิกตาขึ้นอย่างแปลกใจ
“พระองค์ทราบ?”
กษัตรย์ชราลุกขึ้น
“ทำไมเราจะไม่ทราบ โอรสของสายเลือดนาเบียคนสุดท้าย... “
“งั้นพระองค์ควรทราบด้วยว่า กระหม่อมมีสิทธิอย่างชอบธรรมในบัลลังนี้ บัลลังที่ท่านใช้อำนาจแย่งชิงมา!”
“เรามิได้ช่วงชิงผู้ใด!!! โบนิชแห่งนาเบีย , อาทาร บิดาเจ้า ระหว่างดำรงตำแหน่ง อัครเสนาบดี วางแผนจะนำประเทศเข้าสู่สงคราม พัฒนากองทัพจนแข็งแกร่ง แข็งแกร่งเกินไป อย่างที่ไม่มีความเป็นคนเหลืออยู่... หากเมื่อใดเขาขึ้นเป็นกษัตรย์ เขาจะประกาศเดินทัพทันที ประชาชนต้องเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า แม้เราเป็นลูกเลี้ยงขององค์กษัตรย์องค์ก่อน เราก็ไม่อาจทนเห็นประเทศต้องถูกเผาด้วยไฟสงครามได้ เราจึงขอเข้าพบ อาทาร บิดาท่าน พร้อมกับองค์กษัตรย์องค์ก่อน เราได้เปิดเผยแผนการณ์ของบิดาท่านแก่ องค์กษัตรย์ ท่านจึงเสียพระทัยยิ่ง ที่บุตรชายแท้ ๆ ของท่านกลับจะนำประเทศไปสู่ไฟสงคราม หากแต่กฎมฑเฑียรบาลนั้นเล่า แจ้งชัดว่า บุตรคนโตต้องเป็นผู้สืบทอด หรือไม่ก็ต้องเป็นทายาทลำดับถัดไป เว้นแต่...”
“การสัปประยุทธ” โบนิชเสริม
“ถูกต้อง และอาทารบิดาท่านเป็นผู้ท้าทายข้าให้ทำสัปประยุทธกับท่านเอง เพราะท่านเสียหน้าที่พระบิดาของตนเองยังไม่ต้องการให้ท่านขึ้นครองราช ข้าย่อมไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ หากบิดาท่านยังไม่เปลี่ยนพระทัยในเรื่องนี้... ผลการสัปประยุทธ บิดาท่านแพ้... แต่ข้าก็หาได้ปลิดชีวิตของท่านไม่ ... ข้าเดินเข้าไปเพื่อจะขอร้องบิดาท่านอีกครั้งให้เปลี่ยนพระทัย หากแต่บิดาท่านไม่อาจทนความอดสู ที่แพ้กระทั่งพวกอ่อนแอ ไม่กล้าทำสงครามได้ ท่านจึงชักดาบเสียบที่พระอุระของท่านสิ้นใจไปต่อหน้าต่อต่าข้า และองค์กษัตรย์ เพื่อปกป้องพระเกียรติของอาทาร จึงประกาศว่า ข้าได้ท้าสัปปะยุทธกับท่านอาทารเพื่อบัลลังค์ และท่านก็ตอบรับการสัปประยุทธ แต่ท่านแพ้และตายภายใต้ดาบของข้าตามขนบทุกประการ”
“องค์กษัตรย์เองก็ทรงเสียพระทัยยิ่งนัก...จึงให้ข้านำพระศพไปส่งยังเคหาส์ของเจ้า แต่พบเพียงความรกถ้าง มารดาเจ้าได้พาเจ้าหลบหนีไป ด้วยคิดว่าข้าจะตามล้างโครตเจ้า ทั้ง ๆ ที่ข้าเองหาได้มีความตั้งใจจะครองราชไม่... และองค์กษัตรย์ก็ได้สวรรษคตไปในคืนนั้นเองด้วยความตรอมพระทัย... ข้าจึงจำเป็นต้องขึ้นเป็นกษัตริย์ เพื่อประเทศ ข้าทำงานอย่างหนักทุกวันเพื่อประชาชน และเพื่อชดเชยบาปของข้า....”
“ข้าไม่สน!!!! ท่านรู้หรือไม่ท่านแม่ข้านำข้าเข้าไปหลบที่ประเทศข้างเคียง” โบนิชเล่า “ทุก ๆ วันท่านพูดว่า จริง ๆ แล้วข้านี่ละกษัตริย์ เพราะข้าเป็นผู้สืบทอดอย่างถูกต้อง ข้าแค้นท่าน แค้นประเทศนี้ ที่ฆ่าบิดาข้า ที่ขับไล่พวกข้าออกไป”
“สิ่งเดียวที่ข้าจะทำเพื่อล้างแค้นได้ คือขึ้นเป็นกษัตรย์ นำประเทศนี้ไปสู่ความยิ่งใหญ่ ดั่งปนิฐานแห่งบิดาข้า !!!”
“สุดท้ายแล้ว เจ้าก็เป็นเช่นเดียวกับบิดาเจ้า... เอาสิ ข้าขอท้าเจ้าสัปปะยุทธ!!! “ แล้วกษัตรย์ชราก็ชักดาบออกมา
“โอ ไม่ ๆ ๆ ข้าไม่ตอบรับการสัปปะยุทธของท่านหรอก... ท่านตอนนี้เป็นกษัติย์ที่ประชาชนทั้งรักทั้งเคารพ หากข้าฆ่าท่านเพื่อชิงบัลลังค์ ไม่ว่าจะเป็นการสัปประยุทธหรือไม่ ประชาชนไม่มีวันยอมรับข้าแน่ ท่านต้องประกาศมอบบัลลังค์ให้แก่ข้า ด้วยความสมัครใจ!!!”
“ไม่มีวัน นอกจากกำลังแล้ว ไม่มีปนิษฎานใดจะมาหักงอปนิษฎานของข้าเพื่อประเทศนี้แน่!!!”
โบนิชปรบมือ “ยอดเยี่ยมสมเป็นองกษัตรย์ แต่กระหม่อมก็ไม่อาจจะรับการปฎิเสธได้หรอกนะ แต่ไม่เป็นไร กระหม่อมมีแผนสองเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว... อิชน่า!!”
“อิอิอิ ได้เลย ได้เลย มาสิ DOP005 “  DOP005 เดินออกมาจากกลุ่มทหาร อิชน่าเดินนำ DOP005 ไปที่องกษัตริย์
“กระหม่อมขอล่วงเกิน”
“บังอาจ” แล้วกษัตรย์ก็วาดดาบใส่อิชน่า แต่กษัตย์นั้นทรงชราภาพเกินไป เพียงขยับตัวเล็กน้อย อิชน่าก็จับพระกรขององกษัตริย์ไว้ได้... แล้วใช้ใบมีด กรีดที่พระกรเพียงเล็กน้อยจนพระโลหิตซืมออกมา....
“DOP005 เปลี่ยนร่าง”
Dop005 ทำการเลียพระโลหิตของกษัตรย์แล้วเริ่มเปลี่ยนแปลง ผมเปลี่ยนเป็นสีขาวทอดยาวออกมา โครงร่างก็ผอมเกร็งขึ้น จากชายหนุ่มตอนนี้ DOP005 ได้กลายเป็นกษัตรย์ชราไปเรียบร้อยแล้ว
“เป็นอย่างไรละพระองค์ ถึงพระองค์ไม่กล่าวมอบบัลลังค์ให้กับข้า แต่ DOP005 ที่เป็นผลผลิตจากวิทยาการที่พระองค์ก็คงไม่คาดคิดถึงนี้ จะเป็นตัวแทนพระองค์มอบบัลลังค์ให้กับข้าพระองค์อย่างเรียบร้อยเอง... ฮ่า ๆ ๆ ๆ ข้าพระองค์คงต้องขอให้พระองค์ประทับอยู่ที่นี่ไปก่อน จนกว่าทุกอย่างจะเสร็จเรียบร้อย จัดทหารสัก 8 คน ควบคุมตัวกษัตริย์ไว้ จนกว่าพิธีราชาภิเศกพรุ่งนี้จะจบ แล้วค่อย... ข้าอยากให้ท่านได้เห็นกับตา วันที่สิ่งที่ท่านพยายามมาหลายปี จะถูกข้าคนนี้แย่งชิงและทำลาย ฮ่า ฮ่า ฮ่า” แล้ว โบนิชก็เดินออกไป
กษัตริย์ชราได้แต่ทอดถอนพระทัย ก่อนนั่งลงท่ามกลางทหารที่คอยควบคุม ....
“ทำไมกัน สายเลือดนี้ไม่อาจจะแก้ไข้ได้เลยเทียวหรือ”...

ออฟไลน์ Misiroseki.siro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
    • Misiroseki Siro's Facebook
ตอนที่ 23 – The show must go on!!!
«ตอบ #24 เมื่อ28-08-2012 15:31:17 »

ตอนที่ 23 – The show must go on!!!
รุ่งเช้าข่าวด่วนเรื่องงานพระราชพิธีครองราช มอบราชสมบัติให้กับอัครมหาเสนาบดี ถูกป่าวประกาศออกไปอย่างรวดเร็วด้วยเครือข่ายพิเศษของหน่วยวิจัยฯ พิธีถูกจัดเตรียมขึ้นอย่างรวดเร็วในท้องพระโรงของราชวัง แสดงถึงการเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้วของโบนิชเป็นอย่างดี...
วันนี้อากาศขมุกขมัว ฟ้าครึ้มไปทั่ว แต่ประชาชนเรือนแสนก็มาที่บริเวณเขตหน้าพระราชวังที่จัดเตรียมไว้แล้ว เพื่อเมื่อพิธีเสร็จ ราชาองค์ใหม่จะออกมาโบกพระหัติให้กับประชาชน เพื่อแสดงพระองค์ในฐานะกษัตริย์เป็นครั้งแรก
โบนิชนั่งยิ้มกริ่มอยู่ในชุดสีทองเต็มยศ เขากำลังวางแผนในการพัฒนาการทหาร และวางแผนการรบเพื่อบุกประเทศข้างเคียง เขาจะสร้างกองทัพที่แกร่งที่สุด บทขยี้ทุกอย่าง และเอาโลกมาไว้ในกำมือ เพื่อแสดงให้พ่อเข้าที่อยู่อีกโลกได้ภูมิใจในตัวเขา เขามองไปที่อิชน่า ที่แต่งชุดเต็มยศเช่นกัน กำลังเดินพล่านเป็นหนูติดจั่น สลับกับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง พลางพึมพัมเรื่องโน้นนี้ ชายคนนี้แม้ฉลาด แต่อันตรายเกินไป หลังพิธีคงถืงเวลาเปลี่ยน หัวหน้ากองวิจัยฯ คนใหม่ซักที เอาคนที่ฉลาดพอประมาณ แต่เชื่อฟังมากดีกว่า... ที่ต้องปล่อยไว้ก่อนเพราะต้องให้อิชน่าคุมการแสดงของ Dop005 จนเสร็จ แล้วเขาก็หัวเราะกับตัวเอง
ในที่สุดวันที่เขาฝันถึงก็มาถึงแล้ว เขาอดทนสวมหน้ากาก ทหารที่ดีไต่เต้าจนเป็นอัครเสนาบดีมาได้อย่างยาวนาน ใช้ทั้งเล่ห์ทั้งกล ฆ่าคนที่ขวางทางเขาก็มาก ในที่สุดมันก็ถึงวันนี้เสียที... ไม่มีใครมาขวางเขาได้ ไม่มี!
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
ก๊อก ๆ
“เข้ามาได้”
ทหารหน่วยพิเศษในชุดทหารราชองครักษณ์เปิดประตูเข้ามา ทำความเคารพและแจ้ง
“ถึงเวลาแล้วครับท่าน”
“ดีมาก!!!  ไปกันได้แล้ว อิชน่า เราไปแสดงละครฉากนี้ให้มันจบ ๆ ไปซะที ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
“ไปได้ Dop005”
Dop005 ในร่างของกษัตรย์ชรา เต็มยศเดินตาม อิชน่าไปอย่างว่าง่าย...
เสียงแตรบรรเลงเพลงสรรเสริญดังขึ้น กษัตริย์ชราเดินออกมา โบกพระหัติ พร้อมยิ้มให้กับประสกนิกรที่กำลังชมการถ่ายทอดอยู่อย่างยิ้มแย้ม แล้วก็นั่งลงบนบัลลังค์ โดยด้านข้างมีหมอหลวงอิชน่าคอยให้การดูแลอย่างใกล้ชิด...
หลังจากนั้นก็เป็นการประกาศราชพิธีจากทางวัง และแจ้งถึงสาเหตุของการมองราชบัลลังค์อันเนื่องมาจากสุขภาพที่ด้อยลงไปตามวัย หลังจากนั้น เพลงเพื่อราชพิธีครองราชก็เริ่มขึ้น ประตูท้องพระโรงเปิดออก โบนิชเดินเข้ามาด้วยท่าทางองอาจ ในชุดสีทองเต็มยศประดับกระบี่ เขาเดินมาอย่างช้า ๆ จนกระทั่งถึงหน้ากษัตริย์ ก่อนก้มคุกเข่าลง
ถึงตอนนี้ กษัตรย์จะต้องกล่าว สละราชบัลลังค์และแต่งตั้งกษัตรย์ใหม่ โดยมอบผ้าคลุม มงกุฎและดาบให้กับกษัตรย์องค์ใหม่ เพลงราชพิธีเงียบลง กษัตรย์เริ่มกล่าว
“เนื่องจากข้าพเจ้านั้น ปฎิบัติหน้าที่ในฐานะกษัตรย์มา เป็นเวลายาวนานหลายปี... บัดนี้นั้น ข้าพเจ้านั้นได้ชราภาพลงมากแล้ว ไม่อาจจะปฎิบัติหน้าที่ในการปกป้องมวลชนต่อไปได้... และอัครเสนาบดีโบนิชนั้นได้ทำงานเพื่อปวงชนเสมอมา ดังนั้นข้าพเจ้าจึงมอบผ้าคลุมนี้ เพื่อเป็นตัวแทนแห่งการปกปักษ์ของผองชน”
ราชาคลุมผ้าคลุมกษัตย์สีแดงให้กับโบนิช ที่กำลังหัวเราะหึหึ อยู่ในลำคออย่างพอใจ
“ข้าพเจ้าขอมอบมงกุฎนี้ ที่จะนำปัญญามาสู่ผู้ปกครองมิให้นำประชาราชไปสู่ความพินาจใด ๆ”
แล้วกษัตรย์ก็วางมงกุฎลงบนศรีษะของโบนิช
“แค๊ก ๆ “ กษัตรย์ไอเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อ “และข้าขอมอบดาบนี้ อันเป็นดาบที่ใช้ปราบศัตรูใด ๆ ของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ้าโบวิช เจ้ากบฎต่อราชบัลลังค์ !!!
โบนิชกลิ้งหลบดาบที่ถูกฟาดลงมาตรงที่เขาคุกเข่าอยู่เมื่อครู่นี้ เขามองไปที่ อิชน่า ที่ทำท่าไม่เข้าใจอยู่ ทำไม Dop005 ถึงทำนอกคำสั่ง!!!
กษัตรย์ลุกยืนขึ้น ชี้ดาบมายังโบนิชที่กำลังค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน
“เจ้ากบฎชั่วช้า คิดปล้นราชบัลลังค์ บังคับข้าให้มอบบัลลังค์ให้ ประชาชนจงอย่ายอมให้โจรขบถนี้ครองราชได้ มันจะนำประเทศไปสู่สงคราม!!!”
อิชน่าให้สัญญาณทหารคุมกลอ้งตัดสัญญาณทันที แต่ภาพกลับยังถ่ายทอดอยู่
อิชน่ามองสลับระหว่างบนจอกับตำแหน่งที่ถูกถ่าย แล้วพบว่าทหารหน่วยพิเศษคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น
เขาชัดปืนยิงใส่ทันที แต่ทหารคนั้นเอี้ยวหลบทันแต่กระสุนกระทบกับหมวกที่กล้องจนดับไป หมวกลิ้งหล่นบนพื้น คริสนั่นเอง เขาไม่ได้พกอาวุธเหมือนทหารอื่น ๆ ในราชพิธี เขารีบวิ่งออกไปจากบริเวณทันที
“อย่าให้มันรอดไปได้!!!” เขาสำทับไปที่อิชน่า อิชน่าวิ่งไล่ตามคริสออกไปข้างนอก แล้วยิ่งต้องตกใจ บนจอใหญ่ที่ถ่ายทอดงานพิธีที่ควรดับไปแล้ว กำลังถ่ายทอดเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องกษัตรย์เมื่อวานทั้งหมดทุกคำพูด...
อิชน่ารีบโทรไปยังศูนย์วิจัยฯ
“ทำไมยังไม่รีบตัดสัญญาณอีก”
“ทำไม่ได้ครับท่าน สัญญาณระดับโอเมก้า ส่งตรงมาจากห้องเมนเฟรมของตึกเรา!!! ถ้าจะตัดสัญญาณมีทางเดียวคือต้องล้มระบบเมนเฟรม ไม่ก็ต้องถล่มทั้งตึกครับท่าน”
“ทำไมไม่บุกเข้าไปจัดการซะ”
“พยายามแล้วครับ แต่ห้องถูกล็อคจากข้างใน แถมห้องเมนเฟรมถูกออกแบบมาให้ป้องกันได้แม้กระทั่งมิซไซล์ เรากำลังหาทางอื่นอยู่ครับ”
“จัดการให้ได้!!!” แล้วเขาก็วางหูวิ่งไล่ตามคริสที่เห็นหลังอยู่ไว ๆ ต่อ “บ้าจริง ไอ้บ้าที่ไหนกันฟ่ะ”
ในห้องเมนเฟรม ไอ้บ้าคนนั้น อยู่ในชุดทหารกำลังพิเศษ หมวกถูกถอดออกวางไว้ข้าง ๆ กำลังนั่งเท้าคางหาวอยู่อย่างเบื่อ ๆ ตาดูมอนิเตอร์ ที่กำลังถ่ายทอดสัญญาณ ระดับโอเมก้าออกไปทั่วประเทศ ข้าง ๆ มีทหารคุมห้องสองคนนอนสลบอยู่ ที่ประตูมีเสียงโวกเวกให้เปิดประตู อีกทั้งมีเสียงทั้งปืนทั้งระเบิดโครมคราม แต่ไม่ได้สะเทือนห้องนี้แม้แต่น้อย.
“สร้างมาดีเกินไปก็งี้และน้า....” วินบ่นอย่างเบื่อ ๆ

ในห้องโถงราชวัง
โบนิชกำลังยืนเผชิญหน้ากับกษัตริย์อยู่
“จริงสิ ถ้าในราชพิธีไม่มีดอกไม้ไฟมันคงไม่เข้าท่าจริงไหมละ”
แล้วกษัตรย์ก็กดสวิทที่เก็บไว้ในอกเสื้อ บรึม ไฟลุกพรึบขึ้นทั่วทั้งท้องพระโรง
“นี่สิค่อยสมเป็นพิธีครองราชของกษัตย์จอมขบถหน่อย” แล้วกษัตรย์ก็เอาดาบพาดบ่าก่อนยิ้มอย่างกวน ๆ
โบนิชดึงดาบออกมา
“แกนี่มันผลงานผิดพลาดอีกแล้วละสิ ไอ้เจ้าอิชน่า...”
“อ้อ เดี๋ยว ๆ “ กษัตรย์ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาข้างหน้า ก่อนที่ร่างค่อย ๆ เปลี่ยนไปจนกลับมาเป็น Dop005 แต่ก็ยังเปลี่ยนไม่หยุด จนกลับมาเป็นใบหน้าตอนที่ถูกจับ เขาดึงเอาชุดเทอะทะของกษัตรย์ออก จนเหลือแต่ชุดรัดรูปของ Dop005 ก่อนยืนเอาดาบพาดบ่าเท้าสะเอวอย่างกวนส้น
“แฟนท่อม!!!” 
“ถ ถ ถ ถ ถูกต้มนะคร๊าบ”

ออฟไลน์ Misiroseki.siro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
    • Misiroseki Siro's Facebook
บทที่ 24 – Final show must end up with big blow up!!!
«ตอบ #25 เมื่อ28-08-2012 15:31:49 »

บทที่ 24 – Final show must end up with big blow up!!!
อิชน่า วิ่งไล่ยิงคริสจนถึงสวนของราชวัง
“ไอ้บ้า” ปัง  “ไอ้บ้า” ปัง “ไอ้บ้า” ปัง
คริสได้แต่วิ่งหลบกระสุน จนจนมุมที่กำแพงใหญ่
“หมดทางหนีแล้วสิแก แกมันเป็นใครกันแน่ แต่ช่างเถอะ ยังไงแกก็จะตายเดี๋ยวนี้แล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
แชะ “อ๊ะ”
กระสุนหมดสิท่านเล่นยิงมั่วอย่างนั้น
คริสเห็นโอกาศรีบวิ่งเหวี่ยงหมัดเข้าใส่ทันที
ฟิ้ว ฉัว
เขารีบกระโดดถอยฉากออกมา ทองแขนเขาปรากฎแผลยาวเลือดกำลังไหลซืมออกมา เขาหันไปดูอิชน่า ทั้งสองมือกำลังควงมีดผ่าตัดอยู่
“แหม ๆ  ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ถึงชั้นจะชอบยิงปืน แต่จริง ๆ ชั้นชอบ หั่น สับ ผ่ามากกว่านะ โดยเฉพาะเหยื่อสด ๆ” มาม่ะ....
อิชน่าควงมีดผ่าตัดเข้ามาอย่างคล่องแคล่ว ปาดซ้ายทีขวาที จนคริสได้แต่พยายามหลบ แต่ก็ยังถูกกรีดไปหลายแผล ทั้ง ๆ เป็นแค่ ดร. แท้ ๆ กลับเคลื่อนไหวได้ไวยังกับลิง
“น่า น่า มาให้ฉันแหวะดูหน่อย ยิ่งหนียิ่งศพไม่สวยนะรู้ป่าว”
ฟุบ ฟุบ ระหว่างพูดก็จ้วงแทงเข้ามาอีกลายครั้ง จนเฉี่ยวหน้าของคริสเลือดออกเป็นทาง
“เห็นป่ะ บอกแล้วไง อยู่เฉย ๆ น่า มันเหนื่อยรู้ไหม ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
แล้วการปาดซ้ายปาดขวามั่วไปอีกก็เริ่มอีกครั้ง คริสพยายามจับจังหวะเหมือนที่เคยฝึกมา แต่ไอ้เจ้า อิชน่านี่มันปาดมั่วไปหมดยังกับคนบ้า แล้วคริสก็สะดุดกับก้อนหินจนล้มลง
“อึ๊ก”
“ฟู่ “ อิชน่า แสยะยิ้มอย่างน่าเกลี่ยดตาเบิกโพลง “เกมส์ โอเวอร์รรรรรรรร” แล้วจ้วงแทงลงมาที่คริส
บรึม เสียงระเบิดจากท้องพระโรงดังขึ้นพร้อมเปลวไฟที่ลุกท่วมขึ้นมา แค่แวบเดียวเท่านั้น อิชน่าเอียงคอไปดูและหยุดมีดพียงแค่อึดใจนี้ คริสยันตัวขึ้นมา เอามือจับข้อมือของอิชน่าที่กำมีดจ้องมาทางเขา พลักกลับขึ้นไปจ้วงที่ลำคอของอิชน่าเอง
อิชน่าตาเบิกโพลงด้วยความสงสัย ก่อนจะเหลือกตามาดูมือของตนที่ถือมีดที่เสียบคอตัวเองอยู่ ก่อนจะยิ้ม แล้วมองไปที่คริส แล้วพูดเหมือนสำลักน้ำ
“ก ก ก เกมส์ อ อ อโอเวอร์ จริง ๆ ด ด ด้วย”
แล้วเขาก็ทรุดลงไป มีดที่ปักอยู่ทิ่มทะลุคอออกมาด้านหลัง
คริสได้แต่หอบหายใจ แล้วมองไปที่ท้องพระโรงที่กำลังตกอยู่ใต้กลองเพลิง
“แฟนท่อม” แล้วเขาก็พยายามแบกร่างของตัวเองตรงไปหา

“ทำไม แฟนท่อม มันเป็นไปได้ยังไง แผนการณ์ทั้งหมดที่ตระเตรียมมาอย่างดี มีทั้งแผนซ้อนแผน เตรียมไว้ป้องกัน แต่แล้วก็ถูกแกล้มกระดาษ แล้วแกมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“นั่นสินะ” แฟนท่อมนั่งลงไปบนบัลลังค์ ถือดาบไว้ข้างหน้าโดยปล่อยปลายลงบนพื้น “โอ้ยหนักจัง ขอนั่งหน่อย” โบนิชก็ทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิ เหมือนกำลังคุยรอบกองไฟยังไงยังงั้น ทั้ง ๆ ที่เป็นการคุยโดยมีกองไฟรอบต่างหาก
“จะเอาตั้งแต่ตอนไหนดีละ อ้อหลังจากนายแตะฉันไปนอนกองดีไหม ในตอนนั้นที่พวกแกคิดว่าจับฉันได้ นะ... จริง ๆ ก็จับได้ละนะ... แต่มันเป็นการเตี้ยมนะสิ =P 

ออฟไลน์ Misiroseki.siro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
    • Misiroseki Siro's Facebook
บทที่ 25 – Breaking the magician code
«ตอบ #26 เมื่อ28-08-2012 15:32:29 »

บทที่ 25 – Breaking the magician code

“เดี๋ยวผมจะไปล่อ ทหารมานะครับ”
แล้วแฟนท่อมก็วิ่งออกจากพุ่มไม้ไป ปล่อยให้วินและคริสรอคอยอยู่เงียบ ๆ
“เฮ้ยมีผู้บุกรก” เสียงทหารตะโกนขึ้นมาจากด้านหลัง “ตามไป ตามไป”
แฟนท่อมวิ่งกลับมาทางนี้ แต่วิ่งผ่านต่อไป ก่อนหันมา พยักหน้าให้ทั้งสองคนเล็กน้อย
ทหารสองคนวิ่งไล่ตามมา โดยไม่ทันได้ระวัง เมื่อผ่านพุ่มไม้ วินกับคริส กระโดด ตะครุบจนทหารทั้งสองล้มลงปืนหลุดกระเด็น แล้วก็มีมวยคู่ให้ดู แต่ก็แค่แป๊บเดียวก่อนแฟนท่อมจะย้อนกลับมาและช่วยกันจัดการจนยามทั้งสองหมอบกระแตไป มีเสียงสัญญาญเรียกผ่านวิทยุดังขึ้น คริสรีบถอดหมวกของทหารออก ก่อนนำมาใส่และตอบกลับ
“จับผู้บุกรุกได้ไหม!?”
“กำลังไล่ตามครับ!!!”
“จับมาให้ได้ บางทีมันอาจจะเป็นแฟนท่อมก็ได้”
“รับทราบครับ!!!”
แล้วคริสก็ถอดหมวกออก ก่อนระบายลมหายใจ แล้วหันไปทางแฟนท่อมที่กำลังช่วยวินปลดชุดของยามออก....
“ฟู่ ดีที่เป็นไปตามแผนครับ”
ตอนนี้คริสกับวินอยู่ในชุดทหารหน่วยพิเศษเรียบร้อย โดยทหารทั้งสองคนที่ถูกลอกคราบถูกมัดไว้ติดกับต้นไม้
แฟนท่อมถามคริสยิ้ม ๆ
“ไม่เก็บกางเกงในไว้หรือครับ”
คริส เอาหมวกขว้างใส่แฟนท่อม ขณะที่วินขำกลิ้ง..
“เห็นไหม มุขเดียวกันเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
แฟนท่อมหัวเราะแฮะ ๆ “คราวหน้าผมรับรองครับว่ามุขไม่ซ้ำแน่ ผมไม่ชอบเล่นมุขซ้ำนะของบอก” แล้วแฟนท่อมก็โยนหมวกกลับให้คริส
“หมดเวลาสนุกแล้วครับ คราวนี้ก็ตาผมบ้าง” ว่าแล้ว แฟนท่อมก็กลิ้งไปมาบนพื้นจนตัวเปื้อนไปหมด แล้วลุกขึ้นมา
“เอาสิครับ ตามแผน”
คริสส่งเป้ให้กับแฟนท่อม
“อิ อิ ฉันเอง” วินเดินเข้ามา “ขอโทษนะ... แบบ แค่ตามแผน ย๊ากกกกก” แล้ววินก็อัดเปรี๊ยงเข้าที่หน้าของแฟนท่อมจนล้ม
“อู๊ย เอาจริงกันเหรอครับเนี่ย”
วินทำท่าไม่รู้เรื่องพลางผิวปาก “ป่าวนา... ก็แค่ตามแผน”
“จำไว้นะครับ” แฟนท่อมยิ้มอย่างแค้น ๆ
แล้วแฟนท่อมก็หยิบเอาถุงเลือดออกมา ก่อน กุมขาไว้แล้วบีบเอาถุงเลือดให้เลือดไหลออกมา มองผาด ๆ แล้วคล้ายขาถูกยิง ยิ่งผ่านฝีมือการแสดงของนักแสดงเจ้าบทบาทอย่างแฟนท่อมแล้ว คริสยังแทบอดสงสารไม่ได้...
“เอาละครับ ลากผมไปได้แล้วครับ อ้อ ก่อนอื่นยิงปืนซักนัดนะครับ” คริสหยิบปืนขึ้นมายิงส่ง ๆ ไป แล้วเขากับวินก็ช่วยลากถูลู่ถูกังร่างของแฟนท่อมไปที่ประตู แล้วแจ้งให้หัวหน้ายามที่ประตูทราบ ระหว่างที่ทั้งสองแกล้งเตะถีบเขา แฟนท่อมพยายามกลิ้งตัวไปมา พยายามให้หน้าเขาโพล่เข้าไปในกล้องให้อิชน่าเห็น แล้วก็อย่างที่คิด อิชน่ามองเห็นเขา สายตาแสดงความแปลกใจระคนดีใจ ก่อนให้นำเขา เข้าไป แล้ว คริสกับวิน ก็อาสา พร้อมทหารอีกสองคน พาแฟนท่อมเข้าไป โดยคริส หยิบเป้ของแฟนท่อมมาแบกไว้
หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นใน ห้องทดลองทดลอง คริส วินและทหารอีกสองคนก็แบกแฟนท่อมไปยังห้องขัง ที่ตอนนี้มียามแค่คนเดียว
“เอานักโทษมาส่ง” แล้วทหารก็จัดการเปิดห้องขังออก และนำแฟนท่อมที่กำลังแกล้งสำออยอยู่ไปนอนบนเตียง ก่อนเดินออกมาแล้วปิดประตู
“วันนี้เฝ้าคนเดียวเลยเหรอ”
“อืม เพราะคำสั่งรวมพลนะ”
“ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอก แค่คนบาดเจ็บกับหุ่นยนต์..” แล้วทหารคนนั้นก็หันไปมอง DoP005 ที่ถูกเปลี่ยนชุดสีน้ำเงินของหน่วยพิเศษไว้แล้ว”
“น่าขนลุกชมัด” ทหารยามเฝ้าคุกพูด
“นั่นสิ ไปก่อนละ”
แล้วทั้งหมดก็เดินออกมา
ระหว่างเดินออก ทั้งคริสและวินก็ขอตัวจากทหารทั้งคู่ โดยอ้างว่าจะไปตามคำสั่งรวมพลที่ถูกประกาศอยู่ พร้อมรับเป้มา บอกว่าเดี๋ยวจะนำไปส่งให้ส่วนจัดเก็บเอง แล้วแยกตัวไป
“นายแน่ใจนะว่ามาทางนี้”
“อืม คราวที่แล้วแฟนท่อมก็พาชั้นมาทางนี้ละ พ้นหัวเลี้ยวข้างหน้าก็ถืงแล้ว”
“ชุดนี่รัดเป็นบ้าเลยแฮะ เฮ้ฉันดูเซ็กซี่ป่าวเนี่ย”
“ไอ้บ้า”
แล้วทั้งคู่ก็มาถึงที่ห้องเมนเฟรม จัดการทหารที่ยืนยามอยู่ด้านหน้าห้องเมนเฟรมด้วยมุขเก่า ๆ ก่อนลากทั้งสองมามัดไว้ข้างในห้อง คริสตรงไปยังคอนโซล ก่อนพิมพ์คำสั่ง
“ :>The Phantom is here ”
แล้ว Enter ทันใดนั้นหน้าจอก็เปลี่ยนไป หน้าต่างเปิดมาที่หน้า Security Camera ในหน้านี้เอง เขาเลือกหาพื้นที่ Cell Area แล้วค่อย ๆ เลื่อนดูกล้องต่าง ๆ ก่อนจะเห็นกล้องที่แฟนท่อมบอกไว้สามตัว คือ กล้องในห้องของ Dop005 ในห้องแฟนท่อมเอง ที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงตามแผน และบริเวณยามหน้าห้องทั้งคู่ อย่างที่แฟนท่อมกะไว้ ตอนที่ถูกจับคราวที่แล้ว ห้องขังอคิลิคเพียงห้องเดียวที่ว่างอยู่คือห้องข้าง ๆ ห้องแฟนท่อมทั้งสองข้าง เขาคาดแล้วว่า อิชน่าจะต้องนำ DoP005 มาขังรอไว้ก่อนอย่างแน่นอน
“ไอ้เจ้าทอมนี่ยอดจริง ๆ แฮะ เป็นอย่างที่หมอนี่พูดทุกอย่างเลย” วินดูมอนิเตอร์ก่อนทำหน้าอย่าง ทึ่ง ๆ

“แล้วถ้าไม่ละทอม ถ้า Dop005 เชื่อฟังถึงขนาดนั้น บางที อิชน่าอาจะแค่ให้ Dop005 อยู่ข้างตัวก็ได้นี่” คริสถามขึ้นตอนที่แฟนท่อมอธิบายถึงแผนตอนนี้ เพราะดูเหมือนแผนนี้จะหละหลวมไปหน่อย
“ไม่มีทางครับ! แฟนท่อมตอบกลับอย่างมั่นใจ
“อิชน่าไม่มีทางให้ DoP005 ที่เพิ่งปลุกขึ้นมาให้อยู่ข้าง ๆ แน่นอนครับ เขายังกลัวว่าจะเกิดปฎิกริยาต่อต้านแบบที่เคยเกิดขึ้นในเคสของผม ซึ่งตัวนี้จะเป็นผลทางจิตวิทยา ทำให้อิชน่าพลอยไม่แน่ใจไปด้วย จึงต้องนำ DoP005 ไปขังไว้ก่อนอย่างแน่นอน ส่วนห้องขังอีกห้องผมจองไว้แล้ว ห้องอื่น ๆ ในระดับนี้ก็มีแต่ห้องข้าง ๆ ห้องของผมเท่านั้นครับ ดังนั้น ไม่ต้องกังวลครับ”

“นั่นสิ แฟนท่อมนี่ยอดจริง ๆ” คริสตอบวินกลับยิ้ม ๆ เมื่อมองไปที่หน้าจอ
“วินนายไปยืนยามแทนหน้าห้องก่อน เดี๋ยวชั้นจัดการเรื่องกล้องให้เรียบร้อย”
วินตบบ่าคริส แล้วเดินออกไปนอกห้องก่อนยืนยามเฝ้าแทนยามตัวจริง
หลังจากนั้นคริสก็จัดการกดปุ่ม Record ให้ทำการบันทึกภาพของกล้องทั้งสามตัว ทิ้งไว้ราว ๆ 10 นาที หลังจากนั้นเขาก็พิมพ์คำสั่ง
“  :> Switch Recorded//Onboard Loop=1 “ แล้วกดยืนยัน
ในห้องมอนิเตอร์ ภาพห้องขัง สั่นขึ้นมาแค่แว๊บเดียว ก่อนฉายต่อตามปรกติ แม้แต่ยามที่เฝ้าอยู่ก็ยังไม่ได้รู้สึกผิดสังเกตุด้วยซ้ำว่าที่กำลังดูอยู่นั้นคือภาพที่อัดไว้
คริสเดินออกมาจากห้อง
“วินนายเฝ้าที่นี่ไปก่อน เดี๋ยวฉันไปช่วยทอม”
“โอเค ระวังตัวด้วย”
“อืม”
แล้วคริสก็วิ่งไปตามทาง ระหว่างทางสวนทางกับทหารหลายคน ทหารทั้งศูนย์ตอนนี้วิ่งกันวุ่นวายตามคำสั่งรวมพล ทำให้ไม่มีใครมีเวลาจะสนใคร คริสตรงไปที่ห้องขังอย่างรวดเร็ว เมื่อเกือบจะถึง คริสหยุดหลังกรงเหล็กใบใหญ่ มองตรงไปที่หน้าห้องขังแฟนท่อม เขาหายใจลึก เดินเข้าไปทักทายยาม
“เฮ้”
“อ้าว นายไม่ได้คำสั่งรวมพลเหรอ”
“ได้สิ เดี๋ยวจะไป แต่ได้ข่าวว่ามีตัวประหลาดอยู่ในกรงเลยอยากจะมาดูซะหน่อย”
“ไอ้บ้า เดี๋ยวก็ถูกลงโทษหรอก” ว่าแล้วทหารยามก็พยักหน้า ไปทางห้องที่ขัง DoP005 อยู่ แล้วหันไปมอง
“นั่นไง น่าขนลุกเป็นบ้า”
คริสเข้ามายืนข้าง ๆ ก่อนปลดปืนออกมาอย่างเงียบ ๆ ง้างขึ้นสุดตัวแล้วพูด
“นั่นสิ”
“โป๊ก”
แล้วทหารยามก็ฟุบลงไป
คริสเปิดเป้ออกรื้อเอา tablet ออกมา ต่อกับห้องขังของแฟนท่อม ใช้ DNA ของเขากับยามเปิดห้องขังของแฟนท่อมออก
แฟนท่อมยืนอยู่ตรงนั้น ยิ้ม ๆ แล้วพูด
“เฮ้อ ช้าจังครับ ผมรอซะเงกหมด”
“ไอ้บ้า”
แฟนท่อมเดินออกมา หันไปมองที่ DoP005 ที่นั่งอยู่อย่างเงียบเชียบ
“... คริสรู้ไหมครับ คน ๆ นี้ก็เหมือนผม คนที่ไร้ตัวตน อาศัยอยู่แต่คราบคนอื่นเสมอ... แถมยังแย่กว่าอีก ที่แม้แต่ความรู้สึกที่จะมีตัวตนยังไม่มีด้วยซ้ำ....เป็นแค่หุ่นให้เขาชักเดิน ไปจนตาย....”
“.... แต่นายไม่ใช่หุ่นนะ”
“ครับ... แต่ถ้าคิดเขาคนนี้ก็เหมือนน้องชายผม... ผมก็อดสงสารไม่ได้...”
“ทอม...”
“..... เอาเถอะครับ รีบทำตามแผนดีกว่าครับ เราไม่มีเวลามาก”
คริสเปิดห้องขังของ DoP005 ออก แฟนท่อมเดินเข้าไป แม้แต่มีคนเข้ามาในห้อง Dop005 ก็ไม่มีปฎิกริยาตอบสนองอะไรเลย คล้ายกับเขาเป็นแค่สิ่งของจริง ๆ คริสส่งเป้ของแฟนท่อมให้ แฟนท่อมหยิบเอามีดออกมา มีดที่เพิ่งเฉือนมือของอิชน่าไปเมื่อครู่นี้ เลือดของอิชน่ายังติดมีดอยู่นิดหน่อย เขาเลียเลือด.... แล้วร่างของเขาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปกลายเป็นอิชน่า ที่ใส่ชุดของแฟนท่อมที่แขนขายาวโผล่ออกมาซะเยอะ เพราะความสูงต่างกันมาก
“อะ แอ่ม อะแอ่ม .... Dop005 ตามมา
แล้ว Dop005 ก็ลุกขึ้น แล้วเอ่ยตอบ “ครับท่านพ่อ”
แฟนท่อมในร่างของอิชน่า พา DoP005 ไปยังห้องของขังของตัวเอง เขาถอดเสื้อผ้าออกจนเปลือยเปล่า ก่อนพูด
“Dop005 ถอดชุดออก แล้ว เปลี่ยนกับชุดนี้”
อย่างไม่รอช้า Dop005 ถอดชุดของตัวเองออกจนหมด แล้วกองไว้ ก่อนหยิบชุดของแฟนท่อมขึ้นมาใส่โดยไม่แม้แต่พูดอะไร
“Dop005 ขึ้นไปนอนบนเตียง” แล้ว Dop005 ก็ปีนขึ้นไปนอนบนเตียง คริสและแฟนท่อมช่วยกันจัดท่าทางของเขาให้เหมือนกับตอนแฟนท่อมนอนอยู่
“ขอโทษนะ...น้องชาย” แล้วแฟนท่อมก็เอามีดกรีดที่ขา ที่เดียวกับที่เขาแกล้งทำเป็นถูกยิง เขาก้มไปดื่มเลือดของ Dop005 แต่ยังไม่เปลี่ยนร่าง.. เขาหยิบถุงเลือดของเขาที่ทิ้งไว้ขึ้นมา นำไปจ่อที่ปากของ Dop005 แล้วสั่ง
“Dop005 เปลี่ยนร่าง”
Dop005 ทำการเลียเลือดที่อยู่ในถุง แล้วร่างของ Dop005 ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นร่างปลอมของแฟนท่อมที่ใช้มาตลอด
“Dop005 นอน รอรับคำสั่ง” แล้ว Dop005 ก็นอนอยู่ตรงนั้น โดยไม่เคลื่อนไหวอะไรเลย...
แฟนท่อมค่อย ๆ เปลี่ยนร่างอีกครังตอนนี้เขาเปลี่ยนร่างเป็น Dop005 แล้วหยิบชุดของ Dop005 ขึ้นมาสวมแทน ก่อนเดินออกมา แฟนท่อมหันไปพูดกับ Dop005
“รอก่อนนะน้องชาย รอให้เรื่องทั้งหมดนี้จบลงก่อน”
คริสลากร่างของยามมาซ่อนไว้ใต้เตียงในห้องขับของแฟนท่อมที่ Dop005 นอนอยู่
คริสหันไปถามแฟนท่อม
“ถ้าเรื่องนี้จบลงได้... นายจะทำยังไงละ...กับเขา”
“ขอให้มันจบก่อนแล้วกันครับ ตอนนี้ผมเองก็ยังไม่รู้เหมือนกัน แต่คำตอบมันต้องมาแน่ครับ”
แล้วทั้งคู่ก็เดินออกมา แฟนท่อมเดินไปที่ห้องของ Dop005 แล้วก็นั่งลงตรงจุดเดียวกับที่ Dop005 นั่ง
“เฮ้อ นี่ต้องเป็นงานที่ยากที่สุดเท่าที่ผมเคยทำมาตั้งแต่เกิดเลยนะครับเนี่ย นั่งแฉย ๆ มองตรงไป ขยับก็ไม่ได้ พูดก็ไม่ได้...”
“ฮ่า ฮ่า ฉันก็ว่างั้นละ”
เขายิ้มให้กัน แล้วคริสก็วิ่งออกมา ตรงไปที่ห้องเมนเฟรม ที่วินยืนยามอยู่เขาบอกวิน
“วินนายเข้าไป อีก 10 นาที พิมพ์คำสั่งตามที่แฟนท่อมบอกนะ ฉันจะไปยืนยามแทนที่ที่คุกก่อน”
“โอเค รับทราบครับผม” แล้ววินก็ตะเบ๊ะ ก่อนเปิดห้องเข้าไปแล้วชูนิ้วโป้งให้
คริสวิ่งกลับไปที่ห้องขัง เขาบอกกับ แฟนท่อม
“พร้อมนะครับ กล้องจะตัดกลับมาแล้ว”
“นักแสดงพร้อมแล้วครับผม” แล้วแฟนท่อมก็วันทธยาหัติให้คริส
คริสได้แต่ถอนหายใจ แล้วยืนตรงเฝ้ายาม
วินในห้องเมนเฟรม กำลังวุ่นวายอยู่หน้าจอ
“เอคลิกนี่ กับนี่ เอ คำสั่งมันอะไรแล้วฟ่ะ “ ว่าแล้ว เขาก็ล้วงเอากระดาษที่เขาจดคำสั่งที่แฟนท่อมจดให้ออกมา แล้วพิมพ์ตาม
“  :> Switch Recorded\\Onboard “ แล้วก็กด Enter
แล้วไฟสีแดงที่กล้องในห้องของ Dop005 และที่หน้าห้องก็กลับมาเปลี่ยนเป็นสีเขียวอีกครั้ง ....
......ต่อจากนั้นในคืนนั้นเอง ฉันก็ออกมาในร่างของ Dop005 พร้อมกับพวกนายไปที่ราชวัง เพื่อนฉันคนหนึ่งก็ตามไปด้วย โดยพยายามอยู่ติดกับพวกนายตลอดเวลา เพื่อเก็บภาพไว้ในกล้อง อันนี้ก็ดันดีเกินไปอีกละ คมชัดซะขนาดขึ้นจอหนังกางแปลงยังเห็นได้ชัดเจนทุกตัวหนังสือเลย แถมเล่นออนไลน์ส่งภาพไปเมนเฟรมอีก นี่ยิ่งแจ๋ว ดังนั้นภาพนายขู่พระราชา แถมสร้างตัวปลอมออกมาหลอกคน ตอนนี้เลยได้เผยแพร่ไปทั่วประเทศด้วยสัญญาณระดับโอเมก้าเลยไงละ นั่นก็ผีมือเพื่อนชั้นเองละ ดันสร้างห้องไว้ดีเกินก็งี้ละ”
แปะ ๆ ๆ ๆ ๆ
โบนิชลุกขึ้นพร้อมปรบมือ
“แอ็กเซเลนท์ เอเลกอนท์ ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริง ๆ เป็นแผนการณ์ที่น่ายกย่องเป็นอย่างยิ่ง ขนาดแผนของชั้นที่วางไว้ถึงสิบปี กลับถูกเด็กหนุ่มคนเดียววางแผนทำลายได้อย่างหมดจดงดงาม... ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก”
แฟนท่อมก้มหัวโค้งรับคำชม  จริง ๆ ก็ไม่ใช่คนเดียวละนะ เขาคิดถือว่าเขารับคำชมแทนวินกับคริสละกัน
“นายใช้ข้อมูลทุกอย่าที่มีนำมาใช้ได้อย่างหมดจดจริง ๆ ไม่ว่าเรื่องการควบคุมที่หละหลวมอของ Dop005 จนถึงความเยี่ยมยอดเกินไปของระบบต่าง ๆ ยอด ยอดจริง ๆ “
โบนิชเปลือยดาบออกแล้วชี้มาที่แฟนท่อมแล้วพูด
“มีเรื่องเดียวเท่านั้น!!! ตอนนั้นในห้องแล็ปนั้น ถ้าฉันยิงแกซะ แผนการณ์ของก็แกจบสิ้นหมดแล้ว!!!”
แฟนท่อมยิ้ม แล้วพูด
“ใช่ครับ จริง ๆ ผมยอมรับครับว่าตอนนั้นผมไม่ได้คาดว่าคุณจะอยู่ตรงนั้น แต่ว่าหนึ่งในการจำลองเหตุการณ์ที่ผมคิดไว้มีเรื่องนี้อยู่แล้วครับ แต่ผมมั่นใจครับ ว่าถ้าคุณอยู่ตรงนั้น อิชน่าจะอยู่ด้วย”
“แล้ว? “
“ผมต้องยอมรับว่าแค่ตอนนั้น ผมเดิมพันครับ เดิมพันว่าอิชน่าจะต้องห้ามคุณไว้ได้ และเดิมพันกับความทะเยอทะยานของคุณ ผมเชื่อว่าคุณไม่มีทางละความทะเยอทะยานที่จะสร้างกองทหารไร้พ่ายที่คุณต้องการได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นยังไง ผมเชื่อมั่นว่า คุณไม่มีทางละทิ้งความฝันของตนได้ครับ!!!”
“.....”
โบนิชถอนหายใจและทิ้งดาบลง
“ยอดจริง ๆ... นายทำได้แม้กระทั่งเชื่อมั่นใจศัตรู....”
“ครับ หากเราอยากจะเข้าใจศัตรูของเรา เราต้องเชื่อมั่นในตัวของศัตรูให้พอ ๆ กับมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดครับ ความสงสัยลังเล หรือคลางแคลงในตัวมิตรหรือศัตรูแม้แต่น้อยนิด ย่อมสร้างรอยเปราะบางให้กับทุกอย่างครับ”
“ไม่แปลกใจเลยที่ฉันจะแพ้...”

แฟนท่อมยืดอกขึ้น มือข้างหนึ่งจับดาบ มือข้างหนึ่งยันคางไว้กับพนักบัลลังค์ แล้วพูด
“แล้วนายจะเอายังไงละ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฉันจะเอายังไงได้อีกละ แผนการย่อยยับหมดสิ้นแล้ว แถมนายยังขังชั้นไว้ที่นี่ ไม่ให้ไปสั่งคำสั่งอะไรได้ จะให้กองทัพบุกยึดทุกอย่าง ก็ไม่มีเบี้ยให้เดิน แถมเดินไปก็เท่านั้น เพราะประชาชนที่เก็นเรื่องทั้งหมดนั้นย่อมก่อการรัฐประหารอย่างแน่นอน เรียกว่าปิดตายทุกหนทาง”
“ใช่ เชคเมท”
“ใช่ ใช่ เชคเมท” หมากกระดานนี้ฉันขอยอมแพ้นาย...แฟนท่อม!”
“หมากกระดานนี้ หรือนายยังคิดว่า จะมีกระดานต่อไปอีก โบนิช”
“ก็ไม่รู้สิ นายว่าจะมีหรือเปล่าละ”
แล้วโบนิชก็เดินเข้าไปในกองเพลิงที่ลุกท่วม
“เฮ้อ จะบ้าเหรอ!!!”
“ไว้เจอกันใหม่ แฟนท่อม” โครม เพดานส่วนนั้นทานน้ำหนักไม่ไหวก็พังลงมา เงาของโบนิชหายไปท่ามกลางเพลิงและควัน
แฟนท่อมมองไปรอบ ๆ พลางเอานิ้วเกาคอตัวเอง
“เอ แล้วเราจะเอายังไงดีเนี่ย”
“แฟนท่อม!!!”
เสียงนั้น คริส ที่หน้าประตูที่มีไฟล้อมรอบคริสอยู่ตรงนั้น พยายามประคองตัวอยู่ทั้ง ๆ ที่เลือดท่วมตัว
“คริส!!!” อย่าเข้ามา แฟนท่อมห้ามไว้เพราะเห็นคริสพยายามจะฝ่าเข้ามา เขาโยนดาบทิ้ง กระโจนเต็มกำลังโดดข้ามกองเพลิงไปประคองคริสไว้
“แฮก ๆ แล้วโบนิชละ...”
“หายไปแล้ว”
“หายไป?”
“ใช่หายไป ไม่ได้ตาย ทิ้งแค่คำพูดไว้พบกันใหม่ก่อนจะหายไปในกองเพลิงที่นอกจากผีแล้วคงจะได้เจอกันหรอก...”
“แต่นายเชื่อที่เขาพูดใช่ไหม” คริสจ้องตาแฟนท่อม
“... ใช่” แฟนท่อมตอบพร้อมมองไปยังทิศที่โบนิชหายไป
ครืน ห้องโถงพังทะลายลงมา กลบฝังความทะเยอะทะยานของโบนิชไว้ภายใต้กองเพลิง...

ที่กองวิจัยฯ หลังจากนั่งดูถ่ายทอดมาร่วม 20 เที่ยวแล้ว วินชักเซ็งบอกไม่ถูก ป่านนี้คนที่จะเห็นคงเห็นกันหมดแล้วมั้ง คงได้เวลาแล้ว เขาปลดล็อกห้องเมนเฟรมออก พร้อมยกมือขึ้นไว้เหนือศรีษะแล้วหลับตาพูด
“ยอมแล้วคร๊าบบบบ” ประตูเลื่อนออก
“....”
“ไอ้วิน!!!”
วินลืมตาขึ้นอย่างงง ๆ อ้าว นี่มันเพื่อน ๆ ที่คลังทั้งนั้น แถมคนที่ยืนอยู่ข้างหน้านี่มัน
“หัวหน้าโดน่า!!!”
“แกโดดงานมาทำอะไรอยู่ที่นี่”
 วินก้มหัวเตรียมรับการโจมตี แต่กลับถูกกอด จากเพื่อนที่อยู่ตรงนั้น บางคนก็ตบหัวพลางชม
“ทำได้ดีมากเฟ้ย” “ยอดเลยแก” “ไอ้บ้านี่ไม่ชวนกันบ้าง” ฯลฯ
ส่วนหัวหน้าโดน่ายืนกอดอกหลับตาอยู่
“หัวหน้ามาทำอะไรที่นี่ครับ”
“จะทำอะไร มาควบคุมพื้นที่นะสิ!”
“ตอนที่ฉันบาดเจ็บหนัก แฟนท่อมแบกฉันออกมา แล้วระหว่างนั้นก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฉันฟังอย่างคร่าว ๆ และก็บอกให้ฉันจับตาดู โบนิช กับอิชน่าให้ดี พอฉันค่อยยังชั่วขึ้นเลยแกล้งป่วยต่อ แล้วรวมลูกน้องที่ไว้ใจได้จับตาพวกนี้เอาไว้
แล้วฉันก็ได้รับข่าวร้ายเมื่อวานเรื่องที่โบนิชปฎิวัติอย่างลับ ๆ ฉันเลยรวบรวบคนที่ภักดีเตรียมพร้อมติดอาวุธที่คลัง พอหนังนั่นเผยแพร่ออกไป ทุกอย่างก็กระจ่างหมด หน่วยงานไหนที่ไม่ได้เป็นพวกของโบนิชต่างเข้าร่วมกันทั้งนั้นละ ฉันเลยแบ่งกลลุ่ม ๆ หนึ่งมายึดที่นี่ อีกกลุ่มไปคุมสถานการณ์ที่ราชวัง เท่าที่รู้สถานการณ์ทางโน้นก็ควบคุมได้แล้ว นอกจากเพลิงที่ไหม้ห้องท้องพระโรงอยู่...”
แล้วโดน่าก็มองไปรอบ ๆ ห้องเมนเฟรม
“จะว่าไป แล้วคริสกับแฟนท่อมละ”
“เอ่อ เอ่อ อยู่ที่ห้องท้องพระโรงครับ”
“หา!!!!!!!!!” ทุกคนร้องพร้อมกัน

ครืน ๆ ฟ้าที่ครึ้มตลอดมาในที่สุดฝนก็ตกลงมา ไฟที่กำลังเผาไหม้ท้องพระโรง ค่อย ๆ มอดลงช้า ๆ ท่ามกลางสายฝน แฟนท่อมวางร่างของคริสไว้ใต้ต้นไม้ใกล้ ๆ ประตูใหญ่ คริสที่สลบไปลืมตาขึ้น มอง
“ทอม”
“ครับ”
“นายจะอยู่นี่กับฉันใช่ไหม”
“....”
“ผมยังมีเรื่องต้องไปทำอีกครับ...”
“ถ้าผมผ่านเรื่องนี้ไปได้ ผมสัญญาครับว่าจะกลับมา”
แฟนท่อมปล่อยมือที่จับไว้ช้า ๆ ก่อนจูบคริสที่หน้าผาก เขาหันไปมองหน่วยทหารในชุดกองยามคลังกำลังวิ่งมาทางนี้ เขายิ้มอย่างสบายใจ
เมื่อกลุ่มทหารวิ่งมาถึง
“อ้าวนี่คริสนี่ เฮ้ยพวกเราเจอคริสแล้ว”
“คริส คริสทำใจดี ๆ ไว้”
“เมื่อกี้นี้ไม่ใช่มีสองคนเหรอ”
“นั่นสิเมื่อกี้คิดว่าเห็นอีกคนนี่”
“ก่อนอื่นพาคริสไปพยาบาลก่อน บาทแผลเต็มตัวไปหมดท่าจะเสียเลือดมาก”
แล้วพวกเขาก็เอาเปลพยาบาลมาแบกคริสไปเพื่อส่งโรงพยาบาล...
คริสพึมพัม
“ทอม...สัญญา..”
ก่อนจะจมลงสู่ความมืดของการนิทราที่ยาวนาน...

ออฟไลน์ Misiroseki.siro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
    • Misiroseki Siro's Facebook
บทที่ 26 – Day after storm is always fill with sunshine
«ตอบ #27 เมื่อ28-08-2012 15:33:22 »

บทที่ 26 – Day after  storm is always fill with sunshine
ก๊อก ๆ
“เชิญครับ”
“โยว ว่าไงเพื่อน”
“อ้าววินเอง เข้ามาสิ”
คริสที่นั่งอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล แผลส่วนใหญ่ถูกเย็บและเริ่มสมานตัวแล้ว เขาเพิ่งฟื้นเมื่อคืนนี้เอง หลังจากเหตุการณ์ได้สองวัน พอฟื้นเขาก็ถามเพื่อน ๆ เกี่ยวกับแฟนท่อม แต่ไม่มีใครบอกได้ว่าได้เจอเขาหรือเปล่า เพราะไม่มีใครเคยเห็นแฟนท่อมเลยนอกจากคริสกับวิน... ทั้งสองคนนั่งเงียบด้วยกันสักครู่ คริสมองออกไปนอกหน้าต่าง สายลมอ่อน ๆ พัดเข้ามา พายุพัดผ่านไปแล้ว...
“เขาไม่มาเหรอ”
“อืม”
“จะมาหรือเปล่าน๊า...หมอนั่น”
“ต้องมาสิ...”
“ต้องมา? “
“ใช่หมอนั่นบอกกับชั้นว่า จะกลับมา”
“งั้นเหรอ”
“ถ้าผ่านเรื่องหนึ่งไปได้...”
“เรื่องอะไร”
“ชั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน บางที... มันอาจจะจะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับหมอนั่น...”
“การตรวจสอบที่ห้องโถงนั่นเสร็จแล้วละ”
“เหรอ”
“เราไม่พบศพที่น่าจะเป็นของโบนิชอยู่เลย”
“งั้นเหรอ...”
“งั้นหมอนั่นก็เป็นพวกรักษาสัญญาเหมือนกันสินะ…


กษัตริย์ชราทรงเดินเข้าสู่ห้องบรรทม ทันใดนั้นพระองค์ก็รู้สึกได้ว่ามีบุคคลอื่นอยู่ในห้อง พระองค์ทรงเดินไป ที่เก้าอี้และนั่งลง ก่อนพูด
“ออกมาเถอะ...”
เงาร่างสีดำแบกกล่องใบหนึ่งออกมาจากหลังม่าน เดินมาคุกเข่าที่เบื้องหน้ากษัตริย์
“กระผม เอ่อผม เอ๋ หม่อมฉัน เอ่อหรือกระหม่อม หว่า”
“พูดธรรมดาก็ได้ ไม่จำเป็นต้องใช้ราชาศัพท์หรอก” พระองทรงสรวญเล็กน้อย
“ดีเหมือนกันครับ ผมคือ...”
“แฟนท่อมใช่ไหมละ”
“อ๊ะ ไม่คิดว่าชื่อ”เสีย”ของผมจะดังจนถึงในวังเลยนะเนี่ย”
“หึหึ เอาเถอะ เธอเข้ามามีธุระอะไรหรือ ห้องฉันก็มีของแค่นี้ละ ไม่มีอะไรมีค่าจริง ๆ ให้ขโมยหรอก”
“ใครว่า พระองค์ มีของที่มีค่าที่สุดอยู่กับตัวอยู่ตลอดเวลาแล้วต่างหาก...”
“อ้าวเหรอ ทำไมฉันไม่เคยรู้ตัวเลย”
“เพราะพระองค์สูงส่งเกินไปที่จะรู้ และมันก็มีค่ามากเกินกว่าผมจะขโมยไปได้ สิ่งนั้นคือความปราถนาดีของพระองค์ต่อประชาชนนะครับ” แฟนท่อมยิ้ม
“แหมปากหวานซะ ยังไงฉันคิดว่าเธอคงไม่ได้มาชมชั้นหรอกใช่ไหม...”
แฟนท่อมหน้าสลดลง ก่อนตอบ
“ถูกแล้วครับ ผมนำของมาคืน” แฟนท่อมเปิดกล่องออก คฑาทอง และเพชรแห่งนาเบียอยู่ในกล่องนั้น เขาถวายให้กับกษัตริย์ พระองค์รับมาแล้ววางไว้บนโต๊ะอย่างไม่ได้สนใจนัก
“ผมไปขโมยมาจากที่พักของอครเสนาบดี โบนิช ถูกซ่อนไว้อย่างลึกลับ เล่นเอาใช้เวลาหลายวันทีเดียวกว่าผมจะหาเจอ
“ฉันก็คิดว่านั่นยังไม่ใช่เรื่องที่เธออยากพูดใช่ไหม...”
แฟนท่อมหันมองไปยังกษัตรย์ พระองค์มองตอบมาอย่าง เยือกเย็น
“ครับ... ผมมาขอรับโทษ... ผมเผาห้องท้องพระโรง ปลอมตัวเป็นพระราชา แถมขโมยคฑาทอง เพชรแห่งนาเบีย...”
“แค่ข้อหาทั้งหมดนั่น โทษก็ถืงประหารแล้วนะ แน่ใจเหรอ”
“ครับ... “
“มีเหตุผลสินะ”
“ครับ”
“ผมถึงเป็นขโมย แต่ไม่เคยวางเพลิง ฆ่าคน แต่ผมเผาท้องพระโรง มีคนต้องบาดเจ็บ และตอนขโมยคฑาทอง ยิ่งทำให้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก.... บาปเหล่านี้ คนที่เดือดร้อนย่อมไม่ให้อภัย..”
“แฟนท่อม...”
“ครับ”
“จริงอยู่ตอนที่เธอขโมยคฑาทอง เป็นสาเหตุของเภทภัย แต่ฉันได้ฟังเรื่องจาก โดน่าหมดแล้ว ว่าจริง ๆ มันก็เป็นแผนของ โบนิชอีกนั่นเอง จะมาโทษเธอทีเดียวก็คงไม่ได้ แม้แต่ทหารที่บาดเจ็บในวันนั้น ทุกคนพอได้ทราบสาเหตุต่างไม่คิดติดใจเรื่องเธอกันทั้งนั้นละ”
“ส่วนเรื่องเผาท้องพระโรง ปลอมเป็นฉันนะ เธอทำไปด้วยเจตนาดี.. จะให้ฉันลงโทษคนที่ช่วยประชาชนของฉันไว้ได้อย่างไร”
กษัตริย์เดินไปที่หน้าต่าง แล้วเปิดออก ภาพนครอินแกรมทอดยาวสุดสายตา
“ดูสิ คนเหล่านี้ต่างอภัยให้เธอทั้งนั้น” แล้วกษัตรย์ก็ยิ้มออกมา
“และอีกอย่าง ยังไงเธอก็เป็นผี (แฟนท่อม) อยู่แล้ว แล้วจะให้ฉันไปประหารผีได้ยังไงละ”
“หมายความว่า ...”
“ไปเถอะแฟนท่อมเอ๋ย ไปหาคนที่มองเห็นเจ้าด้วยตา มองเห็นตัวเจ้าด้วยใจ ตัวตนแท้จริงของเจ้า”
แฟนท่อมกระโดดไปที่หน้าต่าง ทำท่าจะกระโจนหายไป
“อ๋อเดี๋ยวนิดหนึ่งนะ ยังไงก็ช่วยเพลา ๆ เรื่องขโมยลงหน่อย อย่าให้ชาวบ้านต้องเดือดร้อนนักละ”
แฟนท่อมหันมายิ้มกับกษัตริย์ชรา และกระโจนหายไป ทิ้งไว้แต่เสียงสุดท้าย
“ข้าพระองค์ขอสัญญา!!!”

ออฟไลน์ Misiroseki.siro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
    • Misiroseki Siro's Facebook
บทสุดท้าย - Even phantom still not invisible to the trusted eye.
«ตอบ #28 เมื่อ28-08-2012 15:33:52 »

บทสุดท้าย - Even phantom still not invisible to the trusted eye.

หลังเหตุการณ์ครั้งนั้นผ่านมาได้หนึ่งเดือน อะไร ๆ ก็เปลี่ยนไปเยอะ การปรับกำลังพลก็เรียบร้อยแล้ว นายกองโดน่าได้แสดงผลงานในการควบคุมสถานการณ์วุ่นวายในครั้งนี้ได้อย่างเหนือชั้น จึงได้เลื่อนให้เป็นหัวหน้ากองทหารรักษาพระองค์แทนโรฟที่จากไป ทำให้ตำแหน่งหัวหน้ายามกองคลังว่างลง ทีแรกเขาอยากให้วิน หรือคริสขึ้นตำแหน่งนี้แทน แต่พอไปเสนอ วิน
“ไม่เอาอ่ะ ขี้เกียจรับผิดชอบง่ะ” แล้วหมอนั่นก็เผ่น
ส่วนคริส
“ผมไม่อยากทำงานคุมคนนะครับ ผมนั้นถนัดทำงานกับเพื่อน ๆ มากกว่าครับ”
ทั้งสองรายนี้ได้ขึ้นเงินเดือนหลายขั้นจากความชอบในเหตุการณ์ แต่ปฎิเสธในการเลื่อนตำแหน่ง แต่คริสขอย้ายไปทำกะกลางคืนเหมือนเดิม วินที่เป็นซี้กันก็เลยขอตามไปด้วย
สุดท้ายตำแหน่งนี้เลยตกเป็นของ จิม ที่เป็นมือขวาของโดน่า แต่ไอ้หมอนี่ปรกติแล้ว ก๋งก๊งจะตาย ทำให้ลูกน้องไม่ค่อยเชื่อฟัง ไป ๆ มา ๆ นายกองโดน่าเลยต้องคอยแวะมาช่วยกำกับอยู่เนือง ๆ
เหลือแต่กองทหารรักษาการณ์ที่ยังวุ่นวายกับการหาคนมาแทนอิริค

ส่วนเรื่องของโบนิช... ไม่มีการพบศพของโบนิชไม่ว่าที่ไหน เขาหายไปพร้อมกับคำพูดว่าพบกันใหม่สำรับแฟนท่อม แต่แฟนท่อมก็อยากพูดตอบเหลือเกินว่า “เฮ้อ... ใครจะอยากจะไปพบกับนายอีกเล่า...”
กองวิจัยฯ ถูกยุบ และเปลี่ยนขนาดให้เล็กลง โดยโดนให้เข้ามาอยู่ภายใต้ กองทหารรักษาพระองค์ หน่วยทหารพิเศษประจำกองวิจัยฯ ก็เลยถูกยุบไปด้วย เมื่อมีการตรวจสอบ พบว่าข้อมูลการค้นคว้าเป็นสิบ ๆ ปีที่เก็บอยู่ในเมนเฟรมหายไปหมด และตัวอย่างทดลอง Dop005 ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย...

เรื่องของเรากลับมาที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง
คืนนี้ท้องฟ้าใสกระจ่าง คริสยืนยามอยู่ ณที่เดิมอีกครั้ง ต่างกันที่ป้อมข้าง ๆ มีวินมาคอยกวนประสาทอยู่เนื่อง ๆ ยิ่งหัวหน้าเป็นจิมแล้ว วินไม่เคยเกรงใจเลยสักนิด ...
จ๋อม เสียงน้ำกระเพื่อมอยู่ข้างหน้า คริสกระชับปืนขึ้นมา ก่อนนึกถึงเรื่องวันนั้น เขาวิ่งออกไปนอกป้อม ในน้ำทิ้งแต่วงน้ำกระเพื่อมอยู่ เขากลับเข้ามามองดูใต้โต้ะอย่างรวดเร็วอย่างดีใจ ... ไม่มีใครอยู่ที่นั่น...คริสได้แต่ถอนหายใจ
“โย่ว” คริสสะดุ้ง
“ไอ้บ้าวินนั่นเอง” เป็นไรหรือเปล่าเห็นลุกลี้ลุกลน
“เปล่าหรอก พอดีเห็นน้ำพระเพื่อม “
“อ๋อ เลยคิดถึงที่พบกับหมอนั่นครั้งแรกนะสิ”
“อืม มันก็เป็นคืนคล้าย ๆ แบบนี้ แค่ตอนนั้นมีฟ้าคะองหน่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ท้องฟ้าโล่ง”
“แต่ฤดูฝนก็ผ่านไปแล้วนี่... คงไม่มีวันแบบนั้นอีกแล้วมั้ง”
“นั่นสินะ...”
วินเอื้อมมือมาจับมือคริสไว้ ทำให้คริสงง
“คริส... “ วินก้มหน้าก่อนพูด
“ลืมหมอนั่นไปเถอะ นะ”
“แต่งงานกับชั้นดีกว่า”
แล้ววินก็จูบคริส ตอนนี้เองที่คริสได้มองตาวินชัด ๆ ลูกตาของลูกแมวน้อยหลงทาง
เขากอดวินกลับ พร้อมจูบกันอย่างโหยหา
แฟนท่อมค่อย ๆ เปลี่ยนร่างกลับมาเป็นร่างจริงของเขา
เขาไม่ต้องการคราบอีกแล้ว เพราะบัดนี้มีคนที่มองเห็นตัวเขาอย่างที่เขาเป็น
มีคนที่รักเขาอย่างที่เขาเป็น มีคนที่เชื่อเขาและให้อภัยแก่เขา
แล้วจะมีสิ่งใดอีกที่คราบอันหลอกลวงจะมอบให้เขาได้...

“ทอม”
“ครับ คริส”
“นายยังจะชอบชั้นอีกเหรอ”
คริสลูบที่แปลเป็นที่ใบหน้าที่เกิดจากมีดของอิชน่า
ทอมยกมือขึ้นรูปรอยแผลนั้นเช่นกัน แล้วยิ้มให้คริสอย่างอ่อนโยน
“รู้ไหมครับ เรื่องราวบนโลกนั้น ของที่สมบูรณ์แบบนั้นมีแต่ความน่าเบื่อไร้แก่นสารครับ สิ่งที่งดงามจริง ๆ นั้น ความจริงแล้วต้องประกอบขึ้นจากความไม่สมบูรณ์พรอ้มครับ ผมเองก็ไม่สมบูรณ์พร้อม คุณเองก็ไม่สมบูรณ์พร้อม เพราะอย่างนั้นไม่ใช่หรือครับ เราถึงต้องการกันและกัน เพราะเราต่างเติมเต็มกันและกันครับ ไม่ว่าวันนี้หรือวันวาน หรือวันไหน  ๆ คุณก็เป็น คุณทหาร 85 คะแนนสำหรับผมเสมอครับ

ที่ป้อมของวิน วินล้มตัวลงมาทั้ง ๆ ถูกมัดเอาไว้ และอยู่ในชุดรัดรูปสีดำ ขาดแต่ไม่ได้ใส่หน้ากากเท่านั้น
“อี้อ ๆ ๆ ๆ ๆ (คำแปล ไอ้บ้าทอม เอาชุดชั้นคืนมาเฟ้ย)

“เงินทอนค่าหมัดไงครับ เงียบหน่อยสิครับ คุณ 78 คะแนน!!!”

ปล. ก็บอกแล้วไง ไม่ใช้มุขเดิมซ้ำซากหรอกเฟ้ย

ออฟไลน์ Misiroseki.siro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
    • Misiroseki Siro's Facebook
บทแถมท้าย
«ตอบ #29 เมื่อ28-08-2012 15:34:25 »

บทแถมท้าย

นิทานนี้มีเรื่องราวที่เริ่มต้นอย่างเร้าใจ ของเด็กคนหนึ่งที่ไร้ตัวตน เด็กคนนี้โตขึ้นเพราะได้รับความรักและมองเห็นตัวตนซึ่งกันและกัน และนิทานใด ๆ ก็ย่อมมีจุดจบ จุดจบของนิทานนี้อยู่ที่โบสถ์เล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ในชุมชนเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง

“......... ทั้งสอง จะสัญญาว่าจะ รัก ภักดีต่อกัน ไม่ว่าอุปสรรค์ใด ๆจะแผ้วพาล ก็ไม่ทอดทิ้งซึ่งกันและกัน จวบจนชีวีจะหาไม่หรือไม่”
“รับครับ”
“รับครับ”
“เอาละแลกแหวนกันได้”
“ขอให้แหวนนี้แทนความผูกพันธ์ของทั้งสอง อย่าได้ร้างลาเจือจาง คงทนนิรันดร์ดุจดังเพรช ดุจดังทองที่ไม่มีสนิมแผ้วพาน”
“ด้วยนามของตัวแทนของพระผู้ศักดิ์ศิทธ์ ขอประกาศให้ทั้งสองเป็นคู่ชีวิตกัน ตราบจนสิ้นลมหายใจ”
บาทหลวงมองไปยัง มือที่กำกันแน่น และมองไปยังวัยรุ่นคนหนึ่งที่ยืนข้าง ๆ แทบไม่เคลื่อนไหว คล้ายไม่เข้าใจอะไรนัก และชายหนุ่มอีกคนที่กำลังโวยวาย พร้อมโปรยกระดาษเงินแล้วหัวเราะอย่างชอบใจ ในตำแหน่งเพื่อนเจ้าบ่าว และแขกอีกหลาย ๆ คนที่หน้าคุ้น ๆ ที่ยืนอยู่เต็มโบสถ์
ก่อนมองออกไปบนฟ้าของประตูโบสถ์ที่กำลังเปิดออก และทั้งชายทั้งสองที่กำลังจูงมือกันเดินออกไปท่ามกลางเสียงปรบมือและเสียงแสดงความยินดีไปสู่อนาคตอีกยาวไกล แล้วท่านก็พูดกับตัวเอง...
“ขอบคุณต่อพระจ้า...ที่ให้ลูกได้เห็นวันนี้....”
ก่อนวางมือลงบนศรีษะของชายวัยรุ่นคนนั้น แล้วยิ้มให้
“ไม่ต้องกลัว... พระเจ้ายังไม่ได้ทอดทิ้งลูกเช่นกัน”
วัยรุ่นคนนั้นได้แต่มองตอบกลับมา... ก่อนแววตาดูเหมือนจะมีแวบหนึ่งแห่งความเข้าใจสว่างวาบ ดุจดั่งพระอาทิตย์ที่อยู่บนฟากฟ้า

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด