THE CALL - เมื่อผมเป็นพ่อสื่อให้คางคก
The Call Chapter 10: พูดจาภาษา AV
ลูกตุ้มนาฬิกาหยุดแกว่ง เสียงรอบข้างที่หายไปกลับมา รวมถึงหัวใจผมก็กลับมาเต้นตามจังหวะปกติ
โอยย...มือผมสั่นเล็กน้อย กราฟทำไมถึงปล่อยให้น้องดิ้นดุกดิกแบบนี้ ออกมาเดินนอกห้องในสภาพนี้ได้ยังไง ก่อนออกจากห้องรบกวนช่วยใส่ชั้นในให้เรียบร้อยก่อนได้ไหม สภาพกราฟตอนนี้นอกจากกางเกงนอนที่ลู่แนบเข้ากับลำตัวแล้ว เสื้อยืดสีขาวที่ใส่ยังสั้นถึงแค่ขอบของกางเกงนอนเท่านั้นแหละ
ผมละสายตาจากลูกตุ้มของกราฟ กลับมามองจานข้าวตรงหน้าของตัวเอง ผมถึงกับตาเหลือก พริกครับพริก ไข่ดาวผมแดงเถือกไปด้วยพริก พริกมะนาวน้ำปลาแดงเถือกชุมนุมบนไข่ดาวในจานข้าวกะเพราเนื้อผม สีเขียวสีแดงเต็มจาน สงสัยเมื่อกี้ตักเพลินไปหน่อย
“นาย!?” ผมหันไปตามเสียงเรียก แต่ก็ต้องตกใจแทบร้องเหวอออกมา
“!” หน้าของกราฟอยู่ห่างจากหน้าผมแค่ไม่กี่เซนติเมตร ไม่ใช่แค่นั้นกราฟยังเอานิ้วมาแตะหน้าผากผมด้วยนะ “ทำไมหน้าแดง เป็นไข้หรือเปล่า?”
“เปล่า ไม่ได้เป็นไข้ สงสัยอากาศคงร้อนน่ะ” ผมหลบสายตากราฟที่มองมา ผมจะพูดออกไปได้ไงเล่าว่าเป็นเพราะน้องดุกดิกนั่นแหละ ผมบ่นเสียงดังในใจ พยายามเก็บอาการให้มีพิรุธน้อยที่สุด สะกดจิตตัวเองไม่ให้หันไปมองย้ำที่ลูกตุ้มอีก จากนั้นก็รีบสาวเท้าเดินหนีออกมา
“เฮ้ยยยย เชี่ยย!!!” ผมลื่น! ผมตกใจร้องเสียงหลง จังหวะที่ตัวกำลังจะหงายขาชี้ฟ้า ด้านหลังผมก็มีคนเข้ามาพยุงไว้ทันเวลาพอดิบพอดี ดีนะที่ผมมีสกิลนักกายกรรมเปียงยางอยู่บ้าง จานข้าวถึงอยู่ดีข้าวไม่หกแม้แต่เม็ดเดียว มีแค่พริกซอยเท่านั้นแหละที่ลอยออกไปจากจานไข่ดาวบ้าง พอผมยืนได้ตามปกติก็รีบหันไปขอบคุณคนที่ช่วยผมเอาไว้ “ขอบคุณครับ” เสียงชายผู้มีบุญคุณด้านหลังเอ่ยสวนตอบกลับมาทันควัน
“ซุ่มซ่ามนะมึง”
“...”
“ไม่ต้องทำหน้าขอบคุณกูขนาดนั้น”
“...”
“ทีหลังหัดเดินให้มันระวังหน่อย ทำข้าวหกเลอะพื้น ลำบากป้าแม่บ้านเขาต้องมาตามเช็ดตามกวาดให้อีก”
“...”
พูดกับผมเสร็จไอ้พี่เข้มก็ทิ้งผมไว้ตรงนั้น ก่อนจะเดินไปคุยกับกราฟสองสามประโยคแล้วเดินออกจากโรงอาหารไป ปล่อยให้ผมยืนงงทำหน้าเอ๋อ พอตั้งสติได้ผมก็เดินไปหาที่นั่งเหมาะๆ เพื่อกินข้าว ไม่นานกราฟก็เดินมานั่งลงข้างๆ กับข้าวในจานข้าวกราฟ ผมไม่เคยเห็น หน้าตาแปลกๆ แต่ดูท่าทางน่ากิน ด้วยความอยากรู้เลยถามออกไป
“สั่งอะไรมาอะ หน้าตาโคตรน่ากินเลย”
“แกงฮังเล สั่งป้าทำให้ตั้งแต่เมื่อวาน” กราฟตอบผมเสร็จก็ตักแบ่งให้ผมหนึ่งชิ้น เออ ดีๆ รู้งานมาก ยังไม่ทันได้ขอเลย
“กราฟชอบกินอาหารใต้เหรอ?”
“แกงฮังเลอาหารเหนือ” กราฟตอบผมแล้วก็ตักข้าวเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ
“อ้าว จริงอะ ฟังจากชื่อนึกว่าอาหารใต้นะเนี่ย ทำไมถึงเรียกแกงฮังเลล่ะ” คราวนี้กราฟไม่ตอบผมแฮะ ช่างมันไม่อยากรู้ก็ได้วุ้ย ผมลองตักชิมดูอร่อยดีอะ รสชาติคล้ายๆ พะโล้แต่เข้มข้นกว่า กราฟตักแกงมาใส่จานผมอีก ผมพยักหน้ารับแล้วตักกะเพราจากจานผมแบ่งไปให้กราฟบ้าง กินพริกบ้างนะกราฟนะ
ผมแย่งกราฟกินจนอิ่ม จากนั้นเราก็แยกย้ายกันกลับห้อง ผมอ่านการ์ตูนไปได้สักพักก็รู้สึกว่าวันนี้อากาศร้อนอบๆ เหงื่อเริ่มซึมตามหลัง อ่านไปอ่านมาชักไม่ไหว ร้อนโคตรๆ เลยตัดสินใจหอบการ์ตูนทั้งหมดไปอ่านตากแอร์เย็นๆ ที่ห้องสมุดแทน หลังจากเอาหนังสือการ์ตูนยัดใส่กระเป๋าเป้จนเต็ม ผมก็รีบขับรถฝ่าไอแดดมุ่งตรงไปที่ห้องสมุดทันที
ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยผมจะเรียกว่าอาคารบรรณสาร สร้างเป็นอาคารปูนคอนกรีตสามชั้น อาคารห้องสมุดมหาวิทยาลัยผมมีชื่อเรียกแตกต่างจากอาคารของมหาวิทยาลัยหลังอื่นที่ตามปกติมักจะเรียกชื่อตามตัวอักษรภาษาอังกฤษแทนชื่อของอาคารจริงๆ เช่น อาคารเอเป็นชื่ออาคารบริหาร อาคารซีเป็นชื่ออาคารห้องทำงานอาจารย์ อาคารเอฟหนึ่งถึงสามเป็นอาคารเครื่องมือ เป็นต้น
ตัวอาคารของห้องสมุดด้านล่างจะแบ่งเป็นสามส่วน ฝั่งทิศตะวันออกจะมีห้องอินเทอร์เน็ตเปิดให้บริการนักศึกษา ตรงกลางเป็นร้านขายขนม จำพวกของขบเคี้ยวจากฟาร์มมหาวิทยาลัย ส่วนฝั่งทางทิศตะวันตกเป็นส่วนทางเข้า มุมนี้ถ้าเดินตรงเข้าไปเป็นพวกนิตยสารอ่านเล่น แต่ที่ประจำของผมจะเป็นมุมโซฟาชั้นสอง อยู่บริเวณทางเดินขึ้นชั้นสาม มุมนี้ไม่ค่อยมีคนมานั่งเท่าไหร่
ผมกำลังจะเดินไปถึงบริเวณที่ผมหมายตาเอาไว้ สายตาก็เหลือบไปเห็นเพื่อนผมพอดี นั่นโก๋นี่นา มากับใคร? ไหนบอกว่าจะกลับบ้าน ผมยกมือขึ้นโบก ส่งเสียงเรียกโก๋เบาๆ “โก๋ๆ” โก๋ทำหน้าตกใจทันทีที่มองเห็นผม
“มะนาว ไม่ได้กลับบ้านเหรอ”
“เออดิ ถามแปลก ถ้ากลับจะมายืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ได้ไง แล้วไหนบอกว่าจะกลับบ้าน ทำไมมานั่งจุ้มปุ๊กอยู่บรรณสาร หรือแอบมากับใคร ซุกใครไว้ไม่บอกเพื่อนหรือเปล่าน้า? น่าสงสัย”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกน่า”
“ไม่ใช่อย่างนั้น แล้วมันเป็นยังไง อย่าบอกนะว่ามึงมีแฟนแล้ว?”
“ยังไม่ถึงขนาดนั้นหรอก อยู่ในช่วงดูๆ กันอยู่น่ะ” โก๋ตอบผมอายๆ
“ไหนคนไหน แล้วแอบไปคบกันตอนไหนเนี่ย ทำไมไม่เห็นรู้เรื่อง”
“เด็กวิศวะน่ะ เดี๋ยวแนะนำให้รู้จักน่า”
“แล้วไปปิ๊งปั๊งกันได้ยังไง”
“ที่หอนั่นแหละ”
โก๋พักอยู่หอเจ็ด เป็นหอพักชายของมหาวิทยาลัยนี่แหละครับ หอพักชายมหาวิทยาลัยผมมีทั้งหมดเจ็ดหอพัก ทุกหอเป็นห้องน้ำรวม เว้นแค่หอพักผมหอพักเดียวเท่านั้นที่เป็นแบบห้องน้ำในตัว
“แล้วไงต่อ อย่ากั๊กดิ อยากฟังแบบละเอียด”
“ก็เจอกันโดยบังเอิญ แซวกันไปแซวกันมา เลยได้กันแล้วก็คบกัน”
“?”
“นั่นแหละเขาเป็นคนดีแล้วก็ลีลาดีด้วย” โก๋ตอบผมตายิ้มอย่างคนมีความสุข ผมเห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ เพื่อนผมกำลังอินเลิฟ โลกเป็นสีชมพู
“แล้วมะนาวมาทำอะไร”
“อยู่ห้องร้อน ทนไม่ไหว เลยหอบหนังสือ...การ์ตูน มาอ่านน่ะ” ผมเบาเสียงคำว่าการ์ตูนลงหน่อยหนึ่ง
“เพิ่งไปเช่ามาใหม่?”
“ใช่ เล่มใหม่เพียบ พี่จ๋าเพิ่งเอามา”
“มีเล่มไหนฟินๆ แนะนำปะ อยากอ่านเหมือนกัน ช่วงนี้ไม่ได้เช่าการ์ตูนเลย”
“ยังอ่านไม่ครบ แต่ก็มีเรื่องดีหลายเล่มอยู่เหมือนกัน มีสไตล์ที่มึงชอบหลายเล่ม”
“แล้วฟินไปกี่รอบแล้ว?” ไอ้โก๋ทำหน้ายิ้มกรุ้มกริ่มกวนตีนผม
“...” ผมไม่ตอบ แต่เอื้อมมือไปจับมือโก๋มา แล้วค่อย ทๆ เขียนเลขแปดแนวนอนใส่มือ
“ขนาดนั้น?” โก๋แกล้งทำตาโต แล้วผมสองคนก็หัวเราะพร้อมกัน แต่หัวเราะเบาๆ ในลำคอนะ เพราะตอนนี้พวกผมอยู่ในห้องสมุด
“อีผี!” เสียงชายหนุ่มปริศนาดังแทรกขัดจังหวะการหัวเราะของพวกผมสองคน โก๋หันหน้าหาเสียงนั้น สองคนยิ้มให้กัน โก๋หันกลับมาทางผม แล้วแนะนำผู้ชายที่เพิ่งเดินเข้ามาใหม่
“หมู นี่เพื่อนเค้า มะนาว”
“เราชื่อเบิร์ด ยินดีที่ได้รู้จักนะ ได้ยินโก๋พูดถึงบ่อยๆ”
คุยกันสักพัก โก๋กับเบิร์ดก็ขอตัวแยกออกไป ซึ่งโก๋มาเล่าให้ผมฟังทีหลังว่า ‘อีผี’ ย่อมาจากผีเสื้อ แต่เอาจริงปะ ผมว่าไม่ ไม่ใช่ย่อมาจากผีเสื้อหรอก เพราะแฟนของโก๋ ดูหน้าก็รู้แล้วว่าเป็นคนเกรียนๆ แต่โดยรวมก็น่าจะเป็นคนนิสัยดี ระหว่างที่สองคนนั้นเดินจากผมไป ผมก็ได้ยินเสียงคุยกันหงุงหงิงดังแว่วไปตลอดทาง
“อีผีเค้าอยากกินสุกี้เสี่ยงทาย ให้ลูกชิ้นรักบี้ทำนายความรัก”
“เย็นนี้อยากกินสุกี้เหรอ ถ้างั้นขากลับแวะไปซื้อของสดที่ฟาร์มก่อนก็ได้”
ข้าวใหม่ปลามันจริงๆ ผมว่าคืนนี้ผีได้รวมร่างกับหมูแน่ๆ คนกำลังอยู่ในช่วงอินเลิฟอะนะ แต่ดูท่าทางแล้วสองคนนี้น่าจะคบกันยาว ดูเหมาะสมกันดี คุยกับเพื่อนเสร็จ ผมก็จัดแจงหามุมอ่านหนังสือการ์ตูน เลือกโซฟาที่นั่งสบายที่สุดแล้วก็ผมก็เริ่มนั่งอ่านอย่างจริงจัง พอเปิดการ์ตูนหน้าแรกต่อด้วยหน้าสองสติผมก็ตัดขาดจากโลกภายนอก ดำดิ่งไปอีกโลกเหมือนอลิซที่หล่นลงไปในโพรงกระต่ายแล้วไปเจอกับโลกอีกใบที่ทำให้ตื่นตาตื่นใจได้ตลอด
ผมค่อยๆ ไถลตัวลงเรื่อยๆ จากนั่งก็กลายเป็นกึ่งนั่งกึ่งนอน อ่านไปเริ่มเพลิน อากาศเย็นๆ จากเครื่องปรับอากาศทำให้ผมอยากพักสายตา นั่งเกร็งเปลือกตาอยู่แป๊บหนึ่ง สุดท้ายผมก็เผลอหลับ
ผมรู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออก รู้สึกเหมือนกำลังจะขาดอากาศ อึดอัด มองไปรอบๆ ก็มืดสนิทไปหมด อึดอัด ผมพยายามขยับตัว แต่ขยับไม่ได้ อึดอัด พยายามขยับตัวใหม่ก็ขยับไม่ได้ อึดอัด ผมตัดสินใจดิ้น ผมดิ้นสุดแรง สุดท้ายผมก็เห็นแสงสว่างวาบขึ้นมา แต่แค่เสี้ยววินาทีที่ผมเห็นแสงสว่าง ผมรู้สึกว่าเหมือนตัวกำลังจะหล่นตกจากที่สูง
เฮ้ยย ตุ้บ!! สติผมก็กลับเข้าร่าง น่าขายหน้าจริงๆ ผมหลับกลางห้องสมุด แถมยังละเมอตกจากโซฟาอีก ผมงัดสกิลเฉินหลงรีบลุกกลับขึ้นมานั่งบนโซฟาตัวเดิมเนียนๆ หวังว่าคงไม่มีใครนั่งอยู่แถวๆ หรอกนี้นะ แต่เปล่าเลยครับ เพราะว่ามีไอ้พี่เข้มกำลังยืนจ้องผมอยู่
“ตลกว่ะ แอบเอาการ์ตูนโป๊มากางอ่านกลางห้องสมุด แล้วยังกล้านอนหลับเฉย แถมกรนเบาๆ ซะด้วย ไม่เบาๆ”
“การ์ตูนวาย” ผมหลบสายตาเถียงอ้อมแอ้มแบบไม่ค่อยเต็มเสียงเท่าไหร่ สงสัยไอ้พี่โอมแอบเปิดอ่านการ์ตูนผมแน่ๆ พี่โอมดึงแขนผมให้ลุกขึ้นจากโซฟา
“วันนี้อากาศร้อนจังน้า รู้สึกคอแห้งกระหายน้ำแปลกๆ สงสัยบ่ายนี้ต้องไปดวลกับพระเอก”
“?” พระเอกอะไรของพี่เข้มเขาอีกล่ะครับ คนยิ่งกำลังเมาขี้ตาอยู่ ไม่ต้องรอให้ผมงงนาน พี่เข้มเขาก็ดึงแขนผมให้ลุกขึ้น แถมยังช่วยเก็บหนังสือการ์ตูนใส่ในกระเป๋าเสร็จสรรพ พอผมถามว่าพี่จะพาไปไหน พี่แกก็ไม่ตอบ แค่หันมาสบตาผมเท่านั้นแหละ
“อย่าโอ้เอ้ กูหิวข้าว”
“?”
“มึงจะนั่งงงอีกนานไหม? รีบลุก กู หิว ข้าว”
หลังจากโดนป้ายยา ผมก็เดินตามพี่เข้มออกมาจากห้องสมุด ผมเดินตรงไปขับเอารถมอเตอร์ไซค์คุรุสภาสีขาวออกมา ส่วนพี่เข้มก็เดินไปขับรถเวสป้าสีมะนาวของตัวเองขับนำผมออกไป ผมขับตามไปเรื่อยๆ ออกไปทางหน้ามหาวิทยาลัย วนเกาะกลางถนนก่อนจะเลี้ยวซ้ายเข้าถนนเส้นเล็กๆ ขับใต้เงาร่มของใบต้นกระถินที่ขึ้นสูงฝั่งขวาของถนนมาได้พักเดียว ก็ถึงปั๊มน้ำมันเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณหน้ามหาวิทยาลัย พี่เข้มขับรถเวสป้าสีเขียวมะนาวเข้าไปจอดหน้าร้านเล็กๆ ตั้งอยู่ในปั๊มน้ำมันใต้ต้นหูกวางต้นใหญ่ ร้านนี้ทำจากตู้คอนเทนเนอร์สีขาว หน้าร้านรวมถึงประตูเป็นกระจกทั้งหมด ดูสะอาดสะอ้านน่าเข้าไปอ่านการ์ตูนวาย จิบกาแฟนม กินขนม ใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ มุมซ้ายกระจกบานใหญ่ด้านหน้าร้านติดสติกเกอร์บอกชื่อร้านพร้อมเวลาเปิดปิด ด้วยตัวหนังสือสีขาวตัวใหญ่ด้วยฟอนต์ภาษาไทยมีหัวที่อ่านง่ายสบายตาว่า
ฤ ดู ใ บ ไ ม้ ผ ลิ ข อ ง พ ร ะ เ อ ก
อี โ ร้ ะ อี โ ร้ ะ
'เ ชิ ญ เ ม า'
1 9 9 5 .3 .26 Open Tuesday – Sunday 12.00 – 02.00
มองจากด้านนอกผ่านกระจกใสบานใหญ่ก็เห็นด้านในของร้าน ผมเห็นผู้ชายเท่ๆ อยู่หนึ่งคน คาดว่าน่าจะเป็นเจ้าของร้าน กำลังนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ตัวยาวที่ติดสติกเกอร์เต็มเกือบทั้งโต๊ะ แต่ดูไม่รก ดูเท่ๆ แนวๆ ดิบๆ เฟอร์นิเจอร์ด้านในร้านส่วนใหญ่เป็นไม้ ผมเดินตามพี่โอมเข้าไปในร้าน ทำนองเพลงแปลกหูก็ดังลอดออกมา ‘ละพอแต่เปิดผ้าม่านกั้น คันสอดส่องมองหาแฟน’ ในร้านเปิดเพลงสาวลำเพลิน ฉวีวรรณ ดำเนิน คลอเบาๆ มุมหนึ่งของร้านมีแผ่นเสียงสีสันสดใสตั้งอยู่ แต่ผมไม่คุ้นหน้านักร้องสักคน เดาว่าน่าจะนักร้องสมัยเก่า บนแผ่นเสียงเขียนว่า ยอดลำแพน ขวัญตา ฟ้าสว่าง, ลำกล่อมทุ่ง ไพรินทร์ พรพิบูล, คนดังขี่หลังควาย ดาวบ้านดอน, The sound of siam
ด้านในร้านดูโล่งๆ และเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก ผมมองสำรวจร้านรอบๆ เห็นมีนางกวักวางอยู่ด้วย จากนั้นตาผมก็ไปสะดุดกับขวดโหลแก้วขนาดใหญ่บรรจุน้ำสีแดงอมชมพูเข้มตั้งเรียงรายหลายขวด ด้านหน้าขวดโหลติดป้ายชื่อของขวดด้วยกระดาษสีชมพู เช่น โด่ไม่รู้ล้ม ม้ากระทืบโรง พญาเสือโคร่ง ถัดจากขวดน้ำก็เป็นขวดโหลสีเหลืองด้านในบรรจุผลไม้ดองต่างๆ เช่น มะยม มะม่วง มะดัน องุ่น ร้านยาดอง!? ตอนนี้ผมกำลังอยู่ในร้านยาดอง แต่สาบานได้เลยครับ ไม่ใช่ร้านยาดองแบบที่เคยเห็นแน่นอน
หลังจากเพลงสาวลำเพลิน ฉวีวรรณ ดำเนิน จบลง ทำนองเพลงสนุกสนานชวนให้โยกมือเบาๆ ก็เล่นต่อทันที ‘ดิ๊งๆ ด่อง ละใครก็ดิ๊งๆ ด่อง ละพี่ก็ดิ๊งๆ ด่อง ถ้าน้องดิ๊งด่อง ละพี่ก็ดิ๊งๆ ด่อง’ เพลงดิ๊งด่อง ไวพจน์ เพชรสุพรรณ
“นั่งร้านยาดองตอนบ่าย ไม่เมาเร็วไปเหรอครับ”
“น้ำพระเอกโว้ย!” พี่โอมบุ้ยปากมองไปยังป้ายร้านด้านบน
“มึงเอาข้าวอะไร เดี๋ยวกูสั่งให้ ร้านนี้กูสนิท” พี่โอมพูดจบก็หันไปสั่งกะเพราเนื้อชิ้น “พี่เทียนวันนี้ผมเอากะเพราเนื้อไม่สับหนึ่ง เอาไข่เจียวด้วยนะ” เจ้าของร้านนี้แต่งตัวแนวมากครับ เสื้อยืดขาว กางเกงขาใหญ่สีดำเอวสูง ปลายขากางเกงเต่อโชว์ถุงเท้าสีเจ็บ แถมรอยสักที่แขนก็สวยมาก แล้วก็โคตรสูง แถมหล่อขายาวอีกต่างหาก โห นี่มันพระเอกการ์ตูนชัดๆ เลยนะเนี่ย
“ตกลงมึงจะกินอะไร คิดเยอะคิดแยะ ร้านนี้กะเพราเนื้ออร่อย”
“เอากะเพราะเนื้อครับ”
“พี่เทียนผมเอากะเพราเนื้อเป็นสองนะ วันนี้พี่ฮารุไม่มาเหรอพี่”
สงสัยพี่โอมรู้ทันผมว่ากำลังสงสัยมองโน่นมองนี่ทั่วร้าน พี่แกเลยอธิบายว่าร้านนี้ขายทั้งอาหารตามสั่ง ยาดอง แล้วก็แผ่นเสียง เป็นร้านนั่งเมาเพลินๆ ได้โน่นยันเช้า เจ้าของร้านเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นมีสองคน เพลงร้านนี้ส่วนใหญ่เปิดเพลงไทยเก่าๆ หรือเพลงฝรั่งวินเทจ แต่ส่วนใหญ่เปิดลูกทุ่งเพลงหมอลำ สมัยโน่นยุค 20-80s เพลงสาวลำเพลิน ฉวีวรรณ ดำเนิน จบลง เพลงคิดฮอดชู้ อังคนางค์ คุณไชย ก็ดังขึ้นมา
นั่งไปแป๊บเดียวเองครับ กะเพราเนื้อหน้าตาโคตรน่ากินก็มาเสิร์ฟ เนื้อชิ้นกำลังดีถูกผัดกับซอสปรุงรส ใบกะเพรากับพริกซอยแนบสนิทกันอย่างไม่เอียงอาย กะเพราะจานนี้โคตรน่ากิน ชวนให้น้ำลายไหลน้ำย่อยคึกคักมาก พอกินเสร็จพี่โอมก็สั่งเมนูเครื่องดื่มมาต่อทันที ไม่นานหลังจากนั้นข้างหน้าผมก็มีจานมะนาวฝานเป็นแว่น มะดันดองกับมะขามเปียกวางอยู่ ข้างๆ กันมีจานเกลือเล็กๆ วางคู่กัน ดูน้อยแต่มาก ญี่ปุ่นสไตล์มากครับ ส่วนยาดองสีแดงอมชมพูถูกบรรจุอยู่ในขวดขนาดเหล้าแบน ผมยังไม่ทันสำรวจเสร็จดี ก็ได้ยินเสียงพี่โอมกรึ๊บนำหน้าไปก่อนแล้ว
“อ๊าสส!! บาดคอ” พี่โอมทำหน้าเหยเกบิดเบี้ยว หลังจากกระดกแก้วยาดองไปแก้วแรกแล้วก็หยิบมะขามเปียกเคี้ยวกลืนตามลงไป
“...” พอเห็นพี่โอมเคี้ยวมะขามเปียกเหมือนไม่รู้สึกเปรี้ยวแล้วน้ำลายผมก็ไหลออกมาเหมือนมีคนเปิดก๊อก
“ลองๆ” พี่โอมส่งแก้วเป๊กใบขนาดย่อมมาให้ผม จากนั้นผมก็ยกแก้วกระดกทีเดียวตามที่พี่โอมทำบ้าง
“อึ๋ยยย!!” ผมรู้สึกเหมือนกลืนไฟลงคอ มันร้อนวูบตั้งแต่ลิ้นไหลลามลงมาผ่านลำคอไปจนถึงหลอดอาหารก่อนจะไหลรวมกันลงไปที่กระเพาะ
“เป็นไง?” พี่โอมถามผม
“แรงดีครับ” เหล้าแรงขนาดนี้ไม่มีคำอธิบายไหนจะครอบคลุมเท่ากับคำว่าแรงส์อีกแล้ว ผมหยิบมะนาวฝานแว่นจิ้มเกลือเคี้ยวตาม ขนลุกไปหมดเลย เปรี้ยวๆ เค็มๆ แต่เข้ากันดีนะ
“ขี้เหล้าว่ะ” พี่เข้มทำหน้าฉงนถามผม
“เพิ่งเคยกินครั้งแรกพี่” ผมหันไปตอบ แต่ไอ้พี่เข้มทำหน้าประมาณว่ามึงอย่ามาหลอกกูซะให้ยาก
“กูเชื่อมึง หมาคงบินได้” ผมเลยตอบด้วยสีหน้าจริงจังพยายามบอกว่าผมไม่ได้พูดเล่น ก็มันเรื่องจริงอะ
“ลีลากระดกแก้วเมื่อกี้ กูนึกว่าเป็นลูกร้านยาดอง” ไอ้พี่เข้มหันมามองผมด้วยสายตาเหยียดๆ
“แค่ยกแก้วเข้าปากกรึ๊บๆ กรึ๊บๆ” ผมตอบหน้านิ่งๆ หยิบมะขามเปียกคลุกกับเกลือ “แต่กินแล้วรู้สึกร้อนๆ นะครับ” ผมรู้สึกร้อนๆ ตามตัวลามขึ้นมาถึงหน้า
“สมุนไพร มันก็ดีอย่างนี้แหละ กินแล้วเลือดลมสูบฉีด” พี่โอมหันมามองผมแวบหนึ่ง แล้วยกแก้วยาดองเข้าปากต่อ โดยไม่ลืมหยิบผลไม้ดองจิ้มเกลือตามไปด้วยอีกคำ
“พี่สั่งสูตรไหนมากินอะครับ” อดสงสัยไม่ได้ มีตั้งหลายโหล ชื่อแปลกๆ ทั้งนั้น
“โด่ไม่รู้ล้ม ติดใจละสิ เดี๋ยวกูพามากินบ่อยๆ” พี่เข้มหันมาตอบผมหน้าแดงนิดๆ ผมสังเกตเห็นว่าตอนที่พี่โอมมองมาที่ผม แวบหนึ่งตาพี่โอมโตขึ้นเล็กน้อยเหมือนคนตกใจอะไรสักอย่าง “มึงแพ้เหล้าปะวะ”
“เวลากินเหล้ามะนาวเป็นแบบนี้แหละ แต่ตอนนี้แค่รู้สึกร้อนวูบๆ ครับ” ผมรู้สึกร้อนจริงๆ เลยปลดกระดุมเสื้อออกสองเม็ด กระพือเสื้อเข้าออกไล่ลมร้อนออกจากตัว
“ร้อน?”
“ครับ รู้สึกร้อนวูบๆ”
“ร้อนอะไร แอร์ออกเย็น”
พี่เข้มเหลือบมามองผม แล้วก้มไปดูนาฬิกาข้อมือสีดำ เสร็จแล้วก็เทยาดองที่เหลือยกกรึ๊บเข้าปากจนหมด แล้วเดินไปสั่งอะไรสักอย่างเพิ่ม
“กินของดีไม่เป็น งั้นมึงกินน้ำหวานโง่ๆ แทนละกัน” พี่เข้มส่งแก้วน้ำผลไม้ปั่นมาให้ผม ดีเหมือนกัน ถ้าผมกระดกเพิ่มอีกแก้วหรือสองแก้ว มีหวังมึนหนักกว่านี้แน่ๆ แต่ตอนนี้กำลังกรึ่มๆ ตึงพอดีๆ
ผมก็นั่งจิบๆ น้ำแตงโมปั่นของผมไป ระหว่างนั้นก็ฟังพี่เข้มคุยกับเจ้าของร้านอย่างออกรสออกชาติ พอยาดองเข้าปากเหมือนพี่แกจะคุยคล่องเป็นพิเศษ คุยไปหัวเราะไป ส่วนใหญ่ก็คุยเรื่องเด็กนักศึกษาที่มากินยาดอง ก็เล่าขำๆ บางคนก็เมาหลับคาโต๊ะ บางคนก็อ้วกจนน็อกก็มี ผมกำลังนั่งฟังเพลินๆ มองพี่เจ้าของร้านบ้าง พี่เข้มบ้างสลับกัน จังหวะกำลังสนุก รู้สึกว่าโอเคขึ้น หายจากอาการร้อนวูบๆ พี่เข้มก็หันมามองผม แล้วบอกเจ้าของร้านคิดตังค์
“กลับ”
พี่เข้มลากผมลุกขึ้นแบบงงๆ อะไรวะ อยากมาก็ลากมา พออยากกลับก็ลากกลับอีก ตอนที่เดินออกมาจากร้านเพลงไม่น่าทำผมเลย พนม นพพร ก็ดังลอยลอดประตูตามหลังพวกผม
ตอนขากลับพี่เข้มก็ขี่ตีคู่ไปกับรถผม พอขับรถกลับมาถึงหอผมก็เดินตรงเข้าห้องเลย ตอนนี้รู้สึกง่วงหรือว่ายาดองมีฤทธิ์ทำให้หลับสบายก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับ
พอถึงห้องผมก็นอนหลับ หลับไปยาวเลย รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีมองดูเวลาก็เกือบเที่ยงคืน ตอนนี้ผมอยากกินอะไรหวานๆ ผมลุกขึ้นจากเตียง เดินเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ ปิดประตูห้องมุ่งหน้าไปยังมินิมาร์ตหอชายหรือที่นักศึกษาจะเรียกสั้นๆ ว่ามาร์ตชาย ซึ่งระยะทางไม่ไกลจากหของผมมากนัก เดินเอาสะดวกกว่า
มาร์ตชายมีของขายเกือบครบ เห็นเล็กๆ อย่างนั้น แต่เล็กแบบมีคุณภาพ เพราะมีของขายเยอะมาก ตั้งแต่ขนมขบเคี้ยว ผัก เนื้อสด ของใช้จำเป็นต่างๆ มีขายยันกางเกงชั้นใน คืนนี้ผมอยากกินอะไรหวานๆ กะว่าจะกินเจเล่ไลท์แช่แข็งรสลิ้นจี่ กับกูลิโกะรสสตรอว์เบอร์รี ปกติผมไม่ชอบขนมรสสตรอว์เบอร์รีเท่าไหร่เพราะรู้สึกว่ามันหวานเกินไป มีแค่กูลิโกะรสสตรอว์เบอร์รีนี่แหละที่ผมชอบกินถึงขั้นชอบมาก ขณะที่ผมกำลังคุ้ยหาเจเล่ไลท์รสลิ้นจี่แบบแช่แข็งในตู้ไอติม เสียงเพลงปิดมาร์ตก็ดังขึ้น
♫ ♬ ♪ ♩ ♭ ♪ ดึกแล้วคุณขา หมดเวลาขอลาก่อน
จำใจจำจร ให้เร่าร้อนเป็นหนักหนา
ดึกแล้วนอนเสีย อ่อนเพลียแสนเมื่อยล้า
จำใจจำลา อีกไม่ช้าต้องจากไป ♫ ♬ ♪ ♩ ♭ ♪
*เพลงอาลัยลา-สุนทราภรณ์ เพลงปิดสถานีรายการวิทยุเวลา (เที่ยงคืน) 24.00 น.
จริงๆ มันไม่ใช่เพลงปิดมาร์ตหรอกนะครับ เป็นเพลงปิดสถานีวิทยุที่นักศึกชายหอในจะรู้กัน อารมณ์คล้ายๆ เพลงปิดห้างสรรพสินค้า ถ้าได้ยินเพลงนี้ดังขึ้นเมื่อไหร่ให้รีบซื้อ เพราะหลังได้ยินเพลงนี้อีกประมาณห้านาที ร้านก็จะปิด
ผมรีบเดินไปเลื่อนเปิดตู้แช่ มองหาเจเล่ไลท์รสลิ้นจี่ โชคดีเหลืออยู่หนึ่งอันพอดี ผมหยิบขึ้นมา แล้วรีบเดินไปฝั่งขนม กวาดตามองหากูลิโกะรสสตรอว์เบอร์รี บนชั้นเหลือแค่รสช็อกโกแลต ผมพยายามใช้มือค้นดูกล่องขนมด้านในของชั้น แต่ก็ไม่มี
“หาอะไรครับ?”
“กูลิโกะสตรอว์เบอร์รีครับ สงสัยหม...” ผมกำลังจะหันไปถามเจ้าของมินิมาร์ต แต่ต้องชะงัก เพราะเจอพี่จิ้นยืนยิ้มอยู่ข้างๆ นึกว่าเสียงเจ้าของร้าน ที่ไหนได้ เสียงพี่จิ้นนี่เอง
“ไม่กินรสอื่น?”
“ครับ”
ผมทักทายพี่จิ้นแป๊บหนึ่ง คุยเสร็จก็แอบมองดูชั้นวางขนมกูลิโกะอีกรอบด้วยความเสียดาย แล้วค่อยเดินไปเคาน์เตอร์จ่ายตังค์ พอจ่ายตังค์เสร็จแล้วพี่จิ้นก็เดินตามหลังผมออกมาจากมินิมาร์ต
“เรามายังไง”
“ครับ?”
“เดินหรือขับรถ”
“เดินมาครับ”
เราสองคนเดินคู่กันออกมาเงียบๆ เดินห่างออกจากมาร์ตชายได้นิดเดียว พี่จิ้นก็ยื่นกล่องกูลิโกะรสสตรอว์เบอร์รีมาให้ พร้อมกับพูดติดตลกว่า “กล่องสุดท้ายแฟนหล่อ” ผมหันไปมองพี่จิ้นด้วยความแปลกใจ เมื่อตะกี้ผมว่าดูละเอียดแล้วนะ พี่จิ้นไปเอากูลิโกะกล่องนี้มาจากไหน พี่จิ้นเห็นผมไม่หยิบไปสักทีเลยแกะมันออกตรงนั้น พี่จิ้นหยิบกูลิโกะออกมาจากซองขนมหนึ่งแท่ง แล้วยื่นกล่องขนมที่เปิดแล้วมาให้ผมถืออีกรอบ
“...” ผมหยิบกูลิโกะออกมากินแท่งหนึ่งแล้วยื่นซองขนมส่งคืนให้พี่จิ้น แต่พี่จิ้นโบกมือส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนแกล้งทำเสียงดุใส่ผมแบบขำๆ
“ผู้ใหญ่ให้ของ อย่าปฏิเสธ”
ผมรับขนมกล่องนั้นมาถืออย่างเสียไม่ได้ แต่ก็ไม่ลืมยื่นซองขนมให้พี่ตี๋ได้ลิ้มรสบ้าง พวกเราเดินกินขนมเงียบๆ อยู่แป๊บเดียว ผมก็หันกลับไปมองรุ่นพี่หน้าตี๋ที่เดินอยู่ข้างๆ อีกครั้งด้วยความแปลกใจ เพราะจู่ๆ พี่จิ้นก็พูดขึ้นมาลอยๆ กับพื้นถนนว่า
“หมดแล้ว”
“ครับ?”
พี่จิ้นมองมาที่กล่องขนมที่ผมกำลังถืออยู่ในมือ แล้วทำเสียงเล็กเสียงน้อยพูดประโยคเดิมอีกรอบ “หมดแล้ว” พร้อมกับแบมือออกทั้งสองข้าง ผมทำหน้าเหมือนเห็นผี เพราะพี่ตี๋กำลังหน้ามุ้งมิ้ง ผมรีบยื่นแท่งขนมส่งๆ ให้ พี่จิ้นก็รับแท่งกูลิโกะรสสตรอว์เบอร์รีไปเคี้ยวกินกรุบกรับหน้าตาเฉย ท่าทางมีความสุขมาก
“หมดอีกแล้ว”
“?!” หมดอีกแล้ว! คราวนี้ผมไม่ได้ยื่นแท่งขนมส่งให้ ยื่นทั้งซองทั้งกล่องขนมไปให้พี่ตี๋ซะเลย แต่พี่จิ้นกลับเดินเฉย มุมปากยกยิ้มเจ้าเล่ห์ เก็บมือทั้งสองข้างยกไปวางบนหัวสกินเฮดเกรียนๆ แถมยังทำปากบุ้ยยื่นมาที่กล่องขนมในมือของผม ผมรู้ตัวแล้วว่าโดนแกล้ง
“ครับๆ อ๊ะๆ!!” ผมหยิบแท่งป๊อกกี้ยื่นส่งๆ ให้อีกรอบ มุมปากของพี่ตี๋จิ้นยกยิ้มขึ้นมาด้วยพอใจ ก่อนจะพูดประโยคชวนงงที่ทำเอาคิ้วผมขมวดเป็นปมแทบขวิดกัน
“พูดอย่างกับหนังเอวี”
“?”
พี่จิ้นหยุดเดิน หันหน้ามาสบตาผมนิ่ง แล้วค่อยๆ ส่งเสียงเลียนแบบหนังโป๊ที่ทำเอาผมหน้าร้อนวาบ
“อ๊ะ! อ๊ะ!” ทั้งเสียงทั้งหน้าพี่จิ้นเลียนแบบเหมือนเป๊ะ!
“...” เถื่อนว่ะ
“เวลามะนาวยิ้มน่ารักกว่าทำคิ้วขมวดชนกันนะ”
“คงยิ้มตลอดไม่ได้หรอกครับ เมื่อยปาก”
“ทะเล้นนะเรา ว้า...ถึงห้องซะแล้ว ต้องปีนเข้าใช่ไหม”
“น่าจะอย่างนั้นนะครับ”
“มา เดี๋ยวพี่ช่วย”
“ไม่เป็นครับ กระโดดทีเดียวก็ข้ามได้แล้ว”
“งั้น เอาขนมมา เดี๋ยวพี่ถือให้ เราจะได้กระโดดถนัดๆ”
“ขอบคุณครับ”
พอผมกระโดดข้ามรั้วเข้าไปด้านในเสร็จ พี่จิ้นก็ยื่นขนมให้ “ราตรีสวัสดิ์” พอผมเดินเข้าห้องเรียบร้อยแล้ว พี่จิ้นก็เดินกลับห้องที่อยู่ถัดไปอีกโซน ทำให้ผมไม่ได้ยินบทสนทนาหลังจากนั้น
“อ้าว พี่จิ้น รถเสียเหรอ ทำไมเดินมาล่ะ เห็นตอนขาไปขับรถมอไซค์ไป”