แม่สื่อแม่ชัก มักได้ "ชัก" เอง : 02 06 2020 Rewrite : ตอนพิเศษ หน้า 76
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

คุณยกป้ายไฟเชียร์ใคร...?

พี่จิ้น   ยักษ์ตี๋
พี่โอม ยักษ์เข้ม
กราฟ  ยักษ์แว่น
มะนาว คางคกตัวที่สอง
เชียร์ทุกคน เหมาหมด ^ ^

ผู้เขียน หัวข้อ: แม่สื่อแม่ชัก มักได้ "ชัก" เอง : 02 06 2020 Rewrite : ตอนพิเศษ หน้า 76  (อ่าน 577037 ครั้ง)

ออฟไลน์ Pramooknoi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
จริงๆแล้วเราไม่ชอบอ่าน 3P นะแต่ อันนี้สงสารพระเอกกลัวไม่มีคู่ เลยยอมใจ55 แต่แนะนำเขียนหัวเรื่องหน่อยก็ดีนะ :mew3:

ออฟไลน์ May.rinz

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 o13 เป็นเรื่องที่สนุกมาก  อ่านเพลิน
ตลกด้วย ลุ้นตั้งนานว่าใครคือพระเอก 555
ชอบๆ

ออฟไลน์ Wut_Sv

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 902
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
ตอนแรกว่าน่าสนใจ จะเข้ามาอ่าน เลยอ่านคอมเม้นก่อน (เป็นนิสัยประจำตัว) พออ่านแล้วเห็นเป็น 3p เลยขอผ่านแล้วกัน อยากรบกวนให้ลงไว้ที่หัวเรื่องด้วยนะครับ

ออฟไลน์ Naamtaan22

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 271
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

ออฟไลน์ karashi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 428
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
    • นิยาย นิยายแจ่มใส นิยายมือสอง

ออฟไลน์ nyxca

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เกือบไปละ 3Pก็ไม่บอก เขียนบอกไว้หัวข้อทีนะคะ ดีนะยังไม่อ่านไกล มาอ่านสปอยก่อน

ออฟไลน์ noveeo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6
กลับมาอ่านอีกครั้ง ก็ยัง  :hao6:

ออฟไลน์ Maeo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ ryoushena

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-2
สวัสดีค่ะทุกคน ><"
พอดีได้มีโอกาส Rewrite นิยายเรื่องนี้อีกรอบ และเขียนตอนพิเศษเพิ่ม + ปรับชื่อนิยายใหม่
เลยเอามาโพสต์อีกรอบให้ทุกคนอ่านกันค่ะ เพื่อยังมีคนอยากอ่าน ^^ ถ้าอ่านแล้วเมนต์ทักทายกันจะดีใจมาก :)
สำหรับการ Rewrite รอบนี้ ได้ปรับตอนจบให้เป็นไปตามพล็อตที่คิดไว้ตอนแรกนะคะ
ขอสารภาพว่า ตอนจบรอบโน้นโดน เผลอไปตกหลุมรักตัวละคร เลยทำให้เปลี่ยนตอนจบใหม่
ทำให้ค้างๆ คาๆ แต่รอบนี้ถึงจะเปลี่ยนตอนจบใหม่ก็ยังค้างๆ คาๆ เหมือนเดิม 555
ถ้าใครเผลอเข้ามาอ่าน คอมเมนต์ทักทายกันได้นะคะ คิดถึงทุกคนจริงๆ ค่ะ
ยังจำตอนที่เริ่มเขียนเรื่องนี้ และตื่นเต้นกับการเขียนครั้งแรกๆ ได้อยู่เลย
เลิกงานมาต้องรีบมาปั่นจนถึงเที่ยงคืนตีหนึ่ง
แล้วตื่นมาอ่านคอมเมนต์ด้วยความตื่นเต้น 555




THE CALL - เมื่อผมเป็นพ่อสื่อให้คางคก

The Call Chapter 1: พ่อสื่อจำเป็น

“นี่! มะนาวจ๋า ทำไรอยู่เอ่ย ว่างปะ” เพื่อนรูมเมตตัวอ้วนกลมของผมเงยหน้าขึ้นมาถาม ขณะที่ผมกำลังนั่งอ่านหนังสือการ์ตูนวายอยู่บนเตียงนอนอย่างเมามันถึงขั้นติดงอมแงม ผมเพิ่งจะมารู้ว่ามีการ์ตูนชายxชายอยู่บนโลกใบนี้ก็ตอนที่ก้าวเท้าเข้ามาในรั้วมหาวิทยาลัยนี่แหละ เพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักกันที่นี่แนะนำ ซึ่งการรับรู้นี้เหมือนเป็นการเปิดฝากะลาให้กบอย่างผมกระโดดออกมาโดนสายน้ำฝนที่เย็นฉ่ำ 'มันฟินมาก' ผมตั้งหน้าตั้งตาอ่านทุกเรื่องทุกเล่มจนไม่ต้องใช้บัตรประชาชนเช่าเพราะซี้กับเจ้าของร้านละแวกนี้ทุกร้าน จนเจ้าของร้านเช่าหนังสือเองก็ยกตำแหน่งให้ผมเป็นลูกค้าระดับพารากอน (ผมหมายถึงขั้นสูงกว่าแพลตตินั่มอะนะ)

“กำลังอ่านการ์ตูน มีอะไรจ๊ะคุณแม่หมู” ผมละสายตาจากหนังสือการ์ตูนตรงหน้าหันมาตอบเพื่อนสาวคนสนิทของผม เพราะผมรู้ดีว่าถ้าเธอตะล่อมส่งคำถามปลายเปิดมาแบบนี้ รับรองเลยว่าต้องมีอะไรให้ผมช่วยแน่นอน และดูจากท่าทางยุกยิกๆ เหมือนถูกริชชี่ตีสนิทกับก้นแล้ว เรื่องนี้ผมคงต้องเข้าไปมีส่วนร่วมอย่างช่วยไม่ได้ เซนส์มันบอกอย่างนั้น

“เอ่อ...คือ...เอ่อ มะนาวเรียนมัลติใช่ปะ” แม่หมูเธอเริ่มเข้าเรื่องด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ เหมือนคนกำลังเขิน

“แล้ว?” ผมยักคิ้วถามอย่างสงสัย สถานการณ์แบบนี้ชักไม่ชอบมาพากล "อย่าบอกนะว่าเป็นเมตกันมาตั้งนานเพิ่งจะรู้"

“เปล่าๆ พอดีมีเรื่องให้ช่วยน่ะ คืออย่างนี้ เอ่อ...เข้าเรื่องเลยละกันเนอะ พอดีว่าฉันไปตกหลุมรักผู้ชายคนหนึ่งมาที่ห้องสมุด งานดีงานละเอียด หน้าดีบอดี้ผ่าน แบบสเปกเพื่อนอะ มันได้มากกกกก...(ลากเสียงยาวเบอร์สุด) จนคิดว่าเราต้องรู้จักกันให้ได้แล้วละ เลยใช้สกิล CIA ของฉันเลยค่ะ ไปสืบประวัติเจาะแคะถามเอาจากเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนอีกที OH GOSH! จนสุดท้ายจุดไต้ตำตอจ้ะ เพราะว่าเขาเรียนคณะเดียวกันกับมะนาวน่ะสิ” แม่หมูร่ายเรื่องยาวแววตาเป็นประกายวาววิบวับ ผมรู้สึกว่าเพื่อนสาวกำลังเพ้อหนัก ฟังจากที่เธอเล่ามา เพื่อนผมดูมีความพยายามอย่างมาก เห็นทีคราวนี้คงต้องขอมอบโล่ยอดนักสืบโคนางให้แล้วละ (เป็นโคนันไม่ได้เพราะเป็นตุ๊ด) เพื่อประกาศเป็นเกียรติคุณแก่ความพยายามของเธอในครั้งนี้ 'สุดยอดเลยคุณเพื่อนตัวอ้วนกลม'

“อ่อ แล้วชื่อเสียงบุรุษเพศผู้โชคร้ายคนนั้นเป็นใครล่ะ จะได้รีบไปบอกให้เขารู้ตัวว่ากำลังจะกลายเป็นพ่อพันธุ์ชั้นดี”

“มะนาว! ฉันเป็นคนไม่ใช่หมู” แม่หมูหวีดเสียงแหลมใส่ โคตรตลกอะ

“แล้วชื่ออะไร”

“กราฟ”

“เล่นของสูงไปปะ นั่นเดือนคณะเลยนา” กราฟหน้าตาดีจริง งานลูกคุณ ท่าทางเงียบนิ่ง ดูสะอาด สุภาพ ลักษณะเหมือนพวกเด็กเรียนแพทย์ อ้อ...ใส่แว่นด้วยนะ ผิวขาวละเอียดเชียวละ ตัวก็สูงน่าจะสูงประมาณ 180 กว่าๆ ได้
“นั่นแหละ”

“จะเอาเบอร์หรือจะให้พาไปถวายตัว?”

“บ้า! ตอนนี้ยัง แค่อยากให้มะนาวโทรไปจีบให้หน่อย เนี่ยเขาอยู่หอ 13 หอเดียวกับเราเลย เด็กโซน D”

“เอ้า อยู่ดี ๆ ก็กลายเป็นแม่สื่อซะงั้น” ผมเผลอพยักหน้ารับปากเพื่อนตัวกลมแบบไม่ทันยั้งคิด ตอนนี้เธอคงปริ่มน่าดู ดูสิบิดตัวกระมิดกระเมี้ยนยิ้มเขินหน้าดำหน้าแดง ทำหน้าเคลิ้มฝันเหมือนกำลังจะถูกเปิดซิงก็ไม่ปาน แต่เดี๋ยวก่อน เหมือนสติเพิ่งกลับเข้าสู่ร่าง เมื่อตะกี้เพื่อนตัวกลมบอกว่ายังไงนะ ขอรันเทปเสียงบทสนทนาอีกรอบ เพื่อนสาวขอให้ผม ‘โทรไปจีบ’ เพื่อนคณะเดียวกันกับผม เท่ากับว่า ‘นี่ผมต้องเป็นแม่สื่อใช่มะ’ เชรดดด...เอาแล้วไง ผมไม่ใช่คนอัธยาศัยดี แล้วก็ไม่ได้รู้จักกับกราฟเป็นการส่วนตัวด้วยสิ รู้แค่ว่าเป็นเพื่อนร่วมคณะ มียิ้มให้บ้างตามโอกาสอำนวยหรือเฉพาะเดินสวนทางกันเท่านั้นแหละน่า เคยคุยกันแบบจริงจังที่ไหนกันเล่า แล้วแถวโซน D มีแต่เด็กวิศวะเถื่อนๆ โหดๆ ทั้งนั้น ไม่รู้โทรไปจะโดนพี่เมตด่าเสียหมาหรือเปล่าก็ไม่รู้ งานเข้าแล้วมะนาวเอ๊ยย!!

“น่า ถือซะว่าช่วยเพื่อนรักเนอะ ไม่เคยได้ยินเหรอที่เขาบอกว่า ถ้าได้ช่วยคนรักกันให้สมหวังในรักจะได้ขึ้นสวรรค์ชั้นเจ็ดเลยนะมะนาว” เฮ้อ แม่หมูจ๊ะ ผมได้แต่ส่ายหน้าเอือมๆ ไอ้อยากช่วยก็อยากช่วยหรอก แต่ถ้าจะให้สมหวังคงยาก

“ก็รักกันแล้ว? จะให้ช่วยอีกทำไมอีกล่ะ ก็สมหวังแล้วนิ”

“ตอนนี้ยัง แต่อนาคตชัวร์แน่นอน และปัจจุบันตอนนี้ตั้งชื่อลูกรอแล้วค่ะ” คุณเธอพูดตาเยิ้มแถมแววตายังคงส่องประกายวิบวับอีกต่างหาก อดกลัวแทนพ่อพันธุ์ในอนาคตไม่ได้จริงๆ ให้ตายเถอะ 'สงสัยคงโดนจัดชุดใหญ่รัวหนักๆ แบบคอมโบเซต'

“ขนาดนั้น งั้นขอจองตัวนึงเลยละกันพันธุ์แท้แบบนี้หายาก”

“อย่ามากัด นี่! นี่! มาพูดเร็ว ต่อสายติดแล้ว”

“ฮะ!” แอบไปต่อสายตอนไหนวะ เมื่อกี้ยังนั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่หน้าจอคอมอยู่เลย ไม่ต้องรอให้ผมงงนาน พูดจบแม่หมูเธอก็รีบยัดโทรศัพท์มาใส่หูผมทันที แต่ช้าก่อน เรื่องอะไรผมจะยอมง่าย ๆ ล่ะ ขอเตรียมใจบ้างสักนิดก็ยังดี

“เฮ้ย ขอเตรียมใจก่อนนน ขอสายให้ก่อนดิ” ผมตาเหลือกนั่งเกร็ง พูดเสียงเบาแทบกระซิบบอกแม่หมู เพื่อนผมใจเร็วไปไหม? ตำแหน่ง 'แม่สื่อ' ผมเพิ่งได้มาเมื่อตะกี้ยังไม่ชินโว้ย ยัดเยียดตำแหน่งมาให้แบบปุบปับ ไม่ถึงสิบนาที เอะอะจะใช้งานเลยหรือไง

“ฮัลโหล สวัสดีครับ” ปลายสายรับแล้ว แต่เสียงโคตรเข้มอะ ไม่รู้ว่าเป็นพี่เมตหรือกราฟเป็นคนรับสายเอง ตอนนี้หูผมกับหูแม่หมูกำลังแนบอยู่กับโทรศัพท์ห้องแทบจะรวมร่างกันอยู่แล้ว ผมรีบพยักหน้าให้แม่หมูพูดต่อ

“สวัสดีค่ะ ขอสายกราฟค่ะ” เพื่อนสาวตัวอ้วนกลมของผมประดิษฐ์เสียงผู้หญิง (เจ็บคอ) กรอกเข้าไปในสายโทรศัพท์ เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเธอยังเล่นได้นะ ผมทั้งลุ้นทั้งตลก บีบเสียงเล็กยังกับคนเป็นหวัด ผมอยากจะบ้า! ขอสายเสร็จปุ๊บคุณเธอก็ยัดหูโทรศัพท์มาให้ผมสานต่อทันที

“เฮ้ย! กราฟ!!! ตุ๊ดโทรมาว่ะ น้องเมตกูเสน่ห์แรงนะเมิง ฮ่าๆๆ” อ้าว...เชี่ย! มันจี้ดดด! ประโยคนี้เข้าหูผมเต็มๆ ครับท่าน ผมตวัดตาหันขวับส่งสัญญาณไปหาเพื่อนตัวกลมว่าตอนนี้ 'กูชักไม่สนุกกับมึงแล้วนะหมู'

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ryoushena

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-2
The Call - เมื่อผมเป็นพ่อสื่อให้คางคก
Chapter 2: คางคก?

“สวัสดีครับ กราฟครับ” เสียงพูดในโทรศัพท์ของกราฟทำไมหล่อจังวะ ผมได้ยินแล้วรู้สึกเคลิ้มจนเข่าแทบทรุด จากที่ของขึ้นเพราะเพิ่งโดนด่าว่า ‘ตุ๊ด’ มาหยกๆ พอมาได้ฟังเสียงหล่อๆ แบบนี้แล้ว มันช่างดับอารมณ์ร้อนกรุ่นให้เย็นลงได้จริๆ เลยนะเออ ช่างหัวพี่เมตตกราฟเถอะ ผมเองก็ไม่ได้อยากคุยกับพี่เมตสักหน่อย เป้าหมายที่รอให้ผมพุ่งชนในตอนนี้คือน้องเมตชื่อกราฟต่างหาก ฉะนั้นเดินหน้าต่อมะนาว ลุย!

“กราฟ เรามะนาวนะ ทำไรอยู่” ผมเริ่มต้นประโยคสนทนาด้วยการตีเนียนทำเสียงเหมือนสนิทกันมานานสักสิบปีเห็นจะได้ ไม่ได้หรอกครับ ไม่ทำแบบนี้เดี๋ยวไก่ตื่นเหยื่อไหวตัวทันพอดี มีหวังเพื่อนตัวกลมผมอกหัก วิ่งดุ๊ก! ดุ๊ก! เข้าห้องน้ำไปร้องไห้ใต้ฝักบัว อกเดาะตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่มทำอะไร

“มะนาว?”

“ใช่ มะนาวเอง จำเสียงเพื่อนคณะเดียวกันไม่ได้เหรอวะ โหย น่าน้อยใจว่ะ” ผมร่ายยาวเป็นชุดพร้อมบีบเสียงเบาลงให้ดูน่าสงสารเล็กน้อย เงี่ยหูฟังไม่ได้ยินกราฟพูดอะไรต่อ ผมเลยเดินเกมต่อทันที "แล้วตอนนี้กราฟว่างอยู่ใช่ไหม มะนาวไม่รบกวนเนอะ"

“อืม”

ตอบมาสั้นๆ แค่เนี้ยะ! แล้วที่ผมถามไปก่อนหน้านั้นล่ะ ไอ้กราฟมันกำลังทำอะไร หรือว่ามันรู้ตัวแล้วว่าถูกโทรมาจีบ แต่ผมว่าผมยังไม่เริ่มทำอะไรเลยนะ แค่เกริ่นๆ เอง แล้วผมจะไปต่อยังไงล่ะทีนี้ พ่อคุณเล่นตอบมาซะสั้น สงสัยกลัวดอกพิกุลจะร่วงออกมาจากปาก ผมหันไปหาตัวต้นเรื่องเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่คุณเธอกลับไม่ช่วยป้อนบทสนทนาสักคำ โน่นแอบไปนอนเงี่ยหูฟังไกลถึงบนเตียงนอนของตัวเองโน่น ทำทีเหมือนไม่สนใจนะ แต่ผมรู้หรอกว่าเขินอยู่ หูสองข้างแดงเข้มเชียวนะหมู เมื่อไม่มีตัวช่วยผมคงต้องช่วยตัวเองไปก่อน

“ว่าจะโทรมาปรับทุกข์หน่อย แถวห้องที่เราอยู่ไม่มีเด็กคณะเดียวกันเลย เราเรียนไม่ค่อยเข้าใจน่ะ แต่ไม่รู้จะไปคุยกับใคร เอ่อ...แล้วกราฟอยู่กับพี่เมตหมดเลยปะ หรือว่ามีเด็กปีหนึ่งอยู่ด้วยไหม?” พอผมต่อบทสนทนาได้ แม่เพื่อนสาวตัวดีก็ยกนิ้วโป้งส่งมาทันที สงสัยคงถูกใจคุณเธอมั้งที่ผมตีเนียนได้แบบเป็นธรรมชาติสุดๆ

หอพักของมหาวิทยาลัยที่ผมอยู่เป็นหอพักชายล้วน แบบตึกชั้นเดียวและมีห้องน้ำในตัว หนึ่งห้องจัดให้พักรวมกันสามคน โดยแบ่งตึกออกเป็นโซนๆ ในหนึ่งโซนจะมีสี่เฟส เฟสละสิบห้อง เรียงกันตามตัวอักษรภาษาอังกฤษจากตัว A ไปจนถึง F ซึ่งกฎของหอพักระบุเอาไว้ว่า ในแต่ละปีที่ขึ้นปีการศึกษาใหม่ ห้องพักแต่ละห้องต้องเว้นที่ว่างเอาไว้รับน้องเมตปีหนึ่งห้องละหนึ่งคนเป็นอย่างน้อย หรือถ้าบางห้องที่รุ่นพี่ไม่ได้จับรูมเมตกับใครก็จะมีรุ่นน้องสองคนเหมือนห้องของผม ข้อมูลเรื่องนี้ผมต้องรู้เพราะมันสำคัญเผื่อบางทีพี่เมตผมกับพี่เมตกราฟอาจจะรู้จักกันก็ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นเรื่องจะง่ายขึ้นทันที เพราะปกติพี่เมตในมหาวิทยาลัยผม ส่วนใหญ่ก็เป็นเด็กวิศวะทั้งนั้น เพราะนักศึกษาที่นี่เกือบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์เรียนวิศวะ

“พี่เมตสองคน”

“เรียนอะไรบ้าง แล้วอยู่ปีไหนอะ”

“อุตสา ปี 3 โยธา ปี 4”

“ชื่ออะไรบ้าง แล้วคนไหนอยู่ปี 3 กับปี 4 เผื่อเรารู้จัก”

“ปี 3 เรียนอุตสา ชื่อพี่โอม ส่วนคนปี 4 ชื่อพี่จิ้น ทำไม? นายสนใจพี่เมตเรา?”

“ไม่ได้สนใจพี่เมต สนใจน้องเมต”

“...” เงียบ

“มีแฟนยัง?”

“ใคร!?”

“กราฟไง”

“...” กราฟเงียบไปสักครู่ ก่อนจะตอบออกสั้นๆ ว่า “ยัง” ผมอดแปลกใจไม่ได้ คนหน้าตาดีขนาดนี้แต่ยังไม่มีแฟน เป็นไปได้ด้วยเหรอว้า

“รู้ตัวปะว่ากำลังจะถูกจีบ”

“นายชอบผู้ชาย?”

“เยส”

“งั้น นายก็เป็นตุ๊ด?” อ้าว อยู่ดีๆ คดีก็พลิก จากที่ผมเป็นฝ่ายซัก ตอนนี้กลายเป็นว่าโดนซักเองซะแล้ว สงสัยผมคิดอะไรๆ เพลินนานไปหน่อย กราฟเลยต่อบทเองเลย “แต่นายดูไม่เหมือนนะ นึกว่าเป็นผู้ชาย ดูทโมนๆ” นี่ไอ้กราฟมันกะซักให้กระผมขาวสะอาดเลยหรือไงครับ เรื่องตุ๊ดไม่ตุ๊ดผมไม่ค่อยสนใจนะ รู้แค่ว่าผมสนใจในเครื่องเพศของผู้ชายไม่ได้ชอบผู้หญิง แต่ก็ไม่ได้อยากนุ่งกระโปรงหรือทาปากแดง เพื่อนสนิทก็เป็นตุ๊ดทุกคนเพราะชอบอะไรเหมือนๆ กัน อยู่ด้วยแล้วสนุกไม่เครียด เฮไปไหนฮาที่นั่นก็แค่นั้น แต่ถึงจะชอบเฮฮาก็ไม่บ้าผู้ชายนะครับ ฮิ้ววว

“อยากเรียกอะไรก็เรียก เราไม่ถือ”

“...” พอผมพูดจบไอ้กราฟก็เงียบอีกละ สาบานเลยนะ เมื่อกี้ผมไม่ได้ทำเสียงรำคาญใส่ไอ้กราฟเลยจริงๆ นะ แต่ไม่เป็นไร อยากเงียบก็เงียบไป งั้นผมขอเข้าประเด็นตรงๆ ไปเลยละกันจะได้ไม่เสียเวลาอ่านหนังสือการ์ตูน 'ฮารุโอมิ เรจิซัง' รอผมอยู่ ถ้าจะด่าก็ด่าออกมาเลย เรื่องจะได้จบๆ กันไป ยังไงซะผมกับกราฟก็ไม่ค่อยคุยกันอยู่แล้ว

“เพื่อนเมตเราอะ ตกหลุมรักกราฟน่ะ”

“คนไหน?”

“คนที่ตัวกลมๆ ผิวขาวๆ อวบๆ หน่อย แล้วก็ตาโตๆ วิ้งๆ อะ” จริงๆ ก็อวบระยะสุดท้ายแล้วละครับ แต่ผมพูดไม่ได้ เพื่อนตัวกลมกำลังจ้องมาที่ผมอยู่ เอาจริงๆ ผมว่าเพื่อนผมตัวนี้ เอ้ย คนนี้ก็น่ารักนะ เป็นคนอารมณ์ดี คุยสนุก เสียอย่างเดียวน้ำหนักเกินมามากไปหน่อย เลยแอบเป็นห่วงเรื่องสุขภาพไม่ได้

“คนที่ชอบเดินมากินข้าวที่โรงอาหารพร้อมกับนาย?”

“ใช่ๆ คนนั้นแหละ เพื่อนเราชื่อออยด์” นึกว่าจะไม่รู้แฮะ โชคดีไปจะได้ไม่ต้องอธิบายยาก ส่วนใหญ่เด็กหอ 13 แทบจะเคยเห็นหน้ากันหมด ถ้าไม่รู้จักชื่อก็ต้องคุ้นหน้าบ้างเพราะต้องกินข้าวที่โรงอาหารเดียวกัน

“ออยด์ชอบกราฟมากเลยนะ ถ้ายังไม่มีแฟนลองคุยกันดูดิ”

“ก็ใช่...แต่ว่า”

“ลองคุยดูก่อนไหม เพื่อนเราน่ารักนะ นิสัยดี ทำกับข้าวเป็น เล่นเกมเก่ง กราฟก็เคยเห็นแล้วนี่นา เพื่อนเราดูเป็นไงบ้าง”

“น่ารัก เหมือนคางคก”

ฉึก!

ผมรู้สึกเหมือนโดนธนูปักหัวเข่า ไม่น่าเปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็นเลย คือยังไงดีล่ะ น้ำเสียงของกราฟมันเหมือนชมจริงๆ นะ ไม่ได้เหน็บ แต่ถ้าจะชมมาแบบนี้ ผมว่าก็ไม่ค่อยเวิร์กเท่าไหร่

“เป็นกบก็พอมั้ง”

“เหมือนคางคกมากกว่า” กราฟยังยืนยันความคิดเดิม ไม่รู้อะไรเข้าฝันให้คิดแบบนั้นสิน่า ตอนนี้ผมชักเริ่มรู้สึกตลกความคิดไอ้กราฟขึ้นมาตงิดๆ หรือมันชมแบบอ้อมๆ เล่นยืนยันคำตอบมาแบบนี้ ผมเงิบสิครับ ผมพยายามกลั้นขำจนหน้าท้องปวดเกร็งไปหมด ไอ้กราฟหน้าหล่อมันตลกว่ะ

คุณเพื่อนตัวกลมครับ ตอนนี้กระผมเริ่มไปต่อไม่ถูกแล้วนะ มีที่ไหนชมว่าน่ารักเหมือนคางคก ขอถามหน่อยเหอะไอ้กราฟมันสติดีปะเนี่ย คางคกมีส่วนไหนที่ใกล้เคียงกับคำว่าน่ารักบ้าง หรือว่าช่วงนี้ฝนตกบ่อย คางคกในหอพักเยอะ เห็นทุกวันบ่อยๆ เข้า มองไปมองมาเลยมองเห็นความน่ารักในตัวคางคก?

ผมได้แต่ส่งยิ้มเจื่อนๆ ไปให้เพื่อนสาวตัวอ้วนกลมที่แอบนอนจำศีลด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอยู่บนเตียงของเธออย่างมีความสุข ชักเริ่มหนักใจพ่อพันธุ์ตัวนี้แล้วสิว่าพันธุ์ดีจริงหรือเปล่า แต่วันนี้ก็ถือว่าลางดีนิดหนึ่งอะนะเพราะไม่มีการตัดสายทิ้ง ฉะนั้นผมไม่ควรปล่อยโอกาสดีๆ แบบนี้ให้เสียเปล่า รีบเข้าเรื่องต่อดีกว่าเดี๋ยวกราฟมันคิดได้ว่าคางคกมีเส้นพิษเส้นเมาขึ้นมาแล้วจะยุ่งไปกันใหญ่

ผมกำลังจะสานสายสัมพันธ์รักให้เพื่อนสาวต่ออยู่แล้ว จู่ๆ ก็มีเสียงมารผจญแทรกเข้ามาขัดจังหวะการคุยโทรศัพท์จนได้สิน่า ฮึ่ย!

“ไอ้กราฟโว้ย ออกไปแดกข้าวได้แล้ว! คุยนานนะมึง กินเสร็จค่อยกลับมาโทรจีบกันใหม่ก็ด้ายยย ตอนนี้กูหิวข้าวจนกระเพาะจะย่อยไส้ตัวเองกินแล้วเนี่ย” เสียงกวนประสาทพี่เมตเกรียน ๆ ดังแทรกเข้ามาในสายโทรศัพท์อีกแล้ว น่าหงุดหงิดหูจริง ๆ

“กราฟไปกินข้าวเถอะ เดี๋ยวเราโทรมาคุยเล่นใหม่” ผมเคืองเสียงตาลุงเมตคนนี้จริงๆ เอาไปทิ้งสระสามแสนมหาลัยดีไหม ฮึ่ม!

ออฟไลน์ ryoushena

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-2
THE CALL - เมื่อผมเป็นพ่อสื่อให้คางคก
The Call Chapter 3: พ่อสื่อโดนซัก

“มะนาวจ๋า ถึงเวลาครอบครัวแล้วน้า ต่อสายห้อง 7013 ด่วน ปฏิบัติ!”

เพื่อนตัวกลมหันมาพูดกับผมเสียงอ่อนเสียงหวาน ทำหน้าทำตาน่ารักน่าเอ็นดูเชียวนะแม่หมู นี่ถ้าไม่ได้เบเกอรี่จากร้านหน้ามหาวิทยาลัยเจ้าประจำของผมเป็นของเซ่นละก็ จ้างให้ผมก็ไม่โทรแล้วนะ โทรคุยให้จะเป็นเดือนอยู่แล้ว คุณเธอก็ไม่ยอมคุยเองสักที แต่ก็ถือว่ายังโชคดีที่กราฟไม่เคยวางสายถึงจะคุยน้อยไปหน่อย ถามคำตอบคำก็เถอะ

ทุกคนคงสงสัยใช่ไหมครับว่าทำไมถึงไม่ขอเบอร์มือถือส่วนตัวแล้วโทรคุยจากตรงนั้นให้รู้แล้วรู้รอด ไม่ต้องมาเสียเวลาต่อสายโทรศัพท์ในหอพัก พวกผมทำแบบนั้นไม่ไหวหรอกครับ ค่าโทรศัพท์โคตรแพงเลย นักศึกษาตัวน้อยๆ อย่างพวกผมจ่ายไม่ไหวหรอก โทรศัพท์มือถือเก็บไว้โทรตอนจำเป็นดีกว่า ตัวอย่างเช่น ขอตังค์กับที่บ้าน อย่างงี้เป็นต้น

หลังจากครั้งแรกที่โทรเสร็จ วางสายปุ๊บเพื่อนตัวกลมก็รีบถลาพาร่างอวบๆ ของคุณเธอลงจากเตียงเพื่อมาฟังผมเล่า ผมก็แปลงสารนิดหน่อยบอกว่ากราฟมันชมว่าแม่หมูก็น่ารักดี ไม่กล้าบอกตรงๆ กลัวเพื่อนเสียใจ ผมฟังเองยังจุกเลย ถึงน้ำเสียงตอนที่กราฟมันพูดบ่งบอกว่าชมจริงๆ ก็ตามเถอะ ถึงมันไม่ได้มีเจตนาเหน็บ แต่คิดตามยังไงมันก็ไม่น่าใช่คำชมใช่ปะ คุณเพื่อนตัวกลมของผมได้ฟังแล้วก็อายม้วนต้วน นี่เพิ่งจะมารู้ทีหลังเอาเมื่อไม่กี่วันนี้เอง แต่พอรู้ก็ไม่ยักโกรธ ผมแปลกใจเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ไหว ก็เลยถามกลับไป

เพื่อนตัวกลมของผมเลยชี้แจงให้ผมฟังซะกระจ่างชัด เธอบอกว่าขอแค่กราฟชมจะบอกว่าเธอเหมือนอะไรเธอก็ไม่สนใจหรอก วันนั้นผมเลยเข้าใจแจ่มแจ้งในสำนวนไทยที่ชอบพูดว่า ความรักทำให้คนตาบอดก็ตอนนี้แหละ แต่ถ้าจะปรับให้ตรงตามสถานการณ์ตอนนี้ ต้องพูดใหม่ว่า ความรักทำให้คางคกคายพิษ

“โอเค ไหนล่ะของเซ่น” ผมไม่ได้เห็นแก่ของกินหรอกนะ แต่ถ้าไม่รีบเก็บขนมเอาไว้กับตัว เดี๋ยวคุณเธอก็กินเองหมดดิ

“ย่ะ อยู่นี่ เอาไปแล้วก็ทำงานให้คุ้มค่าจ้างด้วย” เพื่อนตัวกลมทำตาปะหลับปะเหลือกค้อนผมวงโต

ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด สายหลุด
ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด สายหลุด
ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด สายหลุด

วันนี้มะนาวรู้สึกว่าการโทรเข้าห้องของกราฟต่อสายยากเย็นเหลือเกิน ‘ทำไมโทรติดยากจังวะ’ ด้วยความมันเขี้ยวมะนาวเลยกดรัวต่อสายยิกๆ ไปห้องนั้นอีกครั้ง และอีกครั้ง จนในที่สุด

“ฮัลโหลครับ” ปลายทางรับสายแล้ว แต่ฟังจากน้ำเสียงที่ดูนิ่งแบบโหดๆ น่าจะเป็นพี่เมตอีกคนที่มารับสาย

“ขอสายกราฟครับ”

“กราฟอาบน้ำครับ เพิ่งเข้าไปอาบเมื่อกี้เอง มีอะไรฝากไว้ก่อนได้ เดี๋ยวบอกให้”

เรื่องอะไรจะฝาก กว่าจะโทรติดยากโคตร เวลาช่วงนี้ไม่ได้มีแค่ตุ๊ดหอผมหรอกนะครับที่โทร หอหญิงก็กระหน่ำโทรเข้ามาเหมือนกัน แล้วไหนจะเป็นเก้ง กวาง ตุ๊ดต่างหออีก ใครโทรติดช่วงนี้ถือว่าทำบุญมาเยอะทีเดียว ผมไม่ปล่อยโอกาสผ่านไปได้ง่ายๆ หรอก

“พี่เป็นพี่เมตกราฟใช่ไหมครับ"

“ใช่ครับ”

“แล้วพี่จะใช้โทรศัพท์ห้องหรือเปล่าครับ พอดีวันนี้โทรติดยากมากฮะ ถ้าพี่ไม่ได้ใช้โทรศัพท์ผมถือสายรอได้ครับ”

“แล้วเราชื่ออะไร เพื่อนกราฟหรือเปล่าครับ?”

“ใช่ครับ ชื่อมะนาว”

“มีธุระอะไรสำคัญไหม หรือว่าโทรมาจีบ เห็นโทรมาเวลานี้ประจำ ใช่เราหรือเปล่า?”

“พอดีจะโทรมาคุยเรื่องงานกลุ่มครับ”

“อยู่คณะเดียวกัน?”

“ครับ”

“นึกว่าเป็นคนนั้น เห็นโทรมาคุยเกือบทุกวัน ปกติกราฟมันก็ไม่ค่อยคุยกับใคร แต่คนนี้คุยยาว”

“เอ่อ...ผมถือสายรอคนเดียวได้นะครับ เกรงใจ”

“ไม่เป็นไรครับ วันนี้พี่ว่าง เราอยู่หอไหน?”

“หอ 13 หอเดียวกับพี่นี่แหละครับ แต่อยู่คนละโซน”

“โทรมาทำไมหอเดียวกัน ไม่เดินมาล่ะ”

“ตอนนี้ฝนตกครับ”

“เคยมาหากราฟที่ห้องไหม เผื่อเคยเห็นหน้า”

“ไม่เคยครับ” ผมไม่ได้สนิทกับกราฟขนาดนั้น นี่ขนาดโทรมาจีบให้เพื่อนเป็นเดือนแล้ว เวลาเจอกันยังไม่คุยกันเลยเหอะ จะว่าไปก็แปลก แต่ผมก็ไม่แปลกใจหรอก ขอแค่ตอนโทรมากราฟยอมคุยด้วยเป็นใช้ได้ เพื่อนแฮปปี้ผมก็แฮปปี้

“น้องอยู่โซนไหนครับ?”

“โซนเอฟครับ”

“ห้องอะไรครับ”

“7712 ครับ”

“แล้วพี่เมตเป็นใคร?”

“พี่มีนครับ” คนหน้าโหด ๆ แต่ใจดีนั่นแหละครับพี่เมตผม

“เรียน?”

“พี่เมตเรียนพอลิเมอร์ครับ”

“ปีไหน?”

“ปี 5 ครับ พี่เมตผมเปอร์ 1 ปี เพื่อนเรียนจบหมดแล้วเลยรับน้องเมต 2 คน ส่วนเพื่อนเมตผมเรียนปีหนึ่งชื่อออยด์ ได้โควตาสาขาโทรคมนาคมครับ”

“แล้วเรามีพี่น้องกี่คน”

“มีน้องชายคนนึงครับ ชื่อมะตูม” น้องชายผมผิวเข้มแม่เลยตั้งชื่อว่ามะตูม หน้าตาดีเหมือนผมเปี๊ยบ

“มาจากไหน?”

“ผม?”

“เรานั่นแหละ เป็นคนที่ไหน แล้วเข้ารับน้องจังหวัดบ้างหรือเปล่า?”

“นครพนมครับ ก็เข้าบ้าง” ผมเคยไปครั้งเดียว หลังจากนั้นก็ไม่ได้เข้าอีกเลย อย่างว่าแหละครับช่วงนี้ผมไม่มีเวลาว่าง ติดการ์ตูน

“ถ้าว่างควรไปเข้าจังหวัดบ้างนะ จะได้รู้จักรุ่นพี่ที่มาจากจังหวัดเดียวกัน เผื่อมีอะไรรุ่นพี่จะได้ช่วยเหลือ”

“ครับ”

“พี่ชื่อจิ้นนะ เรียนโยธาปี 4 วันหลังก็มาเล่นที่ห้องได้ จะได้รู้จักกัน”

“ครับ”

“แค่นี้นะ แล้วค่อยคุยกันใหม่”

“ครับ”

ตู๊ดดด... ตู๊ดดด...???

“เฮ้ยยยยย! ” เหยดดดด ยังไม่ได้คุยกับกราฟเลย โหย วันนี้ขอพอแค่นี้ก่อนแล้วกัน ไม่เอาแล้วกว่าจะโทรติดโคตรยาก พอติดแล้วก็มาเจอลุงจิ้นชวนคุย คุยเสร็จวางสายหนีเฉยเลย ผมไม่ได้โทรมาให้ลุงซักนะครับ แถมยังซักซะสะอาดเอี่ยมอ่องขาวหมดจดแทบไม่ต้องใช้โอโม่เลย เจอะแบบนี้สมองมึนแบบไม่ติดขัดเลยผม

ออฟไลน์ ryoushena

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-2
THE CALL - เมื่อผมเป็นพ่อสื่อให้คางคก
The Call Chapter 4: มะนาว (หัว) ปั่น

ตื๊ดดด ตื๊ดดด ตื๊ดดด

“กราฟครับ” อ่าฮะ...วันนี้โชคเข้าข้างผมละ เพิ่งต่อสายครั้งแรกติดเฉยเลย ดีเหมือนกันครั้งนี้ผมจะได้ไม่ต้องเสื่อมจิตกับพี่เมตนิสัยประหลาดสองคนนั่น

“ดีกราฟ มะนาวเองนะ ทำงานส่งอาจารย์เสร็จหมดยัง” ไม่ต้องเท้าความเวิ่นเว้อ ต่อสายติดปุ๊บ ผมก็เริ่มเข้าแผนของเพื่อนตัวกลมที่เตรียมเอาไว้ทันที

“เสร็จแล้ว” กราฟยังคงตอบผมด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งตามเคย

“ดีๆ งั้นแสดงว่าตอนนี้ก็มีเวลาว่าง กินข้าวแล้วใช่ไหม” ผมหันไปมองหน้าจอโทรศัพท์เพื่อดูเวลา ตอนนี้สองทุ่มกราฟน่าจะกินข้าวเย็นเสร็จเรียบร้อย

“เพิ่งไปกินมา ข้าวโปะไข่ดาวสองฟอง”

“สี่ทุ่มไปกินนมกัน ร้านตาโอที่เป็นร้านนั่งกับพื้นน่ะ ร้านนี้นมปั่นกับขนมปังปิ้งเขาอร่อย กราฟเคยไปกินมายัง” ผมก็ตะล่อมถามไปงั้นๆ คิดว่ากราฟน่าจะยังไม่เคยไปกินหรอก

“เคยแล้วครั้งหนึ่ง" อ้าว? ทำไมเคยไปวะครับ แต่ไม่เป็นไรหรอก พวกผมมีแผนสองเอาไว้กันพลาดเสมอ

“ว่าแล้วร้านนี้เขาทำอร่อย ใครๆ ก็ต้องเคยไปกินกัน”

“มะนาวปั่นอร่อย”

“อ้าวเหรอ ไม่เคยสั่งมะนาวปั่นเลยแฮะ แต่เราไปกินร้านนี้บ่อยเหมือนกันนะ ยิ่งแตงโมราดน้ำแดงอะสุดยอด แตงโมตักเป็นก้อนกลมๆ รสชาติหวานเย็น ราดในน้ำเชื่อมปั่นสีแดงฉ่ำๆ หูยย... พูดแล้วน้ำลายไหลเลยอะ กราฟเคยกินยัง ถ้ายังแนะนำเลย recommend!”

“ชอบมะนาวมากกว่า แตงโมปั่นหวานไป”

“ใช่ แตงโมปั่นหวาน แต่เราว่าหวานกำลังดีนะ ไม่เลี่ยนๆ ลองดูน่า มะนาวเอาตัวรับประกัน ถ้าไม่อร่อย ไม่ต้องจ่ายสักบาท เดี๋ยวป๋าเลี้ยง ฮ่าๆๆ” ที่กล้าพูดขนาดนี้ไม่ใช่อะไรหรอกครับ วันนี้มีอาเจ๊ตัวอ้วนเป็นสปอนเซอร์ต่างหาก

“...” ปลายสายเงียบ หรือว่ากราฟจะปฏิเสธ? เอาอีกแล้ว ไอ้กราฟเนี่ยมันเป็นพวกชอบคิดนาน ผมละลุ้นตาม ใจตุ๊มๆ ต่อมๆ

“เขินเหรอ เขินทำไมเล่า เอาเพื่อนไปด้วยก็ได้ เราไปกับออยด์สองคน ไม่น่ากลัวหรอกน่า แค่วังเวงนิดหน่อย” ผมพูดแหย่ขำๆ พยายามทำให้สถานการณ์ดูผ่อนคลายขึ้น ทำตัวตลกเข้าไว้นะมะนาวเอ้ย ต้องเอาน้ำเย็นเข้าลูบ ถ้าเชื่องแล้วค่อยเอาน้ำแข็งถูหลังอีกที

“ไปกี่ทุ่ม?” เหยดดดด ในที่สุด ทางสวรรค์ก็เปิด เดตแรกของคางคกตัวร้ายกับเจ้าชายน้ำแข็งก็กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว แล้ววว แล้ ว ว ว ว ว... (เสียงเอคโค่)

“สักสามทุ่มก็ได้ ดึกไปไหมหว่า ไม่ดึกหรอก กำลังดี เดี๋ยวเรากับออยด์ไปรอที่ร้านเลยนะ รีบไปเอาโต๊ะก่อน กลัวโต๊ะทำเลดีๆ เต็ม งั้นดีลตามนี้นะกราฟ เจอกันที่ร้านเลยแล้วกัน” ผมแอบยิ้มพร้อมตบมือกับเพื่อนตัวกลมผมเบาๆ

แผนสำเร็จ! ถึงเวลาเมกโอเวอร์ของเพื่อนสาวตัวกลมผมแล้ว “มะนาว ใส่เสื้อตัวไหนดี เลือกไม่ถูกช่วยเลือกให้หน่อยสิ ตัวนี้ก็ดี ตัวนั้นก็อยากใส่” ผมหันไปหาแม่หมู มองไปที่เตียงเพื่อนผม ตาผมโตเท่าไข่ห่านยักษ์ โอ้โห... เพื่อนหมู ขนเสื้อผ้าออกมากางเรียงทั้งตู้ขนาดนี้ ผมเลือกใส่ให้ไม่ถูกหรอกนะ เยอะจัดจนปลัดตกใจ! “คืนนี้งานไม่ทางการมาก ใส่แบบสบายๆ ก็พอมั้ง”

“จริงเหรอ หรือแซกดำตัวนี้ล่ะเป็นไง โอไม่โอ พูด”

แม่หมูหยิบอีกชุดขึ้นมาจากบนเตียงยกทาบกับตัวที่ใส่อยู่ให้ผมช่วยพิจารณา ผมว่าตัวที่เลือกมาใหม่น่าจะดูเข้าท่ากว่านะ

“กำลังดี คนน่าจะไม่แตกตื่นมาก”

แม่หมูเดินไปส่องกระจก พยักหน้าเห็นด้วย แล้วถอดเปลี่ยนเป็นชุดใหม่ หลังจากถอดกางเกงขายาวสีดำออกแล้วเปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้น เพื่อนตัวกลมก็หันมาขอความเห็นจากผมอีกที

“เหมือนผู้หญิงไหม?”

ผมอยากจะบ้า แค่เปลี่ยนกางเกงจากขายาวเป็นกางเกงขาสั้นเนี่ยนะ ทำให้เพื่อนเมตผมเหมือนผู้หญิงขึ้นมาเลยหรือไง ปัดโธ่!!

“ตอบมาดีๆ”

“...” ผมยิ้มขำ มุมปากด้านซ้ายยกขึ้นเล็กน้อยทำท่าเหมือนตัวร้ายในละครหลังข่าวที่กำลังจะแทะเล็มกระดูกไหปลาร้านางเอก หรี่ตามองชุดเพื่อนเมตที่ยืนอยู่ตรงหน้า เอามือเกาคางเล็กน้อยอย่างคนใช้ความคิด หันหน้าจ้องเข้าไปที่กล้องสองแล้วค่อยๆ เดินวนรอบตัวเพื่อนเมตผมอีกประมาณสองรอบช้าๆ ผมหยุดยืนตรงหน้าแม่หมู โน้มหน้าเข้าไปมองพิจาณาดูชุดใกล้ๆ ผมค่อยๆ ก้าวถอยหลังออกมาช้าๆ เพื่อเช็กความสวยของเพื่อนในระยะไกล

“อย่าลีลา โอไม่โอ เร็วๆ” แม่หมูทำเสียงเขียวมองตาดุคาดคั้นเอาคำตอบ ผมหยุดยืนแถวหน้าประตูห้องเพ่งมองดูเพื่อนอีกทีช้าๆ

“ดูรวมๆ แล้ว...ก็เหมือนผู้หญิงนะ” ผมจ้องหน้าเพื่อนเห็นมุมปากแม่หมูค่อยๆ ผลิยิ้มกว้างขึ้น กว้างขึ้น อย่างพอใจ “ดูเหมือนผู้หญิงที่ตายแล้ว”

พอจบประโยคเท่านั้นแหละ รอยยิ้มที่กำลังจะกว้างถึงรูหูก็หุบลงแบบทันทีทันใด หลังพูดจบผมก็รีบวิ่งแจ้นออกจากห้องทันที ทิ้งให้เพื่อนสาวตัวอ้วนกลมประมวลผลสักครู่ หนึ่ง สอง สาม!

“กรี๊ดดดดดดดดด” นั่นไง วิญญาณผีผู้หญิงที่สิงอยู่ในร่างเพื่อนผมหลุดออกจากร่างแม่หมูแล้ว ฮ่าๆๆ
ความจริงแล้วเพื่อนตัวกลมของผมก็ไม่ได้ใส่ชุดแซกจริงๆ หรอกนะครับ เดี๋ยวจะหาว่าเวอร์ไป มันเป็นศัพท์ที่เธอตั้งขึ้นมาเองเพื่อความสบายใจส่วนตัว ผมก็ต้องเออออตามน้ำไปอย่างนั้น ชุดแซกก็คือกางเกงขาสั้น แต่ถ้ากางเกงขายาวจะหมายถึงชุดราตรีอีฟนิ่งกาวน์

เมื่อแต่งตัวเสร็จ ตอนนี้เพื่อนตัวกลมผมกลายร่างจากหมูบ้านเป็นช้างศึกเสียแล้ว คงถึงเวลาออกรบจับศึกเสียที พอทุกอย่างลงตัวผมกับแม่หมูก็ขับรถมอเตอร์ไซค์มุ่งหน้าออกไปรอยังร้านนมที่เป็นจุดนัดหมายในคืนนี้ ผมสองคนต้องออกไปจองโต๊ะก่อนเพื่อเคลียร์ที่ทาง เตรียมการดีรบร้อยครั้งก็ชนะทั้งร้อยครั้ง แม่หมูเธอหมายมั่นปั้นมือเอาไว้อย่างนั้น

พอถึงเวลานัดผมเห็นกราฟเดินตัวสูงเข้ามาในร้าน เป็นครั้งแรกที่ผมได้มองกราฟแบบจริงๆ จังๆ ในความคิดของผมนะ ผมว่ากราฟเป็นคนหน้าตาดีมากเลยแหละ หล่อตัวท็อปก็ว่าได้ แต่ดูเหมือนเป็นพวกเข้าถึงยาก มันเหมือนมีรังสีอะไรบางอย่างครอบตัวเอาไว้ตลอดเวลา ทำให้รู้สึกว่ามีช่องว่างในการเข้าถึง เป็นคนหล่อที่ดูเป็นคนนิ่งๆ เงียบๆ ไม่สนใจโลก คิดว่าถ้าไม่สนใจอะไรก็พร้อมเมินใส่ได้ตลอดเวลา จะว่าเหมือนเจ้าชายก็คล้ายๆ แต่ก็ไม่ใช่พวกเจ้าชายน้ำแข็งที่ดูไร้หัวใจอะไรแบบนั้น แต่สรุปโดยรวมก็เป็นคนน่าสนใจดี

ผมอธิบายงงไหมครับ ผมเองก็งง มันปนๆ กันไปหมด แต่ผมก็อธิบายไม่ถูกจริงๆ อะ กราฟมันก็เป็นคนประมาณนี้แหละ ฮ่าๆๆ อธิบายเอง งงเอง พอเห็นกราฟพวกผมก็รีบยกมือส่งสัญญาณให้เดินตรงมายังโต๊ะที่นั่งอยู่ โดยเว้นที่ว่างให้กราฟนั่งข้างเพื่อนตัวกลมเสร็จสรรพ แม่หมูแอบลอบส่งสายตาแต๊งกิ้วมาให้ผมเล็กน้อยในความรู้งาน

“กราฟนี่ออยด์ เพื่อนเมตเราที่เล่าให้ฟังบ่อยๆ ไง” ผมเริ่มต้นบทสนทนาด้วยการแนะนำทั้งคู่ให้รู้จักกันอย่างเป็นทางการ จริงๆ แล้วทุกครั้งที่ผมโทรไป เรื่องของแม่หมูก็เป็นหัวข้อหลักในการคุยโทรศัพท์ทุกครั้ง ผมว่ากราฟคงชินแล้วละ เพราะไม่เห็นมีท่าทีขัดเขิน นั่งนิ่งเรียบร้อยเหมือนปกติที่ผมมักเห็นจนชินตา ผมว่าพอได้ทำความรู้จักพูดคุยกันสักพัก อีกหน่อยกราฟก็คงชมว่าเพื่อนตัวกลมผมน่ารัก ก็เพื่อนผมน่ารักจริงๆ นะ

“ดีค่ะ” เพื่อนตัวกลมเอ่ยทักพ่อพันธุ์ตรงหน้าด้วยสีหน้าแดงเถือกลามไปถึงใบหูทั้งสองข้าง ดูไปดูมาเพื่อนผมชักคล้ายปลาทองหัววุ้นเข้าไปทุกที หน้ากลมๆ ตาโตๆ ผมว่าเพื่อนผมน่ารักเหมือนปลาทองต่างหาก ไม่ได้เหมือนอย่างอื่นสักนิด ไอ้กราฟต่างหากที่มั่วซี้ซั้วว่าเพื่อนผมเป็นคางคก

“กราฟรับน้ำอะไรดีคะ” (แม่หมูพูดซะทางการ ผมละนึกหมั่นไต) สาวร่างอวบตัวกลมเริ่มเข้าเรื่องเพื่อหาทางปฏิบัติการรวบหัวรวบหางกินเฉพาะกลางลำตัวพ่อพันธุ์ตรงหน้า ส่วนกราฟก็ตอบรับเพื่อนตัวกลมด้วยท่าทางสุภาพเวอร์ มียิ้มนิดๆ ด้วยนะ ดูแล้วน่าหมั่นไส้พิลึก “อยากลองแตงโมราดน้ำแดงครับ”

“ได้เลยค่าาา” แม่หมูรับคำเสร็จ เธอก็ลุกพรวดเดินไปสั่งเมนูทันที ทิ้งให้ผมกับกราฟนั่งอยู่ด้วยกันสองต่อสอง ผมหันไปมองรอบๆ ซ้ายขวาไม่เห็นมีใคร “กราฟมาคนเดียว?” ผมถามลองเชิงเพื่อประเมินสถานการณ์คืนนี้ เพราะคิดว่ากราฟไม่น่ามาคนเดียวแน่นอน อย่างน้อยน่าจะมีเพื่อนติดสอยห้อยตามมาด้วย เผื่อพาพรรคพวกออกมาถล่มเยอะ ชวนเพื่อนในหอออกมาทั้งเฟส ผมกับเพื่อนจะได้หาลู่ทางหนีได้ทัน ถ้าไม่ไหวจริงๆ คงต้องโทรให้พี่เมตออกมาเคลียร์ค่าใช้จ่ายให้ละน่า

“มากับพี่เมต” กราฟมองไปหน้าร้านแล้วยกมือโบกส่งสัญญาณ “นั่นไงกำลังเดินเข้ามาพอดี”

ผมรีบหันขวับมองไปทางที่กราฟโบกมือทันที อยากรู้เหมือนกันว่าพี่เมตสองคนนั่นจะหน้าตาเป็นยังไง เคยได้สัมผัสแค่เสียงพูดทางโทรศัพท์ ผมเห็นผู้ชายตัวใหญ่สูง สูงมาก น่าจะเกินร้อยแปดสิบ สองคนกำลังเดินเข้ามาในร้าน คนหนึ่งผิวเข้ม รูปร่างสูง ตัวหนาหน่อย อีกคนผิวขาวจัด หน้าตี๋ คิ้วเข้ม ทรงผมทั้งสองคนตัดทรงสกินเฮดเหมือนกัน บุคลิกสองคนนั้นต่างกันอย่างชัดเจนเหมือนหยินกับหยาง คนหน้าตี๋ดูนิ่งแต่มีพลังบางอย่างน่ากลัวเหมือนพวกยากูซ่า ส่วนคนผิวเข้มหน้าตาดูเป็นคนขี้หงุดหงิดตลอดเวลา ‘ถ้าพูดไม่เข้าหูหรือว่ายุ่งกับกูมึงถูกเตะแน่’ พี่แกดูเป็นคนลักษณะประมาณนั้น แต่ผมสะดุดตารอยสักตรงแขนซ้ายกับน่องด้านขวาของพี่ตี๋หน้าโหดนั่น โคตรเท่เลย

“รู้จักเลือกรูมเมตมาก” ผมหันไปกล้องสองแล้วอุทานออกมาเบาๆ คนเดียว คิดดูสิ คนหล่อ หน้าตาดี แถมหุ่นดีอีกต่างหากได้อยู่ห้องเดียวกัน มันช่างลงล็อกจริงๆ ให้ตายเถอะ ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าหอพักมหาวิทยาลัยนี้เขาเอาอะไรมาเป็นบรรทัดฐานในการเลือกรูมเมตแต่ละห้อง เพราะดูอย่างห้องผมสิ รูมเมตชอบผู้ชายเหมือนกัน และพี่เมตก็เอ็นดูตุ๊ด ดูแลดีเหมือนน้องในไส้ ไข่ตัวเอง ถึงแม้ว่าพี่เมตผมจะหน้าโหดคล้ายหัวหน้าโจรไปสักหน่อย แต่ความดีที่มีมันล้นพ้นเกินหน้าตา

“เป็น ‘ตุ๊ด’ ทั้งสองคนเลยหรอวะ” อ้อ คนนี้นี่เองที่ปากบ๊อกๆ พี่เมตตัวเข้มท่าทางไม่เป็นมิตรของกราฟเห่าออกมาประโยคแรก เป็นเปิดการบทสนทนาได้น่าประทับใจมาก ความหล่อไม่ได้ช่วยยกระดับคำพูดให้ดูดีตามหน้าตาจริงๆ เดาจากน้ำเสียงโหดหงุดหงิดแบบเปิดเผยอย่างนี้ พี่คนนี้น่าจะชื่อโอม แต่ผมขอเรียกพี่เข้มละกัน เหมาะดี

“ชื่ออะไรกันบ้างครับ” เสียงโหดเรียบนิ่งเอ่ยขึ้นมาขัดจังหวะความคิดของผม น้ำเสียงสุภาพน่าฟังแบบนี้น่าจะเป็นพี่จิ้น ทั้งสองคนจ้องมาทางพวกผมที่นั่งเรียงกันอยู่อีกฝั่ง ตอนนี้แม่หมูเดินกลับมาที่โต๊ะแล้ว ทั้งสองคนถามออกมาเกือบจะพร้อมๆ กัน แต่ผมขอตอบคำถามข้อที่สองแล้วกัน น่าจะเวิร์กว่า

“มะนาวครับ นี่เพื่อนเมตชื่อออยด์ครับ” ผมตอบพี่เมตกราฟออกไปด้วยน้ำเสียงปกติ พยายามส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรให้รุ่นพี่ทั้งสอง ตอนนี้ข้างในรู้สึกเกร็งจนเกือบหด ก่อนจะหันไปหากราฟที่นั่งนิ่งอยู่ ส่งสายตาให้ช่วยแนะนำพี่เมตทั้งสองให้พวกผมรู้จักบ้าง แต่กราฟก็ยังนั่งเงียบๆ ผมพยายามส่งกระแสจิตผ่านสายตาไปที่กราฟอีกครั้ง แต่กราฟก็ยังเฉย ตอนนี้ผมอยากกระซิบใส่หูกราฟเหลือเกินว่า กราฟครับ ช่วยแนะนำพี่เมตให้รู้จักบ้าง อย่านั่งตีมึนอย่างนั้น ผมฉี่จะราด เพราะถึงแม้พี่เมตสองคนจะหน้าตาดีมาก แต่ท่าทางของทั้งสองที่จ้องมองมาทางพวกผมมันดูแปลกๆ ยังไงไม่รู้สิ

“มึงก็เป็นตุ๊ด?” พี่โอมถามเสียงนิ่ง แววตาสงสัยเล็กน้อยมองมาที่ผม ผมก็ไม่รู้จะตอบอะไร เลยส่งยิ้มแห้งๆ ตอบรับพี่แกกลับไปแทนคำตอบ “เงียบ แสดงว่าไม่ใช่ งั้นมึงก็ต้องเป็นผัวตุ๊ด”

“เปล่าพี่/เปล่าค่ะ” วงแตก! ผมประสานเสียงกับแม่หมูร้องเสียงหลง พี่ไปเอาทฤษฎีไหนมาคิดครับ เงียบแปลว่าปฏิเสธ ผมเคยได้ยินแต่เงียบเท่ากับยอมรับ “ผมสองคนเป็นเพื่อนเมตกันน่ะครับ” ผมรีบพูดสวนขึ้นมาเพื่อแก้ต่างให้ ทุกคนนั่งเงียบ แม่หมูส่งยิ้มเจื่อนๆ ให้ผม คงคิดว่าพูดไปก็ป่วยการ นั่งเงียบท่าจะดีกว่า ผมเลยส่งยิ้มเจื่อนๆ หันกลับไปสบตากับพี่เมตกราฟบ้าง พี่โอมจ้องผมกลับด้วยสีหน้าสงสัยเต็มแก่ ส่วนผมคิดไม่ตก ได้แต่กลืนก้อนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอฝืดๆ

“งั้น มึงก็เป็นตุ๊ด”

“ทำไมผมต้องเป็นตุ๊ดครับ”

“ก็มึงอยู่กับตุ๊ด เป็นเพื่อนกับตุ๊ด ไม่ได้เป็นผัวตุ๊ด ก็เท่ากับว่ามึงก็ต้องเป็นตุ๊ด หรือมึงไม่ชอบผู้ชาย?”

เออ...ว่าไปมันก็จริงของไอ้พี่เข้มเหมือนกันแฮะ ถ้าผมไปกับเพื่อนที่เป็นตุ๊ดบ่อยๆ คนที่ไม่รู้อาจจะคิดว่าผมมีเมียเป็นตุ๊ด ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเป็นแค่เพื่อนกันธรรมดา และคนที่ไม่รู้ก็อาจคิดเป็นอย่างอื่นไปได้อีกสารพัด ผมก็คงพลาดโอกาสดีๆ ในชีวิตเพิ่มขึ้นอีก มิหนำซ้ำยังต้องเสียเวลามาคอยอธิบายเรื่องสถานภาพแบบเดิมซ้ำๆ ซากๆ แต่ถ้ามองในมุมกลับ แค่ผมบอกว่าเป็นตุ๊ดทุกอย่างก็เคลียร์ สถานะชัดเจนไม่ต้องมานั่งปวดหัวให้คนอื่นเดาว่าจะเป็นรุกหรือรับ เพราะเท่าที่ผมวิเคราะห์จากการอ่านหนังสือการ์ตูนวาย ใครเป็นตุ๊ดหน้าหวานๆ หน่อยก็รับบทบาทเป็นฝ่ายรับตลอด ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว การเป็นตุ๊ดก็ดูเข้าท่าเหมือนกัน
จึก... จึก... กำลังคิดอะไรเพลินๆ จู่ๆ ผมก็รู้สึกว่ามีนิ้วมือปริศนามาจิ้มจึกๆ แถวบริเวณช่วงเอว ใครมันมือซนไม่ดูตาม้าตาเรือเอานิ้วมาจิ้มเอวผมเล่นวะครับ

“คิดอะไร?” ไอ้กราฟมองผมด้วยสายตาสงสัย ผมหันไปมองกราฟแวบหนึ่ง แล้วค่อยหันไปตอบคำถามพี่เข้ม

“ผมเป็นตุ๊ดก็ได้ครับพี่” ผมเป็นตุ๊ดเพราะตุ๊ดเป็นเพื่อนผม

“งั้นเราก็ต้องแทนชื่อว่าหนูหรือมะนาว ใช้คำแทนชื่อว่าผมมันแมนไป”

อ้าว...คราวนี้เป็นไอ้พี่ตี๋ครับ คาดว่าสองคนนี้น่าจะมาจากฝูงเดียวกันชัวร์ แล้วผมก็ขอเปลี่ยนความคิดใหม่ที่เพิ่งบอกไปก่อนหน้านี้ว่าเขาเลือกรูมเมตจากหน้าตา แต่ผมว่าไม่ใช่แล้วละ ถ้าดูจากห้อง สามยักษ์นี่มาจากความเกรียนความเถื่อนชัวร์ ผมมั่นใจ ดีนะที่เพิ่งเรียนจิตวิทยามา อาจารย์บอกว่าคนที่มีความคล้ายกันถึงจะอยู่ด้วยกันได้ ในกรณีห้องนี้น่าจะเป็นความเกรียนความเถื่อนความขวานผ่าซาก

ผมแอบเห็นกราฟกับเพื่อนตัวกลมของผมกลั้นหัวเราะกันจนหน้าเขียวกับอาการมึนๆ อึ้งๆ ของผม อดไม่ได้ต้องส่งสายตาคาดโทษไปให้สองคนนั่น อยู่ทีมเดียวกันไวจังนะ ไม่ช่วยแล้วยังเหยียบซ้ำอีก

“ครับๆ ตามนั้นเลยพี่ แล้วพี่สองคนจะสั่งน้ำอะไรครับ เดี๋ยวผะ...เอ่อ มะนาวเขียนสั่งให้”

“เอาสตรอว์เบอร์รีโยเกิร์ตปั่น” พี่โอมหน้าเข้มสั่งสตรอว์เบอร์รีโยเกิร์ตโคตรเข้ากัน ถ้าบอกว่าแสงโสมน้ำแดงยังฟังรื่นหูกว่า

“พี่เอามะนาวปั่น” พี่จิ้นตี๋เลวนี่ก็อีกคน ไม่เอาน้ำส้มคั้นเลยล่ะจะได้เป็นนางเอก น้ำที่สั่งแต่ละอย่างขัดกับหน้าตาจริงๆ

“แล้วพี่สองคนจะเอาขนมปังปิ้งอะไรเพิ่มไหมคะ” เสียงหวานเชียวนะหมู คุณเพื่อนตัวกลมของผมแอบไปสั่งขนมตอนไหน เรื่องกินนี่ไวจัง แต่ยังดีที่ยังช่วยกันบ้าง ไม่ใช่นั่งปั้นหน้าเป็นนางเอกอย่างเดียว

“แล้วเราสั่งอะไรไปบ้างแล้วล่ะ” พี่ตี๋เลวถาม

“ก็มี เนยนมน้ำตาล หมูหยองพริกเผา ขนมปังคลุกฝุ่นค่ะ” หมูตัวกลมตอบ

“ของชอบสองคนนั่นพอดี ขนมปังปิ้งไม่ต้องสั่งเพิ่มแล้วละ พี่ว่าสั่งเหล้ามากินดีคู่กับขนมปังดีกว่า วันนี้อารมณ์ดี”

“!” กินเหล้าคู่กับขนมปัง พี่จิ้นเอาอะไรคิดนี่ ซวยแน่มะนาวเอ๊ย


ออฟไลน์ ryoushena

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-2
THE CALL - เมื่อผมเป็นพ่อสื่อให้คางคก
The Call Chapter 5: แสงโสม โซดา มะนาว

“ร้านนมนะพี่ มีเหล้าขายด้วยเหรอครับ” ผมเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย ร้านนมที่ไหนมีเหล้าขายด้วยวะ เหมือนคุ้นๆ ว่ามันจะผิดกฎหมายนะเท่าที่เคยได้ยินมา

“ร้านนี้เป็นเพื่อนกับโอม ถึงไม่มีก็เดินไปซื้อมาร์ตใต้หอเขียวฝั่งตรงข้ามมากินได้ เดินข้ามถนนไปนิดเดียว” พี่จิ้นตี๋เลวตอบคำถามผมพร้อมกับทำท่าบุ้ยปากไปยังร้านค้าสะดวกซื้อที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องกับร้านนมนิดหน่อย

“จริงเหรอครับ” ผมหันหน้าไปถามพี่โอมขอคำยืนยัน พี่โอมพยักหน้าตอบผมกลับมา ไม่วายทำหน้าเป็นต่อใส่ผมอีก “ซวยแล้ว” ผมบ่นออกมาเบา ๆ ตอนที่พี่เข้มลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะ

“ไรนะ” พี่จิ้นหันมาจ้องผมทันทีหลังพูดจบ ก่อนจะลุกออกไปไอ้พี่โอมก็ยังไม่วายหันมาทำเสียงเหยียดหยามข่มผม

“ป๊อด? ใจตุ๊ด”

อย่ามาท้าแล้วก็ห้ามยุ มะนาวซะอย่างไม่เคยกลัวเมา ใครกินเหล้าก็ต้องเมาอยู่แล้ว ฮ่าๆๆ

“สูตรเดิมปะพี่จิ้น แสงโสม โซดา มะนาว”

“สูตรเดิม” พี่ตี๋รับคำน้องเมต สงสัยอยู่ด้วยกันมานานดูท่าจะรู้ใจกันดี พี่เมตน้องเมตห้องนี้

หลังจากที่พี่โอมหายไปไม่นานของทุกอย่างที่ต้องการก็มาวางลงบนโต๊ะ ถังน้ำแข็ง แสงโสม 2 กลม โซดา 20 กว่าขวด แล้วก็มะนาวหั่นเป็นแว่นบางๆ หนึ่งจานใหญ่ๆ จานเกลือเล็กๆ วางอยู่ตรงกลาง

‘พี่มีความพยายามสูงมากครับ ผมขอคารวะจากใจเลย’

ผมมองกองน้ำเมาตรงหน้าแล้วน้ำลายแทบไหลย้อย อยากลองสักกรึ๊บสองกรึ๊บ สูตรนี้ยังไม่เคยลอง อยากรู้เหมือนกันว่ารสชาติจะซาบซ่าบาดทรวงแค่ไหน ว่าไปกลวิธีการกินนี่แอบคล้ายยาดองเหมือนกัน ผมสังเกตเห็นเพื่อนตัวกลมของผมแอบกลืนน้ำลาย ขานั้นก็คอทองแดงเหมือนกันนะครับอย่าว่าไป ของกินได้ทุกอย่างเป็นของชอบเธอ แต่ถ้ามีแอลกอฮอล์ไหลเข้ากระแสเลือดเมื่อไหร่ตัวของเพื่อนตัวกลมผมจะแดงไปทั้งตัวเหมือนหมูแดง ผมก็เหมือนกันเลยเป็นเพื่อนกันได้

สังเวียนน้ำเมาเริ่มต้นขึ้นแล้ว พี่โอมทำหน้าที่ชงได้คล่องแคล่วไม่ติดขัด ส่วนกราฟเป็นคนลำเลียง ว่าไปสามคนนี้คงไม่ใช่เทพสุรามาเกิดหรอกนะ ไม่เช่นนั้นพวกผมแย่แน่ๆ คงขับรถกลับไม่ไหว แต่ไม่เป็นไรพี่เมตช่วยเราได้ และแล้วแก้วทุกแก้วก็เต็มไปด้วยส่วนผสมจากแสงโสม มะนาว โซดา ไหนๆ คืนนี้ก็ต้องเมาแล้วขอยกเลยแล้วกัน ขณะที่น้ำเมากำลังจะแตะปลายลิ้นเพื่อให้ผมได้รับรสชาติ พี่โอมก็ส่งเสียงห้ามผมเอาไว้ก่อน

“เดี๋ยว อย่าเพิ่ง” ผมหันไปมองตามเสียงพี่โอมหน้าเข้มด้วยความสงสัย หรือผมลืมอะไรไป อ่อ นึกออกแล้วยังไม่ได้ชนแก้ว

“ชนครับชน หมดแก้วว” ผมรีบยกแก้วของตัวเองขึ้นทำท่าจะชนรอบโต๊ะ

“เปล๊า! ไม่ได้จะชน กินง่ายๆ แบบนี้ก็เมาเปล่าๆ ไม่สนุก” แล้วมีอะไรอีกครับพี่โอม แค่จะเมาเหล้าเนี่ยนะ? ต้องมีพิธีรีตองอะไรอีกวะครับ ผมหันหน้าไปหาพี่เข้มด้วยความสงสัย

“ต้องเล่นเกมใครแพ้ยกน่ะ” กราฟเป็นคนตอบแทนพี่เมต ถ้าไม่พูดขึ้นมาผมลืมไปเลยนะว่ากราฟมาด้วย เพราะหลังจากที่เด็กเสิร์ฟยกแตงโมราดน้ำแดงมาให้ เจ้าตัวก็ตั้งหน้าตั้งตากินเงียบๆ แบบไม่สนใจใคร ‘สงสัยคงถูกลิ้น’ แต่ก็ไม่วายสั่งน้ำมะนาวปั่นมาเพิ่มอีกแก้วอยู่ดี

“ใครแพ้ต้องซดเพียวๆ” พี่จิ้นขยายความเพิ่ม

“อ้าว แล้วจะมีโซดามาทำไมคะ” นี่ก็อีกคน นั่งเงียบอยู่นานในที่สุดเพื่อนตัวกลมผมก็ถามออกมาจนได้ เธอคงทนอึดอัดเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ไหว ถ้าเพื่อนไม่ถามผมก็ว่าจะถามเหมือนกัน

“โซดาเอาไว้ผสมกับแสงโสม กินต่อหลังจากซดเหล้าเพียวๆ เข้าไป” พี่โอมหน้าเข้มอธิบายเพิ่ม ...แต่ผมว่าแบบนี้มันหนักไปหน่อยนะครับ เพราะเท่ากับเมาสองต่อเลยนี่นา พี่โอมมองรอบๆ โต๊ะ เมื่อไม่มีใครคัดค้าน >>> Play Now!

“เชิญลุงจิ้นในฐานะแก่สุด กล่าวให้โอวาทแล้วเริ่มเกมเลยครับ” เออเนอะ กับพี่เมตก็ไม่มีเว้นนะพี่โอม กวนเกรียนเถื่อนได้ทุกเลเวลจริงๆ

“ถ้าจะไปดาวอังคารให้เอาของไปอย่างหนึ่งจะเอาอะไรไป? ขอเหตุผลประกอบด้วย ถ้าเป็นพี่จะเอาจานไป เอาไปใส่ข้าวกิน” พี่จิ้นเปิดเกม หลังพูดจบพี่โอมก็รีบตอบทันที

“เอาอัฒจันทร์ไป เอาไปนั่งดูมะนาวต่างตุ๊ดมะตุ๊ดต่างดาวเผื่อเจอบนดาวอังคาร” พี่โอมตอบพร้อมให้เหตุผล

“มีเหตุผล ผ่าน” พี่จิ้นบอกว่าผ่าน ทำไมไปดาวอังคารต้องเอาอัฒจันทร์ไป เกี่ยวกันตรงไหน มะนาวงง?

“ต่อไปไอ้กราฟ” พี่โอมโยนมาให้กราฟตอบ

“เอาจักรยาน” กราฟคิดแป๊บหนึ่งก่อนตอบออกไป กราฟมันจะเข้าใจเกมนี้ไหมนะ แต่ก็น่าจะรู้เพราะเป็นรูมเมตกันน่าจะเคยเล่นด้วยกันบ่อยๆ

“ไม่มีเหตุผล ยกซะดีๆ” อ้าว...พี่จิ้นบอกไม่มีเหตุผลซะงั้น สรุปว่ากราฟไม่รู้แฮะ ยังดีเพราะตอนนี้ผมยังไม่เข้าใจเกมนี้เลย มันคือเกมอะไรวะ

“ผมเอาจักรยานไปปั่นบนดาวอังคาร ไม่มีเหตุผลตรงไหน?” กราฟเริ่มโวย

“บร๊ะ! มีโวยนะมึง ก็มันไม่มีเหตุผลนี่หว่า ยกๆ” พี่โอมสั่ง

“ตาเรา” ผม? พี่จิ้นหันมาทางผม ตาผมแล้ว เอาอะไรไปดี?

“เอาการ์ตูนไป” อยู่บนดาวอังคารคงไม่มีร้านเช่าการ์ตูนแน่นอนผมมั่นใจ

“ไม่มีเหตุผล เอาไปทำไมการ์ตูน ดูกูนี่ เอาอัฒจันทร์ไปดาวอังคาร เหตุผลดีสุดๆ ยกๆ” พี่โอมหัวเราะร่วน สงสัยคงตลกหน้าตาของพวกผมที่ชักงงเข้าขึ้นมึน

ผมค่อยๆ ยกเหล้าเพียวๆ ขึ้นกระดก แต่ขอโทษเถอะว่ะครับ แก้วเป๊กใบเล็กกว่านี้ไม่มีเหรอครับ ทำไมพี่แกเอาแก้วดื่มน้ำมาใช้ แถมยังรินแบบจัดหนักแทบเกือบครึ่งใบขนาดนี้ อึ๋ย บาดคอ

“น้องหมูแดงล่ะ” เอ๋? ผมหันไปตามเสียงของพี่จิ้น ทำไมเรียกหมูแดง? อ้าว! เพื่อนผมทั้งตัวทั้งหน้าแดงไปหมดเลย สงสัยแอบชงเหล้าชิมก่อนแน่ๆ

“เอาอากาศไปค่ะ ดาวอังคารคงไม่มีอากาศหายใจ” เพื่อนตัวกลมผมเงยหน้าขึ้นมาตอบ ไม่มีเหตุผลแน่นอน อย่าบอกนะว่ามีเหตุผล

“มีเหตุผลนะเรา แต่ถ้ารู้แล้วห้ามเฉลยนะ ใครแอบบอกน่าดู” พี่จิ้นตี๋เลวพูดกำชับ สงสัยคิดว่าเพื่อนผมรู้แนวแล้วแน่ๆ
รอบแรกผ่านไป มีแต่ผมกับกราฟที่ยังไม่มีเหตุผล ส่วนคนอื่นรอดฉลุย วนกลับมารอบใหม่เริ่มที่พี่จิ้นตี๋เลว ดูสิคราวนี้จะเอาอะไรไป ว่าแต่จะไม่มีคำใบ้หน่อยหรอวะครับ

“เอาจักรยานไปปั่นเล่น” พี่จิ้นตอบด้วยสายตาเจ้าเล่ห์

“มีเหตุผล แต่ก็ต้องยก เพราะแก่ ฮ่าๆๆ” พี่โอมพูดไปหัวเราะไป พร้อมกับส่งแก้วเหล้าไปให้พี่จิ้น พี่ตี๋ก็รับไปกรึ๊บทันทีรวดเดียวหมดแก้วแบบไม่มีทีท่าอิดออด เสร็จแล้วก็หยิบมะนาวฝานแว่นชิ้นเล็กจิ้มเกลือเคี้ยวตาม คงอยากกระดกเต็มแก่ ทำไมพี่จิ้นเอาจักรยานไปได้ แต่กราฟเอาไปไม่ได้ล่ะ??

“โอม ตามึง” พี่จิ้นบอกให้พี่โอมรีบตอบ

“เอาออมสินไป จะได้มีตังค์เก็บ” พี่โอมตอบได้น่ารักมาก ตลก

“มีเหตุผล เหตุผลดีแบบนี้ก็ต้องยก” พี่จิ้นบอกให้พี่โอมรีบกรึ๊บ หึหึหึ สม แต่ผมว่าอีกหนึ่งเหตุผลที่สมควรยกเพราะปากบ๊อกๆ ฮ่าๆๆ

“มึงไอ้กราฟ” พอพี่โอมเทเหล้าเข้าปากก็รีบจัดการน้องเมตต่อทันที ท่าเทเหล้าเข้าปากเมื่อกี้ขอซื้อได้ไหม เทพมาก กระดกทีเดียวหายไปหมดแก้วเลย

“เอากะเหรี่ยงไปจับล้อมผ้าเก็บตังค์ค่าดู” กราฟเข้าใจตอบ

“มีเหตุผล แต่ก็ต้องยก เพราะพี่เมตของมึงทั้งสองคนก็ยกแล้ว” พี่จิ้นตัดสิน เออ ชักเริ่มสนุกแฮะ แต่ผมก็ยังไม่รู้เหตุผลอยู่ดี “ต่อไปน้องหมูแดง ตอบครับ” พี่จิ้นถามต่อ ทายซิเพื่อนตัวกลมผมจะเอาอะไรไป

“เอาโทรศัพท์ เผื่อคิดถึงใครจะได้โทรหาได้” เพื่อนตัวกลมผมตอบแล้ว เออมีเหตุผลเผื่อคิดถึงบ้าน เพื่อนตัวกลมผมคงรู้แนวเกมนี้แล้วแน่นอน

“ไม่มีเหตุผลนะครับ ยกครับยก”

อ้าว พี่จิ้นบอกไม่มีเหตุผลซะงั้น ผมก็นึกว่ารู้แล้ว หันไปมองเพื่อนตัวกลมคิดว่าก็คงงงเหมือนกัน ตาผมตอบแล้วเอาอะไรไปดี แล้วจะตอบอะไรถึงจะมีเหตุผล ปกติผมก็เป็นคนมีเหตุผลตลอดนะ แต่เกมนี้ผมไม่เข้าใจ ขอตั้งสติแป๊บ

พี่จิ้นตอบจาน จักรยาน มีเหตุผล

พี่โอม ตอบอัฒจันทร์ ออมสิน

แม่หมูตอบ อากาศ มีเหตุผล

ผมตอบอะไรดีล่ะ

“เอายานอวกาศไป เผื่อเบื่อๆ จะได้บินกลับจากดาวอังคารมาโลกได้” เจ๋ง อันนี้แหละมีเหตุผลสุดๆ ผมคิดอย่างนั้น
“ไม่มีเหตุผล ยก” พี่จิ้นบอกว่าไม่ใช่ มะนาวชักงง? เกมไรเนี่ย อึดอัดอยากรู้

“พี่เกมอะไรอะ งง” ผมงงจริงๆ จังๆ ทั้งงงแล้วเริ่มเมา

“เกมของคนมีเหตุผล” พี่โอมบอกแล้วก็ไม่ลืมทำหน้าเป็นต่อใส่ผม เชื่อตายละ เหตุผลอะไรเอากะเหรี่ยงไปดาวอังคารได้ ใบ้หน่อยได้ไหม?

“เปลี่ยนไปที่อื่นบ้างดิ เบื่อดาวอังคารแล้ว” ผมเริ่มไม่ไหว ขอเปลี่ยนสถานที่ละกัน

“โอเค คุณได้รับสิทธิ์นั้นทันที ถ้าติดเกาะอยู่กลางทะเลให้เอาอะไรไปด้วยหนึ่งอย่าง พร้อมเหตุผล เชิญพี่จิ้นครับ” พี่โอมโบ้ยมาทางพี่จิ้น

“เอาใจไป เผื่อคิดถึงใครจนทนไม่ไหว” หูยยยย เน่าสนิท

“มีเหตุผล อนุญาตให้เอาไปได้” พี่โอมบอกว่ามีเหตุผลอะ แสดงว่ามีจ.จาน พอคิดได้แล้ว ผมก็รีบตอบ

“เอาจ๊อดไปครับ อยากให้พักผ่อนบ้าง เห็นตีสองตีสามขายเครื่องออกกำลังกายตลอด สงสาร” ผมค่อนข้างมั่นใจว่าถูกแน่ๆ คราวนี้

“ไม่มีเหตุผล ยก” อ้าว!! อีกแล้วเหรอ แล้วทุกคนก็หัวเราะ เพื่อนหมูผมก็หัวเราะ แต่ผมรู้ว่าเธอก็ยังไม่เข้าใจหรอก เชื่อดิ

“น้องหมูแดงครับ” หัวเราะเสร็จพี่โอมก็รีบบอกให้เพื่อนตัวกลมผมตอบ

“เอาแว่นกันแดดไปค่ะ เผื่อแสบตา” เพื่อนตัวกลมของผมตอบ

“ไม่มีเหตุผลนะครับ ยกๆ” อะไรคือเหตุผลอะพี่ ยิ่งคิดยิ่งงง ต่อไปก็เป็นกราฟ

“เอากีตาร์ไปเล่น เผื่อวันไหนเบื่อฟังเสียงทะเล” กราฟตอบยิ้มๆ สงสัยปริมาณแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดอยู่ในระดับที่เกินกว่ากฎหมายกำหนดแน่นอน

“มีเหตุผล แต่ก็ต้องยก” พี่โอมสั่งเสียงเข้ม

ผมมองไปที่จุดรวมพลเสบียงเมา เห็นเหล้าเหลืออีกตั้ง 1 กลมที่ยังไม่ได้เปิด ผมถึงกับตกใจตาโต เพราะกลมที่สองก็เปิดแล้ว แต่ทำไมยังมีอีกตั้งขวดที่ยังไม่ได้เปิด ตอนนี้ผมเองก็เริ่มมึนๆ แล้วละครับ ถ้าซดอีกขวดนี่กองคาร้านนมแน่ๆ

“ขวดนั้นซื้อมาขู่เด็ก กูจะเก็บไว้กินกับเพื่อน”

ผมพยักหน้าพร้อมกับยิ้มรับน้อยๆ แก้เขิน สงสัยพี่เข้มเห็นจังหวะที่ผมตกใจ ตอนที่มองไปเจอว่ายังเหลือเหล้าอีกตั้งขวดที่ไม่ได้เปิด ‘ค่อยยังชั่วหน่อย’ ผมแอบลอบถอนหายใจคนเดียว หลังจากที่รู้ว่าการดวลเหล้าคืนนี้ไม่ได้กะให้พวกผมตายคาสนาม

จากนั้นพวกผมก็เล่นเกมก๊งกันไปเรื่อยๆ แต่แทบไม่ได้คุยกัน เพราะผมตั้งใจและมีความพยายามอย่างมากที่จะเข้าใจเกมนี้ให้ได้ จนผมชักเริ่มอึนทั้งมึนจากฤทธิ์เหล้าและงงจากฤทธิ์ของเกมที่เล่นยังไงก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ผมอยากกลับแล้วเพราะรู้สึกว่าเริ่มง่วงตามันจะปิด แต่พี่เมตยักษ์สองตนก็บอกว่าอย่าเพิ่งกลับ บอกว่าไหนๆ ก็ออกมาแล้วจะพาไปดูของวิเศษของมหาวิทยาลัย แต่ต้องไปดูหลังเที่ยงคืน เชื่อกันรุ่นต่อรุ่นว่าใครไปดูจะได้คู่ แต่ถ้าใครไม่ได้ไปดูจะเรียนไม่จบ พูดมาขนาดนี้ผมกับเพื่อนก็อยากไปทันทีเพราะเคยได้ยินเพื่อนในคณะพูดมาเหมือนกัน กำลังเล่นเกมกันอยู่เพลินๆ พี่โอมก็พูดขึ้นมาว่ากลางวง

“เที่ยงคืนแล้ว ออกตามหาหัวใจ ม.กันดีกว่า”

ออฟไลน์ ryoushena

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-2
THE CALL - เมื่อผมเป็นพ่อสื่อให้คางคก

The Call Chapter 6: เก็งรู

พอจบเสียงสั่งการจากรองหัวหน้าฝูง บรรดาลูกสมุนทั้งคนทั้งยักษ์ก็เคลื่อนพลออกจากร้าน หลังเที่ยงคืนนักศึกษาในร้านเริ่มบางตาเหลือนั่งกันอยู่ไม่กี่โต๊ะ อาจเป็นเพราะลูกค้าร้านนี้ส่วนใหญ่เป็นเด็กหอในที่ต้องรีบกลับเข้าหอพักให้ทันก่อนเวลาเที่ยงคืน เพราะถ้าไม่อย่างนั้น หากเข้าหอเกินเวลาต้องเซ็นชื่อกับรปภ.หน้าหออีก ใครลงชื่อครบสามครั้งก็จะถูกคาดโทษด้วยการเซ็นใบเตือนจากที่ปรึกษาหอ หรือถ้าใครโทษหนักเกินเยียวยาก็จะถูกส่งชื่อไปฝ่ายวินัยของทางมหาวิทยาลัยให้ตักเตือนต่อ แต่ก็มีนักศึกษาจำนวนไม่น้อยที่ไม่สะทกสะท้านกับกฎหอพักข้อนี้ อย่างพวกผมเป็นต้น เรื่องอะไรจะยอมเซ็นชื่อให้เสียประวัติล่ะครับ เข้าทางประตูหน้าไม่ได้พวกผมก็เลือกปีนเข้าทางอื่นแทน

ความจริงแล้วกฎระเบียบห้ามนักศึกษาหอในเข้าหอหลังเที่ยงคืนเพิ่งจะมีประกาศออกมาไม่กี่เดือนนี่เอง ก่อนหน้านั้นตีหนึ่งตีสองพวกผมยังขี่มอเตอร์ไซค์ออกมากินก๋วยเตี๋ยวโต้รุ่งหน้าม.กันอยู่เลยครับ เหตุผลที่ทางมหาวิทยาลัยประกาศกฎนี้ออกมาก็เพราะว่า นักศึกษาปีสองโดนคนข้างนอกใช้มีดแทงตอนดึกจนเกือบเสียชีวิต ต้องนอนรักษาตัวในห้องไอซียูอยู่หลายวัน เพราะเข้าไปช่วยแฟนที่กำลังจะถูกข่มขืน จากนั้นทางมหาวิทยาลัยก็เลยตั้งกฎนี้ออกมา ทำให้ช่วงแรกๆ ที่กฎนี้ออกมา หลังเที่ยงคืนคนนอกจะเข้ามาในมหาวิทยาลัยไม่ได้ ส่วนนักศึกษาเองก็ต้องยื่นบัตรนักศึกษาและต้องเซ็นซื่อ

ทำให้บรรยากาศหน้าม.ที่ปกติตีหนึ่งตีสองบางทีตีสามตีสี่ก็ยังคึกคักหายไป ประมาณเที่ยงคืนคนก็เริ่มบางตา มีแค่ร้านอาหารในสุรสวัสดิ์ที่ยังเปิดถึงดึก

เหล้า 2 กลม 5 คน ทำผมมึนเต็มที่ ขับรถมอเตอร์ไซค์ไหวหรือเปล่าชักเริ่มไม่มั่นใจในตัวเอง เหลือบตามองดูเพื่อนสาวตัวกลมที่กำลังเดินเป๋ซ้ายขวาออกมาจากร้าน พวกเราก็แยกย้ายกันไปเอารถของตัวเอง พี่จิ้นบอกว่าจะขับนำแล้วให้พวกผมขับตาม

“แม่หมูๆ เดินให้มันตรงๆ หน่อย” ผมส่งเสียงแซวเพื่อนแบบขำๆ ทั้งที่ตัวเองก็เริ่มตึงเต็มที่ ถ้ามีต่ออีกแก้วคงจอดสนิท จากนั้นผมก็เดินไปเอารถมอเตอร์ไซค์ที่จอดเอาไว้ด้านหน้าของร้าน โชคดีตอนที่ผมมามีที่ว่างให้จอดพอดี ไม่งั้นก็ต้องขับไปจอดไกลจากร้านเหมือนกัน มอเตอร์ไซค์ของผมเป็นรถรุ่นคุรุสภาสีขาวตกทอดมาจากรุ่นคุณพ่อ สภาพยังดี แม้อายุจะเยอะแต่เครื่องยังฟิต ไม่เคยงอแงกับผมสักครั้ง

“เดี๋ยวขอสตาร์ตรถก่อน แล้วค่อยขึ้นนะ ยืนไหวปะเนี่ย?” ผมหันไปมองเพื่อนตัวกลมที่กำลังจะค่อยๆ ยกขาก้าวขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซค์ เธอหยุดชะงัก ยืนโงนเงน รอให้ผมสตาร์ตรถ

แก๊กกกกก แก๊กกกกกก ไม่ติด
แก๊กกกกก แก๊กกกกกก ทำไมไม่ติด
แก๊กกกกก  แก๊กกกกกก แก๊กกกก แกกก แกกก อ้าว? รถเป็นอะไร

ทำไมรถมอเตอร์ไซค์ผมสตาร์ตไม่ติดล่ะ เกิดมางอแงอะไรตอนนี้ ทำไงดีล่ะครับ ผมขี่เป็นอย่างเดียวซ่อมไม่เป็นซะด้วย สติที่มีตอนนี้ก็ไม่ครบร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมลองสตาร์ตรถดูอีกครั้งแต่ก็ยังไม่ติด หรือว่าน้ำมันหมด ผมรีบกุลีกุจอเปิดเบาะเพื่อดูน้ำมันในถัง น้ำมันก็ไม่ได้หมด สงสัยผมเมาจริงๆ ลืมไปเลยว่าดูแค่หน้าปัดรถมอเตอร์ไซค์ก็รู้แล้วว่าน้ำมันหมดหรือไม่หมด

“น้ำมันก็มีเกือบครึ่งถึง ทำไมสตาร์ตไม่ติดวะ? แม่หมูรถสตาร์ตไม่ติด สงสัยคืนนี้คงไม่ได้ไปแล้วละ” ผมหันหน้ากลับไปถามเพื่อนตัวกลมด้วยใบหน้าที่บ่งบอกว่าเสียดาย “อดเลย นึกว่าจะได้ออกไปตามหาสิ่งมหัศจรรย์ของมหาวิทยาลัย”

“งั้นเดี๋ยวโทรบอกให้พี่มีนออกมารับ มะนาวเดินไปบอกห้องนั้นนะว่าเราคงไม่ได้ไปแล้ว เห็นเดินไปเอารถตรงมุมโน้น” แม่หมูรีบจัดแจงแสดงว่ายังมีสติ

ผมพยักหน้ารับคำ กำลังจะออกเดินไป แต่ยักษ์ห้องนั้นขับรถมาถึงพวกผมก่อน รถมอเตอร์ไซค์สองคันกับคนตัวใหญ่ๆ สามคน พี่จิ้นกับพี่โอมนั่งซ้อนท้ายกันมาบนรถเวสป้าสีครีม โดยมีพี่จิ้นเป็นคนขับพี่โอมเป็นคนซ้อนท้าย รถมีธงชาติติดด้วย ส่วนกราฟเป็นมอเตอร์ไซค์คันเล็กๆ เหมือนรถที่เขาใช้แข่งแต่เป็นแบบย่อส่วน กราฟนั่งคร่อมอยู่บนเบาะเล็กๆ จะว่าเท่มันก็เท่อยู่หรอกนะ แต่มันดูขัดกับบุคลิกพิกล มาดนิ่ง ใส่แว่น ดูเหมือนลูกคุณหนู แต่นั่งอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์คล้ายรถแข่งแต่งเทพ ว่าไปถ้ากราฟถอดแว่นหน้าตาจะเป็นยังไงนะ หน้าจะเปลี่ยนไปหรือเปล่า? สมัยเรียนมัธยมผมเคยจำหน้าเพื่อนคนหนึ่งไม่ได้ เพราะเพื่อนคนนั้นเปลี่ยนจากใส่แว่นมาใส่คอนแทกต์เลนส์ โคตรของความอึน

“รถนายเป็นอะไร?” กราฟขับรถมอเตอร์ไซค์จอดถามผม

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่สตาร์ตไม่ติด สงสัยคืนนี้คงไม่ได้ไปแล้วละ” ผมตอบกราฟเจือน้ำเสียงเสียดายลงไปด้วย อุตส่าห์ตั้งใจเอาไว้แล้วไม่อยากอารมณ์ค้าง แต่ถ้าจะให้ซ้อนรถห้องนี้ก็ไม่น่าจะนั่งพอ เพราะกะจากสายตารถสองคันนี้ก็ไม่น่าจะมีช่องว่างให้ผมกับเพื่อนตัวกลมซ้อนไปได้ รถอะไรวะ เบาะเล็กนิดเดียว

“มะนาว พี่มีนไม่มีรถออกมา บอกว่าเพื่อนยืมรถไปซื้อข้าว คงต้องรอให้เอามาคืนก่อน” เพื่อนตัวกลมผมเดินเซมาหา เอาไงดี? จะกลับก็ไม่ได้ ไปต่อก็ไม่ได้ ตอนนี้ก็ดึกแล้ว จะโทรให้เพื่อนออกมารับก็ไม่ได้ ตอนนี้เลยเที่ยงคืนแล้วด้วย ถ้าต้องออกมาคงลำบาก อีกอย่างรปภ.คงไม่ให้ออกมาหรือถ้าได้ออกมาก็คงวุ่นวายกันน่าดู เพื่อนตัวกลมเริ่มจะไม่ไหวยืนตัวโงนเงนซ้ายทีขวาที ผมจึงรีบเข้าไปพยุงตัวเอาไว้ไม่ให้ล้ม โธ่วว นึกว่ายังพอมีสติ แต่ที่ไหนได้เมาหลบในนี่หว่า สถานการณ์ชักเริ่มไม่ค่อยดีแล้วละสิ

“ทำไมจะไปไม่ได้ มีรถสองคันที่ว่างเหลือเฟือ คันนี้ก็ว่าง รถไอ้กราฟอีก” พี่โอมพูดพร้อมขยับตัวเว้นที่ว่างเอาไว้ตรงกลาง ตบมือกับเบาะแปะๆ สองสามที เรียกผมไปนั่งตรงที่ว่างที่เหลืออยู่กระจิริด ผมว่าอย่าเรียกที่ว่างเลยเถอะว่ะครับ เรียกว่าช่องลมพัดผ่านน่าจะเข้าท่ากว่า คิดดูสิคนตัวใหญ่แถมสูงเหมือนยักษ์สองคนนั่งอยู่บนเบาะรถเวสป้าคันเล็กๆ คันเดียว มันจะมีที่เหลืออยู่เท่าไหร่กัน ไอ้ที่ว่างมันก็มีอยู่หรอกนะครับ แต่เหลือนิดเดียวจริงๆ กว้างแค่พอให้มดไต่ได้เท่านั้นแหละ

“มาลองนั่งดู” พี่จิ้นพูดพร้อมกวักมือเรียกผมให้ไปนั่งตรงกลาง พี่โอมลุกออกจากเบาะหลีกทางให้ผมลองก้าวขาขึ้นไปนั่ง พอผมนั่งชิดติดกับหลังพี่จิ้นเรียบร้อย พี่โอมก็ขึ้นนั่งซ้อนผมจากด้านหลังทันที นั่งซ้อนสามได้จริงๆ ด้วย

“เพื่อนนายหลับ”

“หมูไหวไหม”

“ไหวๆ แต่มึน”

“ถ้าไหวทำไมหลับ”

“แค่พักสายตาเฉยๆ น่า”

“กลับห้องเถอะ”

“ไม่เอา อยากดูหัวใจม.อะ”

หลังจากที่กราฟบอกว่าแม่หมูหลับ ผมก็รีบลุกออกมาจากเบาะรถพี่จิ้น เดินตรงเข้าไปหาเพื่อนผมทันที ตอนนี้ผมไม่อยากไปดูหัวใจม.แล้วละ เลยขอให้ยักษ์ห้องนั้นขับไปส่งที่ห้องแทน คืนนี้เพื่อนผมคงไม่น่าไหว แต่พูดยังไงเธอก็ไม่ยอมยังดื้อดึงอยากดูอยู่นั่นแหละ คนเมานี่พูดยากจังครับ

“งั้นเปลี่ยนตำแหน่ง หมูแดงมานั่งคันนี้ ส่วนเราไปนั่งคันนั้น ดูท่าจะไม่รอดถ้าปล่อยให้ซ้อนท้ายกราฟ” พี่จิ้นพูดตัดบท สรุปผมก็ได้นั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์กราฟ ผมค่อยๆ ยกขาก้าวขึ้นไปทำหน้าที่เป็นสก๊อยจำเป็น ผมว่ารถคันเล็กแล้ว เบาะรถยังเล็กได้อีก ซื้อมากะขับคนเดียวไม่ให้ใครซ้อนเลยหรือไงนะ แต่พอได้นั่ง มันก็นั่งได้พอดิบพอดีเลย เสียแต่ว่ามันชิดไปหน่อย ผมรู้สึกเหมือนกำลังนั่งกอดกราฟอยู่เลย หวังว่ากราฟคงไม่อึดอัด

พอทุกอย่างลงตัว ก็ถึงเวลาที่ขบวนรถพวกผมจะเคลื่อนตัวออกไปผจญภัยตามล่าหาหัวใจมหาวิทยาลัย รถพี่จิ้นขับนำหน้า กราฟขับตามหลังไปติดๆ ถนนเส้นนี้ค่อนข้างเปลี่ยวที่สุดในมหาวิทยาลัยและอยู่ไกลจากหอพักมากที่สุดเหมือนกัน

“นายขยับเข้ามาอีกได้นะ เดี๋ยวตก” กราฟขยับก้นไปด้านหน้าให้ผมขยับตัวตามเข้าไปอีกนิด ผมมองกราฟจากด้านหลัง ไหล่โคตรกว้าง หลังหนาอุ่นของกราฟมีกลิ่นหอมอ่อนลอยโชยตามลมเย็นๆ พัดปะทะหน้าปะทะรูจมูกผม นั่งรถมอเตอร์ไซค์ตอนดึกให้ลมเย็นๆ พัดตีหน้า มันก็รู้สึกดีเหมือนกันนะ ‘โคตรอยากนอนเลยตอนนี้’

“เฮ้ยยยยยย!” ผมสะดุ้งสุดตัว หลับ! ตะกี้ผมหลับ!! ผมนั่งหลับบนรถมอเตอร์ไซค์... ใจผมหล่นไปที่ตาตุ่ม เมื่อกี้ผมเกือบหงายท้องหล่นจากรถ ดีนะเอามือคว้าเอวกราฟได้ทัน กราฟก็คงตกใจเหมือนกันรีบเอื้อมมือดึงแขนผมให้เกาะเอาไว้ที่เอว ผมเกาะเอวแน่นเลยละ ‘เกือบตายไหมล่ะ’

“นั่งหลับได้ไง” เสียงกราฟดูอารมณ์เสียหน่อยๆ มือที่ดึงแขนผมไปเกาะไว้ที่เอวจับเอาไว้แน่น

หัวใจผมเต้นตึกตักๆ ยังไม่หายตกใจเลยอะ ถ้าเมื่อตะกี้หล่นลงไปบนถนนตอนที่รถยังวิ่งอยู่นะ ไม่อยากจะคิดสภาพเลยว่าจะออกมาแย่ขนาดไหน...อารามตกใจทำให้ตอนนี้ผมเริ่มสร่างเมา

“มีเรื่องตลกไหม?”

“เรื่องตลก?” ผมงง ยังไม่หายจากอาการตกใจดี จู่ๆ กราฟก็ถามหาเรื่องตลก แต่มันใช่เรื่องไหม ปั๊ดโธ่ววว

“ถ้ามี เล่าให้ฟังหน่อย นายจะได้ไม่หลับ” กราฟยังไม่ละความพยายาม บีบมือผมแรงๆ ทีหนึ่งแล้วก็บอกย้ำอยู่นั่นแหละว่าถ้าผมไม่เล่าหรือคุยอะไร เดี๋ยวผมจะหลับ ผมเลยอือๆ ออๆ บอกว่าขอคิดก่อน จนนึกขึ้นได้ว่ามีอยู่เรื่องหนึ่งนี่หว่า

“มีเรื่องหนึ่ง แต่ไม่ใช่เรื่องของเราหรอกนะ เรื่องมันมีอยู่ว่า...”

เด็กปีหนึ่งของม.เรานี่แหละไปเล่นฟิตเนส ปกติจะไปกับเพื่อนเมตแต่วันนั้นเพื่อนเลิกเรียนค่ำเลยไปเล่นคนเดียว เผอิญว่ามีเครื่องเล่นอยู่เครื่องหนึ่งว่าง ซึ่งเป็นเครื่องที่เขาไม่เคยได้เล่นเลย เพราะเครื่องนี้คนเล่นเยอะ หรือไม่ก็ตรงเบาะชอบเปื้อนรอยเหงื่อ เขาเลยไม่เคยได้ลองเล่นดูสักที พอดีวันนั้นเครื่องว่างเลยได้โอกาสลองเล่นดูครั้งแรก เครื่องนี้ต้องถอยหลังเอาก้นเข้าไป ด้วยความที่ไม่เคยเล่นมาก่อนเลย เขาเลยมีท่าทางเก้ๆ กังๆ ไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่นัก เขานั่งเล่นอยู่แบบนั้นแป๊บเดียวก็มีนักศึกษาชายชาวต่างชาติเดินเข้ามาหาเขาจากด้านหลัง แล้วพยายามสื่อสารด้วยภาษาไทยที่ไม่ค่อยชัดว่า

“เก็งรูๆ” พูดจบก็เดินกลับออกไป

เกร็งรู ขมิบเหรอ? เครื่องนี้ต้องขมิบตอนเล่นเหรอวะ (เขาคิดในใจ) ตอนนั้นเขาคิดว่าทำไมต้องเกร็งรูด้วย ไม่ใช่ผู้หญิง ทำไมต้องเกร็งรู เขาเลยไม่ได้สนใจ ยังคงนั่งเล่นเครื่องเล่นนั้นใหม่แบบงงๆ ด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ เหมือนเดิม และไม่ได้เกร็งรูตามนักษาต่างชาติคนนั้นบอก

เขาเล่นอยู่แบบนั้นได้ไม่นานนักศึกษาชายคนเดิมก็เดินกลับมาอีกครั้งด้วยใบหน้าตึงๆ ดูซีเรียสมากๆ แล้วพูดประโยคเดิมว่า
“เก็งรูๆๆ” แล้วก็เดินจากไปอีกแบบหัวเสีย

อะไรวะ เขามองตามอย่างงงๆ สงสัยคงเล่นผิดจริงๆ เกร็งรูก็เกร็งรูวะ พอคิดได้แบบนั้นแล้วก็เริ่มเล่นใหม่ คราวนี้เขาไม่ลืมเกร็งรูไปด้วย เล่นไปด้วยเกร็งรู ฮึบ! ฮึบ! ฮึบ!

แต่เขาเกร็งรูอยู่ตรงนั้นได้ไม่นาน นักศึกษาชายคนเดิมก็กลับมาอีก คราวนี้หน้าเครียดกว่าเดิม พอเดินมาถึงตัวก็ลากเขาออกจากเครื่องเล่นพาเดินไปหน้ากระจก แล้วค่อยๆ พูดเป็นภาษาไทยที่ไม่ค่อยชัด แต่คราวนี้พูดช้าลงเน้นทีละคำ

“เก็ง เปง รู”

สิ้นเสียงนักศึกษาชายชาวต่างชาติ เด็กปีหนึ่งคนนั้นก็หันหลังกลับไปมองที่กระจก เห็นเป้ากางเกงขาดเป็นรูเบ้อเริ่ม แล้วสติเขาก็หลุดออกจากร่าง จนถึงตอนนี้เขายังไม่เคยก้าวขาเข้าไปในฟิตเนสอีกเลย พอเล่าจบผมแอบเห็นไหล่ของกราฟมันสั่น ตลกอะดิ

“แล้วตอนนั้น อายไหม?”

“โคตรอาย” ผมรีบตอบ

หวีดดด วี้ดดด วิ้ว ว ว ว ว ว เสียงลมพัดใบไม้แห้ง ลอย ป ลิ ว ว ว ว

พอผมนึกขึ้นได้ก็เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ

“!” กราฟรู้ได้ไงว่าเด็กปีหนึ่งคนนั้นเป็นผม

“ฮ่าๆๆ” กราฟหัวเราะขำ เออ หัวเราะเข้าไป ไม่เจอกับตัวไม่รู้หรอก แม่ม

พอเล่าเรื่องจบรถของเราก็ขับมาถึงประตูอีกฟากของมหาวิทยาลัยพอดิบพอดี ถนนเส้นนี้บรรยากาศดูเปลี่ยวมาก วังเวงสุดๆ ใช้เป็นโลเคชั่นถ่ายรายการผีได้เลย ผมว่าถ้ามีใบไม้แห้งสักใบร่วงลงมาจากต้นก็คงได้ยินเสียงกระทบพื้นดังกรอบแกรบแน่ๆ ถึงจะมีไฟสีส้มอมเหลืองส่องตลอดเส้นแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ถนนเส้นนี้ดูปลอดภัยมากขึ้นเท่าไหร่

พอขับมาได้สักพักถนนก็เริ่มมืดลงเรื่อยๆ เพราะเสาไฟแถวนี้เขาไม่ได้เปิดไฟ มีแค่แสงไฟจากรถมอเตอร์ไซค์ของพวกผม ชักเริ่มตื่นเต้นขึ้นแล้วสิ ขับมาเรื่อยๆ รถมอเตอร์ไซค์พี่จิ้นก็ค่อยๆ ชะลอความเร็วลง รถพี่จิ้นจอดแล้ว กราฟที่ขับตามมาก็จอดเทียบข้างๆ กัน รถสองคันจอดแล้วแต่ยังไม่มีคันไหนดับเครื่องยนต์ ยังไม่มีใครลงจากรถ พี่จิ้นกวักมือเรียกให้กราฟขยับรถเข้าไปหาอีกหน่อย แต่ไอ้พี่โอมนี่สิทำปากขมุบขมิบน่าหมั่นไส้ บอกว่าพวกผมขับรถช้า

โอยยย ตื่นเต้น! วันนี้แล้วสินะที่ผมจะได้เห็นหัวใจมหาวิทยาลัยที่เขาร่ำลือสักที

พี่จิ้นกับกราฟดับเครื่องยนต์รถมอเตอร์ไซค์ พี่โอมบอกให้เราทุกคนเงียบอย่าส่งเสียงดัง การดูหัวใจมหาวิทยาลัยต้องตั้งสติให้ดีมีสมาธิแน่วแน่ ถ้าเราไม่ตั้งใจจริงจะมองไม่เห็น ผมเคยได้ยินเขาเล่ากันมาว่า การมาตามหาหัวใจมหาวิทยาลัยต้องให้รุ่นพี่เป็นคนพาน้องปีหนึ่งออกมาดูเท่านั้นถึงจะมองเห็น จะเป็นพี่เมต พี่รหัส พี่เปอร์ หรือพี่อะไรก็ได้ แต่ต้องเป็นรุ่นพี่ ห้ามเด็กปีหนึ่งมาดูกันเองเด็ดขาด เรื่องนี้ผมเห็นด้วยนะเพราะถนนเส้นที่ขับมาโคตรของความเปลี่ยวอันตรายเกินไปถ้าจะมากันเอง ยิ่งฟังเขาเล่ามาผมยิ่งอยากรู้

“หลับตาอธิษฐาน” พี่จิ้นพูดขึ้นมาหลังจากที่ทุกคนเงียบเสียงได้สักพัก บรรยากาศตอนนี้เงียบกริบมากครับ หลังจากดับเครื่องรถมอเตอร์ไซค์แล้ว มืดและเงียบโคตร ตอนนี้ได้ยินแค่เสียงแมลงกลางคืนร้องหวีดๆ ชวนให้ขนลุก ผมทั้งกลัวทั้งตื่นเต้น พออธิษฐานเสร็จก็พยายามกวาดสายตามองออกไปในความมืดหาหัวใจของมหาวิทยาลัย พี่จิ้นมองขึ้นไปบนฟ้า แล้วก็พูดว่าวันนี้โชคดีฟ้าเปิด น่าจะได้เห็นหัวใจมหาวิทยาลัย แต่ต้องรออีกสักประมาณเจ็ดนาที ระหว่างนี้ให้ทุกคนเงียบๆ ห้ามส่งเสียง
จากนั้นทุกคนก็เงียบ ไม่มีใครพูดอะไรออกมา

“เงยหน้า แล้วมองตามมือพี่” พี่จิ้นพูดเสร็จก็ค่อยๆ ชี้นิ้วมือไปบนฟ้า

แล้วค่อยๆ ชี้มือลงมาตรงพื้นถนน

จู่ๆ แสงไฟก็สว่างวาบ!!!

“!” ผมตกใจตาโต นึกว่าแสงไฟมาจากไหน ที่ไหนได้แสงไฟจากรถมอเตอร์ไซค์นี่เอง ตอนนี้พวกผมยังไม่มีใครลงจากรถนะครับ
ผมเห็นเกาะกลางถนนเล็กๆ >> มี >> รอยคอนกรีต >> เป็นร่องรูปหัวใจเล็กๆ

“...” ผมพูดอะไรไม่ออกครับ ขอยืนไว้อาลัยหนึ่งนาที RIP ให้ลุงเฉลียว ป้าฉลาด ญาติห่างๆ ของสมองผม

ทั้งสามคนหันมามองผมเป็นตาเดียว พอเห็นท่าทางตลกๆ ของผม สามยักษ์ก็หัวเราะออกมาเสียงดังสนั่นกลบเสียงแมลงกลางคืน เออ... ได้แกล้งน้องปีหนึ่งนี่ฟินขนาดนี้เลยหรือไง ผมหันไปหาเพื่อนเมตตัวกลมที่ยังคงเงียบสนิท สงสัยช็อกไม่ต่างกับผมเท่าไหร่ เธอคงอึ้ง! แต่กลับกลายเป็นว่าเธอไม่ได้ช็อกหรืออึ้งแต่อย่างใด เพราะหมูหลับไปแล้ว

“ปีหน้าอย่าลืมพาน้องปีหนึ่งมาขอพรนะครับ” ไอ้พี่โอมพูดล้อเลียน ผมรีบส่ายหัวปฏิเสธทันที ใครจะสร้างบาปให้ตัวเองล่ะครับ แต่ถ้าน้องอยากมา ผมคงไม่ปฏิเสธ ปีหน้าผมจะเป็นคนหัวเราะมั่ง หึหึหึ

“ไม่เชื่อแต่อย่าลบหลู่ รับรองมาไหว้หัวใจในตำนานแล้ว ลืมคำว่า ‘โสด’ ได้เลย” ไอ้พี่โอมหน้าเข้มยังไม่หยุดหลอกผม ทำหน้าทะเล้นใส่ผมอย่างอารมณ์ดี มีความสุขละสิ ได้แกล้งเด็ก ตอนนี้ผมอยากเหนี่ยวรูมเมตห้องนี้สักคนละป๊าบสองป๊าบ

ผมกระจ่างใจแล้วครับ ทำไมบางคนมาถึงไม่เจอก็มันเป็นแบบนี้ไง แล้วใครจะหาเจอ ผมแอบเห็นมีดอกไม้วางไว้ด้วยแหละ สงสัยถูกหลอกว่าต้องเอาดอกไม้มาไหว้ด้วยแน่ๆ ส่วนประเด็นที่บอกว่าไม่ใช่ทุกวันที่จะเจอ ผมว่าวันนั้นน่าจะฝนตกน้ำท่วมมิดจนมองไม่เห็นมากกว่า เพราะมันเล็กมากกกกกก...

ไหนวะ ใครที่บอกว่า ตอนที่เห็นมันจะมีแสงสว่างวาบขึ้นที่หัว อ้อ เข้าใจละ ที่บอกว่าแสงวาบตรงหัว เพราะมันวิ้งขึ้นมาน่ะสิ พอรู้ว่าโดนตุ๋นโดนต้ม จี๊ดจริง งานนี้มันจี๊ดดดจริงโว้ยยยยยย

“เป็นอันเสร็จพิธี ประทับใจไหมครับน้องปีหนึ่ง” พี่จิ้นถามผมยิ้มๆ ผมรีบยกมือทำเป็นเขาบนหัว ประทับใจมากครับพี่
“ดึกละ กลับดีกว่า คืนนี้หลับฝันดี” ไอ้พี่โอมมันก็ยังกระโตกกระตากแสดงท่าทางว่าอารมณ์ดีออกมาอย่างเปิดเผย พี่ฟินกี่รอบแล้วเนี่ยกับการแกล้งเด็ก

ขากลับก็เหมือนเดิมเวสป้าแซนด์วิชไส้หมูแดงของพี่จิ้นขับนำ ผมกับกราฟขับตาม ขับมาได้สักพัก ลมเย็นๆ พัดปะทะหน้าผม แสงไฟสีส้มอมเหลืองจากเสาไฟ กลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวกราฟลอยเข้าจมูก ชวนให้หนังตาผมพานจะปิด

“นาย” กราฟเอามือสะกิดตัวผม

“...”

“นาย... นาย”

“...”

“มะนาว!” กราฟกระตุกมือผมแรงๆ สองสามที ผมถึงขานรับ

“ว่า” เมื่อกี้ผมหลับอีกแล้ว? คราวนี้ผมฉลาดกว่าขาไป พอรถออกตัวผมก็เอาแขนไปโอบเอวกราฟเอาไว้แน่นทันทีแทบไม่ต้องให้บอก เพราะรู้ว่าขากลับผมมีสิทธิ์หลับเหมือนขาไปชัวร์ๆ

“หลับ?”

“ตอนแรกว่าจะหลับตาเล่นๆ เห็นลมเย็นดี สุดท้ายดันหลับจริง”

“อยากฟังเรื่องตลกอีก”

“ไม่เล่าแล้วง่วง”

“เดี๋ยวก็หลับ”

“ขาไปเราเล่าแล้ว ตากราฟบ้างดิ ผลัดกัน”

“...” กราฟนิ่งไปสักพัก เหมือนพยายามนึก ก่อนจะบอกว่าไม่มีเรื่องตลก

“งั้น ร้องเพลงแร็พ หรืออะไรก็ได้” ผมตอบส่งๆ ออกไป คราวนี้ไอ้กราฟเงียบไปเลย เราสองคนนั่งเงียบไปสักพัก สงสัยกราฟกลัวผมหลับ เลยเอามือมาจับแขนไว้ซะแน่น

หากบังเอิญสายตาเธอ จะผ่านมาที่ฉัน และเธอนั้นบังเอิญจะสนใจ
หากบางทีหัวใจเธอ เจอสิ่งที่ซ่อนไว้ ก็คงเพราะว่าใจเราตรงกัน

แต่มันคงไม่มีทาง เป็นอย่างที่คิดไว้ และเราไม่มีทางจะรักกัน
และไม่มีเรื่องบังเอิญ จะเกิดขึ้นทั้งนั้น เพราะฉันคิดฝันไปคนเดียว

*อยู่กับความเหงา กอดกับความฝัน อยู่กับความหวังที่มันยังไม่หายไป
อยู่กับความรัก ที่มันบังเอิญไม่เป็นใจ เพราะไม่มีทางจะมีเธอ

ก็คงเป็นเพราะความจริง มันต่างจากที่ฝัน และเธอนั้นไม่เคยจะสนใจ
แต่บังเอิญฉันยืนยัน จะเก็บความฝันไว้ เก็บมันไว้ให้เธอเพียงคนเดียว

มีเพียงความเหงา มีเพียงความฝัน เพียงเธอเท่านั้นที่มันยังขาดหายไป
ก็มีความรัก แต่เธอบังเอิญไม่มีใจ ฉันไม่มีทางจะมีเธอ

ก็ฝันว่าสักวัน จะมีเธอ

*เพลง ไม่บังเอิญ/กุลวัฒน์ พรหมสถิต

“นาย”

“นาย...นาย...ถึงหอแล้ว”

ผมหลับ หลับไปตั้งแต่ฟังเพลงท่อนแรกจบ

ออฟไลน์ ryoushena

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-2
THE CALL - เมื่อผมเป็นพ่อสื่อให้คางคก

The Call Chapter 7: อย่าจับ ‘เป็ด’ ได้ไหมจ๊ะ

♫ ♬ ♪ ♩ ♭ ♪
ส้มโอ แตงโม แตงไทย ลิ้นจี่ ลำไย องุ่น พุทรา
เงาะ ฝรั่ง มังคุด กล้วย ละมุด น้อยหน่า
ขนุน มะม่วง นานาพันธุ์♫ ♬ ♪ ♩ ♭ ♪

ผมรู้สึกตัวตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์แม่หมูดัง

“หมู โทรศัพท์”

“...” เงียบ

“หมูๆ รับโทรศัพท์”

“...” เงียบ

เมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากปลายทางที่เรียก ผมจึงค่อยๆ ขยับเขยื้อนตัวลุกขึ้นจากเตียงนอนเดินสะลึมสะลือไปเรียกให้เพื่อนเมตลุกขึ้นมารับโทรศัพท์ ผมเปิดเปลือกตาข้างซ้ายมองหาเพื่อนเมตแต่แม่หมูไม่ได้นอนอยู่บนเตียง สงสัยรีบออกจากห้องจนลืมโทรศัพท์เอาไว้แน่ๆ ผมกดปิดนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์ แล้วค่อยๆ พาร่างเดินกลับมาทิ้งตัวนอนต่อบนเตียง

♫ ♬ ♪ ♩ ♭ ♪
Aye aye aye, aye aye aye
Tell you baby, you huggin up the big monkey man
Aye aye aye, aye aye aye
Tell you baby, you huggin up the big monkey man
I never saw you, I only heard of you
huggin up the big monkey man
I never saw you, I only heard of you
huggin up the big monkey man ♫ ♬ ♪ ♩ ♭ ♪

นอนต่อได้สักพักเสียงนาฬิกาปลุกของผมก็ดังขึ้น จึงงัวเงียเอื้อมมือไปกดเลื่อนเวลาออกไปอีกห้านาที

“ขออีกห้านาทีน่า” ผมบ่นงึมงำคนเดียว แล้วกดสวิตช์เปลือกตาหลับต่อ

นอนต่ออีกพักใหญ่ ยังไร้วี่แววเสียงปลุกจากนาฬิกา

กี่โมงแล้ว? ทำไมนาฬิกาไม่ปลุกสักที

ผมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์เพื่อดูเวลา เหลืออีกแค่สิบห้านาทีก็ถึงเวลาเข้าเรียน ผมตกใจตาสองข้างเบิกโพลงรีบสวมวิญญาณเสือเผ่นเด้งตัวลุกจากเตียง ถอดเสื้อนอนออกภายในไม่ถึงวินาที จากนั้นวิ่งปรู๊ดเข้าไปในห้องน้ำ เสร็จแล้วกุลีกุจอแต่งตัวออกจากห้องไปด้วยความเร็วยิ่งกว่าแสง พอไปถึงหน้าหอพัก เสียบกุญแจสตาร์ตรถเสร็จก็รีบบิดรถมอเตอร์ไซค์บึ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาในการเดินทางรวมวิ่งผ่านน้ำเพียงแค่สิบสี่นาทีเท่านั้น เหลืออีกแค่หนึ่งนาทีผมก็อาศัยขาทั้งสองข้างวิ่งไปจนถึงหน้าห้องเรียน แล้วรีบเดินเข้าห้องไป

“ยังดีที่ทัน” ผมบ่นคนเดียว จากนั้นก็รีบวิ่งไปหาเพื่อนที่จองที่นั่งเผื่อเอาไว้ให้

“โห มะนาว นึกว่าจะมาไม่ทันแล้ว ไม่งั้นตายแน่ วันนี้มีควิซย่อยด้วย” โก๋เพื่อนในคณะของผมทัก พร้อมยกนิ้วชี้ขึ้นมาทำท่าปาดคอตัวเอง (เพื่อนคนนี้แหละครับที่เป็นคนแนะนำการ์ตูนวายให้ผมรู้จัก ขอบใจมากนะโก๋)

“เออ เล่น เอา เหนื่อย พอ ดี ตื่น สาย อา จารย์ ยัง ไม่ เช็ก ชื่อ ใช่ ไหม?” ผมตอบเพื่อนกระท่อนกระแท่น พยายามสูดลมหายใจเข้าปอดช้าๆ แฮกๆ แฮกๆ

“กลิ่นละมุดหึ่งเลยนะ ไปเมามาเหรอเมื่อคืน” ไอ้โก๋พูดแล้วเอามือปิดจมูกแถมยังทำหน้ารังเกียจผมอีก

“กินมา แต่ไม่ได้ตั้งใจเมา” ผมตอบแบบเอือมๆ ตั้งใจแค่ว่าจะไปกินนมไม่ได้ตั้งใจไปกินเหล้านี่หว่า ใครจะนึกว่าไปร้านนมแล้วจะได้กินเหล้า

“ไปกินร้านไหนมา”

“ร้านนมตาโอ” ผมตอบ ตอนนี้เริ่มหายใจคล่องขึ้น

“ร้านตาโอเนี่ยนะ ทำไมมีเหล้าขาย?”

“งงเหมือนกัน”

“สภาพแย่มาก กลายเป็นมะนาวกลิ่นละมุดไปซะละ” โก๋พูดขำๆ ทำหน้าตากวนตีนแซวผม ก่อนที่พวกผมจะเปิดบทสนทนาไปมากกว่านั้น อาจารย์ก็เข้ามาเช็กชื่อแล้วก็เริ่มแจกแบบทดสอบย่อยให้เริ่มทำ พวกผมเลยต้องจบการสนทนาลง พอหมดคาบชั่วโมงเรียน เพื่อนๆ ในคณะก็เริ่มทยอยกันออกจากห้อง แล้วก็มีเพื่อนผู้หญิงเดินเข้ามาคุยกับผม เพื่อนคนนี้ชื่อโอ๋ครับ นิสัยดี ตัดผมซอยสั้น เป็นคนมั่นใจ แต่งตัวเปรี้ยวๆ หน่อย

“มะนาว”

“ว่า?”

“มะนาวนี่น่ารักดีนะ มีแฟนยัง?”

“เอ่อ...ยัง” เอ๋? มาถามกันตรงๆ แบบนี้ผมก็เขินอะดิ ถามทำไม? อยู่ดีๆ ก็ถาม

“แล้วมะนาวมีคนชอบยัง?”

“ยัง”

“เราชอบมะนาว”

“...”

“เราขอจีบมะนาวนะ” ตกใจครับ โอ๋จ้องตาผมรอคำตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ผมว่าโอ๋ก็น่ารักดีนะ ผมจะตอบยังไงดี ผมยืนนึกคำตอบสักครู่ ผมยิ้มให้โอ๋ที่ยืนยิ้มให้ผม

“เราเป็นตุ๊ดน่ะ”

“อ้าว? จริงเหรอ งั้นเราขอเป็นเพื่อนมะนาวนะ” โอ๋ยิ้มให้กับผม ผมพยักหน้าตอบโอ๋กลับไป “มะนาวน่ารักดี ถึงไม่ได้เป็นแฟน เป็นเพื่อนกันก็ดีอีกแบบ” โอ๋พูดจบก็ยิ้มให้ผม จากนั้นก็เดินจากไปเฉยๆ ง่ายๆ อย่างนี้เลย ทำไมมันง่ายขนาดนี้ เป็นตุ๊ดนี่ดีว่ะ รู้สึกอยากขอบคุณสองพี่เมตยักษ์ของกราฟขึ้นมาทันที

“เป็นตุ๊ด ทำไมถึงคุยกับผู้หญิง” เสียงใครลอยมาเข้าหูผม ทำไมเป็นตุ๊ดแล้วต้องคุยกับผู้ชายอย่างเดียวหรือยังไง? ตรรกะโลกไหน ว่าแล้วผมก็รีบหันไปหาต้นเสียงก็เจอกับไอ้แว่นกราฟยืนจ้องผมอยู่ พอเห็นสายตากราฟที่มองมา ทำไมผมรู้สึกนึกคำพูดไม่ออก

“นิดนึง” เอ่อ ผมตอบแบบนี้ถูกไหม? ก็เมื่อกี้ไม่ได้แค่คุยกันเฉยๆ โอ๋เข้ามาขอจีบผมต่างหาก

แล้วกราฟก็เดินจากผมไป ถือเป็นครั้งแรกที่ผมคุยกับกราฟนอกจากการคุยโทรศัพท์หอพัก แสดงว่ากราฟเริ่มชินหน้าผมแล้ว ต้องรีบกลับไปเล่าให้แม่หมูฟัง คิดได้ดังนั้นผมก็รีบบึ่งรถกลับหอพักทันที ยังดีที่วันนี้มีเรียนแค่ตัวเดียว ไม่งั้นผมแย่แน่ๆ มีสิทธิ์ดับอนาถเป็นซอมบี้วิญญาณหลุดคาห้องเรียนเป็นแน่แท้ เที่ยงเกือบบ่าย ผมรีบกลับหอไปนอนต่อดีกว่า ตื่นมาแล้วค่อยหาข้าวกิน
ผมกำลังจะจอดรถมอเตอร์ไซค์ไว้บริเวณลานจอดรถของหอพัก สังเกตเห็นว่าหน้าหอพักบริเวณโต๊ะรปภ.มีตำรวจกับนักศึกษาชายยืนอยู่เต็มไปหมด หอพักผมมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น นักศึกษายกพวกตีกัน หรือว่ามีคนขโมยของแล้วถูกจับได้ แต่ดูเหมือนคนกลุ่มใหญ่และตำรวจกำลังเดินตรงเข้ามาหาผม

“นี่แหละครับ รถผมที่หายไป” นักศึกษาชายท่าทางตื่นๆ ที่เดินมากับเจ้าหน้าที่ตำรวจพูดขึ้นมา พร้อมกับชี้มือมายังรถมอเตอร์ไซค์ที่ผมกำลังนั่งคร่อมอยู่

“อะไรนะครับ” อะไรวะ??? จะเป็นรถของพี่ได้ยังไงวะครับ ในเมื่อรถคันนี้เป็นของพ่อผม กุญแจก็กุญแจรถผม ผมยืนงงในดงตำรวจ แต่พี่คนนั้นไม่สนใจคำพูดผม เดินนำตำรวจไปข้างหลังรถ ชี้ไปที่ป้ายทะเบียน เขาพยักหน้ายืนยันว่าเป็นรถของพี่เขาจริงๆ ผมก็รีบลงจากรถเพื่อมาดูป้ายทะเบียน

ร ย ม
ลำปาง
405

เฮ้ยยยยยย!!!! ผิดคัน ไม่ใช่นครพนม ไม่ใช่รถผม ไม่ใช่รถพ่อผม ผมหน้าซีด ตกใจจนมือสั่น

“พะ...พี่ครับ ผมขอโทษนะครับ สงสัยขับไปผิดคัน เมื่อเช้าผมรีบไปเรียน รถพี่กับรถผมเหมือนกันเปี๊ยบเลยครับ” พอรู้ตัวผมก็รีบยกมือไหว้ขอโทษพี่เขาพร้อมกับลอบมองสายตานายตำรวจ “ผม...ขอโทษนะครับ ผะ...ผมไม่ได้ตั้งใจ” เสียงผมสั่น ทั้งกลัวโดนจับเข้าคุก ทั้งตกใจ ทุกสายตามองมาที่ผมจุดเดียว สายตาจับผิดแบบนั้นทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก รู้สึกแขนขาไม่มีแรง ผมหันไปหาพี่เจ้าของรถตัวจริง พี่เขาก็ยังนิ่ง สงสัยโกรธจริงๆ

“เฮ้ยๆ!!! มีเรื่องอะไรกันวะ” เสียงโวยวายคุ้นหูดังขึ้น พี่เข้มก้าวพรวดเข้ากลางวงสนทนา พอเห็นว่ามีนายตำรวจอยู่ตรงนั้นด้วยพี่แกก็รีบเข้าไปตีสนิททันที “อ้าว คุณตำรวจก็อยู่ด้วย มีเรื่องอะไรกันหรือครับ หรือว่ารถใครหาย?”

“คงไม่มีอะไรแล้วละครับ แค่เรื่องเข้าใจผิด”

“เข้าใจผิด?”

“กูนึกว่ารถหายเลยไปแจ้งความ” พี่เจ้าของรถอธิบายพี่เข้มเสียงนิ่ง ยังมีท่าทีไม่พอใจอยู่ “แต่สุดท้ายน้องมันแค่ขับไปเรียนผิดคันว่ะ” พี่เจ้าของรถทำหน้าเซ็ง บุ้ยปากมาทางผม

“แล้วมึงจะอะไรนักหนาว้า น้องมันไม่ตั้งใจไอ้ห่า มะนาวขอโทษพี่เขาเร็ว”

“ผมขอโทษครับพี่” ผมยกมือไหว้พี่เขาอีกรอบ คราวนี้พี่แกคงอารมณ์ดีขึ้นแล้ว เพราะพยักหน้ารับไหว้ผม

“ไม่มีอะไรแล้วละครับคุณตำรวจ รบกวนคุณตำรวจแค่นี้นะครับ”

พอเรื่องคลี่คลาย ทุกคนแยกย้าย นายตำรวจก็เดินกลับออกไป แต่ไม่วายกำชับผมให้เพิ่มความรอบคอบมากขึ้น

“เกือบโชคดีได้ไปเที่ยวฮ่องกงแล้วนะมึง”

“...”

“ไม่ต้องตกใจแล้ว ถ้าเรื่องถึงมือกูทุกอย่างเคลียร์ เหมือนขามึงสั่นๆ นะ เอ หรือขาสั้นๆ วะ” พี่โอมหันมาพูดกับผมพร้อมกับตบไหล่เบาๆ แล้วค่อยเดินไปส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รถพร้อมกับที่ปรึกษาหอพัก

“...” ผมยังมึนอยู่

แล้วรถผมไปไหน?

เยดด โด้วว! ลืมเรื่องเมื่อคืนไปสนิท ผมเริ่มทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมไปกินนมร้านนมตาโอ แต่ได้กินเหล้าแทน จากนั้นก็ตั้งใจว่าจะไปดูหัวใจมหาวิทยาลัย รถสตาร์ตไม่ติดเลยจอดทิ้งไว้ ไปดูหัวใจมหาวิทยาลัยเสร็จ ขากลับผมหลับตื่นมาก็นอนอยู่บนเตียง แต่ผมกลับเข้ามานอนในห้องได้ยังไง? สลัด! รถผมยังจอดอยู่ร้านนม!

“ทำไมยังไม่เข้าห้อง ยังไม่หายตกใจหรือไง”

ใช่ครับ ตอนนี้ผมนั่งอยู่ม้านั่งหน้าหอ รู้สึกเหมือนขามันไม่มีแรงเท่าไหร่น่ะครับ ยิ่งแฮงค์ๆ อึนๆ พอมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ เล่นเอาช็อกเหมือนกัน

“ถ้ายังไม่อยากเข้าห้อง งั้นไปกินข้าวกับกู”

“มะนาวไม่หิวครับ”

“เถอะน่า เดี๋ยวกูเลี้ยง คนแฮงค์มันต้องกินข้าวเยอะๆ รู้ไหม”

“ตอนนี้มะนาวไม่หิวจริงๆ ครับ”

“หิวไม่หิวก็ต้องกิน มึงเชื่อกูเหอะน่า ถ้าได้กินข้าวมันจะรู้สึกดีขึ้นเอง”

พี่เข้มพูดจบก็จูงมือผมไปที่รถเวสป้าสีเขียวมะนาวที่จอดอยู่ใกล้ๆ แถวนั้น จากนั้นก็พาขับไปที่ประตูหลังม. หอชายที่อยู่ใกล้ๆ นี่แหละครับ ขับมาไม่ถึงสามนาทีก็ถึง พี่เข้มขี่รถเวสป้ามาจอดที่ร้าน ‘ลาบเป็ดลุงอ้วน’

“ถึงละ ลงๆ วันนี้กูอยากกินลาบเป็ด”

พี่เข้มพาผมเดินไปนั่งซุ้มไม้ไผ่ที่ตั้งเรียงรายสามซุ้มใต้เงาใบไผ่กอใหญ่ จากนั้นก็จัดแจงขอเมนูจากลุงเจ้าของร้าน ซึ่งลุงแกก็ตั้งชื่อได้ชัดเจนดีครับ ชื่อร้านกับเจ้าของเหมือนกันเปี๊ยบ

“มึงกินเผ็ดได้ไหม”

“กินได้ครับ”

“เคยกินลาบเป็ดปะ”

“ไม่เคยลองเลยครับ”

“งั้นวันนี้กูพามึงเปิดโลกใหม่ เชื่อกูเมนูนี้เด็ด!”

จากนั้นพี่เข้มก็จัดแจงเขียนเมนู มีลาบเป็ดหนึ่ง ต้มแซ่บเนื้อเปื่อยหนึ่ง ไข่เจียวต้นหอมหมูสับหนึ่ง ข้าวเหนียวสี่ (พี่เข้มกินสามผมหนึ่ง) แต่พอลุงเจ้าของร้านเดินมารับเมนู กลับบอกว่าตอนนี้ยังไม่ได้ฆ่าเป็ด ถ้าจะกินต้องรอหน่อย เพราะว่าเป็ดที่ซื้อมาหนีออกจากถุงกระสอบ ยังจับไม่ได้ เท่านั้นแหละครับ รู้เรื่อง! เพราะพี่เข้มอาสาช่วยคุณลุงเจ้าของร้านจับเป็ด

ความจริงแล้วเป็ดที่ว่าไม่ได้หนีไปไหนไกลหรอกครับ เพราะมันหลบอยู่แถวกอไผ่หลังร้าน จากนั้นผมกับพี่เข้มก็ต้องช่วยคุณลุงจับเป็ดสิครับ บันเทิงเลยทีนี้ เพราะเป็ดน่ะซ่อนอยู่ในกอไผ่ กว่าจะหาเจอ กว่าจะจับได้ เล่นเอาเหนื่อย พอเป็ดคนเห็นจะมาจับ มันก็วิ่งไปหลบมุมโน้นมุมนี้ พอเป็ดวิ่งไปทางโน้นทีทางนี้ที พี่เข้มก็สั่งให้ผมไปดัก ไม่ให้เป็ดวิ่งเตลิด หัวผมตอนนี้เต็มไปด้วยใบไผ่ เพราะต้องวิ่งไปตรงนู้นทีตรงนี้ที พี่เข้มก็สั่งผมจัง ให้วิ่งไปดักทางนั้นทางนี้ ตอนนี้หัวผมกระเซอะกระเซิงมากครับ การจับเป็ดไม่ใช่เรื่องง่ายๆ จริงๆ

พี่เข้มเห็นสภาพผมก็มองขำ ก็แน่ละ เอาคนแฮงค์มาวิ่งจับเป็ดแบบนี้ ไม่ไหวจะเคลียร์จริงๆ ครับ แต่ก็ให้อภัยได้ เพราะลาบเป็ดร้านลุงอ้วนอร่อยจริงๆ หอมข้าวคั่ว ใบมะกรูด เนื้อเป็ดติดมันนิดหน่อย ลุงแกเสิร์ฟมาพร้อมผักเคียงจานใหญ่ มีทั้งผักแพว ผักชีฝรั่ง สะระแหน่ ยอดอ่อนใบมะตูม แล้วก็มียอดอ่อนใบมะกอก รสชาติผักบางอย่างก็เปรี้ยวๆ ฝาดๆ แต่ก็อร่อยดี

“ลาบเป็ดเป็นไง ถูกปากมึงไหม”

“อร่อยครับ”

“ลิ้นดีนี่หว่า กินของดีเป็น ถ้างั้นก็กินเยอะๆ ต้มแซ่บพวกนี้ซดน้ำซุปเข้าไปจะได้หายแฮงค์ ถ้าชอบวันหลังกูมากินอีก”

“แต่ถ้าต้องมาวิ่งจับเป็ดอีก ขอคิดดูก่อนครับ”

“แค่นี้ทำบ่น อยากกินของอร่อย มันก็ต้องพยายามกันสักหน่อยสิวะ”

หลังจากทานเสร็จพี่เข้มก็ขับรถเวสป้ามาส่งผมหน้าหอ ณ จุดเกิดเหตุที่เพิ่งสร้างความปั่นป่วนมวนท้องให้กับผม

ออฟไลน์ ryoushena

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-2
THE CALL - เมื่อผมเป็นพ่อสื่อให้คางคก

The Call Chapter 8:  อัศวินดาบคู่

หลังจากผจญกับเหตุการณ์เขย่าจิตมาหมาดๆ ชนิดที่เรียกว่าสติกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง ผมนายมะนาวก็พยายามตั้งลำให้สติตัวเองใหม่ ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่กุญแจรถมอเตอร์ไซค์ผมดันเกิดไปใช้ไขสตาร์ตรถคนอื่นได้ ใครจะไปคิดว่ารถรุ่นคุณพ่อแบบนี้ยังมีคนใช้แถมยังคงสภาพการใช้งานไว้เท่าๆ กันอีก แถมลักษณะรถก็เหมือนกันอย่างกับแกะ ต่างกันแค่เลขทะเบียน แต่จะโทษใครได้ ตัวผมเองนั่นแหละที่ไม่รอบคอบเอง รถรุ่นเดียวกันมันก็ต้องเหมือนกันอยู่แล้ว

ระหว่างทางเดินเข้าห้องผมก็พยายามทำความเข้าใจถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งก็พอจะทำความเข้าใจได้ แต่ตอนนี้ผมสงสัยว่าเมื่อคืนผมกลับมานอนห้องได้ยังไง สงสัยกราฟแบกผมเข้าส่งละมั้ง

พอเดินมาถึงหน้าห้องพักหมายเลข 7712 ประตูห้องก็เปิดรอต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว มีเพียงแค่ประตูมุ้งลวดที่ปิดกันยุงและแมลงเข้าไปในห้องแต่ก็สามารถมองเข้าไปได้ ตอนนี้ห้องผมคงมีใครสักคนอยู่ข้างใน และต้องมีสักคนที่สามารถตอบคำถามกับผมได้ละน่า

ผมรีบเปิดประตูเดินเข้าไปในห้อง แม่หมูนอนตัวกลมอยู่บนเตียง ผมส่ายหัวหน่ายให้ผู้หญิงยิงเรือที่กำลังนอนหลับแต่กลับเปิดประตูอ้าซ่าเอาไว้ ทำไมไม่รู้จักปิดประตูลงกลอนให้เรียบร้อย เตียงของแม่หมูจัดชิดอยู่กับผนัง ส่วนเตียงของผมติดกับประตูหน้าห้องชิดกับหน้าต่างที่เป็นบานเกล็ด ส่วนเตียงพี่เมตผมอยู่หลังห้องเอาเตียงชิดผนังอีกฝั่งตรงข้ามกับเตียงแม่หมูเยื้องกันเล็กน้อย ระหว่างเตียงผมกับเตียงพี่เมตจะมีตู้เสื้อผ้าสองตู้ของผมกับพี่เมตกั้นเอาไว้ ตรงกลางห้องของผมปล่อยเป็นที่ว่างเอาไว้ ปลุกแม่หมูขึ้นมาถามดีกว่า

แกร๊กก! แอ๊ดดดดดด!!

ประตูห้องน้ำถูกเปิดออก พี่มีนนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเดินออกมา หยดน้ำเกาะตามตัว พี่เมตแอบมีความเซ็กซี่กับเขาเหมือนกัน ยังไม่ทันที่ผมจะได้อ้าปากถาม พี่มีนก็ชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า

“เมื่อคืนเมาไม่เป็นท่าเลยนะเรา แล้วไปทำอะไรมา ทำไมสภาพเป็นแบบนี้ รถล้ม?” พี่มีนพูดเสียงเข้มยืนเอามือเท้าสะเอวจ้องหน้าผมนิ่ง

“อย่าทำเสียงโหดเข้ากับหน้าตาดิพี่มีน มะนาวไปจับเป็ดมา” ผมพยายามพูดตลกกลบเกลื่อน กลัวพี่เมตผมโทรไปฟ้องแม่ผม ตอนมาส่งผมแม่กับพี่มีนคุยกันถูกคอจึงฝากฝังให้พี่มีนช่วยดูแล

“จับเป็ด!?”

“มะนาวไปกินลาบเป็ดร้านลุงอ้วนหลังม.มา แต่เป็ดแกหลุดจากกระสอบ เลยช่วยกันไล่จับเป็ด สภาพก็เลยเป็นอย่างที่เห็น”

“สภาพยังกับไปขับมอเตอร์ไซค์ล้มมา แต่อย่าเพิ่งเปลี่ยนประเด็น เมื่อคืนไปทำอีท่าไหนมาถึงให้ใครไม่รู้อุ้มเข้ามาส่งได้ ทำไมปล่อยให้ตัวเองเมาขนาดนั้น” เสียงพี่มีนเข้มกว่าเดิมอีก แถมยังทำตาดุใส่ผมอีก

“เมานิดนึง แต่ง่วงมากกว่า ว่าแต่ใครอุ้มใคร ผมไม่เห็นจำได้” ผมตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียง พี่มีนส่ายหน้าหน่ายๆ มองมาที่ผมอีกรอบ แล้วเดินหนีไปเปิดประตูตู้ หยิบเสื้อยืดออกมาใส่ลวกๆ แล้วค่อยหันมาตอบผม

“ตัวสูงๆ หน่อย”

“อ่อ สงสัยกราฟมั้ง ก็พี่เมตไม่ยอมออกไปรับ ปล่อยให้น้องตาดำๆ ต้องเผชิญชะตากรรมกันเอง” ผมเดินไปนั่งบนเตียง พยายามพูดบ่ายเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่น หาพื้นที่หลบสายตาจับผิดพี่มีนด้วยแหละ เดี๋ยวถูกเทศนายาว พี่มีนทำหน้าเซ็งใส่ผม แล้วบ่นออกมายาว

“พูดให้ดีนะครับ ไอ้พี่เมตคนนี้แหละครับ ออกไปรอรับที่หน้าหอ เลยเห็นเราถูกอุ้มเข้ามาพอดี จะเข้าไปช่วยก็ไม่ยอม นึกว่าโดนรุมมาซะอีก”

“เวอร์ไปพี่เมต อย่าพูดเสียงดังสิ คนเมื่อคืนน่ะแม่หมูจองแล้ว ก็คนนี้นี่แหละที่มะนาวจะเป็นแม่สื่อให้ ว่าแต่เมื่อคืนใครพาแม่หมูกลับอะ แต่แค่อุ้มนิดๆ หน่อยๆ ออยด์คงไม่ว่าหรอกมั้ง“ ผมเข้าไปกระซิบอ้อนๆ ถามพี่เมตหน้าโหดแต่ใจดีของผม

“ก็ช่วยๆ กัน คนเดียวยกไม่ไหว มีเด็กโซนดีช่วยด้วย แต่ระวังเหอะ เคยได้ยินไหมที่เขาบอกว่าไอ้พวกแม่สื่อแม่ชักนี่แหละที่มักจะได้ชักเอง” พี่เมตผมลอยหน้าลอยตาพูดแหย่ผมยิ้มๆ พี่เมตผมแพ้คนขี้อ้อนน่ะครับ พอโดนอ้อนเข้าหน่อยๆ โมโหแค่ไหนก็อ่อนยวบ

“ไม่เคยได้ยินอะ แต่ถ้าช่วยสำเร็จจะได้ขึ้นสวรรค์ชั้นเจ็ด” ผมลอยหน้าลอยตาตอบบ้าง

คุยกันเสร็จผมก็ไม่ลืมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ให้พี่เมตผมฟัง พอเล่าจบแม่หมูก็ตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลพอดี ผมเลยจัดการแชร์ประสบการณ์ตื่นเต้นของผมต่ออีกรอบ หลังจากนอนเอาแรง อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย เราสามคนก็ออกไปหาอาหารมื้อเย็นรับประทานตามประสาพี่เมตน้องเมต พี่มีนบอกว่าวันนี้จะเป็นเจ้ามือเลี้ยง เนื่องในโอกาสที่ผมสามารถรอดจากการถูกตำรวจจับ ส่วนเมนูของผมวันนี้ตั้งใจว่าจะสั่งปลานิลอกแตกมากิน เพราะรู้สึกว่าเมนูนี้ช่างเหมาะกับสถานการณ์ของผมวันนี้เหลือเกิน

ร้านข้าวที่พวกผมออกไปกินเป็นร้านอาหารตามสั่ง ชื่อครัวบ้านแต้ อยู่หน้ามหาวิทยาลัย ร้านนี้ทำกับข้าวอร่อย แต่ต้องรีบไปแต่หัวค่ำ เพราะถ้าเลยช่วงหนึ่งทุ่มเป็นต้นไป คนจะแน่นมากแทบไม่มีโต๊ะว่างหลงเหลือ วันนี้พวกผมออกมาเร็วทำให้สามารถเลือกที่นั่งได้ตามใจ

ผมจะบอกความลับให้ฟัง สาเหตุอีกข้อที่พวกผมชอบมากินข้าวร้านนี้เพราะว่าเขามีดูดวงแถมจากเปลือกลูกอมฮาร์ทบีทซึ่งแม่หมูเธอชอบมาก ส่วนผมเฉยๆ นะครับ แต่ก็แกะอ่านทุกเม็ด

“พี่มีนนั่งโต๊ะหน้าสุดติดกับเคาน์เตอร์จ่ายตังค์เนอะจะได้หยิบฮาร์ทบีทได้สะดวกๆ” แม่หมูรีบจัดแจงเลือกที่นั่งให้พวกผม พอนั่งเสร็จเรียบร้อยผมก็รับหน้าที่เป็นคนจดรายการอาหาร อ้อ อีกอย่างหนึ่งร้านนี้เขาจะมีกระดาษวางไว้ที่โต๊ะเพื่อเขียนรายการอาหารที่ต้องการ เขียนเสร็จก็เดินไปส่งที่เคาน์เตอร์อีกที อ้าว! มันก็เหมือนที่ร้านอื่นๆ เขาทำกันไม่ใช่เหรอ ใช่ครับ เหมือนร้านอาหารทั่วไป

“แม่หมูเอาอะไร? อย่าสั่งอะไรยากนะ เกรงใจแม่ครัวเขา” ผมอดแหย่ไม่ได้ ก็เพื่อนตัวกลมผมเธอชอบสั่งเมนูพิสดาร

“วันนี้ขอเป็นเมนูธรรมดาก็ได้ เอาเป็น เอ่อ...ข้าวหมูบดชุดแป้งทอดผัดพริกเผาหมูกรอบผักรวมใส่เม็ดมะม่วงหิมพานต์บวกไข่เจียวใส่แค่ต้นหอม”

ผมว่าเพื่อนตัวกลมช่างมีไอเดียที่เจิดจรัสดีจริงๆ เธอช่างคิดสรรหาเมนูอาหารมาหย่อนลงกระเพาะ แต่ละมื้อแทบไม่ซ้ำกัน
“คิดได้ไง” พี่มีนถามขำๆ น้ำเสียงปนหมั่นไส้เจือความเกรงใจแม่ครัวนิดๆ

“ก็สั่งตามกระเพาะบอกนั่นแหละค่ะ มะนาวเขียนไปอย่าให้ตกหล่นนะ เดี๋ยวรสชาติเปลี่ยน” สั่งเมนูอาหารแบบนี้น่ากลัวตะหลิวของแม่ครัวจะลอยออกจากครัวปลิวเข้าหน้าสักวัน คิดดูเนื้อหมูก็ไม่ใช่เนื้อหมูแบบเป็นชิ้นธรรมดาเป็นเนื้อหมูบด บดหมูเสร็จต้องเอาไปชุบแป้งทอด ทอดเสร็จถึงเอามาผัดอีกรอบ เรียกว่าเมนูเดียว ต้ม ผัด แกง ทอด หอม อร่อย ครบทุกกรรมวิธีในจานเดียวเลย


“แล้วพี่มีนกินอะไร”

“ปลานิลนึ่งแจ่ว”

ส่วนเมนูของผมก็เป็นปลานิลอกแตกตามที่ตั้งใจเอาไว้แต่แรก เมนูนี้เป็นเมนูแนะนำของทางร้านนี้เลย ใครผ่านไปผมแนะนำให้สั่งมาทานกันดูนะครับ รับรองอร่อย ปลานิลตัวขนาดพอดีผ่าท้องเอาไปทอดจนกรอบแล้วพื้นที่ตรงกลางอกก็ราดด้วยยำทะเลโปะทับตัวปลาเอาไว้ ราคาก็ไม่แพงด้วยแค่สามสิบห้าบาท จดรายการอาหารเสร็จผมก็เดินไปส่งที่เคาน์เตอร์ กำลังลุ้นอยู่ว่าหลังจากแม่ครัวเห็นเมนูอาหารของเพื่อนตัวกลมผมแล้วจะแสดงสีหน้าอย่างไรออกมา พอแม่ครัวอ่านเมนูปุ๊บตาก็เหลือกทันทีพร้อมกับใช้ตะหลิวเคาะกระทะหนักๆ หนึ่งที

“อูยยยย ขนลุกล้าววว” ผมกับพี่เมตอุทานออกมาเบาๆ

ระหว่างรออาหารสบโอกาสดีผมเลยถามถึงเรื่องเมื่อคืนกับแม่หมู เราสามคนค่อนข้างสนิทกัน คุยกันได้แทบทุกเรื่องเหมือนคนที่มีลักษณะนิสัยคล้ายๆ กันมาอยู่รวมกัน เคมีฟิสิกส์ชีวะเลยเข้ากันได้อย่างลงตัว แม่หมูบอกว่าเมื่อคืนเธอหลับตลอดทางเหมือนกันตั้งแต่ขึ้นรถ ตื่นมาอีกทีก็เช้าแล้ว แถมตื่นสายอีก เมื่อเช้าเลยรีบมากจนลืมโทรศัพท์ไว้ที่ห้อง ผมตื่นมาเลยไม่เจอ ว่าไปผมก็ลืมเสียสนิท ปกติที่ประตูตู้เสื้อผ้าของพวกเราสามคนจะปรินต์ตารางเรียนเอาไว้จะได้รู้ว่าใครมีเรียนวันไหนบ้างเผื่อมีเรียนเช้าพร้อมกันจะได้จัดสรรเวลาในการใช้ห้องน้ำได้

ระหว่างที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ ผมมองเห็นผู้ชายรูปร่างสูงในชุดนักศึกษา ผิวขาวจัด สวมแว่นสายตา กำลังยืนสั่งข้าวอยู่กับเพื่อนอีกคนที่ร้านฝั่งตรงข้าม แปลก ทำไมรอบตัวผู้ชายคนนี้มีแสงสีฟ้าๆ แผ่เป็นรัศมีอยู่รอบตัว ดูดีชะมัด ใจผมสั่นแปลกๆ แต่เสียดายอยู่ไกลไปหน่อย มองไม่ชัด แต่รู้สึกหน้าคุ้นๆ เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน ถ้าเจออีกครั้งคิดว่าน่าจะนึกออก ใครกันนะ?

“มะนาว”

“มะนาว”

“มะนาวไปจ่ายตังค์”

“ครับ” พี่มีนยื่นมือมาแตะแขนผม ยื่นแบงก์ให้ไปจ่ายตังค์ ผมหันกลับไปร้านข้าวนั้นอีกรอบ เขาหายไปแล้ว ผมรู้สึกแปลกๆ กับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น แบบนี้เขาเรียกว่าอะไร?

“มะนาวอย่าลืมหยิบฮาร์ทบีทมาด้วยนะ” จ่ายตังค์ค่าข้าวเสร็จผมก็ไม่ลืมหยิบลูกอมฮาร์ทบีทสื่อรักมาให้เพื่อนเพื่อทำนายโชคชะตา เพราะตอนนี้เพื่อนของผมกำลังอยากดูดวงเรื่องเนื้อคู่มากสุดๆ เรามาให้ฮาร์ทบีททำนายกัน

“จะเจอเรื่องเนื้อคู่หรือเปล่าน้า” แม่หมูค่อยๆ แกะเปลือกลูกอมฮาร์ทบีทเสี่ยงทายด้วยสีหน้าจริงจังผมเห็นแล้วก็อดลุ้นแทนไม่ได้

“เขียนว่าไง”

“วิธีบอกรักที่ยี่สิบสี่ ฝากเพื่อนบอกรักวันละหน” แม่หมูค่อยๆ อ่านข้อความในเปลือกลูกอมก่อนจะพูดเสริมต่อว่า

“บาปบุญแม่นอะ รู้ได้ไงว่าตอนนี้ฉันกำลังมีความรัก ตรงมากกกก” แม่หมูค่อยๆ พับเปลือกลูกอมอย่างทะนุถนอม ก่อนจะเอาไปเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ เพ้อเสร็จก็หันมาถามข้อความในเปลือกลูกอมของผม

“มะนาวได้อะไร รีบแกะอ่านเร็วๆ อยากรู้ ” หลังจากแม่หมูเก็บเปลือกลูกอมเสร็จก็หันมาถามผม

“ยิปซีอัศวินดาบคู่ คุณกำลังจะมีลุ้นบางอย่าง จะออกหัวหรือก้อย ทำตัวน่ารักไว้แล้วจะดีเอง Don’t Worry Be happy” ผมอ่านข้อความในเปลือกลูกอม แล้วก็อ่านต่ออีกข้อความเพราะเมื่อกี้ผมกินไปสองเม็ด

“คุณจะมีปาร์ตี้สุดมัน สแตนด์บายได้เลย แต่อย่าสนุกสุดสวิงริงโก้ อีโต้ บั๊มพ์จนสติหลุดล่ะ”

“ทำไมยาวจัง” แม่หมูทำหน้าสงสัยเต็มที่

“ลูกอมสองเม็ดก็ต้องยาวเป็นธรรมดา” ผมตอบหน้าตาย

“เขาให้กินแค่เม็ดเดียวแล้วอ่านทำนาย ไม่งั้นมันจะไม่แม่น”

“ก็มันอร่อยอะ เม็ดเดียวไม่พอหรอก” ผมยิ้มทำหน้าทะเล้นใส่เพื่อน ตอนนี้ลูกอมฮาร์ทบีทกำลังแข่งกันละลายอยู่ในแก้มทั้งสองข้าง แล้วของพี่มีนล่ะ

“ของพี่มีนล่ะ ฮั่นแน่! เห็นนะว่ากำลังจะทิ้ง” ผมเห็นพี่มีนกำลังจะทิ้งเปลือกลูกอม

“ยิปซีอัศวินเหรียญ ลุ้นๆ เรียนหรืองาน เฮ้วๆ เย้วๆ ได้เลย เอ...ว่าแต่ว่าที่ทำต้องเต็มร้อยด้วยนะตัวเอง” พี่มีนอ่านข้อความก่อนจะทิ้งลงขยะ

เสร็จจากทานข้าวผมก็รบกวนพี่มีนให้ช่วยพาไปเอารถมอเตอร์ไซค์ที่จอดทิ้งเอาไว้หน้าร้านนมมาส่งซ่อมร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์ แถวหน้าม.มีร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์อยู่แค่ร้านเดียว

“รถมอไซค์เป็นไรน้อง” เจ้าของร้านละมือจากการซ่อมเครื่องมอเตอร์ไซค์ถามผม

“สตาร์ตไม่ติดอะพี่ คิวเยอะไหมครับ” ผมรีบแจ้งอาการมอเตอร์ไซค์

“ก็แน่นหน่อยหนึ่งแหละ เรารีบใช้เปล่าล่ะ? วันนี้ไม่ทันนะ ถ้าพรุ่งนี้ช่วงเย็นอะได้”

“ได้ครับพี่ งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมมาเอา”

ส่งมอเตอร์ไซค์ที่ร้านซ่อมเสร็จผมก็ซ้อนรถกลับหอ ระหว่างทางเพื่อนของพี่มีนก็โทรมาชวนไปกินเหล้า พี่มีนเลยขับมาส่งพวกผมไว้ที่หอก่อนแล้วค่อยขับกลับออกไปใหม่ เข้าห้องเสร็จก็ถึงเวลาปฏิบัติหน้าที่แม่สื่อของผมต่อ

“แม่หมู คนนี้เอาจริงแน่ใช่ไหม หรือจะตัดหัวเซ่นถวายอย่างเดียว” ผมหันไปแซว ก็คุณเธอชอบจัดลิสต์ท็อปชาร์ตรายชื่อผู้ชายเป็นอาทิตย์ว่าสัปดาห์นี้ใครอยู่อันดับหนึ่งสองสาม คล้ายการจัดอันดับชาร์ตเพลงของบิลบอร์ด คนไหนทำคะแนนดีก็เบียดอันดับขึ้นมาอยู่ต้นๆ เมื่อก่อนจัดสิบอันดับ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเจ็ดอันดับแทนเพราะแม่หมูบอกว่าสิบคนถ้าได้มาทั้งหมดจะจัดสรรเรื่องเวลาไม่ถูก ถ้าเจ็ดคนยังพอจัดเวรลงตัว จันทร์ถึงอาทิตย์ แต่ถ้าคนไหนกระตุกอารมณ์สุดๆ แม้ไม่มีการทำคะแนนอะไรเลยก็ตาม จะอยู่ในกลุ่ม 'ขึ้นหิ้ง' ซึ่งตอนนี้มีขึ้นหิ้งอยู่คนเดียว

“เอาจริงทุกคนค่ะ ไม่เคยคิดจะเอาแบบเล่นๆ และขอประทานโทษนะคะคุณ ช่วงนี้ไม่ใช่เทศกาลตรุษจีนและดิฉันไม่ใช่กระสือที่จะได้ถอดแค่หัวลอยไปไหนต่อไหน แต่ยังไงก็ดูๆ ไปก่อนเผื่อได้เผื่อโดน เขายอมออกมากินนมก็เริ่มมองเห็นทางสวรรค์แล้วนะ ตั้งสามแท่ง”

“ทัวร์ยกห้องเลย?”

“Correct!”

“ตอนเช้าไปเรียนทันไหม?”

“เกือบไม่ทันเหมือนกัน เส้นยาแดงผ่าแปด แต่ช่างมันเถอะผ่านไปแล้ว เอาเรื่องตรงหน้าดีกว่า” แม่หมูมองดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือแป๊บหนึ่ง ถึงหันมาสั่งผม “มะนาวถึงเวลาของกราฟแล้วละ โทรเลย เดี๋ยวเขารอสายนาน”

แม่หมูให้ผมโทรหากราฟเวลาสองทุ่มโดยประมาณของทุกวัน เพื่อนตัวกลมผมบอกว่าถ้าเราทำแบบนี้ไปนานๆ เขาจะเริ่มชินว่าช่วงเวลานี้จะต้องมีคนโทรเข้ามาคุยด้วย พอคุยด้วยทุกๆ วันก็จะกลายเป็นความเคยชิน แล้ววันไหนไม่ได้คุยก็จะรู้สึกแปลก และทฤษฎีนี้มีคนเคยพิสูจน์มาแล้วว่าได้ผลจริง

ตู๊ดด ตู๊ดดด ตู๊ดดดด สายไม่ว่าง
ตู๊ดด ตู๊ดดด ตู๊ดดดด สายไม่ว่าง

“แม่หมูวันนี้สายไม่ว่างเลย เอาไง โทรวันหลังละกันนะ วันนี้อยากอ่านการ์ตูนอะ” ผมรีบแจ้งข่าวกับเพื่อนสาวในระหว่างที่เธอกำลังง่วนอยู่กับการกินขนมเอแคลร์ที่ตั้งใจซื้อมาเพื่อเป็นค่าจ้างในการเป็นแม่สื่อของผม แต่เอาเข้าจริงๆ ผมก็ไม่ค่อยได้กินหรอก เธอกินเองจนหมดไม่เหลือมาถึงผมสักที

“ใจเย็นๆ พยายามโทรไปเรื่อยๆ เดี๋ยวเขาจะมาว่าเราขาดความมุมานะ”

ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด สายไม่ว่าง
ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด สายไม่ว่าง
ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด สายไม่ว่าง
ตื๊ดดด ตื๊ดดด ตื๊ดดด

“กราฟครับ” โล่ง ไม่ใช่พี่เมตรับสาย นอกจากลุ้นกับการโทรว่าจะติดหรือไม่ติด ผมยังต้องลุ้นว่าใครกันหนอจะเป็นคนรับสาย เรียกว่าลุ้นสองต่อ ดับเบิลลุ้นเลยชีวิตผมช่วงนี้

“กราฟเมื่อคืนขอบคุณนะ”

“ยินดี”

“ทำควิซได้ปะ”

“พอทำได้”

“วันหลังมาติวให้เราบ้างดิ ที่ห้องเราก็ได้ไม่ต้องเกรงใจ”

“พี่เมตนายโอเค?”

“พี่เมตเราใจดี ไม่ว่าหรอก ออยด์ก็อยากให้กราฟมา”

“เอาไว้ช่วงสอบเดี๋ยวไปติวให้”

“เออดีๆ ว่าไปกราฟคอแข็งเหมือนกันนะ”

“พี่จิ้นเทพกว่า”

“เมื่อคืนกราฟเมาปะ?”

“นิดหน่อย”

“ดีนะ ไม่ขับรถล้ม”

“เราขับรถเก่ง”

“วันหลังกราฟพาออยด์ไปเที่ยวสวนสัตว์เนอะ จะได้ขับรถไปกัน”

“...”

“เคยไปปะ ขับรถมอไซค์ไปแป๊บเดียวเอง ไม่เคยไปอะดิ มีสัตว์แปลกๆ เยอะเลยนะ”

“แต่หมีแพนด้าไม่มี”

“เกี่ยวไรกับหมีแพนด้า ถึงหมีแพนด้าไม่มี แต่มีตัวอื่นน่ารักกว่าหมีแพนด้าอีก เคยเห็นลิงจั๊กๆ ปะล่ะ”

“...” ไม่เวิร์กเอาใหม่

“ควายถึงงิดล่ะ รู้จักเปล่า”

“...” แป้ก เอาใหม่

“แล้ว ช้างเธอมอบล่ะ”

“ชอบเธอมั้ง”

“ฮ่าๆๆ ต้องแบบนี้สิ โด่ววว นึกว่าจะปล่อยให้มุกแป้ก”

“กราฟเป็นคนจังหวัดอะไร”

“เชียงใหม่”

“แล้วมีพี่น้องปะ”

“มีพี่ชายสองคน”

“ตอนแรกเราคิดว่ากราฟอะเรียนหมอ” ไม่ใช่แค่ผมหรอกที่คิด ใครเห็นบุคลิกกราฟก็คิดแบบนี้ทั้งนั้น

“พ่อกับแม่เป็นหมอแล้ว” มิน่าล่ะ ถึงบุคลิกเหมือนหมอเปี๊ยบ ติดมาจากบ้านนี่เอง

อ๊ะ! แม่หมูหยิกแขนผม ทำปากบ่นขมุบขยิบ พยายามพูดอะไรสักอย่างบอกผม แต่ผมไม่เข้าใจ อะไร ไม่รู้เรื่อง ผมพยายามทำปากบอก กลัวเสียงเข้าไปในโทรศัพท์ พอแม่หมูรู้ว่าผมไม่เข้าใจสารที่เธอพยายามส่งมาถึงผม คุณเพื่อนตัวกลมผมก็รีบเขียนใส่กระดาษเอสี่อธิบายสารที่พยายามบอก

บอก... รัก... ด้วย

หา! อ้อ ลืมไปเลย ขอคิดมุกแป๊บ อยู่ดีๆ จะให้เพื่อนบอกรักผู้ชายเพราะคำทำนายจากเปลือกลูกอม แน่ะ! ยังมาทำตาเขียวใส่ผมอีก ผมคิดมุกไม่ทันแฮะ บอกโต้งๆ ไปเลยละกัน

“เอ่อ...กราฟ...มีคนแถวนี้ฝาก...ความรัก...มาให้น่ะ” ผมพูดเองก็เขินเอง ไม่รู้ปลายทางจะรู้สึกยังไง แต่อาการเขินของผมตอนนี้อยู่สุดปลายนิ้วเท้าเลยครับ “ตั้งใจฟังดีๆ นะ ...รักกราฟนะ”

“ครับ” กราฟตอบรับสั้นๆ เสียงสุภาพมากครับ ไอ้กราฟเอ๊ย! หัดปฏิเสธบ้างอะไรบ้างดิ ไม่รักไม่ชอบเขาอย่าให้ความหวังดิวะ เป็นอันว่าวันนี้จบการสนทนากันแค่นั้น ผมก็วางสาย เพราะไม่รู้จะคุยอะไรต่อแล้ว

“วันหลังเดี๋ยวโทรมาคุยเล่นใหม่ แค่นี้แหละ”

วันนี้ผมเลิกคลาสสี่โมงเย็น กำลังคิดว่าจะเดินไปนั่งรถเมล์มหาลัยออกไปเอารถมอเตอร์ไซค์ที่ร้านซ่อม ผมเดินออกไปรอรถเมล์ป้ายหน้าตึกห้องบรรณสาร รถเมล์มหาวิทยาลัยผมจะมีอยู่ด้วยกันห้าสายคือ รถเมล์ของบุคลากรสายนี้จะวิ่งไปหอพักบุคลากรของมหาวิทยาลัย รถเมล์หอพักชาย รถเมล์หอพักหญิง และรถเมล์เข้าในเมืองมีสองสาย สายแรกไปสถานีขนส่งใหม่ ผ่านเดอะมอลล์ ส่วนอีกสายไปสถานีรถไฟ ผ่านคลังพลาซ่า ตลาดไนท์โคราช

ลักษณะของรถเมล์ที่วิ่งในมหาวิทยาลัยจะเหมือนกันทุกคันคือสีส้มแสด ต้องสังเกตป้ายหน้ากระจกที่แปะเอาไว้ว่าคันนี้จะไปสายไหน มีบางคันเท่านั้นที่จะวิ่งออกไปส่งนักศึกษาที่หน้ามหาวิทยาลัย ถ้าใครรอขึ้นสายนี้อาจเสียเวลารอนานหน่อย เพราะนานๆ ครั้งถึงจะวิ่งสักที แต่ผมคงไม่รอเพราะกลัวเสียเวลา

ตอนนี้ท้องฟ้าดูครึ้มๆ เทาๆ ไม่รู้ว่ากำลังจะมืดหรือฝนจะตกกันแน่ ผมเลยตัดสินใจนั่งรถเมล์หอชายสายปกติไปลงป้ายรถเมล์หน้าอาคารบริหารหรือนักศึกษามักเรียกติดปากว่าอาคารซี ต่อจากนั้นค่อยเดินออกไปหน้ามหาลัย ถึงระยะทางจะไม่ไกลมากแต่ก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกันเพราะถนนเป็นเนิน ลงรถเมล์เสร็จผมก็ตั้งหน้าตั้งตารีบเดิน ลมเย็นๆ เริ่มพัดมาส่อเค้าเหมือนฝนจะตก ผมรีบสาวเท้าเดินให้เร็วขึ้น ฝนเริ่มลงเม็ด ดูท่าว่าจะตกหนักซะด้วย แล้วฝนก็ลงเม็ดหนักขึ้น ผมเลยรีบวิ่งเข้าไปหลบในป้อมยามตรวจคนเข้าออกบริเวณหน้ามหาวิทยาลัย

“ลุงผมขอหลบฝนหน่อยนะครับ” ฝนตกหนัก ลมพัดแรงชะมัด ถึงแม้ว่าผมจะรีบวิ่งมาเร็วแค่ไหนแต่ก็เร็วไม่เท่าเม็ดฝนที่หล่นลงมาจากฟ้า เสื้อนักศึกษาสีขาวเปียกลู่เข้าแนบลำตัว ดีหน่อยที่กางเกงเปียกแค่ช่วงน่องไม่ลามเข้ามาถึงปราการชั้นในตัวจิ๋ว
“เอาเลยหนุ่ม หน้าฝนก็แบบนี้แหละ นึกอยากจะตกตอนไหนก็ตก วันนี้สงสัยจะตกหนักด้วยสิ”

ฝนตกหนัก ลมพัดแรงมาก มองออกไปจากป้อมยามแทบมองไม่เห็นถนน ผมอยู่ในป้อมยามได้ไม่นานก็มีรถเวสป้าสีเขียวมะนาวขับเข้ามาจอดหลบฝน คนขับเป็นผู้ชายรูปร่างสูง ผิวเข้ม ใส่แว่นสายตากรอบใหญ่ เนื้อตัวเปียกปอนไปด้วยน้ำฝน สงสัยขับรถต่อไม่ไหว ฝนตกหนักลมแรงแถมยังลงเม็ดใหญ่ขนาดนี้คงเจ็บหน้าน่าดูถ้ายังฝืนขับต่อ เสื้อนักศึกษาสีขาวบางเปียกลู่แนบเข้ากับลำตัว ทำให้เห็นโครงร่างนักศึกษาชายตัวหนาคนนี้อย่างชัดเจน กล้ามเนื้อแข็งบริเวณหน้าท้องเรียงตัวเป็นลูกๆ อย่างเป็นระเบียบ เอวสอบตึงเปรี๊ยะแทบไม่มีไขมันส่วนเกินแม้แต่น้อย ผมรู้สึกใจเต้นตึกๆ ผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามาใกล้เขาเรื่อยๆ

“หุ่นดีสลัด” ผมพูดเพ้อๆ ขณะกำลังตกตะลึงรูปร่างชายแปลกหน้า

“มึงขยับไปดิ ให้คนอื่นเขานั่งบ้าง” นักศึกษาชายคนนั้นเดินเข้ามาหยุดยืนใกล้ๆ คงเห็นว่ามีเก้าอี้ว่างถัดจากมะนาวอยู่หนึ่งตัว ผมละสายตาจากรูปร่างนักศึกษาชายตรงหน้า ขยับก้นไปนั่งเก้าอี้ตัวนั้นทันที

“ไง เปียกเป็นหมาตกน้ำเลยนะ” ผมรู้สึกคุ้นหน้านักศึกษาคนนี้เป็นพิเศษ น้ำเสียงยิ่งคุ้น ยิ่งบทสนทนายิ่งฟังคุ้นหูไปกันใหญ่ แต่ตอนนี้ผมขอแก้ต่างให้ตัวเองก่อนนะครับ

“พี่เติม ‘ลูก’ นำหน้า หมา จะฟังดูดีกว่านะครับ”

“เป็นหมาแหละดีแล้ว จะได้ไม่ต้องพรากผู้เยาว์”

พูดเสร็จนักศึกษาหนุ่มหุ่นโคตรดีก็ถอดแว่นหนาเตอะที่เต็มไปด้วยน้ำฝนออกพร้อมกับสะบัดผมไล่น้ำจากศีรษะเล็กน้อย พระเจ้าช่วยกล้วยปิ้งบิงชูผมรู้แล้วหนุ่มปริศนาคนนี้เป็นใคร

“ไอ้พะ...พี่เข้ม”

“มึงว่าอะไรนะ?”

“พะ...พี่โอม หวัดดีครับ”

“เออ แล้วมึงเป็นอะไร ทำหน้าเหมือนคนเห็นผี อย่าบอกนะว่ามึงจำกูไม่ได้ทั้งที่เพิ่งคุยกับกูไปนานสองนานเนี่ยนะ”

“ก็พี่ใส่แว่น”

“ถุย! กูสายตาสั้นก็ต้องใส่แว่นสิครับ”

“...” ใครจะคิดว่าแค่ใส่แว่นหน้าจะเปลี่ยนไปขนาดนี้ พี่เข้มดูสุภาพขึ้นเป็นกอง ทำไมตอนไปร้านนมไม่ใส่ แต่วันนี้ใส่ชุดนักศึกษา สงสัยคงใส่เฉพาะตอนเรียน

“หนาวละสิมึง หัวนมตั้งซะแหลมเปี๊ยบ”

“อ๊ะ!” ผมรีบก้มดูหน้าอกตัวเอง ตั้งจริงๆ ด้วย ก็มันหนาวอะ ผมรีบดึงเสื้อนักศึกษาออกมาจากอก รู้สึกร้อนที่หน้านิดๆ

“นมชมพูซะด้วย” พูดเสร็จพี่โอมก็เดินออกไปเปิดเบาะรถเวสป้าสีเขียวมะนาวขึ้นมาพร้อมหยิบเสื้อคลุมสาขาของพี่แกออกมาจากช่องเก็บของใต้เบาะแล้วก็เดินกลับมา แล้วพี่โอมก็สวมเสื้อคลุมเอง อ้าว นึกว่าจะเอามาให้ผมไม่เห็นเหมือนในการ์ตูนเลย มันควรจะเอามาให้ผมใส่ไม่ใช่เหรอ ถ้าเป็นสถานการณ์นี้ ผมเป็นรุ่นน้องนะ รุ่นพี่ที่ดีต้องเสียสละสิ ถึงจะถูก ผมหันหน้าไปอีกทาง รู้สึกผิดหวังนิดหน่อย แค่แป๊บเดียวผมก็รู้สึกว่ามีผ้ามาคลุมที่หัว

“ใส่ซะ อย่าเที่ยวไปเดินตากฝนอีกล่ะ เดี๋ยวฟ้าผ่า” พี่โอมถอดเสื้อคลุมออกมาให้ผม สงสัยไอ้พี่เข้มโอมได้ยินผมบ่นประชดในใจ

“ไม่เป็นไรครับ” ผมยื่นเสื้อส่งคืนให้พี่เข้ม แต่พี่เข้มไม่รับ

“ใส่ไปน่า อย่าเรื่องมาก”

“พี่ตัวเปียกกว่าผม”

“เอ๊ะ ไอ้นี่ รีบๆ ใส่ อย่าให้ต้องบังคับ อยากเป็นนางเอกพิศาลหรือไง?”

“ไม่ครับ” ผมหยิบเสื้อจากพี่โอมแล้วรีบใส่อย่างรวดเร็ว ใครจะอยากเป็นนางเอกของพิศาล ถึงผมจะเป็นคนรุ่นใหม่แต่ผมรู้เคยได้ยินมา แหม นางเอกละครแนวตบจูบ ส่วนประเด็นที่ใครตบแล้วใครเป็นคนจูบไม่แน่ใจ ขอเดาว่าพระเอกตบนางเอกก่อนแล้วค่อยจูบ ชัวร์!! น่ากลัวนะครับ มีอย่างที่ไหนให้พระเอกตบนางเอกก่อนแล้วค่อยจูบตาม แค่คิดตามก็สยองแล้ว กว่าจะได้จูบมีหวังถูกตบปากบวมหมด กรณีไอ้พี่เข้มโอมผมว่าคงตบผมจนสลบแต่ไม่จูบ หลอกตบผมฟรีๆ

“นี่มึงกำลังจะไปไหน”

“ผมจะไปเอารถมอเตอร์ไซค์ครับ แต่ฝนตกก่อน”

“ใครอนุญาตให้พูดผม พูดใหม่”

“ผะ...เอ่อ มะ...มะนาวกำลังจะไปเอารถมอเตอร์ไซค์”

“ก็แค่นี้ ไปขโมยรถใครมาอีกล่ะ”

“รถเสีย เอาไปซ่อมไว้”

“รถเป็นอะไร”

“สตาร์ตไม่ติด”

“อ่อ” พี่โอมทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้

“เออ ฝนหยุดเดี๋ยวกูไปส่ง”

“ไม่เป็นไรพี่ แค่นี้เองเดินไปเองได้”

“กู จะ ไป ส่ง”

“...! ครับ”

“เออ กูลองไปถามมา สภาพแบบมึงไม่น่าเรียกตุ๊ด น่าจะเป็นเก้งหรือกวาง”

“...”

“ถึงไม่ได้เป็นตุ๊ด ก็ไม่อนุญาตให้แทนชื่อว่าผม”

“...” ผมไม่รู้จะพูดอะไรเลยจริงๆ พี่เข้มคนนี้ช่างชอบมีอะไรให้ผมประหลาดใจอยู่เรื่อยๆ
สักพักฝนก็เริ่มซา พี่โอมก็ขับรถไปส่งผมที่ร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์

“ร้านนี้ใช่ไหม”

“ขอบคุณครับ”

“กูไปละ”

แล้วพี่โอมก็ขับรถออกไป ทิ้งเสื้อคลุมไว้กับผม

“พี่ครับ รถมอเตอร์ไซค์ผมซ่อมเสร็จยัง”

“ไม่ได้ซ่อมเลยน้อง”

“อ้าว แล้วจะได้วันไหนอะพี่”

“เอากลับไปได้เลย”

“ยังไงอะพี่ ไหนบอกว่ายังไม่ได้ซ่อม”

“รถเราน่ะมันไม่ได้เป็นอะไร เลยไม่ต้องซ่อม แค่ที่ครอบหัวเทียนมันหลุด เลยสตาร์ตไม่ติด เราคงโดนเพื่อนแกล้งมาแล้วละมั้ง”
ใครมือบอน น่าจับมาตีมือจริงๆ เสียเวลาชะมัดเลย แถมยังต้องเปียกฝนอีก

ออฟไลน์ ryoushena

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-2
THE CALL - เมื่อผมเป็นพ่อสื่อให้คางคก

The Call Chapter 9: หัวใจผมเต้นดุกดิก

“มัวร์!!” แม่หมูดึงตัวผมเข้าไปกอดประหนึ่งกำลังอยู่ในห้วงอารมณ์ลาบรรดาแฟนคลับที่แห่กันมาแน่นสถานีขนส่งเพื่อส่งตัวเธอไปเก็บตัวนางงามจักรวาลก็ไม่ปาน

“รีบๆ ขึ้นรถเลย เดี๋ยวไม่ทันคนอื่น” ผมบุ้ยปากส่งสัญญาณบอกให้เพื่อนขึ้นรถไปได้แล้ว

“ขากลับจะซื้อขนมมาฝากนะจ๊ะ จุ๊บๆ ” แม่หมูตัวกลมส่งยิ้มหวานโปรยเสน่ห์ให้ผม พร้อมกับก้าวขาเดินขึ้นรถเมล์ไป

“ดีมาก ถึงบ้านแล้วส่งข้อความมาบอกด้วย” ผมกำชับเพื่อนตัวกลมของผมก่อนจะหันไปคุยกับพี่เมต “ไม่ลืมอะไรนะพี่มีน ถ้าจะลืมอะไร มะนาวอนุญาตให้ลืมแค่ตังค์เอาไว้ได้ อย่างอื่นไม่อนุญาต”

“ไม่มีทางลืมเด็ดขาด” พี่มีนตอบผมยิ้มๆ ผมว่าพี่แกคงเอือมผมบ้างแหละ ฮ่าๆๆ

“กลับบ้านกันดีๆ นะครับ” ผมยกมือสวัสดีพี่เมตผมเสร็จก็โบกมือให้เพื่อน ในมหาวิทยาลัยของผมจะมีสถานีขนส่งเล็กๆ เอาไว้บริการนักศึกษา แต่จะมีรถเมล์แค่สามสายเท่านั้นที่วิ่งในมหาวิทยาลัย ส่วนอีกสองสายวิ่งเข้าเมือง คือรถเมล์คันสีม่วงสายนี้จะวิ่งเส้นเข้าเมืองผ่านเดอะมอลล์โคราชไปสถานีขนส่งใหม่ ส่วนอีกสายเป็นรถเมล์คันสีเหลืองสายนี้จะวิ่งผ่านสถานีรถไฟเข้าไปในเมืองจนถึงตลาดไนท์บาซาร์โคราช เด็กนักศึกษาแทบแย่งกันขึ้นเพราะรถมีไม่กี่คัน ครึ่งชั่วโมงถึงออกที ตอนนี้สถานีขนส่งเล็กๆ ดูแน่นไปถนัดตา เพราะนักศึกษาออกมากระจุกตัวรอรถเยอะยังกับฝูงผึ้งรุมทึ้งน้ำหวาน

สัปดาห์นี้มหาวิทยาลัยผมหยุดสามวันเพราะวันศุกร์ตรงกับวันหยุดนักขัตฤกษ์ เด็กนักศึกษาจึงอาศัยช่วงวันหยุดยาวกลับบ้านเกิดกันเป็นส่วนใหญ่ ทำให้บรรยากาศหอพักค่อนข้างเงียบ จนบางทีในความเงียบนั้นก็ดูวังเวงจนน่ากลัว แต่สำหรับผมนายมะนาวค่อนข้างชอบบรรยากาศแบบนี้เป็นที่สุด นอกจากได้หยุดยาวไม่ต้องตื่นเช้าไปเรียนแล้ว ยังมีเวลาเหลือเฟือสำหรับการอ่านหนังสือการ์ตูนวาย หยุดสามวันนี้ผมกะว่าจะสร้างสถิติใหม่ ทำลายสถิติการอ่านการ์ตูนครั้งที่แล้วที่ผมเคยทำสถิติเอาไว้สี่สิบห้าเล่ม

มหาวิทยาลัยของผมหนึ่งภาคการศึกษาจะมีทั้งหมดสามเทอม ทำให้การเรียนการสอนค่อนข้างไปไว ลามไปถึงการปิดเทอมด้วย ผมเลยเลือกที่จะกลับบ้านเฉพาะช่วงปิดเทอมเท่านั้น เพราะขี้เกียจนั่งรถนานๆ มันปวดตูด ตัวผมเองก็ไม่ค่อยถูกโรคกับการนั่งรถด้วยแหละครับ ตอนเด็กผมเมารถบ่อยๆ พอโตถึงดีขึ้น แต่ผมก็ไม่ชอบการนั่งรถอยู่ดี เพราะถึงแม้จะไม่อาการแย่ขั้นเมารถจนอ้วกแต่ก็รู้สึกอึนทุกครั้งในการนั่งรถ

สำหรับการปิดเทอมระหว่างภาคการศึกษาจะหยุดให้นักศึกษาพักประมาณสองสัปดาห์เท่านั้น ยกเว้นปิดเทอมใหญ่หรือปิดเทอมเปลี่ยนปีการศึกษาใหม่ถึงจะปิดเทอมนานประมาณหนึ่งเดือนกว่าๆ ซึ่งถ้าเทียบกับมหาวิทยาลัยอื่นๆ วันหยุดของพวกผมจึงน้อยกว่ามาก เปิดเทอมมาไม่กี่สัปดาห์ก็ต้องอ่านหนังสือสอบกลางภาคแล้ว เผลอแป๊บเดียวก็สอบปลายภาค

ตอนนี้ผมกำลังขับรถมอเตอร์ไซค์ออกมาจากหอพัก ตรงดิ่งไปยังร้านเช่าการ์ตูน นอกจากหอในมหาวิทยาลัยแล้วบรรยากาศด้านนอกมหาวิทยาลัยก็เงียบเหมือนกัน ต่างกับช่วงเวลาปกติที่มักจะดูคึกคักเสมอ ขับรถกินลมเพลินๆ รถผมก็มาจอดหน้าร้านเช่าการ์ตูนเรียบร้อย

“ดีพี่จ๋า วันนี้มีการ์ตูนเรื่องใหม่มาบ้างปะ” จอดรถเสร็จผมก็เดินตรงเข้าร้านเช่าการ์ตูนทันที แต่ก็ไม่ลืมทักทายเจ้าของร้านเสียหน่อย อย่างว่าผมเป็นลูกค้าระดับพารากอน

“ล็อตนี้มีเข้ามาหลายเล่ม มะนาวลองเข้าไปเลือกดูนะ แต่ละเรื่องที่พี่คัดสรรมา รับรองฟินทุกเรื่อง” แน่ะ! รู้จักฟินนะพี่จ๋า พี่จ๋าเจ้าของร้านเช่าการ์ตูนเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ท่าทางใจดี คุยสนุกและที่สำคัญเป็นสาววาย

“ไม่ฟินไม่คิดตังค์ใช่ไหม?” ผมแกล้งถาม

“ขอร้อง อย่าเนียน” พี่จ๋าทำหน้าเอือมระอาแซวผม ปกติเวลาผมมาร้านนี้ก็แซวแกล้งเล่นกันแบบนี้ประจำ ผมยืนคุยเล่นอยู่กับพี่จ๋าแป๊บหนึ่ง พอดีมีคนมาคืนหนังสือ ผมเลยขอตัวไปหาการ์ตูนอ่าน “ขอตัวก่อนนะพี่จ๋า เดี๋ยวเสียเวลาฟิน” ผมเดินตรงดิ่งไปยังชั้นวางการ์ตูนวายเป้าหมายที่ผมต้องพุ่งชนสำหรับวันนี้

ร้านเช่าการ์ตูนร้านนี้ผมมาเช่าเป็นประจำ เป็นร้านขนาดใหญ่ประมาณสองคูหา ทำให้มีการ์ตูนเยอะกว่าร้านอื่นๆ ที่นี่เป็นเหมือนสวรรค์สำหรับผม การ์ตูนวายเยอะมาก อย่างว่าก็เจ้าของร้านเป็นแฟนพันธุ์แท้ขนาดนั้น คิดดูผมนี่ผมเช่าไปอ่านเยอะแล้วนะ แต่ยังไม่ถึงครึ่งของการ์ตูนวายทั้งหมดของร้านที่มีอยู่เลย ร้านนี้ไม่ได้มีแค่การ์ตูนให้เช่าหรอกนะครับ ยังมีหนังสือประเภทอื่นด้วยเหมือนกัน ก็เหมือนกับร้านเช่าหนังสือทั่วไปนั่นแหละ นอกจากการ์ตูนแล้วก็มีนิตยสาร หนังสือแปล นิยาย ฯลฯ ที่นี่เลยเป็นเหมือนศูนย์รวมของเหล่านักอ่าน

แล้วร้านนี้ก็ชอบมีโปรโมชันพิเศษเอาไว้ล่อให้ลูกค้าเช่าหนังสือเพิ่มขึ้น เช่นถ้าเช่าการ์ตูนครบห้าเล่มจะได้ฟรีอีกหนึ่งเล่ม ผมเลยชอบเช่าทีละหลายๆ เล่ม เพราะจะได้อ่านเล่มแถมเยอะๆ การ์ตูนที่ผมเช่าบางทีก็เป็นหนังสือการ์ตูนเล่มเก่าผสมเรื่องใหม่ บางทีก็เล่มเก่าหมดเลย เพราะอย่างที่บอกว่าผมเพิ่งรู้ว่ามีการ์ตูนผู้ชายกับผู้ชายอยู่บนโลกใบนี้ด้วย แต้มบุญในการอ่านจึงน้อยกว่าคนอื่น ผมยืนเลือกอยู่นานจนได้จำนวนที่พอใจ ก็รีบหอบหนังสือการ์ตูนกองโตเพื่อไปจ่ายเงิน

“โอ๊ะ!” ผมรีบเสียจนไม่ทันสังเกตคนที่เดินออกมาจากอีกมุมของร้านเช่าหนังสือ ดีนะการ์ตูนไม่หล่น แต่หนังสือคนที่ผมเดินชนหล่นลงมาบนพื้นอยู่ใกล้ๆ กับปลายเท้าผม จะก้มเก็บให้ก็มือไม่ว่าง

“...”

“ขอโทษครับ” ผมรีบพูดขอโทษออกไป แต่ยังไม่ได้มองหน้าคนที่ผมเดินชน เพราะผมกำลังสนใจหนังสือนิยายที่หล่นอยู่ปลายเท้าผม ชื่อเรื่องอะไรน่ะ? เงารักจ้าวอสูร ใครกันนะอ่านนิยายเล่มหนาขนาดนี้ โชคดีที่ไม่หล่นใส่เท้าผม ถ้าหล่นทับเล็บเท้ามีสิทธิ์หลุดแน่ ว่าแล้วผมก็ค่อยๆ ไล่มองคู่กรณีที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า เขายืนอยู่แต่ไม่พูดอะไร ใส่รองเท้า vans old skool สีดำ มีรอยสักที่น่องขาซ้ายด้วย ขาเรียวนะ ไม่น่าใช่ผู้หญิง? แต่ขาเนียน ผิวขาวมาก ใส่กางเกงยีนส์ขาตัดแค่เข่าสีดำ เสื้อยืดสีเทา ลายเสื้อเจ๋งอะ ผมค่อยๆ ไล่มองขึ้นเรื่อยๆ ต้นแขนขวามีลายสักและใส่หมวกด้วย ผมรู้แล้วละว่าคนนี้คือใคร

ผมมองหน้าพี่จิ้นสลับกับหนังสือนิยายเล่มหนาที่กองอยู่บนพื้น โคตรของโคตรไม่เข้ากัน หน้าอย่างเลวอ่านนิยายรัก พี่จิ้นยิ้มให้ผมแวบหนึ่งแล้วถึงก้มหยิบหนังสือนิยายบนพื้นขึ้นมา

“หอบหนังสืออะไร? ขนมาเหมือนจะเอาไปอ่านสอบ” พี่จิ้นถามผม แต่ตอนนี้ผมหนักมากครับพี่อย่าเพิ่งชวนผมคุย

“การ์ตูนวาย” ผมเบี่ยงตัวเดินจะเอาหนังสือไปจ่ายเงิน

“การ์ตูนอะไรนะ” พี่จิ้นถามผมต่อระหว่างเดินออกมาจากมุมของร้านเช่าหนังสือ

“การ์ตูนวายครับ” แก่แล้วหูเริ่มตึงหรือไงครับ?

“ได้ยินแล้วว่าการ์ตูนวาย แต่ที่ถามซ้ำ อยากรู้ว่ามันหมายความว่ายังไง?” ผมลืมไป ใช่ว่าทุกคนจะรู้จักการ์ตูนวาย ผมเองยังเพิ่งมารู้จักตอนเข้ามาเรียนที่นี่เลยนี่นา แต่จะตอบว่ายังไงดีล่ะ การ์ตูนผู้ชายxผู้ชาย คำว่า x พี่จิ้นอาจไม่เข้าใจอีก เอ หรือจะตอบการ์ตูนผู้ชายรักกันก็ไม่ครอบคลุม มันมีโกรธ งอน ง้อ กันด้วยอะ

“การ์ตูนที่ผู้ชายกับผู้ชายมีกิจกรรมร่วมกัน”

“ขอดูหน่อย” พี่จิ้นหยิบการ์ตูนที่ผมหอบออกไปดูหนึ่งเล่ม แล้วก็เริ่มไล่เปิดดูทีละหน้า เปิดพลิกหน้าไปมา แล้วพี่จิ้นก็หยุด ตาเขม็งจ้องดูเนื้อหาในการ์ตูน แล้วหันหน้าขึ้นมาจ้องมองหน้าผม

“นี่มันการ์ตูน...โป๊?” พี่จิ้นอุทาน ตาตี่โตขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับยื่นภาพในหน้าหนังสือการ์ตูนที่เพิ่งเปิดเจอมาให้ผมดู

“...” ฉาก NC 3P นายเอกในสภาพช่วงล่างเปลือยเปล่าด้านบนสวมแค่เพียงเสื้อ นอนคว่ำชั่นเข่าอยู่กึ่งกลางระหว่างชายหนุ่มสองคน ด้านบนของเขามีชายหนุ่มรูปร่างใหญ่ตัวหนาผิวสีเข้มใส่เสื้อบาสนอนคร่อมทับอยู่ กางเกงของเขาร่นกองที่สะโพก ส่วนด้านล่างของนายเอกกำลังถูกเสียดสีกับชายหนุ่มผิวขาวอีกคนที่นอนอยู่ และมีบทสนทนาเป็นคำอธิบายเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นสั้นๆ ตัวใหญ่ๆ ว่า “อ๊ะๆ”

“...” ผมรู้สึกร้อนที่หน้าวูบๆ

“ทะลึ่งนะเรา” พี่จิ้นมองผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ ยิ้มมุมปากนิดๆ

“...” หลักฐานมัดตัว สถานการณ์นี้ผมว่าเงียบคือคำตอบสุดท้าย

“พี่จ๋าคิดตังค์ด้วย” ผมรีบเดินไปจ่ายเงินค่าเช่าการ์ตูน จ่ายเงินเสร็จก็รีบเดินออกมาจากร้านทันที แต่ยังไม่ทันถึงรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดเอาไว้ก็มีมือปริศนาดึงแขนผมเอาไว้

“รีบไปไหน ลุกลี้ลุกลนทำเหมือนคนมีความผิดนะเรา กินข้าวยัง”

“ยังครับ”

“งั้นไปกินข้าวกันปะ เดี๋ยวพี่เลี้ยง”

พี่จิ้นพูดจบก็ลากตัวผมเข้าร้านก๋วยเตี๋ยวเป็ดที่อยู่ข้างๆ ร้านเช่าการ์ตูนเฉยเลยอะ

“เอาเส้นอะไร?”

“บะหมี่ครับ”

“ป้าบะหมี่สองที่ครับ” พี่จิ้นก็ตะโกนสั่งป้าร้านก๋วยเตี๋ยวที่กำลังลวกเส้นอยู่ ป้ายิ้มรับ พร้อมกับถามว่า วันนี้ไม่สั่งพิเศษเหรอ พี่จิ้นเลยตอบกลับไปว่า งั้นเอาพิเศษสองที่ครับ

“ทำไมไม่กลับบ้านล่ะ”

“ขี้เกียจนั่งรถ ค่อยกลับปิดเทอมทีเดียวครับ”

“เพื่อนกลับบ้านหมด?”

“ครับ”

“ป้าเอาบะหมี่ชามนึง ไอ้พี่จิ้นกินไม่รอเลยนะ” จู่ๆ พี่โอมก็เดินเข้ามาในร้าน สงสัยคงออกมาด้วยกัน พี่โอมอยู่ในสภาพเสื้อยืดสีขาวกางเกงขาสั้นรองเท้าแตะแต่ทำไมสภาพนี้ไอ้พี่เข้มก็ยังดูดี

“ไงมึง ไม่กลับบ้าน?” พี่โอมหันมาถามผมแล้วหันไปถามพี่จิ้นต่อ “ไปเก็บตัวนี้ได้มาจากไหน?”

“เห็นยืนเช่าการ์ตูนโป๊อยู่เลยเรียกมาด้วย” พี่จิ้นตอบแบบขำๆ

“แก่แดดนะมึง” พี่โอมหันมาทางผม พร้อมส่งสายตาล้อเลียนนิดๆ แบบแกล้งๆ

“การ์ตูนวายไม่ใช่การ์ตูนโป๊” ผมพยายามแก้ต่างให้ตัวเอง ผมจะไม่ยอมตกเป็นจำเลยของคนโลกแคบ

“ไหนขอดูหน่อยดิ๊ คราวหลังจะได้ไปเช่ามาดูบ้าง” พี่โอมเอื้อมมือมาหยิบการ์ตูนจากถุง แต่ยังไม่ทันได้หยิบเพื่อนพี่โอมก็เดินเข้ามาในร้านซะก่อน

“ไอ้ประธานหวย มึงไม่กลับบ้านเหรอ” ผมว่าพี่โอมเนี่ยเข้าใจเลือกคบเพื่อน แต่ละคนดูดิบและเถื่อนมาก

“กูทำงานไม่เสร็จ”

“พี่จิ้นหวัดดีครับ” พี่จิ้นพยักหน้ารับไหว้ แล้วพี่เขาก็เดินมานั่งรวมกับโต๊ะผม แล้วพี่โอมก็หันไปคุยกับเพื่อนเขา ส่วนผมก็นั่งมองคนโน้นทีคนนี้ทีระหว่างรอบะหมี่ จะว่าไปผมก็เริ่มชักหิวขึ้นมานิดๆ ไม่รู้คนอื่นเป็นเหมือนผมไหม ถึงเราจะไม่ได้รู้สึกหิวเท่าไหร่ แต่ถ้าได้มานั่งรออาหาร น้ำย่อยจะเริ่มทำงานทันที

“มึงไปไหนมา?”

“ออกมากินข้าว ตอนนี้กูหิวเหี้ยๆ เห็นมึงนั่งอยู่เลยเข้ามาทักก่อน นี่ใคร? ท่านประธาน” บทสนทนาระหว่างเพื่อนฟังดูสนิทใจกันมากครับ เพื่อนพี่โอมหันหน้ามามองผม ตอนนี้ผมเริ่มทำตัวไม่ถูก เพราะจริงๆ แล้วผมเองก็ไม่ได้สนิทกับพี่สองคนนี้

“เด็กที่หอ” พี่จิ้นตอบแทนพี่โอมหน้าตาเฉย

“หน้าตาหล่อนะเรา”

“ขอบคุณครับพี่” เพื่อนพี่โอมชมผม ผมแอบก้มหน้ายิ้มครับ ถูกชมต่อหน้าแบบนี้ผมก็เขินดิคร้าบบบ

“ไม่หล่อ น่ารักมากกว่า” พี่จิ้นพูดหน้ายิ้มๆ แทรกบทสนทนาขึ้นมา เพื่อนพี่โอมมองผมอีกครั้งแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย

“เออ พี่จิ้นพูดถูก แล้วเราชื่ออะไร เรียนอะไร อยู่หอไหน พี่เมตเป็นใคร” เพื่อนพี่โอมถามรวดเดียว สงสัยคงอยากแกล้งเด็ก ผมกำลังจะอ้าปากตอบพี่เขาก็ยิงคำถามรัวมาอีกชุด “แล้วมารู้จักไอ้ประธานได้ไง”

“มึงจะกวนตีนน้องมันทำไมฮะ ไหนว่ามึงหิว?”

“กูสั่งข้าวไว้แล้ว เดี๋ยวค่อยไปเอา”

“นั่นไง แฟนมึงเดินมาเรียกโน่นแล้ว สงสัยได้แล้วมั้ง” พี่โอมหันหน้าออกไปมองหน้าร้านเห็นพี่ผู้หญิงกำลังเดินมา พอเห็นว่าแฟนตัวเองนั่งอยู่ในร้านก๋วยเตี๋ยวเป็ดก็รีบเดินตรงเข้ามาหา แต่ยังไม่ทันจะเดินถึงร้าน เพื่อนพี่โอมก็โบกมือบอกว่า “รออยู่ตรงนั้นแหละที่รัก ไม่ต้องเดินมาหรอก ร้อน เค้ากำลังจะออกไปแล้ว”

“เออๆ กูไปละ พี่จิ้นหวัดดีครับ” เพื่อนพี่โอมทำหน้าหงุดหงิดแบบขำๆ ใส่พี่โอมก่อนจะบอกลากันเสียงดังกลางร้านข้าว “กูไปนะ ท่านประธานหวย...ครัว” พูดจบก็เดินกึ่งวิ่งออกจากร้านไปเลย แต่ก็ไม่ลืมขยิบตาให้ผมหนึ่งที ที่ได้ลูบคมแกล้งเพื่อนให้เด็กดู

“เหี้ยละ! เดี๋ยวเหอะมึง”

“หวยครัว? หัว...ฮ่าๆๆ” พอนึกได้ผมก็ก้มหน้าขำจนไหล่สั่น

“ตลกมากไหม พวกมันก็ปากหมากวนตีนกูไปงั้นแหละ” พี่โอมตาขวาง ทำเสียงเข้มดุผม แต่หน้าแกสีเข้มขึ้นนิดๆ นะผมว่า จากนั้นผมก็ตั้งหน้าตั้งตากินก๋วยเตี๋ยวเป็ดอย่างอารมณ์ดี พอกินเสร็จผมก็ยื่นเงินให้พี่จิ้นที่กำลังจะไปจ่ายเงินค่าก๋วยเตี๋ยว

“ไม่ต้อง”

“ไม่เป็นไรพี่ ผะ...เอ่อ มะนาวเกรงใจ”

“เออน่า พี่จิ้นจะได้เลี้ยงกูด้วย” พี่โอมจิ๊ปากทำหน้ารำคาญใส่ผม

“ขอบคุณครับ”

จ่ายเงินค่าก๋วยเตี๋ยวเสร็จแล้วพวกเราก็เดินออกมาจากร้านมาเอารถมอเตอร์ไซค์ที่จอดเอาไว้ด้านหน้า

“สามวันนี้พวกกูอยู่ห้อง มีอะไรก็โทรไปหาได้” พี่โอมหันมาบอกผมก่อนที่จะสตาร์ตรถเวสป้าสีเขียวมะนาว ผมก็พยักหน้ารับไปอย่างนั้นแหละ แต่เรื่องอะไรผมจะโทรไป แม่หมูไม่อยู่สักหน่อย จะโทรไปทำไม อ่านหนังสืออยู่ห้องหนุกกว่าตั้งเยอะ

“ไปละ” พี่จิ้นหันมาบอกผมยิ้มๆ แล้วก็บิดกุญแจสตาร์ตรถเวสป้าขับออกไป

หลังจากเจอพี่เมตยักษ์ของกราฟโดยบังเอิญและไปกินก๋วยเตี๋ยวด้วยกันมาแบบมึนๆ ผมก็ขับรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจกลับหอพัก ตอนนี้ถึงเวลาปลดปล่อยจินตนาการให้โลดแล่นไปกับภาพและตัวอักษรในการ์ตูนที่ผมไปคัดสรรมา การอ่านการ์ตูนของผมเหมือนกับการไปนั่งดูหนัง ภาพในหน้าหนังสือการ์ตูนแต่ละหน้ามันเคลื่อนไหวเป็นฉากๆ พร้อมเสียงพากย์ดังขึ้นมาในหัว อ่านไปเรื่อยๆ จากหนึ่งเล่มเป็นสองเล่ม จำนวนการ์ตูนที่อ่านจบแล้วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทีละเล่ม จนผมลืมเวลาแห่งโลกความเป็นจริงว่ามันหมุนเดินทางไปนานแค่ไหน พอเหลือบตามองนาฬิกาที่ตั้งอยู่หัวโต๊ะ ถึงรู้ว่าตอนนี้เวลาเดินทางผ่านไปเป็นอีกวันแล้ว

ประตูห้องยังเปิดอยู่ ผมลุกขึ้นจากเตียงเพื่อเดินไปปิด มองสำรวจรอบๆ กลางดึกหอพักเงียบจนดูวังเวง เพราะแต่ละเฟสตอนนี้มีอยู่แค่ไม่กี่ห้องที่ไม่กลับบ้าน ห้องพักส่วนใหญ่ปิดไฟมืดสนิทมีเพียงแสงไฟตามทางเดินที่ยังคงเปิดทิ้งเอาไว้ ปิดประตูเสร็จผมก็เดินกลับมานอนอ่านหนังสือบนเตียงต่อ หมุนหน้าต่างบานเกล็ดเปิดแง้มไว้เล็กน้อย

จู่ๆ บานเกล็ดห้องผมก็เปิดขึ้นพร้อมกันรวดเดียว แกร๊ก!!! ผมสะดุ้งสุดตัว เด้งตัวลุกจากเตียงมองบานเกล็ดที่ถูกรูดเปิดขึ้นมาทันที

“เฮ้ยยยยยยย!!!!!” หัวใจผมหล่นลงไปกองที่ตาตุ่ม เงาผู้ชายตัวใหญ่มองลอดบานเกล็ดมองจ้องตากับผม

“กราฟ! เล่นอะไร ตกใจหมดนึกว่าผี” ผมเปิดบานเกล็ดออกจนเต็มความกว้าง กราฟมันยืนอมยิ้มมองผมขำๆ พอตั้งสติได้ ผมก็ลุกจากเตียงเปิดประตูออกไปคุยกับกราฟ “มาทำอะไรแถวนี้อะ”

“มายืมหนังห้องเพื่อน”

“ดึกขนาดนี้เนี่ยนะ คนก็กลับกันหมด ไม่กลัวผีหรือไง”

“ไม่นะ เงียบดี”

“แล้วมายืมหนังเรื่องอะไร”

“ผีชีวะ3”

“อย่าบอกนะว่าจะมาชวนไปดูหนังน่ะ”

“ไปดูด้วยกันไหม? หนังเรื่องนี้สนุก”

“เราไม่ชอบดูหนัง เพิ่งเช่าหนังสือมาด้วย อีกตั้งหลายเล่มกว่าจะจบ” กราฟมองเข้ามาในห้องผมแวบหนึ่ง ค่อยหันมาคุยกับผมต่อ
 “นายอยู่คนเดียว?”

“พี่เมตกับแม่หมู เอ่อ ออยด์น่ะ กลับบ้านกันน่ะ”

“ทำไมนอนดึก”

“อ้าว! เพิ่งบอกไปตะกี้ว่าอ่านหนังสือ ไม่สนใจกันเลย”

“แถวห้องนายดูเงียบๆ นะ เด็กแถวนี้กลับกันหมด? เห็นมีแค่ห้องนายคนเดียวที่ยังเปิดไฟอยู่”

“เออดิ” ผมมองตามไปรอบๆ จริงด้วยแฮะ เพิ่งสังเกตเหมือนกัน ตอนนี้มีแค่ห้องผมห้องเดียวที่ยังเปิดไฟอยู่ ไม่แน่เฟสผมคนอาจกลับบ้านกันหมด หรือไม่ก็คงนอนกันหมดแล้ว ก็ตอนนี้ตีหนึ่งเกือบตีสองแล้วนะซี

“บรรยากาศแถวเฟสนายดูวังเวงแปลกๆ” ไอ้กราฟพูดหน้านิ่งๆ เหมือนกำลังคิดอย่างนั้นจริงๆ ช่างสรรหาคำมาสร้างบรรยากาศให้ผมซะเหลือเกินนะไอ้คุณกราฟ ตอนแรกก็ว่าไม่ ตอนนี้ชักเริ่มเสียวๆ แล้วเหมือนกัน

“ที่เคยบอกว่าจะให้ช่วยติวหนังสือ วีคนี้เราว่างนะ”

“ใจดีนะเนี่ย แต่ยังไม่ใกล้สอบเลย วีคนี้ขอเก็บแต้มหนังสือการ์ตูนก่อนนะ”

“ฮะๆ” ไอ้กราฟมันหัวเราะแบบนี้อีกแล้ว มันทำยังไงของมันกันวะ หัวเราะออกมาเบาๆ แต่ฟังแล้วรู้สึกอยากยิ้มตาม นี่ผมกำลังเอ็นดูเสียงหัวเราะอย่างงั้นเรอะ ให้ตายเถอะ จ๊อดดของซาร่า

“เปล่าหรอก ดูนายเป็นคนกลัวผี”

“ผีก็กลัวอยู่หรอก แต่การ์ตูนก็สนุกไง”

“เราไปละ ล็อกห้องดีๆ นะ แต่ผีหายตัวได้นี่นา”

“กวนแล้วกราฟ”

กราฟคุยกับผมอีกนิดหน่อยแล้วค่อยเดินกลับห้องไป ผมรีบปิดประตูล็อกห้อง หมุนบานเกล็ดปิดลงมาให้สนิท กลัวโดนแกล้งอีก บานเกล็ดห้องผมมันไม่ค่อยดีครับ ใช้มืองัดขึ้นก็เปิดแล้ว แต่ตอนปิดต้องหมุนปิด เปิดง่ายแต่ปิดยาก ผมไม่มีอารมณ์อ่านการ์ตูนต่อ เลยเดินไปปิดไฟแล้วรีบนอนเลย

ผมตื่นมาตอนเที่ยงเพราะรู้สึกหิว นอนงัวเงียให้สายตาปรับกับแสงในห้องสักพักถึงลุกจากเตียงเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวหลังห้อง ถอดเสื้อกางเกงใส่ตะกร้า แล้วเดินเปลือยเข้าไปอาบน้ำแปรงฟัน เวลาอยู่คนเดียว ผมไม่ปิดประตูห้องน้ำนะ เปิดไว้อย่างนั้นแหละ เผื่อมีอะไรจะได้ไหวตัวทัน อาบน้ำเสร็จ ผมก็แต่งตัวลวกๆ หยิบเสื้อยืดตัวที่ยับน้อยที่สุดกับกางเกงขาสั้นขึ้นมาสวม เสร็จแล้วก็เดินออกจากห้องไปหาอะไรกินที่โรงอาหารหอพัก หยุดสัปดาห์นี้โรงอาหารโล่งมากแทบไม่มีคนเลย นี่ขนาดตอนเที่ยงเป็นช่วงเวลาที่คนหิวกันแล้วนะ คนยังน้อยอยู่เลย โรงอาหารหอพักผมจะเป็นอาคารชั้นเดียว มีโต๊ะยาวเรียงเป็นแนวยาวสามแถว เก้าอี้ก็จะเป็นแบบม้านั่งขนาดยาววางเรียงต่อกัน

“ป้าเอากะเพราเนื้อไข่ดาวครับ” สั่งเสร็จผมก็เดินไปนั่งรอที่โต๊ะ ตาดูทีวีไป หูรอฟังป้าเรียกชื่อ ตอนนี้ในโรงอาหารหอพักมีคนอยู่แค่สองสามคน นั่งรอสักพักป้าก็เรียกผมให้ไปเอาข้าว ผมกำลังยืนก้มตักพริกมะนาวราดบนไข่ดาว หูก็ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาในโรงอาหารหอพัก ผมเลยเหลือบตาขึ้นไปมอง

เสียงทุกอย่างก็เงียบลง ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก ใจผมเต้นตึกตักๆ ตอนนี้ผมถูกสะกดจิตด้วยลูกตุ้มนาฬิกาขนาดกำลังพอดีที่ห้อยหัวซ่อนตัวอยู่ด้านในกางเกงนอนขายาวสีเทาที่ลู่เข้ากับลำตัว มันกำลังแกว่งตัวตามจังหวะการเดินของตัวเรือนที่เป็นมนุษย์ผู้ชายในวัยเจริญพันธุ์รูปร่างสูง แกว่งดุกดิกๆ ชายหนุ่มคนนั้นเดินเข้ามาเรื่อยๆ ลูกตุ้มนาฬิกาของเขาก็แกว่งดุกดิกๆ ตามจังหวะการเดิน

ใจผมสั่น ผมได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นเป็นจังหวะดุกดิกๆ

ดุกดิกๆ

ดุกดิกๆ

ดุกดิกๆ

ดุกดิกๆ

หัวใจผมเต้นเป็นจังหวะดุกดิกตามการเคลื่อนไหวของลูกตุ้มนาฬิกาตัวนั้น ผมพยายามละสายตาออกจากลูกตุ้มนาฬิกาตัวนั้นแต่ก็ทำไม่ได้

ผมถูกสะกดจิต

ลูกตุ้มนาฬิกาตัวนั้นมันเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ ยิ่งเข้ามาใกล้ภาพในร่มผ้ายิ่งชัดเจนขึ้นทุกที

ดุกดิกๆ

ดุกดิกๆ

ผมถูกลูกชายไอ้แว่นกราฟสะกดจิต!!!!!

ออฟไลน์ ryoushena

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-2
THE CALL - เมื่อผมเป็นพ่อสื่อให้คางคก

The Call Chapter 10: พูดจาภาษา AV

ลูกตุ้มนาฬิกาหยุดแกว่ง เสียงรอบข้างที่หายไปกลับมา รวมถึงหัวใจผมก็กลับมาเต้นตามจังหวะปกติ
โอยย...มือผมสั่นเล็กน้อย กราฟทำไมถึงปล่อยให้น้องดิ้นดุกดิกแบบนี้ ออกมาเดินนอกห้องในสภาพนี้ได้ยังไง ก่อนออกจากห้องรบกวนช่วยใส่ชั้นในให้เรียบร้อยก่อนได้ไหม สภาพกราฟตอนนี้นอกจากกางเกงนอนที่ลู่แนบเข้ากับลำตัวแล้ว เสื้อยืดสีขาวที่ใส่ยังสั้นถึงแค่ขอบของกางเกงนอนเท่านั้นแหละ

ผมละสายตาจากลูกตุ้มของกราฟ กลับมามองจานข้าวตรงหน้าของตัวเอง ผมถึงกับตาเหลือก พริกครับพริก ไข่ดาวผมแดงเถือกไปด้วยพริก พริกมะนาวน้ำปลาแดงเถือกชุมนุมบนไข่ดาวในจานข้าวกะเพราเนื้อผม สีเขียวสีแดงเต็มจาน สงสัยเมื่อกี้ตักเพลินไปหน่อย

“นาย!?” ผมหันไปตามเสียงเรียก แต่ก็ต้องตกใจแทบร้องเหวอออกมา

“!” หน้าของกราฟอยู่ห่างจากหน้าผมแค่ไม่กี่เซนติเมตร ไม่ใช่แค่นั้นกราฟยังเอานิ้วมาแตะหน้าผากผมด้วยนะ “ทำไมหน้าแดง เป็นไข้หรือเปล่า?”

“เปล่า ไม่ได้เป็นไข้ สงสัยอากาศคงร้อนน่ะ” ผมหลบสายตากราฟที่มองมา ผมจะพูดออกไปได้ไงเล่าว่าเป็นเพราะน้องดุกดิกนั่นแหละ ผมบ่นเสียงดังในใจ พยายามเก็บอาการให้มีพิรุธน้อยที่สุด สะกดจิตตัวเองไม่ให้หันไปมองย้ำที่ลูกตุ้มอีก จากนั้นก็รีบสาวเท้าเดินหนีออกมา

“เฮ้ยยยย เชี่ยย!!!” ผมลื่น! ผมตกใจร้องเสียงหลง จังหวะที่ตัวกำลังจะหงายขาชี้ฟ้า ด้านหลังผมก็มีคนเข้ามาพยุงไว้ทันเวลาพอดิบพอดี ดีนะที่ผมมีสกิลนักกายกรรมเปียงยางอยู่บ้าง จานข้าวถึงอยู่ดีข้าวไม่หกแม้แต่เม็ดเดียว มีแค่พริกซอยเท่านั้นแหละที่ลอยออกไปจากจานไข่ดาวบ้าง พอผมยืนได้ตามปกติก็รีบหันไปขอบคุณคนที่ช่วยผมเอาไว้ “ขอบคุณครับ” เสียงชายผู้มีบุญคุณด้านหลังเอ่ยสวนตอบกลับมาทันควัน

“ซุ่มซ่ามนะมึง”

“...”

“ไม่ต้องทำหน้าขอบคุณกูขนาดนั้น”

“...”
“ทีหลังหัดเดินให้มันระวังหน่อย ทำข้าวหกเลอะพื้น ลำบากป้าแม่บ้านเขาต้องมาตามเช็ดตามกวาดให้อีก”

“...”

พูดกับผมเสร็จไอ้พี่เข้มก็ทิ้งผมไว้ตรงนั้น ก่อนจะเดินไปคุยกับกราฟสองสามประโยคแล้วเดินออกจากโรงอาหารไป ปล่อยให้ผมยืนงงทำหน้าเอ๋อ พอตั้งสติได้ผมก็เดินไปหาที่นั่งเหมาะๆ เพื่อกินข้าว ไม่นานกราฟก็เดินมานั่งลงข้างๆ กับข้าวในจานข้าวกราฟ ผมไม่เคยเห็น หน้าตาแปลกๆ แต่ดูท่าทางน่ากิน ด้วยความอยากรู้เลยถามออกไป

“สั่งอะไรมาอะ หน้าตาโคตรน่ากินเลย”

“แกงฮังเล สั่งป้าทำให้ตั้งแต่เมื่อวาน” กราฟตอบผมเสร็จก็ตักแบ่งให้ผมหนึ่งชิ้น เออ ดีๆ รู้งานมาก ยังไม่ทันได้ขอเลย

“กราฟชอบกินอาหารใต้เหรอ?”

“แกงฮังเลอาหารเหนือ” กราฟตอบผมแล้วก็ตักข้าวเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ

“อ้าว จริงอะ ฟังจากชื่อนึกว่าอาหารใต้นะเนี่ย ทำไมถึงเรียกแกงฮังเลล่ะ” คราวนี้กราฟไม่ตอบผมแฮะ ช่างมันไม่อยากรู้ก็ได้วุ้ย ผมลองตักชิมดูอร่อยดีอะ รสชาติคล้ายๆ พะโล้แต่เข้มข้นกว่า กราฟตักแกงมาใส่จานผมอีก ผมพยักหน้ารับแล้วตักกะเพราจากจานผมแบ่งไปให้กราฟบ้าง กินพริกบ้างนะกราฟนะ

ผมแย่งกราฟกินจนอิ่ม จากนั้นเราก็แยกย้ายกันกลับห้อง ผมอ่านการ์ตูนไปได้สักพักก็รู้สึกว่าวันนี้อากาศร้อนอบๆ เหงื่อเริ่มซึมตามหลัง อ่านไปอ่านมาชักไม่ไหว ร้อนโคตรๆ เลยตัดสินใจหอบการ์ตูนทั้งหมดไปอ่านตากแอร์เย็นๆ ที่ห้องสมุดแทน หลังจากเอาหนังสือการ์ตูนยัดใส่กระเป๋าเป้จนเต็ม ผมก็รีบขับรถฝ่าไอแดดมุ่งตรงไปที่ห้องสมุดทันที

ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยผมจะเรียกว่าอาคารบรรณสาร สร้างเป็นอาคารปูนคอนกรีตสามชั้น อาคารห้องสมุดมหาวิทยาลัยผมมีชื่อเรียกแตกต่างจากอาคารของมหาวิทยาลัยหลังอื่นที่ตามปกติมักจะเรียกชื่อตามตัวอักษรภาษาอังกฤษแทนชื่อของอาคารจริงๆ เช่น อาคารเอเป็นชื่ออาคารบริหาร อาคารซีเป็นชื่ออาคารห้องทำงานอาจารย์ อาคารเอฟหนึ่งถึงสามเป็นอาคารเครื่องมือ เป็นต้น

ตัวอาคารของห้องสมุดด้านล่างจะแบ่งเป็นสามส่วน ฝั่งทิศตะวันออกจะมีห้องอินเทอร์เน็ตเปิดให้บริการนักศึกษา ตรงกลางเป็นร้านขายขนม จำพวกของขบเคี้ยวจากฟาร์มมหาวิทยาลัย ส่วนฝั่งทางทิศตะวันตกเป็นส่วนทางเข้า มุมนี้ถ้าเดินตรงเข้าไปเป็นพวกนิตยสารอ่านเล่น แต่ที่ประจำของผมจะเป็นมุมโซฟาชั้นสอง อยู่บริเวณทางเดินขึ้นชั้นสาม มุมนี้ไม่ค่อยมีคนมานั่งเท่าไหร่

ผมกำลังจะเดินไปถึงบริเวณที่ผมหมายตาเอาไว้ สายตาก็เหลือบไปเห็นเพื่อนผมพอดี นั่นโก๋นี่นา มากับใคร? ไหนบอกว่าจะกลับบ้าน ผมยกมือขึ้นโบก ส่งเสียงเรียกโก๋เบาๆ “โก๋ๆ” โก๋ทำหน้าตกใจทันทีที่มองเห็นผม

“มะนาว ไม่ได้กลับบ้านเหรอ”

“เออดิ ถามแปลก ถ้ากลับจะมายืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ได้ไง แล้วไหนบอกว่าจะกลับบ้าน ทำไมมานั่งจุ้มปุ๊กอยู่บรรณสาร หรือแอบมากับใคร ซุกใครไว้ไม่บอกเพื่อนหรือเปล่าน้า? น่าสงสัย”

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกน่า”

“ไม่ใช่อย่างนั้น แล้วมันเป็นยังไง อย่าบอกนะว่ามึงมีแฟนแล้ว?”

“ยังไม่ถึงขนาดนั้นหรอก อยู่ในช่วงดูๆ กันอยู่น่ะ” โก๋ตอบผมอายๆ

“ไหนคนไหน แล้วแอบไปคบกันตอนไหนเนี่ย ทำไมไม่เห็นรู้เรื่อง”

“เด็กวิศวะน่ะ เดี๋ยวแนะนำให้รู้จักน่า”

“แล้วไปปิ๊งปั๊งกันได้ยังไง”

“ที่หอนั่นแหละ”

โก๋พักอยู่หอเจ็ด เป็นหอพักชายของมหาวิทยาลัยนี่แหละครับ หอพักชายมหาวิทยาลัยผมมีทั้งหมดเจ็ดหอพัก ทุกหอเป็นห้องน้ำรวม เว้นแค่หอพักผมหอพักเดียวเท่านั้นที่เป็นแบบห้องน้ำในตัว

“แล้วไงต่อ อย่ากั๊กดิ อยากฟังแบบละเอียด”

“ก็เจอกันโดยบังเอิญ แซวกันไปแซวกันมา เลยได้กันแล้วก็คบกัน”

“?”

“นั่นแหละเขาเป็นคนดีแล้วก็ลีลาดีด้วย” โก๋ตอบผมตายิ้มอย่างคนมีความสุข ผมเห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ เพื่อนผมกำลังอินเลิฟ โลกเป็นสีชมพู

“แล้วมะนาวมาทำอะไร”

“อยู่ห้องร้อน ทนไม่ไหว เลยหอบหนังสือ...การ์ตูน มาอ่านน่ะ” ผมเบาเสียงคำว่าการ์ตูนลงหน่อยหนึ่ง

“เพิ่งไปเช่ามาใหม่?”

“ใช่ เล่มใหม่เพียบ พี่จ๋าเพิ่งเอามา”

“มีเล่มไหนฟินๆ แนะนำปะ อยากอ่านเหมือนกัน ช่วงนี้ไม่ได้เช่าการ์ตูนเลย”

“ยังอ่านไม่ครบ แต่ก็มีเรื่องดีหลายเล่มอยู่เหมือนกัน มีสไตล์ที่มึงชอบหลายเล่ม”

“แล้วฟินไปกี่รอบแล้ว?” ไอ้โก๋ทำหน้ายิ้มกรุ้มกริ่มกวนตีนผม

“...” ผมไม่ตอบ แต่เอื้อมมือไปจับมือโก๋มา แล้วค่อย ทๆ เขียนเลขแปดแนวนอนใส่มือ

“ขนาดนั้น?” โก๋แกล้งทำตาโต แล้วผมสองคนก็หัวเราะพร้อมกัน แต่หัวเราะเบาๆ ในลำคอนะ เพราะตอนนี้พวกผมอยู่ในห้องสมุด

“อีผี!” เสียงชายหนุ่มปริศนาดังแทรกขัดจังหวะการหัวเราะของพวกผมสองคน โก๋หันหน้าหาเสียงนั้น สองคนยิ้มให้กัน โก๋หันกลับมาทางผม แล้วแนะนำผู้ชายที่เพิ่งเดินเข้ามาใหม่

“หมู นี่เพื่อนเค้า มะนาว”

“เราชื่อเบิร์ด ยินดีที่ได้รู้จักนะ ได้ยินโก๋พูดถึงบ่อยๆ”

คุยกันสักพัก โก๋กับเบิร์ดก็ขอตัวแยกออกไป ซึ่งโก๋มาเล่าให้ผมฟังทีหลังว่า ‘อีผี’ ย่อมาจากผีเสื้อ แต่เอาจริงปะ ผมว่าไม่ ไม่ใช่ย่อมาจากผีเสื้อหรอก เพราะแฟนของโก๋ ดูหน้าก็รู้แล้วว่าเป็นคนเกรียนๆ แต่โดยรวมก็น่าจะเป็นคนนิสัยดี ระหว่างที่สองคนนั้นเดินจากผมไป ผมก็ได้ยินเสียงคุยกันหงุงหงิงดังแว่วไปตลอดทาง

“อีผีเค้าอยากกินสุกี้เสี่ยงทาย ให้ลูกชิ้นรักบี้ทำนายความรัก”

“เย็นนี้อยากกินสุกี้เหรอ ถ้างั้นขากลับแวะไปซื้อของสดที่ฟาร์มก่อนก็ได้”

ข้าวใหม่ปลามันจริงๆ ผมว่าคืนนี้ผีได้รวมร่างกับหมูแน่ๆ คนกำลังอยู่ในช่วงอินเลิฟอะนะ แต่ดูท่าทางแล้วสองคนนี้น่าจะคบกันยาว ดูเหมาะสมกันดี คุยกับเพื่อนเสร็จ ผมก็จัดแจงหามุมอ่านหนังสือการ์ตูน เลือกโซฟาที่นั่งสบายที่สุดแล้วก็ผมก็เริ่มนั่งอ่านอย่างจริงจัง พอเปิดการ์ตูนหน้าแรกต่อด้วยหน้าสองสติผมก็ตัดขาดจากโลกภายนอก ดำดิ่งไปอีกโลกเหมือนอลิซที่หล่นลงไปในโพรงกระต่ายแล้วไปเจอกับโลกอีกใบที่ทำให้ตื่นตาตื่นใจได้ตลอด

ผมค่อยๆ ไถลตัวลงเรื่อยๆ จากนั่งก็กลายเป็นกึ่งนั่งกึ่งนอน อ่านไปเริ่มเพลิน อากาศเย็นๆ จากเครื่องปรับอากาศทำให้ผมอยากพักสายตา นั่งเกร็งเปลือกตาอยู่แป๊บหนึ่ง สุดท้ายผมก็เผลอหลับ

ผมรู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออก รู้สึกเหมือนกำลังจะขาดอากาศ อึดอัด มองไปรอบๆ ก็มืดสนิทไปหมด อึดอัด ผมพยายามขยับตัว แต่ขยับไม่ได้ อึดอัด พยายามขยับตัวใหม่ก็ขยับไม่ได้ อึดอัด ผมตัดสินใจดิ้น ผมดิ้นสุดแรง สุดท้ายผมก็เห็นแสงสว่างวาบขึ้นมา แต่แค่เสี้ยววินาทีที่ผมเห็นแสงสว่าง ผมรู้สึกว่าเหมือนตัวกำลังจะหล่นตกจากที่สูง

เฮ้ยย ตุ้บ!! สติผมก็กลับเข้าร่าง น่าขายหน้าจริงๆ ผมหลับกลางห้องสมุด แถมยังละเมอตกจากโซฟาอีก ผมงัดสกิลเฉินหลงรีบลุกกลับขึ้นมานั่งบนโซฟาตัวเดิมเนียนๆ หวังว่าคงไม่มีใครนั่งอยู่แถวๆ หรอกนี้นะ แต่เปล่าเลยครับ เพราะว่ามีไอ้พี่เข้มกำลังยืนจ้องผมอยู่

“ตลกว่ะ แอบเอาการ์ตูนโป๊มากางอ่านกลางห้องสมุด แล้วยังกล้านอนหลับเฉย แถมกรนเบาๆ ซะด้วย ไม่เบาๆ”

“การ์ตูนวาย” ผมหลบสายตาเถียงอ้อมแอ้มแบบไม่ค่อยเต็มเสียงเท่าไหร่ สงสัยไอ้พี่โอมแอบเปิดอ่านการ์ตูนผมแน่ๆ พี่โอมดึงแขนผมให้ลุกขึ้นจากโซฟา

“วันนี้อากาศร้อนจังน้า รู้สึกคอแห้งกระหายน้ำแปลกๆ สงสัยบ่ายนี้ต้องไปดวลกับพระเอก”

“?” พระเอกอะไรของพี่เข้มเขาอีกล่ะครับ คนยิ่งกำลังเมาขี้ตาอยู่ ไม่ต้องรอให้ผมงงนาน พี่เข้มเขาก็ดึงแขนผมให้ลุกขึ้น แถมยังช่วยเก็บหนังสือการ์ตูนใส่ในกระเป๋าเสร็จสรรพ พอผมถามว่าพี่จะพาไปไหน พี่แกก็ไม่ตอบ แค่หันมาสบตาผมเท่านั้นแหละ

“อย่าโอ้เอ้ กูหิวข้าว”

“?”

“มึงจะนั่งงงอีกนานไหม? รีบลุก กู หิว ข้าว”

หลังจากโดนป้ายยา ผมก็เดินตามพี่เข้มออกมาจากห้องสมุด ผมเดินตรงไปขับเอารถมอเตอร์ไซค์คุรุสภาสีขาวออกมา ส่วนพี่เข้มก็เดินไปขับรถเวสป้าสีมะนาวของตัวเองขับนำผมออกไป ผมขับตามไปเรื่อยๆ ออกไปทางหน้ามหาวิทยาลัย วนเกาะกลางถนนก่อนจะเลี้ยวซ้ายเข้าถนนเส้นเล็กๆ ขับใต้เงาร่มของใบต้นกระถินที่ขึ้นสูงฝั่งขวาของถนนมาได้พักเดียว ก็ถึงปั๊มน้ำมันเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณหน้ามหาวิทยาลัย พี่เข้มขับรถเวสป้าสีเขียวมะนาวเข้าไปจอดหน้าร้านเล็กๆ ตั้งอยู่ในปั๊มน้ำมันใต้ต้นหูกวางต้นใหญ่ ร้านนี้ทำจากตู้คอนเทนเนอร์สีขาว หน้าร้านรวมถึงประตูเป็นกระจกทั้งหมด ดูสะอาดสะอ้านน่าเข้าไปอ่านการ์ตูนวาย จิบกาแฟนม กินขนม ใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ มุมซ้ายกระจกบานใหญ่ด้านหน้าร้านติดสติกเกอร์บอกชื่อร้านพร้อมเวลาเปิดปิด ด้วยตัวหนังสือสีขาวตัวใหญ่ด้วยฟอนต์ภาษาไทยมีหัวที่อ่านง่ายสบายตาว่า

ฤ ดู ใ บ ไ ม้ ผ ลิ ข อ ง พ ร ะ เ อ ก
อี โ ร้ ะ อี โ ร้ ะ
'เ ชิ ญ เ ม า'
1 9 9 5 .3 .26 Open Tuesday – Sunday 12.00 – 02.00

มองจากด้านนอกผ่านกระจกใสบานใหญ่ก็เห็นด้านในของร้าน ผมเห็นผู้ชายเท่ๆ อยู่หนึ่งคน คาดว่าน่าจะเป็นเจ้าของร้าน กำลังนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ตัวยาวที่ติดสติกเกอร์เต็มเกือบทั้งโต๊ะ แต่ดูไม่รก ดูเท่ๆ แนวๆ ดิบๆ เฟอร์นิเจอร์ด้านในร้านส่วนใหญ่เป็นไม้ ผมเดินตามพี่โอมเข้าไปในร้าน ทำนองเพลงแปลกหูก็ดังลอดออกมา ‘ละพอแต่เปิดผ้าม่านกั้น คันสอดส่องมองหาแฟน’ ในร้านเปิดเพลงสาวลำเพลิน ฉวีวรรณ ดำเนิน คลอเบาๆ มุมหนึ่งของร้านมีแผ่นเสียงสีสันสดใสตั้งอยู่ แต่ผมไม่คุ้นหน้านักร้องสักคน เดาว่าน่าจะนักร้องสมัยเก่า บนแผ่นเสียงเขียนว่า ยอดลำแพน ขวัญตา ฟ้าสว่าง, ลำกล่อมทุ่ง ไพรินทร์ พรพิบูล, คนดังขี่หลังควาย ดาวบ้านดอน, The sound of siam

ด้านในร้านดูโล่งๆ และเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก ผมมองสำรวจร้านรอบๆ เห็นมีนางกวักวางอยู่ด้วย จากนั้นตาผมก็ไปสะดุดกับขวดโหลแก้วขนาดใหญ่บรรจุน้ำสีแดงอมชมพูเข้มตั้งเรียงรายหลายขวด ด้านหน้าขวดโหลติดป้ายชื่อของขวดด้วยกระดาษสีชมพู เช่น โด่ไม่รู้ล้ม ม้ากระทืบโรง พญาเสือโคร่ง ถัดจากขวดน้ำก็เป็นขวดโหลสีเหลืองด้านในบรรจุผลไม้ดองต่างๆ เช่น มะยม มะม่วง มะดัน องุ่น ร้านยาดอง!? ตอนนี้ผมกำลังอยู่ในร้านยาดอง แต่สาบานได้เลยครับ ไม่ใช่ร้านยาดองแบบที่เคยเห็นแน่นอน

หลังจากเพลงสาวลำเพลิน ฉวีวรรณ ดำเนิน จบลง ทำนองเพลงสนุกสนานชวนให้โยกมือเบาๆ ก็เล่นต่อทันที ‘ดิ๊งๆ ด่อง ละใครก็ดิ๊งๆ ด่อง ละพี่ก็ดิ๊งๆ ด่อง ถ้าน้องดิ๊งด่อง ละพี่ก็ดิ๊งๆ ด่อง’ เพลงดิ๊งด่อง ไวพจน์ เพชรสุพรรณ

“นั่งร้านยาดองตอนบ่าย ไม่เมาเร็วไปเหรอครับ”

“น้ำพระเอกโว้ย!” พี่โอมบุ้ยปากมองไปยังป้ายร้านด้านบน

“มึงเอาข้าวอะไร เดี๋ยวกูสั่งให้ ร้านนี้กูสนิท” พี่โอมพูดจบก็หันไปสั่งกะเพราเนื้อชิ้น “พี่เทียนวันนี้ผมเอากะเพราเนื้อไม่สับหนึ่ง เอาไข่เจียวด้วยนะ” เจ้าของร้านนี้แต่งตัวแนวมากครับ เสื้อยืดขาว กางเกงขาใหญ่สีดำเอวสูง ปลายขากางเกงเต่อโชว์ถุงเท้าสีเจ็บ แถมรอยสักที่แขนก็สวยมาก แล้วก็โคตรสูง แถมหล่อขายาวอีกต่างหาก โห นี่มันพระเอกการ์ตูนชัดๆ เลยนะเนี่ย

“ตกลงมึงจะกินอะไร คิดเยอะคิดแยะ ร้านนี้กะเพราเนื้ออร่อย”

“เอากะเพราะเนื้อครับ”

“พี่เทียนผมเอากะเพราเนื้อเป็นสองนะ วันนี้พี่ฮารุไม่มาเหรอพี่”

สงสัยพี่โอมรู้ทันผมว่ากำลังสงสัยมองโน่นมองนี่ทั่วร้าน พี่แกเลยอธิบายว่าร้านนี้ขายทั้งอาหารตามสั่ง ยาดอง แล้วก็แผ่นเสียง เป็นร้านนั่งเมาเพลินๆ ได้โน่นยันเช้า เจ้าของร้านเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นมีสองคน เพลงร้านนี้ส่วนใหญ่เปิดเพลงไทยเก่าๆ หรือเพลงฝรั่งวินเทจ แต่ส่วนใหญ่เปิดลูกทุ่งเพลงหมอลำ สมัยโน่นยุค 20-80s เพลงสาวลำเพลิน ฉวีวรรณ ดำเนิน จบลง เพลงคิดฮอดชู้ อังคนางค์ คุณไชย ก็ดังขึ้นมา

นั่งไปแป๊บเดียวเองครับ กะเพราเนื้อหน้าตาโคตรน่ากินก็มาเสิร์ฟ เนื้อชิ้นกำลังดีถูกผัดกับซอสปรุงรส ใบกะเพรากับพริกซอยแนบสนิทกันอย่างไม่เอียงอาย กะเพราะจานนี้โคตรน่ากิน ชวนให้น้ำลายไหลน้ำย่อยคึกคักมาก พอกินเสร็จพี่โอมก็สั่งเมนูเครื่องดื่มมาต่อทันที ไม่นานหลังจากนั้นข้างหน้าผมก็มีจานมะนาวฝานเป็นแว่น มะดันดองกับมะขามเปียกวางอยู่ ข้างๆ กันมีจานเกลือเล็กๆ วางคู่กัน ดูน้อยแต่มาก ญี่ปุ่นสไตล์มากครับ ส่วนยาดองสีแดงอมชมพูถูกบรรจุอยู่ในขวดขนาดเหล้าแบน ผมยังไม่ทันสำรวจเสร็จดี ก็ได้ยินเสียงพี่โอมกรึ๊บนำหน้าไปก่อนแล้ว

“อ๊าสส!! บาดคอ” พี่โอมทำหน้าเหยเกบิดเบี้ยว หลังจากกระดกแก้วยาดองไปแก้วแรกแล้วก็หยิบมะขามเปียกเคี้ยวกลืนตามลงไป

“...” พอเห็นพี่โอมเคี้ยวมะขามเปียกเหมือนไม่รู้สึกเปรี้ยวแล้วน้ำลายผมก็ไหลออกมาเหมือนมีคนเปิดก๊อก

“ลองๆ” พี่โอมส่งแก้วเป๊กใบขนาดย่อมมาให้ผม จากนั้นผมก็ยกแก้วกระดกทีเดียวตามที่พี่โอมทำบ้าง

“อึ๋ยยย!!” ผมรู้สึกเหมือนกลืนไฟลงคอ มันร้อนวูบตั้งแต่ลิ้นไหลลามลงมาผ่านลำคอไปจนถึงหลอดอาหารก่อนจะไหลรวมกันลงไปที่กระเพาะ

“เป็นไง?” พี่โอมถามผม

“แรงดีครับ” เหล้าแรงขนาดนี้ไม่มีคำอธิบายไหนจะครอบคลุมเท่ากับคำว่าแรงส์อีกแล้ว ผมหยิบมะนาวฝานแว่นจิ้มเกลือเคี้ยวตาม ขนลุกไปหมดเลย เปรี้ยวๆ เค็มๆ แต่เข้ากันดีนะ

“ขี้เหล้าว่ะ” พี่เข้มทำหน้าฉงนถามผม
“เพิ่งเคยกินครั้งแรกพี่” ผมหันไปตอบ แต่ไอ้พี่เข้มทำหน้าประมาณว่ามึงอย่ามาหลอกกูซะให้ยาก

“กูเชื่อมึง หมาคงบินได้” ผมเลยตอบด้วยสีหน้าจริงจังพยายามบอกว่าผมไม่ได้พูดเล่น ก็มันเรื่องจริงอะ

“ลีลากระดกแก้วเมื่อกี้ กูนึกว่าเป็นลูกร้านยาดอง” ไอ้พี่เข้มหันมามองผมด้วยสายตาเหยียดๆ

“แค่ยกแก้วเข้าปากกรึ๊บๆ กรึ๊บๆ” ผมตอบหน้านิ่งๆ หยิบมะขามเปียกคลุกกับเกลือ “แต่กินแล้วรู้สึกร้อนๆ นะครับ” ผมรู้สึกร้อนๆ ตามตัวลามขึ้นมาถึงหน้า

“สมุนไพร มันก็ดีอย่างนี้แหละ กินแล้วเลือดลมสูบฉีด” พี่โอมหันมามองผมแวบหนึ่ง แล้วยกแก้วยาดองเข้าปากต่อ โดยไม่ลืมหยิบผลไม้ดองจิ้มเกลือตามไปด้วยอีกคำ

“พี่สั่งสูตรไหนมากินอะครับ” อดสงสัยไม่ได้ มีตั้งหลายโหล ชื่อแปลกๆ ทั้งนั้น

“โด่ไม่รู้ล้ม ติดใจละสิ เดี๋ยวกูพามากินบ่อยๆ” พี่เข้มหันมาตอบผมหน้าแดงนิดๆ ผมสังเกตเห็นว่าตอนที่พี่โอมมองมาที่ผม แวบหนึ่งตาพี่โอมโตขึ้นเล็กน้อยเหมือนคนตกใจอะไรสักอย่าง “มึงแพ้เหล้าปะวะ”

“เวลากินเหล้ามะนาวเป็นแบบนี้แหละ แต่ตอนนี้แค่รู้สึกร้อนวูบๆ ครับ” ผมรู้สึกร้อนจริงๆ เลยปลดกระดุมเสื้อออกสองเม็ด กระพือเสื้อเข้าออกไล่ลมร้อนออกจากตัว

“ร้อน?”

“ครับ รู้สึกร้อนวูบๆ”

“ร้อนอะไร แอร์ออกเย็น”

พี่เข้มเหลือบมามองผม แล้วก้มไปดูนาฬิกาข้อมือสีดำ เสร็จแล้วก็เทยาดองที่เหลือยกกรึ๊บเข้าปากจนหมด แล้วเดินไปสั่งอะไรสักอย่างเพิ่ม

“กินของดีไม่เป็น งั้นมึงกินน้ำหวานโง่ๆ แทนละกัน” พี่เข้มส่งแก้วน้ำผลไม้ปั่นมาให้ผม ดีเหมือนกัน ถ้าผมกระดกเพิ่มอีกแก้วหรือสองแก้ว มีหวังมึนหนักกว่านี้แน่ๆ แต่ตอนนี้กำลังกรึ่มๆ ตึงพอดีๆ

ผมก็นั่งจิบๆ น้ำแตงโมปั่นของผมไป ระหว่างนั้นก็ฟังพี่เข้มคุยกับเจ้าของร้านอย่างออกรสออกชาติ พอยาดองเข้าปากเหมือนพี่แกจะคุยคล่องเป็นพิเศษ คุยไปหัวเราะไป ส่วนใหญ่ก็คุยเรื่องเด็กนักศึกษาที่มากินยาดอง ก็เล่าขำๆ บางคนก็เมาหลับคาโต๊ะ บางคนก็อ้วกจนน็อกก็มี ผมกำลังนั่งฟังเพลินๆ มองพี่เจ้าของร้านบ้าง พี่เข้มบ้างสลับกัน จังหวะกำลังสนุก รู้สึกว่าโอเคขึ้น หายจากอาการร้อนวูบๆ พี่เข้มก็หันมามองผม แล้วบอกเจ้าของร้านคิดตังค์

“กลับ”

พี่เข้มลากผมลุกขึ้นแบบงงๆ อะไรวะ อยากมาก็ลากมา พออยากกลับก็ลากกลับอีก ตอนที่เดินออกมาจากร้านเพลงไม่น่าทำผมเลย พนม นพพร ก็ดังลอยลอดประตูตามหลังพวกผม

ตอนขากลับพี่เข้มก็ขี่ตีคู่ไปกับรถผม พอขับรถกลับมาถึงหอผมก็เดินตรงเข้าห้องเลย ตอนนี้รู้สึกง่วงหรือว่ายาดองมีฤทธิ์ทำให้หลับสบายก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับ

พอถึงห้องผมก็นอนหลับ หลับไปยาวเลย รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีมองดูเวลาก็เกือบเที่ยงคืน ตอนนี้ผมอยากกินอะไรหวานๆ ผมลุกขึ้นจากเตียง เดินเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ ปิดประตูห้องมุ่งหน้าไปยังมินิมาร์ตหอชายหรือที่นักศึกษาจะเรียกสั้นๆ ว่ามาร์ตชาย ซึ่งระยะทางไม่ไกลจากหของผมมากนัก เดินเอาสะดวกกว่า

มาร์ตชายมีของขายเกือบครบ เห็นเล็กๆ อย่างนั้น แต่เล็กแบบมีคุณภาพ เพราะมีของขายเยอะมาก ตั้งแต่ขนมขบเคี้ยว ผัก เนื้อสด ของใช้จำเป็นต่างๆ มีขายยันกางเกงชั้นใน คืนนี้ผมอยากกินอะไรหวานๆ กะว่าจะกินเจเล่ไลท์แช่แข็งรสลิ้นจี่ กับกูลิโกะรสสตรอว์เบอร์รี ปกติผมไม่ชอบขนมรสสตรอว์เบอร์รีเท่าไหร่เพราะรู้สึกว่ามันหวานเกินไป มีแค่กูลิโกะรสสตรอว์เบอร์รีนี่แหละที่ผมชอบกินถึงขั้นชอบมาก ขณะที่ผมกำลังคุ้ยหาเจเล่ไลท์รสลิ้นจี่แบบแช่แข็งในตู้ไอติม เสียงเพลงปิดมาร์ตก็ดังขึ้น

♫ ♬ ♪ ♩ ♭ ♪ ดึกแล้วคุณขา หมดเวลาขอลาก่อน
จำใจจำจร ให้เร่าร้อนเป็นหนักหนา
ดึกแล้วนอนเสีย อ่อนเพลียแสนเมื่อยล้า
จำใจจำลา อีกไม่ช้าต้องจากไป ♫ ♬ ♪ ♩ ♭ ♪
*เพลงอาลัยลา-สุนทราภรณ์ เพลงปิดสถานีรายการวิทยุเวลา (เที่ยงคืน) 24.00 น.

จริงๆ มันไม่ใช่เพลงปิดมาร์ตหรอกนะครับ เป็นเพลงปิดสถานีวิทยุที่นักศึกชายหอในจะรู้กัน อารมณ์คล้ายๆ เพลงปิดห้างสรรพสินค้า ถ้าได้ยินเพลงนี้ดังขึ้นเมื่อไหร่ให้รีบซื้อ เพราะหลังได้ยินเพลงนี้อีกประมาณห้านาที ร้านก็จะปิด
ผมรีบเดินไปเลื่อนเปิดตู้แช่ มองหาเจเล่ไลท์รสลิ้นจี่ โชคดีเหลืออยู่หนึ่งอันพอดี ผมหยิบขึ้นมา แล้วรีบเดินไปฝั่งขนม กวาดตามองหากูลิโกะรสสตรอว์เบอร์รี บนชั้นเหลือแค่รสช็อกโกแลต ผมพยายามใช้มือค้นดูกล่องขนมด้านในของชั้น แต่ก็ไม่มี

“หาอะไรครับ?”

“กูลิโกะสตรอว์เบอร์รีครับ สงสัยหม...” ผมกำลังจะหันไปถามเจ้าของมินิมาร์ต แต่ต้องชะงัก เพราะเจอพี่จิ้นยืนยิ้มอยู่ข้างๆ นึกว่าเสียงเจ้าของร้าน ที่ไหนได้ เสียงพี่จิ้นนี่เอง

“ไม่กินรสอื่น?”

“ครับ”

ผมทักทายพี่จิ้นแป๊บหนึ่ง คุยเสร็จก็แอบมองดูชั้นวางขนมกูลิโกะอีกรอบด้วยความเสียดาย แล้วค่อยเดินไปเคาน์เตอร์จ่ายตังค์ พอจ่ายตังค์เสร็จแล้วพี่จิ้นก็เดินตามหลังผมออกมาจากมินิมาร์ต

“เรามายังไง”

“ครับ?”

“เดินหรือขับรถ”

“เดินมาครับ”

เราสองคนเดินคู่กันออกมาเงียบๆ เดินห่างออกจากมาร์ตชายได้นิดเดียว พี่จิ้นก็ยื่นกล่องกูลิโกะรสสตรอว์เบอร์รีมาให้ พร้อมกับพูดติดตลกว่า “กล่องสุดท้ายแฟนหล่อ” ผมหันไปมองพี่จิ้นด้วยความแปลกใจ เมื่อตะกี้ผมว่าดูละเอียดแล้วนะ พี่จิ้นไปเอากูลิโกะกล่องนี้มาจากไหน พี่จิ้นเห็นผมไม่หยิบไปสักทีเลยแกะมันออกตรงนั้น พี่จิ้นหยิบกูลิโกะออกมาจากซองขนมหนึ่งแท่ง แล้วยื่นกล่องขนมที่เปิดแล้วมาให้ผมถืออีกรอบ

“...” ผมหยิบกูลิโกะออกมากินแท่งหนึ่งแล้วยื่นซองขนมส่งคืนให้พี่จิ้น แต่พี่จิ้นโบกมือส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนแกล้งทำเสียงดุใส่ผมแบบขำๆ

“ผู้ใหญ่ให้ของ อย่าปฏิเสธ”

ผมรับขนมกล่องนั้นมาถืออย่างเสียไม่ได้ แต่ก็ไม่ลืมยื่นซองขนมให้พี่ตี๋ได้ลิ้มรสบ้าง พวกเราเดินกินขนมเงียบๆ อยู่แป๊บเดียว ผมก็หันกลับไปมองรุ่นพี่หน้าตี๋ที่เดินอยู่ข้างๆ อีกครั้งด้วยความแปลกใจ เพราะจู่ๆ พี่จิ้นก็พูดขึ้นมาลอยๆ กับพื้นถนนว่า

“หมดแล้ว”

“ครับ?”

พี่จิ้นมองมาที่กล่องขนมที่ผมกำลังถืออยู่ในมือ แล้วทำเสียงเล็กเสียงน้อยพูดประโยคเดิมอีกรอบ “หมดแล้ว” พร้อมกับแบมือออกทั้งสองข้าง ผมทำหน้าเหมือนเห็นผี เพราะพี่ตี๋กำลังหน้ามุ้งมิ้ง ผมรีบยื่นแท่งขนมส่งๆ ให้ พี่จิ้นก็รับแท่งกูลิโกะรสสตรอว์เบอร์รีไปเคี้ยวกินกรุบกรับหน้าตาเฉย ท่าทางมีความสุขมาก

“หมดอีกแล้ว”

“?!” หมดอีกแล้ว! คราวนี้ผมไม่ได้ยื่นแท่งขนมส่งให้ ยื่นทั้งซองทั้งกล่องขนมไปให้พี่ตี๋ซะเลย แต่พี่จิ้นกลับเดินเฉย มุมปากยกยิ้มเจ้าเล่ห์ เก็บมือทั้งสองข้างยกไปวางบนหัวสกินเฮดเกรียนๆ แถมยังทำปากบุ้ยยื่นมาที่กล่องขนมในมือของผม ผมรู้ตัวแล้วว่าโดนแกล้ง

“ครับๆ อ๊ะๆ!!” ผมหยิบแท่งป๊อกกี้ยื่นส่งๆ ให้อีกรอบ มุมปากของพี่ตี๋จิ้นยกยิ้มขึ้นมาด้วยพอใจ ก่อนจะพูดประโยคชวนงงที่ทำเอาคิ้วผมขมวดเป็นปมแทบขวิดกัน

“พูดอย่างกับหนังเอวี”

“?”

พี่จิ้นหยุดเดิน หันหน้ามาสบตาผมนิ่ง แล้วค่อยๆ ส่งเสียงเลียนแบบหนังโป๊ที่ทำเอาผมหน้าร้อนวาบ

“อ๊ะ! อ๊ะ!” ทั้งเสียงทั้งหน้าพี่จิ้นเลียนแบบเหมือนเป๊ะ!

“...” เถื่อนว่ะ

“เวลามะนาวยิ้มน่ารักกว่าทำคิ้วขมวดชนกันนะ”

“คงยิ้มตลอดไม่ได้หรอกครับ เมื่อยปาก”

“ทะเล้นนะเรา ว้า...ถึงห้องซะแล้ว ต้องปีนเข้าใช่ไหม”

“น่าจะอย่างนั้นนะครับ”

“มา เดี๋ยวพี่ช่วย”

“ไม่เป็นครับ กระโดดทีเดียวก็ข้ามได้แล้ว”

“งั้น เอาขนมมา เดี๋ยวพี่ถือให้ เราจะได้กระโดดถนัดๆ”

“ขอบคุณครับ”

พอผมกระโดดข้ามรั้วเข้าไปด้านในเสร็จ พี่จิ้นก็ยื่นขนมให้ “ราตรีสวัสดิ์” พอผมเดินเข้าห้องเรียบร้อยแล้ว พี่จิ้นก็เดินกลับห้องที่อยู่ถัดไปอีกโซน ทำให้ผมไม่ได้ยินบทสนทนาหลังจากนั้น

“อ้าว พี่จิ้น รถเสียเหรอ ทำไมเดินมาล่ะ เห็นตอนขาไปขับรถมอไซค์ไป”

ออฟไลน์ ryoushena

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-2
THE CALL - เมื่อผมเป็นพ่อสื่อให้คางคก

The Call Chapter 11: ย. ยักษ์ เขี้ยวใหญ่

กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงง กริ๊งงงงงงงงงงงงงงง

เสียงโทรศัพท์ห้องดังขึ้นทำลายความเงียบของห้องพักที่ปราศจากการทำกิจกรรมใดๆ และไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวของมนุษย์ มีเพียงพัดลมหนึ่งตัวกำลังส่ายหน้าไปมาให้กับมนุษย์หนึ่งคนที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียง ข้างๆ ตัวเต็มไปด้วยหนังสือการ์ตูนวาย วางอยู่ระเกะระกะไม่เป็นระเบียบ

ผมนอนคว่ำหน้าทอดตัวยาวเหยียดอยู่บนเตียง แขนทั้งสองข้างกอดหมอนอีกใบเอาไว้หลวมๆ ผมค่อยๆ ขยับเขยื้อนตัว หลังจากพยายามอธิษฐานให้เสียงโทรศัพท์ห้องเงียบหายไปแต่ไม่เป็นผล

“โหล” ผมตัดสินใจขยับตัวยื่นมือยกหูโทรศัพท์ห้องที่วางอยู่บนโต๊ะหนังสือเพื่อรับสายด้วยอารมณ์หงุดหงิด

“อีกสิบห้านาทีรอหน้าหอ” ปลายสายกรอกเสียงเป็นคำสั่งเข้ามาในโทรศัพท์เพื่อให้ผมที่กำลังหลับตารับโทรศัพท์อยู่นั้นทำตามโดยที่ไม่ได้ปล่อยให้ฝ่ายรับสายแสดงความคิดเห็นใดๆ

“ครับ” รับคำเสร็จผมที่กำลังอยู่ในอารมณ์งัวเงียเพราะความง่วงก็วางสายแล้วล้มตัวลงนอนต่อทันที

ตู๊ดดดดด ตู๊ดดดดด

“?”

สิบห้านาทีต่อมา
กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงง กริ๊งงงงงงงงงงงงงงง
กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงง กริ๊งงงงงงงงงงงงงงง
กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงง กริ๊งงงงงงงงงงงงงงง

ไม่มีสิ่งมีชีวิตเคลื่อนไหวภายในห้อง 7712 มีเพียงแค่พัดลมตัวเดิมที่เคลื่อนตัวตามโปรแกรมของเครื่องที่ได้ตั้งเอาไว้ พัดลมตัวนั้นส่ายหน้าไปมาคล้ายเอือมระอาผมที่ไม่ยอมตื่นขึ้นมาเชยชมความสดใสของโลกใบนี้สักที แม้บางส่วนของร่างกายจะตื่นขึ้นมาก่อนจะถึงเวลาเคารพธงชาติเสียอีก

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นต่อเนื่องแต่ก็ไม่มีมนุษย์ตื่นขึ้นมารับสายใดๆ ทั้งสิ้นเพราะผมกำลังหลับสนิท

ก๊อก ก๊อก ก๊อก ...เงียบ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก ...เงียบ
ตึง! ตึง! ตึง! ...เงียบ
ตึงตึงตึง! ตึงตึงตึง! ตึงตึงตึง!

“ตื่นโว้ยยยยย!!!!!!!”

เสียงตะโกนพร้อมกับเสียงเท้าถีบประตูดังโครมทะลุเข้ามาในห้อง ฟังจากน้ำเสียงแล้วน่าจะหงุดหงิดเต็มที

“ใคร?” ผมขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะส่งเสียงถามออกไป

“เปิด ประ ตู!” เขาไม่ได้ตอบคำถามแต่ตอบกลับประโยคคำถามเมื่อสักครู่ด้วยการเปล่งเสียงเป็นประโยคคำสั่งเสียงดังเน้นทีละคำแบบโหดๆ แทน

แกร๊กก

สักครู่กลอนประตูห้องก็ถูกเปิด แต่เมื่อยังไม่เห็นผมลุกไปดู เขาจึงหมุนลูกบิดเปิดประตูเข้ามาทันที เมื่อเข้ามาภายในห้องได้แล้วก็ระเบิดอารมณ์เป็นคำพูดออกมาร่ายยาวเหมือนหางว่าว

“ตื่นโว้ย! เที่ยงแล้วมึง เป็นตุ่นหรือไงวะ ชอบนอนอยู่แต่ในรูมืดๆ ตอนกลางวัน” แต่ผมกลับไม่ได้สนใจประโยคที่เขาเพิ่งพูดออกมาแม้แต่นิดเดียว ที่ตอบรับบทสนทนาออกมานั้นเกิดจากการตอบสนองด้วยสติที่มีเพียงน้อยนิดเท่านั้นเอง

“..."
“หรือมันไม่สบายวะ?” เขาเอาหลังมือแตะที่หน้าผากผมเพื่อวัดอุณหภูมิของร่างกาย ขณะเดียวกันผมที่นอนอยู่บนเตียงก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น จ้องมองอีกคนที่ยืนมองอยู่ด้วยความตกใจ

“เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!! พะ...พี่เข้ม พี่เข้ามาได้ไง?” ผมสะดุ้งตกใจกับภาพที่เห็นตรงหน้า ลืมตาตื่นขึ้นมาก็เจอกับพี่โอมอยู่ในห้อง เข้ามาในห้องนี้ได้ยังไง เข้ามาตอนไหน มาทำอะไร ในหัวสมองของผมเต็มไปด้วยคำถามเต็มไปหมด รู้สึกมึนงงกับภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“กู เปิด ประตู แล้ว เดิน เข้า มา” ไอ้พี่เข้มชะงักนิดหนึ่งก่อนตอบผมด้วยสีหน้าหงุดหงิด แต่ผมกลับคิดว่าน่าจะเป็นตัวเองมากกว่าที่ควรหงุดหงิด นี่มันห้องของผมแล้วอยู่ดีๆ มียักษ์ตัวเข้มเข้ามาเดินเล่นอยู่ในห้องได้อย่างไร?

“อะ...อะไรนะ พี่เปิดเข้ามาได้ยังไง” ผมไปต่อไม่ถูกเลยทีนี้ รู้สึกเหมือนถูกชกเข้าที่หน้าแบบไม่ทันตั้งตัว

“มึง เปิด ให้ กู ไง” พี่โอมยืนจ้องหน้า พร้อมพูดแบบเน้นทีละคำเหมือนเดิม

“ผม”

“เออ กูโทรมา มึงรับสายตกลงกับกูเรียบร้อย แต่เห็นมึงไม่ออกไปกูเลยเข้ามาตาม” พี่โอมพ่นคำตอบออกมา แต่คราวนี้กลับไม่มองหน้าผม แต่หันไปสำรวจห้องนอนของผมแทน มองอะไร ห้องผมมีอะไรให้น่าขโมยหรือยังไง

“ผมไม่เห็นรู้เรื่อง”

“ถุย หรือมึงนอนละเมอตอนกลางวัน”

“ผม...” ผมค่อยๆ นึกย้อนกลับไป หรือว่า เมื่อกี้นึกว่าฝันเรื่องจริงหรอวะ

“ที่บอกว่ารอหน้าหออะนะ” พอเริ่มจำเหตุการณ์ได้ผมก็ยิงคำถามต่อทันที

“เออ นี่มึงตื่นดีหรือยัง?” พี่โอมไม่พูดเปล่า แต่ยืนมือใหญ่ๆ มาตบแก้มผมเบาๆ สองสามที

“แล้วพี่จะพามะนาวไปไหน”

“อย่าถามมากรีบไปอาบน้ำเลยไป กูหิว”

“อาบน้ำไปไหนครับ ไปกินข้าว?”

“เปล่า กินก๋วยเตี๋ยว กูให้เวลาอีกสิบนาที”

“หา”

“กูจะไปรอหน้าหอ อีกสิบนาทีต้องเสร็จ ไม่ต้องพิถีพิถันเรื่องเยอะ อาบน้ำแปรงฟันพอ ให้ว่องนะมึง หลับอีกทีโดน แล้วทีหลังต้องแทนชื่อว่ามะนาว ไม่เอาผม” แล้วไอ้พี่เข้มก็เดินออกจากห้องไปปล่อยให้ผมงงกับตัวเองต่ออย่างเต็มที่

ผมเดินไปเปิดประตูหลังห้องเพื่อหยิบเอาผ้าเช็ดตัว จากนั้นรีบเดินเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำแปรงฟันอย่างรวดเร็ว เสร็จแล้วเปิดตู้เสื้อผ้าหาเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นที่มีรอยยับน้อยที่สุดมาใส่

“อ้าว เสื้อรุ่นไอ้พี่เข้มนี่นา” เสื้อคลุมของไอ้พี่เข้มแขวนอยู่ในตู้ผมนานแล้วว่าจะเอาไปคืนหลายทีแล้วแต่ก็ลืม ผมจึงหยิบติดมือออกไปด้วย

แต่งตัวเสร็จก็รีบวิ่งออกจากห้องไปหาพี่เข้มโอมที่หน้าหอทันที ก่อนที่ผมจะพูดอะไรออกไป พี่เข้มก็หันหน้ามาสั่งผมเสียงเข้ม

“ไปรถกูมึงขับช้า”

“เสื้อของพี่มะนาวเอามาคืน”

“ให้กูใส่ตอนแดดร้อนขนาดนี้อะนะ มึงใส่ไปก่อน กูร้อน”

“ครับ”

“ไม่ต้องทำหน้าสงสัย วันนี้เมตกูเข้าเมืองหมด กูรู้ว่ามึงอยู่คนเดียวเลยสงสาร” โด่ ที่แท้ก็ไม่อยากกินข้าวคนเดียว มีพี่เข้มพาไปกินข้าวก็ดีเหมือนกัน บางทีกินข้าวคนเดียวผมก็นึกไม่ออกว่าจะกินอะไร

“พี่จะพามะนาวไปกินอะไร”

“เดี๋ยวกูจอดรถมึงก็รู้เองแหละ ถามเยอะถามแยะ ชื่อจำไมหรือไง”

“...”

รถเวสป้าสีเขียวมะนาวจอดหน้าร้านก๋วยเตี๋ยวที่เขียนป้ายชื่อเอาไว้ว่า ก๋วยเตี๋ยวดู๋ดี๋ ร้านนี้ผมเคยมากับแม่หมูครั้งเดียวแต่ก็ไม่ได้กินเพราะลูกค้าแน่นร้านไม่มีโต๊ะว่าง พวกผมเลยพาความหิวไปสยบกันที่ร้านอื่นแทน ก๋วยเตี๋ยวร้านนี้ขายหมดเร็ว เริ่มเปิดตอนสิบเอ็ดโมง พอบ่ายสองกว่าๆ ของก็หมดแล้ว

วันนี้ลูกค้าในร้านบางตา สาเหตุหนึ่งน่าจะมาจากนักศึกษากลับบ้านกันค่อนข้างเยอะทำให้ยังพอมีโต๊ะว่างเหลือให้จับจอง

“มึงเคยมากินยัง”

“ยังครับ”

“มึงกินเผ็ดได้นี่หว่า”

“กินได้ครับ”

“งั้นอ่านเมนูแล้วจัดไป ก่อนอื่นสั่งน้ำก่อนกูร้อน มึงเอาน้ำอะไร”

“เอาน้ำแดงมะนาวครับ”

“พี่ครับเอาน้ำแดงมะนาวสองครับ” พี่เข้มหันไปสั่งน้ำก่อนจะหันหน้ากลับมารอคำตอบจากผม

“มะนาวเอาแรมโบ้ทะเล” แผ่นเมนูที่ทางร้านจัดไว้ให้ลูกค้าเป็นเมนูกระดาษแผ่นเล็กๆ ยาวๆ ที่มีแค่ชื่อก๋วยเตี๋ยวแต่ไม่ได้บอกว่าเส้นอะไรรสชาติเป็นแบบไหน มีเพียงช่องเอาไว้ให้ขีดเลือกว่าต้องการเมนูไหนเท่านั้นเอง ผมเลยเลือกเมนูที่มีคำอธิบายต่อท้าย
“แน่ใจ” แล้วพี่เข้มก็ชี้มือไปบนผนังของร้านที่เขียนป้ายเมนูขนาดใหญ่เอาไว้พร้อมบรรยายถึงระดับความเผ็ด

รสเผ็ดจัด (แสบตามกำลังเถื่อน)
แสบนครบาล (แสบพอประมาณนครบาลสิเพ่ เส้นเล็กต้มยำเผ็ดกำลัง 1)
แสบภูธร (ไม่อยากปากอ้า อย่าซ่ากับภูธร เส้นเล็กต้มยำเผ็ดกำลัง 2)
แสบ ตชด. (ไม่อยากปากพัง อย่าสั่ง ตชด. เส้นเล็กต้มยำเผ็ดกำลัง 3)
สกายแล็บ (ไม่อยากปากพอง อย่าลองเส้นเล็กต้มยำเผ็ดกำลัง 4)
แรมโบ้ทะเล (ไม่อยากเป่าปาก อย่าอยากสั่งเส้นเล็กต้มยำเผ็ดกำลัง 5 โคตรพ่อโคตรแม่เผ็ด)

“อูยย แล้วอะไรอร่อยครับ” เล่นของสูงเลย ผมดันเลือกเมนูเผ็ดสุดของทางร้านเสียด้วย

จากนั้นพี่เข้มก็โฆษณาชวนเชื่อร้านก๋วยเตี๋ยวว่า ก๋วยเตี๋ยวร้านนี้เขามีทีเด็ดที่การไต่ระดับความจัดจ้านของรสชาติก๋วยเตี๋ยว ตั้งแต่รสชาติเบาๆ แบบไม่ต้องยกกำลังแต่อร่อยกลมกล่อมสามารถทานได้ทุกเพศทุกวัย ลำดับต่อมารสชาติจะจัดจ้านขึ้นเล็กน้อยยกกำลัง 1 เรียกขานว่าแสบนครบาล (เส้นเล็กต้มยำ) ถ้าเพิ่มระดับความจัดจ้านของรสชาติขึ้นมาอีกนิดแบบยกกำลัง 2 เรียกแสบภูธร จัดจ้านขึ้นอีกแบบยกกำลัง 3 คือแสบ ตชด. จัดจ้านขึ้นมาแบบยกกำลัง 4 เรียกสกายแล็บ และจัดจ้านถึงขั้นเป่าปากยกกำลัง 5 คือเมนูแรมโบ้ทะเล เมนูนี้ถ้าใจไม่ถึงอย่าสั่งเชียว พี่เข้มกำชับ

ส่วนเมนูขายดีของก๋วยเตี๋ยวร้านนี้จะเป็นเมนูบะหมี่ขลุกขลิกกระดูกหมูต้มยำน้ำน้อย เสิร์ฟคู่กับน้ำซุปใส่กระดูกหมูอ่อน ถือเป็นเมนูเด็ดของร้านนี้เลยก็ว่าได้ เพราะทานได้ทุกเพศทุกวัยทานได้ทุกภาค อร่อยจนต้องบอกต่อ แต่ถ้าชอบกินลูกชิ้นต้องเมนู M.16 เป็นก๋วยเตี๋ยวที่ใส่ลูกชิ้นเยอะมากๆ ในหนึ่งชามใส่ลูกชิ้นถึง 16 ลูก

พี่เข้มพูดไปก็กินน้ำไปสงสัยคงร้อนจริงๆ เนื่องจากพี่แกไม่ได้ใช้หลอดดูดน้ำจากแก้ว ทำให้น้ำแดงเป็นรอยแก้วที่มุมปากมองแล้วเหมือนเขี้ยวยักษ์ ผมต้องแอบขำเพราะกลัวพี่แกรู้

“ตกลง มะนาวเอาบะหมี่ขลุกขลิกกับแรมโบ้ทะเล”

“มึงแน่ใจ?”

“ครับ” ผมแน่ใจว่าไหวเพราะผมเป็นคนกินอาหารรสจัดอยู่แล้ว อยากลองดูว่าจะเผ็ดแค่ไหน แต่ถ้าเผ็ดจนกินไม่ได้จริงๆ ผมก็มีแผนสำรอง เพราะสั่งบะหมี่ขลุกขลิกที่เสิร์ฟพร้อมซุปกระดูกหมูเอาไว้แก้เผ็ดแล้ว

“สั่งมาแล้วกินให้ได้นะมึง กู เตือน มึง แล้ว นะ”

รอไม่นานชามก๋วยเตี๋ยวก็เริ่มทยอยมาเสิร์ฟ สองชามแรกเป็นบะหมี่ขลุกขลิกของผมกับพี่เข้ม ผมลองชิมดูรสชาติอร่อยกลมกล่อมแทบไม่ต้องปรุง ชิมไปชิมมาก็หมดชามพอดี รอชามที่สองต่อไป แต่หลังจากที่พนักงานวางก๋วยเตี๋ยวชามที่สองทำเอาผมตาเหลือกค้าง เพราะในชามแดงเถือกไปด้วยพริกแทบมองไม่เห็นเส้นกับพวกเครื่องที่ใส่ลงไป แต่สั่งมาแล้วก็ต้องจัดการกินให้หมด ไม่งั้นพี่เข้มเล่นงานผมแน่

ว่าแล้วผมก็ค่อยๆ ใช้ตะเกียบคีบเส้นขึ้นมาจากน้ำซุปรสพริก เส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปากแค่คำแรกความเผ็ดก็แย่งกันวิ่งไปที่ต่อมรับรสชาติของร่างกายผมซะแล้ว โคตรเตี่ยของความเผ็ดเลยแต่อร่อย ผมเหลือบตาไปแอบมองพี่เข้ม ยักษ์มีเขี้ยวก็กำลังจ้องผมอยู่เหมือนกัน ผมตีหน้านิ่งกินก๋วยเตี๋ยวไปเรื่อยๆ ความเผ็ดร้อนทำให้เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นมาเต็มหน้าผมไปหมด รู้สึกเหมือนผมจะเรียงลำดับการกินผิดไปจากที่ได้ตั้งใจเอาไว้แล้วละ

“เผ็ดก็อย่าฝืน” พี่เข้มพูดขึ้นมาหลังจากที่กินก๋วยเตี๋ยวชามที่สองของตัวเองหมดไป

“...” ผมเผ็ดจนรู้สึกร้อนไปทั้งหน้า เหมือนควันจะออกหู แต่ผมตั้งหน้าตั้งตากินต่อจนเหลือคำสุดท้าย ผมใช้ช้อนกับตะเกียบรวมเส้นก๋วยเตี๋ยวคำสุดท้ายในชาม กำลังจะตักเข้าปาก พี่เข้มก็เอาช้อนมาตักก๋วยเตี๋ยวในชามผมไปกินหน้าตาเฉย

“กูยังไม่อิ่ม” ปกติผมคงรู้สึกหงุดหงิดที่ถูกคนแย่งกิน แต่นาทีนี้ความตะกละของไอ้พี่เข้มทำให้พี่แกดูหล่อมาก

“ไอติมกะทิครับ” เด็กเสิร์ฟบอกพร้อมกับวางถ้วยไอศกรีมกะทิลงบนโต๊ะของผม

“แล้วอีกถ้วยล่ะครับ โต๊ะผมสั่งสองถ้วยนะ” พี่เข้มหันไปถามเด็กเสิร์ฟแต่ผมจำได้ผมไม่ได้สั่งไอศกรีมไปนะ

“มะนาวไม่ได้สั่ง ถ้วยนี้ของพี่โอมถูกแล้ว”

“กูสั่งสองถ้วย” พี่เข้มหันมาบอกผม

“เอ่อ คือที่สั่งสองถ้วยถูกแล้วครับ แต่ยังไม่ถึงคิว ถ้วยนี้โต๊ะนั้นสั่งมาให้คุณคนนี้ครับ” เด็กเสิร์ฟอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มๆ ก่อนจะชี้มือไปยังโต๊ะที่มีผู้ชายนั่งอยู่สี่คน หนึ่งในนั้นยกมือขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มมาให้

“ผม?” สั่งไอศกรีมมาให้ผมเหรอ ตอนนี้หน้าผมคงขึ้นสถานะเป็นรูปเครื่องหมายคำถามที่กำลังแสดงความรู้สึกตัวเองผ่านทางใบหน้า ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเองเพื่อย้ำว่าเป็นผมจริงๆ

“ครับ” เด็กเสิร์ฟตอบยิ้มๆ แล้วก็เดินออกไป

“โวะ ถูกผู้ชายจีบด้วยโว้ย” พี่เข้มทำหน้าตาล้อเลียนผม

“...” ผมเริ่มทำหน้าไม่ถูก โต๊ะนั้นก็มองจัง ผมเลยส่งยิ้มเป็นมิตรไปให้แบบอายๆ

“รีบๆ กินกูมีธุระ”

พี่เข้มพูดขึ้นหลังจากเด็กเสิร์ฟเอาไอศกรีมกะทิมาเสิร์ฟที่โต๊ะ พี่แกใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีในการกินไอศกรีมสองถ้วยแล้วก็ลากผมออกมาจากร้าน โต๊ะนั้นทำท่าเหมือนจะลุกตามแต่ไม่ทัน สงสัยคงกำลังงงว่าทำไมกินเร็วจัง ตัวผมเองยังงงเลย

ขากลับพี่เข้มก็ขับรถเวสป้าซะเร็ว โห ใจผมนี่หล่นไปอยู่ตาตุ่ม ธุระอะไรมันจะรีบขนาดนั้น ไม่คิดว่าเวสป้าจะขับได้เร็วขนาดนี้ พอส่งผมถึงหน้าหอเสร็จก็รีบขับรถออกไปเลย มาเร็วไปเร็ว นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป สงสัยพี่เข้มจะย่างเข้าสู่วัยทองแล้ว หรือว่าพี่เข้มมีข้าศึกประชิดประตูเมือง ฮ่าๆๆ

“อ้าว!” เดินเข้ามาในหอได้แป๊บเดียวผมก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้คืนเสื้อรุ่นให้พี่เข้ม เลยต้องหันหลังเดินกลับไปอีกรอบเพื่อไปโทรศัพท์เข้าห้องไอ้พี่เข้มตรงโต๊ะรปภ.หน้าหอพักเผื่อว่ายังอยู่ในห้อง

ตื๊ดดด...ตื๊ดดด...
ตื๊ดดด...ตื๊ดดด...

“สวัสดีครับ” พี่จิ้นรับสายแสดงว่ากลับมากันแล้ว

“สวัสดีครับพี่” ก่อนที่ผมจะได้ยิงคำถามว่าพี่เข้มอยู่ห้องหรือเปล่า พี่ตี๋จิ้นก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน

“มะนาวปะ?”

“ครับ”

“โทรมาได้จังหวะพอดี พี่กำลังจะออกไปซื้อของ มะนาวว่างไหม ถ้าว่างไปกับพี่หน่อยนะ พี่อยากได้คนไปช่วยถือ”

“ครับ?” ผมเพิ่งยกตูดลงมาจากเบาะเวสป้าเมื่อกี้เองนะ สงสัยอนาคตของผมคงต้องเป็นสก๊อยชัวร์ เอะอะซ้อน เอะอะซ้อน แล้วเสื้อพี่โอมวันไหนถึงจะได้คืนสักที

“ตกลงนะ เดี๋ยวไปรับหน้าหอ”

“พี่จิ้นจะไปซื้ออะไร ที่ไหนครับ”

“ไปเอาหมวกกันน็อกที่สั่งไว้ที่ร้านแถวๆ ตลาดเซฟวัน เดี๋ยวเลี้ยงขนม” พี่ตี๋จิ้นพยายามหลอกล่อผมด้วยขนม แต่ผมยังข้องใจอยู่อย่าง ทำไมพี่ตี๋จิ้นคนนี้ช่างมีลักษณะการพูดที่ขัดกับบุคลิก หน้าตาและการแต่งตัว เพราะถ้าดูจากหน้า ใครเห็นก็ต้องคิดว่าพี่ตี๋คนนี้ต้องพูดจาเถื่อนๆ ปากหมาๆ แน่นอน แต่เอาจริงๆ กลับไม่ใช่อย่างนั้น อ้อ แล้วอีกอย่างผมเคยเห็นพี่จิ้นสูบบุหรี่หลายทีแล้วเหมือนกัน แต่พออยู่ใกล้ๆ กลับไม่ได้กลิ่นบุหรี่เลย ได้แค่กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ จากตัวแทน

“ได้ครับ” ผมตอบรับทันทีเพราะยังไม่เคยไปเดินตลาดเซฟวันเลย เขาบอกว่าของขายเยอะ ทั้งของมือสองแล้วก็ของมือหนึ่ง ไม่ได้มาจากเหตุผลที่พี่จิ้นบอกว่าจะเลี้ยงขนมผมหรอกนะครับ

“เหี้ยจิ้นมึงจะไปไหนแต่งตัวซะหล่อ” เสียงใครสักคนแทรกเข้ามาระหว่างที่พวกผมคุยกัน

“สัด! กูจะไปเอาหมวกกันน็อกใหม่ที่สั่งไว้ว่ะ ใบเก่าแม่งเปียกฝน” พี่ตี๋จิ้นพูดโต้ตอบกับเพื่อนร่วมหอ

“...” เอ่อ เมื่อกี้ผมคิดผิดเรื่องการพูด

“ตกลงเราออกมารอพี่หน้าหอเลยนะ” แล้วพี่จิ้นก็กลับมาพูดกับผมต่อ

แต่ก่อนที่ผมจะตอบรับพี่จิ้นโทรศัพท์มือถือผมก็สั่น

“เดี๋ยวนะครับพี่จิ้น พอดีมีโทรศัพท์เข้ามาพอดี พี่จิ้นถือสายแป๊บหนึ่งนะครับ” ผมรีบกดรับสาย นึกว่าใครโทรมาที่แท้ก็เป็นแม่หมูโทรมานั่นเอง

“ฮัลโหล”

“มะนาว ใกล้จะถึงหน้าม.แล้วนะ ออกมารับด้วยจ้า อีกประมาณไม่ถึงสิบห้านาทีก็คงถึง”

“ได้ดิ เดี๋ยวออกไปรับ”

“จุ๊บๆ แล้วเจอกัน” ตายละวา ผมต้องรีบบอกพี่จิ้น

“ฮัลโหล พี่จิ้นครับ เอ่อ มะนาวคงไปไม่ได้แล้วนะครับ พอดีว่าเพื่อนให้ออกไปรับหน้ามหาลัย”

“ครับ ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยไปวันหลัง” พี่จิ้นตอบด้วยน้ำเสียงเรียบสบายๆ แต่ผมเองนั่นแหละที่รู้สึกผิดไปเอง

“ขอโทษนะครับพี่”

จากนั้นผมก็รีบขับมอเตอร์ไซค์คุรุสภาสีขาวของผมออกไปรับเพื่อนตัวกลมที่หน้ามหาลัย หาที่จอดรถเสร็จก็เดินไปรอจุดที่รถเมล์ปล่อยให้ผู้โดยสารลง ระหว่างรอผมรู้สึกว่าเหมือนมีใครมองอยู่ตลอดเวลาเลยหันกลับไปมอง

“รุ่นพี่กลุ่มนั้นมองเราทำไม” ผมหันไปมองก็เจอกับรุ่นพี่วิศวะกลุ่มหนึ่งหันหน้ามามองผมอยู่ แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไรไปมากกว่านั้นรถเมล์ก็เคลื่อนตัวมาจอดเทียบป้ายพอดี รถเมล์จอดนิ่งสนิท พอประตูเปิดเด็กนักศึกษาก็ทยอยลงรถมาทีละคน แต่ละคนก็มีกระเป๋าคนละใบสองใบใส่สัมภาระ นั่นไงแม่หมูลงมาแล้ว

“มะนาว มิสยูโซมัช” เพื่อนตัวกลมของผมหลังลงจากรถเมล์เสร็จเรียบร้อยคุณเธอก็ตรงดิ่งมาทางผมพร้อมพูดทักทายผมเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงเมียฝรั่ง

“มีทูๆ กินข้าวมายัง” ผมรีบถามด้วยความเป็นห่วงกลัวเพื่อนน้ำหนักลดเดี๋ยวราคาตกช่วงตรุษจีน

“ยังเลย เดี๋ยวไปหาข้าวกินแล้วค่อยเข้าหอนะ กลับบ้านคราวนี้มีทั้งของฝากและของดีกลับมาฝากด้วยแหละ” เพื่อนตัวกลมผมทำท่าทางลึกลับ พอได้ยินของฝากดีๆ ผมก็รีบยื่นมือออกไปรอรับทันที ของฟรีแถมดี ใครๆ ก็ชอบ

“ซื้ออะไรมากฝาก”

“ให้ตอนนี้ไม่ได้ ชิ้นนี้พิเศษ เอ็กซ์คลูซีฟค่ะ” ยิ่งแม่หมูทำหน้าเจ้าเล่ห์ยิ่งทำให้ผมอยากรู้ไปใหญ่

“แล้วจะให้ตอนไหน”

“กลับห้องก่อน ตอนนี้หิวข้าว” พูดเสร็จแม่หมูก็เดินนำผมออกไปเลย

หลังจากกินข้าวเสร็จก็ออกมาเดินซื้อขนมกลับเข้าไปกินที่ห้อง หน้ามหาวิทยาลัยผมมีร้านข้าวขายอยู่หลายร้าน เช่น ร้านอาหารตามสั่ง ร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านส้มตำ ร้านขายของชำ ลูกชิ้นทอด ร้านขายผลไม้ ร้านขายยา กาแฟ ลักษณะคล้ายๆ ตลาดขนาดย่อม แต่ผมชอบร้านขายกาแฟร้านหนึ่ง นอกจากอร่อยให้เยอะแล้ว สโลแกนร้านพี่แกก็เท่ด้วย

เข้มดำเหมือนปีศาจ...ร้อนดั่งไฟนรก...บริสุทธิ์ดุจนางฟ้า...หอมหวานปานความรัก

“พี่ยิ้มวันนี้ขอน้ำบ๊วยหนึ่งถุง แม่หมูเอาอะไร” ผมสั่งเมนูโปรด ชอบน้ำบ๊วยร้านนี้เขาทำอร่อย ก่อนหันไปถามเพื่อนสาวตัวกลมว่าเธออยากดื่มอะไร

“เอาโกโก้ปั่น แต่สูตรเดิมนะพี่ยิ้ม เอาน้ำโอเลี้ยงชง” เมนูนี้เธอคิดสูตรเองเสร็จสรรพ การกินของเธอแต่ละครั้งไม่เหมือนใครจริงๆ
“จ้า รอก่อนนะลูกค้าเยอะ เด็กเริ่มกลับมากันแล้ว” พี่ยิ้มเจ้าของร้านกาแฟหันมายิ้มขยิบตาส่งให้พวกผมเป็นสัญญาณว่าเดี๋ยวจัดพิเศษให้แต่ราคาเท่าเดิม ก็พวกผมสนิทกัน

“เดี๋ยวเดินกลับมาเอานะคะ ปะมะนาวไปเดินซื้อผลไม้กัน” แม่หมูดึงแขนผมให้เดินตาม

“หมู ตอนที่รอรถมีรุ่นพี่กลุ่มหนึ่งมอง ไม่รู้ว่ามีอะไร” ผมหันไปเล่าเรื่องให้เพื่อนฟัง แม่หมูกระตุกแขนผมให้หันหน้าไปมอง

“กลุ่มนั้นปะ เดี๋ยวก็รู้ นั่นเดินมาแล้ว” ผมพยักหน้ารับเสร็จรุ่นพี่กลุ่มนั้นก็เดินเข้ามาถึงพวกผม

“น้องเรียนอะไร” รุ่นพี่คนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้น น้ำเสียงค่อนข้างเอาเรื่องเลยแหละ

“ผมเรียนมัลติครับ”

“เรียนวิศวะค่ะ”

“น้องเอาเสื้อใครมาใส่” รุ่นพี่คนนั้นหันมาพูดกับผม เสื้ออะไร หรือจะหมายถึงเสื้อรุ่นไอ้พี่เข้ม

“เสื้อพี่ที่หอครับ” ผมนึกขึ้นได้ก็รีบตอบแต่ตอนนี้เริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัยเหมือนกำลังจะถูกคุกคาม

“น้องเป็นเด็กใหม่ อาจจะไม่รู้ แต่ถ้าไม่รู้ พี่ก็จะบอกให้นะ ที่นี่เขามีกฎว่า เสื้อรุ่นอุตสา เขาห้ามเด็กคณะอื่นใส่”

“...” อ้าว เวร งานเข้า มีแบบนี้ด้วย? เห็นผมสองคนยืนเงียบ พี่อีกคนในกลุ่มจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงเอาเรื่อง

“น้องถอดเสื้อออกแล้วส่งมาให้พี่มา”

“...”

“พี่จะมากไปแล้วนะคะ นี่เสื้อแฟนเขาให้เอามาใส่ ถ้าพี่อยากจะเอาเรื่องก็ไปเอาเรื่องกับแฟนเขาสิคะ” แม่หมูแผดเสียงขึ้นหลังจากที่พวกผมอยู่ในสถานการณ์เป็นรอง

“แฟน?”

“น้องเด็กใคร?” พี่ในกลุ่มถามกลับ สีหน้ารุ่นพี่กลุ่มนั้นกำลังสงสัยเต็มที่

“เสื้อใครมะนาว?” แม่หมูหันมากระซิบถามผม

“พี่โอม” พอผมบอกแม่หมูก็พยักหน้ารับแล้วพูดต่อ

“เสื้อพี่โอมประธานรุ่นอุตสา ปีสาม พวกพี่อยู่ปีสอง น่าจะรู้จักนะคะ”

พูดเสร็จแม่หมูก็ดึงมือผมให้รีบเดินออกมาจากแดนประหาร พวกเรารอด!

“แม่หมูไปพูดแบบนั้นได้ยังไง”

“ถ้าไม่พูดแบบนั้นเราก็แย่สิ”

“แล้วรู้ได้ไงว่าพี่กลุ่มนั้นอยู่ปีสอง”

“ดูจากด้านหลังเสื้อแต่ละรุ่นเขาจะมีลำดับรุ่นเขียนบอกเอาไว้”

“แล้วรู้ได้ไงว่าพี่โอมเป็นประธานรุ่น” ผมจำได้ว่าผมยังไม่ได้เล่านะ

“ก็ไปสืบมา หลังคืนกินนมก็ตามสืบประวัติทุกคนในห้องนั้นมาหมดแหละ”

“แล้วทำไมต้องบอกว่าเป็นแฟน?”

“ถ้าเป็นแฟนของเด็กคณะนั้นก็เท่ากับว่าเป็นเราเป็นคนของคณะนั้นด้วยไง เป็นเขยเป็นสะใภ้คณะ มีอะไรก็ให้ไปเคลียร์กับแฟนแทน”

“มีแบบนี้ด้วย”

“ไม่มีค่ะ เพิ่งคิดเองสดๆ เมื่อกี้เลย ฮ่าๆๆ”

“อ้าว นึกว่าเรื่องจริง ปัดโธ่”

“รู้แค่ว่าพี่โอมเป็นประธานเลยเอาตำแหน่งเข้าข่ม แล้วก็ได้ผลจริงๆ”

“อ่อ”

“มะนาวไปเอาเสื้อพี่โอมมาจากไหนอะ”

“วันนั้นเปียกฝนเจอพี่โอมพอดีพี่แกเลยให้ยืม”

“อ่อ ปะๆ เดี๋ยวเดินไปเอาน้ำร้านพี่ยิ้มแล้วกลับห้องกันเถอะ จะได้อวดของสำคัญระดับชาติที่เอามาจากบ้านสักที”

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ryoushena

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-2
THE CALL - เมื่อผมเป็นพ่อสื่อให้คางคก

The Call Chapter 12: พ่อสื่อเริงใจ

ณ หอพักชายล้วนหอในของมหาวิทยาลัย หอสุรนิเวศ 13 ห้อง 7712

“แต๊น!! นี่ไงคะ อุปกรณ์ชิ้นใหม่ที่เพิ่งได้มา” ผมเพิ่งรู้ว่าเพื่อนผมมีเชื้อเจ้าก็ตอนนี้แหละครับ แม่หมูยื่นกล่องบรรจุพลาสติกแข็งขนาดกะทัดรัดขึ้นมาจากกระเป๋าเป้สองกล่อง ภายในบรรจุแผ่นพลาสติกบางๆ จำนวน 52 แผ่น หรือถ้าจะเรียกให้ถูกต้องบอกว่าสองสำรับ

“โธ่ นึกว่าอะไร ไพ่เนี่ยนะ?” ผมเลิกคิ้วขึ้นถาม มองของสำคัญระดับชาติของเพื่อนที่อุตส่าห์หอบหิ้วมาจากบ้านคือสำรับไพ่เองหรอกเรอะ!

“ถูกค่ะ แต่ไม่ใช่ไพ่ธรรมดา” เพื่อนตัวกลมของผมตอบด้วยใบหน้าภูมิใจที่เธอสามารถนำไพ่สองสำรับมาจากบ้านได้สำเร็จ

“แล้วเอามาทำไมเยอะแยะตั้งสองสำรับ กะเปิดกาสิโนเลยหรือไง” ผมถามเพื่อนสาวตัวกลมที่ตอนนี้กำลังแกะไพ่ออกมาหนึ่งสำรับ เพื่อนตัวกลมละสายตาจากการกรีดไพ่หันหน้าขึ้นมาตอบผม

“ทายถูกครึ่งหนึ่ง แต่อีกครึ่งผิด”

“ยังไง? ไหนลองเล่า ไม่เอาไพ่มาเล่นจะเอามาทำอะไรคุณเพื่อน”

“ก็หนึ่งสำรับเอามาเล่นน่ะถูก แต่อีกสำรับเอามาทำอย่างอื่น” แม่หมูตอบผมหน้าตากรุ้มกริ่ม แววตามีประกายวิบวับ

“แล้วเอามาทำอะไรเล่า อย่าท่าเยอะ ตอบมาให้หมด ดูดวง?”

“เอามาทำนายเนื้อคู่”

“ดูได้จริงดิ”

“ได้สิจ๊ะ ขอบอกว่าแม่นด้วย ยังกับตาเห็น”

“จริงอะ”

“เยส!!”

“ดูยังไง ดูให้บ้างดิ” ผมอยากรู้เหมือนกันว่าจะจริงสักแค่ไหน ถ้าไม่เชื่อก็กลัวจะหาว่าลบหลู่

“ไพ่สำรับนี้ใช้ดูว่าคนที่เราหมายตาเอาไว้จะใช่เนื้อคู่เราหรือเปล่า ก่อนอื่นต้องเลือกไพ่ออกมาก่อนสองใบ เป็นไพ่ที่ใช้แทนตัวเราหนึ่งใบ ส่วนอีกใบเป็นไพ่ที่ใช้แทนคนที่เราอยากดูด้วย อย่างมะนาวต้องเป็น Jack ข้าวหลามตัดเพราะอายุยังไม่เยอะและผิวขาว แล้วจะดูคู่กับใคร รุ่นพี่รุ่นเดียวกันหรือรุ่นน้อง” จากนั้นแม่หมูก็อธิบายว่าไพ่ใบไหนใช้แทนอะไรบ้าง

King (พระราชา) โพธิ์ดำ หมายถึง ผู้ชายผิวคล้ำหรือผิวสองสีที่มีอายุมากกว่า เส้นผมตรง
King (พระราชา) โพธิ์แดง หมายถึง ผู้ชายผิวขาวที่มีอายุมากกว่า รูปร่างท้วมหรือตัวหนากว่า
King (พระราชา) ข้าวหลามตัด หมายถึง ผู้ชายผิวขาวที่มีอายุมากกว่า รูปร่างผอม
King (พระราชา) ดอกจิก หมายถึง ผู้ชายผิวคล้ำหรือผิวสองสีที่มีอายุมากกว่า เส้นผมหยิก

Queen (พระราชินี) โพธิ์ดำ หมายถึง ผู้หญิงผิวคล้ำหรือผิวสองสีที่มีอายุมากกว่า เส้นผมตรง
Queen (พระราชินี) โพธิ์แดง หมายถึง ผู้หญิงผิวขาวที่มีอายุมากกว่า รูปร่างท้วมหรือตัวหนากว่า
Queen (พระราชินี) ข้าวหลามตัด หมายถึง ผู้หญิงผิวขาวที่มีอายุมากกว่า รูปร่างผอม
Queen (พระราชินี) ดอกจิก หมายถึง ผู้หญิงผิวคล้ำหรือผิวสองสีที่มีอายุมากกว่า ผมหยิก

Jack (อัศวิน) โพธิ์ดำ หมายถึง ผู้ชายผิวคล้ำหรือผิวสองสีที่มีอายุเท่ากันหรือเด็กกว่า เส้นผมตรง
Jack (อัศวิน) โพธิ์แดง หมายถึง ผู้ชายผิวขาวที่มีอายุเท่ากันหรือเด็กกว่า รูปร่างท้วมหรือตัวหนากว่า
Jack (อัศวิน) ข้าวหลามตัด หมายถึง ผู้ชายผิวขาวที่มีอายุเท่ากันหรือเด็กกว่า รูปร่างผอม
Jack (อัศวิน) ดอกจิก หมายถึง ผู้ชายผิวคล้ำหรือผิวสองสีที่มีอายุเท่ากันหรือเด็กกว่า เส้นผมหยิก
เลข 8 หมายถึง เรื่องเงิน, เลข 9 หมายถึง อุปสรรค, เลข 10 หมายถึง ความคิด
ส่วนความหมายของไพ่เลข 8-10 ถ้าเป็นสัญลักษณ์สีแดงจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าเป็นสีดำจะเกี่ยวกับเรื่องไม่ดี

“คนที่เคยเล่าให้ฟังไง แต่ไม่แน่ใจว่าแก่กว่าหรือเด็กกว่าอะดิ เห็นไกลๆ มองไม่ชัด” ผมหมายถึงชายหนุ่มที่แผ่รังสีออร่าสีฟ้ารอบตัวที่เคยเจอแถวร้านขายข้าว

“ไม่เป็นไร ผิวขาวใช่มะ ฉันว่าใช้คิงโพธิ์แดงก็น่าจะได้ เพราะยังไงซะเขาก็ต้องอยู่ในฐานะหัวหน้าครอบครัวอยู่แล้ว” แม่หมูพูดขึ้นมาเรียบๆ ผมอดขำในท่าทางจริงจังของเพื่อนไม่ได้ ถ้าเรื่องดูดวงหาเนื้อคู่ต้องยกให้เขาเลย ช่างสรรหาวิธีมาทายเล่นจริงๆ
“หัวเราะเสร็จแล้ว เชิญคุณเพื่อนมะนาวสับไพ่ตามจำนวนอายุแล้วอธิษฐานนะคะ”

“อธิษฐานว่าอะไร” แล้วจะอธิษฐานว่าอะไรดี ว่าจะได้กันไหม อย่างนั้นเหรอ ผมจำจากโก๋มาอีกที โก๋เล่าให้ฟังว่ามันได้กันก่อนถึงตัดสินใจมาคบกัน

“ก็บอกว่าขอให้ไพ่ออกมาแม่นๆ หรือถ้าเป็นเนื้อคู่กันขอให้ไพ่คู่กัน”

“ได้ๆ” ผมหลับตาอธิษฐานแล้วก็สับไพ่จนครบตามจำนวนอายุ

“เสร็จแล้วใช้มือข้างที่ไม่ถนัดตัดไพ่” แม่หมูวางไพ่ลงบนผ้าที่ปู จากนั้นก็ค่อยๆ หงายไพ่ออกทีละใบ และอธิบายเพิ่มเติมว่าถ้าหากไม่ใช่ไพ่สองใบที่เลือกเอาไว้ก็ให้หงายทิ้งไป แม่หมูค่อยๆ หงายไพ่ออกทีละใบๆ ไพ่ตัวเลขบ้าง ตัวอักษรบ้าง ภาษาอังกฤษบ้าง จนไพ่เริ่มลดจำนวนลงเรื่อยๆ

“กรี๊ดดดดด!! ผู้หญิงออกแล้ว” แม่หมูส่งเสียงตื่นเต้นหลังจากเปิดหงายไพ่ Queen ออกมา ไพ่ในมือแม่หมูค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ ผมเริ่มลุ้นตาม รู้สึกตื่นเต้นหน่อยๆ

“มะนาว ผู้หญิงออกอีกแล้ว อุ๊ย เลิศอะ” แม่หมูหงายไพ่ต่อ ตอนนี้ไพ่ที่เป็นตัวเลขถูกหงายทิ้งเกือบหมด

“...” ผมนั่งเงียบรอลุ้นผล รู้สึกเกร็งกว่าตอนลุ้นคะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีก

“กรี๊ดด ผู้หญิงออกอีกแล้วมะนาว ผู้ชายยังไม่ออกเลยสักใบ” ไพ่ในมือแม่หมูเริ่มเหลือน้อยเต็มที แม่หมูเริ่มหงายไพ่ช้าลง ยิ่งทำให้ผมลุ้นหนักกว่าเดิม

“ไพ่ใกล้หมดมือแล้วค่ะ ต้องลุ้นว่าผู้หญิงจะออกหมดหรือเปล่า ถ้ามีเหลือแสดงว่าหนุ่มปริศนาคนนั้นมีแฟนแล้ว แต่ถ้าเป็นตัวเลขต้องดูว่าจะมีอุปสรรคอย่างอื่นเข้ามาขวางไหม” ยิ่งแม่หมูอธิบายเพิ่มผมก็ยิ่งตื่นเต้น เพราะไพ่ในมือแม่หมูตอนนี้น่าจะเหลือไม่ถึงแปดใบ

“...” ผมนั่งเงียบ ตาจ้องไพ่แต่ละใบที่แม่หมูค่อยๆ เปิดออก โคตรลุ้นอะตอนนี้

“อย่าเพิ่งทำหน้าผิดหวังค่ะ เขามีเมียยังดีกว่าเขามีผัวนะคะ ฮ่าๆๆ” แม่หมูหันมาพูดติดตลกกับผม คนยิ่งลุ้นๆ อยู่ สงสัยคงเห็นผมนั่งลุ้นจนดูเกร็งเกินไป

“ต่อดิหมู ลุ้นเหนื่อยแล้วเนี่ย”

แม่หมูหงายไพ่ King ดอกจิก
แม่หมูหงายไพ่ Queen ดอกจิก
แม่หมูหงายไพ่ Queen ข้าวหลามตัด
“กรี๊ดดดด ผู้หญิงออกหมดแล้ว” แม่หมูพูดแล้วก็ค่อยๆ หงายไพ่ใบอื่นขึ้น
แม่หมูหงายไพ่ Jack ดอกจิก
แม่หมูหงายไพ่ Jack โพธิ์ดำ
แม่หมูหงายไพ่ king ข้าวหลามตัด

ตอนนี้ในมือแม่หมูเหลือไพ่จำนวนสี่ใบ แม่หมูหงายไพ่ใบต่อมาเป็นไพ่ Jack ข้าวหลามตัด ที่ผมเลือกแทนตัวเองเอาไว้

“เกมโอเวอร์ค่ะ พร้อมที่จะฟังคำทำนายหรือยัง” แม่หมูหันมาถามผม ตอนนี้ไพ่ในมือเธอเหลืออยู่แค่สี่ใบ

“อ้าว ไหนบอกว่าต้องเหลือสองใบ” ผมถามขึ้นมาด้วยความสงสัย ก่อนที่แม่หมูจะหงายไพ่ใบอื่นต่อ

“ถ้าหากเราหงายไพ่เจอกับไพ่ที่เลือกแทนตัวเองเอาไว้ ถือว่าสิ้นสุดคำทำนายค่ะ แต่ถ้าไพ่เหลือเกินสี่ใบแสดงว่าวันนั้นทำนายไม่ได้ ครั้งนี้ถือว่าโชคดีมากเลยนะที่เหลือไพ่แค่สี่ใบ หูยยย ขนลุกเลยอะ รับรองแม่นชัวร์” แม่หมูอธิบายด้วยสีหน้าตื่นเต้นพร้อมกับเอามือลูบแขนตัวเอง

“เปิดต่อละนะ” จากนั้นแม่หมูก็หงายไพ่ใบที่สามที่เหลืออยู่ในมือออกมาปรากฏว่าเป็นไพ่ Jack โพธิ์แดง แต่ขณะที่เพื่อนตัวกลมผมกำลังจะหงายไพ่ใบต่อมาเธอก็

“อ๊ายยย ไพ่ร่วง”

“อ้าว!”

“ขอโทษษ...” แม่หมูลากเสียงขอโทษยาว

“ดูใหม่อีกรอบได้ไหม”

“ดูได้แค่วันละรอบ”

“อ้าว” เซ็งเลย อุตส่าห์ลุ้นตามตั้งนาน สุดท้ายล่มไม่เป็นท่า

“ไม่เป็นไร เหลือไพ่สี่ใบ ก็พอดูได้ อาจจะคลาดเคลื่อนนิดหน่อย”

แล้วแม่หมูก็เปิดไพ่ทั้งหมดออกมาวางเรียงกัน มี Jack ข้าวหลามตัด (ที่แม่หมูเลือกแทนตัวผมเอาไว้) ทับด้วย Jack โพธิ์แดง แล้วอีกสองใบ King โพธิ์แดง (ที่แม่หมูเลือกแทนหนุ่มที่มีรังสีออร่าสีฟ้ารอบๆ ตัว) กับ King โพธิ์ดำ แต่ไพ่คิงสองใบไม่รู้ตำแหน่งว่าจริงๆ อยู่ตรงไหนเพราะทำไพ่ร่วงสลับกันซะก่อน

“โหย ไม่เอาอะ เดี๋ยวไม่ตรง แล้วค่อยดูใหม่วันหลัง”

“ผลอาจจะคลาดเคลื่อนแต่ที่แน่ๆ ผู้ชายตรึม”

“เชื่อได้หรือเปล่าก็ไม่รู้”

“ก็ไพ่บอกอย่างนั้นอะ”

“ช่างเถอะ ดูของแม่หมูบ้างดิ อยากรู้”

“วันนี้ดูไปแล้ว ต้องรอดูวันพรุ่งนี้ ทำไมพี่เมตเรายังไม่เข้าห้องอีกอะมะนาว” อยู่ดีๆ แม่หมูก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นเรื่องอื่น

“ทำไมล่ะ”

“ก็ขาขาดนะสิ” แม่หมูพูดพร้อมกับทำหน้าเสียดาย

“อยากเป็นเจ้าหรือเป็นแค่เมียตำรวจ?”

“ดิฉันมีเชื้อค่ะ จะเป็นเมียตำรวจได้ไง เสียดายพรุ่งนี้ไม่มีใครเรียนตอนเช้าด้วยสิ กะฉลองไพ่สำรับใหม่สักชั่วโมง”

“เดี๋ยวค่อยเล่นวันหลังก็ได้น่า แล้วไหนของที่เอามาฝาก”

“อุ๊ย ลืมไปเลยมะนาว ชิ้นนี้สำคัญกว่าอันเมื่อกี้อีก มีแล้วชีวิตจะเปลี่ยน”

“เล่นใหญ่ตลอด”

“ไม่เวอร์ค่ะ และก็ไม่ใช่แอคติ้งช่อง 7 ด้วย ของชิ้นนี้ให้แล้วต้องเก็บติดต่อตัวไว้ตลอดเลยนะ นอกจากเปลี่ยนชีวิตแล้วยังคุ้มครองชีวิตเราได้”

“จริงอะ”

ระหว่างที่พวกผมกำลังคุยเรื่องของฝากพี่เมตก็กลับเข้าห้องมาพอดี พี่มีนกลับมาแล้ว ขนมเต็มมือเหมือนเคย

“ทำอะไรกันอยู่น้องเมต”

“อ้าว พี่มีนเพิ่งมาถึงเหรอ ซื้อขนมอะไรมาฝากบ้างน้า” ผมแกล้งถามแต่ตามองไปที่ถุงขนมที่พี่มีนถืออยู่ พี่มีนมองพวกผมสองคนก่อนจะยื่นถุงขนมมาให้หนึ่งถุงใหญ่

“ซื้อโมจิมาฝากเอาไปแบ่งกัน”

“ขอบคุณครับ/ค่ะ”

ผมยังไม่ลืมเรื่องของฝากจากแม่หมูหรอกนะครับ อยากรู้จริงๆ ว่ามันคืออะไร หลังจากหยิบถุงขนมจากพี่มีนเสร็จก็ถามแม่หมูต่อทันที

“ไหนอะหมู”

“ให้ตอนนี้ไม่ได้เดี๋ยวพี่มีนเห็น” แม่หมูหันมากระซิบเสียงเบา

“ทำไมล่ะ” ผมกระซิบถามแม่หมูกลับ แล้วทำไมผมต้องกระซิบด้วยเนี่ย อยู่กันแค่นี้

“ค่อยเอาพรุ่งนี้” แม่หมูกระซิบตอบกลับผมอีกครั้ง แต่ก่อนที่เราจะกระซิบกันเพลินไปกว่านี้ พี่มีนก็ยุติวาระการกระซิบของพวกผมสองคน หลังจากเก็บกระเป๋าเสร็จ พี่เมตผมก็เดินเข้ามาหา คงอยากรู้ว่าพวกผมกำลังพูดเรื่องอะไรกัน เห็นหน้าโหดๆ แบบนี้ขาเมาท์นะครับขอบอก

“กระซิบกระซาบอะไรกัน”

“จะชวนพี่มีนเปิดบ่อน พรุ่งนี้ไม่มีเรียนเช้าใช่ไหม” แม่หมูสับขาหลอกเปลี่ยนไปเป็นเรื่องอบายมุขแทน

“นึกว่ามีเรื่องอะไร เดี๋ยวที่ปรึกษาหอพักก็มาเจอหรอก ระวังจะโดนทำโทษ” พี่มีนทำหน้าที่เป็นพี่เมตที่ดีพยายามตักเตือนรุ่นน้องที่กำลังออกนอกลู่นอกทาง

“ใช่ ผิดกฎหมายนะแม่หมู แต่ถ้าตำรวจไม่รู้เราก็ไม่ผิด” ผมตอบกวนๆ หลังผมพูดจบแม่หมูก็พูดต่อเพื่อสนับสนุนทันที

“เล่นเงียบๆ สิคะ ที่ปรึกษาหอไม่รู้หรอกน่าพี่มีน”

“เล่นกันสามคน?”

“ขำๆ ตาละบาทสองบาทน่าพี่มีน เล่นแก้เครียด แม่หมูเป็นเจ้า” ผมตอบรับหน้าบาน ถ้าพูดมาแบบนี้แสดงว่าเล่นด้วยแน่นอน เหลือแค่ถามว่าจะเอากี่ขา

จากนั้นผมกับพี่มีนก็เริ่มขบวนการล้มเจ้า แต่เล่นได้ไม่นาน พี่มีนก็ออกไปคุยโทรศัพท์ ขบวนการล้มเจ้าเลยต้องยุติ แม้ว่าตอนแรกตั้งใจจะเล่นถึงดึกก็ตามที ส่วนผมก็ต้องสานต่อภารกิจเลิฟหลังจากหยุดพักไปหลายวัน

“มะนาว โทรหากราฟเร็ว สองทุ่มกว่าแล้ว”

“แม่หมูวันนี้ลองคุยดูเองปะ เดี๋ยวจะแย็บๆ ให้ น่าจะถึงตอนที่นางเอกต้องเจอพระเอกแล้วละ” ผมพยายามพูดโน้มน้าวเพื่อนตัวกลม ตอนนี้ผมไม่รู้จะใช้มุกอะไรเนียนคุยกับกราฟแล้วอะ บางทีก็คุยเรื่องตัวเองบ้าง จนบางทีเหมือนคุยกับเพื่อนสนิทไปแล้ว

“คุยให้ก่อนน่า”

“แล้วจะคุยเองตอนไหน กราฟก็ดูมีใจอยู่นะ”

“น่าโทรให้หน่อย ถ้าไม่โทรช่วงนี้เดี๋ยวโทรไม่ติด” แม่หมูส่งเสียงอ้อนๆ ขอร้องผม แต่ก็จริงอย่างที่แม่หมูพูด ถ้าผมไม่โทรไปช่วงสองทุ่ม สายห้องนั้นจะไม่ว่างเลย

ตื๊ดดด ตื๊ดดด ตื๊ดดด

“กราฟครับ”

“กราฟ มะนาวนะ”

“ครับ”

“ทำอะไรอยู่อะ”

“คุยโทรศัพท์กับนาย”

“ฮ่าๆๆ ก็ถูกนะ แล้วก่อนหน้านี้ล่ะ”

“รอโทรศัพท์”

“คืนนี้กราฟจะออกไปมาร์ตชายหรือเซเว่นปะ” ปกติผมจะเห็นกราฟขับรถมอเตอร์ไซค์ไปมินิมาร์ตไปเซเว่นช่วงประมาณสามสี่ทุ่มเป็นประจำ หลังห้องของผมติดกับถนนพอดี มีแค่รั้วของหอพักที่เป็นกรงเหล็กกั้นเอาไว้ ถ้าหากเดินออกไปหลังห้องก็จะรู้ว่าใครขับรถผ่านไปมาบ้าง

“จะฝากซื้ออะไร”

“อยากกินกูลิโกะสตรอว์เบอร์รี มาร์ตชายของหมด หมูเอาอะไรไหม” ผมหันไปถามเพื่อนตัวกลมที่นั่งเงี่ยหูฟังอยู่ที่เตียงนอนของตัวเอง แต่แม่หมูส่ายหน้า

“ฝากซื้ออย่างอื่นได้นะ ออยด์จะเอาอะไรไหม”

“แต๊งกิ้ว ออยด์ได้ยินนี่ปลื้มเลย แต่ออยด์ไม่ฝากซื้ออะไรนะ”

“นายจะเอากี่กล่อง?”

“สองกล่อง กราฟขับผ่านหลังห้องมะนาวก่อนนะจะได้ฝากตังค์ให้เลย”

“ครับ”

“กราฟกำลังฟังเพลงอะไรอะ ซาวนด์แปลกดี” ระหว่างคุยผมได้ยินเหมือนเสียงเพลงแทรกเข้ามา แปลกวันนี้ไม่มีเสียงพี่เมตยักษ์แทรกเข้ามา สงสัยอยู่คนเดียวแน่นวล ถึงได้เปิดเพลงกระหึ่มขนาดนี้ พอผมทักเรื่องเพลง เสียงเพลงก็เบาลงแป๊บหนึ่งแล้วก็เงียบหายไปเลย

“อ้าว ปิดเพลงทำไมอะ ไม่ต้องปิดๆ เปิดได้”

“นึกว่าดังไป”

“ไม่ๆ แต่วันนี้ห้องกราฟเงียบ เลยได้ยินเพลงน่ะ แล้วสรุปเพลงอะไร เผื่อจะได้ไปลองฟังดูบ้าง”

“Nothing's Gonna Hurt You Baby”

“ของใครอะ”

“Cigarettes After Sex”

“อ่อ Cigarettes After Sex มิน่าซาวนด์คุ้นๆ เหมือนมะนาวเคยได้ยินออยด์เปิดเพลงนี้นะ แล้วกราฟมีเพลงแนวนี้อีกไหม ฝากไรต์ลงซีดีมาให้แผ่นหนึ่งดิ”

“ได้ เดี๋ยวทำให้”

“ฝากด้วยนะ แล้วกราฟอย่าลืมแวะมาเอาตังค์ล่ะ”

ประมาณสี่ทุ่มนิดๆ กราฟก็ขี่มอเตอร์ไซค์แวะมาเอาเงินค่าขนมจากผมที่หลังห้องแล้วก็เอาแผ่นซีดีเพลงมาให้หนึ่งแผ่น ได้มาผมก็ยื่นไปให้เพื่อนตัวกลมผมเปิดฟัง

ผมหันไปมองหน้าเพื่อนตัวกลมที่กำลังนั่งฟังเพลงด้วยใบหน้านิ่งๆ “แม่หมูเพราะไหม” แม่หมูปรับสีหน้าว่ากำลังเคลิบเคลิ้มกับเนื้อหาของบทเพลงที่กำลังฟังอยู่

“ก็...ก็พอฟังได้นะ แต่เข้าไม่ถึงเท่าไหร่”

พอแม่หมูขึ้นไปนั่งอ่านนิตยสารบนเตียง ผมก็ลงไปนั่งหน้าจอคอม เสียบหูฟัง นั่งฟังจนเกือบครบทุกเพลง ผมว่าซาวนด์เพราะดีนะ เสียอย่างเดียวภาษาอังกฤษผมไม่แกร่งเท่าไหร่ เลยไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร นั่งรออยู่นาน กราฟก็ยังไม่มาสักที นี่ก็ดึกละ ผมเลยเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัว เตรียมอาบน้ำ

“นาย!” เสียงกราฟเรียกผมที่ริมรั้วหลังห้อง สงสัยกลับมาแล้ว ตอนแรกตั้งใจให้แม่หมูเป็นคนออกไปรับแต่ก็ดันอาบน้ำพอดี

“มาแล้วว” ผมขานรับแล้วรีบปีนหลังห้องวิ่งไปที่กรงรั้วเหล็กทันที แต่ทางมันมืดผมเลยสะดุดเถาวัลย์ล้ม กลิ้งไม่เป็นท่า ผมได้ยินเสียงกราฟหัวเราะออกมาตามสไตล์

“ฮะๆ ท่าตอนนายล้มน่ารักดี”

“ไม่มีท่าโว้ยยย มันล้มของมันเอง เสียหน้าหมดเลย”

“นี่ ขนมของนาย” กราฟแค่ยกมือขึ้นก็ยื่นขนมผ่านรั้วมาได้สบายๆ แต่ผมนี่สิต้องเขย่งรับ นี่คืออีกหนึ่งข้อดีของการเกิดเป็นยักษ์สินะ ผมรู้สึกว่ากราฟจ้องมองผมเขม็ง เลยหันกลับไปมองตอบมัน ‘มองอะไรอะรูปหล่อ?’ กราฟหลบสายตาผม แล้วพูดออกมาเบาๆ กับแฮนด์รถแข่งคันจิ๋วของมัน “รีบกลับเข้าห้องเถอะ” พูดเสร็จก็รีบสตาร์ตรถมอเตอร์ไซค์ขับบึ่งออกไปทันที

“...” ผมมองสำรวจตัวเอง ปัดเศษหญ้าเศษดินที่ติดอยู่ตามตัว ทำให้นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ตัวผมมีแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวห่อหุ้มร่างกายที่หมิ่นเหม่จะหลุดอยู่รอมร่อ ผมลืม! เมื่อกี้ผมรอคิวอาบน้ำต่อจากแม่หมู แต่จะว่าไปผมว่าหุ่นผมก็ได้อยู่นะ พอไปวัดไปวาได้น่า ฮี่ๆ ฮี่ๆ

(ต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ ryoushena

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-2
เช้าแล้วผมยังคงนอนอยู่บนเตียง นอนเงียบๆ คนเดียวยังไม่อยากตื่น สมาชิกห้องผมออกไปเรียนกันหมดแล้ว ผมรู้สึกขี้เกียจชะมัด วันนี้ผมไม่มีเรียนเช้า แต่ตอนเที่ยงโก๋ดันนัดผมให้ไปกินข้าวที่โรงอาหารอาคารเรียนรวม นานๆ ทีผมถึงจะเดินไปกินข้าวที่นั่นสักครั้ง ผมไม่อยากไปเบียดกับคนเยอะๆ แถมโต๊ะกินข้าวส่วนใหญ่ก็จะเป็นโต๊ะประจำของแต่ละคณะที่ส่งต่อกันรุ่นสู่รุ่น เด็กมัลติอย่างผมไม่มีโต๊ะประจำเหมือนคณะอื่นหรอก ถ้าไปกินทีก็ลำบาก ผมเลยไม่ค่อยชอบไป แต่วันนี้โก๋มีเดตกับเบิร์ดเด็กปีหนึ่งคณะวิศวะที่มันกำลังลองๆ คบกันอยู่ มันไม่อยากนั่งรอคนเดียวเลยลากผมให้ไปรอเป็นเพื่อนด้วย ประมาณสิบเอ็ดโมงนิดๆ ผมถึงลุกจากเตียงไปอาบน้ำแต่งตัว ขับรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจออกไป พอจอดรถที่ลานจอดรถเรียบร้อย ผมก็โทรศัพท์หาโก๋หรืออีผีทันที

“โก๋ มึงอยู่ไหน”

“อยู่ที่โรงอาหารแล้ว”

“แล้วอยู่แถวไหน จะได้เดินไปถูก”

“มะนาวจอดรถฝั่งไหน บรรณสารหรือฝั่งอาคารเรียนรวม”

“จอดไว้ที่บรรณสาร”

“งั้น เดินขึ้นมาก็เจอเลย”

“เค แค่นี้ เดี๋ยวเดินไป”

ผมไปถึงตอนเที่ยงพอดิบพอดี นักศึกษาเริ่มทยอยมากินข้าวกลางวันกันบ้างแล้ว เสียงดังเซ็งแซ่ แต่อีกไม่นานคนคงเต็มโรงอาหารเหมือนเช่นทุกวัน ผมเดินไปถึงโถงโรงอาหาร โก๋ก็ยกมือส่งสัญญาณให้ผมเดินเข้าไปหา

“มะนาว ทางนี้”

“เบิร์ดยังไม่มาเหรอ”

“ยัง วันนี้เบิร์ดน่าจะเลิกเรียนเลตหน่อยหนึ่งนะ เลยชวนให้มานั่งเป็นเพื่อนไง ไม่กล้านั่งคนเดียว”

“แล้วจะกินอะไร”

“เดี๋ยวรอให้เบิร์ดโทรมาก่อน มะนาวไปซื้อก่อนก็ได้”

“เอางั้นใช่ไหม งั้นเดี๋ยวกูไปซื้อก่อนนะ”

ผมเดินไปต่อแถวซื้อก๋วยเตี๋ยวแขก ร้านนี้ผมชอบกินนะอร่อยดี แต่ไม่ค่อยได้มา ก็อย่างที่บอกขี้เกียจเบียดคนเยอะ ซื้อเสร็จ ตอนนี้คนเริ่มเยอะแล้วครับ โต๊ะที่ว่างๆ มีนักศึกษานั่งกันเกือบเต็ม พอคนเริ่มเยอะที่เคยเงียบๆ ก็เริ่มเสียงดัง แต่ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนถูกใครจ้องอยู่ ผมมองกลับไปด้านหลัง แต่ก็ไม่ยักเห็นมีใครมอง สงสัยคงคิดมากไปเอง ไม่ก็เป็นอะไรสักอย่างที่ผมมองไม่เห็นมั้ง ความรักนั่นไงล่ะ ฮ่าๆๆ

เพื่อนชายคนสนิทของเพื่อนผมมาถึงแล้ว พอผมวางก๋วยเตี๋ยวแขกของผมเสร็จ สองคนนั้นก็ลุกออกไปซื้อข้าว

“ข้างๆ มีคนนั่งไหมครับ?” เสียงคุ้นหูถามผม หวังว่าโต๊ะที่พวกผมนั่งคงไม่ใช่โต๊ะประจำของเด็กคณะไหนหรอกนะ

“ข้างๆ ว่างครับ แต่ฝั่งตรงข้ามมีคนนั่งสองคน” ผมหันไปตอบผู้ชายอีกคนที่เดินเข้ามา ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกครับ ยักษ์ตี๋นี่เอง พี่จิ้นนั่งแหมะลงข้างๆ ผม พร้อมกับวางจานข้าวที่ถือมาด้วยลงบนโต๊ะ

“มะนาวยังไม่ได้ซื้อน้ำใช่ไหม เอาน้ำอะไร เดี๋ยวพี่ซื้อให้”

“อ่อ ไม่เป็นไรครับพี่จิ้น มะนาวไปซื้อดีกว่า พี่จิ้นเอาน้ำอะไร”

“พี่ไม่ได้ไปซื้อหรอก ฝากเพื่อนซื้อน่ะ โน่นมันต่อแถวอยู่จะได้ฝากมันซื้อทีเดียว”

“งั้น มะนาวเอาน้ำแดงครับ”

จากนั้นพี่จิ้นก็โทรศัพท์บอกเพื่อน พี่จิ้นนี่กลิ่นดีตลอดจริงๆ นะครับ นี่ขนาดเที่ยงวันแล้วผมยังได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยเข้าจมูกตลอดเลย คนอะไรตัวหอมได้ทั้งวัน สงสัยคงแช่อ่างน้ำหอมก่อนนอนทุกคืน วันนี้พี่จิ้นก็ยังดูดีตามฉบับพี่แกเหมือนเดิมแหละครับ เวลาใส่เสื้อชอปคณะพี่แกก็ดูเท่ไม่หยอก ในความคิดผม คนที่ตัดสกินเฮดแล้วดูดีมีน้อยนะครับ เพราะถ้าเอาไม่อยู่ สกินเฮดกับการบวชพระนี่ใกล้ๆ กันเลย

“มึงกูเอาน้ำแดงสอง นั่งโต๊ะติดฝั่งบรรณสารนะ”

“อ้าว มึงไม่นั่งโต๊ะคณะเราเหรอวะ”

“เออ พอดีเจอน้อง”

ระหว่างที่ผมนั่งอยู่กับพี่จิ้น ถ้ามีเด็กวิศวะคณะพี่แกเดินผ่านมาก็รีบยกมือไหว้กันใหญ่ ว่าไปหน้าพี่จิ้นเวลาอยู่เฉยๆ ดูเลวแบบจริงจังเลยนะครับ น่ากลัวด้วย น้องในคณะคงกลัวกันหัวหด ยิ่งอยู่ปีใหญ่สุดแบบนี้ด้วยความน่าเกรงขามยิ่งเพิ่มสูงขึ้นไปอีก หล่อ เท่ ตี๋ นี่คือนิยามพี่จิ้นสำหรับผม ผมนั่งอยู่กับพี่จิ้นสองต่อสองได้สักพัก เพื่อนพี่จิ้นก็เดินถือขวดน้ำมาที่โต๊ะ ไม่นานหลังจากนั้นโก๋กับเพื่อนชายคนสนิทก็ซื้อข้าวเสร็จ นั่งครบองค์ก็เริ่มแนะนำว่าใครเป็นใคร พวกผมก็นั่งกินกันไปเงียบๆ ส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อนพี่จิ้นที่เป็นคนชวนคุย พี่แกเป็นคนคุยสนุก

“น้องมะนาวอยู่หอไหนครับ”

“หอ 13 ครับ”

“แปลกจัง พี่ก็อยู่หอ 13 นะ ทำไมไม่เคยเห็นหน้าเราบ้างเลย น้องมะนาวอยู่โซนไหนครับ พี่อยู่โซนเอ” เพื่อนพี่จิ้นคนนี้ชื่อกุ้งครับ พี่กุ้งคุยเก่ง ดูเป็นผู้ชายอารมณ์ดี พูดไปก็ยิ้มไป

“ไอ้กุ้งมึงส่งน้ำแดง ‘ของกู’ มาดิ”

“เออๆ ไอ้ห่า ทำไมไม่รู้จักหยิบเอง ก็เห็นอยู่ว่ากูกำลังคุยกับน้อง”

จากนั้นคุยต่อกันไม่นานก็ต้องรีบกินกันเพราะพวกผมมีเรียนตอนบ่าย ระหว่างทางที่เดินออกจากโรงอาหารผมก็ยังรู้สึกเหมือนมีคนมอง

“โก๋ กูรู้สึกว่าเหมือนถูกมองอยู่ตลอดเลยว่ะ”

“รู้สึกช้าไปไหมเพื่อน มึงจะไม่รู้สึกได้ไง โน่นกลุ่มโน้นเล่นมองมาที่มึงทั้งโต๊ะ” โก๋พูดพร้อมกับพยักพเยิดหน้าหันไปยังโต๊ะที่มีนักศึกษานั่งอยู่กลุ่มใหญ่ หลายคนใส่เสื้อรุ่นแบบเดียวกัน ด้านหลังเขียนว่า วิศวกรรมอุตสาหการ พอผมหันไปก็เห็นว่านักศึกษาทั้งโต๊ะก็จ้องมาทางผมเป็นตาเดียวจริงๆ แต่ผมเห็นเหมือนมีมือใครสักคนโบกมือมา แต่มองไม่ชัดว่าเป็นใคร ผมยังไม่ทันได้ทำอะไร ไอ้โก๋ก็ดึงแขนผมให้เดินตามมันไป บอกว่าใกล้ถึงเวลาเข้าเรียนแล้ว ผมกับโก๋เลยรีบเดินเข้าห้องเรียน

“สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ นักศึกษาทุกคน ถึงเวลาคลายเครียดจากการอ่านหนังสือมาฟังเพลงเพราะๆ กันแล้วนะคะ วันนี้น้ำอุ่นกับน้ำเหนือรับหน้าที่เป็นดีเจ เราจะอยู่ด้วยกันตลอดชั่วโมงครึ่งนะคะ ใครอยากขอเพลงไหนมอบให้กับใครขอเข้ามาได้เลยค่ะ เรายินดีจัดให้ตามคำขอ วันนี้เรามีโจทย์เพลงให้เล่นกันสนุกๆ กันเหมือนเดิมนะคะ จะได้เข้ากับบรรยากาศของอากาศช่วงนี้ของมหาวิทยาลัยเราที่เริ่มเย็นลงแล้วเนอะ แต่ทำไมบางวันฝนยังตกอยู่ งงในงงจริงๆ ค่ะ ช่วงนี้เพื่อนๆ ก็ดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็นเดี๋ยวฝนตก สามฤดูในหนึ่งวันเลยทีเดียว ว่าแต่โจทย์เพลงของเราวันนี้เป็นอะไรคะน้ำเหนือ”

“โจทย์เพลงวันนี้เราจะไม่เน้นความหมายครับน้ำอุ่น จะเป็นเพลงแอบรัก อกหัก อินเลิฟ ก็ขอมาได้เลย จะโทรเข้ามาเอง แต่เงื่อนไขมีอยู่ว่าต้องเป็นเพลงดังในอดีต เพลงลูกทุ่งหรือลูกกรุงเท่านั้นครับ”

“โห แค่คิดก็สนุกแล้วเนอะ อยากรู้เหมือนกันว่านักศึกษามหาลัยเราจะมีใครรู้จักหรือฟังเพลงแนวนี้กันบ้างหรือเปล่า”

“ผมว่ามีเยอะครับ แถวหอผมเปิดฟังกันทุกวัน”

“จริงเหรอคะ”

“จริงครับ ฮ่าๆๆ”

“ใครชอบใคร งอนใครอยู่ หรืออยากง้อขอคืนดี หรืออยากส่งกำลังใจให้ใคร อย่าลืมโทรเข้ามาหาเรานะค้า เราสองคนรออยู่”
สถานีวิทยุหอพักในมหาวิทยาลัยของผมเริ่มเปิดรายการประมาณสี่โมงครึ่งของทุกวัน ผมว่าเขาช่างคิดโจทย์เพลงมาให้ขอในแต่ละวัน นักศึกษาก็มีโทรเข้าขอเพลงบ้าง ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเพลงบอกรัก ส่งเพลงจีบกัน ผมว่าน่ารักดี แต่โจทย์เพลงวันนี้ผมว่ายากนะ ใครจะโทรเข้าไปขอเพลงลูกทุ่งจีบกันบ้าง เย็นนี้ผมกับแม่หมูออกมานั่งเล่นหน้าห้อง ช่วงนี้อากาศดีครับ พอดวงอาทิตย์ตก อากาศก็เริ่มเย็นๆ ลงละ ประมาณห้าโมงกว่าๆ ฟ้าก็เริ่มค่ำแล้ว หน้าหนาวจะมืดเร็วกว่าปกติ

“อยากรู้เหมือนกันว่าใครจะโทรเข้าไป”


“ฉันนี่ไง

“ขอเพลงอะไร ผู้ชายในฝัน?”

“บ้า! โทรเข้าไปขอมาแล้วย่ะ รอฟังแล้วกัน”

“ยังไม่ถึงห้านาทีก็มีคนโทรเข้ามาขอเพลงแล้วค่ะ ความหมายดีซะด้วย สงสัยไม่อยากนอนหนาว มาฟังกันเลยดีกว่าค่ะกับเพลงนี้เลย พระจันทร์หัวเราะ มีข้อความฝากมาด้วย บอกว่าฝากถึงหนุ่มโซนดีหอ 13 จากสาวโซนเอฟห้อง 7712 ไปฟังกันเลยคร้า”

♫ ♬ ♪ โอ้ ลมหนาว มาเยือน มาหา
เคาะประตูบ้านฉัน
เธอใช่ไหม เอ๊ะใครกันนั่น
หรือลมเหมันต์เล่นกล...
พอประตูแย้ม พระจันทร์ก็เย้ย
หนูเอ๋ยไม่มีเลยสักคน
พระจันทร์หัวเราะ...
ถูกหลอก อีกหนแล้วหนา ♫ ♬ ♪

“จบไปแล้วนะคะ สำหรับเพลงความหมายน่ารักๆ คีย์เวิร์ดของเพลงนี้คือ หนูเป็นสาวแล้วไม่อยากนอนหนาวแล้วใช่ไหมคะ น่ารักจริงๆ เป็นอีกเพลงที่ความหมายดีและเข้ากับบรรยากาศหน้าหนาวที่กำลังจะมาถึง หนุ่มๆ โซนดีถ้าฟังอยู่ ห้อง 7712 เขาไม่อยากหนาวแล้วนะคะ”

“คุณน้ำอุ่นครับสงสัยหนุ่มโซนดีฟังอยู่แน่ๆ เลยครับ โทรเข้ามาขอเพลงให้กับห้อง 7712 ซะด้วย แหม่ ไม่ยอมกันเลย งั้นเราไปฟังกันเลยดีกว่าครับกับเพลงนี้ เป็นโสดทำไม”

♫ ♬ ♪ เป็นโสดทำไม อยู่ไปให้เศร้าเหงาทรวง ไม่คิดจะหาคู่ควงเดี๋ยวจะร่วง พ้นวัยไปเปล่า
เกิดมาเดียวดายจะตายเพราะความเหงาเศร้า แต่งงานกันเสียเถอะเรา อยู่ว่างเปล่าไม่ดีอะไร
เป็นโสดทำไม เปลี่ยวใจในยามร้อนรน ควรหาคนรักสักคน ไว้เปรอปรนช่วยพัดวีให้
เมื่อเข้าหน้าฝน มีคนคู่เคียงชิดใกล้ หน้าหนาวกระแซะเข้าไป กอดกันให้ผ้าห่มอิจฉา ♫ ♬ ♪

“กรี๊ดดดด วันนี้มีคนขอเพลงให้ห้องเราด้วย บาปบุญมาก อย่างนี้ต้องฉลอง” แม่หมูกรี๊ดลั่นห้องด้วยความปลิ่มใจ

“ฉลองยังไง?”

“เล่นไพ่ฉลองสิมะนาว เดี๋ยวโทรชวนขาแป๊บ”

สรุปคืนนี้ห้องผมตั้งวงไพ่ แม่หมูโทรศัพท์ไปบอกพี่เมตเรียบร้อยบอกให้ชวนเพื่อนมาด้วย ส่วนผมแม่หมูให้โทรศัพท์ไปชวนโก๋กับแฟนมาเล่นด้วยกัน ห้องผมจะเปิดบ่อนฉลองที่มีคนขอเพลงให้ แต่ผมว่าเอาจริงๆ แล้ว ถึงจะไม่มีใครโทรขอเพลงให้ห้องผม คืนนี้ก็ต้องมีการตั้งวงไพ่อยู่ดี เพราะตั้งแต่แม่หมูได้สำรับไพ่มาใหม่ วนมาถึงคืนวันศุกร์ทีไร เป็นอันต้องตั้งวงตลอด

เมื่อถึงเวลานัดหมายแม่หมูก็ตั้งตัวเป็นเจ้ามือ สรุปวันนี้ห้องผมมีขาไพ่ทั้งหมดเจ็ดคน พี่มีนชวนเพื่อนมาด้วยสองคน เราก็เล่นกันไม่หนักนะครับ ขาละห้าบาท สิบบาท เอาสนุก ตอนนี้แม่หมูมือขึ้นเจ้าป๊อกตลอดแถมเรายังต้องซ่อมเด้งให้แม่หมูอีกด้วย ใครป๊อกก่อนก็รอดตัวไป เล่นไปสักพักคนในวงก็เริ่มสนุกเสียงก็เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ พอคนมากระจุกรวมตัวกันอยู่ในห้องเล็กๆ แถมยังปิดประตูทั้งด้านหน้าด้านหลัง พวกเราก็เริ่มร้อน พี่มีนเลยใช้ให้ผมไปแง้มประตูด้านหน้าไว้นิดหนึ่งจะได้มีอากาศถ่ายเทบ้าง

“ป๊อกแปดสองเด้ง” ผมร้องเสียงดังพร้อมกับหงายไพ่ ถ้าตานี้ถูกกินเงินที่หน้าตักผมก็ไม่เหลือแล้วนะ ตานี้ผมได้กินแน่นอน

“ป๊อกแปดแต่ไม่เด้ง” โก๋หงายไพ่

ตอนนี้พวกเรากำลังลุ้นกันว่าไพ่ของแม่หมูจะป๊อกหรือเปล่า แม่หมูหยิบไพ่ตรงหน้าขึ้นมา ค่อยๆ คลี่ไพ่ทีละใบ ทุกคนในวงก็ลุ้นตาม จากนั้นคุณเธอก็หงายไพ่วางเบาๆ ลงบนผ้าที่วางอยู่ตรงหน้า

“ป๊อกเก้าสองเด้งค่ะ เมื่อกี้ใครป๊อกแปดเสียใจด้วยนะคะ แต้มบุญคุณยังแรงไม่พอคร้า” สรุปตานี้ป๊อกแปดสองเด้งของผมถูกกิน ดีใจเก้อจนได้

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

“เชิญค้าาาา/เชิญคร้าบบ”

แอ๊ดดดด

“ทำอะไรกัน?”

วงแตก! ที่ปรึกษาหอพักเปิดประตูเข้ามา ขณะที่พวกผมกำลังลุ้นไพ่กันอยู่ ในมือของแม่หมูยังจับไพ่ค้างอยู่เลย เงินก็วางไว้กันเต็มหน้าตัก แบบนี้ใช่ไหมที่เขาเรียกว่าถูกจับโดยละม่อม

ออฟไลน์ ryoushena

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-2
THE CALL - เมื่อผมเป็นพ่อสื่อให้คางคก

The Call Chapter 13: เครื่องรางล้างจิ้น

วันต่อมาที่ปรึกษาหอพักเรียกพวกผมทั้งหมดเข้าไปคุยและรับฟังบทลงโทษจากการเล่นการพนันในหอพัก สถานการณ์ในห้องเงียบกริบมีเพียงเสียงลมหายใจดังเบาๆ พ่นออกมาเป็นช่วงๆ เพื่อแสดงว่ายังมีสิ่งมีชีวิตชุมนุมกันอยู่ในห้องนี้ พวกผมไม่มีใครกล้าสบตากับที่ปรึกษาหอพักที่ยืนจังก้าอยู่ด้านหน้า หลังประโยคคาดโทษของที่พักปรึกษาหอ ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ เล็ดลอดออกมาจากพวกผม ทุกคนนั่งเงียบใช้เพียงประสาทส่วนหูฟังบทลงโทษ บางคนก้มหน้ามองตักของตัวเอง บางคนก็มองพื้นผนังห้อง ในใจหวังว่าโทษในครั้งนี้คงจะไม่ร้ายแรงมาก

“พวกคุณรู้ใช่ไหมว่าการเล่นการพนันในหอพักต้องถูกทำทัณฑ์บน” ที่ปรึกษาหอเว้นระยะในการพูดไว้สักครู่ ก่อนจะเริ่มต้นกล่าวประโยคต่อไป “ช่วงนี้หอพักของเราจะมีการจัดแข่งฟุตซอลระหว่างหอพัก พวกคุณรู้เรื่องนี้กันใช่ไหม ถ้าพวกคุณช่วยกิจกรรมนี้ผมจะไม่ทำทัณฑ์บน”

ผมใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อยที่จะไม่ถูกทำทัณฑ์บน คิดว่าที่ปรึกษาหอพักคงจะให้พวกผมลงแข่งฟุตซอลแน่ๆ นักศึกษาอาจจะไม่ได้ส่งทีมเข้าแข่งขันครบตามจำนวนที่ต้องการ ตอนนี้บรรยากาศของห้องจากที่ตึงเครียดเริ่มดูผ่อนคลายลง

พวกผมที่ถูกจับไพ่มีทั้งหมดเจ็ดคน จัดทีมฟุตซอลได้หนึ่งทีมพอดี ถ้าจะให้ลงแข่งจริงๆ ผมว่าก็น่าจะไหว เพราะสมัยมัธยม ผมเคยเล่นฟุตบอลมาบ้าง เป็นห่วงก็แค่เพื่อนตัวกลมของผมนี่แหละ คงกลิ้งตามลูกบอลไม่ไหวแน่ๆ

“จะให้พวกผมช่วยยังไงครับ” เสียงพี่มีนถามเปิดประเด็นหลังจากเงียบเสียงไปนาน

“จะให้พวกผมตั้งทีมลงแข่งหรือเปล่าครับ?” พี่กุ้งเพื่อนพี่มีนถามต่อเป็นคนที่สอง

“พวกคุณไม่จำเป็นต้องลงแข่ง เพราะนักศึกษาส่งรายชื่อทีมเข้าแข่งขันครบตามจำนวนแล้ว เหลือแค่เรื่องวันเปิดงาน ผมอยากให้พวกคุณช่วยเรื่องนี้แทน”

“คร้าบบบ” พวกผมประสานเสียงขานรับ ตอนนี้ค่อยหายใจคล่องขึ้นมาหน่อย นึกว่าจะให้ทำอะไร แค่ให้ช่วยเตรียมงานเรื่องจิ๊บๆ ให้แบกไม้ ตีเส้นสนามฟุตบอล ขนโต๊ะเก้าอี้ ผมทำได้

“ดี งั้นเดี๋ยวผมจะได้นัดเวลาให้พวกคุณมาซ้อม”

“ซ้อมอะไรครับ” พี่กุ้งกับพี่มีนพูดขึ้นมาเกือบจะพร้อมๆ กัน

“การแสดงวันเปิดงาน”

“หา! เฮ้ย!” จากตอนแรกที่นั่งกันอยู่เงียบๆ ตอนนี้พวกผมกลับร้องเสียงหลงพร้อมเพรียงกัน

“ให้แสดงอะไรคะ” แม่หมูพูดแทรกขึ้นมาระหว่างที่พวกผมกำลังบ่นสงสัย ทำให้ทุกคนเงียบเสียงลงเพื่อรอฟังคำตอบ

“เต้นง่ายๆ”

“เดี๋ยวผมจะให้โอมเป็นคนอธิบายรายละเอียดการแสดงทั้งหมดให้พวกคุณฟัง”

“เต้นอะไรคะพี่โอม” แม่หมูถามแทนพวกผมที่ตอนนี้อารมณ์เหมือนคนตกหลุมขนาดใหญ่แบบไม่ทันตั้งตัว มันก็จะงงๆ มึนๆ นิดหนึ่งแหละ

“เดี๋ยวก็รู้ครับ แต่ไม่ยาก เต้นง่ายๆ ทุกคนเต้นได้แน่นอน” พี่เข้มตอบคำถามแม่หมู แต่ตาจ้องมาที่ผม จากนั้นพี่เข้มก็ทำหน้าที่อธิบายถึงรายละเอียดการแสดงที่พวกผมต้องทำ

สรุปพวกผมต้องเต้นแสดงวันเปิดงาน แต่ยังไม่รู้ว่าจะต้องเต้นแบบไหน ก่อนเริ่มงานหนึ่งวัน พี่โอมนัดให้พวกผมมารวมตัวกันเพื่อซ้อมท่าเต้น พวกเรามากันครบ พี่มีน (พี่เมตผม) พี่กุ้ง (เพื่อนพี่มีน) พี่แหนม (เพื่อนพี่มีน) โก๋ เบิร์ด (เพื่อนชายคนสนิทของโก๋) แม่หมู และผม พวกผมซ้อมกันไปมึนกันไป หน้าแต่ละคนเหมือนอมบอระเพ็ด ทุกคนอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก คือจะปฏิเสธก็ไม่ได้เพราะเหมือนถูกบังคับกลายๆ มีทางเลือกให้พวกผมทำได้อย่างเดียวตอนนี้คือทำใจ และใช้คำปลอบใจตัวเองเป็นคำสั้นๆ คำเดียวแต่ความหมายกินใจว่า ซวย

และแล้ววันงานก็มาถึง หลังฝนตกแต่ฟ้ายังคงมืดมนสำหรับพวกผมทั้งเจ็ดคน

ตึงตะลึงตึงโป๊ะ! ตึงตะลึงตึงโป๊ะ! ตึงตะลึงตึงโป๊ะ!

“มะหมี่” สิ้นเสียงตีรัวกลองจบลง เสียงเรียกนักแสดงเปิดงานแข่งฟุตซอลจำนวนเจ็ดคนก็ดังขึ้น

“ขา…” มะหมี่ทั้งเจ็ดส่งเสียงขานรับลากยาว พร้อมเสียงเป่าปากวี้ดดวิ่วจากเหล่าคนดูข้างสนาม

“มะหมี่” เสียงขานเรียกดังยาวขึ้นอีกรอบ

“ขา…” เสียงนักแสดงเปิดงานก็ขานรับตอบลากยาวอีกรอบเช่นกัน

ตอนนี้พวกผมทั้งเจ็ดคนยืนอยู่กลางสนามฟุตซอลที่เคยเป็นแค่เป็นลานหญ้าโล่งๆ ขนาดใหญ่ แต่ถูกนำมาดัดแปลงเป็นสนามแข่งฟุตซอลแบบเฉพาะกิจ ทุกคนมีสีหน้าคล้ายกับคนที่เพิ่งรู้กำหนดวันโลกแตก แต่ละคนมีสีหน้าแตกต่างกันไป บ้างเหม่อลอยคล้ายคนบ้า บ้างเฉยชาคล้ายคนไร้จิตวิญาณ บ้างหน้าแดงเหงื่อแตกซ่กเพราะปรับอารมณ์ไม่ถูกว่าจะอาย เขิน หรือตื่นเต้นดี
สภาพพวกผมตอนนี้มีโบขนาดใหญ่คาดอยู่บนศีรษะคนละสี เจ็ดคนก็เจ็ดสี ผมสีเขียว แม่หมูสีแดง โก๋สีฟ้า เบิร์ดสีม่วง พี่กุ้งสีเหลือง พี่แหนมสีส้ม และพี่มีนสีชมพู ดูไกลๆ สักร้อยเมตรคงเหมือนยอดมนุษย์ที่กำลังจะมากู้โลก ถ้าคุณเป็นคนมองโลกในแง่ดีจะคิดแบบนั้น แต่ถ้าไม่ใช่จะมองเห็นเป็นเหล่าฝูงสัตว์ประหลาดที่กำลังจะมาบุกทำลายล้างโลกใบนี้ให้สิ้นซากแทน ช่วงบนร่างกายของพวกผมใส่เสื้อกล้ามสีขาวลายกระทิงแดงคู่สองตัวที่กำลังจะใช้เขาขวิดกัน ตรงกลางของเสื้อมีคำภาษาอังกฤษที่คนทั้งโลกรู้จัก RED BULL EXTRA ส่วนช่วงล่างเป็นกระโปรงฟูฟ่องสีเดียวกันกับโบที่ใช้คาดไว้บนหัวของแต่ละคน
ถ้าใครคิดภาพตามไม่ออกผมแนะนำให้หยุดคิด เพราะคุณอาจละเมอถึงพวกผมได้จนไม่กล้าลุกมาเข้าห้องน้ำกลางดึก แค่ผมหันหน้าไปมองสภาพพี่เมตของผมที่ปกติหน้าโหดเยี่ยงหัวหน้าของเหล่าขุนโจร แต่เกิดคึกหยิบกระโปรงสีชมพูหวานแหววมาใส่ก็สยองแล้ว นี่ยังไม่รวมเพื่อนพี่เมตของผมทั้งสองคนอีก ส่วนรองเท้าคนเลือกก็ช่างสรรหาเป็นรองเท้าแตะแบบคีบมาให้พวกผมใส่กันครบทั้งเจ็ดสี

เหล่าบรรดานักแสดงทั้งเจ็ดคนอยู่ในท่าเตรียม ขาขวาก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อยพร้อมกับย่อตัวลง มือทั้งสองข้างวางประกบกันไว้บนขาด้านขวาที่ก้าวออกไปเพื่อเตรียมตัวเข้าครัว ขูดมะพร้าว

ตึ่ง โป๊ะ ตึ่่ง ตึ่่ง ตะ โล้ง โต้ง ตึ้งๆ

เสียงรัวกลองทอมเป็นจังหวะคึกคักเร้าใจพร้อมเสียงผิวปากชอบใจของเหล่ากองเชียร์และนักกีฬาฟุตซอลที่เข้าร่วมการแข่งขันจำนวนหลายร้อยคน บรรยากาศของงานแข่งกีฬาฟุตซอลวันนี้ดูสนุกสนานครื้นเครงมากที่สุดในสามโลก ยกเว้นสิ่งมีชีวิตทั้งเจ็ดคนที่อยู่กลางสนาม ถึงเวลาที่เหล่านักแสดงทั้งเจ็ดคนจะต้องวาดลวดลายที่ฮากว่าท่าเต้นกังนัมสไตล์แล้ว

“มะหมี่ มะหมี่ มะหมี่ขูดมะพร้าวทำกับข้าวอยู่ในครัว” มะหมี่ทั้งเจ็ดอยู่ในท่าขูดมะพร้าวย่อตัวขึ้นลงตามจังหวะกลอง

“มะหมี่ไม่รู้ตัวถูกคนชั่วลากเอาไป” มะหมี่ทั้งเจ็ดที่กระโดดแบบย่อตัวถอยหลัง ทำมือกระชากผมตัวเอง

“เอาไม้ แหย่รู ถูๆ ไถๆ” มะหมี่ทั้งเจ็ดในท่าแหย่รูทั้งหน้าและหลัง

“ทั้งแสบทั้งคัน มันๆ ปนกันไป” นักแสดงอยู่ในท่าเงยหน้ามองฟ้า มือขวาห้อยอยู่ด้านหน้ามือซ้ายอยู่ด้านหลัง

“เอาออกก็ไม่ได้ ใครก็ได้ช่วยเอาออกที” นักแสดงโยกตัวไปข้างหน้าทีข้างหลังทีตามจังหวะกลอง

**ซ้ำสองรอบ

การแสดงจบลงผมได้ยินแค่เสียงเป่าปากพร้อมกับเสียงปรบมือดังสนั่นแว่วผ่านหู แต่ตอนนี้ผมเหมือนถูกฉีดยาชาถอนฟันคุดที่หน้า ถ้าหากใครมีคดีความกับผม หรือนึกหมั่นไส้อยากตบอยากชกหน้าผมเพื่อชำระความละก็ ผมพร้อมให้ตบให้ชกให้เตะหน้าได้ตอนนี้เลย ผมเพิ่งเข้าใจอารมณ์สาวน้อยตกน้ำหรือสาวนักเต้นหน้ารถไต่ถังก็วันนี้ที่เขาทำหน้าตายขณะเต้น แต่ต้องเต้นให้มันสะใจคนดู เซ็งเหี้ยๆ แต่ต้องมันตามหน้าที่ ผมกวาดตามองมะหมี่จำเป็นอีกหกคน ทุกคนต่างมีสีหน้าและสภาพไม่ต่างกัน ทุกคนถอนหายใจเฮือกใหญ่หลังสิ้นเสียงกลอง แต่เสียงกรี๊ดเสียงผิวปากยังดังต่อเนื่องไม่หยุด ไม่รู้ว่าถูกใจอะไรกันนักหนา

“คืนนี้ต้องถอน” พี่มีนพูดขึ้นมาหลังจากเดินผ่านฝูงชนเข้ามาแล้ว

“จัดมาแบบหนักๆ” พี่แหนมตอบรับเพื่อน

“เป็นไงล่ะอยากเล่นเป็นเจ้าดีนัก ถูกจับขึ้นมาซวยกันหมด” ผมหันไปบ่นขมุบขมิบใส่เพื่อนตัวกลมของผม

“เอาเงินที่ออยด์ได้วันนั้นไปเลี้ยงพวกเราให้หมดเลยนะ ห้ามอุ๊บอิ๊บ” โก๋พูดสนับสนุน ผมพยักหน้าตาวาวเห็นด้วยกับความคิดนี้แบบสุดๆ เพราะวันนั้นแม่หมูได้ไปเยอะเหมือนกัน เงินเหรียญผมเกลี้ยงกระปุกเลยทีเดียว แม่หมูหันมามองทำตาค้อนใส่พวกผม ก่อนจะเหวี่ยงเบาๆ ว่า

“จ้าพ่อคุณ เห็นทีตอนเล่นก็ลุ้นตัวเกร็งกันทุกคน ชิ้!”

ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์อายหมู่ประมาณครึ่งชั่วโมง พวกผมทั้งหมดถูกเรียกมารวมตัวกันเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนถึงเวลาการแสดงจริง

พี่โอมเดินเข้ามาพร้อมกับแบกถุงพลาสติกใบใหญ่มาด้วย คาดว่าในถุงใบนั้นน่าจะเป็นเครื่องแต่งกายของนักแสดง

“ชุดเป็นยังไงน้อง” พี่มีนถามเสียงเข้มพร้อมกับสาวเท้าเดินเข้าไปหาพี่โอมใกล้ๆ

“นี่ชุดพี่ครับ” พี่โอมยื่นชุดให้กับพี่เมตผมยิ้มๆ หน้าตาดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

“ของพี่สีส้ม”

“ของพี่สีเหลือง”

“ของน้องสีฟ้า”

“ของน้องสีม่วง”

“หมูแดงสีแดงนะจ๊ะ”

ระหว่างที่พี่โอมกำลังจะหยิบชุดยื่นส่งให้ผม เสียงพี่มีนก็ตะโกนลั่นขึ้นมาด้วยอารามตกใจ

“เชี่ย!! ใส่กระโปรงเหรอวะ” พี่มีนหน้าซีดเหมือนไก่ต้ม จากนั้นคนอื่นก็ค่อยๆ กางกระโปรงของตัวเองออกดูทีละคน

“มีดีกว่านี้ไหมน้อง” เสียงพี่กุ้งเพื่อนพี่เมตผมครางเสียงอ่อย

“เอาน่าพี่ ใส่แป๊บเดียวเอง ไม่ถึงสิบนาทีก็ถอดแล้ว” พี่โอมตอบเสียงเรียบแต่หน้ายิ้ม หึ พออยู่ต่อหน้าคนหมู่มากพูดจาสุภาพขึ้นมาเลยนะฮะไอ้พี่เข้ม

“เออๆ ใส่ก็ใส่ ซวยจริงโว้ยยยย”

หลังจบปัญหาเรื่องชุดที่ต้องใส่พี่โอมก็ส่งชุดสีเขียวมะนาวสะท้อนแสงแสบตามาให้ผม

“ของมึงสีนี้”

“โห ใส่สีนี้คนดูตาเสียได้เลยนะครับ” ผมแอบเห็นในถุงพลาสติกว่ายังมีชุดสีอื่นเหลืออยู่

“ใส่ไปอย่าเรื่องมาก กูชอบสีนี้” ไอ้พี่เข้มตอบผมด้วยน้ำเสียงรำคาญเต็มที แล้วเมื่อกี้คนที่พูดจาสุภาพมันหายหัวไปไหนแล้ว ผมมองไปรอบๆ อ้าว ตอนนี้เหลือผมกับไอ้พี่เข้มแค่สองคน

“มึงอย่ามัวโอ้เอ้ รีบไสหัวไปเปลี่ยนชุด นี่ใกล้ได้เวลาแล้ว”

“บัดนี้ ได้เวลาอันเป็นมงคลฤกษ์แล้ว ผมขอเปิดงานแข่งขันฟุตซอลเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ของนักศึกษานับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป” เสียงกล่าวเปิดงานดังก้องผ่านลำโพงเครื่องขยายเสียง จากนั้นหัวหน้าที่ปรึกษาหอพักก็ชูปืนขึ้นฟ้าเพื่อยิงเปิดงาน

ปัง!
ปัง!
ปัง!

สิ้นเสียงปืนจากหัวหน้าที่ปรึกษาหอพักหลังจากกล่าวเปิดงานจบลงก็ถึงคิวพวกผมต้องรีบวิ่งออกไปแสดงแล้ว ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดอย่างช้าๆ ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ เพื่อให้ตัวเองรู้สึกผ่อนคลายลง

“ฟ้าจะผ่าพวกเราไหมวะ” เสียงพี่แหนมพูดขึ้นพร้อมกับเงยหน้าแหงนมองขึ้นฟ้า ท้องฟ้ามีเมฆหนาดำ ลมเริ่มพัดแรงขึ้น

“กรี๊ดดดดด!!!” เสียงแม่หมูหวีดดัง แรงลมพัดทำให้แม่หมูกลายเป็นมาริลิน มอนโร ไปเสียแล้ว กระโปรงที่เพื่อนตัวกลมผมสวมอยู่ปลิวไสวขึ้นตามแรงลม

สิ้นเสียงกรี๊ดของแม่หมูฝนก็กระหน่ำตกลงมาห่าใหญ่ บรรดานักแสดง นักฟุตบอล รวมถึงเหล่ากองเชียร์ต่างวิ่งหาที่หลบฝนกันจ้าละหวั่น ตัวใครตัวมันละงานนี้ สงสัยพวกเราจะมีโชคถูกงดการแสดงเพราะฝนตก ผมคงรอดอายก็คราวนี้แหละ

ขณะที่ผมกำลังวิ่งตามหลังบรรดานักแสดงร่วมชะตากรรมทั้งเจ็ดคนเพื่อหนีฝนที่กำลังตกลงมาอย่างบ้าคลั่ง ทุกคนวิ่งมุ่งหน้าเข้าในเต็นท์จนแน่นแทบไม่มีที่ให้ยืน ผมไม่รู้จะวิ่งเข้าหลบฝนที่ไหนดี ในเต็นท์คนก็อยู่เต็มจนแทบไม่มีที่ให้ยืน ระหว่างที่ผมกำลังตัดสินใจว่าจะเอายังไงดี จู่ๆ ข้อมือแขนซ้ายผมก็ถูกมือใหญ่จับเอาไว้ ตัวผมถูกลากเข้าไปในร่มสีแดงขนาดใหญ่เท่าร่มกอล์ฟ ผมค่อยๆ เงยหน้ามองหน้าผู้หวังดีที่อุตส่าห์เผื่อแผ่ส่วนหนึ่งของร่มให้ผมได้อาศัยหลบฝน

“วันนี้แต่งตัว น่า ‘รัก’ เป็นพิเศษนะ” เสียงพูดติดขำเล็กน้อยของผู้หวังดีดังขึ้นมากลบเสียงฝน

“ดีใจที่คิดอย่างนั้นนะครับ”

“พี่จิ้นผมหลบฝนด้วย” เจ้าของร่มยังไม่ทันได้เอ่ยปากอนุญาต ชายหนุ่มอีกคนก็พุ่งร่างพรวดเข้ามาในร่มอย่างรวดเร็วปานรถเมล์สายแปด

“หลบด้วย” เสียงที่สามตามมาติดๆ ก่อนจะแทรกตัวเข้ามาในร่มสีแดงคันใหญ่อีกคน

“...” ชักไม่แน่ใจว่าอยู่ในร่มคนนี้แล้วจะไม่เปียกฝน แต่ถ้ามีใครบอกว่ายักษ์สามตัวจะอยู่ในร่มคันเดียวกันไม่ได้ ผมขอเถียง จากนั้นพวกผมสามคน ไม่สิ สี่คนก็ค่อยๆ เดินกระดืบๆ ฝ่าสายฝนกลับเข้าไปหลบฝนที่ป้อมยามหน้าหอพัก เพราะขืนยืนอยู่ต่อมีหวังเปียกกันหมด

“พี่จิ้นไปเก็บได้ตัวอะไรมา” บ๊อก! บ๊อก! ไอ้พี่เข้มเข้ามาก็เริ่มเห่าทันที

“เทเลทับบี้” ไม่ใช่เสียงพี่จิ้นหรอกนะครับที่ตอบ แต่เป็นเสียงเรียบๆ ของไอ้กราฟต่างหาก แล้วตอนตอบก็ตอบแบบไม่ได้มองใครด้วยนะ ตอบลอยๆ หน้าก็มองฝนมองฟ้าไปตามเรื่องตามราว ตามประสาหนุ่มแว่น ผู้ซึ่งไร้ความสนใจโลก พี่จิ้นมองสำรวจผม แต่ไม่ได้พูดอะไร คนที่พูดก็ยังคงเป็นไอ้พี่เข้มคนเดียว

“วันนี้หัวมึงน่างาบว่ะ เหมือนสลิ่ม”

“ฮ่าๆๆ” ยักษ์สามตัวหัวเราะร่วนในร่ม แถมพี่เข้มยังใช้มือตีกระโปรงพองๆ ของผมเล่นตามไปด้วย ผมรู้สึกอยากจะเป็นแจ็คผู้ฆ่ายักษ์ขึ้นมาทันที!! ต้นถั่วอยู่ไหนจะเอาขวานไปตัดให้เหี้ยนไม่ให้เหลือตอเลยคอยดู เดินเบียดกันมาสี่คน ผมอยู่ตรงกลาง พี่จิ้นถือร่ม กราฟอยู่ด้านขวา ส่วนไอ้พี่เข้มอยู่ด้านหลัง ยังกับปลาซาร์ดีนในซอสมะเขือเทศ

พอทั้งหมดเดินเข้ามาหลบฝนในอาคารไม่ถึงสิบนาที ฝนก็หยุดตก

“เพื่อไม่ให้เวลาล่วงเลยไปมากกว่านี้ ขอเชิญมะหมี่ทั้งเจ็ดคนเลยคร้าบบบบบ” หลังฝนหยุดไม่ถึงห้านาที พิธีกรก็ประกาศเรียกตัวนักแสดง นึกว่าจะรอดที่ไหนได้ เฮ้อ!!

ตึงตะลึงตึงโป๊ะ!

“มะหมี่...”

หลังผ่านพ้นเรื่องราวอันน่าอับอายที่ผมกล้ารับประกันว่าไม่มีใครอยากเก็บเหตุการณ์นี้ไว้ในส่วนลึกของความทรงจำ แม้แต่รูปถ่ายใบเดียวผมก็ไม่คิดจะถ่ายเก็บไว้ แต่ แชะ! แชะ!

“อีหมูเค้าขอถ่ายอีกรูปหนึ่ง” เสียงโก๋ดังแว่วขึ้นมา สองผัวเมียคู่นี้ยังไม่เปลี่ยนชุด แถมยังมีหน้ามาถ่ายรูปคู่ด้วยกันอีก ถึงว่าไม่ได้ยินเสียงบ่น โพสต์ท่ากันเข้าไปสนุกกันใหญ่

“มะนาวมาถ่ายรูปให้หน่อยเร็ว” แล้วเพื่อนตัวกลมผมหายไปไหน

“โก๋เห็นออยด์ไหม”

“เห็นบอกว่าจะเดินไปขอชุดที่ใส่เต้นวันนี้กับที่ปรึกษาหอพักนะ”

โอว คนนี้ออกตัวแรงกว่าเห็นๆ คุณเธออยากได้มาเก็บไว้ทั้งชุดเลยทีเดียว สงสัยเก็บแค่ภาพถ่ายคงไม่พอ

คืนนี้พวกผมมีนัดถอนอายที่ร้านเหล้าชื่อร้านริมมอ เป็นร้านเหล้าหน้ามหาวิทยาลัยที่นักศึกษานิยมกันมาก ค่อนข้างป๊อปเลยทีเดียวแหละ มีร้านคู่แข่งเก่าแก่อีกร้านที่ตั้งอยู่ในซอยเดียวกันชื่อร้านสิมิลัน ต้องขออธิบายเพิ่มเติมนิดหนึ่ง

ร้านสิมิลันเป็นร้านเหล้าหน้ามหาวิทยาลัยที่มีลักษณะเป็นร้านคาราโอเกะหยอดตู้ หลังคาร้านเตี้ยๆ มุงสังกะสี แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนห้องโถงคนจะนั่งรวมกันแบ่งกันหยอดเหรียญ กับส่วนที่เป็นห้องส่วนตัวมีอยู่สี่ห้อง ช่วงค่ำๆ ถึงประมาณทุ่มสองทุ่ม คนที่มาก็จะสั่งอาหารสั่งเหล้าเบียร์แล้วนั่งร้องเพลงกัน ดึกมาหน่อยก็จะหยอดเพลงจังหวะแดนซ์ๆ แล้วก็เต้นกัน

ส่วนร้านริมมอที่พวกผมจะไปกันคืนนี้เป็นร้านติดแอร์มีห้องใหญ่ห้องเดียว ร้านเป็นคนเปิดเพลงให้เต้นๆ กัน คล้ายๆ ผับแหละครับ แต่ขนาดร้านประมาณคูหาเดียวนะครับร้านเล็กๆ ไม่ใหญ่ จันทร์ถึงอาทิตย์คนก็ยังแน่นร้าน ยกเว้นช่วงสอบเท่านั้นแหละที่คนไม่เยอะ

ต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ ryoushena

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-2
ตอนนี้พวกผมอาบน้ำแต่งตัวกันเสร็จแล้ว คืนนี้แม่หมูอยู่ในเสื้อยืดลายพรางทหารรัดรูป กระโปรงมุ้งฟูฟ่องสีดำ พร้อมกับทำผมหยิกยีตีโป่งฟู เธอบอกคืนนี้จะสวยให้โลกลืมไม่ลง ระหว่างแต่งตัวแม่หมูก็เปิดเพลงเรียกองค์ให้สถิตพร้อมโยกร่างไปมาเบาๆ ด้วยเพลง Bounce -Sarah Connor “Bounce baby out the door I ain't gonna take this no more”

“มะนาว นี่เครื่องรางที่บอกว่าจะเอาให้ เก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์นะ คืนนี้รับรองไม่มีพลาด” แม่หมูยื่นซองพลาสติกสีดำส่งมาให้ผม

“โห กว่าจะให้ นานจนลืม” ผมแบมือยื่นรับซองพลาสติกสีดำจากแม่หมู ก้มลงอ่าน ข้อความเขียนลงอักขระเอาไว้ว่า สินค้าตัวอย่างห้ามจำหน่าย ผิวเรียบ บางกว่าวันทัชทุกรุ่น ONETOUCH Condoms ถุงยางอนามัยวันทัช บรรจุ 1 ชิ้น

“ถุงยางนี่อะนะ? อย่าบอกนะว่าเครื่องรางที่บอกคือถุงยางอนามัย”

“ฉลาดมากค่ะเพื่อน โปรดเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์นะ และอย่าลบหลู่ เพราะถุงนี้ผ่านการปลุกเสกมาแล้วอย่างดี”

“จากใคร?”

“องค์แม่หมูนี่แหละ ฮ่าๆๆ” พูดจบเพื่อนตัวกลมผมก็หัวเราะร่วน เพลง Bounce -Sarah Connor จบลง แม่หมูก็คลิกเมาส์เปิดเพลงของ Jamelia – Superstar ใน Winamp ต่อทันที เพลงนี้เป็นเพลงสุดโปรดของเธอ รองจากเพลง Lucky ของ Britney Spears

“พกเอาไว้เถอะน่า แก้เคล็ด เซฟตี้เฟิร์ส สมัยนี้ใครๆ เขาก็พกกันทั้งนั้นแหละ จะได้โบกมือลาความเวอร์จิ้นเร็วขึ้น” พูดจบเพื่อนตัวกลมของผมก็จับซองพลาสติกสีดำขนาดกะทัดรัดยัดใส่ในกระเป๋าสตางค์ของผมทันที พร้อมขยับปากลิปซิงค์ร่ายรำตามทำนองบีตเพลง Jamelia – Superstar

“แต่งตัวกันเสร็จยังอีหนู ถ้าเสร็จก็ออกไปกันได้แล้ว วันนี้ไม่เมาไม่กลับ อนุญาตให้คลานกลับมาได้อย่างเดียว ล้างอายโว้ย” เสียงพี่เมตหน้าโหดของพวกผมเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับโบกมือเร่งให้พวกผมเดินออกจากห้อง

“ไม่ขี่มอเตอร์ไซค์ไปเหรอพี่มีน” เสียงแม่หมูถามขึ้นมาหลังจากที่พวกผมเดินออกมาถึงประตูทางเข้าหอพัก

“เดี๋ยวไอ้กุ้งเอารถกระบะมันมารับพวกเรา ยังไงถ้าคืนนี้เมาจะได้กลับง่ายๆ ใครไม่ไหวก็หามขึ้นกระบะกลับได้เลย ไปๆ รถไอ้กุ้งเลี้ยวมาโน่นแล้ว” พี่มีนโบกมือส่งสัญญาณให้พี่กุ้งที่เปิดไฟสูงใส่พวกผมที่กำลังยืนรออยู่ รถของพี่กุ้งเป็นกระบะตอนเดียวสภาพเหมือนผ่านสงครามโลกมาก่อนไม่ต่ำกว่าสองครั้ง รถทั้งคันถูกอำพรางด้วยลายพรางทหารสีเขียวสลับดำ ‘เขาว่าดีว่าดีน่ะถ้าได้ฝันเห็นงู อูกำลังจะเจอเนื้อคู่ เราก็ยังไม่เคยไม่เคยจะฝันเห็นงู ฝันทีไรก็เห็นแค่ปู’ เสียงเพลงปู – Neko Jump ดังมาจากด้านหน้ารถ

หลังจากที่พวกผมปีนขึ้นกระบะด้านหลังรถเสร็จ รถของพี่กุ้งก็เคลื่อนตัวพาพวกผมไปยังจุดหมาย นั่นคือร้านเหล้าริมมอ ระหว่างเดินทางผมได้แต่สวดมนต์ภาวนาขออย่าให้เครื่องยนต์ดับ รถกระบะพี่กุ้งส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดไปตลอดทางจนผมรู้สึกเหมือนส่วนกระบะที่พวกผมนั่งกำลังจะกระดอนหลุดปลิวออกจากตัวรถทุกครั้งที่วิ่งผ่านลูกระนาด

ร้านเหล้าหน้ามหาวิทยาลัยของผมอยู่เข้าไปในซอย ซึ่งในซอยนั้นมีร้านเหล้าที่ให้บริการแบบร้องคาราโอเกะอยู่ด้วยกันหลายร้าน ถ้าเปรียบเทียบคงเหมือนซอยอตก. ทองหล่อ เอกมัย อาร์ซีเอ หรือรัชดา แต่สภาพอาจจะต่างกันเล็กน้อย เพราะทางเข้าไปในซอยจะเป็นถนนดินลูกรังไม่ได้ปูคอนกรีต ข้างในร้านมีเพียงตู้คาราโอเกะ สำหรับเอาไว้ให้หยอดเหรียญเลือกเพลง เห็นไหมผมบอกแล้วว่าต่างกันเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้นเอ๊ง แต่ร้านเหล้ามหาลัยผมให้ความรู้สึกคลาสสิกมากกว่า

“มะนาว โก๋กับเบิร์ดไม่มาเหรอ” ลงจากกระบะเสร็จเพื่อนตัวกลมผมก็หันมาถามทันที

“มาดิ เดี๋ยวคงมามั้ง บอกว่าจะขี่รถมอเตอร์ไซค์มากันเอง”

“โอเค งั้นเราเข้าไปรอข้างในปะ” พูดจบเพื่อนตัวกลมผมก็เดินนำเข้าไปในร้านตามหลังพี่เมตไปติดๆ


ตอนนี้พวกผมเข้ามาในร้านกันแล้วครับ ในร้านคนยังไม่เยอะ มีลูกค้าอยู่แค่สองโต๊ะกำลังร้องเพลงย้ำของวงบอดี้สแลม ในเอ็มวีเพลงนี้มีบรรยากาศงานเฟรชชี่มหาวิทยาลัยของผมอยู่ในนั้นด้วยนะ ถึงตอนนี้คนในร้านจะหร็อมแหร็มแต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะจุดประสงค์ของพวกผมวันนี้คือเมา ไม่ได้มาส่อง เมื่อนักแสดงทั้งเจ็ดคนเดินทางมาครบทีมแล้วงานรื่นเริงจึงเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ

“โก๋เอาผสมอะไร” คืนนี้ผมรับหน้าที่มือชง

“เอาโค้กอย่างเดียว กินเหล้าไม่ได้”

“เฮ้ย ได้ไงครับเพื่อนน้องเมต มาด้วยกันต้องเมาด้วยกันนะครับ” พี่เมตผมโวยวายไม่ยอม

“อีผีกินเถอะ เดี๋ยวเค้าดูแลเอง” เบิร์ดหันมาปลอบใจเพื่อนผมที่ทำหน้าลำบากใจ

“ได้ๆ” โก๋หน้าเสียนิดหนึ่ง แต่ก็พยักหน้ารับ

“กินๆ ไปเถอะน่า เดี๋ยวผสมให้เบาๆ” ผมพูดแซวเล่นกับเพื่อนพร้อมกับส่งแก้วน้ำสีเหลืองอำพันยื่นให้

“ชน!!!!!” เพลงเด็กดอยใจดี น้องมายต์ ก็ดังขึ้นมาพอดิบพอดี ‘ผมเอาแคร์รอตมาฝาก อยากให้เธอได้กิน ผักมีวิตามิน ไม่ต้องกินของแพง’

กินได้ยังไม่ถึงครึ่งแก้วโก๋ก็วางแก้วตัวเองลง สักพักพอจะชนแก้วรอบโต๊ะกันอีกรอบผมเห็นไอ้โก๋มันจับแก้วไม่ถูกแล้วอะ สงสัยเมาเร็ว แต่ทำไมมันเมาง่ายขนาดนั้น

“ชน!!!!!” จากที่ผมเป็นคนชงให้ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าโก๋กินเองชงเองแล้วครับ กินไปเต้นไปท่าทางสนุก ผมก็สนุก ทุกคนก็สนุกที่ได้ปลดปล่อยอารมณ์อย่างเต็มที่

สักพักเพื่อนแม่หมูก็เดินเข้ามาทัก

“ออยด์วันนี้แต่งตัวสวยเชียวนะ” แม่หมูตาโตตกใจ ร้องตอบเสียงหลง “ฮะ! จำฉันได้ด้วยเหรอ?” หน้าเพื่อนผมดูตกใจมาก คงไม่คิดว่าจะมีใครจำได้ เพราะคุณเพื่อนผมวันนี้จัดเต็ม เธอคิดของเธอแบบนั้นอะนะ

“จำได้ดิ ถามแปลก” เพื่อนแม่หมูทำหน้างงพูดเสร็จก็เดินยิ้มๆ ออกไป ส่วนผมกลั้นขำจนหน้าเขียว คงคิดว่าแปลงโฉมมาเต็มที่แบบนี้คงไม่มีใครจำได้ ก็นะอุตส่าห์ทำผมแต่งตัวมาซะขนาดนี้ แต่ถามจริงๆ ทำไมถึงคิดว่าคนอื่นจะจำไม่ได้ ไม่ใช่ซินเดอเรลล่าที่ถูกนางฟ้าเสกมานะ แค่แต่งตัวเพิ่มนิดหน่อยใครเห็นก็ต้องจำได้อยู่แล้ว

น้องแอลกอฮอล์เริ่มถูกลำเลียงวางลงบนโต๊ะ จากหนึ่งขวดเป็นสองขวด เป็นสามขวด เป็นสี่ขวด และกำลังจะเปิดขวดที่ห้าตามมา ขวดเหล้ากำลังจะเท่ากับจำนวนคนที่มากันแล้ว ตอนนี้ทุกคนเริ่มทรงตัวกันไม่อยู่ คนในร้านก็เริ่มเยอะขึ้นจนเกือบแน่นร้าน ตอนนี้เหลือพวกผมอยู่โต๊ะกันแค่สี่คน พี่มีนกับเพื่อนออกไปสูบบุหรี่นอกร้าน โก๋เริ่มออกลวดลายโชว์ท่าเต้นจนเกินพอดีเหมือนคนคุมสติไม่อยู่ แต่ก็กินเองชงเองเรื่อยๆ แก้วไม่เคยว่างเต็มแก้วตลอด โก๋ดูเต้นสนุกเกินควบคุม!!

“อีหมูเค้าปวดฉี่ อยาก ไป ห้อง น้ำ ” โก๋หันไปบอกเพื่อนชายคนสนิทที่ตอนนี้มีสภาพเมาไม่ต่างกัน รวมถึงผมกับแม่หมูด้วยเพราะกำลังมึนเต็มที่ แต่ไม่ได้ออกลวดลายโชว์เท่าโก๋หรอกนะครับ โก๋พูดเสร็จก็เต้นต่อไม่หยุด ไหนบอกว่าปวดฉี่?

“โก๋ไหวนะ” ผมเข้าไปพยุงเพื่อนที่กำลังเต้นอย่างสุดเหวี่ยง

“กลัวจะเต้นไปเหยียบขาใครเข้านะสิ” เบิร์ดพูดขึ้นขณะที่เข้าไปช่วยพยุงตัวโก๋เอาไว้อีกคน

“อีหมูเค้าปวดฉี่ เค้าปวดฉี่”

“โก๋ นิ่งๆ หยุดเต้นก่อน ถึงจะพาไป” แม่หมูพูดขึ้นมาเพราะเห็นท่าไม่ดี

จากนั้นพวกผมที่พกสติติดตัวกันคนละนิดละหน่อยก็เดินพยุงพาอีผีเบียดผู้คนไปห้องน้ำ โก๋เหมือนคนควบคุมสติไม่อยู่ เดินไปก็เต้นไป จนผมกับเบิร์ดต้องจับแขนล็อกเอาไว้ แต่ไม่วายเกิดเรื่องจนได้ เพราะโก๋ดันเต้นท่าปั่นจักรยานกลางอากาศ ส้นเท้าเลยถีบเข้าที่ยอดหน้าหนุ่มหน้าตาดีมากคนหนึ่งเข้า โต๊ะนั้นหยุดการเคลื่อนไหว สายตาทั้งกลุ่มพุ่งตรงมาที่พวกผม

“มึงถีบหน้าเพื่อนกูทำไมวะ” ไอ้หัวฟูตัวผอมปรี่เข้ามาจะเอาเรื่องก่อนจะปล่อยหมัดลุ่นๆ พุ่งเข้าที่หน้าไอ้โก๋หนึ่งหมัดเต็มๆ โต๊ะนั้นทั้งโต๊ะหยุดเต้น และกำลังจะพุ่งกรูเข้ามาเล่นงานพวกผม เหตุการณ์ตรงหน้าเกิดขึ้นเร็วมากจนผมเองก็ตั้งตัวไม่ทัน ได้กินยำเท้าแน่ๆ คืนนี้

“อย่าทำเค้า! เค้าเป็นตุ๊ดด!” แม่หมูตะโกนเสียงดังพร้อมกับเบียดตัวเข้ามาบังโก๋เอาไว้ ทำให้โต๊ะนั้นหยุดหมัดหยุดเท้าที่ง้างเตรียมปล่อยออกมาเต็มกำลังของชายหนุ่มฉกรรจ์คนหนึ่งพึงมี

“เพื่อนผมเมาครับ เขาไม่รู้เรื่อง” หลังจากตั้งสติได้ผมก็รีบอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ

“อีผีเป็นไงบ้าง เจ็บมากไหม?” เบิร์ดถามแฟนตัวเอง หลังจากที่หอบร่างไอ้โก๋ลุกขึ้นจากพื้น พอโดนหมัดชัตดาวน์ โก๋ก็สต็อปพลังบ้า

“อีหมู ปวดฉี่” พอเรื่องคลี่คลายอีผีก็เริ่มมีสติกลับมาใหม่ สงสารก็สงสารเพราะที่โดนชกเมื่อตะกี้คงเจ็บน่าดูเหมือนกัน โชคดีที่พี่เมตผมกับเพื่อนเดินเข้ามาในร้านพอดีเลยช่วยพูดเคลียร์ให้ และเหมือนพี่กุ้งจะรู้จักคนในโต๊ะนั้นด้วยเลยพูดง่ายหน่อย ดีที่เขาไม่ติดใจเอาความไม่อย่างนั้นเรื่องยาวแน่ ผมกับแม่หมูคงกลายเป็นหมูมะนาวเพราะโดนยำจนเละ โก๋เข้าไปในห้องน้ำนานแล้วแต่ก็ยังไม่ออกมาสักที

“อีผี เสร็จยัง”

“...” เงียบ

“อีผี”

“...”เงียบ

“เปิดประตูเข้าไปเลย” แม่หมูพูดเสร็จก็ผลักประตูเข้าไป เพราะประตูไม่ได้ล็อกปิดเอาไว้เฉยๆ

“หาย-ใจ-ไม่-ออก” โก๋ยืนตาเหลือก อ้าปากพะงาบๆ ตัวพิงผนังห้องน้ำ มือกุมอยู่ที่บริเวณหน้าอก ตอนนี้หน้าชุ่มไปด้วยเหงื่อ สภาพดูแย่มาก ทำท่าราวกับคนกำลังขาดอากาศหายใจ

“เฮ้ย! เอาออกมาก่อน” ทุกคนเริ่มทำอะไรไม่ถูก หรือโก๋มันแพ้เหล้า?

ผมกับเบิร์ดช่วยกันพยุงตัวโก๋ออกมาจากห้องน้ำ ส่วนแม่หมูรีบเดินไปบอกพวกพี่เมตผมที่โต๊ะ ผมขอทางเดินเบียดคนในร้านออกมา ใจไม่ค่อยดีเลย เพราะสภาพโก๋ตอนนี้ดูแย่มาก

“หามออกไปนอกร้านก่อน ไอ้กุ้งไปสตาร์ตรถรอแล้ว” ผมกับเบิร์ดรีบช่วยกันแบกโก๋ไปที่รถกระบะพี่กุ้ง

“ยกขึ้นมาเลย” พี่มีนสั่ง เบิร์ดรีบอุ้มโก๋ขึ้นไปวางไว้หลังรถกระบะที่มีเสื่อปูรองเอาไว้ พี่มีนรีบปีนขึ้นหลังรถตามไป ผมกับแม่หมูก็กำลังจะปีนขึ้นกระบะตาม

“มะนาวกับออยด์อยู่เคลียร์บิลก่อน เดี๋ยวพี่มารับ” พูดเสร็จรถกระบะของพี่กุ้งก็ขับออกไปปล่อยให้ผมกับแม่หมูยืนมองไฟท้ายรถ ภาวนาอย่าให้เพื่อนผมต้องเป็นอะไรเลย

“ขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”

“โอเค เดี๋ยวฉันเข้าไปเคลียร์บิลเอง พี่มีนให้ตังค์ไว้แล้ว เจอกันหน้าร้านเลย”

ผมค่อยๆ พยุงตัวเองเดินไปเข้าห้องน้ำ รู้สึกว่าพื้นทางเดินมันเอียงๆ ปวดฉี่ก็ปวด ในที่สุดผมก็พยุงตัวเองเดินมาถึงห้องน้ำจนได้ พอทำธุระส่วนตัวเสร็จผมก็เดินเซเป๋ซ้ายขวาออกมานอกร้านได้สำเร็จ ด้านนอกร้านฝนก็ดันตกผิดฤดู แต่ตกไม่หนัก ผมเริ่มง่วงตาจะปิด อยากกลับห้อง รู้สึกง่วงนอนเต็มที หนังตาชักไม่สามัคคีกับสมอง เผอิญเหลือบมองเห็นเก้าอี้วางอยู่ตรงมุมด้านนอกของร้าน ผมจึงค่อยๆ เดินมึนๆ เข้าไปหาที่นั่งหลบฝนรอแม่หมู

นั่งสักพักรู้สึกว่าน้องแอลจะรบกับสติของผมจนสามารถคว้าเอาชัยชนะไปครองได้สำเร็จทำให้สติของผมตกเป็นเมืองขึ้นชั่วคราว ส่วนสติของผมเองก็คงอยากตีเมืองกลับคืนบ้างทำให้ผมพอมีสติรู้สึกตัวเป็นช่วงๆ หลับบ้างตื่นบ้างแต่เพื่อนตัวกลมผมก็ไม่ออกมาจากร้านสักที

รู้สึกเหมือนมีคนมายืนอยู่ตรงหน้า ผมค่อยๆ ดึงสติกลับคืนร่าง เงยหน้าขึ้นมอง แต่มองไม่เห็นหน้าว่าเป็นใคร เห็นแค่เงามืดๆ ดำๆ
รู้สึกเหมือนเขากำลังพูดอะไรสักอย่าง แต่ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยหลุดออกมาจากปากของเขาที่กำลังพูดอยู่
รู้สึกเหมือนเขาพยายามกวักมือเรียกผมในขณะที่ผมกำลังพยายามฟังว่าเขาพูดอะไร
ผมค่อยๆ ยื่นหน้าเข้าไปฟังว่าเขากำลังพูดอะไรกันแน่
เขาก็เหมือนค่อยๆ โน้มหน้าลงมาเพื่อพูดกับผม
ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรที่เขาพูด
เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา
ปากผมกับเขา
ชิดติดกัน

ออฟไลน์ ryoushena

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-2
THE CALL - เมื่อผมเป็นพ่อสื่อให้คางคก

The Call Chapter 14: จองใจ

“กลับกันเถอะ”

ผมได้ยินเสียงที่เขาพูด แต่ด้วยความง่วงจัด แม้จะพยายามเปิดเปลือกตาของตัวเองเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนหนังตามันไม่ใช่ส่วนหนึ่งของร่างกายผมอีกต่อไป คำสั่งของสมองผมไม่ศักดิ์สิทธิ์อีกแล้ว ผมลืมตาไม่ขึ้น ผมได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ จากตัวเขาลอยเข้ามาปะทะจมูก เขาพยายามพยุงตัวผมให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างเบามือที่สุด เขาใช้แขนทั้งสองข้างโอบร่างกายของผมให้ชิดติดกับร่างกายของเขา หัวของเขาเกยที่ไหลด้านซ้ายของผม

ผมไม่ได้ตอบอะไรเขาออกไปเพราะผมเมา

เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

“...” ใครเอามือมาเขี่ยปากผม ปั๊ดโธ่วว คนจะนอนอย่ามากวนตอนนี้!

ผมรู้สึกเย็นชื้นๆ ที่คอ

อ๊ะ! ตัวอะไรกัด

อะไรหยึยๆ วนอยู่ที่หู

นิ้วใครมาเขี่ยขนตาผม

ผมพลิกตัวจากนอนหงายเป็นนอนคว่ำ รู้สึกเหมือนถูกรัด แน่น อึดอัด ร้อน ผมรู้สึกตัวเป็นพักๆ ติดๆ ดับๆ วูบๆ วาบๆ สติมาเหมือนสวิตช์ไฟที่ทำงานใกล้เจ๊งกะบ๊งเต็มที

“ง่วง จะนอน” ผมบ่นงึมงำตาประสาคนเมา ลืมตาก็ลืมไม่ขึ้น ทั้งง่วงทั้งเมา
แล้วผมก็หลับวนไป

ครืดดด ครืดดดด
ครืดดด ครืดดดด
อะไรสั่น?

เสียงโทรศัพท์ผม? ใครโทรมากวนผมเช้าขนาดนี้ พอตั้งสติได้ ผมก็พยายามควานหาโทรศัพท์ที่มักจะวางเอาไว้ใกล้กับหมอนเป็นประจำ ผมงัวเงียใช้มือควานหาโทรศัพท์ ไม่เจอ บนหมอนก็ไม่มี ข้างหมอนก็ไม่เจอ ใต้หมอนล่ะ โทรศัพท์อยู่ไหน ผมใช้มือควานหาสะเปะสะปะทั้งที่ตายังปิดสนิท แล้วผมก็หลับต่อ

ครืดดด ครืดดดด
ครืดดด ครืดดดด

ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรสั่นอีกแล้ว!?

เหมือนมันสั่นอยู่ใกล้ๆ

มันสั่นอยู่ใกล้มากๆ

แต่อยู่ตรงไหน

ผมค่อยๆ ล้วงมือข้างถนัดเข้าไปในเป้ากางเกง สะดุ้งตื่นตาโตทันทีแบบไม่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วย โทรศัพท์กับกระเป๋าตังค์อยู่มาในเป้ากางเกงชั้นในได้ยังไงเนี่ย

“โหล ครับ”

“มะนาว”

“...”

“มะนาว?”

“...”

“มะนาวโว้ยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!!!!”

“มะตูม?”

“นอนอยู่เหรอ”

“ตื่นแล้ว...แต่ค่อยโทรมาอีกทีเย็นๆ ได้ไหม”

“มะนาว ตอนนี้มันบ่ายสี่โมงเย็นกว่าแล้วนะ!”

“ฮะ!” ...อึ้ง ผมหลับไปนานขนาดนี้เลยเหรอ

“เมื่อคืนแอบไปกินเหล้ามาอะดิ”

“นิดนึง”

“เสียเวอร์จิ้นไปยัง?”

“มะตูมแค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวโทรกลับ” ยังไม่ทันได้วางสายดี ผมก็ลุกพรวดขึ้นจากเตียง เอามือปิดปากรีบพุ่งตัวไปห้องน้ำอย่างว่องไว โชคดีวิ่งเร็ว ถึงเส้นชัยพอดีเป๊ะ ไม่งั้นเรี่ยราดกลางห้องแน่

“อ๊อกกกกกกกกก” พอได้อ้วกออกมาบ้าง ผมถึงค่อยรู้สึกโล่งขึ้นมาหน่อย ผมเปิดก๊อกน้ำ ใช้สองมือวักน้ำขึ้นล้างหน้าล้างตา วักน้ำลูบตามคอ ระหว่างที่ลูบน้ำตามคอ นิ้วมือก็ไปสะดุดกับวัตถุอย่างหนึ่งเข้า ผมค่อยๆ ไล้นิ้วมือสำรวจวัตถุต้องสงสัย

“สร้อย?”

ผมเงยหน้าขึ้นมองกระจกที่ติดอยู่กับผนังห้องน้ำเหนืออ่างล้างหน้า เอียงคอให้กับกระจกเพื่อส่องดูวัตถุต้องสงสัย

“สร้อยจริงๆ ด้วย” ผมไล้นิ้วมือสำรวจสร้อยปริศนาลงมาเรื่อยๆ สังเกตเห็นว่าเหมือนมีอะไรห้อยอยู่ด้วย ผมดึงคอเสื้อที่สวมอยู่ลง สำรวจเกียร์ทองเหลืองในกระจก บนเกียร์มีข้อความเล็กๆ กำกับว่า ENGINEER ผมพยายามฟื้นความจำเรื่องเมื่อคืน แต่ก็คิดไม่ออก ผมปลุกปล้ำถอดสร้อยเกียร์อยู่สักพักแต่ไม่เป็นผล ด้วยความที่ยังไม่สร่างเหล้าดีผสมกับอาการหนักหัวเลยตัดใจเลิกล้มความคิดนั้น เดินออกมาจากห้องน้ำแบบมึนๆ รู้สึกเหนียวตัวอยากอาบน้ำล้างหน้าล้างตัวให้สดชื่นแล้วค่อยออกไปหาอะไรกิน น้ำก็อยากอาบ แต่มันก็มึนหัว เลยอยากนอนพักมากกว่า ขณะที่กำลังใช้ความคิดแบบสลอธผมก็เจอเรื่องเซอร์ไพรส์

“เฮ้ยยย!!! นี่ห้องใครวะ”

เสี้ยววินาทีขณะที่ผมกำลังสับสนปนมึนงงอยู่ เสียงไขกุญแจห้องพร้อมกับเสียงบิดลูกบิดเปิดประตูก็ดังขึ้น ผมหันหน้าไปทางเสียงที่ใครสักคนกำลังเปิดประตูเข้ามา

แกร๊ก!


แอ๊ดดดดดดดด!!!!!!!!

ประตูห้องเปิดออก ผมเห็นเงาร่างผู้ชายตัวสูงใหญ่เดินเข้ามาในห้อง

“เป็นไงบ้างปวดหัวไหม”

ผมยืนตะลึงตาค้าง ชายหนุ่มรังสีออร่าสีฟ้ายืนใส่แว่นอยู่ตรงหน้าผม นึกไม่ถึงบทจะเจอก็มาให้เจอแบบง่ายๆ

“...” ผมยังยืนนิ่งตะลึงค้างอยู่ท่าเดิมอย่างนั้น ระว่างที่พ่อหนุ่มรังสีออร่าสีฟ้าเดินขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

“ไงเรา ปวดหัวไหม”

“...”

ชายหนุ่มตรงหน้าเดินเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ แต่ตัวของผมยังไร้การตอบสนองกับคู่สนทนาตรงหน้า ทำให้ผู้มาใหม่ขมวดคิ้วชนกัน เขามีท่าทีแปลกใจเล็กน้อย

“ทำหน้าแบบเมื่อกี้อีกที พี่จะคิดว่าเราอ่อย” ชายหนุ่มที่เพิ่งเข้ามาใหม่ใช้นิ้วมือเรียวยาวแตะที่ปลายจมูกเชิดของผมเบาๆ เพื่อเรียกสติ

“ครับ?”

“ปวดหัวหรือเปล่า กินยาไหม”

“เปล่าครับ ไม่เป็นไรครับ” พอได้สติผมก็ต่อบทสนทนาต่อทันที

คนนั้นคือพี่จิ้นได้ไง! จากที่กำลังมึนเรื่องเกียร์ปริศนา ต่อด้วยเรื่องห้องนอน แล้วผมยังมึนต่อเรื่องชายหนุ่มรังสีออร่าสีฟ้าอีก แค่ใส่แว่นตาอันเดียวทำไมบุคลิกเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ หรือจริงๆ ไม่ได้เปลี่ยน แค่ผมไม่ได้สนใจสังเกตและเซ่อเอง มันจะละครหลังข่าวไปหน่อยละมั้ง แค่ใส่แว่นแล้วจำกันไม่ได้ นี่มันไม่ใช่ทัดดาวบุษยานะมะนาวเอ๋ย

“หิวไหมครับ”

“นิดหน่อยครับ”

“ปลุกเพื่อนเราสิ จะได้ออกไปหาอะไรกิน”

“...”

อยู่ๆ พี่จิ้นก็โน้มหน้าเข้ามาเอาปากมาใกล้ๆ ปากผม

“!”

“นึกว่ารอให้จูบ เหม่อแบบนี้บ่อยๆ ไม่ดีนะ ระวังจะโดนขโมยจูบเอาง่ายๆ”

“?”

“บอกแล้วอย่าทำหน้าแบบเมื่อกี้ เมื่อคืนพี่เจอเรากับเพื่อนเราในร้าน หมูแดงเขาบอกว่าไม่มีรถกลับ พวกพี่เลยขับมาส่ง ถึงหอเราสองคนก็หลับไม่รู้เรื่อง กุญแจห้องก็ไม่ได้เอาติดออกมาสักคน พี่เลยแบกกลับมานอนที่ห้อง”

“มึนหัวมากไหม”

“นิดหน่อยครับ ตอนนี้อยากอาบน้ำมากกว่า” ผมเดินไปปลุกเพื่อนตัวกลมที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนฟูกนอนอย่างสงบ เธอช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย “หมูๆ” เพื่อนตัวกลมกะพริบตาปริบๆ พยายามไล่ความง่วงที่เกาะอยู่บนไขมันรอบๆ ตัว

“กลับห้องกัน”

“ขออีกห้านาทีได้ปะ”

“ไม่ได้ ลุกเลยเร็วๆ”


หลังจากแม่หมูตื่นผมก็ช่วยพี่จิ้นลากฟูกขึ้นไว้บนเตียงจนครบทั้งสามเตียง เสร็จแล้วก็ขอตัวกลับห้อง

“ขอบคุณนะคะพี่จิ้น/กลับก่อนนะครับ”

“ครับ เอาร่มติดไปด้วยไหม พี่ว่าเหมือนฝนกำลังจะตกนะ” พี่จิ้นเดินไปหยิบร่มมาให้

“ไม่เป็นไรครับ รีบวิ่งไปคงทัน”

ผมรีบเดินกึ่งวิ่งตามหลังแม่หมูไป เดินมาได้ถึงครึ่งทางฝนก็เริ่มลงเม็ด แต่ผมรู้สึกหิวน้ำ เลยกะจะแวะโรงอาหารก่อน

“หมูซื้อน้ำแป๊บหนึ่งนะ เข้าไปด้วยกันไหม”

“มะนาว ดูสภาพพวกเราสิ กลิ่นเหล้าหึ่งเลย อีกอย่างฝนก็ตกแล้วด้วย รีบกลับห้องกันก่อนเถอะ”

“งั้นเดี๋ยวหมูเข้าห้องไปก่อนก็ได้ ฝากซื้อน้ำอะไรไหม”

“งั้นเอาเป๊ปซี่ใส่น้ำแข็งถุงหนึ่ง เร็วๆ นะ ฝนเหมือนจะตก”

“เคๆ เจอกันที่ห้อง”

ผมรีบเดินเข้าไปซื้อน้ำในโรงอาหาร หยิบขวดน้ำออกจากตู้ จ่ายเงินกับแม่ค้าเสร็จสรรพกำลังจะก้าวออกจากโรงอาหารฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่ ผมว่าผมรีบสุดๆ แล้วนะ แต่ก็ไม่ทัน ผมคิดว่ายังไงซะก็ต้องอาบน้ำอยู่แล้ว เลยตัดสินใจวิ่งออกไปเลย ยังไม่ทันที่น้ำฝนจะปะทะกับร่างกาย ตัวผมก็อยู่ใต้เสื้อคลุมของกราฟที่ยกเสื้อแจ็กเกตมาบังน้ำฝนเอาไว้เหนือหัว

“เราไปส่ง เรากำลังจะไปห้องเพื่อนแถวห้องนายพอดี รีบเดินกันเถอะ”

“เหม็นเหล้านิดหนึ่ง ไม่ว่ากันนะ”

จากนั้นผมกับกราฟก็เดินกึ่งวิ่งหลบน้ำฝนไปจนถึงห้องผม เสร็จแล้วกราฟก็รีบวิ่งต่อไปห้องเพื่อนทันที

“หนุ่ม! หนุ่มลืมร่มไว้ในโรงอาหารน่ะลูก” เสียงป้าร้านขายกับข้าวที่โรงอาหารร้องเรียกนักศึกษาหนุ่มผิวขาวใส่แว่นหลังจากวิ่งไปส่งเพื่อนแล้ววกกลับมาที่โรงอาหาร

หนุ่มนักศึกษาปีหนึ่งเดินไปหยิบร่มก่อนเอ่ยปากกล่าวขอบคุณป้าร้านขายข้าว “ขอบคุณครับป้า” จากนั้นเขาก็กางร่มแล้วเดินกลับห้องพักไปพร้อมเสื้อแจ็กเกตที่ชุ่มไปด้วยน้ำฝน

ออฟไลน์ ryoushena

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-2
THE CALL - เมื่อผมเป็นพ่อสื่อให้คางคก

The Call Chapter 15: มงกุฎช็อกโกแลต

There’s something bout you
Let’s keep it moving
And if its good
Cause I really want to rock with you
I’m feeling some connection to the things you do (You do, you do)
Song: Superstar – Jamelia

“หมูเปิดเพลงอื่นบ้าง ขอร้อง!” ผมหันไปบอกเพื่อนตัวกลมที่กำลังนั่งทำปากขมุบขมิบตามเพลงสากลเพลงโปรดที่ดังออกมาจากลำโพงพร้อมกับโบกผ้าเช็ดหน้าไปมาอย่างเมามัน เพลงนี้ถูกเปิดวนซ้ำไปมาในโปรแกรม Winamp หลายรอบจนผมนับไม่ไหว พี่เมตผมนั่งเอาหลังพิงผนังห้องอ่านหนังสือเกี่ยวกับรถอยู่บนเตียงเงียบๆ หันมามองพวกผมจุ๊กจิ๊กกันบ้างเป็นระยะพร้อมกับส่ายหน้าขำๆ เรายังออกจากห้องไปไหนไม่ได้เพราะตอนนี้ฝนกำลังตกหนัก

หลังจากที่ผมวิ่งหลบฝนมาถึงห้องก็รีบอาบน้ำสระผมนั่งรอเวลาฝนหยุด นอนรออยู่บนเตียงจนผมแห้ง แต่ฝนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ระหว่างรอ ผมก็เรียกเพื่อนตัวกลมมาสัมภาษณ์เรื่องเมื่อคืน ผมคุยกับแม่หมูเรื่องเกียร์ปริศนาและเรื่องพี่จิ้นพ่อหนุ่มรังสีออร่า ตอนแรกๆ ที่เล่าให้ฟังแม่หมูก็ทำตาโต แล้วส่ายหัวหน่ายๆ บอกกับผมว่าคงมีปัญหาเกี่ยวกับคนใส่แว่น หรือไม่ก็มีปัญหาเรื่องสติ

“เพลงนี้เหมาะกับสถานการณ์ตอนนี้ดีออก เนื้อเพลงตรงสุดๆ ฉันรู้สึกเชื่อมต่อในสิ่งที่คุณทำ I’m feeling some connection to the things you do (You do, you do)” แม่หมูยังไม่ทันได้พูดจบประโยคดี พอถึงท่อนเพลงถูกใจ เธอก็เปล่งเสียงร้องเพลงคลอตามจังหวะแถมยังส่ายตัวเลื้อยไปมา ดวงตาเป็นประกายวิบวับตามประสาคนกำลังอารมณ์ดี

“เชื่อมตงเชื่อมต่ออะไรเล่า”

“อ้าว ไหนตอนแรกบอกว่ารู้สึกแปลกๆ”

ผมพยายามอธิบายความรู้สึกตอนที่เจอพี่จิ้นใส่แว่นเป็นครั้งแรกให้แม่หมูฟัง มันอธิบายยากนะ ที่อยู่ดีๆ เราจะตกหลุมรักใครสักคนแล้วมองเห็นเขาที่เป็นคนธรรมดามีแสงสีฟ้าแผ่อยู่รอบตัว คล้ายๆ กับว่าในตอนนั้นมีพี่จิ้นเป็นภาพสีเคลื่อนไหวไปมาอยู่คนเดียว แต่คนอื่นเป็นภาพขาวดำ เดินไปเดินมาเป็นฉากแบ็กกราวนด์ ภาพในหัวตอนนั้นมันก็แปลกดี อารมณ์เหมือนผมตกอยู่ในภวังค์หลุมเสน่ห์ของพี่ตี๋จิ้น คล้ายๆ กับอลิซที่ตกลงไปในโพรงกระต่าย มันรู้สึกหวิวๆ โหวงๆ ในอก

“อารมณ์เหมือนไฟสีฟ้าล่อแมลง” พี่มีนพูดแทรกขึ้นมา สงสัยคงได้ยินที่พวกผมคุยกันแล้วนึกภาพตามในหัว ผมลองนึกถึงเหตุการณ์วันนั้น ผิวขาวจัดของพี่จิ้นเหมือนกลืนหลอดไฟเข้าไปในตัวหรือไม่ตัวของพี่แกก็ผลิตแสงได้ด้วยตัวเอง

“พี่มีนเขาหมายถึงไฟล่อแมงสะดิ้ง” ผมหันกลับไปจ้องเพื่อนตัวกลมที่กำลังหัวเราะคิกคักอย่างน่าหมั่นไส้ แต่ผมไม่ได้สนใจ เธอจึงพูดเจื้อยแจ้วต่ออย่างอารมณ์ดี

“แล้วเกียร์นี่ล่ะจะเอายังไง”

หลังจากเล่าเรื่องเกียร์ให้พี่มีนและแม่หมูฟังทั้งสองคนก็ช่วยกันเดาไปต่างๆ นานา แต่คิดว่าน่าจะเป็นของใครสักคนในห้องยักษ์สามตน ตอนแรกผมกะว่าจะถอดออกเก็บไว้ แต่คิดไปคิดมาใส่เอาไว้เหมือนเดิมดีกว่า ผมชอบ

“ลองไปตะล่อมถามดู ถ้าใครในห้องนั้นเลี้ยงหมา แสดงว่าคนนั้นเป็นคนจองไว้” พี่เมตหน้าโหดพูดเสร็จก็หัวเราะร่วน

“ผมไม่ใช่แมวนะ”

กริ๊ง กริ๊งง กริ๊งงง
กริ๊ง กริ๊งง กริ๊งงง

“สวัสดีค่ะ ห้อง 7712 ค่ะ” แม่หมูลุกออกจากเตียงผม ใช้มือข้างถนัดยกหูโทรศัพท์ขึ้น บีบเสียงผู้หญิงเป็นหวัดเข้าไปในสาย

“ขอสายพี่มีนเหรอคะ” แม่หมูหันไปมองพี่มีนที่นั่งอยู่บนเตียงทำสัญญาณมือว่าจะรับโทรศัพท์หรือเปล่า เห็นพี่เมตผมหน้าโหดๆ แบบนี้ ฮอตนะครับ สาวๆ มาโทรมาจีบกันไม่เว้นแต่ละวัน พี่มีนโบกมือบอกว่าไม่รับสาย เพราะถ้าเป็นสายที่โทรเข้ามาที่ห้องส่วนใหญ่เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์คือโทรเข้ามาจีบแน่นอน ถ้าเป็นคนรู้จักจะโทรเข้ามือถือไม่ได้โทรเข้ามาเบอร์ห้อง

“พี่มีน...ไม่อยู่ค่ะ ออกไปกินข้าวยังไม่กลับเข้ามาเลยค่ะ สงสัยคงติดฝน” ตอนนี้ฝนก็ยังตกหนักอยู่นะครับ ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก ตกหนักจนอึ่งอ่างสำลักน้ำฝน

หลังจากแม่หมูวางสายไม่ถึงนาที เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาอีก

กริ๊ง กริ๊งง กริ๊งงง
กริ๊ง กริ๊งง กริ๊งงง

“ห้อง...คะ” อ้าว เสียงแม่หมูหาย กดเสียงเล็กให้เหมือนเสียงผู้หญิงมากเกินไป ไม่มีเสียงออกมาซะอย่างนั้น เคยบอกแล้วให้พูดปกติก็ไม่เชื่อ

“มะนาวเหรอคะ อยู่ค่ะ มะนาวโทรศัพท์”

“ครับ?”

“ถุงขนมบนโต๊ะยามของมึง”

ตู๊ดด ตู๊ดดด ตู๊ดดดด

“?” พี่โอมพูดเสียงเข้มเข้ามาในสาย น้ำเสียงหงุดหงิดนิดๆ แต่ให้ตาย เมื่อกี้ประโยคบอกเล่าหรือประโยคคำถามกันแน่

ห้านาทีผ่านไป

กริ๊ง กริ๊งง กริ๊งงง

กริ๊ง กริ๊งง กริ๊งงง

“ฮัลโหลครับ”

“มึงรู้ไหมว่าฝนตก”

“พี่โอมเหรอครับ?”

“รีบออกมาหน้าหอ กูรออยู่”

ตู๊ดด ตู๊ดดด ตู๊ดดดด

ไรวะ?

ผมเดินไปหยิบร่มที่เก็บเอาไว้ในตู้ ผลักมุ้งลวดประตูห้องออก ยกร่มขึ้นบังฝน สวมรองเท้าแตะพลาสติกช้างดาวแบบหูคีบหน้าห้อง แล้วค่อยๆ เดินต๊อกๆ เลียบเงาหลังคาไปหน้าหอ ฝนยังคงตกลงมาอย่างหนัก พอเดินออกไปถึงหน้าหอ ผมเห็นพี่โอมยืนตัวเข้มเสื้อนักศึกษาเปียกลู่ตามแผงอก สงสัยออกไปไหนมาแล้วโดนฝนระหว่างทาง พอพี่โอมเห็นผมก็เดินหน้านิ่งยื่นถุงพลาสติกให้ผมเสร็จก็เดินผ่านผมเข้าหอไปเลย เออ ถ้าตัดนิสัยออกไป แผ่นหลังของพี่โอมโคตรฮอตเลย แซ่บมากก

“?” อ้าว อะไรวะ???

ในถุงพลาสติกมีกล่องเล็กๆ สีฟ้าอมเขียวลักษณะคล้ายซองบุหรี่อยู่หลายกล่อง
Morinaga

ด้านหน้ากล่องมีรูปมงกุฎสีดำอยู่ตรงกลาง
ถัดจากรูปมงกุฎพระราชาสีดำมีข้อความพิมพ์ว่า
Hi CROWN
Chocolate

ผมพลิกด้านหลังมีฉลากเขียนกำกับเอาไว้ว่า โมรินากะ ไฮ คราวน์ ดาร์ก (ดาร์กช็อกโกแลต) ผมรู้สึกคุ้นหูชื่อช็อกโกแลตยี่ห้อนี้เหมือนเคยได้ยินโก๋มาเล่าอะไรสักอย่างให้ฟัง แต่จำไม่ได้

“มะนาวอยู่ห้อง 7712 ใช่ไหม?”

“ครับ พี่จิน”

“มีคนเอาขนมมาฝากไว้ให้” พี่จิน รปภ.หน้าหอยื่นกล่องกูลิโกะป๊อกกี้รสสตรอว์เบอร์รีที่มีกระดาษแปะเอาไว้ว่าห้อง 7712 ส่งมาให้ผม

“ขอบคุณครับพี่จิน ใครฝากมาให้อะ”

“ความลับราชสีห์ เขาบอกให้บอกแค่นี้” พูดจบพี่จินก็ขยิบตาข้างหนึ่งให้ผม ให้มันได้อย่างงี้เซ่ ความลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนยิ่งกว่าคินดะอิจิยอดนักสืบอีกพับผ่า!

“มีขนมมาวางหน้าหออีกแล้ว” ผมชูกล่องกูลิโกะป๊อกกี้รสสตรอว์เบอร์รีขึ้นสุดแขน หลังจากที่เปิดประตูเข้าไปในห้อง

“ขอบายค่ะ ไม่ชอบกินรสนี้ ชอบรสช็อกโกเลตมากกว่า”

“ไม่ดีกว่ากลัวอ้วนค่ะ” พี่มีนพูดยิ้มๆ แล้วก็ก้มหน้าอ่านหนังสือเกี่ยวกับรถที่กำลังอ่านค้างอยู่ต่อ

“ว้า...แสดงว่าไม่มีใครกินจริงๆ สินะ” การที่ไม่มีใครชอบรสชาติขนมเหมือนเราชอบช่างเป็นลาภอันประเสิรฐ ว่าแล้วผมก็รีบแกะขนมกินทันที

“น้องเมตฝนมันซาลงบ้างยัง?” ผมชะโงกหน้าออกดูฝนด้านนอก แต่ฝนก็ยังตกหนักอยู่เลย แถมไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ เสียด้วย

“คงอีกนานพี่มีนยังตกหนักอยู่เลย”

“เบื่อว่ะ หิวด้วย” พี่มีนลุกขึ้นจากเตียงบิดตัวไปมา เดินมาหยิบขนมไปกินหน้าตาเฉย อ้าว ไหนบอกกลัวอ้วน วันนี้ฝนตกหนักมากและตกนานด้วย เริ่มตกตั้งแต่ช่วงห้าโมงเย็นกว่าๆ ตอนนี้เกือบทุ่มฝนยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุด ผมเองก็ชักเริ่มเซ็งเหมือนกัน

“กินช็อกโกแลตกันไหม เพิ่งได้มาเมื่อกี้”

“เล่นไพ่กันดีกว่าค่ะ”

“ยังไม่เข็ดหรือไง” ผมหันไปดุแม่หมูที่กำลังใช้มือล้วงหยิบสำรับไพ่ในลิ้นชัก

“ฝนตกหนักขนาดนี้ พ่อคงไม่มาเดินตรวจหรอกมั้ง” พูดเสร็จพี่มีนก็เปิดประตูเดินไปเรียกห้องข้างๆ

สรุปคืนนี้ห้องผมเปิดบ่อนอีกแล้วครับ ผมที่อยู่ในฐานะชนกลุ่มน้อยก็ต้องคล้อยตามเขาไป เล่นไปได้สักพักแม่หมูก็เริ่มนั่งไม่ติด นั่งชันเข่าก็แล้ว นั่งขัดสมาธิก็แล้ว แต่ก็ได้แต้มไม่เกินหก แม่หมูบ่นขึ้นมากลางวงอย่างคนอารมณ์เสียสุดๆ

“ทำไมวันนี้มือไม่ขึ้นเลยเนี่ย เสียหลายร้อยแล้วนะ” ผมเหล่ตามองไปทางแม่หมูที่นั่งหน้าบูดลุ้นไพ่ในมือจนเส้นเลือดขึ้นหน้า

“แต้มเป็นไงหมู ป๊อกไหม?”

“บอดสนิทค่ะ แต้มเต็ม” แม่หมูวางไพ่ลงด้วยสีหน้าเซ็งระดับสิบ

“หรือจะนั่งผิดที่ มะนาวเปลี่ยนที่นั่งกัน”

แม่หมูขยับตูดเปลี่ยนที่นั่งกับผม แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น ยังถูกเจ้ากินเรียบทุกตา

“มะนาวหยิบกระเป๋าเครื่องสำอางตรงนั้นให้หน่อย วันนี้ดวงไม่แรง สงสัยต้องทาปากให้แดงข่มรัศมีเจ้า” แม่หมูบุ้ยปากไปที่กระเป๋าเครื่องสำอางที่วางอยู่ใกล้ๆ กับผม พอได้ลิปสติก เพื่อนตัวกลมผมก็นั่งปากแดงสับไพ่ พอปากแดงปุ๊บ สงสัยดวงแรงขึ้นจริงๆ แม่หมูเริ่มมือขึ้น เงินเต็มหน้าตัก ป๊อกบ่อยเสียจนขาไพ่ขาอื่นๆ ต้องหาวิธีแก้เคล็ดบ้าง อย่างพี่เมตผมก็เปลี่ยนที่นั่งบ้างละ เพิ่มขาบ้างละ หรือไม่ก็ให้คนอื่นลุ้นไพ่แทนบ้างละ แต่มือขึ้นได้สักพัก เงินแบงก์ที่เคยมีอยู่เต็มหน้าตักก็เหลือแค่เหรียญห้าเหรียญบาทแทน

แม่หมูเริ่มเพิ่มขาเพื่อลดความเสี่ยง ขาหนึ่งป๊อกขาหนึ่งบอดก็ถือว่าช่วยๆ กัน แต่ดูท่าแววเจ๊งจะลอยมา แม่หมูเลยหาโอกาสทางออกสุดท้าย ด้วยการแต่งหน้าเพิ่มเติมเต็มทั้งใบหน้า แต่ด้วยความมือทั้งสองข้างไม่ว่างเพราะลุ้นไพ่สองขาเลยให้ผมช่วยขีดๆ เขียนๆ แต่งสีบนหน้าแทน

เห็นอย่างนี้ผมมีฝีมือเรื่องศิลปะนะครับ สมัยประถมมัธยมเคยไปประกวดวาดรูปมาด้วยนา ผมขุดฝีมือออกมาใช้แต่งหน้าแม่หมูด้วยความสำราญสุขใจ เพราะไพ่ก็ลุ้นขึ้น ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการลุ้นเหมือนเพื่อนเมต แต่งไปลุ้นไพ่ไป ศิลปะทำให้จิตใจคนร่าเริงได้นะผมว่า

“ป๊อกเก้าสองเด้งค่ะ แม่มาแล้ว แม่มาแล้ว!” แม่หมูหวีดเสียงสองด้วยความดีใจ ตามมาด้วยพี่เมตผม

“ดวงมาแล้วว่ะ ป๊อกเก้าสองเด้งครับ เจ้าอย่าเสือกป๊อกนะมึง”

“อร๊ายยยย!!!” แม่หมูหลุดสบถหวีดเสียงลงเหมือนคนเห็นผี สะบัดไพ่ร่วงหลุดออกจากมือปลิวไปคนละทิศละทาง หลังจากบอกให้ผมเอากระจกมาให้ส่อง เสี้ยววินาทีพอทุกคนได้ยินเสียงร้องของแม่หมูก็หันหน้าขึ้นมามองเป็นจุดเดียว ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาจนน้ำตาไหล

สภาพแม่หมูตอนนี้ ตาฟ้าเขียว ปากแดงแปร๊ด แก้มสีส้มยูสุ มองค้อนผมตาเขียวปัด ก่อนจะทำท่างอนๆ แล้วลุ้นไพ่ต่อ ไม่ยอมล้างหน้าด้วยนะ เพราะบอกว่าดวงกำลังมา เล่นต่อสักพัก พอฝนเริ่มซาลง พวกเราก็แยกย้าย แม่หมูรีบเดินเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตาเตรียมตัวออกไปกินข้าว

หลังจากที่ฝนตกลงมาอย่างหนักทำให้พื้นค่อนข้างแฉะเดินไม่ค่อยสะดวก แต่พวกเราก็ไม่ได้สนใจเพราะความหิวในตัวกำลังปะทุ
กลับจากกินข้าวเสร็จ ผมก็นอนแผ่อยู่บนเตียงคนเดียว แม่หมูไปทำงานกลุ่มกับเพื่อน พี่มีนไปทำงานกลุ่มบ้านพี่กุ้ง ผมกำลังคิดอะไรเล่นเพลินๆ เสียงโทรศัพท์ห้องก็ดังขึ้นอย่างน่ารำคาญ

กริ๊ง กริ๊งง กริ๊งงง
กริ๊ง กริ๊งง กริ๊งงง

“ห้อง 7712 ครับ”

“รอหน้าหอ”

“ครับ?”

“มึงนี่มันความจำปลาทองหรือไงวะ ทีกูยังจำเสียงมึงได้ รีบๆ ออกมากูมีเรื่องต้องเคลียร์”

ตู๊ดด ตู๊ดดด ตู๊ดดดด

“อีกละ?” ยังคุยไม่รู้เรื่อง ไอ้พี่เข้มก็วางสายใส่ผมอีกแล้ว วางสายเสร็จ ผมก็เปิดประตูห้อง เดินออกไปหน้าหออีกรอบด้วยอารมณ์เซ็งๆ พอเดินไปถึงหน้าหอ ผมก็เห็นไอ้พี่เข้มยืนหน้าเครียดคุยอยู่กับผู้หญิงหน้าตาดีมากๆ คนหนึ่ง

“พี่เลิกทำตัวแบบนี้เถอะ ผมรำคาญ”

“โอม...ทำไมโอมพูดกับพี่แบบนี้ โอมให้โอกาสพี่แก้ตัวนะ พี่ขอโอกาสอีกแค่ครั้งเดียว”

“พี่จะให้ผมพูดอีกกี่รอบวะ ทำไมไม่หัดเข้าใจง่ายๆ”

“จะให้พี่เข้าใจว่าอะไรล่ะ พี่รับไม่ได้หรอกนะ ที่แฟนเก่าจะวิปริตไปชอบผู้ชายด้วยกัน”

“นั่นมันเรื่องของพี่ เสือกอะไรชีวิตผม”

“โอม...” ผู้หญิงคนนั้นยืนตัวแข็งทื่อ อ้าปากค้าง เหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่พูดไม่ออก อาการเดียวกับผมเปี๊ยบ

“แต่...แต่มันผิดธรรมชาติ” ผู้หญิงคนนั้นพูดเสียงตะกุกตะกักท่าทางตกใจน่าดู ผมคิดว่าผมเข้าใจอารมณ์ของผู้หญิงคนนี้เพราะผมเองก็ตกใจ

“ช่างแม่งดิ ผิดธรรมชาติตรงไหนวะ มันก็แค่คนคนหนึ่ง ที่รักคนคนหนึ่ง”

“...”

ผู้หญิงคนนั้นมองพี่โอมนิ่ง ทำท่าราวกับว่าผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเธอเป็นคนแปลกหน้าที่เธอไม่เคยรู้จัก “คัต! ฟีลเมื่อกี้มันดีย์” สักครู่เธอก็ยิ้มออกมา แล้วชูนิ้วโป้งไปให้พี่โอม พร้อมกับพูดออกมาเสียงเบาๆ แกมขอร้องว่า “ขออีกที พอเลย”

“ผมไม่ว่างละ”

อ้าว แค่ซ้อมละคร อุตส่าห์นึกชมในใจที่พูดคมๆ เมื่อกี้ พอพี่ผู้หญิงคนนั้นกลับไป พี่โอมก็เดินมาพูดกับผมที่ยืนรออยู่

“มึงมีคดีติดตัว”

“?”

“ไม่ต้องมาทำหน้างง มึงไปพูดอะไรกับน้องสาขากูมา”

“!” ตายละหวา หรือผมจะโดนพี่เข้มเล่นเรื่องเสื้อคลุม? ตายละหวา ผมลืมเรื่องนี้ไปสนิทเลย

“Follow me ครับมึง”

ต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ ryoushena

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-2
ผมเดินตามหลังพี่โอมต้อยๆ เข้าไปในโรงอาหาร พี่เข้มนั่งลงหยิบรีโมตกดปุ่มเปิดทีวี ใช้มือซ้ายตบแปะๆ ลงที่ว่างบนเก้าอี้ข้างๆ ตัวเรียกให้ผมเดินไปนั่ง

“ยังทำหน้างงอีก มึงไปพูดอะไรกับน้องสาขากูมา ไหนพูดให้กูฟังชัดๆ อีกทีซิ”

“เรื่องเสื้อคลุมสาขาเหรอครับ?”

“นั่นแหละ แล้วมันมีเรื่องมากกว่านี้อีกหรือไง”

“เปล่า ไม่มีครับ”

“เอ้า! รีบๆ พูดมา อย่าโอ้เอ้ เดี๋ยวรายการโปรดกูใกล้มาละ” ระหว่างที่คุยพี่เข้มก็กดหาช่องรายการที่ต้องการดูไปเรื่อยๆ

“พอดีว่า วันนั้นน้องสาขาพี่โอมมาทวงเสื้อคลุมน่ะครับ แล้ว...” ผมหยุดพูดไปแป๊บหนึ่ง กำลังพยายามเรียงคำพูด

“แล้ว?”

“แล้วผมก็เลยบอกไปว่า เสื้อที่ใส่เป็นเสื้อของ...”

“ของใคร?”

“ขะ ของ...แฟนน่ะครับ ขอโทษด้วยครับ!” ผมพูดเสียงอ่อยก้มหน้ารู้สึกผิดที่โกหกแบบนั้นออกไป

“ของใครนะ ขอชัดๆ อีกทีซิ”

“แฟน ครับ”

“ของแฟน?”

“ครับ”

“อ้ออออ...มึงรู้หรือเปล่า เรื่องแบบนี้เขาห้ามเอามาพูดล้อกันเล่น ที่นี่เขาถือ”

“ผมขอโทษจริงๆ ครับ”

“แล้วมึงไปเอามาจากไหน ถ้าบอกคนอื่นว่าใส่เสื้อแฟนแล้วจะรอด”

“ไม่มีใครบอกครับ คิดกันสดๆ ตรงนั้นเลย”

“อะไรของมึง นี่มึงไม่รู้เรื่องจริงๆ เหรอวะ”

“รู้เรื่องอะไรครับ”

“เอ้า! ไอ้นี่ กวนตีนกูแล้ว ก็เรื่องแฟนใส่เสื้อคลุมสาขาได้ไงวะ”

“ที่นี่ มีเรื่องแบบนี้จริงๆ เหรอครับ”

“จริงสิวะ ไอ้นี่”

หลังจากหน้าจอทีวีขึ้นรูปภาพพี่เข้มก็ปรับเลือกช่องไปเรื่อยๆ ผมจะอ้าปากถามต่อเพื่อความแน่ใจ ไอ้พี่เข้มก็จิ๊ปากรำคาญ หันมาทำตาดุใส่ผม

“ช่วงนี้เราก็ถึงช่วงล่าท้าผีกันแล้วนะครับ...”

รายการนี้ผมชอบ ตื่นเต้นดี แต่จริงๆ ผมเป็นคนกลัวผีนะครับ บรรยากาศในโรงอาหารตอนกลางคืนช่างวังเวงเหมาะกับการดูรายการผีเอามากๆ ถึงตอนน่ากลัวก็ผลัดกันสะดุ้งคนละทีสองที พอรายการตัดเข้าช่วงโฆษณา พี่เข้มก็ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรกับผม แต่เสียงโทรศัพท์มือถือผมดังขึ้นซะก่อน ผมกดรับโทรศัพท์แล้วเดินออกมาคุยนอกโรงอาหาร

“ฮัลโหล ว่าไงโก๋”

“มะนาวสนใจไปเข้าค่าย Open House รับเด็กโควตาเปล่า”

“อยากไปๆ ไปวันไหน”

“อาทิตย์หน้า”


“เคๆ เจอกันกี่โมง อะไรยังไงอะ”

“เท่าที่รู้คือคือเจอกันตู้ ATM หน้าหอ เจ็ดโมงเช้า หกโมงครึ่งเดี๋ยวมีรถบัสมหาลัยมารับ”

“ตามนี้”

หลังวางสายเสร็จผมก็เดินกลับเข้าไปในโรงอาหาร แต่พี่เข้มไม่อยู่แล้วละ สงสัยคงกลับห้องไปแล้ว

หกโมงครึ่ง ผมงัวเงียตื่นเพราะเสียงนาฬิกาปลุก พอรู้ว่าเหลืออีกแค่ครึ่งชั่วโมงจะถึงเวลานัดหมาย ผมก็รีบตาลีตาเหลือกอาบน้ำแต่งตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะสะพายกระเป๋าที่จัดเอาไว้แล้วรีบวิ่งหน้าตั้งออกไปยังที่นัดหมายทันที รถบัสสีแสดทองแล่นเข้าจอดเรียบร้อย ผมก้าวขาขึ้นไปนั่งรอเพื่อนบนรถ พลิกนาฬิกาข้อมือเพื่อดูเวลา เกือบเจ็ดโมงแล้ว แต่โก๋ก็ยังไม่มา

“อีกห้านาทีรถจะออกแล้วนะครับ” เสียงประกาศก้องจากโทรโข่งแจ้งเวลารถเคลื่อนตัวให้นักศึกษาที่กำลังยืนรวมตัวกันอยู่ทราบเวลาเดินทาง ผมรีบกดโทรศัพท์โทรหาเพื่อนทันที

“ฮัลโหล โก๋อยู่ไหนแล้ววะ รถจะออกแล้ว”

“นอน...”

“นอน? นี่ยังไม่ตื่นเหรอ รีบๆ ออกมาเลย รถจะออกแล้ว”

“ลืมบอก วันนี้ไม่ได้ไปด้วยนะ เที่ยวเผื่อด้วย”

“อ้าว ทำไมงี้ล่ะ”

“เที่ยวเผื่อด้วยนะมะนาว”

ตู๊ดดดด ตู๊ดดดด

ผมรีบกดโทรออกใหม่อีกรอบ แต่ไม่ติด ผมกดโทรออกย้ำๆ ไอ้โก๋ปิดโทรศัพท์ เชรดดดด สลัดโก๋!!! ไม่ปงไม่ไปมันแล้ว แม่งผมหงุดหงิดหัวเสีย รีบลุกออกจากที่นั่ง อ้าว เฮ้ยๆๆ!!! รถบัสสตาร์ตออกตัวเต็มแรง ทำให้รถกระตุก ผมที่ไม่ทันได้ตั้งตัว เสียหลักหัวทิ่มไปด้านหน้า จมูกผมกำลังจะฟาดเข้ากับเบาะ แต่ตัวผมก็ถูกรวบเข้าไปติดอกแน่นๆ แทน

“ระวังหน่อย” กราฟดึงตัวผมให้นั่งลงบนเบาะ แล้วนั่งแหมะลงข้างๆ

“...” ผมหันไปมองหน้ากราฟอึ้งๆ

“?”

“...” ไอ้กราฟแม่งหล่อว่ะวันนี้ เซตเอาผมด้านหน้าตั้งขึ้น ไม่ได้ใส่แว่น สายตาที่มองนิ่งๆ มาทางผม ตอนนี้เท่สลัดๆ เลยว่ะครับ

“หิว”

“อะไรนะ?”

“หิว นายมีอะไรกินไหม”

“มีแซนด์วิชไส้หมูหย็องมายองเนส เอาปะ?” ผมล้วงหยิบแซนด์วิชหมูหย็องมายองเนสในกระเป๋าแบ่งให้กราฟ คุยทักทายกันสักพัก จากนั้นต่างฝ่ายก็กินกันเงียบๆ ผมก็นั่งมองวิวข้างทางเรื่อยๆ ไม่ได้หันไปสนใจกราฟอีก

สรุปผมต้องไปเข้าค่ายกับกราฟแล้วก็เพื่อนผู้หญิงในคณะอีกสองคน รถบัสแยกนั่งชายหญิง จุดหมายปลายทางของพวกเราอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ เป็นรีสอร์ตขนาดกลาง คาดว่าใช้เวลาชั่วโมงเศษก็น่าจะถึง

แซนด์วิชที่ผมซื้อมาตั้งแต่เมื่อคืนไส้ทะลักมากกก หมูหย็องนี่อัดแน่นอยู่เต็มแผ่นขนมปัง เห็นแล้วน่าหม่ำเป็นที่สุด ระหว่างที่เคี้ยวเพลินๆ รถบัสดันขับผ่านลูกระนาดลูกใหญ่ ทำให้ตัวผมเด้งก้นกระดอนลอยจากเบาะ โชคยังดีที่ผมไม่ได้เผลอหลับ ไม่เช่นนั้นมีหวังเสียหลัก คงไปนอนหมอบกับพื้นรถบัสแน่

แต่ความโชคดีตีสนิทอยู่กับผมแค่ลมพัดผ่านวูบเดียวเท่านั้น เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็ไส้หมูหย็องที่เคยรวมตัวอัดแน่นอยู่ในขนมปัง ตอนนี้ออกไปเต้นเริงระบำอยู่บนหัวกราฟน่ะซี โอ้ว จ๊อดดดด!! ช่วยซาร่าด้วยยยยยย

“!”

“กราฟ โทษๆ เดี๋ยวเช็ดให้นะ” ผมไม่รอช้ารีบกุลีกุจอหยิบปัดเช็ดเป่าเศษหมูหย็องที่ปลิวกระจายอยู่ตามตัวกราฟ เสื้อผ้าหน้าผมของกราฟเต็มไปด้วยหมูหย็อง ส่วนกราฟเองก็เอามือปัดๆ พลางบอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวปัดออกเองได้ แต่อารามตกใจปนความรู้สึกผิด ผมจึงช่วยกราฟหยิบเศษหมูหย็องจ้าละหวั่น แต่ไม่ทันจะหยิบออกหมด รถบัสก็กระเด้งกระดอนอีกรอบ

“อ๊ะ!” คราวนี้แซนด์วิชที่ผมถืออยู่สร้างปัญหาใหม่อีกแล้วละครับ เพราะมือเจ้ากรรมข้างที่ถือแซนด์วิชดันเสียหลัก ป้าบแปะแซนด์วิชเข้าที่มุมปากของผมเอง ตอนนี้หน้าผมเลอะเทอะเละเทะไม่ต่างจากเศษหมูหย็องที่กระจายอยู่ตามตัวกราฟ
พอกราฟเห็นสภาพผมก็อดหัวเราะไม่ได้

“ฮะๆ”

ผมรีบใช้มือปาดๆ รอยแซนด์วิชที่เลอะอยู่แถวมุมปาก แล้วผมก็นึกขำตัวเอง พลอยหัวเราะตามกราฟไปด้วย
“ยังเหลือติดอยู่ตรงนี้หน่อยหนึ่ง”

กราฟชี้มือมาที่มุมปากของผม เร็วปานสายฟ้าเทพพระเจ้าธอร์ ผมรีบใช้ลิ้นตวัดทีเดียวก็สะอาดเอี่ยมอ่อง

กราฟมองผมอึ้งๆ ผมเห็นหน้าก็ได้แต่นึกขำ จากนั้นเราสองคนต่างฝ่ายต่างหัวเราะ กว่าจะหยุดได้เล่นเอาเหนื่อย

รถเคลื่อนตัวออกห่างมหาวิทยาลัยเรื่อยๆ ลมเย็นๆ พัดลอดกระจกเข้ามาตีแสกหน้าผมเป็นระยะ อากาศยามเช้าสดชื่นจริงๆ ผมรู้สึกง่วง พยายามถ่างตาไม่ให้ปิด แต่สุดท้ายผมก็ยอมแพ้ศิโรราบ

กราฟเห็นผมนั่งสัปหงกหัวสั่นหัวคลอนไปมาตามจังหวะการเคลื่อนตัวของรถ เขาจึงเอื้อมมือจับหัวผมที่กำลังนั่งหลับริมหน้าต่างมาพิงไหล่ของตัวเองในท่าที่สบายขึ้น โมเมนต์ละมงละมุนก็เกิดขึ้น (ซาวนด์เพลงชายในฝัน XL STEP ก็ดังขึ้นสิครับรออะไร)
รถบัสเดินทางมาถึงที่หมายผมก็เอากระเป๋าเข้าไปเก็บ คืนนี้ผมต้องนอนกับกราฟเพราะเขาแยกห้องนอนชายหญิงแบ่งตามคณะห้องละสองคน

กิจกรรมตอนเช้าเน้นสันทนาการร้องเพลงเล่นเกมกันไปตามปกติ บรรยากาศคึกคักสนุกสนานดี ผมก็เต้นแร้งเต้นกาเต็มที่

“เกมนี้เป็นเกมสุดท้ายแล้วนะครับ ก่อนจะปล่อยตัวให้ไปพักผ่อนแล้วถึงจะกลับมาเจอกันอีกทีตอนเย็น” เสียงประธานแคมป์ป่าวประกาศผ่านโทรโข่ง “เชิญน้องผู้ชายของแต่ละคณะออกมาด้านหน้าเลยครับ

ผู้ชายของแต่ละคณะก็ทยอยเดินออกไปรวมตัวกันด้านหน้าเพื่อรอเล่นเกม ตอนนั้นตัวพวกผมเปียกเละเทะไปด้วยโคลนทั้งตัว

“ออกมาครบแล้วใช่ไหมครับ น้องผู้ชายคนไหนตัวสูงกว่าเพื่อนให้นอนลงครับ เกมนี้ไม่มีอะไรมาก คณะไหนเสร็จก่อนก็ได้ไปพักก่อน”

กราฟนอนทอดตัวยาวไปกับพื้นโดยมีผมนั่งอยู่ด้านหน้า พี่เขายังไม่ได้แจ้งกติกา ผมเริ่มอยากรู้ว่าจะให้เล่นเกมอะไรกันแน่

“ก่อนเริ่มเกมเดี๋ยวพี่ๆ จะแจกอุปกรณ์ให้นะครับ” พี่สตาฟถือตะกร้าทยอยเดินแจกไข่ใบขนาดย่อมส่งให้ทีละคู่ๆ “เกมนี้ให้ลอดไข่เข้าไปในกางเกงเพื่อนจากด้านซ้ายมาด้านขวานะครับ กติกาคือห้ามทำไข่แตก ถ้าทำแตกต้องเริ่มใหม่ คณะไหนทำเร็วสุดก็ชนะไป และได้ไปพักก่อน”

ผมมองหน้ากราฟพร้อมกับสำรวจกางเกงที่ใส่ ผมมีสิทธิ์รั้งตำแหน่งบ๊วยชัวร์ๆ กราฟดันใส่กางเกงยีนส์ขายาวมาน่ะสิ

ปี๊ดดดดด!!!

“เริ่มได้ครับ” เสียงเป่านกหวีดดังส่งสัญญาณเริ่มต้นการแข้งขัน ตัวแทนของแต่ละคณะก็เร่งมือลอดไข่ใส่เข้าไปในกางเกงเพื่อนคณะตัวเอง ทั้งเสียงเชียร์เสียงฮาปนขำดังลั่น

ผมรีบลอดไข่เข้าไปในกางเกงยีนส์ของกราฟจากขาด้านซ้ายไต่กระดืบๆ ขึ้นไปเรื่อยๆ จนวนมาถึงบริเวณเป้ากางเกง เสียงเชียร์ส่งเสียงเร่งให้ผมรีบเลื่อนไข่เร็วขึ้น ด้วยความตื่นเต้นและความเปียกลื่นของโคลน ทำให้ผมทำไข่หลุดมือผลุบหายเข้าไปในเป้ากางเกง ผมรีบเอื้อมมืออีกข้างไปรองไข่เอาไว้ฉิวเฉียด ไข่ไม่แตก

“!”

อารามตกใจ ผมรีบใช้มืออีกข้างคลำไปจับกดไข่เอาไว้ แล้วใช้นิ้วเขี่ยไข่ออกจากบริเวณเป้ากางเกงมายังต้นขาขวาแต่มันก็ไม่ไป

“ผิดใบ” กราฟพูดขึ้นมาเสียงเบา ผมรู้สึกร้อนวูบไปทั้งหน้าลามไปจนถึงใบหู ใจเต้นตึกตัก อ๊าก! ไอ้แว่นกราฟทำไมมันไม่ชอบใส่กางเกงชั้นในวะ ผมยิ้มแห้งๆ รีบขอโทษขอโพยกราฟ

“โทษๆ”

ผมวางมือจากไข่ใบนั้น เริ่มคลำหาไข่ไก่ที่ใช้แข่งอีกรอบจนเจอ ผมจึงค่อยๆ ลงมือกลิ้งไข่ใหม่จนในที่สุดก็สำเร็จ
สรุปผลการแข่ง ทีมผมรองบ๊วยตามคาด แต่ทีมผมก็ได้รางวัลรักษาไข่ยอดเยี่ยมมาครองเพราะทำไข่ไม่แตกแม้แต่ใบเดียว จากนั้นพวกเราก็แยกย้ายกันเข้าห้องพัก

“กราฟนอนดิ้นปะ” ผมหันไปถามกราฟที่กำลังเดินตามหลังมาติดๆ ห้องพักที่ผมนอนคืนนี้เป็นเตียงเดี่ยวขนาดใหญ่

“ไม่” กราฟยังตอบผมแบบนิ่งๆ ตามสไตล์เหมือนเดิม แสดงว่าคงไม่ได้ติดใจเรื่อง ‘ผิดใบ’ ผมค่อยโล่งขึ้นมาหน่อย

“กราฟนอนฝั่งไหน แต่เรานอนฝั่งขวานะ” ถามเป็นมารยาทไปอย่างนั้นเพราะผมเล็งตำแหน่งในการนอนเอาไว้แล้ว

“เอ เมื่อกี้ตอนเดินเข้ามาลืมสังเกตว่าสำนักงานอยู่ตรงไหน” ผมบ่นกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะหันไปถามกราฟที่กำลังจัดเสื้อผ้าใส่ไว้ในตู้

“กราฟ เมื่อกี้ตอนเดินเข้ามา เห็นสำนักงานของรีสอร์ตบ้างปะ”

“ถ้าเดินจากห้องนี้ไป น่าจะอยู่ฝั่งขวา นายมีอะไรหรือเปล่า?”

“ว่าจะไปขอหมอนเพิ่มอีกสักใบน่ะ”

จากนั้นผมก็เดินออกไปขอหมอนเพิ่มที่สำนักงานรีสอร์ต แต่พอไปถึงกลับไม่เจอพนักงานหรือแม่บ้านสักคนเดียว ผมเลยเดินคอตกกลับมาที่ห้องอย่างเซ็งเป็ด

“ไม่เจอใครเลยเหรอ”

“ใช่ ไม่เจอใครเลยซ้ากกะคนเดียว โบ๋เบ๋”

“เอาหมอนเราไปใช้ได้นะ”

“ไม่เป็นไรๆ ไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้น ใบเดียวก็นอนได้ แล้วตกลงกราฟนอนฝั่งนั้นใช่มะ”

พอตกลงที่นอนกันเสร็จสรรพผมก็รีบไปอาบน้ำขอนอนพักก่อนเลย ไม่ไหวแล้วตอนนี้ผมง่วงมาก กว่าจะถึงเวลาเรียกอีกที มีเวลาให้ผมนอนเกือบตั้งสองชั่วโมง

ผมตื่นหลังจากได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก นั่งมึนๆ อยู่บนเตียงสักพัก จากนั้นก็ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวไปทำกิจกรรมตอนเย็น กวาดตามองรอบๆ ห้องก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากตัวผมเอง

กิจกรรมตอนเย็น รุ่นพี่ขึ้นเวทีมาสอนเรื่องการพูดโค้ชน้อง รวมถึงอธิบายรายละเอียดกิจกรรม Open House ให้ทุกคนเข้าใจว่าควรทำอย่างไรบ้าง จากนั้นก็ปล่อยให้ตัวแทนของแต่ละคณะทานข้าวร่วมกัน ระหว่างทานอาหารก็มีการแสดงบนเวทีที่จัดขึ้นมาเฉพาะกิจ โดยให้แต่ละคณะผลัดเปลี่ยนกันขึ้นไปแสดง ผมนั่งรวมอยู่กับเพื่อนผู้หญิงอีกสองคน นั่งกินกันไปเรื่อยๆ ดูการแสดงบนเวทีไปด้วยก็สนุกดี สักพักพิธีกรบนเวทีก็ขึ้นมาพูดอะไรสักอย่าง แต่ผมไม่ค่อยได้ยินเพราะมัวแต่ฟังเพื่อนผู้หญิงอีกคนที่กำลังเล่าเรื่องตลกของวันนี้ให้ฟัง

“ผมขอร้องเพลงนี้ให้กับทุกคนที่อยากเป็นคนสำคัญนะครับ” เสียงดีดกีตาร์โปร่งเป็นจังหวะดังขึ้นตามด้วยเสียงทุ้มน่าฟังเปล่งออกมา

มอง มองเธอมาแสนนาน
ฉันไม่กล้าต้องคอยหลบตาเธอเสมอ
กลัวว่าวันหนึ่งถ้าเธอรู้ว่าฉัน
ปิดบังความจริงอะไรเอาไว้

ความลับที่ฉันซ่อนไว้
ไม่เคยบอกใคร จะอดใจไม่ไหว

ยิ่งฉันใกล้เธอเท่าไหร่ ยิ่งอยากจะเผยใจ
เมื่อสบสายตาก็ยิ่งหวั่นไหว มันยากเหลือเกิน
จะเก็บซ่อนความรักเอาไว้
และความลับในใจของเธอ มีฉันอยู่บ้างไหม

“กราฟโคตรเท่เลยว่ะ”

ออฟไลน์ ryoushena

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-2
THE CALL - เมื่อผมเป็นพ่อสื่อให้คางคก

The Call Chapter 16 : ก๊อก ก๊อก ก๊อก

♥ ความรักมักแวะเข้ามาทักขณะที่เราไม่ทันได้ตั้งตัว

การ์ตูน ‘วาย’ สักเล่มเคยเขียนบอกผมไว้อย่างนั้น…

หลังจากจบการแสดงของแต่ละคณะ รุ่นพี่ก็ขึ้นมาบนเวทีกล่าวอะไรนิดหน่อยพอเป็นพิธี เสร็จแล้วก็ปล่อยให้พวกผมกลับเข้าห้องพัก ผมแยกตัวกับเพื่อนผู้หญิงเดินกลับเข้าห้อง พยายามกวาดสายตามองหากราฟแต่ก็ไม่เจอ เลยตัดสินใจเดินกลับห้องคนเดียว เพราะผมไม่มีเบอร์มือถือของกราฟ

ถึงห้องพักผมก็รีบเข้าไปอาบน้ำ พอหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน ใจจริงตอนนี้อยากลืมเรื่องการอาบน้ำไปสักคืนแล้วล้มลงนอนแผ่บนเตียงให้รู้แล้วรู้รอด ติดที่ยังมีความเกรงใจต่อเพื่อนร่วมเตียง เพราะไม่รู้ว่ายักษ์แว่นตนนี้จะรักความสะอาดแค่ไหน ผมสั่นหัวสลัดความคิดด้านมืดออก พยายามเตือนสติตัวเองว่าถ้าผมเผลอหลับไปทั้งที่ไม่ได้อาบน้ำอาจเจอยักษ์ถีบตกเตียงได้ ขึ้นชื่อว่ายักษ์อะไรๆ ต้องใหญ่กว่ามนุษย์แน่นอน

สายตาผมมองไปที่เตียงก็เจอหมอนวางอยู่สามใบ ฝั่งกราฟหนึ่ง ฝั่งผมสอง สงสัยกราฟเจอแม่บ้านเลยขอเพิ่ม เห็นเงียบๆ นิ่งๆ แต่จริงๆ กราฟก็ใส่ใจคนรอบข้างนะเนี่ย ช่างเป็นคนหน้าตาดีที่จิตใจอารีมีเมตตา เพราะโดยปกติผมชอบนอนตะแคง เลยต้องมีหมอนหนุนหนึ่งใบ ส่วนอีกใบเอาไว้พาดแขนพาดขา

ผมถอดเสื้อผ้าออกจากตัวจนหมดทุกชิ้น ช่วงล่างมีผ้าเช็ดตัวพันรอบเอวแล้วรีบเดินเข้าห้องน้ำ บรรยากาศห้องพักที่ไม่มีเสียงทีวีทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ มันชวนให้รู้สึกวังเวงชอบกล อาบน้ำไปได้สักพักสมองดันไปนึกถึงรายการผีที่เพิ่งดูกับพี่เข้มมา แถมตอนนี้ผมยังรู้สึกเหมือนกับถูกจ้องมองจากที่ไหนสักที่

พออาบน้ำเสร็จ ผมก็รีบเช็ดตัว จังหวะที่เอื้อมมือไปจับลูกบิดเปิดประตูห้องน้ำ ตอนนั้นแหละ จ๊ะเอ๋! ตาแป๋วเลย

“เหยยย!” ผมถอยหลังกรูด ตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ ตุ๊กแกลายพร้อยสีเทาสลับแดงลำตัวใหญ่เกือบเท่าต้นแขนเกาะชิดติดกับลูกบิดประตูห้องน้ำ มือผมกับลำตัวของมันอยู่ห่างกันแค่ทางมดเดิน ตาสีเหลืองของมันจ้องผมเขม็ง ไม่รู้ว่าพื้นลื่นหรือขาผมไม่มีแรงกันแน่ จังหวะที่ผมถอยหลัง ผมเกือบลื่นล้มหัวคมำ แถมมือยังดันไปฟาดเอาพวกแชมพูสบู่เหลวหล่นไปกองกับพื้นเสียงดัง

แต่ตุ๊กแกมันก็ไม่ขยับตัวไปไหน ผมก็ไม่ขยับตัวไปไหนเหมือนกัน ขณะที่ในหัวผมกำลังประมวลผลหาทางรอดที่ดีที่สุด จังหวะนั้นเอง

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

“นาย! เป็นอะไร?” กราฟเคาะประตูเบาๆ ตุ๊กแกตัวนั้นมันเริ่มขยับตัว

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

มันจ้องมาหาผม หางมันกระดิกน้อยๆ หลังรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากอีกฝั่งด้านนอกของประตู “นาย?”

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

มันเริ่มไต่ประตูมาฝั่งห้องน้ำที่ผมยืนอยู่ หลังได้ยินเสียงเคาะประตูอีกรอบ “มะนาว?”

“เฮ้ยยยยย!!!!!!” ผมตาเหลือก จู่ๆ ตุ๊กแกมันก็ไต่อย่างรวดเร็วออกจากประตู มันวิ่งไต่ผนังห้องน้ำมาฝั่งที่ผมยืนชิดอยู่อย่างรวดเร็ว ขาผมเริ่มสั่น แต่ขาทั้งสี่ของมันวิ่งหน้าตั้งอย่างเร็วรี่ปรี่เข้ามาใกล้ผม พอมันจะวิ่งเข้ามาใกล้ ผมก็เบี่ยงตัวหลบไปยืนบนชักโครก ผมมองไปรอบๆ ห้องน้ำ ด้านซ้าย ด้านขวา ด้านหน้า แล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปบนหัว ผนังห้องน้ำมีช่องระบายอากาศอยู่ มิน่าตุ๊กแกถึงวิ่งตรงมาบริเวณที่ผมยืนอยู่ เฮ้ออออ ไปแล้ว

ประตูห้องน้ำเปิดออก กราฟพาร่างหนาสูงเดินตรงเข้ามาหาผมแบบสบายๆ หล่อๆ ไม่ต้องถีบต้องพังประตูให้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะผมไม่ได้ล็อกประตู “นายโอเคไหม?”

“เมื่อกี้ ตุ๊กแก เกาะประตูห้องน้ำ”

กราฟกวาดตามองผมแวบหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ เดินออกไป แต่พอดี๊ก็มีเหตุให้ต้องมองต่ำเสียก่อน

เกร๊ง!!

เสียงวัตถุบางอย่างหล่นจากตัวผมร่วงลงกระทบพื้นกลิ้งไปหยุดที่ตะแกรงกรองเศษผม

กราฟค่อยๆ ย่อตัวก้มลงไปหยิบเกียร์ส่งมาให้ผมพร้อมกับผ้าเช็ดตัวที่หล่นอยู่ข้างๆ จากนั้นก็เดินออกจากห้องน้ำไป

ผมชะงัก หน้าผมร้อนวาบ ตุ๊กแกมาทำผมผ้าหลุด

หลังจากผมตั้งสติได้ก็เดินออกมาจากห้องน้ำ แต่งตัวเสร็จก็รีบขึ้นไปนั่งบนเตียงฝั่งด้านขวาที่เลือกเอาไว้ตั้งแต่เช้าโดยเว้นที่ว่างด้านซ้ายของเตียงเอาไว้เผื่ออีกคน แต่ตอนนี้คนคนนั้นไม่อยู่ในห้อง ออกไปไหนไม่รู้ จากท่านั่งผมก็เริ่มเอนตัวลงนอนจนเผลอหลับไป

แอ๊ดดดดด

ผมตื่นขึ้นมาอีกทีเพราะเหมือนได้ยินเสียงคนเปิดประตู ไฟในห้องพักผมถูกปิดลงแล้ว มีเพียงแสงไฟสลัวลอดส่องออกมาจากบานประตูห้องน้ำที่เปิดอ้าแง้มค้างเอาไว้ ทำให้ในห้องยังพอมีแสงสว่างให้สายตาผมยังสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวต่างๆ ได้ แสดงว่ากราฟเพิ่งกลับเข้าห้อง ผมมองเห็นชายหนุ่มตัวหนารูปร่างสูงที่คาดว่าเป็นกราฟเดินเปลือยช่วงบนออกมาจากห้องน้ำ ช่วงล่างมีเพียงกางเกงนอนขายาว มีหยดน้ำเกาะพราวอยู่ตามมัดกล้ามอย่างคนเล่นกีฬา กราฟเดินแกว่งลูกตุ้มนาฬิกาตรงเข้ามาหาผมที่นอนอยู่บนเตียง ด้วยแสงไฟจากห้องน้ำ ทำให้ผมมองเห็นเงาของลูกตุ้มนาฬิกาเรือนนั้นชัดถนัดตา ผมมองตามกราฟที่กำลังเดินตรงเข้ามาที่เตียงอย่างอ้อยอิ่งเหมือนไม่ได้รีบร้อนอะไร และคงไม่รู้ว่าผมกำลังนอนมองเขาอยู่ กราฟเดินมาหยุดอยู่ที่ปลายเตียงฝั่งที่ผมนอน ย่อตัวก้มลงก่อนจะใช้มือด้านขวาจับข้อเท้าซ้ายผมยกขึ้น

ผมตกใจตาเบิกโพลง พยายามจะร้องถามว่ากราฟกำลังจะทำอะไร แต่กลับไม่มีอะไรเล็ดลอดออกมา

กราฟจับขาผมยกขึ้นทำให้ผมมองเห็นว่าตอนนี้ช่วงล่างของร่างกายกำลัง ‘เปลือยเปล่า’ ขณะที่ผมกำลังตกใจทำอะไรไม่ถูก กราฟก็ใช้ปลายลิ้นสากลากโลมเลียจากปลายนิ้วเท้าขึ้นมายังข้อเท้าผม พอผมตั้งสติได้ก็กระตุกตัวพยายามดิ้นขัดขืน ผมร้องบอกให้หยุด แต่มีแค่เสียงอู้อี้หลุดลอดออกมา ผมเพิ่งรู้ปากผมถูกมัดด้วยผ้า

กราฟหยุดลากลิ้นแล้วเงยหน้าขึ้นมามองผม แสงไฟจากห้องน้ำทำให้ผมเห็นสีหน้าและแววตาที่จ้องมองผมผ่านเลนส์สายตาอย่างชัดเจน หน้ากราฟนิ่งปกติ

หน็อย ไอ้กราฟกล้ามาก ผมพยายามดิ้นตัวหนีและส่งเสียงร้องขอให้คนช่วย

"อู้...อี้...อื้อ"

ไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมา มีเพียงเสียงอู้อี้ลอดผ่านผ้าออกมาเท่านั้น แขนและข้อเท้าอีกข้างของผมถูกมัดตรึงไว้กับเตียงด้วยผ้า

เมื่อกราฟแน่ใจว่าผมไม่สามารถขัดขืนได้ เขาก็จับขาผมทั้งสองข้างแยกออกจากกัน กราฟเริ่มแก้มัดขาซ้ายของผมที่ผูกติดกับเตียง จากนั้นก็ค่อยๆ ยกขาผมขึ้นแล้วเริ่มใช้ปลายลิ้นสากลากโลมเลียจากข้อเท้าด้านซ้ายที่ทำค้างไว้ลากขึ้นมาเรื่อยๆ พร้อมกับเป่าลมหายใจร้อนรดลงบนผิวหนังผม จนผมเริ่มรู้สึกแปลกๆ ขนอ่อนตามตัวลุกตั้งชัน ผมรู้สึกร้อนผ่าวทุกครั้งที่ปลายลิ้นสากลากไล้สัมผัสร่างกาย ผมเริ่มหายใจติดขัด กราฟยังคงจ้องมองผมนิ่งด้วยสายตาที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ปลายลิ้นลากวนมาเรื่อยๆ ผมพยายามร้องและขยับตัวดิ้นหนีการกอบกุม ผมเห็นทุกการกระทำของกราฟแต่ทำอะไรไม่ได้ ร่างกายผมอ่อนเปลี้ยเหมือนคนไม่มีแรง ผมพยายามดิ้นขัดขืนอีกครั้ง แต่ร่างกายกลับไร้เรี่ยวแรง

ผมไม่อยากให้การเสียเอกราชครั้งแรกต้องเป็นแบบนี้

กราฟหยุดขยับมือเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมนิ่งแล้วกระตุกยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะก้มหน้าลงใช้ลิ้นหยอกล้อจุดแข็งขันตรงกึ่งกลางตัวผมจนพอใจ ผมสัมผัสถึงอุณหภูมิร้อนชื้นของลิ้นและโพรงปาก กราฟกำลังกลืนกินผมอย่างคนหิวกระหาย
ผมหอบหายใจถี่ ไม่อยากให้เป็นแบบนี้ ผมรวบรวมพลังทั้งหมดที่มีอยู่ขืนตัวดิ้นพร้อมตะเบ็งเสียงสุดแรงเกิดอีกครั้ง ผมรู้สึกตัวเบาเหมือนลอยอยู่ในอากาศ

ตุ้บ!

ผม ตก เตียง

ผมฝันและนอนดิ้นจนร่วงหล่นจากเตียง เฮ้อ! ผมถอนลมหายใจยาวๆ ออกมา ‘ฝันบ้าอะไรวะ’ พร้อมกับก้มมองรอบๆ ตัว ผมอยู่ในชุดปกติ สวมเสื้อยืดคอกลมสีขาว กางเกงนอนขายาวสีฟ้าลายทาง เสื้อผ้าอยู่ครบ ไม่ได้ถูกมัดแขนมัดขา ผมชำเลืองมองอีกคนที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงเดียวกัน กราฟหลับทั้งที่ยังใส่แว่น สงสัยเหนื่อยจัด ผมพยายามนอนต่อ แต่ก็ไม่หลับ พลิกตัวเปลี่ยนท่านอนใหม่จากนอนหงายเป็นนอนตะแคงขยับตัวหยุกหยิกสักพัก มองไปที่นาฬิกาถึงรู้ว่าเกือบเช้าแล้ว

ผมนอนกลิ้งไปกลิ้งมาพยายามนอนให้หลับแต่ก็ไม่เป็นผล พอรู้สึกตัวอีกทีผมก็กำลังนอนมองสำรวจตัวกราฟอยู่ สงสัยเมื่อวานกราฟคงเพลียถึงนอนหลับทั้งที่ยังใส่แว่น ผมกระดืบตัวขยับไปถอดแว่นสายตาออกวางไว้โต๊ะหัวเตียงให้กราฟ หวังว่าคงจะสบายขึ้นนะ

ให้ตายเถอะครับ ถึงพ่อยักษ์ยังไม่ตื่นแต่ลูกยักษ์นี่ตื่นแล้วละครับ ตอนนี้กราฟเสกลูกชายให้กลายเป็นยักษ์ตัวแข็งไปแล้วเรียบร้อย ลูกยักษ์ไม่กลัวสายตาของผมเลยแม้แต่น้อย นั่งโด่ท้าทายสายตา ถ้าเป็นคนจริงๆ ไอ้นี่คงนิสัยไม่ยอมใครแน่ๆ พ่อก็ดูเงียบๆ แต่ทำไมลูกชายถึงนิสัยต่างจากพ่อขนาดนี้

ผมหยิบโทรศัพท์ที่วางเอาไว้ใกล้ๆ กับหมอนที่หนุนอยู่มาดูเวลา ตอนนี้เกือบหกโมงเช้าแล้ว ผมลุกจากเตียงแล้วรีบไปอาบน้ำแต่งตัวเพราะรถบัสล้อจะเริ่มหมุนอีกทีตอนเจ็ดโมงเพื่อเดินทางกลับมหาวิทยาลัยเตรียมงานและสถานที่รอต้อนรับน้องๆ ชั้นมัธยมปลายที่จะมางาน Open House ที่ทางมหาวิทยาลัยจัดขึ้นให้แต่ละคณะได้อธิบายข้อมูลของคณะตัวเองให้กับเด็กนักเรียนที่สนใจฟัง รวมถึงเปิดโอกาสให้สามารถซักถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ด้วย โดยงานจะเริ่มประมาณเก้าโมงเช้าวันพรุ่งนี้

ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จกราฟก็ตื่นพอดี ตอนนี้น่าจะหกโมงกว่านิด ๆ เพราะผมอาบน้ำไม่นาน

“นายใช้ห้องน้ำเสร็จแล้วใช่ไหม” กราฟถามผมในระหว่างที่เขาเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัว

“เสร็จแล้ว กราฟใช้ได้ตามสบายเลย” ผมหันหน้าไปทางอื่นเพราะกลัวถูกลูกชายกราฟสะกดจิตอีก

“เมื่อคืนนายไม่สบายหรือเปล่า?”

“เปล่า สบายดี” ผมก้มหน้าตอบพยายามเดินเลี่ยงไปเก็บกระเป๋า ทำตัวยุ่งๆ เข้าไว้เผื่อกราฟจะได้ไม่ถามต่อ

เมื่อถึงวันงานผมต้องใส่ชุดพิธีการของมหาวิทยาลัยคือผูกเนกไทสีเทาติดเข็มรุ่นแล้วก็ใส่กางเกงสีเทาไม่ใช่กางเกงสีดำนักศึกษาเหมือนที่เคยใส่อยู่ปกติทุกวัน เปลี่ยนเป็นชุดพิธีการของทางมหาวิทยาลัยเสร็จเรียบร้อย ผมก็มานั่งเล่นอยู่บนเตียง สงสัยแต่งตัวเสร็จเร็วไปหน่อยเพราะยังเหลือเวลาอีกมาก อีกอย่างจากหอพักผมไปอาคารเรียนรวมขับรถมอเตอร์ไซค์ไปแป๊บเดียวเองไม่เกินห้านาที ระหว่างนี้ผมเลยคิดว่าจะออกไปหาขนมกินที่โรงอาหาร เพราะนั่งอยู่ห้องคนเดียวก็เบื่อ วันนี้พี่มีนกับแม่หมูมีเรียนเช้า
ผมเดินออกไปซื้อขนม นั่งกินขนมในโรงอาหารอยู่สักพัก หยิบโทรศัพท์ขึ้นมามองเวลา อีกสิบห้านาทีเก้าโมงเช้า ผมลุกจากโต๊ะเดินออกจากโรงอาหาร มือขวาล้วงเอากุญแจมอเตอร์ไซค์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง เดินมาถึงหน้าหอผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าฟ้าดูมืดๆ เหมือนฝนกำลังจะตก ผมเพิ่มความเร็วในการเดินเท้าไปหารถมอเตอร์ไซค์คุรุสภาที่จอดเอาไว้หน้าหอเร็วขึ้น กลัวว่าฝนจะตกลงมาเสียก่อน ขณะที่กำลังไขกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ฝนก็เริ่มลงเม็ดเปาะแปะๆ จนเริ่มลงเม็ดหนักขึ้น แล้วก็ตกลงมาอย่างหนักซ่าๆๆ

ผมรีบวิ่งกลับเข้ามาที่ป้อมยามหน้าหอพัก ตัดสินใจเลือกไปอาคารเรียนด้วยรถเมล์มหาลัยแทน เพราะถ้าขับมอเตอร์ไซค์ออกไปเองเปียกชัวร์

ตอนนี้หน้าหอพักมีนักศึกษาออกมายืนรอรถอยู่หน้าป้อมยามหอพักกันหลายคน ผมเดาว่าวันนี้รถเมล์มหาลัยคนคงแน่นน่าดู เพราะนักศึกษาชายที่มีเรียนช่วงเช้าคงต้องหันมาใช้บริการรถเมล์กันเยอะแน่ๆ ยืนรอสักครู่ ผมมองเห็นรถบัสสีแสดจอดรับนักศึกษาชายป้ายประตูหอพักฝั่งโซนดี พอรถเมล์จอดสนิทนักศึกษาชายกลุ่มใหญ่ก็วิ่งกรูกันขึ้นรถ จากนั้นรถเมล์ก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามารับนักศึกษาประตูฝั่งโซนเอที่ผมยืนอยู่ แต่ระยะทางที่รถเมล์จอดกับป้อมยามหน้าหออยู่ห่างกันพอสมควร ผมไม่ได้หยิบร่มออกมาด้วย มองไปรอบๆ ป้อมยามก็ไม่เจอคนรู้จักเลย นักศึกษาชายที่รอรถอยู่เริ่มทยอยกางร่มของตัวเองแล้วเดินออกจากป้อมยาม ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลาอีกรอบ จวนจะถึงเวลานัดแล้ว ถ้าไม่ขึ้นคันนี้ผมสายแน่ๆ

ผมตัดสินใจวิ่งแซงหน้านักศึกษาชายที่กำลังเดินกางร่มฝ่าสายฝนจนไปถึงทางขึ้นรถเมล์เป็นคนแรก ดังคาดคนแน่นรถจริงๆ ผมรีบสาวเท้าเดินขึ้นรถเมล์อย่างรีบร้อน

“เหวอ!!!” ด้วยความรีบประกอบกับทางขึ้นมีน้ำฝนขังอยู่ทำให้บริเวณนั้นเปียกลื่น ผมเสียหลักหงายหลังพยายามใช้มือทั้งสองข้างคว้าหาที่จับยึดไม่ให้ตก โชคดีที่มีมือใหญ่เอื้อมมาจับแขนผมไว้ได้ทันเวลาแล้วดึงตัวผมขึ้นมาบนรถได้อย่างฉิวเฉียด

“เกือบหล่นแล้วไหมล่ะ”

“ขอบคุณครับ” ผมรีบขยับตัวเข้าไปในรถให้นักศึกษาชายที่กำลังยืนรออยู่ด้านล่างเดินขึ้นมา

“ทำไมเราไม่เอาร่มออกมาด้วย”

“มะนาวไม่คิดว่าฝนจะตกครับ”

“ช่วงนี้ปลายฝนต้นหนาว อากาศเดี๋ยวฝน เดี๋ยวเย็น จะไปไหนก็พกร่มหน่อยก็ดี”

“ครับ” ผมใช้มือลูบน้ำฝนออกจากหน้า ไม่กล้าสะบัดแรงกลัวน้ำกระเด็นไปโดนคนอื่น

“ด้านในยังพอมีที่ว่างเหลือไหมครับ มีคนที่ยังขึ้นไม่ได้อยู่ครับ” นักศึกษาชายที่อยู่บนรถเริ่มขยับตัวชิดกันมากขึ้น ผมพยายามยืนในท่าที่ถนัด นักศึกษาชายคนอื่นๆ เริ่มทยอยเดินขึ้นมาบนรถเมล์เรื่อยๆ จนครบหมดทุกคน ตอนนี้พวกเรากลายเป็นนักศึกษาซาร์ดีนเรียบร้อย ข้างในรถเมล์แน่นเอี๊ยด ตอนนี้หลังผมชิดอกสะโพกชิดเป้า เวลานี้ใครอย่าพิเรนทร์เผลอปล่อยลมพิษออกมาทางช่วงล่างของร่างกายก็แล้วกัน มิเช่นนั้นขมคอตายหมู่

“อึดอัดไหม วันนี้เบียดหน่อย แต่ก็อบอุ่นดี” เสียงเรียบนิ่งถามผมจากด้านหลังข้างๆ หู มันอยู่ชิดซะจนผมรู้สึกถึงไอร้อนของลมหายใจ หลังผมกำลังชิดติดอยู่กับอกแน่นๆ ของนักศึกษารุ่นพี่ตัวขาวสูงจนรู้สึกถึงจังหวะการเต้นของหัวใจ

“อุ่นสบายครับ”

“ด้านในขยับอีกนิดได้ไหมครับ” เสียงนักศึกษาชายที่ยืนอยู่ติดบานประตูรถเมล์ส่งเสียงถามเข้ามาด้านใน หลังจากรถเมล์เคลื่อนตัวมาจอดหน้าหอชายอีกป้าย นักศึกษาซาร์ดีนในรถเมล์เริ่มขยับตัวอีกครั้ง ผมก็ขยับตัวตาม

“ขยับเข้ามาอีกนิดก็ได้ หรือจะเข้ามาอยู่ในใจพี่เลยก็ได้นะ” นักศึกษารุ่นพี่พูดกลั้วขำพร้อมกับขยับตัวชิดเข้ามาหาผมอีกนิดหนึ่ง
ผมก็ขยับตัวถอยหลังตาม ยืนบอดี้ชิดกันแนบสนิท จากนั้นรถเมล์ก็เคลื่อนตัวอีกครั้ง

“วันนี้เราเรียนอะไร”

“วันนี้ไม่มีเรียนครับ ไปงาน Open House”

“อ่อ วันนี้มีงานที่อาคารเรียนรวมนี่นา”

“ครับ” คนเยอะฝนตกหนักทำให้รถเมล์ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปอย่างช้ ๆ นักศึกษาซาร์ดีนกระเด้งกระดอนตามพื้นถนน พวกผมแทบได้เสียเป็นเมียผัวกันแบบหมู่อยู่ในรถ

ในที่สุดรถเมล์ก็เคลื่อนตัวพานักศึกษาซาร์ดีนเพศชายวิ่งฝ่าสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนักจนถึงป้ายรถเมล์อาคารเรียนรวม
เอี๊ยดดด!!

เสียงเบรกรถดังลั่น นักศึกษาเซหงายหลังทั้งคัน แต่ไม่มีใครล้ม เพราะทุกคนยืนชิดกันแน่นเสียจนไม่มีที่ว่างสำหรับการล้มรวมถึงผมด้วย

รถเมล์จอดสนิทนักศึกษาที่มีวิชาเรียนอยู่ที่อาคารเรียนรวมก็ทยอยเดินลงมาจากรถ ส่วนใครจะนั่งไปบรรณสารต้องนั่งเลยต่อไปอีกป้าย ส่วนนักศึกษาที่มีเรียนแล็บก็ต้องนั่งเลยป้ายบรรณสารไปอีกหนึ่งป้าย

ผมรีบลงจากรถ รุ่นพี่ที่ยืนอยู่ด้านหลังก็เดินตามลงมาด้วย นักศึกษาคนอื่นๆ ก็กรูกันลงมาหลายคนเช่นกัน

“พี่จิ้น มะนาวไปก่อนนะครับ”

พี่จิ้นอมยิ้มพยักหน้าน้อยๆ แล้วยกมือให้ผม


หลังจากมะนาววิ่งไปลับตาสักพัก นักศึกษารุ่นพี่ตัวขาวรูปร่างสูงก็เดินวกกลับมายืนรอรถเมล์คันต่อไป เช้านี้เขามีเรียนแล็บ

ผมรีบวิ่งมายังลานกิจกรรมที่มีการจัดงาน เดินไปที่คณะของตัวเองแต่ยังไม่ถึงเพราะคนมาร่วมงานค่อนข้างเยอะ ยืนกวาดสายตามองอยู่สักครู่ก็เห็นกราฟยกมือโบกเรียก ผมจึงรีบก้าวเท้าเดินตามเข้าไปรวมตัวกับเพื่อนผู้หญิงในคณะที่กำลังยืนอธิบายข้อมูลให้กับน้องๆ มัธยมปลายที่กำลังฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ

“มะนาวเปียกฝนมาเหรอ ตรงนั้นมีทิชชู” ผมเดินไปหยิบแล้วก็เอาเช็ดๆ ซับๆ ตามผมตามหน้า บริเวณจุดที่เปียกและมีน้ำหยดติ๋งๆ อย่างรีบๆ พอเช็ดเสร็จก็เอาทิชชูไปทิ้งที่ถังขยะใบเล็กๆ ข้างโต๊ะ แล้วเดินกลับมาช่วยเพื่อนอธิบายข้อมูลให้กับน้องๆ อีกแรง

“ยืนนิ่งๆ”

กราฟโค้งตัวลงมา ใช้ปากเป่าทิชชูที่ติดอยู่บนปลายจมูกของผม แล้วหยิบทิชชูชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ติดอยู่ตามหน้าของผมสามสี่ห้าจุด กราฟกวาดตาไล่มองรอบใบหน้าผมอีกรอบ เมื่อเห็นว่าไม่มีเศษทิชชูหลงเหลือแล้วก็หันไปทำงานต่อ พอมองหน้ากราฟใกล้ๆ แบบนี้ หน้าใสกิ๊งมากครับ

กว่างาน Open House จะเลิกก็เกือบบ่ายสอง พอเก็บของเสร็จผมก็รีบแยกตัวออกมาเลย เพราะว่าวันนี้ไม่ได้เอารถมากว่าจะรอรถเมล์กลับหอก็คงอีกนาน ผมเดินไปรอรถเมล์ที่ป้ายอาคารเรียนรวม วันนี้ไม่มีแดดทั้งวัน ชักระแวงว่าฝนจะตกลงมาอีกรอบ
ผมนั่งลงบนม้านั่งไม้สีเขียวเพื่อรอรถเมล์ รออยู่นานรถเมล์ก็ยังไม่มา เวลาเดินไปเรื่อยๆ และตอนนี้ผมชักเริ่มหิวตงิดๆ

ผมหิว ลมเริ่มพัดแรงขึ้น ใบไม้แห้งปลิวลอยกลิ้งไปตามถนน แต่รถเมล์ก็ยังไม่มา

ฝนเริ่มลงเม็ดเปาะแปะๆ รถเมล์มาแล้ว ผมดีใจเพราะจะได้กินข้าวเสียที

ผมรีบกระโดดขึ้นรถเมล์ ฉึบ! ฝนลงเม็ดหนักแทบจะทันที

ถึงหน้าหอ 13 โซนเอ ฝนก็หยุดตก อะไรมันจะเหมาะเจาะพอดีขนาดนี้

“จอดหอ 13 โซนเอ ด้วยนะครับลุง” ผมตะโกนบอกลุงคนขับรถ เพราะรถเมล์มหาลัยผมไม่มีกริ่งให้กดหรอกนะครับ มีแค่สัญญาณเสียงจากคนเท่านั้น ใครจะลงป้ายไหนก็แค่ตะโกนบอก คนขับได้ยินก็จอด แต่ถ้าคนขับไม่ได้ยินก็จบ มีครั้งหนึ่งตอนที่เพิ่งเริ่มขึ้นรถเมล์ครั้งแรกผมไม่ได้บอกนึกว่าจะจอดทุกป้าย ปรากฏว่าคนขับขับรถเมล์ผ่านหน้าหอโซนเอเฉยเลย โน่น ไปจอดประตูโซนดีนู่น ผมเลยต้องเดินย้อนกลับมาใหม่ นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาผมเลยจำขึ้นใจ

สิ่งแรกที่ผมทำหลังจากก้าวพ้นประตูเข้าหอพักก็คือ ตรงเข้าไปในโรงอาหารก่อน ตอนนี้ผมหิวมาก คาดว่าความหิวของผมตอนนี้สามารถกินยักษ์ได้ทั้งตัว กินข้าวจนอิ่มเรียบร้อยก็เดินกลับเข้าห้อง นั่งเล่นนอนเล่นอยู่บนเตียงครู่ใหญ่ๆ แม่หมูก็กลับมา

“มะนาว วันนี้เราไปวิ่งกัน รู้สึกอ้วนขึ้น อยากไดเอต” เพื่อนตัวกลมผมพูดขึ้นมาหลังจากพยายามยัดขาลงกางเกงขาสั้นที่เพิ่งซื้อมาใหม่ แต่ยัดเท่าไหร่ก็ยัดไม่ลง อยากจะบอกเพื่อนตัวกลมเหลือเกินว่าทำไมไม่ลองก่อนถึงค่อยตัดสินใจซื้อ ซึ่งเธอก็มักบอกผมเสมอว่า ก็ตัวนี้มันรู้สึกว่าต้องซื้อก็คือต้องซื้อ ถ้าใส่ตอนนี้ไม่ได้ เก็บไว้ใส่ตอนผอมก็ได้เองแหละ

“ได้ แต่ไม่ไปฟิตเนสนะ” ผมอยากออกกำลังกายเหมือนกัน แม่หมูกลอกตาไปมาอย่างคนกำลังใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งถึงตัดสินใจ
“งั้น... วิ่งไปฟาร์มกันมะ เห็นตอนเย็นคนชอบไปวิ่งกันเยอะ ท่าทางน่าสนุก”

“ก็ได้ แต่ฝนจะตกอีกปะ”

“ไม่หรอกมั้ง ฟ้าก็ไม่มืดแล้วนะ” แม่หมูมองดูนาฬิกาข้อมือแล้วรีบจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าออกเตรียมวิ่ง เห็นเพื่อนตัวกลมผมมีท่าทีเอาจริงเอาจัง ผมเลยรีบลุกขึ้นจากเตียงเปิดตู้ควานหากางเกงขาสั้น แต่ก็ไม่ลืมสำรวจเป้ากางเกงทุกครั้งก่อนใส่ พวกผมออกวิ่งไปตามถนนมุ่งหน้าไปฟาร์มมหาวิทยาลัย ระหว่างทางก็มีทั้งนักศึกษาและบุคลากรวิ่งอยู่ประปรายตามขอบถนน จากตอนแรกที่วิ่ง พวกผมเปลี่ยนเป็นวิ่งกึ่งเดิน จากวิ่งกึ่งเดิน พวกผมเปลี่ยนเป็นเดินกึ่งวิ่ง ในที่สุดพวกผมก็เดินทางมาถึงฟาร์มมหาวิทยาลัยจนได้
ฟาร์มมหาวิทยาลัยผมเป็นอาคารชั้นเดียว มีม้าหินอ่อนไว้สำหรับนั่งพักผ่อนอยู่หลายตัว นอกจากตัวอาคารของฟาร์มมหาลัยแล้วยังมีร้านกาแฟ ร้านขายของทานเล่นต่างๆ เช่น ร้านยำ ร้านส้มตำ ร้านลูกชิ้นปิ้งรวมอยู่ด้วย บรรยากาศตอนเย็นร่มรื่นเย็นสบายดี บริเวณรอบๆ มีไร่องุ่น แปลงดอกทานตะวัน แปลงข้าวโพด ลึกเข้าไปด้านในก็จะเป็นโรงผลิตไฟฟ้าแล้วก็มีพวกโรงเรือนของนักศึกษาวิศวกรรมเกษตรกับเทคโนโลยีผลิตสัตว์ผลิตพืช ผมกับแม่หมูนั่งพักเหนื่อยกันอยู่สักพัก เห็นเขาถือจานอาหารเดินผ่านหน้าท้องก็เริ่มส่งเสียงร้องประท้วงว่าถึงเวลาที่ต้องให้อาหารแล้ว

โครก คราก...

แต่ไม่ใช่เสียงท้องผม ต้นเสียงยิ้มเขินอายบิดตัวไปมา น่าร้ากก

“อิอิ มะนาวกินอะไรดี”

“อะไรดีล่ะ”

“อ้าว ก็ถามอยู่นี่ไง ว่าจะกินอะไรดี”

“โวะ งั้นเดี๋ยวแบ่งกัน หมูไปซื้อของกิน เดี๋ยวมะนาวไปซื้อน้ำ โอเคไหม”

“ดีลลล”

หลังจากผมเดินกลับจากไปซื้อน้ำเปล่า อาหารเกือบสิบชนิดถูกวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ แล้วที่วิ่งมาเมื่อกี้คืออะไรวะครับเพื่อน

“หมู เยอะไป”

“นิดหน่อยน่า ก็มันน่ากินไปหมดเลย” แม่หมูยกนิ้วโป้งคอนเฟิร์มอาหารว่ารสชาติถูกปากเธอจริงๆ

“...”

“ไม่ต้องมาทำหน้าอย่างนั้น เรากินเสร็จก็วิ่งกลับ พลังงานก็ถูกเผาผลาญอยู่ดีน่า”

เห็นเพื่อนกิน น้ำลายผมก็ไหลย้อย ผมเลยรีบเดินไปนั่งร่วมวงกินเคียงข้างเพื่อนอย่างเอร็ดอร่อย

อาหารทุกจานที่วางอยู่บนโต๊ะเมื่อกี้ได้อันตรธานหายไปแล้ว

“อิ่มจัง ถ้าเดินกลับจุกแน่ๆ โทรบอกพี่มีนมารับดีกว่า” พูดจบเพื่อนตัวกลมผมก็หยิบโทรศัพท์ออกมาต่อสายหาพี่มีนให้ออกมารับ สรุปวันนี้การออกมาวิ่งเท่ากับการเพิ่มน้ำหนัก

“โหยย พี่มีนทำไมขับรถคันนี้มาล่ะ ไม่เอารถมะนาวหรือรถออยด์มา รถคันนี้ซ้อนสามไม่น่าไหว” แม่หมูบ่นหงุงหงิง ผมมองดูรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่สีดำพี่มีนเคยบอกผมว่าคันนี้เจ๋งสุดแล้ว ขับแบบไม่ต้องใส่แว่นตา rayban ก็ยังเท่ ตอนนี้พี่เมตผมหน้าโหดนั่งอยู่ตำแหน่งคนขับ สายตากะเบาะด้านหลังน่าจะนั่งได้แค่คนเดียว

“เออ พี่ลืมว่ะ เอางี้ มะนาวมานั่งด้านหน้าตรงถังน้ำมัน ส่วนเรามานั่งเบาะหลัง” พี่เมตตบถังน้ำมันปุๆ

“...” ในขณะที่ผมกำลังประเมินสถานการณ์ ผมก็คิดว่าเดินกลับเองก็น่าจะไหว เพราะตอนนี้ก็ยังไม่มืดมาก มองไปตามถนนก็ยังมีคนเดินกลับ “เดี๋ยวมะนาวเดินกลับเองก็ได้พี่มีน อยากเดินย่อยด้วย”

“เบาะวีไอพีแบบนี้ไม่รักกันจริงไม่ให้นั่งนะคร้าบบ”

สุดท้ายวันนี้ผมกลายเป็น ‘ตุ๊กตาหน้ารถ’ บนถังน้ำมันรถมอเตอร์ไซค์คันโตซะแล้ว

ปี๊นนน... ปี๊นนน... พี่เมตผมค่อยๆ ชะลอรถ

“แบ่งมานั่งรถผมคนนึงก็ได้นะครับ”

“ดีเลยน้อง ขอบคุณมาก”

ทักทายกันพอหอมปากหอมคอ ผมก็ถูกถ่ายโอนให้มานั่งซ้อนท้ายรถเวสป้าสีเขียวมะนาวอีกคัน

ขับยังไม่ถึงไหนพี่โอมก็ร้องโอ๊ยแล้วก็จอดรถ บอกว่าแมลงบินเข้าตา พี่เข้มก้มหน้าหันมาให้ผมช่วยเอาแมลงออกจากตา ผมมองไม่เห็น พี่เข้มเลยเดินไปยืนหน้ารถที่มีไฟเปิดสว่าง ผมใช้นิ้วมือถ่างเปลือกตาก็เห็นมีแมลงตัวสีดำนอนแอ้งแม้งอยู่จริงๆ ผมพยายามคิดว่าจะใช้อะไรเขี่ยแมลงออกจากตาดี แล้วก็นึกขึ้นได้ ผมรีบดึงชายเสื้อเข้าไปจิ้มเอาแมลงออกแต่ความยาวเสื้อมันไม่ถึง

“พี่โอมก้มตัวลงมาอีกนิดหนึ่งครับ เสื้อมะนาวไม่ถึง” พี่เข้มก้มตัวลงมาต่ำอีกแต่ปลายชายเสื้อผมก็ยังไม่ถึง จนในที่สุดพี่โอมคงนึกขึ้นได้เลยย่อตัวนั่งลง เออ คราวนี้พอดีเลย ทำไมไม่นั่งลงตั้งแต่ทีแรก

ผมเดินเข้าไปใกล้ดึงปลายชายเสื้อเลิกขึ้นจากตัว ตอนนี้หน้าพี่โอมอยู่เลยเอวผมขึ้นมานิดหน่อย ผมใช้ปลายชายเสื้อยืดค่อยๆ จิ้มเข้าไปที่ด้านในลูกตาเบาๆ จนในที่สุดแมลงเจ้าปัญหาก็ติดเสื้อออกมา

“เอาแมลงออกได้แล้วครับ ตาพี่เป็นไงบ้าง รู้สึกโอเคขึ้นไหม” พี่เข้มกลอกตาไปมาสามสี่ทีก่อนจะหันมาตอบผม

“โอเคละ แค่เคืองตานิดหน่อย”

“พี่ขับรถไหวไหมครับ ถ้าไม่ไหว มะนาวขับให้ ตอนนี้ตาพี่แดงมากเลย” ผมหันไปถามเพราะเห็นพี่โอมเงียบผิดปกติ

“มึงขับแล้วกัน” พี่เข้มพูดเสร็จก็เดินไปนั่งลงบนเบาะรถด้านหลัง เว้นที่ว่างด้านหน้าเอาไว้ให้ผมขึ้นไปนั่ง สรุปผมเป็นคนขับมียักษ์ตัวเข้มซ้อนท้าย

“น้ำมันรถกูใกล้หมดยังวะ” พี่เข้มเอาคางมาวางเกยไหล่ซ้ายผมมองดูเกจ์น้ำมันบนหน้าปัดรถ

“เหลือเต็มเลยพี่” ผมก้มหน้าลงไปมองก่อนจะตอบพี่เข้ม น้ำมันเหลืออยู่เกือบครึ่งถังได้

“อืม สงสัยกูจำผิด” พี่เข้มกลับไปนั่งตามปกติ สงสัยถูกแมลงบินเข้าตาจนทำให้สมองรวน ขับรถมาถึงหน้าหอผมก็ขอบคุณพี่เข้มแล้วก็เดินเข้าไปข้างใน พอเลี้ยวมาถึงเฟสห้องผมก็เห็นนักศึกษาชายกลุ่มใหญ่นั่งรวมตัวกันอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อนหน้าห้อง

“มะนาวเดินเร็วๆ วันนี้เฟสเรามีปาร์ตี้" เสียงเพื่อนตัวกลมผมดังขึ้นมาท่ามกลางกลุ่มนักศึกษาชายนับสิบชีวิต

ออฟไลน์ ryoushena

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-2
THE CALL - เมื่อผมเป็นพ่อสื่อให้คางคก

The Call Chapter 17: คางคกตัวที่สอง

บรรยากาศหน้าห้อง 7712 ตอนนี้กำลังสนุกสนาน นักศึกษาชายประมาณเจ็ดแปดคนนั่งล้อมวงกันบนโต๊ะม้าหินอ่อน นั่งเบียดกันบนที่นั่งบ้าง ยืนอยู่รอบๆ โต๊ะบ้าง พี่เมตกับแม่หมูนั่งตรงกลางวงมือกำลังสาละวนจับตะหลิวทอดเนื้อแดดเดียวในกระทะไฟฟ้าสีแดงที่ตั้งวางอยู่ตรงกลางโต๊ะ เนื้อทอดโชยกลิ่นหอมลอยขึ้นมาเตะจมูก ยั่วให้น้ำลายสอจริงๆ พี่เมตกับแม่หมูกำลังเอร็ดอร่อยกับการกินเนื้อทอดในกระทะ ชิ้นไหนสุกก็หยิบขึ้นมากินกันก่อน ส่วนคนที่รอให้เนื้อสุกก็คุยกันล้งเล้งเสียงดัง

ผมยืนมองก็อดขำแม่หมูไม่ได้ เพราะก่อนหน้านี้ผมกับแม่หมูเพิ่งกวาดอาหารที่ฟาร์มมหาลัยลงท้องมาหลายชนิด ยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงดีเพื่อนตัวกลมผมก็มานั่งปุ๊กลุกโซ้ยเนื้อทอดในกระทะซะแล้ว

เพียะ!

เพื่อนตัวกลมผมใช้ฝ่ามือป้อมๆ ตีมือพี่มีนที่กำลังตั้งท่าหยิบเนื้อทอดในจาน “พี่มีนให้เนื้อในกระทะสุกหมดก่อนสิคะ แล้วค่อยหยิบกินพร้อมกัน ทอดไปกินไปแบบนี้ คนรอหิวไส้กิ่วกันพอดี”

“อ้าว ไรวะ ทีน้องเมตยังหยิบกินได้เลยนะคร้าบ” พี่มีนชักมือกลับ หันมามองแม่หมูค้อนๆ ส่วนคนอื่นที่นั่งรออยู่ก็หัวเราะสนุกสนาน

“ออยด์แค่ชิม ไม่ได้กิน” เพื่อนตัวกลมลอยหน้าลอยตาพูด แสดงจุดยืนของตัวเองอย่างชัดเจน ปาร์ตี้คราวนี้เธอรั้งตำแหน่งแม่ครัวใหญ่ประจำงาน

“กินไปทอดไป อร่อยดีออก” พี่มีนยังไม่วายแย้ง สงสัยคงอดใจไม่ไหว กลิ่นเนื้อทอดในกระทะหอมฟุ้งตลบยั่วให้น้ำลายไหลย้อยจริงๆ

“ไม่-ได้-ค่ะ” แม่หมูพูดช้าๆ ชัดๆ ยื่นคำขาดให้พี่มีน ก่อนจะหันมาพูดกับผมที่เพิ่งเดินเข้ามาถึง

“มะนาวมากินเนื้อทอดด้วยกันสิ” แม่หมูหันหน้ามาชวนผมที่กำลังยืนมองอยู่

“หอมดี เนื้ออะไรพี่มีน” ผมหันหน้าไปถามพี่เมตที่กำลังนั่งจ้องเนื้อทอดในกระทะตาไม่กะพริบ

“ยังไม่รู้เหมือนกัน ไอ้มดเป็นคนเอามา สงสัยเนื้อโคขุนละมั้งน้องเมต” พี่มีนโบ้ยปากไปทางมดที่กำลังคุยโม้อยู่กับเพื่อนอีกคนอย่างออกรสชาติ มดเป็นหนุ่มภูไทครับ มาจากเมืองสกลนครแหล่งเนื้อโคขุนชื่อดัง สงสัยเพิ่งกลับบ้านมาเลยขนเนื้อแดดเดียวกลับมาฝากด้วย เจอหนุ่มภูไทด้วยกันผมจึงใช้ภาษาซาวนด์แทร็กคุยซะเลย

“เอ็ดเผออยู่ คือเว้าดั๋งแท๊ะ” (ทำอะไรอยู่ คุยกันเสียงดังจัง)

“ท็อดเน้อ เจ้าไป๋เผอมา” (ทอดเนื้อ มะนาวไปไหนมา)

“มาตะฟาร์ม มดโต๋ไปเอาเน้อมาบ่อ เอามาจากไสท็อดกิ๋น เม้อบ้านมาบ่อ” (มาจากฟาร์ม มดเอาเนื้อมาเหรอ เอามาจากไหน กลับบ้านมาเหรอ

“เฮาเอามาจากเฮิ้น เมือบ้านมา กิ๋นเข้าละบ่ มากิ๋นเข้านัมเด๋ว” (เราเอามาจากบ้าน กลับบ้านมา กินข้าวหรือยัง มากินข้าวด้วยกัน)
“กิ๋นแล่ว หอมดี๋ เน้อหยัง โคขุนบ้อ” (กินแล้ว หอมดี เนื้ออะไร โคขุนเหรอ)

“บ่แม้น เน้อหมา” (ไม่ใช่ เนื้อหมา)

“ผะเหลอเด๊ะ” (อะไรนะ)

“เน้อหมา” (เนื้อหมา)

“มิได่ เฮากิ๋นเข้ามาแล่ว” (ไม่เป็นไร เรากินข้าวมาแล้ว)

ระหว่างที่ผมคุยกับมดเรื่องเนื้อที่เอามาทอด เนื้อในกระทะก็สุกพอดี แม่หมูกับพี่มีนรีบใช้ตะหลิวตักเนื้อทอดออกจากกระทะวางไว้ในจาน พอเนื้อถูกตักออกจากกระทะยังไม่ถึงหนึ่งนาที เนื้อที่เพิ่งทอดสุกใหม่ๆ ก็หายวับไปกับตาราวกับว่ามีใครเล่นมายากลซ่อนเนื้อทอด

“ซื้อเนื้อมาเท่าไหร่คะมด ช่วยๆ กันหาร”

“กินเลยๆ ไม่เป็นไร ไม่ต้องหารหรอก”

“หารเถอะ”

“ไม่เป็นไรพี่ ไอ้นี้พวกนี้มันอยากลองกัน จังหวะที่ผมกลับบ้านพอดี เลยไปหามาให้” มดหันมาตอบพี่เมตผมชัดๆ อีกครั้งในขณะที่มือกำลังคลี่กระดาษหนังสือพิมพ์หนาปึกออกจากมัดเนื้อตูบขุนที่ถูกห่อมาอย่างดี

“แถวนั้นเยอะเลยเหรอวะ”

“หายากแล้วพี่ ต้องรู้แหล่งจริงๆ”

ปาร์ตี้เนื้อสวรรค์ตูบขุนก็ดำเนินไปเรื่อยๆ นักศึกษาแถวนั้นก็เดินวนมาลองกันสักชิ้นสองชิ้น บางคนรู้ทั้งรู้ว่าเป็นเนื้อตูบขุน แต่ก็อยากลองดูสักชิ้นในชีวิต แต่ก็ยังกล้าๆ กลัวๆ ทำให้เกิดเหตุการณ์ขำๆ ให้เห็น เพราะจะหยิบกันทันทีเลยก็ไม่กล้า แต่ก็ยังอยากลองอยู่ดี บางคนก็แค่อยากมาดู แต่ก็โดนเพื่อนจับขึงง้างปากให้ลองชิมดูสักชิ้น บรรยากาศก็เลยชุลมุนวุ่นวายครื้นเครง ในที่สุดปาร์ตี้ก็เลิกราต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันกลับห้องใครห้องมัน

“มะนาวจ๋า ทำหน้าที่ด้วย” หลังจากปาร์ตี้จบเพื่อนตัวกลมผมก็เอ่ยเสียงหวานกึ่งขอร้องให้ผมทำหน้าที่แม่สื่อให้อีกตามเคย

“วันหลังนะ ช่วงนี้ใกล้สอบแล้วต้องรีบอ่าน ไม่งั้นได้คะแนนรองมินแน่” ผมละสายตาจากหน้าหนังสือขึ้นมาตอบเพื่อน

“แน่ใจว่าหนังสือเรียน?”

“รู้ทันเกินไปแล้ว ก็เลยต้องรีบอ่านให้จบไง พอถึงวันสอบจะได้มีสมาธิอ่านแค่หนังสือเรียน จิตใจจะได้ไม่ว่อกแว่กไปเรื่องอื่น” เพื่อนเมตตัวกลมขัดจังหวะผมได้ถูกช่วงเวลาจริงๆ ก็ผมกำลังอ่านการ์ตูนถึงตอนสนุกพอดีเลยอะ

“ค่อยกลับมาอ่านต่อก็ได้น่า นะ...” แม่ลากเสียงอ้อนยาว ส่งสายตาเว้าวอน กะพริบตาปริบๆ

“นะ”
“นะ”
“นะ”
“นะ”

“โอเค แต่คุยแป๊บเดียวนะ” โทรให้ก็ได้วุ้ย ถ้าจะตื๊อขนาดนี้ เพื่อนเมตยอมโทรให้ก็ได้จ้า

ตื๊ดดด ตื๊ดดด

“กราฟครับ”

“มะนาวนะ”

“อืม” กราฟก็ตอบสั้นๆ สไตล์เดิมของเขานั่นแหละ ส่วนผมก็ต้องเป็นคนจุดประเด็น หาเรื่องคุย โน่นนี่นั่นนู่นไปเรื่อย แต่มันก็คุยกันได้

“กราฟ รถมอไซค์ที่กราฟใช้ตอนนี้ เขาเรียกว่าอะไรนะ” วันนี้ผมเห็นนักศึกษาขับรถมอเตอร์ไซค์แบบเดียวกับที่กราฟขับอยู่ในมหาวิทยาลัยหลายคัน ลักษณะเหมือนรถแข่งคันจิ๋ว

“KSR”

“คันละเท่าไหร่”

“นายจะซื้อ?”

“เปล่า เห็นเด็กนักศึกษาขับในม.กันเยอะ คันเล็กๆ มองไปมองมาก็รู้สึกว่าเท่ น่าขี่ดีเหมือนกัน”

“ถ้านายอยากลอง มาเอาไปขับได้”

“จริงอะ”

“จริง”

“หุย หล่อ สปอร์ต ใจดี ให้ได้เป็นสามีรักตายเลย”

“เกินไป”

“นี่ๆ กราฟ ถามจริงๆ เลยนะ ที่บอกว่าเพื่อนเราน่ารักเหมือนคางคกอะ ตอนนี้ยังคิดงั้นอยู่ปะ”

“ก็ยังน่ารักเหมือนเดิม”

“ไม่น่ารักเหมือนอย่างอื่น?”

“อย่างอื่น?”

“แมวน้ำ เพนกวิน ลูกหมา ลูกแมว ปลาทอง สลอธ คิงคองงี้”

“คางคกน่ารักกว่า”

“ถามจริง คางคกน่ารักตรงไหน”

“นั่งนิ่งๆ ตวัดลิ้นกินแมลง”

บทสนทนาของผมกับกราฟก็จบลงเท่านั้นแหละครับ วันนี้เป็นการคุยโทรศัพท์กับกราฟที่หลอนและสั้นที่สุดสำหรับผม หวังว่าคืนนี้ผมคงไม่เก็บไปฝันประหลาดๆ อีกนะ

“แม่หมูเดินไปมาร์ตชายกันไหม” หลังจากวางสายโทรศัพท์ผมก็รู้สึกอยากกินขนมเลยตัดสินใจชวนเพื่อนตัวกลมไปมินิมาร์ตหอชาย

“ไม่ดีกว่า จะอาบน้ำแล้ว”

“แล้วจะฝากซื้ออะไรไหม”

“ไม่ละ แต๊งกิ้ว”

“พี่มีนเอาอะไรไหม มะนาวจะเดินไปมาร์ต” พี่เมตที่กำลังนั่งเล่นคอมอยู่โบกมือเป็นสัญญาณว่าไม่เอาอะไร

เมื่อทุกคนไม่ฝากซื้ออะไรผมก็เดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์ เปิดประตูแล้วเดินออกไปมินิมาร์ตหอชาย วันนี้มินิมาร์ตหอชายคนบางตา ซื้อขนมเสร็จผมก็ออกมานั่งรอโก๋บนม้านั่งด้านหน้า

ผมนั่งอยู่บนม้านั่งใต้ต้นดอกคูณหน้ามินิมาร์ตหอชาย ตอนนี้ในหัวกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ปากคาบแท่งกูลิโกะเคลือบครีมรสสตรอว์เบอร์รี มือซ้ายถือแท่งกูลิโกะอีกแท่งเอาไว้ ส่วนมือขวาถือกล่องกูลิโกะที่ถูกเปิดแล้ว ผมมองเห็นชายหนุ่มตัวหนารูปร่างสูงตัดผมทรงสกินเฮดเดินผ่านหน้าเข้าไปในมินิมาร์ต

“กินอะไร” ชายหนุ่มคนนั้นเปลี่ยนทิศทางในการเดิน เขาหันหลังเดินกลับมาหาผมที่นั่งอยู่บนม้านั่งคนเดียว แววตาขี้หงุดหงิดจ้องมองผมนิ่ง ขายาวทั้งสองข้างก้าวฉับตรงดิ่งเข้ามาหาผม

“...” ผมชูกล่องกูลิโกะป๊อกกี้ขึ้นมาเพื่อตอบคำถาม เพราะปากพูดไม่ได้ มีแท่งกูลิโกะคาเอาไว้อยู่

ชายหนุ่มตัวสูงคนนั้นเดินมาหยุดยืนตรงหน้าผม ชะโงกหน้าเข้ามามองดูขนมใกล้ๆ

ป๊อก!

เสียงกัดแท่งขนมป๊อกกี้ดังขึ้น ชายหนุ่มก้มหน้าลงมาใช้ปากกัดแท่งป๊อกกี้จากปากของผม
จังหวะที่ผมกำลังอยู่ในอารมตกใจ เสียงป๊อกกี้หักก็ดังขึ้นติดๆ กัน

ป๊อก!
ป๊อก!
ป๊อก!

ความยาวของป๊อกกี้ที่คาอยู่ในปากของผมสั้นลงเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เหลือความยาวไม่ถึงนิ้ว สายตาของเราทั้งคู่ประสานกัน

“อร่อยว่ะ”

โป๊กก!!

ฝักคูณแห้งหล่นลงมากระแทกโดนหัวชายหนุ่มตัวสูงผิวเข้มเสียงดัง สม!

“โอ๊ย! เชี่ย! เจอมึงนี่กูซวยตลอด” ยักษ์ตัวเข้มใช้มือลูบหัวป้อยๆ มองไปรอบๆ ตัว แต่มองไม่เห็นใครนอกจากฝักคูณแห้งที่หล่นลงมาจากต้น

“มะนาว” เสียงเรียกชื่อผมดังขึ้น ผมกับยักษ์ตัวเข้มหันไปมองหาต้นเสียงปริศนาที่เรียกชื่อผมทันที

“มะนาวทางนี้ๆ”

“เคๆ”

แล้วพวกผมสองคนก็ขับรถมอเตอร์ไซค์ของโก๋มุ่งหน้าไปเซเว่น ทิ้งให้ไอ้พี่เข้มยืนลูบหัวตัวเองป้อยๆ อยู่ตรงนั้น สมน้ำหน้า ชอบกวนนิ้วสั้นๆ ผมดีนัก

สิบโมงของวันนี้ผมมีนัดติวหนังสือที่บรรณสารกับเพื่อนๆ อาจารย์ที่ปรึกษานัดรุ่นพี่มาติวหนังสือให้ โต๊ะที่พวกผมนั่งวันนี้เป็นโต๊ะขนาดใหญ่สามารถนั่งได้ราวสิบคน

ผมนั่งเก้าอี้ติดผนัง แต่สามารถมองเห็นโต๊ะด้านนอกได้ นั่งติวกันไปสักพัก ผมก็เห็นนักศึกษาวิศวะกลุ่มใหญ่เดินเข้ามา หนึ่งในนั้นมีคนที่ผมรู้จักรวมอยู่ด้วย แต่เขามองไม่เห็นผม นักศึกษาวิศวะกลุ่มนั้นเลือกนั่งโต๊ะห่างจากโต๊ะที่ผมนั่งไปประมาณห้าตัว คนที่ผมรู้จักนั่งเก้าอี้หันหน้ามาทางผม ระหว่างที่ผมกำลังนั่งจ้องเขาอยู่เขาก็หันหน้ามองมาทางผมพอดี เขายกมือขึ้นทักทายผม ผมก็ส่งยิ้มตอบ

เขาพยายามสื่อสารกับผมด้วยคำพูดอะไรสักอย่าง เขาอ้าปากพูดแบบไม่มีเสียง ผมพยายามอ่านปาก แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดอะไร

ครู่หนึ่งเหมือนเขานึกอะไรออก เขาก้มลงบนโต๊ะอ่านหนังสือ ก่อนจะยกกระดาษเอสี่สีขาวที่มีข้อความตัวใหญ่อยู่ตรงกลางหน้ากระดาษขึ้นมา

‘โชค A ครับ’

ผมก้มหน้าลงเขียนบ้าง

‘Thanks P’จิ้น’

ติวเสร็จก็เกือบเย็น ผมพาร่างที่เกือบแตกสลายขับรถคุรุสภาสีขาวกลับหออย่างเหนื่อยล้า

“มะนาว ถามจริงเถอะ ไหนเคยบอกว่าที่ห้อยเกียร์เอาไว้เพราะอยากเห็นพิรุธของคนให้ แต่ทำไมเลือกใส่เฉพาะเสื้อยืดคอกลมตลอดเลยล่ะ ทำอย่างนี้แล้วชายปริศนาคนนั้นเขาจะเผยโฉมหน้าออกมาได้ยังไง ในเมื่อคอเสื้อมันปิดสนิทมิดชิดขนาดนี้ มองเห็นแค่สายหนังไม่เห็นเกียร์” เพื่อนตัวกลมผมเอ่ยปากถามขึ้นมาในขณะที่พวกเรากำลังนั่งเล่นอยู่บนเตียงของตัวเอง

“เออ...ก็จริง ลืมไปเลย” ผมลืมไปเลย ก็ช่วงนี้ชีวิตผมมันวุ่นๆ

“ทีหลังหัดใส่เสื้อแบบอื่นบ้าง คอวี คอปาดก็ได้ จะได้เห็นสร้อยที่ห้อยเกียร์ ไม่ใช่เอะอะอะไรก็หยิบเสื้อคอกลมมาใส่ตลอด”

“มิน่า ไม่เห็นมีใครถามถึงเรื่องเกียร์เลย ทั้งที่ห้อยอยู่ตลอด”

“จ้ะ พ่อพวงมะนาว”

ผมรีบพยักหน้ารับคำเพื่อนตัวกลมของผม ก่อนจะเอ่ยปากชวนเพื่อนไปอ่านหนังสือ

“แม่หมูคืนนี้ไปอ่านหนังสือที่บรรณสารกันไหม” ตอนนี้ผมอ่านการ์ตูนวายจบหมดทุกเล่มแล้วครับ ถึงเวลาที่ผมควรตั้งใจอ่านหนังสือเรียนเพื่อเตรียมตัวสอบ เริ่มเข้าสู่เทศกาลสอบปลายภาคแล้ว ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยผมจะเปิดทำการให้นักศึกษาไปอ่านหนังสือได้ถึงเที่ยงคืนก่อนถึงวันสอบวันแรกประมาณสองสัปดาห์ และจะเปิดทำการตามเวลาปกติหลังจากที่นักศึกษาสอบเสร็จวันสุดท้าย แต่ถ้าหากใครอยากติวหนังสือเป็นกลุ่มหรืออยากอ่านทั้งคืนจนถึงเช้าก็จะรวมตัวกันไปติวตามอาคารเรียนรวม หรือตามใต้ถุนของหอพักต่างๆ เพราะตามอาคารเหล่านี้เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง แต่ผมชอบไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดมากกว่าเพราะเงียบและมีแอร์ ช่วงนี้นักศึกษาก็เริ่มรวมตัวกันอ่านหนังสือกันบ้างแล้ว คืนนี้บรรณสารเปิดให้บริการถึงเที่ยงคืนเป็นคืนแรก

“คงไม่ได้ไปหรอกมะนาว คิวเต็ม คืนนี้เพื่อนนัดติวที่ใต้ถุนหอหญิง” เพื่อนตัวกลมหันมาตอบก่อนจะเรียงชีตใส่กระเป๋าเพื่อเตรียมตัวออกไปติว ช่วงนี้ผมกับแม่หมูต่างคนก็ต่างเอาชีวิตรอด เพราะสอบกลางภาคที่ผ่านมาทำคะแนนกันได้ไม่ค่อยดี ส่วนพี่เมตผมช่วงนี้ก็อยู่ไม่ติดห้องเหมือนกัน มีคิวติวหนังสือตลอด จะกลับเข้าห้องอีกทีก็ตอนดึกๆ หรือไม่ก็ตอนเช้า บางวันก็นอนบ้านพี่กุ้งที่เช่าบ้านเดี่ยวเป็นหลังไว้ด้านนอกมหาวิทยาลัย

ส่วนมากผมเลยต้องอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องคนเดียว และหน้าที่แม่สื่อของผมก็ถูกละเลยชั่วคราว

“ช่วงนี้เครียดเนอะ สักชั่วโมงไหม?” จู่ๆ เพื่อนเมตตัวกลมของผมก็พูดขึ้นมาลอยๆ วันนี้เพื่อนตัวกลมผมว่างนอนอยู่ห้องเพราะไม่มีคิวติวหนังสือ

“สักชั่วโมง?” ผมเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย

“อยากรำพัดคลายเครียด”

“เล่นไพ่ตอนนี้เนี่ยอะนะ?” ผมถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เพื่อนตัวกลมผมก็พยักหน้ารับอย่างไม่มีอิดออด

“ก็อ่านหนังสือเยอะ ก็อยากรีแลกซ์พักสมองบ้าง”

“ดีเหมือนกัน” ผมตอบตกลงทันทีเพราะคิดว่ายังมีเวลาเหลืออยู่อีกหลายวันก่อนถึงวันสอบวันแรก

สมาชิกขาไพ่ก็เหมือนเดิมทั้งหมดสี่ขา มีผม แม่หมู อีผี และอีหมู สมาชิกครบขบวนการสี่ขาก็เริ่มต้น เล่นไปได้สักพักจนครบชั่วโมงผมไม่เห็นทีท่าว่าจะมีใครเลิก จึงพูดท้วงขึ้นมา

“อีกสองตาเลิกเล่นได้แล้วนะ จะครบชั่วโมงแล้ว”

“ยังไม่ครบเลย” อีผีตอบผม

“ไม่ครบได้ไง เราเล่นกันตอนสองทุ่มกว่า ตอนนี้จะสามทุ่มครึ่งแล้วนะ” ผมหยิบโทรศัพท์มาดูเวลาอีกทีเพื่อความแน่ใจ
“ครบชั่วโมงแล้วใช่ไหม” แม่หมูที่กำลังสับไพ่อยู่หันมาถามผม

“ใช่” ผมพยักหน้าตอบเพื่อนตัวกลม

“ถ้าอย่างนั้นเวลาของดิฉันหมดลงแล้วค่ะ” แม่หมูวางไพ่ก่อนจะพูดต่อว่า

“ใครจะเป็นเจ้าต่อ”

“อ้าว สรุปเอายังไงแน่ ไหนบอกจะเล่น ‘สักชั่วโมง’”

“รู้สึกมะนาวกำลังเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไป” อีหมูพูดเปรยขึ้นมา

“เข้าใจอะไรผิด?”

“สักชั่วโมงก็คือ ผลัดกันเป็นเจ้าคนละชั่วโมงค่ะเพื่อน” แม่หมูตอบผม

“ฮะ! เป็นเจ้าคนละชั่วโมง”

“ถูก”

ผมอยากจะบ้า ที่บอกมาตลอดว่าไปเล่นไพ่ ‘สักชั่วโมง’ คือการหมุนวนเปลี่ยนเป็นเจ้า ‘คนละชั่วโมง’ ถ้าผมไม่หลวมตัวเล่นด้วยคงไม่รู้

วันสุดท้ายของการสอบปลายภาคของผมก็มาถึง ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาของการสอบผมใช้ร่างกายค่อนข้างเปลืองแทบไม่มีเวลาพักผ่อน ตะบี้ตะบันอ่านหนังสือถึงขึ้นเก็บไปฝัน วันนี้ผมคิดว่าจะไปนั่งอ่านหนังสือที่บรรณสาร

ตื๊ดดด ตื๊ดดด

“ฮัลโหล”

“มะนาวเหรอ กำลังจะโทรหาพอดี ไปอ่านหนังสือที่บรรณสารด้วยกันไหม”

“แสดงว่าเราใจตรงกัน ใกล้ออกยัง จะออกไปตอนนี้เลยไหม”

“ออกไปเลย เจอกันที่บรรณสารชั้นสอง มุมนิตยสารนะ”

“ได้ๆ เจอกัน”

ตกลงกับโก๋เสร็จผมก็หยิบกระเป๋าเป้ที่ข้างในเต็มไปด้วยหนังสือเรียนขึ้นสะพายหลังทันที ปิดประตูล็อกห้องเรียบร้อยก็เดินออกไปหน้าหอเพื่อขับรถมอเตอร์ไซค์คุรุสภาสีขาวของผมมุ่งหน้าไปบรรณสาร

ขับไปถึงลานจอดรถของบรรณสาร ผมอยากตะโกนถามพระเจ้า วันนี้เป็นวันที่รถมอเตอร์ไซค์มาจอดรวมตัวกันโดยไม่ได้นัดหมายหรือเปล่าครับ แต่ก็นั่นแหละ ช่วงนี้ฤดูกาลสอบนี่นา ใครก็ต้องเอาตัวให้รอด รถมอเตอร์ไซค์จอดเรียงกันเป็นตับแทบไม่มีที่ว่างให้รถผมจอดเลย ผมต้องเข็นรถหาที่จอดอยู่นานกว่าจะหาที่จอดได้ก็เล่นเอาผมเหนื่อย

จอดรถมอเตอร์ไซค์เสร็จ ผมก็รีบเดินเข้าไปในบรรณสาร เพราะเริ่มรู้สึกร้อน อยากได้แอร์เย็นๆ บ้าง แต่พอเท้าผมก้าวเข้าไปในบรรณสาร ผมก็ต้องเซอร์ไพรส์ครั้งที่สอง และอยากตะโกนถามพระเจ้าอีกรอบ คนหรือมด? นักศึกษาทั้งชายและหญิงจับจองที่นั่งกันเต็มห้องสมุด ผมลองใช้สายตากวาดตามองไปรอบๆ แทบไม่มีโต๊ะว่างเหลืออยู่เลย บางคนถึงขั้นนั่งอ่านหนังสือกันบนพื้น หวังว่าโก๋คงจองที่นั่งได้เรียบร้อยแล้วนะ ผมรีบก้าวขาเดินผ่านฝูงนักศึกษาไปยังจุดนัดพบ มุมนิตยสาร ชั้นที่สอง
เดินมาถึงชั้นสอง เป็นดังคาดไม่มีที่ว่างเหลือสำหรับผม ผมมองไม่เห็นโก๋ในบริเวณพื้นที่นัดหมาย
สถานการณ์ชักไม่ค่อยดี ผมจึงล้วงเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อหาตัวช่วย

ตื๊ดดด ตื๊ดดด

“ฮัลโหล โก๋อยู่ไหนแล้ว”

“กำลังจะออกไป” ความหวังผมดับสิ้น นึกว่าจะได้คำตอบดีๆ แต่โก๋เพิ่งจะออกมา

“งั้นไม่ต้องออกมา อ่านหนังสือที่ห้องนั่นแหละดีแล้ว”

“ทำไมล่ะ”

“ไม่มีที่ว่าง วันนี้คนเยอะยังกับมด”

“อ้าวเหรอ ขอบใจที่โทรมาบอก แล้วมะนาวเอาไง”

“ว่าจะลองเดินวนดูอีกรอบ ถ้าไม่มีที่ว่างก็คงกลับ”

วางสายจากโก๋เสร็จผมก็ลองเดินวนหาที่นั่งอีกสักรอบอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ ไหนๆ ก็ออกมาแล้วไม่อยากมาเสียเที่ยว ผมเริ่มเดินดูจากชั้นสอง เดินมองหาทุกซอกทุกมุมแต่ก็ไม่มีที่ว่าง บางทีโต๊ะว่างแต่ก็มีหนังสือวางจองเอาไว้ จนผมเดินมาถึงแถวโต๊ะไม้อ่านหนังสือสำหรับสองคนนั่งที่อยู่ติดหน้าต่างริมห้องสมุด ปกติผมไม่ค่อยชอบมานั่งแถวนี้ เพราะชอบนั่งอ่านหนังสือคนเดียวมากกว่า กลัวว่าถ้าเรานั่งอยู่แล้วมีใครที่ไม่รู้จักมานั่งข้างๆ จะไม่เป็นส่วนตัว แต่วันนี้ผมไม่เลือกมาก ขอให้มีที่ว่างก็พอ เดินไล่ไปทีละโต๊ะจนผมเจอคนรู้จักนั่งอยู่ ที่สำคัญที่นั่งข้างๆ ที่อยู่ด้านใน ‘ว่าง’ ไม่มีคนนั่ง

“กราฟ เก้าอี้ข้างๆ มีคนนั่งไหม?” ผมเอ่ยปากถามนักศึกษาหนุ่มหน้าตาดีใส่แว่นที่กำลังนั่งขะมักเขม้นอ่านหนังสืออยู่ตรงหน้า
เขาละสายตาจากหนังสือตรงหน้าก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาตอบ “ไม่มี”

ผมตาโตดีใจที่ยังมีที่นั่งเหลือสำหรับตัวเอง ก่อนจะรีบเอ่ยปากตอบตกลงเพราะกลัวอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ

“ขอนั่งด้วยคนนะ” ผมรีบเดินเบี่ยงตัวเข้าไปนั่งโต๊ะด้านในแล้วใช้มือรูดซิปเปิดกระเป๋าหยิบหนังสือออกมา

เปิดกางหนังสือไปยังหน้าที่อ่านค้างเอาไว้ แล้วก็เริ่มอ่านหนังสือต่ออย่างเงียบๆ มีเพียงเสียงกระดาษดังขึ้นเป็นระยะเวลาที่เปิดพลิกหน้าใหม่ อ่านหนังสือไปสักพักจนถึงบรรทัดที่ขีดมาร์กเอาไว้ อ่านทวนซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่เข้าใจ จึงตัดสินใจหันไปถามอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ แต่ผมไม่กล้าเอ่ยปากถามเพราะเห็นอีกคนยังคงนั่งนิ่งอ่านหนังสือตรงหน้าอย่างขะมักเขม้น ตาจ้องหนังสือ หูทั้งสองข้างมีหูฟังสีขาวเสียบเอาไว้

“...” ผมใช้สายตามองสำรวจอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างพิจารณา หน้าตาเหมือนคนกำลังตั้งใจอ่านหนังสือแต่หูเปิดฟังเพลง มันจะอ่านหนังสือรู้เรื่องเหรอวะ ผมคิดในใจ

“มีอะไรไหม?” ฝ่ายที่ถูกจ้องเอ่ยปากถาม สงสัยผมจ้องนานไปหน่อย

“อะ...เอ่อ คือเราไม่เข้าใจหัวข้อตรงนี้น่ะ” ผมสะดุ้งนิดหน่อย เพราะจู่ๆ อีกฝ่ายก็ถามขึ้นมา ผมรีบขยับเก้าอี้แล้วหยิบหนังสือยื่นไปวางไว้ตรงหน้าอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ กราฟอ่านหัวข้อที่มาร์กเอาไว้ แล้วหันหน้ามาถามเพื่อความแน่ใจ

“ใช่ อ่านหลายรอบแล้วแต่มันก็ยังงงๆ ” ผมพยักหน้ารับ แล้วก็รอให้กราฟอธิบายเพิ่ม

แล้วกราฟก็เริ่มอธิบายหัวข้อที่ผมไม่เข้าใจจนเริ่มเข้าใจ

กราฟเก่งแฮะ อธิบายแป๊บเดียวผมเข้าใจเลย แต่ผมยังสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง

“กราฟ นายอ่านหนังสือแล้วฟังเพลงไปด้วย นายอ่านเข้าใจได้ยังไง” หลังจากกราฟอธิบายเสร็จผมก็ถามต่อทันที ไม่ไหว ต่อมสงสัยของผมอาการมันกำเริบ

“เราไม่ได้ฟังเพลง”

“แล้วนายฟังอะไร”

“ฟังบรรยาย” กราฟไม่ได้พูดเปล่าๆ เขาดึงหูฟังสีขาวอีกข้างเข้ามาเสียบที่หูของผมเพื่อยืนยันเรื่องที่พูด

“เสียงอาจารย์กำลังบรรยายอยู่จริงๆ ด้วย” เสียงอาจารย์ที่ดังออกจากหูฟังกำลังบรรยายถึงตอนที่ผมอ่านอยู่พอดีเลย ทำไมผมไม่ฉลาดแบบนี้บ้าง กราฟเทพหรือว่าเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนเขาก็ทำกันแบบนี้ แต่ผมไม่ปกติเลยไม่ได้ทำ

“นายจะฟังด้วยก็ได้นะ”

“ได้เหรอ”

“เริ่มฟังใหม่ตั้งแต่ต้นเลยไหม” กราฟทำท่าเหมือนจะกดเล่นซ้ำอีกรอบ ผมรีบเอ่ยปากห้าม

“ไม่ต้องก็ได้ เราอ่านถึงตอนนี้พอดี เปิดเล่นต่อเลยก็ได้ แต่ถ้ายังไม่เข้าใจ ขอไฟล์ไปลงคอมที่ห้องได้ไหม” การฟังบรรยายแบบนี้ประหยัดเวลากว่ามานั่งอ่านเองเป็นไหนๆ ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนค่อยกลับมาอ่านเองอีกที ผมเพิ่งบรรลุตอนนี้เองว่าการย้อนกลับมาฟังอาจารย์บรรยายใหม่ ทำให้พอจะเห็นแนวข้อสอบชัดขึ้น เพราะช่วงไหนที่น่าจะออกสอบ อาจารย์จะย้ำเป็นพิเศษ ผมก็เลื่อนเก้าอี้กลับเข้ามาที่นั่งของตัวเอง แต่เหมือนสายหูฟังจะสั้นไปหน่อย มันหลุดตอนที่ผมก้มหน้าลงไปอ่านหนังสือ สงสัยผมคงต้องนั่งตัวตรง ก้มตัวลงไม่ได้ ผมนั่งเกร็งตัวอยู่สักพักจนเริ่มรู้สึกเมื่อย

กราฟเลื่อนเก้าอี้ขยับเข้ามาหาผม

ผมก็เลื่อนหนังสือแล้วขยับเก้าอี้มาฝั่งของกราฟบ้าง เก้าอี้ของเราอยู่ห่างกันนิดเดียว

แบบนี้ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย ก้มตัวลงไปอ่านหนังสือได้หูฟังก็ไม่หลุด

สบายผมเลยทีนี้ นั่งฟังบรรยายไปเรื่อยๆ จนจบ

จากเสียงอาจารย์บรรยายก็กลายเป็นเสียงกีตาร์โปร่ง เหมือนเพลงที่อัดเอาไว้ฟังเอง ผมกำลังจะหยิบหูฟังคืนเพราะคิดว่าฟังบรรยายจบแล้ว ผมก็ได้ยินเสียงกีตาร์โปร่งดังขึ้นเป็นจังหวะ พร้อมกับเสียงทุ้มน่าฟัง

If a picture paints a thousand words,
Then why can't I paint you?
The words will never show the you I've come to know.
If a man could be two places at one time,
I'd be with you
Tomorrow and today, beside you all the way.
If the world should stop revolving spinning slowly down to die,
I'd spend the end with you.
Song : Bread - IF

ฟังไปเรื่อยผมว่าทำนองมันก็เพราะดีนะครับ แต่ผมฟังไม่เข้าใจไม่รู้ว่าความหมายของเพลงกำลังพูดถึงอะไร อีกอย่างดนตรีมันช้าไปหน่อยเลยทำให้ผมรู้สึกง่วง พอจบท่อนเพลงสุดท้ายจู่ ๆ เสียงดีดกีตาร์โปร่งก็เปลี่ยนจังหวะใหม่เป็นอีกเพลง จากที่ง่วง ๆ ผมก็รู้สึกตื่น เพราะเพลงนี้ผมฟังรู้เรื่อง

แอบหลงรักเธออยู่ แต่เธอคงดูไม่ออก
ซ่อนความรักไม่กล้าบอก กลัวเธอจะเปลี่ยนไป
ห้ามใจยังไงให้ไหว เมื่อเธอน่ารักเกินกว่าใคร
ปฏิเสธอย่างไร เมื่อรักเธอจนไม่อาจจะถอนตัว
ปฏิเสธไม่ไหว วันนี้ฉันจะบอกเธอให้รู้ตัว

เสียงดีดกีตาร์จบลงแล้ว เสียงทุกอย่างเงียบลง แต่ผมได้ยินอีกประโยคที่ดังขึ้นมาอย่างชัดเจน

“เราชอบนาย ขอจีบได้ไหม...?”

ประโยคนี้มันก้องอยู่ในหัวผมไปมา.....



ออฟไลน์ ryoushena

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-2
Special : มะนาว VS แตงโม
เด็กชายมะนาวในชุดประถมศึกษาชั้นปีที่หนึ่งใส่กางเกงนักเรียนสีน้ำเงินความยาวของขากางเกงสั้นเลยเข่าขึ้นมาเล็กน้อย ด้านบนสวมเสื้อนักเรียนสีขาวพอดีตัวมีจุดด้ายสีน้ำเงินหนึ่งจุดเล็กๆ ปักอยู่บนปกคอเสื้อนักเรียนด้านขวา เขากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าห้องเรียนชั้นอนุบาล 1/2 ระหว่างพักเรียนช่วงกลางวันรอเวลาเข้าเรียนช่วงภาคบ่าย ด้านหน้าของอาคารประถมศึกษาชั้นปีที่หนึ่งมีต้นหูกวางปลูกอยู่หลายต้น กิ่งก้านของมันแผ่บดบังแสงแดดเอาไว้ ทำให้อากาศช่วงพักกลางวันของอาคารเด็กอนุบาลไม่รู้สึกร้อนอบอ้าวเลย แต่กลับเย็นสบาย พวกเด็กจึงชอบออกมานั่งเล่นที่หน้าห้องกันเป็นประจำหากไม่มีคาบเรียน

แม้ว่าเพิ่งจะทานข้าวเที่ยงมาไม่นาน แต่เด็กชายมะนาวยังรู้สึกหิวอยู่ ช่วงนี้เด็กชายมะนาวรู้สึกว่าตัวเองคล้ายกับหนอนสีเขียวตัวโตที่ชอบนอนตัวกลมกัดกินใบไม้สีเขียวอวบน้ำอยู่บนต้นพุดที่ปลูกเอาไว้หน้าบ้านเขา เพราะเด็กชายมะนาวไม่เคยเห็นหนอนสีเขียวตัวโตหยุดกินสักที เขาจ้องมองดูมันทีไรก็เห็นมันใช้ปากกัดใบไม้สีเขียวเคี้ยวกินอยู่ตลอดเวลา ด้วยความสงสัยส่วนตัวเด็กชายมะนาวจึงชอบจับตัวมันลงมาเล่นประจำ ในเวลานี้เด็กชายมะนาวรู้สึกว่าตัวเองเหมือนหนอนตัวนั้นเพราะเขาหิวอยู่ตลอดเวลา กินเท่าไหร่ก็รู้สึกว่าไม่อิ่ม ถึงเขาจะกินจนอิ่มแต่ไม่นานเขาก็จะหิวใหม่

หิว
หิว
หิว

เสียงกระเพาะเด็กชายมะนาวกำลังสั่งให้เขาเดินไปซื้ออาหารมาเคี้ยวลงท้องอีก

“ทำไมเราหิวตลอดเลยนะ” เด็กชายมะนาวบ่นเบาๆ คนเดียว ขณะที่เขากำลังตั้งท่าลุกขึ้นเพื่อเดินไปซื้อขนมจากสหกรณ์ของโรงเรียน

“มะนาว! จะไปไหนเหรอ?”เสียงเด็กชายตัวเล็กผิวขาวตาตี่ลูกชายร้านทองกำลังส่งเสียงเรียกเด็กชายมะนาวในระหว่างที่เขากำลังจะเดินไปยังสหกรณ์โรงเรียน

“มะนาวจะไปสหกรณ์ มีอะไรหรือเปล่ากระปุก” เด็กชายมะนาวหยุดเดินก่อนจะหันหลังกลับไปคุยกับเพื่อน ในระหว่างนั้นเด็กชายกระปุกก็เดินเข้ามาถึงตัวเด็กชายมะนาว

“กระปุกจะชวนมะนาวไปดูแตงโม”เด็กชายกระปุกตัวสูงเท่ากันกับเด็กชายมะนาว

“จริงเหรอกระปุก โรงเรียนเรามีแตงโมด้วย” เด็กชายมะนาวตาโตด้วยความตกใจปนดีใจเพราะตอนนี้เขาหิว ถ้าได้กินแตงโมลูกโตๆ สักลูกคงดี

“มีสิ มีหลายลูกเลย กระปุกไม่เคยโกหกนะ”

“ที่ไหนเหรอ”

“ใต้อาคาร 60 ปี”

"แล้วกินได้เปล่า”

“ไม่รู้เหมือนกัน มะนาวต้องไปดูเอาเอง”

หลังจากที่ตกลงกันเรียบร้อยเด็กชายกระปุกกับเด็กชายมะนาวก็จูงมือกันเดินมุ่งหน้าไปยังอาคาร 60 ปี ฝั่งอาคารของเด็กมัธยมซึ่งอาคารเรียนหลังดังกล่าวเป็นอาคารไม้สักหลังใหญ่ยกใต้ถุนสูง มีเสาสีขาวขนาดใหญ่จำนวนหลายสิบต้นรองรับน้ำหนักของตัวอาคารเอาไว้ ความสูงของเสาใต้ถุนอาคารสูงประมาณสองเมตรกว่าๆ เด็กนักเรียนสามารถเดินลอดผ่านใต้อาคารได้ ส่วนหลังคาของอาคารไม้หลังนี้มุงด้วยกระเบื้องดินเผา อาคารหลังนี้เป็นอาคารเรียนของรุ่นพี่มัธยมศึกษาหก บริเวณรอบๆ ของอาคารเป็นพื้นดินรวมถึงใต้ถุนด้วย ส่วนด้านหลังมีต้นก้ามปูขนาดใหญ่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาและยังมีม้าหินอ่อนตั้งเรียงรายเอาไว้หลายโต๊ะ
เด็กชายมะนาวไม่เคยเดินเข้ามาใต้อาคารหลังนี้เพราะเคยได้ยินรุ่นพี่คนหนึ่งเล่าเกี่ยวกับอาถรรพ์เสาสีขาวใต้อาคาร 60 ปี ให้ฟังว่าไม่เคยมีใครนับจำนวนของเสาได้ตรงกันสักคน หรือถ้าหากใครนับถูกตามจำนวนของเสาที่มีอยู่จริงๆ ก็ต้องเจอดี เด็กชายมะนาวเชื่อเรื่องอาถรรพ์ที่รุ่นพี่เล่าให้ฟังทำให้ไม่กล้าเดินเข้ามาใต้อาคารหลังนี้ เพราะเด็กชายมะนาวกลัวผี

ช่วงพักกลางวัน บรรยากาศของอาคาร 60 ปีค่อนข้างครึกครื้น เด็กนักเรียนมัธยมปลายชอบมานั่งเล่นที่อาคารหลังนี้ เนื่องจากอากาศเย็นสบาย รอบๆ ของตัวอาคารก็เขียวครึ้มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์เพราะมีพื้นที่ให้ปลูกต้นไม้ทั้งไม้ดอกและไม้ประดับถูกจัดตกแต่งเอาไว้อย่างสวยงามร่มรื่น ถ้าเทียบกันระหว่างอาคารเด็กมัธยมหกกับอาคารเด็กประถมศึกษา และอาคารเด็กอนุบาล อาคารเด็กมัธยมหกจะร่มรื่นกว่าเพราะนอกจากด้านหลังมีต้นก้ามปูขนาดใหญ่แล้ว ด้านข้างของอาคารรวมถึงด้านหน้ายังมีต้นสนปลูกเอาไว้ด้วย

ตอนนี้เด็กชายกระปุกเดินจูงมือนำทางเด็กชายมะนาวเข้ามายังใต้ของอาคาร 60 ปีแล้วเรียบร้อย

“ต้นแตงโมอยู่แถวไหนกระปุก มะนาวเดินมายังไม่เห็นมีสักลูก” เด็กชายมะนาวพยายามกวาดสายตามองหาลูกแตงโมบนพื้นดินของใต้ถุนอาคารแต่กลับไม่เจออะไร นอกจากพื้นดินโล่งๆ ระหว่างที่เอ่ยปากถามเพื่อนเด็กชายมะนาวก็เห็นเครือเถาวัลย์ปริศนาพันเสาสีขาวต้นหนึ่งของอาคาร เด็กชายมะนาวจึงรีบเดินเข้าไปดู

“อ้าว แค่เครือต้นตำลึง” หลังจากที่เด็กชายมะนาวเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ก็พบว่าเครือปริศนาที่เขาเห็นเป็นแค่เครือต้นตำลึงเท่านั้นเอง

“มะนาว มานี่เร็ว แตงโมอยู่ตรงนี้” เด็กชายกระปุกที่นั่งอยู่ใต้บันไดขึ้นอาคารกวักมือเรียกเพื่อนให้รีบเดินเข้าไปดู

“แตงโมอยู่ไหนกระปุก ลูกใหญ่ไหม?”เด็กชายมะนาวเดินลูบท้องเข้าไปหาเพื่อนตัวขาวที่กำลังเลยหน้ามองดูแตงโมอยู่ใต้บันได เด็กชายมะนาวคิดในใจว่าถ้าเจอแตงโมลูกโตเขาจะกินให้อิ่มแปล้เลย เขาจะปราบความหิวให้อยู่หมัดเหมือนยอดมนุษย์ตัวสีแดง
“นี่ไง แตงโม” เด็กชายกระปุกชี้มือบอกตำแหน่งที่เขามองเห็นแตงโมให้เพื่อนมองดูตาม

เด็กชายมะนาวมองตามทิศทางที่เด็กชายกระปุกชี้มือให้เขาดู เด็กชายมะนาวเงยหน้าขึ้นตามทิศทางการชี้นิ้วของเพื่อน มองลอดขึ้นไปตามรอยแยกแผ่นพื้นไม้ของอาคาร เห็นรุ่นพี่มัธยมหกทั้งผู้หญิงและผู้ชายเดินสวนกันไปมา แต่เด็กชายมะนาวไม่เห็นแตงโม เด็กชายมะนาวมองเห็นอย่างอื่น เพราะแตงโมเดินหนีไปแล้ว

“ไม่เห็นมีแตงโมเลยกระปุก”

“เมื่อกี้ยังเห็นอยู่เลย” เด็กชายกระปุกมองขึ้นไปหาแตงโมตามช่องว่างของรอยแยกแผ่นพื้นไม้อาคารอีกครั้ง เด็กชายกระปุกก็มองไม่เห็นแตงโมแล้วเหมือนกัน “อ่อ แตงโมไม่อยู่แล้ว ตอนนี้มีสตรอว์เบอร์รี” เด็กชายกระปุกมองลอดขึ้นไปตามรอยแยกแผ่นพื้นไม้อาคารอีกครั้ง เขามองเห็นผลสตรอว์เบอร์รีเต็มไปหมดบนเนื้อผ้าตัวจิ๋วสีขาว

เด็กชายมะนาวเดินมาตำแหน่งที่เด็กชายกระปุกเห็นผลสตรอว์เบอร์รี แต่เด็กชายมะนาวก็มองไม่เห็นสตรอว์เบอร์รี เด็กชายมะนาวมองเห็นอย่างอื่น เพราะสตรอว์เบอร์รีเดินหนีไปอีกแล้ว

“ไม่เห็นมีสตรอว์เบอร์รีเลยกระปุก”

“แล้วมะนาวเห็นอะไรบ้างไหม”

“มะนาวเห็นแต่ไม่แน่ใจว่าใช่ผลไม้หรือเปล่า”เด็กชายมะนาวตอบเพื่อน สีหน้าฉายแววลังเลเล็กน้อย เขาคิดในใจว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้จะชวนมะตูมมาช่วยดู

“แล้วคิดว่ากินได้ไหม?”

“มะนาวไม่แน่ใจนะกระปุก”

“เอาไว้วันหลัง กระปุกพามาดูใหม่นะ” จากนั้นเด็กชายทั้งสองก็แยกย้ายเดินกลับห้องเรียน ส่วนเด็กชายมะนาวขอเดินแวะสหกรณ์โรงเรียนก่อนเพราะเขายังหิวอยู่ จากตอนแรกที่กะเอาไว้ว่าจะไปกินแตงโม แต่พยายามมองหาเขาก็ไม่เห็นแตงโมเลยสักลูก เด็กชายมะนาวเลยตัดใจกินอย่างอื่นแทน ระหว่างที่กำลังเลือกซื้อขนมในสหกรณ์ของโรงเรียน สายตาของเด็กชายมะนาวก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งที่คล้ายกันกับผลไม้ที่เขามองเห็นใต้ถุนของอาคาร 60 ปี ทำให้เขานึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
วันต่อมา

“มะตูม วันนี้มะนาวจะพาไปดูเงาะที่ใต้อาคาร 60 ปีนะ” พูดจบเด็กชายมะนาวก็จูงมือเด็กชายมะตูมเดินมุ่งหน้าไปยังใต้ถุนอาคาร 60 ปีเพื่อตามหาเงาะในสวนผลไม้ที่เขาเพิ่งเห็นมา

End


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด