The Call Chapter 18: ทะเลดาว
______________________________________________________________________________________________
…จากที่แปลกใจ ตอนนี้ผม ‘ชัก’ มั่นใจ…
ผมเพิ่งรู้สึกตัว…
ถ้าหากผมรู้ตัวก่อนหน้านี้ว่าความรู้สึกบางอย่างจะเกิดขึ้น วันนั้นผมคงไม่รับทำหน้าที่แม่สื่อ
ถ้าหากผมรู้ตัวก่อนหน้านี้ว่าความรู้สึกบางอย่างจะเกิดขึ้น วันนี้ผมคงหาคำตอบให้ตัวเองได้
ถ้าหากผมรู้ตัวก่อนหน้านี้ว่าความรู้สึกบางอย่างมันได้ก่อตัวขึ้นเงียบๆ ผมคงหยุดมันทัน
แต่ทำไมผมเพิ่งรู้สึกตัว…
“มะนาว! มะนาวตื่น!”
“...”
“วันนี้มีสอบเช้าไม่ใช่เหรอ เดี่ยวก็สายหรอก ตื่นขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวเร็ว”
“...”
“เป็นอะไรหรือเปล่า? หรือว่าไม่สบาย?” เพื่อนตัวกลมเดินเข้ามาหาผมที่ยังคงนอนอยู่บนเตียง ใช้หลังมือแตะหน้าผากผมเพื่อวัดไข้
“....”
“ตัวก็ไม่ร้อน ปวดหัวไหม?” แม่หมูเดินกลับไปที่โต๊ะอ่านหนังสือที่ติดอยู่กับเตียงนอนของตัวเอง ปิดลิ้นชักหยิบของบางอย่างออกมาแล้วเดินกลับมาหาผมอีกรอบ
“...”
“ยาแก้ไข้แล้วนี่หมูปิ้งอาบน้ำก่อนเสร็จแล้วกินข้าวก่อนแล้วค่อยกินยาตามนะ”
“...”
“ไม่ต้องทำหน้าสงสัยเลย หมูปิ้งของกราฟจ้ะ เอามาห้อยไว้ที่หน้าประตูห้องตั้งแต่เช้ามืดมั้ง เปิดประตูไปก็เจอหมูปิ้งแขวนอยู่ที่ประตูเลย มีโน้ตเขียนบอกเอาไว้ด้วยนะ ‘วันนี้ตื่นเช้าเลยซื้อหมูปิ้งมาฝาก กราฟ’ น่ารักที่สุดเลยเนอะว่าไหม” เธออ่านโน้ตที่อยู่ในถุงหมูปิ้งให้ผมฟัง ดวงตามีประกายแห่งความสุขฉายออกมา
“....”
“ตื่นได้แล้ว อย่าลืมกินยาด้วยล่ะ คืนนี้จะได้ไปฉลองสอบเสร็จกัน” แม่หมูหันมากำชับผมอีกรอบก่อนจะเดินเปิดประตูออกจากห้องไปสอบ วันนี้เพื่อนตัวกลมผมมีสอบสองตัว ทั้งเช้าและบ่าย คงกลับเข้าห้องอีกทีประมาณช่วงเย็น
หลังจากที่เพื่อนตัวกลมผมเดินออกไปไม่นาน ผมก็ลุกจากเตียงอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปสอบ
ถุงหมูปิ้งกับซองยาแก้ไข้ยังวางอยู่ที่เดิม
ผมไม่ได้ป่วย ‘กาย’‘อีกครึ่งชั่วโมงจะหมดเวลาทำข้อสอบนะคะนักศึกษา’ผมทำข้อสอบเสร็จแล้ว คงต้องรอลุ้นผลสอบที่บ้านอีกทีช่วงปิดเทอม หยิบกระดาษคำตอบกับโจทย์ข้อสอบยื่นส่งให้กับอาจารย์แล้วเดินออกมา หันไปมองเพื่อนที่อยู่ในห้องสอบ โก๋ยังนั่งทำข้อสอบอยู่ พอเงยหน้าเห็นผมลุกออกจากห้องก็เหมือนจะพูดอะไรบางอย่างกับผม แต่ผมเดินออกมาก่อน
แสงแดดตอนเย็นส่องลอดผ่านหน้าต่างบานเกล็ดลงมาทาบตัวผมที่นอนเอามือก่ายหน้าผากในหัวกำลังครุ่นคิดเรื่องบางอย่างอยู่บนเตียง หลังสอบเสร็จผมรีบขับรถกลับมาห้องทิ้งตัวนอนอยู่บนเตียงตั้งแต่เที่ยงจนถึงเย็น เห็นภาพเหตุการณ์เดิมฉายวนซ้ำไปซ้ำมา “เราชอบนาย ขอจีบได้ไหม....?”
ประโยคนี้มันก้องอยู่ในหัวผมไปมา.....
จากนั้นกราฟเอื้อมมือมาจับมือผมที่กำลังกุมหูฟังสีขาวเอาไว้เพื่อดึงหูฟังออก สงสัยเห็นผมเงียบนานเลยคิดว่าผมคงไม่ได้ยิน กราฟสบตาผมนิ่งแล้วพูดย้ำให้ผมฟังอีกรอบ
‘เราชอบนาย’
ผมตกใจ และรู้สึกตัวว่ามันมีความรู้สึกบางอย่างแทรกขึ้นมาข้างในหัวใจ
“ก..กราฟ จ..จะจีบเรา?” เสียงผมกระตุก ผมถูก ‘รุก’ ขอจีบแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ยังดีที่ผมอ่านหนังสือและฟังบรรยายจากอาจารย์จบไปแล้ว ไม่อย่างนั้นผมคงไม่มีสมาธิอ่านหนังสือต่อแน่ ๆ เพราะตอนนี้สติผมร่วงกระจัดกระจายหล่นลงไปกองอยู่บนพื้นห้องสมุดเรียบร้อย กราฟกลายเป็นยอดมนุษย์ตัวสีแดง ส่วนผมกลายเป็นปีศาจน้ำแข็งรู้สึกชาตามหน้า ค่อย ๆ แข็งขึ้นมาทีละส่วน จนแขนขาก็เหมือนจะขยับไม่ได้
“...” กราฟไม่ตอบแต่พยักหน้ายืนยันคำพูดของตัวเองอีกครั้ง ตาของกราฟจ้องมองตาผมนิ่งผ่านเลนส์แว่น แววตาจริงจังที่มองหาไม่มีท่าทีว่ากำลังพูดเล่นอยู่เลย
“กราฟชอบผู้ชาย?”
“นายเป็น ‘ตุ๊ด’ ”
“..ร...เรา..เอ่อ” ไอ้แว่นกราฟมันตอบถูก แต่ผมเริ่มไปต่อไม่ถูก ไอ้แว่นกราฟมันเล่น ‘รุก’ ถูกจุด ทำผมจนมุม
ตอนนี้ผมไม่อยากเป็น ‘ตุ๊ด’แล้ว
“น้องเมท” ในระหว่างที่ผมกำลังถูกรุกอย่างหนัก เสียงระฆังพักยกก็ช่วยชีวิตผมเอาไว้ได้ทันเวลา ผมเงยหน้ามองไปทางต้นเสียงก็เห็นพี่มีนยืนหน้าโหดยิ้มร่าให้ผมอยู่ “บรรณสารจะปิดแล้วกลับพร้อมกันกับพี่เมทเลยไหมครับ?”
“ก...กลับเลยพี่มีน”
ผมรีบเก็บหนังสือใส่กระเป๋าแล้วลุกพรวดพราดเดินตามหลังพี่มีนออกไปเลย
ผมไม่ได้หันหลังกลับไปมองกราฟ
ผมกลัวความรู้สึกตอนนี้
กลัวเสียงเต้นของมัน
มันทั้งเต้นทั้งสั่น
ตามจังหวะ
หัวใจ
ผมหลับตาลงไล่ความคิดที่กำลังสับสน ก่อนตัดสินใจลุกจากเตียงนอนเดินออกไปหลังห้องหยิบผ้าเช็ดตัวขึ้นพาดบ่าเดินเข้าไปอาบน้ำ ทำกิจวัตรทุกอย่างให้เป็นปกติแต่ผมรู้ข้างในใจผมตอนนี้มันไม่ปกติ อาบน้ำเสร็จ เปิดตู้เสื้อผ้าหยิบเสื้อยืดกางเกงขาสั้นออกมาใส่ลวก ๆ เดินไปหยิบกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ที่วางอยู่บนโต๊ะติดกับกองหนังสือการ์ตูนวายที่อ่านจนจบครบหมดทุกเล่ม แต่ยังไม่มีเวลาว่างเอาไปคืนร้านเช่าการ์ตูน สงสัยตอนนี้พี่จ๋าเจ้าของร้านเช่าการ์ตูนคงบ่นถึงผมจนปากแฉะ
ผมวางกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ไว้บนโต๊ะเหมือนเดิมแล้วเดินไปหลังห้องอีกครั้งหยิบถุงพลาสติกที่เก็บเอาไว้ เลือกถุงใบใหญ่พอสมควรเดินกลับมาที่โต๊ะหนังสืออีกรอบ หยิบหนังสือการ์ตูนวายใส่ลงในถุงพลาสติกทีละเล่มจนครบหมดทุกเล่ม แล้วค่อยหยิบกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาใหม่
ผมยืนมองสำรวจกองหนังสือบนโต๊ะอีกรอบเพื่อความแน่ใจว่าไม่ลืมหนังสือการ์ตูนเล่มอื่นทิ้งเอาไว้ หลังจากแน่ใจว่าเก็บหนังสือการ์ตูนวายทั้งหมดลงถุงพลาสติกเรียบร้อยแล้ว ผมก็ใช้มือซ้ายหิ้วถุงเดินไปเปิดประตูห้อง ล็อคห้องเรียบร้อย เดินออกไปหน้าหอพัก เดินไปเรื่อย ๆ ตามทางเดินจนถึงรถมอเตอร์ไซค์คุรุสภาสีขาวที่ผมจอดเอาไว้
ผมเอาถุงพลาสติกที่ข้างในเต็มไปด้วยหนังสือการ์ตูนวายหลายสิบเล่มใส่ไว้หน้าตะแกรงรถ ไขกุญแจ สตาร์ทรถ ขับรถมอเตอร์ไซค์ออกไป สวนทางกับนักศึกษาที่ขับรถกลับเข้าหอพักหลังจากสอบเสร็จ ที่มักจะสวมเสื้อแจ็กเก็ตตัวโต ใส่กันร้อนนอกห้องเรียนและกันหนาวในห้องเรียน เพราะอากาศที่นี่ร้อนมากในหน้าร้อน เมื่อถึงหน้าหนาวอากาศก็หนาวจัดพี่มีนเคยบอกผม เจอทั้งคนที่รู้จักและไม่รู้จักขับสวนมา คนไหนที่รู้จักก็โบกมือบีบแตรทักทายกันตามมารยาท ส่วนผมก็ขับรถมอเตอร์ไซค์ไปเรื่อย ๆ
จนขับมาถึงร้านเช่าหนังสือการ์ตูน หลังจากจอดรถเสร็จผมก็หยิบถุงพลาสติกที่วางเอาไว้หน้าตะแกรง เอาหนังสือไปคืนให้พี่จ๋าเจ้าของร้านเช่าการ์ตูน ผมเดินเข้าไปบริเวณชั้นวางหนังสือการ์ตูนวายที่ผมมักเลือกหยิบเช่าสักเล่มไปอ่านเป็นประจำ แต่วันนี้ผมไม่ได้หยิบการ์ตูนออกมาจากชั้นวางหนังสือแม้แต่เล่มเดียว ผมไม่อยากเช่าการ์ตูน ไม่อยากอ่านอะไร
คืนการ์ตูนที่เช่ามาให้พี่จ๋าเรียบร้อย เดินออกมาจากร้านเงียบ ๆ ไม่ได้คุยกับพี่จ๋าเหมือนเช่นปกติ สตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์เสร็จแล้วก็ขับออกไป ขับไปเรื่อยเปื่อย ขับไปตามถนนของมหาวิทยาลัย เหมือนวันแรกที่ผมมาที่นี่ ขับผ่านอ่างสามแสน อ่างน้ำที่มีขนาดสามแสนลูกบาศก์เมตร แม้ปัจจุบันจะเพิ่มขนาดเป็นสามล้านลูกบาศก์เมตร แต่คนก็ยังเรียกสระสามแสน ขับผ่านหอสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยหรือหอสุรนภา หอทรงสูงลักษณะคล้ายดอกบัวตูม แต่นักศึกษามักเรียก หอแห้ว ข้างในมีลิฟท์และบันไดประมาณ 200 กว่าขั้น หอแห้วจะเปิดให้ขึ้นไปชมทัศนียภาพรอบ ๆ มหาวิทยาลัยและจะเปิดให้ขึ้นไปด้านบนปีละครั้งในวันงานรับปริญญาเชื่อกันว่าหากนักศึกษาเดินขึ้นทางบันไดจะไม่เปอร์ ขับผ่านสุรสัมมนาคาร โรงแรมที่ทางมหาวิทยาลัยจัดไว้ให้บริการ ขับผ่านสุรนิทัศน์หรือแอมฟิเธียเตอร์ เป็นเวทีแสดงดนตรีกลางแจ้งขนาดใหญ่ ความจุประมาณ 2000 แต่ถ้าอัดกันนั่งจริง ๆ 4000 คนก็เอาอยู่แต่นักศึกษามักเรียกติดปากว่าแอมฟิ ขับผ่านอาคารสุรพัฒน์ ขับผ่านศูนย์ซินโครตรอน
ขับไปเรื่อย ๆ จนครบถนนทุกเส้นของทางมหาวิทยาลัย ขับออกไปหลังมหาวิทยาลัยไปอ่างห้วยยาง จอดรถมอเตอร์ไซค์ไว้บนสะพานนั่งอยู่บนรถสักพัก ปล่อยอารมณ์ให้ปลิวไปกับสายลม เผื่อได้คำตอบให้ตัวเอง แต่ก็ว่างเปล่า ผมตัดสินใจสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ขับกลับเข้าไปในมหาวิทยาลัยอีกครั้ง ขับเข้าไปเส้นอาคารเรียนรวม จอดรถมอเตอร์ไซค์เดินตรงไปลานย่า ลานสัญลักษณ์ของทางมหาวิทยาลัยที่มีรูปปั้นเท้าสุรนารีอยู่ รอบ ๆ ลานสัญลักษณ์มีหุ่นปูนปั้น ช้าง ม้า วางเรียงรายมากมาย ซึ่งช่วงก่อนสอบจะมีนักศึกษาไปกราบไหว้รวมถึงบนบานเอาไว้ ขอให้จบใน 4 ปีบริบูรณ์บ้าง ขอให้จบด้วยเกรดสูงกว่า 2.75 บ้าง หรือขอให้ไม่ติด F ก็มี พอถึงช่วงเปิดเทอมจึงมักจะมีประเพณีขัดลานย่าตามมา นักศึกษามักจะหมุนเวียนมาทำความสะอาดตามจำนวนความยากของพรที่บนบานเอาไว้ อาจจะสักหนึ่งอาทิตย์หรือไม่ก็เป็นเดือน ๆ ก็เคยมี ผมเคยพาเพื่อนตัวกลมมาบนกับย่าเอาไว้เหมือนกันหลังสอบกลางภาคที่ผ่านมาเพราะทำคะแนนสอบได้ไม่ดี แต่ผมไม่เคยบนอะไรไว้กับย่าเพราะผมกลัวผมลืม จุดธูปเทียนไหว้ย่าเสร็จแล้ว ผมก็เดินไปหยิบไม้กวาดเริ่มกวาดตั้งแต่ฐานรอบ ๆ ลานสัญลักษณ์จนถึงชั้นที่สอง กวาดเสร็จก็เดินหยิบถังน้ำกับไม้ถูพื้นที่วางอยู่ใกล้ ๆ เปิดก๊อก จุ่มไม้ถูพื้น เริ่มลงมือถูพื้น
แสงแดดเริ่มอ่อนแสงลง ผมปัดกวาดเช็ดถูอยู่นาน จนมีนักศึกษาชายหญิงคู่หนึ่งเดินถือดอกไม้ธูปเทียนเข้ามา หลังจากถูเสร็จผมก็เดินกลับออกไปเอารถมอเตอร์ไซค์ที่จอดเอาไว้ระหว่างทางที่เดินกลับ เสียงโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เมื่อรู้ว่าใครโทรมา ผมก็ตัดสินใจกดปิดเครื่อง เปิดท้ายรถแล้วหย่อนโทรศัพท์ใส่ไว้ใต้เบาะรถมอเตอร์ไซค์
สตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์อีกครั้ง แล้วก็ขับมาเรื่อย ๆ จนถึงเส้นสนามกีฬา จู่ ๆ รถผมก็ดับ ก้มหน้าดูหน้าปัด น้ำมันรถผมหมด ตอนนี้แม้แต่รถก็ยังไม่เข้าข้างผม ผมจอดรถทิ้งเอาไว้ เดินเข้าไปนั่งข้างสนามฟุตบอล มองดูคนอื่นเล่นกีฬา ฟ้าเริ่มมืดลง เหมือนฝนกำลังจะตก ลมเริ่มพัดแรงขึ้น คนที่เล่นกีฬาอยู่ในสนามเดินแกมวิ่งออกมาขับรถมอเตอร์ไซค์ออกไปจากสนาม แต่ผมยังนั่งอยู่ที่เดิม
ผมมองเห็นท้องฟ้าตอนเย็นที่กำลังเปลี่ยนสี เงาของเมฆหมอกสีดำอมเทากำลังทอตัวขึ้นบนฝืนฟ้า พร้อมกับความสับสนที่ก่อตัวขึ้นภายในจิตใจ สิ่งเดียวที่ผมพอทำได้ตอนนี้คืออธิษฐานขออย่าให้ฝนตก แต่คำอธิฐานของผมไม่เป็นผล ผมห้ามให้ฝนหยุดตกไม่ได้ ผมทำได้แค่ปล่อยให้ฝนมันตกไป ตกลงมากระทบตัวผมที่นอนนิ่งไม่ไหวติงบนผืนหญ้า ไร้เกาะกำบัง ไร้หนทางหลีกหนี สายฝนที่กระหน่ำตกลงมาจากฟ้าเหมือนลูกธนูนับพัน ๆ ลูก พุ่งเข้าทิ่มแทงผ่านร่างกายแทรกซึมเข้ามาถึงจิตใจที่กำลังสับสน
สายฝนที่กำลังตกลงมาจากฟ้าอย่างบ้าคลั่งมันช่างเหน็บหนาวอ้างว้าง ท้องฟ้ามืดมิดมืดมนไม่มีแม้แสงนำทาง ผมเห็นตัวเองยืนไร้เรี่ยวแรงอยู่ในเรือลำเล็กที่กำลังหลงทางในมหาสมุทรอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่มีแค่เพียงแสงริบหรี่จากดวงดาวให้เดินไล่ตาม ฝนหยุดแต่สายน้ำอุ่นที่ไหลออกมาจากดวงตายังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหล
ท่ามกลางหมู่ดาวบนผืนฟ้าผมนอนลืมตาครุ่นคิดอยู่กับตัวเอง เพียงลำพัง อยากหลับตา หลับฝันเพื่อพบความสุขอันเป็นนิรันดร์
น้ำตาไหลออกมาเงียบ ๆ ทุกหยาดหยดแห่งความเศร้า พรั่งพรูออกมาราวสายน้ำ มากมายเสียจนกลายเป็นทะเลน้ำตา
ผมไม่รู้ว่าควรต้องทำอย่างไร ได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างช้า ๆ ผมยังคงนอนราบไปกับพื้นหญ้ามองดูผืนฟ้าผ่านม่านทะเลน้ำตาไปยังหมู่ดาวที่กำลังทอแสงของตัวเอง ผมมองเห็นทะเลน้ำตาที่มีดวงดาวเป็นฉากหลัง
ทะเลน้ำตาของผมมันไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหลเหมือนหัวใจของผมที่กำลังดำดิ่งลงสู่ความมืดมนเฉกเช่นดวงดาวที่ไร้แสง
ทะเลดาวของผมมีแต่ความมืด เต็มไปด้วยหมู่ดวงดาวอันอับแสง ผมรู้สึกอ่อนแรงไร้เรี่ยวแรงต้านทานที่จะห้ามไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
ผมปล่อยให้สายลมช่วยดูดซับเช็ดน้ำตาที่พรั่งพรูไหลออกมาในความมืดที่มีเพียงแสงดาวลางเลือนเพราะทะเลน้ำตากำลังหลั่งไหล
ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้ ไม่เคยรู้สึกที่จะตกหลุมรัก น้ำเสียง รอยยิ้ม แววตา ผมเพิ่งรู้ตัวและรับรู้ถึงความอบอุ่นจากสัมผัสที่เขาเอื้อมมือมาจับมือผมเอาไว้
ผมเพิ่งรู้สึกตัวว่าส่วนลึกในหัวใจของผมจากเมื่อก่อนที่เคยนิ่งสงบตอนนี้มันมีเงาของใครบางคนสะท้อนอยู่
มันคือเหตุผลที่ผมมองเห็นความเศร้าท่ามกลางทะเลแห่งดวงดาว…
ผมตกอยู่ในความเศร้า ที่ผมต้องยอมแพ้เพราะไร้หนทางต่อสู้แม้เพิ่งจะรู้สึกตัว
ผมมองเห็นแค่ความว่างเปล่าที่อยู่ภายใต้ความสับสนที่กำลังก่อตัวขึ้น
ผมได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองที่ยังคงเต้นรัวแต่เหมือนไร้ความรู้สึก…
ผมปล่อยให้ความคิดไหลหมุนวนจมอยู่ในทะเลดาว
ปล่อยให้เวลาหมุนตามหน้าที่ของมัน
ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเรื่อยๆ
ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไป
ปล่อย...
ผมลุกขึ้นยืนเดินหันหลังให้กับสนามหญ้าเดินตรงมายังรถมอเตอร์ไซค์คุรุสภาสีขาวของผมที่จอดทิ้งเอาไว้ ใช้มือขวาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงขาสั้นหยิบกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ออกมาไขเปิดเครื่องสตาร์ทรถ
อ้าว! ลืมรถมอเตอร์ไซค์ผมน้ำมันหมด ความโง่เง่าของผมทำอารมณ์เศร้าผมกระตุก ผมอดเหยียดปากยิ้มยันความโง่เง่าของตัวเองเอาไว้ไม่ได้
ผมเดินคอตกค่อย ๆ จูงรถมอเตอร์ไซค์ไปตามถนนมุ่งตรงกลับหอพัก________________________________________________________________________________________________TBC
Special แบบทดสอบฉบับยักษ์
ณ ห้องสมุด ช่วงบ่ายแก่ๆของวันอาทิตย์มีนักศึกษาหญิง 2 คนนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟามุมนิตยสาร หนึ่งคนกำลังแชทกับเพื่อนผ่านโทรศัพท์มือถือ ส่วนอีกคนกำลังตั้งใจทำแบบทดสอบบนหน้าคอลัมน์เกี่ยวกับความรักในนิตยสารผู้หญิงฉบับหนึ่ง
“เฮ้ย แกอย่างตรง แม่นมาก”หลังจากที่เธอทำแบบทดสอบเสร็จเธอก็สะกิดเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างเพื่อแบ่งบันความตื่นเต้นปนประหลาดใจ
“เว่อร์ไปหล่ะ”
“ไม่เชื่อ แกลองเล่นดูสิ อยากรู้ไม่ใช่เหรอว่าพี่เค้าจะชอบแกหรือเปล่า? ตรงจริงๆนะเว้ย”
จากนั้น
“แก๊! ตรงจริงๆด้วย แสดงว่าพี่คนนั้นตรงชอบฉันด้วยแน่ๆเลยอ่ะ”
ไม่นานหลังจากนั้นสองสาวก็เดินออกไปจากห้องสมุดด้วยความอิ่มเอมในหัวใจ
สองสาวหารู้ไม่ว่าบทสนทนาของพวกเธอทั้งสองคนได้ลอยเข้าหูนักศึกษาชายผิวเข้มร่างยักษ์คนหนึ่งเข้าจนทำให้เขาเกิดความสงสัย จากตอนแรกที่คิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แต่พอมีคนยืนยันความแม่นจึงตัดสินใจลุกจากโต๊ะที่เขานั่งแล้วเดินไปตรงมุมนิตยสารเหลือบมองซ้ายขวาเพื่อความแน่ใจว่าไม่เห็นว่ามีใครมอง เขาจึงหยิบนิตยสารเล่มนั้นออกมาจากชั้นวางแล้วค่อยๆไล่หาหน้ากระดาษหาคอลัมน์ที่นักศึกษาสาวสองคนได้ทำเอาไว้จนเจอ
แบบทดสอบ : เขาชอบเราไหม? เขาคือคนที่ใช่สำหรับคุณหรือเปล่า ?กรุณาตอบถูกในข้อที่ใช่ และข้อไหนไม่ใช่ก็ข้ามไปเลยนะคะ แล้วเรามาลุ้นกันว่าคำตอบในใจของเขาคนนั้นจะ ‘ชอบ’ เราบ้างหรือเปล่า
1.มองไปที่เขาทีไร เขาชอบส่งยิ้มกลับมาให้ทุกที
2.เขาชอบหาโอกาสเข้ามาคุยด้วยเสมอ
3.เขาเคยมาขอคำปรึกษาเรื่องการเรียนกับคุณ
4.เขาเคยเอาเรื่องส่วนตัวมาเล่าฟังเป็นประจำ
5.เขาเคยชมเครื่องประดับของคุณ > หนุ่มเข้มคิดในใจ ‘แล้วรถมอเตอร์ไซค์ถือว่าเป็นเครื่องประดับไหมว่ะ?’
6.เขามักเรียกชื่อเล่นของเธอ แถมคุณยังเคยได้ยินว่าเขาแอบตั้งฉายาให้คุณด้วย > เขาลอบยิ้ม เพราะเคยได้ยินมันเรียกเขาว่าพี่เข้ม
7.เวลาเขาคุยอยู่กับกลุ่มเพื่อน แต่สายตาของเขามักมองมาทางคุณเสมอ > พฤติกรรมข้อนี้หนุ่มเข้มเริ่มรู้สึกคุ้นๆ
8.เขาเคยยืมสมุดหนังสือหรือเคยส่งข้อความหวานๆมาให้ด้วย > เคยให้มันยืมเสื้อ ยังไม่ได้เอาคืนเลย
9.เขาเคยเอาของบางอย่างมาอวดคุณ
10.เขาเคยชวนคุณไปกินข้าวแบบไม่ทันได้ตั้งตัว
11.ทุกครั้งที่เขาคุยกับคุณ เขามักมีท่าทีเก้ๆกังๆหรือดูเงียบผิดปกติ
12.เขาเคยถามคุณว่ามีแฟนหรือยัง
13.เขาก็เคยขอเบอร์โทร ขอแอดเพื่อนในเฟซบุ๊คคุณด้วย
ถึงเวลาดูคำตอบกันแล้วนะคะ ตอบถูกกันกี่ข้อบ้างเอ่ย?
ถ้าตอบถูกได้ 9 ข้อขึ้นไป อ่านคำตอบที่ A ถ้าตอบถูกได้ 6-8 ข้อ อ่านคำตอบได้ที่ B ถ้าตอบถูกได้ 3-5 ข้อ อ่านคำตอบได้ที่ C ถ้าตอบถูกได้ 0-2 ข้อ อ่านคำตอบได้ที่ D
A – ทางรักของคุณโรยด้วยกลีบกุหลาบ เขา ‘ชอบ’ คุณ
ขอคอนเฟิร์มตรงนี้เลยคะว่าเขา ‘ชอบ’ คุณแน่นอน อย่างไม่ต้องสงสัย ควรหาโอกาสอยู่ด้วยกันแบบสองต่อสอง ถ้าคุณอยากได้ยินคำสารภาพรักจากปากเขา
B – เขาก็เหมือนมีใจให้คุณอยู่นะ
ทำตัวเป็นกันเองเข้าไว้ พยายามสร้างความประทับใจ เพราะเขาก็กำลังรู้สึกถูกใจคุณอยู่บ้างเหมือกัน
C— เขากำลังสนใจคุณ
คุณเริ่มเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขาบ้างแล้ว ค่อยๆตีสนิท อย่าปล่อยโอกาสนี้หลุดไป
D— เขายังไม่รู้ตัว
‘ช้าๆได้พร้าเล่มงาม’ สำนวนนี้ไม่เหมาะกับคุณอย่างยิ่งในสถานการณ์ตอนนี้ คุณอย่ามัวแต่เก็บความรู้สึก จะทำอะไรก็รีบทำ ไม่เช่นนั้นคุณจะพลาด
อ่านคำตอบจบเขายิ้มกับตัวเอง เขาเคยทำเหมือนคำถามในแบบสอบถามมากกว่า 9 ข้อ
END