“ รักคืนรัง ”
ตอนที่ 5
หากตัดความอคติของตนเองออก ธรณ์ต้องยอมรับเลยว่า เขตแดนเป็นผู้ชายที่เหมาะสมกับตำแหน่ง ‘ประธานบริษัท’ มากกว่าเขา ผู้ซึ่งเป็นทายาทตัวจริงเสียอีก นับตั้งแต่ย่างเท้าเข้ามายังโรงงาน ธรณ์เฝ้าจับตาดูการทำงานของเขตแดนด้วยความทึ่งเกือบตลอดเวลา
ภาพของผู้บริหารหนุ่มถูกสลัดออก พร้อมกับสูทสีดำสนิทที่ถูกถอดออกและฝากเอาไว้ที่เวธน์ ก่อนที่เขตแดนจะรับเอาชุดพร้อมหมวกนิรภัยจากผู้จัดการโรงงานมาสวม และส่งอีกชุดมาให้กับธรณ์ ซึ่งชายหนุ่มก็รับมาสวมด้วยความเก้กัง ต่างจากเขตแดนที่ดูคุ้นเคย จนทุกอากัปกิริยาเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ
ส่วนมากเขตแดนจะเป็นคนแนะนำส่วนการผลิต ที่แยกออกมาอย่างเป็นระบบให้แก่ธรณ์ นอกเสียจากว่าเป็นข้อมูลเชิงลึก ผู้จัดการโรงงานที่เดินตามหลังจึงเป็นฝ่ายเอ่ยเสริม ตลอดทางที่เดินตรวจดูโรงงาน ธรณ์ก็ต้องประจักษ์แก่สายตาตนเองว่า นอกจากพ่อของเขาจะยอมรับเขตแดนแล้ว พนักงานทุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งคนงานที่ทำงานอยู่สายการผลิตก็ยังยอมรับเขตแดน
ธรณ์ฟังเขตแดนอธิบายจนจบสิ้นทุกกระบวนความแล้ว จึงผ่อนฝีเท้าลงมาเดินคู่กับเวธน์ ปล่อยให้ผู้จัดการโรงงานเป็นคนคอยรายงานความเรียบร้อยของเขตแดน
“ปกติคุณเขตแดนเข้ามาที่โรงงานบ่อยหรือครับ”
“โดยปกติแล้ว คุณเขตต์จะต้องเข้ามาตรวจโรงงานทุกสัปดาห์ครับ”
พนักงานทุกคนมักจะเรียกเขตแดนว่า
‘คุณเขตต์’ มากกว่าจะเรียกว่า
‘ท่านประธาน’ ซึ่งธรณ์รู้มาจากเวธน์ว่า มันเป็นความต้องการของเขตแดนเอง ยกเว้นเวลาติดต่อกับหน่วยงานภายนอก พนักงานทุกคนถึงจะเรียกเขตแดนว่า
‘ท่านประธาน’ ให้สมกับศักดิ์และศรีของอีกฝ่าย
ธรณ์เชื่อมั่นมาตลอดว่าตนเองเป็นคนสุขภาพร่างกายแข็งแรง แต่การเดินตรวจตราโรงงานที่มีขนาดกว้างขวาง ก็ทำเอาชายหนุ่มถึงกับเหงื่อตก เขาเผลอหลุดยิ้มแหยออกมาเล็กน้อย เมื่อเวธน์ยื่นผ้าเย็นมาให้ ก่อนจะรับมาเช็ดหน้าเช็ดตาบรรเทาความอ่อนล้า
“เจ้านายของคุณฟิตน่าดูเลยนะครับ” ธรณ์เอ่ยกับเวธน์ สายตาก็มองเขตแดนที่ยังเดินเคียงอยู่กับผู้จัดการโรงงาน
“คุณเขตต์เดินตรวจเป็นประจำจนชินน่ะครับ ถ้าเป็นผม ผมก็เหนื่อยเหมือนคุณธรณ์ล่ะครับ”
ธรณ์ขยับเน็คไทด์ของตนเองจนคลายตัวเล็กน้อย ก่อนจะปลดกระดุมเม็ดบนสุดออก แล้วเอาผ้าเย็นวางแปะบนลำคอของตนเอง แม้จะออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่เพราะการเดินตรวจโรงงาน มันต่างจากการวิ่งออกกำลังรอบสวนสาธารณะ และยิ่งธรณ์เองเพิ่งเดินทางมาจากเมืองหนาว แถมบางส่วนของโรงงานยังค่อนข้างอบอ้าว ดวงหน้าขาวจัดจึงซับสีเลือดแดงก่ำ จนเวธน์เองยังต้องออกปากทักด้วยความเป็นห่วง
“คุณธรณ์...ไหวหรือเปล่าครับ? หน้าคุณแดงมากเลยนะครับ”
ธรณ์โบกไม้โบกมือเป็นเชิงบอกเวธน์ว่าเขายังไหว แม้ว่าแท้จริงแล้วจะรู้สึกอ่อนล้าและวูบพอสมควร แต่เพราะด้วยทิฐิอันแรงกล้าเพียงอย่างเดียว ว่าจะต้องแสดงตนว่าเข้มแข็งต่อหน้าเขตแดน ธรณ์จึงยังคงฝืนยืนหยัดอยู่ แม้ร่างกายจะเริ่มประท้วง
เวธน์มองเจ้านายของตนอีกคนด้วยความเป็นห่วง เพราะแค่ดูด้วยสายตาก็รู้ทันที ว่าธรณ์กำลังฝืนตัวเองอยู่ เขากับธรณ์ยืนพักอยู่เพียงครู่เดียว เขตแดนก็เดินกลับมาด้วยท่าทางที่ปกติ หลังจากเขาสรุปงานกับผู้จัดการโรงงานเรียบร้อยแล้ว พอเขตแดนเดินมาถึงตรงที่ธรณ์ยืนอยู่ เวธน์จึงออกปากทันที
“คุณเขตต์กับคุณธรณ์รออยู่ตรงนี้ดีกว่าครับ เดี๋ยวผมไปเอารถมารับดีกว่า”
เขตแดนขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย แต่ไม่ได้ซักถามอะไรออกมา เพราะพอจะเห็นอาการของธรณ์อยู่ว่าดูไม่ปกติเท่าไหร่นัก เป็นธรณ์เสียอีก ที่รีบร้องห้ามเวธน์
“ไม่เป็นไรหรอกคุณเวธน์ เดี๋ยวเดินไปพร้อมกันเหมือนตอนขามาก็ได้”
เวธน์ขยับจะทักท้วง แต่เห็นว่าแม้แต่เขตแดนเอง ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา จึงต้องยอมทำตามความต้องการของธรณ์ เขาขยับเดินนำไปไม่กี่ก้าว ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเหมือนของหล่น แต่คงเป็นของที่มีขนาดใหญ่น่าดู พอหันกลับมาก็เห็นว่าเขตแดนประคองธรณ์อยู่เรียบร้อยแล้ว ก่อนจะเอ่ยสั่งกับเวธน์เสียงเฉียบขาด
“ฉันกับคุณธรณ์จะรออยู่ที่นี่ นายรีบไปเอารถมา”
เวธน์รับคำแล้วก็รีบเดินไปยังลานจอดรถด้วยความรวดเร็ว พอคนสนิทของเขตแดนเดินห่างไปไม่เท่าไหร่ ธรณ์เองก็พยายามจะขืนตัวเองออกมาจากการพยุงของเขตแดน จนผู้บริหารหนุ่มต้องเอ็ดออกมาด้วยความเหลืออด
“อย่าอวดดีน่า ธรณ์ อิสรพัฒน์ ถ้าเหนื่อยก็พัก จะฝืนไปทำไม” “ผมไม่ได้เป็นอะไรเสียหน่อย แค่อากาศมันร้อน” ธรณ์ค้านเสียงเบาก่อนจะหลบสายตาเสีย เพราะแม้เขตแดนจะจ้องมาด้วยดวงตาคมดุ แต่ประกายบางอย่างที่เจืออยู่ มันพาลเอาเขานึกถึง...
‘พี่เขตต์’ ที่เขาเคยวิ่งตามเมื่อสมัยยังเล็ก
“ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ที่นายพยายามสร้างเกาะกำบัง พยายามเป็นในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวของตัวเอง ไม่มีใครว่าอะไรหรอกนะ ถ้าเกิดนายจะอ่อนแอบ้าง”
“ยิ่งอยู่กับคุณ ผมยิ่งอ่อนแอไม่ได้” ประโยคที่หลุดออกมาจากริมฝีปากของธรณ์เบาหวิว แต่สำหรับเขตแดน มันดังชัดเจนจนต้องเอ่ยถาม...
“ทำไม? ฉันอยากรู้เหตุผล”
แต่มันเป็นคำถามที่ไม่ได้รับคำตอบ ธรณ์ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งใจ เมื่อเห็นว่าเวธน์ขับรถมาถึงพอดี เขาขืนตัวออกจากการพยุงของเขตแดน และเดินตรงไปที่รถ ที่เวธน์เปิดประตูคอยอยู่แล้ว เขตแดนยืนมองจนธรณ์ก้าวขึ้นรถเรียบร้อย ก่อนจะเดินตามมาที่รถ ริมฝีปากหยักขยับพูดพึมพำด้วยประโยค ที่คงมีเพียงเจ้าตัวที่ได้ยิน
“ฉันไม่อยากบีบให้นายต้องแสดงความอ่อนแอเท่าไหร่หรอกนะ แต่ฉันคงจำเป็นต้องทำ ตราบใดที่นายยังไม่ยอมเป็นตัวของตัวเอง”====================
นับว่าเป็นความโชคดีของธรณ์ ที่ขากลับ เวธน์เพียงแค่ส่งเขาลงหน้าคฤหาสน์ เพราะเขตแดนต้องไปงานเลี้ยงสังสรรค์กับคู่ค้าทางธุรกิจต่อ ชายหนุ่มจึงได้มีโอกาสอยู่ตามลำพัง
“คุณธรณ์จะรับอาหารเย็นเลยไหมคะ?”
“ขอเป็นอีกซักครึ่งชั่วโมงดีกว่าครับป้าอุ่น เดี๋ยวผมค่อยลงมานะครับ”
ชายหนุ่มเดินเข้ามาในห้องของตัวเอง ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงด้วยความอ่อนล้า นึกขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เขาควบคุมตัวเองจนแค่รู้สึกวูบ ถ้าเกิดเขาเป็นลมเป็นแล้งต่อหน้าเขตแดน เขาจะต้องรู้สึกอับอายมากกว่าที่เป็นอยู่อย่างแน่นอน
ธรณ์เชื่อมั่นมาตลอดว่า สิ่งเดียวที่จะพิสูจน์ว่าเขาเหมาะสมมากกว่าเขตแดน คือเขาจะต้องอยู่เหนือเขตแดน และการจะอยู่เหนือเขตแดน ธรณ์จำเป็นที่จะต้องเข้มแข็งและแสดงแต่ความแข็งแกร่งออกมา แม้ว่าบางครั้งมันจะบั่นทอนความเป็นตัวของตัวเองก็ตามที
ชายหนุ่มนอนพักอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวแล้วเดินเข้าห้องน้ำ หวังว่าสายน้ำที่เย็นฉ่ำจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้น แต่ธรณ์ควรจะเรียนรู้ว่า ปัญหามักจะต้องแก้ที่ต้นเหตุ ไม่ใช่แก้ที่ปลายเหตุ
อาบน้ำเสร็จเรียบร้อย ธรณ์ก็เดินลงมาข้างล่าง ป้าอุ่นเรือนกำลังจัดสำรับอยู่พอดี ธรณ์เดินมาชะโงกหน้าดูแล้วก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“ทำไมป้าอุ่นถึงทำข้าวต้มล่ะครับ”
“คุณธรณ์ไม่อยากทานข้าวต้มเหรอคะ”
เด็กก็ย่อมเป็นเด็กอยู่วันอย่างค่ำ และเด็กอย่างธรณ์ไหนเลยจะตามทัน ผู้ใหญ่ที่มากด้วยประสบการณ์อย่างป้าอุ่นเรือน ที่เห็นโลกนี้มานักต่อนัก เพียงแค่ประโยคเดียวที่ป้าอุ่นเรือนถามกลับ ธรณ์ก็ส่ายหน้าก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อน
“เปล่าครับ แค่ธรณ์คิดว่า ข้าวต้มนี่เขาต้องทานตอนเช้ากัน”
“ไม่มีกฎตายตัวหรอกค่ะคุณธรณ์ จะทานเช้าก็ได้ จะทานเย็นก็ได้”
“อย่างนี้ ถ้าเกิดผมอยากทานของหวานก่อนของคาวได้ไหมล่ะครับ” ธรณ์แกล้งหยอกป้าอุ่นเรือนทีเล่นทีจริง แต่คำตอบที่ได้รับกลับทำเอาชายหนุ่มชะงัก
“ได้สิคะ อะไรก่อนอะไรหลัง ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวหรอกค่ะ ทุกอย่างนี่เพราะมนุษย์เราเป็นคนกำหนดทั้งนั้น ถ้าเราไม่ยึดติด รู้จักปล่อยวางซะบ้าง ทุกอย่างจะง่ายกว่าเดิมเยอะเลย”
“ก็จริงของป้านะครับ”
ป้าอุ่นเรือนเดินกลับเข้าไปในห้องครัวแล้ว แต่ธรณ์ยังคงนั่งละเลียดข้าวต้ม พร้อมกับคิดถึงถ้อยคำที่ป้าอุ่นเรือนเพิ่งพูดกับเขา
หรือว่า...เขากำลังยึดติดกับอะไรบางอย่าง บ้าน่า...ถ้าจะมีคนที่ยึดติดกับกฎเกณฑ์ ธรณ์ว่าคนนั้นควรจะเป็นเขตแดนมากกว่า
ชายหนุ่มสะบัดศีรษะ ไล่ความคิดฟุ้งซ่านของตนเอง สนใจแต่ชามข้าวต้มตรงหน้า อาจจะเป็นเพราะว่าวันนี้เขาโดนเขตแดนต้อนจนไม่เป็นตัวของตัวเอง ถึงได้รู้สึกว่าเกราะกำบังของตัวเองมันหายไป และตัวเขากำลังอ่อนแอกว่าปกติ
เขาจะยอมให้เขตแดนมามีอำนาจอยู่เหนือเขาไม่ได้ เขาต่างหากที่จะต้องเป็นคนไล่ต้อนเขตแดน ไม่ใช่เป็นคนถูกต้อน ธรณ์คิดอย่างหมายมาด ดวงตาดำขลับเป็นประกายวาววับ เมื่อเห็นว่ารถของตัวเองถูกนำมาส่ง และจอดอยู่หน้าคฤหาสน์เรียบร้อยแล้ว เขาจะทำให้เขตแดนรู้ว่า...
ชาติเสือไม่ทิ้งลายฉันใด เพลย์บอยอย่างธรณ์ อิสรพัฒน์ ก็ไม่มีวันทิ้งเขี้ยวเล็บฉันนั้น====================
หลังจากส่งธรณ์กลับบ้านแล้ว เขตแดนก็ตรงกลับมาทำงานต่อที่ออฟฟิศ โดยไม่ลืมที่จะสั่งให้เวธน์แวะเอาชุดสูทสำหรับไปงานที่ร้าน ชายหนุ่มนั่งเซ็นเอกสารได้ไม่กี่แผ่น ก็ต้องวางปากกาลง
แม้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขตแดน คือการผลักดันให้ธรณ์ก้าวขึ้นมาเป็นประธานบริษัทอย่างภาคภูมิ แต่ย่อมไม่ใช่ประธานบริษัทที่ปราศจากความเป็นตัวของตัวเอง เพราะความที่ต้องเจรจาธุรกิจและติดต่อประสานงานกับคนมากมาย เขตแดนเองจึงเรียนรู้การใส่หน้ากากเข้าหากัน จนมันกลายเป็นเรื่องปกติของสังคมไปแล้ว แต่สำหรับธรณ์...สิ่งเขตแดนสัมผัสได้ มันไม่ใช่หน้ากาก แต่มันเป็นเกราะกำบัง
ก๊อกก๊อกก๊อก...เขตแดนถอนหายใจยาว ก่อนจะออกปากอนุญาตให้เวธน์เข้ามาได้ คนสนิทของผู้บริหารหนุ่มเอาสูทมาแขวนไว้กับราว จากนั้นจึงจัดวางของทุกอย่างให้เป็นระเบียบ เพื่อให้สะดวกต่อการใช้งาน เขตแดนรอจนเวธน์จัดการอะไรเรียบร้อยแล้ว จึงเอ่ยปากถามเสียงเรียบ
“นายโทรบอกป้าอุ่นแล้วใช่ไหม ว่าให้ทำข้าวต้มให้ธรณ์”
“เรียบร้อยแล้วครับคุณเขตต์”
เขตแดนไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก ส่วนเวธน์ พอจัดของจนเรียบร้อยแล้วก็ขอตัวทันที นักธุรกิจหนุ่มเซ็นเอกสารอยู่อีกไม่กี่ฉบับ ก็รวบเก็บข้าวของ เขาเดินตรงเข้าไปในส่วนรับรองที่มีห้องอาบน้ำในตัว ใช้เวลาเพียงไม่นาน เขตแดนก็จัดการกับตนเองจนเรียบร้อย และอยู่ในชุดสูทสากลที่พร้อมสำหรับการไปร่วมงาน ซึ่งยิ่งขับรัศมีของชายหนุ่มให้ดูโดดเด่นและน่าเกรงขามกว่าเดิม
ความจริงแล้ว เขตแดนเองก็ไม่ใช่บุคคลประเภทที่ถูกโฉลกกับพวกงานสังสรรค์เท่าไหร่นัก แต่เรียกว่าเลี่ยงไม่ได้โดยภาระและหน้าที่จะดีกว่า บางทีเขาก็คิดว่า มันอาจจะเหมาะกับธรณ์มากกว่าตัวเขาเสียอีก กับการเข้าร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์พบปะของบรรดาแวดวงไฮโซ
ชายหนุ่มถอนหายใจยาว ถ้าไม่ใช่เพราะตำแหน่งประธานบริษัท ขอบอกเลยว่า...
คนอย่างเขตแดน เกียรติณรงค์เกลียดงานเลี้ยงสังสรรค์เป็นที่สุด!!====================
งานเลี้ยงที่จัดเป็นงานในแวดวงนักธุรกิจ แต่นักธุรกิจหลายท่านก็พาภรรยาหรือลูกหลานมาเปิดตัว นัยว่าเป็นการปูลู่ทางสำหรับอนาคต ส่วนเขตแดนเอง นับตั้งแต่ก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานบริษัท ทั้งที่อายุยังน้อย เขาก็กลายเป็นนักธุรกิจไฟแรงที่ถูกจับตามอง เรียกว่าไปร่วมงานไหน ก็มักจะได้รับความสนใจเสมอ เช่นเดียวกับงานนี้ ที่เขตแดนย่างท้าวเข้าไปในงานไม่ทันไร นายกสมาคมธุรกิจก่อสร้างก็เป็นฝ่ายเข้ามาทักทายกับเขตแดนก่อน
“คิดว่างานนี้คุณเขตแดนจะไม่มาแล้วเสียอีก”
“ยังไงก็ต้องมาครับ เพราะท่านนายกอุตส่าห์ให้เกียรติเป็นประธานจัดงานทั้งที คนในวงการเดียวกันอย่างผมยิ่งไม่ควรพลาด” เขตแดนตอบพร้อมกับขยับมุมปากเล็กน้อย ที่เจ้าตัวรู้ดีว่า นี่ก็เป็นเพียงแค่หน้ากากที่สวมเข้าหากันเท่านั้น ทุกคนก็ล้วนแล้วแต่หวังผลประโยชน์ด้วยกันทั้งสิ้น
ท่านนายกสมาคมเป็นชายวัยกลางคน ที่มาพร้อมภรรยาและลูกสาว ซึ่งดูแล้วก็รู้ทันทีว่าอายุน้อยกว่าเขตแดนพอสมควร พอท่านนายกทักทายกับเขตแดนพอหอมปากหอมคอ ก็ขอตัวเลี่ยงไปทักทายคนอื่นบ้าง เหลือแต่ภรรยากับลูกสาวที่ยังคงชวนเขตแดนคุยอย่างต่อเนื่อง แม้จะเบื่อหน่ายมากแค่ไหน แต่ชายหนุ่มก็จำใจต้องอดทน เพราะนี่คืออีกหนึ่งบทบาทความรับผิดชอบที่เขารับมา
“นี่ลูกสาวพี่เองค่ะคุณเขตแดน น้องเจน เพิ่งเรียนจบด้านแฟชั่นดีไซน์มาจากนิวยอร์กเองค่ะ” แม้อายุอานามของภรรยาท่านนายก น่าจะไล่เลี่ยกับแม่ของเขตแดน แต่เธอก็ยังแทนตัวเองเป็นพี่ได้อย่างไม่เคอะเขิน
“เจนจิรา ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”
ถ้าจะบอกว่านี่เป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเขตแดน ก็คงจะเป็นการโกหกคำโต ไม่ใช่ครั้งแรกที่บรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ที่รู้จัก หรือแม้กระทั่งไม่รู้จักมักจี่กันมาก่อน จะพยายามพาลูกสาวของตัวเองมาแนะนำกับเขา ส่วนมากก็เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจทั้งนั้น
“คุณเขตแดนคะ พี่ฝากดูน้องเจนหน่อยนะคะ พอดีน้องเจนไม่รู้จักใครเลย”
เขตแดนไม่มีโอกาสตอบรับหรือปฏิเสธ ภรรยาท่านนายกก็ปล่อยลูกสาวคนสวยไว้กับเขาเรียบร้อย เขากำลังจะหาทางหลบเลี่ยง แต่ก็ต้องชะงัก เพราะคำพูดที่หลุดออกมาจากริมฝีปากบางของหญิงสาว
“คุณเขตแดน เป็นผู้ปกครองของธรณ์ใช่ไหมคะ?”
ไม่แปลกที่เจนจิราจะรู้จักธรณ์ ในเมื่อคุณแม่ของเธอเพิ่งแนะนำว่า เธอเองก็เพิ่งจบมาจากนิวยอร์ก แต่ในบรรดาผู้หญิงที่รู้จักกับธรณ์ เขตแดนมั่นใจเลยว่า แต่ละคนคงมีสถานะไม่ต่างกันซักเท่าไหร่
“ครับ”
“ดีจังเลยนะคะ เจนเองก็สนิทกับธรณ์เหมือนกัน แต่กลับมาเมืองไทย นี่ยังไม่มีโอกาสได้เจอธรณ์เลย”
ไม่ต้องอาบน้ำร้อนมาก่อน ไม่ต้องมากประสบการณ์ แค่มองตาหญิงสาว เขตแดนก็รู้ถึงจุดประสงค์ของอีกฝ่ายทันที เขานึกอยากจะแค่นหัวเราะและถามกลับว่า หญิงสาวท่าทางหัวอ่อนและเรียบร้อยคนเมื่อครู่หายไปไหนเสีย แต่ก็เพียงแค่กระตุกมุมปากเล็กน้อย
“ถ้าสนิทกัน ก็ลองติดต่อหาธรณ์ดูสิครับ คงไม่ยากเท่าไหร่”
คำพูดของเขตแดนไม่ได้ตีความยากอะไรเลย ถ้าสนิทกันคงไม่ใช่เรื่องยาก ที่จะติดต่อหาธรณ์ เว้นเสียแต่ว่าจะไม่สนิทจริงมากกว่า เขตแดนยิ้มเยาะออกมาเล็กน้อย เมื่อเห็นหญิงสาชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ ไม่ทันไรก็หลุดเสียแล้ว สำหรับบางคน...เปลือกสวยงามที่ห่อหุ้มไว้ก็ถูกกะเทาะออกง่ายดายเสียเหลือเกิน เพียงเพราะคำพูดแค่ไม่กี่คำ
น่าแปลก...ที่เขามีปัญญากะเทาะเปลือกคนที่ไม่รู้จัก แต่กลับไม่มีปัญญาทำให้ธรณ์เป็นตัวของตัวเอง เขตแดนเดินผละออกมาจากเจนจิราไม่ทันไร ก็เห็นเวธน์เดินปรี่เข้ามาหาด้วยท่าทางเคร่งเครียด ชายหนุ่มนึกสังหรณ์ใจทันที และก็ไม่ผิดไปจากที่คิดเท่าไหร่
“ป้าอุ่นเรือนแจ้งว่า คุณธรณ์ออกจากบ้านไปครับ”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ซักสองทุ่มครึ่งได้ครับ”
เขตแดนก้มดูนาฬิกาข้อมือตนเอง ตอนนี้ก็สามทุ่ม ความจริงแล้วจุดประสงค์ที่เขามาร่วมงานคราวนี้ ก็เพราะท่านรัฐมนตรีจะมาร่วมเป็นเกียรติในงานด้วย เขาจะได้ถือโอกาสคุยเรื่องโครงการประมูลก่อสร้างกับท่านรัฐมนตรี ไม่ว่ายังไงเรื่องงานก็ต้องมาก่อน เพราะต่อให้เขากลับไป ธรณ์ก็ไม่ได้อยู่ที่คฤหาสน์อยู่ดี
“เดี๋ยวฉันจะอยู่รอคุยกับท่านรัฐมนตรี ยังไงนายก็ลองพยายามติดต่อธรณ์ดูละกัน”
เวธน์พยักหน้ารับ และถ้าเขตแดนสังเกตซักนิด คงจะเห็นสีหน้าลำบากใจของเวธน์ ไม่ใช่ว่าชายหนุ่มไม่พยายามติดต่อหาธรณ์ แต่มันติดต่อไม่ได้ต่างหาก เพราะเจ้าตัวเล่นตัดสายทิ้งตลอดน่ะสิ!
====================
ทั้งที่คิดว่าระมัดระวังตนเองเป็นอย่างดี แต่เพราะมัวแต่นั่งเหม่อคิดนู่นคิดนี่จนไม่ทันระวัง แถมเขาเองก็นั่งอยู่ในวงล้อมของผู้หญิงหลายคน ชนแก้วไปก็หลายแก้ว มีคนส่งมาป้อนถึงปากก็หลายรอบ ครั้นจะปฏิเสธก็กลัวเสียมารยาท จนไม่รู้ว่าไปพลาดท่าเสียทีใครเข้าตอนไหน แต่ธรณ์ก็ยังพยายามฝืนพาตัวเองเดินมายังห้องน้ำ
ชายหนุ่มวักน้ำมาล้างหน้า ก่อนจะเอามือตบหน้าตัวเองเป็นการเรียกสติ แม้จะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอยู่ไม่น้อย มือก็ควานหาโทรศัพท์ที่มีสายไม่ได้รับหลายสาย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเวธน์ทั้งนั้น แต่มันไม่ใช่เรื่องที่เขาจะมาสนใจในเวลานี้ ธรณ์กดโทรออกไปที่หมายเลขโทรด่วนที่ตั้งเอาไว้ รอจนอีกฝ่ายรับสายจึงรีบบอกด้วยเสียงสั่นพร่า ที่เจ้าตัวพยายามสะกดกั้นอารมณ์เต็มที่
“ชิน กูอยู่ที่ผับ มึงนั่งแท็กซี่มารับกูนะ ไม่ต้องเอารถมา กูโดนยา”
ธรณ์วางสายจากชินดนัยแล้วก็พยายามข่มอารมณ์ เขาหายใจสะท้าน พยายามไม่สนใจอาการปวดหนึบช่วงกลางลำตัว ที่เริ่มจะประท้วงออกอาการ โชคดีที่เขายังครองสติได้อยู่บ้าง ความจริงก็ไม่ถือว่าครองสติได้หรอก เพราะสำหรับเพลย์บอยอย่างธรณ์ อิสรพัฒน์แล้ว ไม่เคยมีคำว่าเมาอยู่ในพจนานุกรม แต่ที่ต้องมาพลาดท่าเสียทีก็ถือเป็นอีกเรื่อง
ในเมื่อสี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง เพลย์บอยอย่างธรณ์ก็ต้องมีวันที่โดนมอมยาเช่นกัน ธรณ์พยายามฝืนพยุงตัวเองออกมายังลานจอดรถ ถ้าเมื่อวานเป็นวันที่แย่สำหรับธรณ์ วันนี้คงต้องเรียกว่าเลวร้ายกันเลยทีเดียว ชายหนุ่มปลดล็อครถของตัวเอง ก่อนจะขึ้นไปนั่งตรงเบาะข้างรอชินดนัย ไม่ลืมที่จะสตาร์ทเครื่องและเร่งแอร์จนเย็น เพื่อดับความร้อนรุ่มในร่างกายของตนเอง
เวลาแต่ละนาทีที่ผ่านไป ช่างนานแสนนานในความรู้สึกของธรณ์ ความจริงเขาจะหิ้วใครซักคนไปปลดปล่อยความใคร่ก็ได้ แต่ในสภาพที่ตัวเองไม่สมบูรณ์ ธรณ์ไม่อยากจะพลาดพลั้งทำอะไรไปโดยไม่รู้ตัว นั่งอึดอัดอยู่ซักพัก ชินดนัยก็โทรเข้าเครื่องของธรณ์
“กูอยู่ที่รถ จอดอยู่ตรงลานจอดรถด้านนอก”
วางสายไปเพียงแค่อึดใจ ประตูฝั่งคนขับก็ถูกกระชากเปิดออก ชินดนัยมองเพื่อนรักที่นั่งตัวสั่น คุดคู้อยู่กับเบาะรถด้วยความเป็นห่วง แม้อยากจะเอื้อมมือไปแตะตัวอีกฝ่ายมากแค่ไหน แต่เขาก็ต้องยับยั้งชั่งใจ ทำได้เพียงแค่เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“ไหวหรือเปล่ามึง ให้กูแวะโรงแรมแถวนี้ไหม”
“ไม่เป็นไร พากูกลับบ้านเลยดีกว่า”
ไม่ต้องรอให้ธรณ์บอกซ้ำ ชินดนัยก็กระชากรถออกจากลานจอดรถทันที ระหว่างทางก็ชวนธรณ์คุยไปตลอดทาง เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ไม่ต้องไปพะวักพะวงกับอย่างอื่น แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้ ที่จะต้องเอ่ยปากถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“แล้วมึงรู้หรือเปล่าว่าใครวางยา”
“ไม่รู้หว่ะ กูผิดเองแหล่ะ ไม่ทันระวัง มีคนส่งมาหลายแก้วด้วย กูยังไม่รู้เลยว่าโดนจากแก้วไหน”
พูดไป ธรณ์ก็กัดฟันแน่นเพื่อควบคุมอารมณ์ที่เริ่มจะปะทุ เพราะความอึดอัดที่ไม่ได้ระบายออก ชินดนัยเห็นดังนั้น ก็กดคันเร่งแรงกว่าเดิม ก่อนที่ธรณ์จะไม่ไหวแล้วช็อคเอาเสียก่อน
ยอมรับว่าชินดนัยก็โกรธธรณ์ไม่น้อย ที่อีกฝ่ายออกมาเที่ยวตามลำพังจนพลาดท่า เพราะที่นี่ไม่ใช่นิวยอร์ก ที่นี่ทุกคนรู้จักธรณ์ดี เกิดพลาดท่าเสียทีใครขึ้นมา รับรองว่าเรื่องยาวแน่นอน ข่าวพวกไฮโซโดนมอมยาแล้วปลดทรัพย์ก็มีให้เห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์ แต่พอเห็นอาการของธรณ์แล้ว ความเป็นห่วงมันก็มากกว่าความโกรธ
“คราวหลังมึงจะออกมาเที่ยวก็โทรเรียกกูหน่อยละกัน”
“อืม...” ธรณ์ได้แต่ครางรับเสียงแผ่วระโหย
แข้งขาของชายหนุ่มพลันอ่อนแรง มือไม้สั่น ร่างกายก็สั่นระริกไปด้วยความปรารถนาที่ต้องการปลดปล่อย พอชินดนัยจอดรถลงหน้าคฤหาสน์เรียบร้อยแล้ว จึงรีบอ้อมมาแล้วอุ้มธรณ์ลงจากรถทันที แม้ส่วนสูงจะไล่เลี่ยกัน แต่เพราะธรณ์เป็นคนรูปร่างผอม ชินดนัยจึงอุ้มอีกฝ่ายได้โดยไม่ลำบากเท่าไหร่นัก
โชคดีที่มีแค่ป้าอุ่นเรือนที่นั่งรออยู่ เพราะถ้าเกิดเจอเข้ากับเขตแดน ชินดนัยก็ไม่รู้ว่าจะตอบคำถามอีกฝ่ายอย่างไร ถึงสภาพของว่าที่ประธานบริษัท ว่าไปโดนอะไรมา
“ห้องนอนของธรณ์ไปทางไหนครับ”
“ข้างบน ห้องทางริมซ้ายสุดค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
“คุณธรณ์เป็นอะไรไปคะ”
ชินดนัยก็อยากจะตอบคำถามของป้าอุ่นเรือน ที่ยืนเบิกตากว้างด้วยความตกอกตกใจ กับสภาพเจ้านายของตน แต่มันไม่ใช่เวลา เพราะร่างกายของธรณ์ร้อนผ่าวจนเขายังรู้สึก พอได้คำตอบที่ต้องการ ชายหนุ่มก็สาวเท้าไปยังห้องนอนของธรณ์ทันที
ชินดนัยเอาหลังดันประตูห้องน้ำออก ก่อนจะปล่อยธรณ์ลงในอ่างอาบน้ำ เปิดน้ำเย็นชโลมร่างของอีกฝ่ายจนเปียกซก ธรณ์คู้ตัวอยู่กับขอบอ่างด้วยความทรมาน พยายามปลดกระดุมกางเกงตัวเองด้วยความยากลำบาก เพราะร่างกายสั่นระริกไปหมด จนแม้แต่มือก็ยังไม่มีเรี่ยวแรง
ชินดนัยคุกเข่าลงข้างขอบอ่าง ยื่นมือไปแตะขอบกางเกงของอีกฝ่าย เขาสบสายตาที่ฉ่ำปรือไปด้วยความปรารถนาของธรณ์ ก่อนจะเอ่ยเสียงทุ้มอ่อนโยน
“มา...เดี๋ยวกูช่วย”
ธรณ์พยักหน้ารับอย่างอ่อนแรงแทนคำตอบ ก่อนจะปล่อยมือออกจากขอบกางเกงของตนเอง ปล่อยให้ชินดนัยเป็นคนจัดการกับความปรารถนาที่คุกรุ่น บิดเร้าร่างกายไปมาด้วยความทรมานจากฤทธิ์ยา
====================
เขตแดนที่นั่งอ่านหนังสือรอธรณ์อยู่ในห้องหนังสือถึงกับชะงัก ตอนที่ป้าอุ่นเรือนกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาเขาหน้าตาตื่น แล้วบอกว่าธรณ์กลับมาแล้ว
“แล้วเขาอยู่ไหน?”
“คุณชินดนัยอุ้มขึ้นไปบนห้องค่ะ ท่าทางไม่ค่อยดีเลยค่ะ ไม่รู้เป็นอะไรหรือเปล่า”
“แล้วคุณชินดนัยเขาไม่ได้บอกหรือ ว่าธรณ์เป็นอะไร”
“ป้าถามแล้ว แต่คุณชินดนัยไม่ได้ตอบค่ะ แต่ท่าทางจะไม่ใช่เรื่องดีแน่”
เขตแดนขมวดคิ้วฉับทันที เกิดอะไรขึ้นกับธรณ์กัน ถึงกับต้องให้ชินดนัยอุ้มขึ้นไปส่งบนห้องเลยหรือ เขตแดนไม่ปล่อยให้ความสงสัยเกาะกุมหัวใจนานนัก เขาสาวเท้ามาที่บันได ก่อนจะหันมาบอกป้าอุ่นเรือน
“ป้าอุ่นไปนอนเลยก็ได้ครับ ยังไงเดี๋ยวผมจะแวะไปดูธรณ์เอง”
“ค่ะ ป้าฝากคุณเขตต์ดูคุณธรณ์ด้วยนะคะ”
เขตแดนก้าวขึ้นมายังชั้นสอง ก่อนจะตรงไปยังทิศที่เป็นที่ตั้งห้องของธรณ์ พอมาหยุดอยู่หน้าประตู ชายหนุ่มก็ต้องยืนตัวชา กับเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากห้องน้ำ
“อ๊ะ...อา...อา...อ๊ะ.....อา........” ต่อให้คนโง่ที่สุด ก็ย่อมรู้ว่าเป็นเสียงอะไร แล้วมีหรือที่คนฉลาดอย่างเขตแดนจะไม่รู้ เสียงนั้นไม่ใช่เสียงใครอื่นใดเลย
เสียงครางแหบพร่าที่เต็มไปด้วยความปรารถนาของธรณ์ อิสรพัฒน์นั่นเอง !!TO BE CONTINUE
๐ แวะกลับมาต่อแล้วค่ะ เป็นตอนที่เขียนเพลินมากเลย
๐ ชอบพล็อตเรื่องเป็นพิเศษ เราวางพล็อตเรียบร้อยแล้วค่ะ เหลือแต่เขียนอย่างเดียว
๐ ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ น้อมรับทุกคำติชมค่ะ 