“ รักคืนรัง ”
ตอนที่ 14
ธรณ์หลับลึก หลับสนิท และหลับสบายตลอดคืน แม้กระทั่งตอนที่เขตแดนขยับตัวเพื่อคลายอ้อมกอด ธรณ์ก็ยังไม่รู้สึกตัว คนที่ตื่นก่อนขยับถอยออกมาดูคนที่นอนหลับปุ๋ย ยามนอนหลับก็เหมือนผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง
ไม่สิ! ความจริงแล้วธรณ์ อิสรพัฒน์ก็เป็นแค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ความเป็นเพลย์บอยและข่าวฉาว ก็เหมือนแค่เครื่องประดับภายนอก
เขตแดนดีใจ...ที่อย่างน้อยธรณ์ก็ยอมกลับมาเป็นธรณ์คนเดิมของเขา หรืออย่างน้อยแค่เป็นตัวของธรณ์เองเวลาที่อยู่กับเขา...แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
โดยปกติเขตแดนเองก็เป็นคนตื่นเช้าอยู่แล้ว พอตื่นแล้วชายหนุ่มก็เดินเข้าห้องน้ำ จัดการล้างหน้าแปรงฟัน มองเสื้อลายดอกที่ตัวเองเป็นคนซื้อมาแล้วก็ยิ้มขำ เขาเองก็เป็นคนธรรมดาเหมือนกัน ไม่ใช่นักธุรกิจหนุ่มผู้ยิ่งใหญ่อย่างที่ใครหลายคนคิด
ก็แค่คนธรรมดา...ที่อยากมีความรักแบบคนธรรมดาทั่วไป จัดการกับตัวเองจนเรียบร้อย เขตแดนก็เงยหน้ามองนาฬิกา เพิ่งจะแปดโมงครึ่ง แถมยังเป็นแปดโมงครึ่งเช้าวันเสาร์ ที่ยังไงธรณ์ก็คงไม่ยอมตื่นง่ายๆแน่ และในเมื่อเขาเป็นคนบอกเองว่าจะพาธรณ์มาพักผ่อน เขาก็เลยไม่อยากจะปลุกคนที่กำลังนอนหลับสบาย ปล่อยให้ธรณ์นอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่
เขตแดนโทรศัพท์ขอหนังสือพิมพ์จากรีเซฟชั่น เสร็จแล้วก็แกะกาแฟซองมาชง ไม่ใช่ว่าไม่หิวหรือไม่อยากกิน เพียงแต่อยากรอคนขี้เซาตื่นมากินพร้อมกัน
สุดท้าย...กว่าธรณ์จะตื่นก็ตอนสิบโมงกว่า ลุกขึ้นมานั่งหัวฟูกอดหมอนอยู่กับเตียง ท่าทางงัวเงีย ตายังลืมได้ไม่เต็มที่ ทำเอารอยยิ้มกระจายอยู่ทั่วใบหน้าคม สายตาที่เปลี่ยนจากหนังสือพิมพ์มาทอดมองคนบนเตียงพลันอ่อนลงด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
“ตื่นแล้วก็ไปอาบน้ำไป เสร็จแล้วจะได้ไปหาอะไรกินกัน”
เขตแดนส่งเสื้อผ้าให้คนขี้เซา ที่พอรับมาก็เดินมึนๆเข้าห้องน้ำไป จนเขาชักจะสงสัยว่า ตกลงคนที่เพิ่งเดินไปนี่รู้เรื่องไหม หรือคิดว่าตัวเองกำลังละเมออยู่
หลังจากที่เขตแดนอ่านหนังสือพิมพ์เสร็จ กาแฟหมดแก้วพอดี ธรณ์ก็เดินหน้ายุ่งออกมานจากห้องน้ำ เสื้อลายดอกยังไม่ได้ติดกระดุม เผยให้เห็นแผงอกขาวที่มีหยดน้ำเกาะพราว จนเขตแดนต้องเสเบือนหน้าหลบ
ไม่ใช่ไม่อยากเห็น แต่เขาเป็นปุถุชนคนธรรมดา ไม่ใช่พระอิฐพระปูน
“พี่เขตต์...พอใส่แบบนี้แล้วผมดูเหมือนพนักงานรีสอร์ทเลย”
เขตแดนเบือนหน้ากลับมา โชคดีที่ธรณ์ติดกระดุมเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังไม่วายปล่อยสองเม็ดบนเอาไว้ อวดแผงอกขาวๆของเจ้าตัว
“พี่ก็ใส่เหมือนธรณ์ ถ้าเป็นพนักงานก็เป็นด้วยกันสองคนนี่แหล่ะ”
“ฮึ! จริงด้วย แล้วนี่จะพาผมไปไหนเหรอครับ”
“อยากไปไหนล่ะ”
ธรณ์นิ่งเงียบไป ถึงจะเป็นคนไทยที่เกิดและเติบโตอยู่ในเมืองไทยมากว่าสิบห้าปี แต่ธรณ์เดินทางออกต่างจังหวัดแทบนับครั้งได้เลย และมันก็ผ่านมานานซะจนความทรงจำมันลางเลือน ตอนที่พ่อและแม่ยังมีชีวิตอยู่ คุณธีรยุทธก็มีงานยุ่งตลอด ส่วนคุณอัจฉราก็นอนป่วย เด็กชายธรณ์จึงไม่เคยได้ไปไหนไกล นอกเสียจากมาเล่นกับพี่เขตต์ที่บ้านชานเมือง ยิ่งหลังจากผู้เป็นแม่เสียไป ความสัมพันธ์ระหว่างธรณ์กับผู้เป็นพ่อก็ยิ่งเลวร้าย แทบไม่มีโอกาสที่จะได้ทำกิจกรรมร่วมกันตามประสาพ่อลูกเลย
เขตแดนเห็นธรณ์นิ่งเงียบไปก็นึกรู้ทันที ในเมื่อเรื่องราวช่วงระหว่างที่ธรณ์อยู่เมืองไทยตอนเด็ก เขาเองก็รับรู้มาตลอด เด็กชายตัวเล็กที่ขยันมาเล่าให้เขาฟัง ว่าเพื่อนคนนู้นไปเที่ยวไหน เพื่อนคนนี้ไปเที่ยวไหน แต่ตัวเองกลับไม่เคยได้ไป เขายื่นมือไปแตะบ่าธรณ์
“ไป...เดี๋ยวพี่พาไปกินอาหารทะเลก่อนละกัน เสร็จแล้วจะทำอะไรต่อค่อยว่ากันอีกที”
ดวงหน้าที่สลดไปชั่ววูบหันกลับมาคลี่ยิ้มกว้างให้เขตแดนอย่างยินดี ธรณ์ตัดสินใจแล้ว เขาจะพักผ่อนและลืมเรื่องราวหนักอกทุกอย่างไป ขอกลับไปเป็นธรณ์คนเดิม...ธรณ์คนที่เคยวิ่งตามร้องเรียกหาพี่เขตต์ และคอยออดอ้อนพี่เขตต์ของเขา
ไม่รู้ว่าเขาจะหวังมากไปหรือเปล่า...แต่พอไม่มีคุณพ่อคุณแม่ เขาก็เหลือเพียงแค่คุณสงครามกับเขตแดน จะเป็นไปได้ไหม...ถ้าเขาอยากให้เขตแดนเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเขา และเข้าใจในทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเป็นและทำลงไป...คงไม่มากไปใช่ไหม
====================
เขตแดนขับรถออกมาวนหาร้านอาหารทะเลเจ้าดัง ที่เขาโทรสอบถามเอาจากเวธน์ พอได้พิกัดว่าอยู่แถวละแวกจอมเทียนก็มาขับรถตามลายแทง คนที่นั่งข้างก็มองซ้ายมองขวา เพราะเมื่อคืนมาถึงก็มืดแล้วมองอะไรไม่ชัดเท่าไหร่ อารมณ์ประหนึ่งพาเด็กมาทัศนศึกษาเลยทีเดียว
“ตอนอยู่ที่เมืองนอกได้เที่ยวบ้างไหมเนี่ย” เขตแดนแกล้งถามเด็กโข่ง
“เที่ยวสิ เที่ยวเยอะมากเลยด้วย เพราะตอนอยู่ที่นี่ไม่ได้ไปไหนเลยล่ะมั้ง ผมเลยเก็บกด”
แม้ธรณ์จะพูดกลั้วหัวเราะ แต่คนฟังก็รู้ดีว่ามันแฝงความน้อยใจอย่างปิดไม่มิด แต่เพียงแวบเดียว ธรณ์ก็ปัดความรู้สึกเหล่านั้นทิ้ง เพราะไม่รู้ว่าจะมาน้อยอกน้อยใจอะไรกับคนที่ไม่อยู่แล้ว
ในที่สุด เขตแดนก็หาร้านอาหารเจอ แต่เพราะมันเป็นวันเสาร์ แถมตอนที่พวกเขาสองคนมาถึงร้านก็เป็นเวลาเที่ยงเศษ เลยต้องมายืนรอคิวกันอยู่หน้าร้าน ความจริงเขตแดนก็ถามธรณ์แล้วว่าจะเปลี่ยนไปที่อื่นแทนไหม แต่คำตอบที่ได้รับคือ...
“เอาร้านนี่แหล่ะ ไม่นั่งในห้องแอร์นะ จะนั่งติดทะเล”
เขตแดนได้แต่ส่ายหัวน้อยๆ ถ้าคนข้างตัวเขายอมนั่งห้องแอร์ซักหน่อย ป่านนี้ก็คงได้เข้าไปนั่งสั่งอาหารแล้ว แต่คุณชายธรณ์เขาเกิดอยากจะนั่งรับประทานอาหารกลางวันเคล้าลมทะเล ซึ่งที่นั่งริมทะเลก็มีจำนวนน้อย และลูกค้าหลายคนก็อยากจะจับจองโต๊ะริมทะเลกันหมด เลยต้องมายืนคอยคิวกันอยู่อย่างนี้
เอาเถอะ...ไม่เป็นไรหรอก ในเมื่อเขาเองก็ยังอยากเห็นคนที่กำลังยืนหล่ออยู่ข้างๆ มีรอยยิ้มประดับอยู่บนหน้าไปนานๆ รอยยิ้มที่เป็นรอยยิ้มจริงๆ มันออกมาจากใจของคนที่มีความสุข มีค่ามากซะจนให้เอาอะไรมาแลกเขตแดนก็คงไม่ยอม ในเมื่อกว่าเขาจะได้รอยยิ้มนี้มา มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“ทะเลเมืองไทยสวยนะ ผมชอบมากๆเลย” คนที่ยืนทอดอารมณ์มองทะเลเปรยออกมาเบาๆ
“ทะเลแถบนี้ยังสวยสู้ทางภาคใต้ไม่ได้หรอก ภาคใต้สวยกว่าอีก”
“ที่นิวยอร์กก็มีทะเลนะ นั่งซับเวย์จากอพาร์ทเมนต์ผมออกไปชั่วโมงกว่าๆ หน้าร้อนคนเยอะมาก แต่สวยสู้พัทยาบ้านเรายังไม่ได้เลย”
“ถ้าธรณ์ไปเห็นทะเลแถวกระบี่หรือภูเก็ต ธรณ์ก็ต้องบอกว่าที่พัทยาธรรมดาไปเลยเหมือนกันนั่นแหล่ะ”
คนที่ยืนมองทะเลอยู่ดีๆ หันควับกลับมาหาเขตแดน ดวงตาเป็นประกายเหมือนเจออะไรถูกใจขึ้นมาทันที
“พี่เขตต์เคยไปด้วยเหรอครับ”
“เคยไปเรื่องงานอยู่สองสามหนน่ะ” เขตแดนตอบไปตามความจริง
เขาเคยไปกระบี่กับภูเก็ตด้วยเรื่องงานของบริษัท ไม่ได้ไปเที่ยวบรรดาเกาะน้อยใหญ่ที่ใครเขาร่ำลือกันว่าสวยงาม แต่แค่หาดหน้าโรงแรมที่พักที่เขาเห็น เขตแดนก็ว่ามันสวยมากๆแล้ว ไม่สงสัยเลยว่าทำไมชาวต่างชาติถึงชอบมาเที่ยวทะเลเมืองไทยกัน
“ฟังพี่เขตต์พูดแล้วผมอยากไปขึ้นมาทันทีเลย”
“ไว้มีโอกาส...จะพาไป”
“สัญญานะครับ...”
เขตแดนยิ้มออกมา คนที่ไม่รู้จักธรณ์คงสงสัย ว่าเพลย์บอยเจนจัดหรือธรณ์ตรงหน้ากันแน่คือตัวจริงของธรณ์ อิสรพัฒน์ แต่ถ้าถามเขา เขตแดนตอบได้เลยว่า ธรณ์ตรงหน้าเขาเนี่ยแหล่ะคือตัวจริง ไม่ต่างไปจากธรณ์ในวันวานก่อนที่จะเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
ขอบคุณ...ขอบคุณที่ธรณ์ยอมเป็นตัวของตัวเองเวลาอยู่กับเขา “ได้โต๊ะแล้วมั้ง พนักงานเรียกเราสองคนแล้ว” เขตแดนพยักเพยิดให้ธรณ์เดินไปถามพนักงานคนที่จัดคิว
ธรณ์เดินตรงเข้าไปหาพนักงาน ซักถามอะไรอยู่นิดหน่อย ก็หันมาโบกมือเรียกเขตแดนให้เดินตามไป
โต๊ะที่ได้ต้องบอกว่าทำเลดีสมกับที่ยืนรอมานานกว่าครึ่งชั่วโมงจริงๆ เป็นโต๊ะที่ตั้งอยู่ริมทะเล ไม่มีอะไรมาบดบัง ชนิดที่ว่าสามารถมองเห็นท้องทะเลในมุมกว้างได้อย่างชัดเจน เขตแดนจัดการสั่งอาหารทะเลมาหลายอย่าง โดยไม่ลืมที่จะสั่งข้าวผัดปูจานเล็กมาด้วย พอเห็นธรณ์ทำหน้างงก็รีบบอกทันที
“พี่สั่งมาให้ธรณ์นั่นแหล่ะ ตั้งแต่เช้ามายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยนะ กินข้าวไปซะดีๆ”
“โห...พี่เขตต์จะสั่งมาตัดกำลังให้ผมกินกุ้งกับปูได้แค่นิดเดียวใช่ไหมล่ะ” ธรณ์แกล้งโอดครวญ
“ใครบอกล่ะ...พี่กลัวว่าธรณ์จะปวดท้องต่างหาก เอาเถอะ กินข้าวได้แค่ไหนก็กินไปละกัน ที่เหลือเดี๋ยวพี่จัดการให้เอง”
ธรณ์เผลอยิ้มกว้างออกมาอย่างไม่รู้ตัว นี่สิ...พี่เขตต์คนเดิมที่คอยตามใจเขา มีเวลาให้เขา เป็นห่วงเขาเสมอ...พี่เขตต์ของเขา
ก่อนอาหารที่สั่งไว้จะมา พนักงานก็ยกเครื่องดื่มมาก่อน ธรณ์เบิกตามองมะพร้าวน้ำหอมที่มาในลูกมะพร้าวด้วยความตื่นเต้น ธรณ์อาจจะเก่งกาจในบางเรื่อง แต่กับเรื่องง่ายๆ บางทีธรณ์ก็กลายเป็นเด็กๆไปเลยเหมือนกัน
“นี่มะพร้าวน้ำหอม พอธรณ์กินน้ำจนหมด ก็เอาช้อนตักเนื้อออกมานะ เขาขูดเป็นแผ่นอยู่ในลูกมะพร้าวเรียบร้อยแล้ว”
ธรณ์ยังไม่ทันได้ทำตามคำแนะนำของเขตแดน ก็ต้องสูดปากทันที เมื่อพนักงานเสิร์ฟยกน้ำจิ้มซีฟู้ดมาวาง
“พี่เขตต์รู้ไหม เวลาผมอยู่เมืองนอก ผมกินอาหารทะเลไม่อร่อยก็เพราะไม่มีน้ำจิ้มซีฟู้ดเนี่ยแหล่ะ จะโชคดีหน่อยก็เวลาที่ชินมันกลับบ้าน มันจะให้แม่บ้านเขาทำแล้วแพ็คใส่กระปุกไป แต่อยู่ได้เต็มที่เดือนเดียวก็หมดแล้ว แค่เห็นก็น้ำลายสอเลย”
ธรณ์ทำท่าจะเอาช้อนตักน้ำจิ้มซีฟู้ด แต่ถูกเขตแดนคว้ามือเอาไว้ก่อน
“ไม่ต้องเลย ยังไม่มีอะไรรองท้องมากินของเผ็ดเดี๋ยวก็ปวดท้องพอดี รอข้าวผัดมาก่อน”
ธรณ์เบ้ปาก แต่ก็ยอมหดช้อนกลับมาโดยดี พอข้าวผัดปูจานเล็กยกมา เจ้าตัวก็จัดแจงบีบมะนาวและใส่น้ำปลาพริก ที่ดูแล้วเหมือนจะโกยแต่พริกลงไปคลุกกับข้าวซะมากกว่า จนเขตแดนต้องส่ายหน้าน้อยๆ
“กินเผ็ดขนาดนี้ ใครเขาจะเชื่อว่าไปอยู่เมืองนอกมาเกือบสิบปี”
“ทำไมอยู่เมืองนอกแล้วต้องกินเผ็ดไม่เป็นด้วยล่ะ ชินนั่นแหล่ะตัวดีเลย มันถึงกับปลูกต้นพริกไว้ที่ระเบียงอพาร์ทเมนต์เลยครับ เวลาเอามาคั่วกระเทียมแล้วผัดกับข้าวนะพี่เขตต์...อย่าให้พูดเลย” ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวยังยกนิ้วรับประกันด้วยว่าเมนูตัวเองเด็ดแค่ไหน
“หึ...มัวแต่พูด เดี๋ยวข้าวก็เย็นหมดหรอก”
ธรณ์เกาศีรษะแก้เก้อทันที เมื่อรู้สึกว่าเขาชักจะเป็นตัวของตัวเองมากไปหน่อย ที่เป็นอยู่นี่...เหมือนกลับไปเป็นเด็กชายธรณ์ เจ้าตัวน้อยที่ช่างจำนรรจาของเขตแดนเลย
ภาพเด็กชายตัวเล็กที่ขี่หลังเด็กชายตัวโตยังแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำ เป็นภาพความทรงจำดีๆ ที่ไม่ว่าเวลาผ่านไปกี่ปีก็ไม่มีวันเลือนหาย ไม่ว่าจะหวนนึกถึงเมื่อไหร่ก็ต้องยิ้มออกมา
หัวเข่าสองข้างของเด็กชายตัวเล็กถลอกปอกเปิก แต่เจ้าตัวดูเหมือนจะไม่ได้ทุกข์ร้อนเท่าไหร่ ยังส่งเสียงร้องเพลงอย่างอารมณ์ดี ผิดกับคนที่แบกรับน้ำหนักที่ทำหน้าเครียดราวกับว่าเป็นคนเจ็บเสียเอง
“เจ็บมากไหมธรณ์” คนตัวโตกว่าเอ่ยถามน้องอย่างเป็นห่วง
“เจ็บ แต่ธรณ์ทนได้” เจ้าตัวเล็กบอกหน้าชื่น พยายามยิ้มแย้มให้คนเป็นพี่คลายความเป็นห่วง
แม้จะแบกร่างเล็กเอาไว้ แต่เด็กชายตัวโตก็พยายามเร่งฝีเท้าให้ถึงบ้านโดยไว จะได้รีบพาน้องไปล้างแผลทำแผล ถึงเด็กชายตัวน้อยจะไม่ร้องไห้โยเย แต่เด็กชายเขตแดนก็รู้ว่าน้องคงเจ็บไม่น้อย เพราะตอนพยุงน้องขึ้นมา น้องยังแทบทรุดลงไปกอง จนเขาต้องตัดสินใจให้น้องขี่หลัง
“พี่เขตต์ ธรณ์ไม่อยากหายเจ็บเลย” เด็กชายตัวน้อยทำท่าจะงอแงในเรื่องที่ไม่ควร
“ทำไมล่ะ ถ้าไม่หายแล้วจะเล่นด้วยกันยังไง ไม่อยากเล่นกับพี่เหรอ”
“อยาก แต่ธรณ์อยากขี่หลังพี่เขตต์มากกว่า”
เด็กชายเขตแดนเผลออมยิ้มออกมา ค่อยๆทอดฝีเท้าให้ช้าลง ไม่อยากบอกเลยว่า พี่ชายคนนี้ก็ชอบเวลาเจ้าตัวเล็กขี่หลัง บ้านอยู่ข้างหน้าอีกไม่ไกล แต่ทำไมไม่อยากให้มันถึงเลย อยากพาน้องขี่หลังไปนานๆ และเด็กชายเขตแดนคงไม่รู้ ถึงเด็กชายธรณ์จะชอบซ้อนท้ายจักรยานที่พี่ขี่ แต่ตอนนี้ที่ชอบมากกว่าคือการได้ขี่หลังพี่...ไม่ได้อยากแกล้งให้พี่ลำบาก แต่แค่อยากกอดพี่ไว้แน่นๆ สัมผัสแผ่วเบาที่แตะลงตรงมุมปาก เรียกให้คนที่นั่งเหม่อลอยอยู่ในห้วงภวังค์ของตนเอง ถึงกับสะดุ้งสุดตัว ธรณ์ทำหน้าเลิ่กลั่กก่อนจะพ่นลมหายใจออกจากปากอย่างโล่งอก เมื่อเห็นว่าเป็นปลายนิ้วของเขตแดนเองที่เอื้อมมือมาแตะมุมปากของเขา
“มัวแต่เหม่ออะไรเนี่ยเรา กินเลอะเทอะหมดแล้ว”
ถ้อยคำสำทับมาพร้อมกับปลายนิ้วที่เอื้อมมาเกลี่ยมุมปากอีกข้างอย่างอ่อนโยน ผิดแต่ว่าคราวนี้ผู้ถูกกระทำรู้สึกตัว ไม่ได้นั่งเหม่อลอยเหมือนเมื่อครู่ สัมผัสแผ่วๆที่นุ่มนวลจึงเรียกอาการร้อนวูบวาบให้บังเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย จนต้องเสหลบตา ก่อนจะยึดข้อมือของอีกฝ่ายไว้
“เดี๋ยวผมเอากระดาษทิชชู่เช็ดก็ได้ครับ”
เขตแดนเห็นอาการกระอักกระอ่วนของเจ้าตัว ก็ยอมปล่อยมือแต่โดยดี และถ้าเขาไม่ได้ตาฝาดและคิดเข้าข้างตัวเองมากไปนัก สีแดงๆบนแก้มขาวๆนั่นคงไมได้เป็นเพราะอากาศร้อนแน่ๆ เพราะเขาว่าตรงที่นั่งอยู่ลมมันก็โกรกเย็นสบายดี ธรณ์คงไม่น่าจะร้อนจนถึงกับหน้าแดง และถ้าไม่ได้ร้อนก็แปลว่า...
เขิน!! ธรณ์กำลังเขินเขาอยู่จริงหรือ!?! ธรณ์คว้ากระดาษทิชชู่มาซับปากตัวเอง เสร็จแล้วก็อดมองซ้ายมองขวาไม่ได้ ว่าตนเองได้ตกเป็นเป้าสายตาของใครไปบ้างหรือเปล่า โชคดีที่ทุกคนมัวแต่สาละวนกับการรับประทานอาหาร จึงไม่มีใครยอมเสียเวลามาสนใจคนอื่น พอหันกลับมาก็ปรากฏว่า กุ้งเผาที่สั่งมา ถูกใครบางคนจับลอกคราบจนเหลือแต่เนื้อขาวๆอวบๆ แล้วจับมาวางใส่จานเขาหลายตัวแล้ว
“พี่เขตต์ เดี๋ยวผมแกะเองก็ได้”
“กินไปเถอะ พี่แกะให้แล้ว เอาปูด้วยไหม”
ทั้งที่เป็นประโยคคำถาม แต่ดูเหมือนเขตแดนจะไม่ต้องการคำตอบ เพราะเขาจัดแจงคว้าปูมาแกะต่อเป็นที่เรียบร้อย ธรณ์เองก็ไม่ใช่ไม่ชอบ เขาชอบ...ชอบพี่เขตต์คนนี้ที่คอยเอาใจเขา ใส่ใจเรื่องเล็กๆน้อยๆ แม้จะเป็นเรื่องที่เขาทำเองได้ แต่พอมีคนมาทำให้ก็รู้สึกดีขึ้นมา
“ทำแบบนี้เดี๋ยวคนอื่นเขาก็นึกว่าเราสองคนเป็นแฟนกันพอดี” ธรณ์พึมพำออกมาเบาๆ น่าแปลกที่คนฟังกลับรู้สึกขุ่นมัวกับประโยคที่ได้ยิน แม้จะรู้ดีว่ายังไม่มีสิทธิ์ใดๆก็ตาม
“พี่ทำแบบนี้แล้วทำให้ธรณ์ลำบากใจใช่ไหม”
ประโยคธรรมดาๆที่หลุดออกมาจากปากเขตแดน กลับทำให้ธรณ์รู้สึกผิด คล้ายกับกำลังถูกตัดพ้อต่อว่าอยู่ ชายหนุ่มเลยรีบส่ายหน้าปฏิเสธเป็นพัลวัน
“เปล่าซะหน่อย ผมแค่กลัวว่าเดี๋ยวคนอื่นจะเข้าใจพี่เขตต์ผิด”
“แล้วธรณ์แคร์คนอื่นหรือเปล่า”
คำถามเรียบๆถูกส่งออกมา แต่แววตาที่มองกลับเต็มไปด้วยความจริงจังอย่างที่ธรณ์ไม่เคยเห็น เขาไม่รู้ว่าเขตแดนหมายความว่าอย่างไร แต่ถ้าถามว่าธรณ์แคร์สายตาคนรอบข้างหรือเปล่า ชายหนุ่มก็ตอบได้เลยว่าไม่ เพราะถ้าเขาแคร์ เขาคงไม่ทำตัวเป็นเพลย์บอยที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่มานานหลายปี
“ผมไม่แคร์คนอื่นหรอก”
“พี่ก็ไม่แคร์คนอื่นเหมือนกัน”
ธรณ์เสก้มลงสนใจปูสนใจกุ้งบนโต๊ะ มันก็แค่คำพูดธรรมดา แต่ทำไมเขากลับรู้สึกว่ามันมีความหมายลึกซึ้ง แล้วอาการหน้าร้อนผ่าวๆนี่มันอะไรกัน ธรณ์ อิสรพัฒน์ที่จีบผู้หญิงมานักต่อนักกลับมาใจเต้นเป็นส่ำ ทำตัวไม่ถูก มือไม้ไม่รู้จะวางไว้ตรงไหนกับแค่คำพูดประโยคเดียว
ธรณ์ไม่เคยดูถูกหรือรังเกียจความรักระหว่างเพศเดียวกัน อาจจะเป็นเพราะเห็นจากคนใกล้ตัวอย่างชินดนัยก็เป็นได้ แต่ก็ไม่เคยคาดคิดว่าวันหนึ่ง...จากเรื่องใกล้ตัวจะกลายมาเป็นเรื่องของตัว ที่ผ่านมาก็ทำตามใจตัวเองมาตลอด
จะเป็นอะไรไหม...ถ้าจะทำตามใจตัวเองอีกซักครั้ง====================
[มีต่อนะคะ]