ถ้าเขตแดนนอนไม่หลับ ก็ยังมีอีกคนที่นอนไม่หลับเช่นกัน ชินดนัยยกนมร้อนมาวางตรงหน้าคนที่นั่งตาโหลเพราะอดหลับอดนอน ความจริงธรณ์ก็ไม่ได้อดหลับอดนอน แต่เขาไม่สามารถข่มตาหลับได้ต่างหาก ทุกอย่างมันหนักหนาเกินกว่าเขาจะรับไหว
“กูควรจะจัดการเรื่องไหนก่อนดีวะ มันเยอะจนกูไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนเลย” ธรณ์เอ่ยถามเพื่อนรักเสียงเนือยๆ
ชินดนัยกำลังจะเอ่ยปากตอบ แต่เสียงโทรศัพท์บ้านก็ดังเสียก่อน เขาขมวดคิ้วนิดๆ เพราะปกติไม่ค่อยมีคนโทรเข้าเบอร์บ้านของเขาเท่าไหร่ ชายหนุ่มรับสายพูดอะไรอยู่สองสามคำสลับกับชำเลืองมองธรณ์เป็นระยะ คุยอยู่ซักพักก็วางสาย
“คุณเขตต์โทรมา...”
ธรณ์ชะงักนิ่งไปทันที เขายังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับเขตแดน ไม่พร้อมเลยจริงๆ
“เขาถามว่ามึงจะเข้าบริษัทหรือเปล่า...” ชินดนัยยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆพร้อมกับคอยสังเกตธรณ์
“มึงก็บอกเขาไปแล้วไม่ใช่เหรอ ว่ากูไม่ไป กูไม่สบาย” ธรณ์พูดในสิ่งที่ได้ยิน
ใช่ว่าเขาจะไม่ได้ยินว่าชินดนัยโต้ตอบกับปลายสายว่าอย่างไร ชินดนัยบอกว่าเขาไม่ค่อยสบาย คงไม่เข้าบริษัท แล้วก็จะช่วยดูแลเขาให้
“เพราะกูรู้ไงว่ามึงยังไม่พร้อม แต่มึงจะหนีไปตลอดไม่ได้นะธรณ์”
ที่ชินดนัยพูดอีกก็ถูกอีก วันนี้เขาอาจจะหนี อาจจะหลบเลี่ยงได้ แต่ยังไงก็ไม่สามารถหนีได้ตลอดไป มันต้องมีซักวันที่เขาต้องหันกลับไปเผชิญหน้ากับความจริง ถึงแม้ความจริงมันจะโหดร้ายก็ตามที
เอาเข้าจริง...ถ้าต้องไปเจอคุณสงครามหรือเขตแดน ธรณ์ยังไม่รู้จะทำหน้าหรือทำตัวอย่างไรเลย ทั้งๆที่คนที่ควรรู้สึกผิดจะต้องเป็นคุณสงคราม ไม่ใช่เขา ทุกอย่างมันจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้หรือเปล่า เขาเองก็ยังไม่รู้...ไม่รู้เลยจริงๆ
“ชิน ต่อสายหาอเล็กซ์ให้กูที”
ชินดนัยมองหน้าเพื่อนรักอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ยอมทำตามที่ธรณ์บอก เขาหยิบโทรศัพท์บ้านมา กดรหัสทางไกลโทรหาคนที่อยู่อีกซีกโลก ถึงเวลาจะต่างกันสิบสองชั่วโมง แต่เขารู้ดีว่า...ไม่ว่าจะโทรไปตอนไหน อเล็กซ์ก็จะรับสายเสมอ รอจนได้ยินเสียงสัญญาณ ถึงได้ส่งโทรศัพท์ให้ธรณ์ ส่วนตัวเขาเองก็เดินไปเปิดโทรทัศน์ ก่อนข่าวสั้นที่ถูกรายงานจะทำเอาเขายืนนิ่งอยู่กับที่
‘เมื่อวันที่ 13 มกราคม ขณะที่ชุดปฏิบัติการพิเศษกองกำลังนเรศวรนำกำลังทหารเข้าสกัดกั้นขบวนการยาเสพติดจากชายแดน เกิดการปะทะกันยาวนานกว่าหนึ่งชั่วโมง ผลคือฝ่ายตรงข้ามเสียชีวิตสองคน เจ้าหน้าที่ทหารบาดเจ็บสามนาย พื้นที่เกิดเหตุอยู่บริเวณสันเขา ห่างจากชายแดนไทยประมาณห้ากิโลเมตร ขณะนี้นำตัวผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลค่ายวชิรปราการเรียบร้อยแล้ว’ ไม่ใช่แค่ชินดนัยที่ชะงัก แม้แต่ธรณ์ที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับอเล็กซ์ก็ชะงักเช่นกัน โชคชะตาก็เหมือนความน่าจะเป็น มีโอกาสที่จะเจอโชคดีและโชคร้าย แต่บางครั้ง...เรื่องโชคร้ายก็เข้ามาหาเราติดๆกัน แม้ว่าเราจะไม่ต้องการมันก็ตามที
“แค่นี้ก่อนนะอเล็กซ์ เดี๋ยวกูโทรกลับ” ธรณ์บอกปลายสาย ก่อนจะรีบรุดมาดูชินดนัยที่ยังยืนนิ่งไม่ไหวติง แม้ว่าภาพบนจอโทรทัศน์จะถูกเปลี่ยนเป็นรายการอื่นแล้ว
“มึงลองโทรเช็คก่อนชิน ทหารมีตั้งหลายคน”
ชินดนัยคว้าโทรศัพท์มากดเบอร์ที่จำขึ้นใจ รออยู่นานก็ไม่มีใครรับจนสายตัดไป ผู้พันชนวีร์ไม่เคยให้ใครรับสายแทน นี่เป็นเรื่องที่เขารู้ดีแก่ใจ เลยต้องเปลี่ยนเป้าหมายเป็นโทรเข้าไปที่ค่าย
“ขอสายผู้พันชนวีร์ครับ”
((ไม่ทราบว่าจากไหนครับ?))
“ผมชินดนัย เป็นน้องชายของผู้พันครับ”
ปลายสายนิ่งเงียบไปอึดใจ เสียงรอบข้างดูวุ่นวาย ซึ่งชินดนัยก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องปกติหรือเปล่า ก่อนโทรศัพท์จะถูกเปลี่ยนมือไปสู่อีกคน
((ผมร้อยเอกติสรณ์นะครับ ผู้พันบาดเจ็บสาหัส กำลังจะย้ายขึ้นฮ.เพื่อไปรักษาที่กรุงเทพฯ......))====================
สุดท้าย ธรณ์ก็เป็นคนขับรถไปส่งชินดนัยที่บ้านพักกรมทหาร ตอนแรกเขาก็ยืนกรานจะรอเป็นเพื่อน แต่ชินดนัยก็ปฏิเสธท่าเดียว ธรณ์เลยต้องยอมแพ้แล้วปล่อยชินดนัยเอาไว้ เขาไม่ได้อยากทิ้งเพื่อนรักเอาไว้คนเดียว แต่เขารู้ว่า...ชินดนัยไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น ถ้าเขาอยู่ ชินดนัยก็จะต้องทนฝืนกล้ำกลืนความเจ็บปวดเอาไว้ข้างใน เขาเลยเลือกที่จะปล่อยเพื่อนเอาไว้ แต่ไม่ลืมกำชับว่า...
“ถ้ามีอะไรต้องโทรหากูทันทีเลยนะ”
ชินดนัยฝืนยิ้มให้เขา ก่อนจะตบบ่าเขา
“มึงนั่นแหล่ะ...ถ้ามีอะไรต้องโทรหากูนะ มึงยังมีกูอยู่ข้างๆเสมอ”
ธรณ์มองเพื่อนรักอย่างเป็นห่วง ก่อนจะยอมผละออกมา เขาเองก็มีเรื่องที่ต้องสะสางอยู่เหมือนกัน ชายหนุ่มโทรศัพท์เข้าที่บริษัท สอบถามจากประชาสัมพันธ์จนรู้ว่าเขตแดนยังอยู่ที่บริษัท เขาถึงได้ขับรถตรงไปที่บ้านของคุณสงคราม คำพูดของชินดนัยยังคงก้องอยู่ในหัว
‘อย่าเพิ่งตัดสินใจอะไร ตราบใดที่มึงยังไม่รู้ความจริงทั้งหมด’ เขาเลยเลือกที่จะมาฟังความจริงทุกอย่างจากลุงคราม แล้วหลังจากนั้น..ก็จะเป็นเรื่องที่เขาต้องตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อ
เขาอยากรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ว่าแท้จริงแล้วมันเป็นมาอย่างไรกันแน่ ถ้าจะเชื่อใครซักคน ธรณ์ก็อยากจะเชื่อคุณสงครามมากกว่าเขมจิรา สำหรับคนที่เขารู้จักมาทั้งชีวิต อย่างไรก็มีภาษีดีกว่าคนที่เพิ่งก้าวเข้ามาในชีวิตเขาอย่างแน่นอน
ธรณ์ขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อเห็นว่ามีรถจอดอยู่ก่อนแล้ว แต่ดูยังไงก็ไม่ใช่รถของเขตแดน บางทีคุณสงครามอาจจะมีแขก เขาจอดรถแอบอยู่มุมหนึ่งก่อนจะก้าวลงจากรถ เดินตรงไปที่บ้านอย่างคุ้นเคย บางครั้งความคุ้นเคยก็น่ากลัว เพราะมันทำให้เรามองข้ามอะไรหลายๆอย่าง
ยิ่งเข้าใกล้ตัวบ้าน ธรณ์ก็ได้ยินเสียงทุ่มเถียงดังออกมา เขารีบสาวเท้าเร็วขึ้นเรื่อยๆ เสียงที่ดังมาเป็นเสียงคุณสงครามไม่ผิดแน่
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!” “ฉันไม่หยุด คุณจะทำไม ขนาดตายไปแล้วยังเที่ยวทิ้งของเอาไว้ให้ดูต่างหน้า นี่มันจะจองเวรจองกรรมฉันไปถึงไหนกัน”
เพล้งงงงงงงงงง!! “เธอต่างหากที่มาจองเวรจองกรรมพวกเรา คราวก่อนถ้าไม่เห็นแก่หลาน คิดว่าฉันจะยอมปล่อยเธอให้เธอลอยนวลไปจนย้อนกลับทำร้ายธรณ์เหรอ”
“ไอ้วิปริตนั่นมันมีดีอะไร คุณถึงได้รักได้หลงมันนัก”
“ถึงร่างกายเขาจะเป็นผู้ชาย แต่จิตใจเขาดีกว่าผู้หญิงแบบเธอเสียอีก”
ธรณ์ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะยืนฟังคุณสงครามโต้เถียงกับคุณเขมจิราต่อไป หรือควรจะเปิดประตูเข้าไปห้ามดี ระหว่างที่กำลังลังเล เสียงโต้เถียงก็ดังมาอีกระลอก
“ไม่ว่าฉันจะหาวิธีกำจัดมันยังไง ฉันก็ยังไม่เคยเป็นที่หนึ่งสำหรับคุณเลยใช่ไหม ทำไมล่ะ...ทั้งที่มันก็ตายไปแล้วแท้ๆ ทำไมถึงไม่สนใจฉัน ต้องให้ฉันฆ่าลูกมันด้วยอีกคนใช่ไหม คุณถึงจะเห็นฉันอยู่ในสายตา ฉันรักคุณก่อนมันแท้ๆ ฉันไม่น่าให้คุณกับมันมารู้จักกันเลย”
ธรณ์เปิดประตูเข้าไปทันที สภาพภายในบ้านเละเทะไปด้วยข้าวของที่ตกแตกกระจาย ผู้หญิงที่ธรณ์เคยยอมรับว่าดูสาวและสวยกว่าอายุจริง บัดนี้กลับอยู่ในสภาพที่ไม่น่าดูเลยซักนิด ข้างๆกันคือคุณสงครามที่มีท่าทีโกรธเกรี้ยว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นตกใจเมื่อหันมาเห็นเขา
“ธรณ์...” คุณสงครามครางชื่อหลานชายออกมาเบาๆ
ธรณ์ไม่ได้สนใจผู้เป็นลุง เขามองไปยังเขมจิรา ที่พอหันมาเห็นเขาก็เหยียดริมฝีปากอย่างเย้ยหยัน
“บอกให้หลานคุณมันดีใจหน่อยสิ ว่าที่คุณรักมันแทบเป็นแทบตาย ก็เพราะมันเป็นลูกของผู้ชายคนนั้น”
“ทำไมต้องฆ่าพ่อผม?...” เขมจิราปรายตามองอดีตสามีก่อนจะหันมามองคนที่อายุคราวลูก ในเมื่ออยากรู้กันนัก เธอก็จะบอกให้ เพราะถึงอย่างไรเธอก็ยังมีไพ่ตายอยู่ในมืออีกใบ ไพ่ใบเดียวกันนี้แหล่ะที่เคยทำให้เธอลอยนวล แม้จะเป็นผู้จ้างวานฆ่าก็ตามที
“ตอนแรกฉันก็แค่จะขู่อย่างเดียว แต่พ่อแกมันปากดี ฉันเลยคิดอีกทีว่า...ถ้าเกิดมันตายไปซักคน เผื่อบางทีสงครามเขาอาจจะหันมาสนใจฉันก็ได้ แล้วที่สำคัญ...พ่อแกมันบีบให้ฉันต้องทำแบบนั้นเอง”
“เธอก็รู้ดี ไม่ว่ายุทธเขาจะอยู่หรือไม่อยู่ ฉันก็ไม่มีวันรักเธอ ยิ่งเธอพยายามดันทุรังทำอย่างที่เป็นอยู่ ฉันยิ่งขยะแขยงจนไม่อยากจะเข้าใกล้เธอ”
สาบานเลยว่า ชั่วชีวิตที่รู้จักกับผู้เป็นลุงมา ธรณ์ไม่เคยเห็นคุณสงครามแสดงท่าทีเกรี้ยวกราดถึงเพียงนี้มาก่อน ลุงครามของเขาโกรธจนต้องกำมือแน่น พยายามอดกลั้นโทสะจนตัวสั่นสะท้าน
“แล้วยังไงล่ะ สุดท้ายคุณกับมันก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันอยู่ดี ถ้าฉันไม่ได้ ก็ไม่ต้องมีใครได้ไป”
“ทั้งที่ยุทธเขาก็เป็นเพื่อนเธอเนี่ยนะ”
“ฉันไม่เคยเห็นมันเป็นเพื่อน ฉันเห็นมันเป็นศัตรูมาตลอด มันได้ทุกสิ่งทุกอย่างไป ในขณะที่ฉันไม่เหลืออะไร เห็นหน้ามันตอนที่รู้ว่าคุณเสียท่าให้ฉันไหมล่ะ...ฉันอยากจะหัวเราะออกมาดังๆเหลือเกิน คุณหนูผู้จองหองอย่างมัน สุดท้ายก็ถูกแย่งคนรักไป”
ผู้หญิงคนนี้ร้ายกาจ...ถึงธรณ์จะยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางแน่ชัด แต่ฟังจากที่ผู้หญิงคนนี้พูดมา เขาไม่รู้ว่าระหว่างพ่อกับลุงต้องเจออะไรมาบ้าง แต่มันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ คนที่หักหลังและฆ่าเพื่อนตัวเองได้อย่างเลือดเย็น จิตใจของเธอทำด้วยอะไรกัน
“รู้อะไรหรือเปล่าคุณสงคราม ผู้ชายที่คุณเทิดทูนบูชานักหนา ก็คือคนเดียวกับผู้ชายที่บังคับให้ฉันเซ็นใบหย่าให้กับคุณนั่นแหล่ะ”
คราวนี้คุณสงครามเป็นฝ่ายเบิกตากว้าง ธรณ์มั่นใจได้เลยว่า ผู้เป็นลุงเองก็คงยังไม่รู้เรื่องนี้
“ไม่จริง...”
“จริง! มันนี่แหล่ะที่เอาเงินฟาดหัว บังคับให้ฉันเซ็นใบหย่าแล้วออกไปจากชีวิตคุณ”
นี่มันอะไรกัน แค่ต้องมารับรู้ว่าพ่อมีความสัมพันธ์กับลุงคราม และถูกฆ่าอย่างจงใจ มันก็หนักหนาสำหรับธรณ์แล้ว ยังต้องมารับรู้เรื่องแย่ๆของรุ่นพ่อรุ่นแม่อีก
“ยุทธไม่มีทางทำอย่างที่เธอพูด”
“ทำไมมันจะไม่ได้ทำ คิดดูสิว่ากี่ปีที่ฉันต้องระหกระเหิน จากลูกจากสามี รอวันที่จะกลับมาแก้แค้นมัน ที่มันตายไปก็สมควรแล้ว”
ธรณ์ลอบสบตากับคุณสงคราม ถึงอย่างไรเขาก็ไม่อยากจะเชื่อว่าพ่อของเขาจะทำอย่างที่เขมจิราพูด ถึงพ่อจะไม่ได้ใจดี แต่พ่อคงไม่ใจร้ายพอจะใช้วิธีสกปรกแบบนั้น
“หยุดแต่งละครเอาดีเข้าตัว เอาชั่วใส่คนอื่นได้แล้วครับคุณเขมจิรา”
ธรณ์หันไปมองคนที่เพิ่งมาถึง ร่างสูงที่ยืนพิงกรอบประตูดูเหนื่อยอ่อน แต่ริมฝีปากก็ขยับเป็นรอยยิ้มร้ายแบบที่ธรณ์รู้จักดี เขาครางชื่ออีกฝ่ายออกมาเบาๆ...
“ชิน...”
เขมจิราหันไปมองผู้มาใหม่ ผู้ชายที่เมื่อวานมาลากธรณ์ออกไป วันนี้มันก็ยังตามมาถึงที่นี่อีก
“แกเป็นใคร?”
“ผมเป็นใครไม่สำคัญสำหรับคุณ ที่แน่ๆ...ผมรู้บางเรื่องที่คุณกำลังปิดบังอยู่ก็แล้วกัน”
ดวงหน้าสวยเผือดสีไปเล็กน้อย อย่างไรเสียตรงหน้าเธอมันก็เป็นแค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม คิดได้ดังนั้น เขมจิราเลยเชิดหน้าขึ้น
“แกมันจะไปรู้อะไร”
ชินดนัยเหยียดริมฝีปากออก เขาเองก็เพิ่งรู้มาเหมือนกัน มันเป็นข้อมูลที่คนบางคนตามสืบมาซักพัก และไม่ยอมบอกเขา คิดแล้วก็น่าโมโห ถ้าเขาไม่แวะไปบ้านพักที่กรมก็คงไม่เห็น
“ก็รู้ว่า...คุณเอาลูกคนอื่นมายัดเหยียดว่าเป็นลูกของคุณสงครามยังไงล่ะครับ”TO BE CONTINUE
๐ มาต่อแล้วค่ะ เพื่อความต่อเนื่อง รู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยเหมาะกับมาม่าเท่าไหร่เลย Y_Y
๐ ปมเยอะจนไม่รู้จะแก้อันไหนก่อนดี อันไหนไม่สมจริงไปบ้าง ขออภัยด้วยนะคะ เราเอ๋อและเบลอมาก
๐ ตอนที่แล้วอ่านคอมเม้นท์เพลินมากๆ ขอบคุณทุกคอมเม้นท์เลยค่ะ ทนกินมาม่ากันหน่อยนะคะ
๐ จริงๆจะลงกระทู้เดียว แต่มันเก็บได้ไม่หมด เลยต้องแบ่ง สั้นไปนิด
๐ ขอบคุณคนอ่านทุกๆคนเลยค่ะ คอมเม้นท์กันได้ตามสะดวกเลย 