พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย  (อ่าน 139875 ครั้ง)

ออฟไลน์ Yarkrak

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
มาแย้วๆ  :katai2-1:

ขอบคุณที่ไม่ให้รอนาน

 :mew1:

NuNew

  • บุคคลทั่วไป




ถึงแม้ว่า คุณย่าจะทราบเรื่องของเรา

และคงไม่ติดใจอะไรหากผมกับพี่นิวจะนอนร่วมห้องตามประสาคู่รักทั่วไป

แต่ในใจผมมันก็ค้านต่อการกระทำเช่นนั้น ด้วยความเกรงใจคุณย่า 

อาจจะมีปนละอายบ้างนิดหน่อย  ซึ่งเมื่อผมบอกความรู้สึกนี้กับพี่นิว เขาก็เห็นดีด้วย

เป็นอันว่า ระหว่างที่คุณย่ายังอยู่ใต้ชายคาเดียวกันกับเรา 

ผมกับพี่นิวก็จะไม่ทำอะไรให้ดูประเจิดประเจ้อ เป็นการให้เกียรติผู้ใหญ่ที่เราเคารพรักไปด้วย


เรื่องของผมกับพี่นิวดูเหมือนจะคลี่คลายไปในทางที่ดีแล้ว

ผมควรจะรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจได้แล้ว....แต่ก็เปล่า

ผมยังสะกิดใจกับคำพูดที่คุณย่าพูดว่า คุณพ่อทิ้งบริษัท ทิ้งคุณย่า

จะปล่อยให้คาใจไปทั้งอย่างนั้นก็คงไม่ใช่ผม

แต่จะให้เอ่ยปากถามคุณย่าไปตอนนี้ ก็กลัวจะไปทำให้คุณย่าเคืองใจไปเปล่า ๆ

ผมจับอารมณ์ที่คุณย่าพูดไม่ได้ว่า ท่านรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้   

แต่โดยทั่วไป  แม่ที่บอกว่าถูกลูกทิ้งคงไม่มีคนไหนที่จะดีใจหรอกมั้ง

ผมเก็บเอาความข้องใจเตรียมจะถามกับพี่นิวในวันถัดมา

ช่วงที่คุณย่านอนพักตอนบ่าย เป็นเวลาที่ดีที่สุด

เราสองคนปลีกตัวออกมานั่งเล่นนอกบ้าน ตรงสนามหญ้าใต้เงาของบ้านยามที่ตะวันบ่ายคล้อย

ถ้ายังจำกันได้ มุมนี้ที่ผมเคยบอกว่าน่านั่งที่สุดของบ้าน

สมัยเรียนที่เพื่อนพี่นิวมาพักที่บ้านกันหลาย ๆ คน

มุมนี้เป็นที่รวมก๊วนวางแผนเที่ยวกันอย่างสนุกสนานจนผมถูกลืม

ตอนนี้มันก็ยังเป็นสนามหญ้าเหมือนเดิม  ช่วงไหนที่เราสองคนยุ่งจนไม่มีเวลาใส่ใจ

หญ้าก็ยาวเสียจนดูรก นั่งเล่นไม่ได้

พอปูเสื่อ วางหมอนอิง ยกน้ำ ยกขนมมาตั้ง มันก็คือการปิกนิกดี ๆ นี่เอง

ต่างกับสมัยก่อนที่เราเป็นคุณหนู มีป้ากับพี่นางเป็นคนดูแลและจัดการให้

เวลาผ่านมาอีกช่วงหนึ่ง ก็มีแต่ผม ที่คอยปรนนิบัติ “คุณชายนิว” 

แต่ตอนนี้ ทั้งพี่นิวและผม ต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือ

เวลาที่ผ่านไป ทำให้พี่นิวได้เรียนรู้ชีวิตที่ต้องช่วยเหลือตัวเองแบบที่ไม่มีคนรองมือรองเท้ามากขึ้น

พลอยทำให้ผมสบายไปด้วย ที่ไม่ต้องทำทุกอย่างให้เขา 

อาจจะด้วยว่า งานที่ผมทำในบางครั้งมีกิจกรรมนอกเวลาทำงานบ่อย ๆ

จนพี่นิวต้องลุกขึ้นมาฝึกทำอะไรให้ตัวเองด้วย แถมบางครั้งยังต้องดูแลผมไปด้วย

และการที่เคยไปเรียนที่ต่างประเทศก็คงทำให้เขาต้องทำอะไร ๆ เอง

ดังนั้น ถ้าวันนี้ผมจะกลายเป็น “คุณชายนู” ให้พี่นิวปรนนิบัติตอบแทน

......ก็คงไม่น่าแปลกใจอะไร

“จะเอาอะไรอีกไหม”

พี่นิวถามพร้อมกับวางถังเก็บความเย็นลง

ผมเปิดดูข้างในบรรจุเครื่องดื่มของโปรดของเขาจนเต็มปรี่

“นึกแล้วเชียว ถ้าดื่มหมดนี่ วันนี้ไม่ต้องกินข้าวเย็นกันพอดี”

“ไม่หรอกน่า”

“ไม่หรอกน่าเนี่ย หมายความว่า ดื่มไม่หมดหรอกน่า หรือว่า ไม่อดข้าวเย็นหรอกน่า”

ผมย้อนถามยิ้ม ๆ อย่างคุณชายนิวเนี่ย เบียร์ในถังทั้งหมดก็ไม่คณามือหรอก

“ทั้งสองอย่างนั่นแหละ”

พูดจบก็จัดการเปิดผนึกแล้วยกดื่มด้วยสีหน้าพอใจอย่างมาก เห็นแล้วผมก็อดยิ้มไม่ได้

ในใจก็คิดว่า ถ้าหมดนี่จริง ๆ ผมก็คงได้ลากเขาเข้าบ้านในสภาพหมดสติแน่ ๆ

เพราะพี่นิวน่ะ ชอบดื่มก็จริง แต่ไม่ได้คอแข็งอะไรเลยครับ 

แถมบางทีก็ยัง “กินเผื่อหมา” เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

เพียงแต่เดี๋ยวนี้เวลาดื่มนอกบ้าน หรือไปงานสังสรรค์ที่ไหน เขาจะบังคับตัวเองให้ดื่มแค่พอดี ๆ

เพราะฉะนั้น วันนี้ถ้าเขาจะดื่มจนหมดถัง ซึ่งก็น่าจะอยู่ในราว 20 กระป๋องกว่า ๆ

ผมก็จะตามใจ เพราะเมาอยู่ในบ้าน

“ไม่ว่าอะไรพี่เหรอ”

ผมส่ายหน้าแล้วยังส่งยิ้มให้เขา

“แปลก ๆ นะวันเนี้ยะ”

“แปลกตรงไหน ยังกับว่าพี่นิวไม่เคยดื่มเบียร์เยอะ ๆ แบบนี้งั้นแหละ ผมจะไปว่าอะไรได้”

ผมเปิดเบียร์ดื่มเป็นเพื่อนพี่นิวบ้าง

“แล้วถ้าพี่เมาจนลุกไม่ขึ้นล่ะ”

“ผมก็จะลากเข้าบ้านเอง แต่คงต้องนอนโซฟานะครับ ผมแบกขึ้นห้องไม่ไหว”

“เอ๊ะ....ใจดีซะด้วย”

ผมเลื่อนจานใส่หมูสวรรค์ไปตรงหน้าพี่นิว ส่วนของตัวเองเป็นเนื้อสวรรค์ 

ของฝากจากพี่ชายในโลกอินเทอร์เน็ตของผม ที่ผมเคยเล่าไว้ว่า มีพี่ มีน้อง มีเพื่อนฝูง

จากการแชทผ่าน MSN นั่นแหละครับ วันดีคืนดี ผมก็จะได้รับของฝากส่งมาเป็นพัสดุ

ส่วนใหญ่จะเป็นของกินจากที่ต่าง ๆ ที่พวกเขาได้ไปเที่ยวมา 

ส่วนผมก็ส่งไปให้พวกเขาบ้างเป็นบางครั้ง 

เรามักจะส่งผ่านความรู้สึกกันเช่นนี้เสมอโดยไม่มีเทศกาล

มันเป็นความผูกพันอันน่ามหัศจรรย์ของคนที่ไม่เคยได้พบเจอหน้าตากัน

การพูดคุยผ่านตัวอักษรในวันนั้น ทำให้ผมมีเพื่อนที่พูดคุยได้ทุกเรื่อง

โดยเฉพาะเรื่องชีวิตรักของตัวเอง ที่ไม่สามารถบอกใครได้ ในส่วนลึกของจิตใจ

ผมรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณพวกเขามากทีเดียว

นั่งดื่มกันไป คุยกันไป ลมเย็นพัดมาเบา ๆ มันให้ความสุขใจแบบสงบ ๆ ดีทีเดียว

เราสองคนมีอะไรที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ ชอบที่จะพักผ่อนอยู่ในบ้าน

หากไม่มีความจำเป็นต้องไปทำธุระที่ไหน  ผมว่า บ้านคือวิมานของเรานี่เรื่องจริงเลย

“พี่นิวครับ”

ผมเตรียมจะถามเขาในเรื่องที่ผมยังคาใจจากเมื่อวานนี้

“หืม”

“คุณพ่อกับคุณแม่ไม่คิดจะกลับมาอยู่บ้านบ้างเหรอครับ”

“ไม่รู้สิ คงอยากเที่ยวพักผ่อนตามลำพังอยู่มั้ง”

“ไม่กลับไปหาคุณย่าที่โน่นก็ไม่แปลกหรอกครับ แต่ไม่มาบ้านเราเลยนี่ ผมว่ามันยังไงไม่รู้

เหมือนท่านตั้งใจจะทิ้งเราเลย”

“อะไรกัน โตจนป่านนี้แล้วยังงอแงว่าถูกพ่อแม่ทิ้งอีกเหรอ”

“ไม่ใช่ซะหน่อย พี่นิวก็รู้ว่าผมหมายความว่ายังไง อย่ามาโยกโย้เลยน่า.....

ทำไมคุณย่าถึงบอกว่าคุณพ่อทิ้งงาน ทิ้งคุณย่าล่ะครับ”

“ก็ไม่มีอะไรหรอก พ่อเขาก็แค่อยากจะวางมือเฉย ๆ

หลีกทางให้พวกลูกหลานได้ทำงานก็แค่นั้นเอง แต่ย่ายังไม่วางใจ

นูก็ดูสิ ย่าอายุขนาดนี้แล้วยังดูแลกิจการได้เลย

เขาก็คิดว่า ต่อให้พ่ออายุหกสิบ ก็น่าจะยังทำงานได้อยู่

พอพ่อตัดสินใจลาออกจริง ๆ ก็อาจจะน้อยใจที่พ่อไม่ฟังคำพูดย่า”

“เหรอครับ....เรื่องแค่นี้เองเหรอ”

พี่นิวพยักหน้ารับคำทำหน้าจริงจัง

“แต่ที่จริงผมว่าคุณย่าก็พูดถูกนะ  คุณพ่อยังไม่แก่เลย

ดูพ่อผมสิ ยังทำร้านขายของอยู่เลย บอกให้เลิกก็ไม่เลิก

พ่อบอกว่ายังไหวอยู่ เลิกแล้วก็ไม่รู้จะไปทำอะไร อยู่บ้านเฉย ๆ ก็เฉาเปล่า ๆ”

“คนเราไม่เหมือนกันหรอก พ่อพี่ทำงานมาตั้งแต่ยังหนุ่ม

แทบจะไม่มีเวลาให้ครอบครัวเลย พี่มีแต่แม่ที่คอยดูแล

คิดถึงพ่อ อยากอยู่พร้อมหน้ากันก็ต้องไปหาที่โน่น”

“พ่อผมขายของมาตั้งแต่เด็ก ชั่วชีวิตพ่อ เรียนจบมัธยมแล้วก็มาขายของ

ทำไมพ่อผมถึงไม่คิดจะลาออกมั่งล่ะ"

”ก็....เอ๊อ.....จะให้เหมือนกันได้ยังไงเล่า งานก็คนละอย่าง ครอบครัวก็คนละแบบ”

“ผมก็ไม่ได้บอกว่าจะให้เหมือนนี่ครับ แค่เปรียบเทียบให้ฟังเฉย ๆเอง 

ทำไมผมจะไม่รู้ว่าคุณพ่อทำงานหนักแค่ไหน  แต่ไหนแต่ไรแล้วที่คุณแม่บ่นอยู่เรื่อยว่า

ถ้าไม่ไปดูแลคุณพ่อตัวเอง คุณพ่อก็จะทำแต่งาน ไม่เป็นอันกินอันนอน

ผมแค่สงสัยเฉย ๆ ว่า ทำไมต้องลาออกด้วย แค่แบ่งงานออกไปให้พี่ ๆ รับผิดชอบบ้าง

งานคุณพ่อจะได้เบาลง ก็แค่เนี้ยะ”

“ช่างเถอะ....เรื่องของพ่อกับแม่น่ะ  บางทีพี่ก็คิดว่าเขาอาจจะอยากใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้มากขึ้น

ชดเชยกับที่แต่ก่อนนี้ไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันล่ะมั้ง....ว่ามั้ย”

“อืม...นั่นสินะครับ”

มันก็เป็นเหตุผลที่ยอมรับได้น่ะนะ แต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่าเหตุผลมันหลวม ๆ ยังไงไม่รู้

ดื่มไปสักพักพอครึ้มได้ที่ พี่นิวก็เริ่มทะลึ่งใส่ผมทีละนิด ลวนลามด้วยสายตาก็มี

.....นี่มันนอกบ้านนะพี่นิว.....

เดี๋ยวข้างบ้านก็ได้โผล่หน้าขึ้นมาแอบดูบนกำแพงบ้านหรอก....

ผมคิดไปเล่น ๆ อย่างนั้นแหละครับ มุมที่เรานั่งเล่นอยู่ตรงนี้ ค่อนข้างจะเป็นมุมอับ

มีต้นไม้ที่จัดสวนเล็ก ๆ กำบังเราจากหูตาคนนอกกำแพงบ้าน

มุมที่จะมองเห็นชัด ๆ ก็ต้องมองออกมาจากห้องนั่งเล่นในบ้านนั่นแหละครับ

“ขาวจั๊วะ น่าเจี๊ยะเนอะ แฟนใครเนี่ย”

“โสดครับ ไม่มีแฟน”

“งั้นเป็นแฟนพี่นะครับ”

“ลองจีบก่อนสิครับ จีบได้จะให้เป็นแฟน”

“พี่ไม่ใช่หนุ่มแบงก์ ไม่มีดาวบนบ่า รูปไม่หล่อ แต่พ่อรวย สนไหมคร้าบ”

“ฮ่า ๆ มุกบ้าน ๆ มากเลยครับพี่ จีบแบบนี้ทั้งชาติก็หาแฟนไมได้หรอก รับรอง”

“พี่จีบไม่เป็นนี่ครับ เมื่อก่อนนี้มีแฟนเป็นเด็ก ม.4 คนหนึ่งก็ไม่ได้จีบอะไรเท่าไรเลย

อยู่ ๆ เขาก็ตามมาเอง.....ฉันเปล่าน้า เขามาเอง ฉันเปล่าชวนน้า เขามาเอง”

เสียงเพลงเพี้ยน ๆ โพล่งขึ้นมาดื้อ ๆ เล่นเอาอยากขำ แต่ผมขำไม่ออก

เพราะเด็ก ม.4 ที่โดนพาดพิงน่ะมันผม

ผัวะ!!

“โอ๊ย! อย่าเล่นเจ็บ ๆ แบบนี้สิ รู้ตัวว่ามือหนักแล้วยังชอบลงมือลงไม้กับพี่อีกเหรอ....

ใจร้ายอะแฟนใครเนี่ย”

“ผมโมโหแทนเด็ก ม.4 คนนั้นแหละ เขามาได้ยินเข้าก็คงโกรธเหมือนผมรู้ไว้ด้วย”

“โอ๋เอ๋ ๆ”

ผมปัดมือใหญ่ ๆ ที่ทำท่าล้อหลอกอยู่ตรงหน้า แล้วนั่งหันข้างให้เสียเลย

“โกรธจริงอะ”

“ไม่เห็นต้องโกรธเลย พี่นิวไม่ได้ว่าผมนี่”

“งั้นก็งอน”

“งอนทำไม ผมไม่ใช่แฟนพี่ซะหน่อย”

“แหม....ล้อเล่นนิดเดียวเอง”

พี่นิวยังยิ้มได้

“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรไง พี่นิวอยากว่าแฟนเด็ก ม.4 คนนั้นก็ว่าไปเลย”

ผมยกกระป๋องเบียร์ขึ้นซดต่อ ทำเป็นไม่สนใจเมื่อยิ้มทะเล้น ๆ นั้นเริ่มหุบ

“นู.....”

ตอนนี้เขาคงเริ่มรู้สึกตัวแล้วล่ะว่า บรรยากาศการปิกนิกมัน....เปลี้ยนไป๋

“เอ้า....ต่อสิครับ มีอะไรจะว่าแฟนเด็ก ม.4 คนนั้นอีก”

“พี่ไม่ได้ว่า”

“ครับ ไม่ว่าก็ไม่ว่า”

“นูน่ะ”

“ครับ” ....จะเรียกทำไม

ต้นขาขาว ๆ มีมือใหญ่ ๆ สีน้ำตาลอ่อนทาบลงมา....เล่นเอาจั๊กกะจี้ไปเหมือนกัน

อย่าบอกนะว่านี่เป็นวิธีที่พี่นิวจะใช้ง้อผม

“พูดเล่นแค่นี้เอง ทำไมต้องโกรธพี่ด้วยล่ะ”

“ผมโกรธที่ไหน บอกแล้วไง ผมไม่ใช่แฟนพี่ พี่ว่าแฟนเด็ก ม.4 ผมจะโกรธได้ยังไง”

“ไม่โกรธแล้วทำไมไม่ยิ้มล่ะ”

“ก็มันไม่ขำนี่ จะยิ้มทำไมล่ะครับ”

“เออ ๆ ไม่ยิ้มก็ไม่ยิ้ม ไม่ขำก็ไม่ขำ”

มือใหญ่ ๆ ถูกเจ้าของกระชากกลับไปวางใกล้ตัว เมื่อรู้ว่ามันไม่เกิดผลอะไรกับผมเลย

คราวนี้พี่นิวเลยต้องนิ่ง เพราะไม่รู้จะงัดไม้ไหนมาง้อผมอีก

.....ก็จะเหนื่อยง้อทำไมล่ะครับพี่นิว ผมไม่ได้โกรธ ไม่ได้งอน ตามที่บอกนั่นแหละ

 แต่ไม่ได้บอกนี่นา.....ว่าผมจะไม่แกล้ง

ที่ไม่ได้คิดอะไรกับคำล้อเล่นของเขาก็เพราะผมรู้ตัวดีน่ะสิครับ ว่าเขาพูดถูกทุกอย่าง

ผิดไปนิดเดียวก็ตรงที่ ผมไม่ได้ตามเขา แต่ความหมายโดยนัย มันก็คล้าย ๆ กันนั่นแหละ 

ถ้าผมไม่เป็นฝ่ายก้าวเข้าไปหาก่อน พี่นิวก็คงไม่มีวันชายตาแลผมหรอก

แบบนี้ใช่ที่เขาเรียกกันว่า “ทอดสะพาน” หรือเปล่าครับ



สมัยเด็ก ๆ เคยเล่นจ้องตากันไหมครับ ใครกระพริบตาก่อนเป็นคนแพ้น่ะ 

เกมนี้ของผมก็คล้าย ๆ กัน ใครเป็นฝ่ายพูดก่อน คนนั้นแพ้!

ก็ไม่รู้ว่าพี่นิวจะเดินตามเกมที่ผมเริ่มเล่น (คนเดียว?) หรือเปล่านะ 

แต่เขาก็ไม่ยอมพูดกับผมก่อน  ส่วนผมก็นั่งไปได้เรื่อย ๆ ยังไม่อยากพูดก่อน

....มีไรป้ะ??

บางทีคนเราก็ปัญญาอ่อนกันได้ง่าย ๆ (ฮ่า ๆ)






อารมณ์อยากแกล้งของผมยังดำเนินต่อไปจนถึงก่อนเวลาอาหารเย็น 

ตอนที่เรากำลังเตรียมตั้งโต๊ะกันอยู่ คุณย่าเป็นผู้ใหญ่ที่ใส่ใจลูกหลานเสมอ

แถมยังเป็นคนที่ช่างสังเกตอีกด้วย

ผมทำไม่รู้ไม่ชี้ ตอนที่คุณย่าถามว่า ทะเลาะกันเรื่องอะไร แต่พี่นิวเป็นคนตอบว่าเปล่า

“แล้วมีอะไร ทำไมไม่คุยกัน”

“นูเขาไม่คุยกับผมนี่ครับย่า”

“อ้าว.....แล้วเราล่ะ มีอะไรทำไมไม่คุยกับพี่เขา”

“ไม่มีอะไรครับคุณย่า”

“เออ.....แล้วนี่มันยังไงกันล่ะ บรรยากาศแบบนี้ ย่ากินข้าวไม่ลงหรอกนะ”

พี่นิวมองหน้าผม ส่งสัญญาณให้ผมรับผิดชอบ

กะว่าจะเล่นต่ออีกหน่อย ก็เลยต้องยอมแพ้ โดยที่พี่นิวเองก็คงไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วย

เพราะเกมนี้ก็อย่างที่บอก.....ผมรู้เรื่องอยู่คนเดียว (ฮ่า ๆ )
 
“ผมแกล้งพี่นิวเฉย ๆน่ะครับคุณย่า”

“แกล้งเรื่องอะไร”

ไม่ใช่คำถามของคุณย่าหรอกครับ

“ก็พี่นิวว่าผมก่อนอะ”

“พี่ว่าอะไรนู ตอนไหน”

“ที่พี่นิวร้องเพลงไง”

“ร้องเพลงอะไร นูนี่พูดอะไรไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

พี่นิวหน้างอง้ำอย่างตลกอะ นึกดูก็น่าสงสารนะครับ

เขาเป็นคนซื่อ ๆ ที่มักจะถูกผมแกล้งอำเป็นประจำ

“ก็ที่บอกว่า ฉันเปล่าชวนนะ เขามาเองไง ว่าผมใช่ไหมล่ะ”

“เพลงอะไร พี่นิวร้องเพลงเป็นด้วยเหรอ”

คุณย่าถามยิ้ม ๆ  เป็นที่รู้กันครับว่า พี่นิวเป็นคนที่ร้องเพลงไม่ได้เรื่องที่สุดในครอบครัว 

มีการรวมญาติครั้งใด ถ้ามีคาราโอเกะล่ะก็ ไม่มีใครให้พี่นิวได้จับไมค์เลยครับ

....เหนื่อยฟัง!

“เปล่าซะหน่อยย่าอะ ผมร้องแกล้งนูเฉย ๆ ต่างหาก”

“นั่นไง....รับออกมาแล้วสิว่า พี่นิวแกล้งผมน่ะ โดนผมแกล้งคืนบ้างเป็นไงล่ะ”

ผมหัวเราะส่งท้ายใส่พี่นิวบ้าง แล้วก็หันไปตักข้าวใส่จานให้คุณย่า ตามด้วยจานของพี่นิว

และตัวเองเป็นคนสุดท้าย....บรรยากาศอาหารเย็นเริ่มครึกครื้น คุณย่าก็พลอยยิ้มแย้มไปด้วย

“เอาเหอะ ๆ หายกันก็ได้....จำเอาไว้เลย”

พี่นิวยกช้อนชี้หน้าผมอย่างไม่จริงจัง แต่โดนมือพิฆาตของคุณย่าตะปบจนต้องสงบลง

“เสียมารยาทจริง ๆ พี่นิว ใช้ช้อนชี้หน้าน้องได้ยังไง..ฮึ”

“ขอโทษครับย่า”

คงเหลือแต่สายตาอาฆาตเบา ๆ .....แค่นี้มีหรือ ที่คนอย่างนายนูจะกลัว





****
จัดหน้ายากชะมัดเลยครับ อยากให้มันโปร่งสบายตา อ่านง่าย ๆ

ตอนนี้เลยชักจะเมื่อยมือ ขอพักแพ็พ.....

ถ้าไม่ดึกจนเกินไป คืนนี้จะมาลงอีกนิดนึงนะครับ

กินข้าวกันรึยัง.....ไปกินกับเรามั้ยครับ

วันนี้มีปลาทูสดย่าง+น้ำปลาพริกมะนาว ต้มกะทิหน่อไม้ ของโปรดผม

กินสองคน กับข้าวสองอย่างพอแล้ว ประหยัด ๆ กันหน่อยครับ


 :bye2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-07-2014 19:59:09 โดย NuNew »

ออฟไลน์ Yarkrak

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
น่ารักเนาะ คุณย่าน่ารักมากๆ  :mew1:

ผ่านอุปสรรคไปแล้ว ขอให้น้องนูกับพี่นิวใช้ชีวิตคู่อย่างมีความสุขรักกันตลอดไป

 :pig3:


ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
คุณย่าไฟเขียวก็สบายแล้ว  :mew1:

ออฟไลน์ heroza

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
น่ารักจริงๆเลยนะ~

พอพูดถึงเมื่อก่อนแล้วคิดถึงจัง ท่าทางต้องกลับไปหาหนุ่มๆวัยละอ่อนอีกครั้ง :mew1:

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
อิ่มสุข


อิอิ

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
อ่านไปยิ้มไป แก้มแทบปริ
คุณย่ารักพี่นิวมากเลยนะ
พยายามเข้าใจมากที่สุด

ออฟไลน์ nokkaling

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 941
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4

NuNew

  • บุคคลทั่วไป
   

ขอโทษที่หายไปนานหลายเดือนนะครับ

แต่ไม่เคยลืมว่าผมทิ้งอะไรเอาไว้แถวนี้

เอาล่ะครับ ไม่คิดจะแก้ตัวกันล่ะ ใครอยากจะลงโทษผมสถานใด

ผมจะยอมแต่โดยดี


....***ความเดิมตอนที่แล้ว..............ผมก็ลืม  :really2:  เอาตอนนี้มาลงก็ต้องไล่เรียงกันสักพักเหมือนกัน

ใครที่ลืมก็อ่านย้อนทวนกันนิดนึงก็ดีครับ เพื่อความต่อเนื่องของเรื่องราว ตอนนี้ออกจะยาวสักหน่อย

และผมเองก็ไม่คิดจะตัดแบ่งเป็นตอน ๆ ตามนิสัยเดิมนะครับ ตั้งชื่อตอนก็ไม่เป็น แบ่งตอนก็ไม่เป็น

ได้แต่เขียนไปเรื่อย ๆ ตามเหตุการณ์ เหมือนไดอารี่นั่นแหละ

เพราะอย่างที่เคยบอกว่า มันก็คือไดอารี่ของผมนี่เอง







           คืนนี้คงต้องเข้านอนเร็วหน่อย พรุ่งนี้เป็นวันจันทร์ วันแรกของสัปดาห์

ใคร ๆ ก็รู้ว่าที่ธนาคารจะยุ่งมาก แต่ก็นั่นแหละครับ มันแค่ช่วงแรกตอนประตูที่ทำการเปิดเท่านั้นเอง

หลังจากนั้น ก็ซาไป จนกว่าจะได้เวลาใกล้ปิดทำการ คราวนี้ล่ะพระคุณเจ้า..........มาจากไหนกันนักหนาเนี่ย

  แปลกนะครับ ผมทำงานมาหลายปี วัฏจักรมันเป็นอย่างนี้จริง ๆ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง



             ผมนุ่งผ้าขนหนูทั้งที่ตัวยังฉ่ำไปด้วยหยดน้ำให้ความรู้สึกเย็นสบายดี

เดินออกจากห้องน้ำมาก็พบคนบางคน นั่งรออยู่ที่ขอบเตียงเรียบร้อยแล้ว

   ผมเลิกคิ้วแกล้งทำท่าแปลกใจ ล้อหลอกพี่นิว ทั้งที่รู้น่ะแหละว่าเขาคงยังงอนผมอยู่

แต่นอกจากเขาจะไม่ยอมเล่นด้วยแล้ว ยังไม่มีอารมณ์ขันอีก

ตาขุ่น ๆ มองตามผมเดินไปมาอยู่ในห้อง จนกระทั่งแต่งตัวเสร็จ ก็ยังไม่ยอมพูดจา

.....รู้งี้แกล้งทำเป็นผ้าหลุดเสียก็ดี ดูสิว่า จะนั่งตีหน้าขรึมอยู่อีกไหม

   “ไม่ง่วงเหรอครับพี่นิว  ผมจะเข้านอนแล้วนะ พรุ่งนี้คงยุ่งแต่เช้าอะ”

   “อย่ามาไก๋ตีหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราวนะ”

   “โหย....อะไรเนี่ย ยังโกรธผมอยู่เหรอ”

   “โกรธที่ไหน พี่ไม่ได้โกรธเลย”

   นั่นไง....เอานิสัยชอบเอาคืนมาจากไหนกันนะ

   “เอาน่า....ขำ ๆ นะครับพี่นิว ล้อเล่นนิดเดียวเอง ทำเป็นจริงเป็นจังไปได้

ทีพี่นิวหลอกด่าผม ผมยังไม่โกรธเลยน้า”

   “ใช่...ไม่โกรธ ไม่งอน แต่แกล้งอำพี่ได้ตลอด  นี่ถ้าย่าไม่พูดขึ้นมา

พี่จะได้รู้ไหมน่ะ ว่าโดนนูแกล้ง”

   ผมอยากจะหัวเราะดัง ๆ จริง ๆนะ เวลาที่พี่นิวเขายอมรับว่า รู้ไม่ทันว่ากำลังโดนผมแกล้งอยู่

ผู้ชายตัวโต ๆ หน้ามู่ทู่ ที่นั่งอยู่บนเตียงผมเนี่ย มันน่าดูเอ็น....เอ๊ย ...น่าเอ็นดูเสียจริง ๆ นะครับ

   สงสัยต้องปลอบใจกันหน่อยแล้วสิ

   ผมเดินไปชิดขอบเตียง ตรงที่พี่นิวนั่ง เข้าไปยืนตรงกลางระหว่างขาแล้วโอบไปรอบคอ

จุ๊บหน้าผากโหนก ที่นับวันมันเหมือนจะกว้างขึ้นทุกที

   “แหม.....รักหรอกนะครับ ถึงได้ล้อเล่นแบบนี้น่ะ”

   “แล้วทีพี่ล้อเล่นบ้างทำไมถึงได้แกล้งทำเป็นโกรธล่ะ”

   “ก็นะ.....แกล้งพี่นิวน่ะสนุกจะตายไปนี่ครับ ฮ่า ๆ”

   ชะรอยเสียงหัวเราะของผมคงจะฟังดูน่าหมั่นไส้ไม่น้อย

พี่นิวแยกเขี้ยวใส่แล้วก็จับผมเหวี่ยงลงบนเตียงอย่างไม่มีออมมือกันเลย

....อย่าคิดว่าผมจะโกรธตอบนะครับ....นาน ๆ จะได้เล่นอะไรแรง ๆ มัน ๆ แบบนี้ 

โดนพี่นิวเหวี่ยงลงมา ผมก็ถือโอกาส “ต่อสู้” สิครับ

   พักเดียวเท่านั้นแหละ.......พี่นิวก็ตัวอ่อน

   ก็จะไม่ให้อ่อนยังไงไหวล่ะครับ  พี่นิวจะฟัดก็ฟัดไป ส่วนผมได้โอกาสก็ทั้งลูบ ทั้งล้วง

ได้ทีผมก็ค่อย ๆ ลอกคราบเขาออกทีละชิ้น

ส่วนผมเสื้อผ้าที่อุตส่าห์สวมเสร็จตะกี้ก็ร่วงหลุดไปด้วยฝีมือของพี่นิวเช่นเดียวกัน

ร่างกายเราเสียดสีกันอย่างเมามันไม่เท่าไร ก็สปาร์คสิครับคราวนี้

   ไอ้ที่บอกไว้ว่า ถ้าคุณย่ายังอยู่ในบ้าน เราจะไม่ทำอะไรที่ถือเป็นการแสดงความไม่เคารพ

ตอนนี้ไม่ต้องไปพูดถึงแล้วครับ พอกิเลสมาปัญญาก็หายหมดจริง ๆ

   “ไหนใครบอกว่ามีแฟนเป็นเด็ก ม.4 ไง แล้วมายุ่งกับผมทำไมเนี่ย”

   “ก็ใช่น่ะสิ เด็กม.4 ที่แสบสุด ๆ เลย ยั่วเก่งเป็นที่หนึ่ง”

   ผมหัวเราะขำคิก เถียงเขาไม่ได้สักคำ  ผมก็ยอมรับล่ะว่า ออกจะจุดไฟติดง่าย

แล้วมิหนำซ้ำ ถ้าผมเห็นพี่นิวในสภาพล่อแหลม มันก็เหมือนยิ่งกระพือให้ไฟมันโหมแรงขึ้นทุกที

   “แล้วเด็ก ม.6 ซื่อบื้อ ก็หลวมตัวจนได้ใช่ไหมล่ะ”

   “ว่าพี่ซื่อบื้อเหรอ นี่แน่ะ ๆ เอาให้ร้องครางเป็นลูกแมวเลย”

   “เอาเล้ย รออยู่เนี่ย”

   เสียงตึงตัง โครมคราม คงไปรบกวนคุณย่าที่อยู่ในห้องใหญ่

คุณย่าก็เลยมายืนตบประตูปัง ๆ อยู่ที่หน้าห้องผม

พี่นิวรีบขยับเอวกางเกงนอน ติดกระดุมเสื้อให้เรียบร้อยก่อนจะไปเปิดประตู

ส่วนผมวิ่งไปแอบในห้องน้ำเรียบร้อยแล้วครับ

   “พี่นิว นู ทำอะไรกันเสียงดังดึก ๆ ดื่น ๆ”

   “ไม่มีอะไรหรอกย่า เราเล่นกันเสียงดังไปหน่อยน่ะครับ”

   “แล้วไหนน้อง อยู่ไหน”

   “แปรงฟันอยู่ในห้องน้ำครับ คงเตรียมตัวนอนแล้วล่ะ”

   “เออ....พี่นิวก็ไปนอนซะบ้างไปลูกไป อะไรกัน ดึกดื่นป่านนี้แล้วยังมาชวนกันเล่นตึงตังอยู่ได้

พรุ่งนี้ก็ทำงานกันอีกไม่ใช่หรือไง”

   คุณย่าเดินบ่นกลับไปที่ห้องนอนตัวเอง ส่วนพี่นิวก็รีบงับบานประตู แล้วเดินมาจะแกล้งผมที่ห้องน้ำต่อ

   “อ้าว....แปรงฟันอยู่จริง ๆ เหรอเนี่ย”

   “อ๋มอัวไอ้เอียนอี้ (ผมกลัวไม่เนียนนี่)”

   แล้วค่ำคืนนี้ก็ผ่านไปด้วยดี พี่นิวแยกตัวกลับไปนอนที่ห้อง

ส่วนผมก็หมดอารมณ์แล้วครับ ได้เวลาก็ปิดไฟนอน

(คืนนี้.....อดอีกแบ๊วววววววว)


ออฟไลน์ sasaka8

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
สวัสดีค่ะน้องนู จิ้มๆ^^ทันมั้ยอ่ะ อิอิ
ชอบเรื่องนี้มากๆเลย มาต่อเรื่อยๆนะคะรอๆ
ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ ทั้งน้องนูและพี่นิว
ขอให้รักกันตลอดไปนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
ขอบคุณที่เขียนเรื่องให้อ่านนะคะชอบมากๆเลย :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Yarkrak

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
ว้า! ยังไม่ทันรู้เรื่องก็จบแล้ว

อีกนานไหมเนี่ยที่จะมาต่อตอนต่อไปอ่ะ

พี่นิวน่ารักเนาะ  :mew4:

รักแล้วรักเลยและขอให้รักกันตลอดไปจ้า

 :mew1:

รอตอนต่อไป

ออฟไลน์ gang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 144
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
คิดถึงจังเลย ครับ ไม่ได้มาอ่านนานมาก  ยังไงก็ ขอให้มีความสูขตลอดไปนะ  อิจฉาจัง :mew1:

ออฟไลน์ mori406

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เครียดค่าาาา   :katai1:

ค้างกับพี่กวินมากค่ะ 

อย่าทำให้น้องเอย เสียใจนะคะ   :ling1:

ไม่งั้น พี่กวินจะโดน  o18

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
โหหหห นูมาต่อตอนใหม่ตั้งนานแล้ว
แต่พี่ไม่เห็นอ่ะ เพิ่งจะเห็น เลยเพิ่งจะได้อ่าน
นูคนขี้แกล้ง กับพี่นิวคนซื่อ (บื้อ) น่ารักกันจริงๆ

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1912
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
เอ่อ...คือว่าพึ่งจะเข้ามาอ่านค่ะ แค่เกริ่นนำนี่ก็เหมือนจะดราม่า
นี่เลยยังอ่านไม่เกินห้าบรรทัดเลย งั้นขอทำใจก่อนอ่านแล้วกันนะคะ
เหอะๆถ้าทำใจได้ก็มาอ่านต่ออ่ะค่ะ

ออฟไลน์ Yarkrak

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3

ออฟไลน์ Yarkrak

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3

ออฟไลน์ nin@

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
อ่านแล้วหน่วงเป็นพักๆ มาช่วงหลัง..สถานการณ์ดีขึ้น ค่อยหายใจหายคอออก

ขอให้มีความสุขมากๆในชีวิตนะคะ คุณนูกับคุณนิว

เอาใจช่วยค่ะ ขอให้ชีวิตรักมีแต่ความสดใส  อุปสรรคใดๆที่เคยมีมา ก็ขอให้คลี่คลายมลายหายไป มีแต่ความสุขในชีวิตรักยิ่งๆขึ้นไปค่ะ   :L2:

จะรออ่านไดอารี่เรื่อยๆนะคะ  :mew1:



ออฟไลน์ desiderata

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อ่านเรื่องนี้แล้ว น้ำตาไหลแทบเต็มโอ่ง  :sad4:
ขนาดรู้ทั้งรู้นะ ว่าจบแฮปปี้แน่ๆ แต่ก็ไม่วายเผลออิน โดยเฉพาะช่วงนิวไปต่างประเทศอะ

แต่ยังไง คิดว่าปัจจุบันนี้ นูก็คงมีความสุขดีเนาะ เฮ้อ อ่านจบละ หายเศร้าละ ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ นะคะ  :pig4:

ออฟไลน์ Yarkrak

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
คิดถึงพี่นิว&น้องนู

 :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ cartoons

  • "ละอองกอ"
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-2
อร๊ายยยยย กรี๊ส 10 ตลบ อ่าน 2 วันติดไม่หลับไม่นอนเลยค่ะขุ่นพี่นูขา ลุ้นมาก ทั้งอบอุ่น ทั้งเศร้าเคร้าน้ำตา ทั้งอมยิ้ม ทั้งแอบงึดในใจ โอยยย หลากหลายอารมณ์ มากค้ะ

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆของพี่ทั้ง 2 คนนะคะ ถือเปนคู่ตัวอย่างสำหรับ"รักคือการให้อภัย"จริงๆ
ขอให้คุณพี่นูกะพี่นิวรักกันนานๆ มีความสุขกันตลอดไปนะคะ

อ่านถึงตอน msn คิดถึงตัวเองเลย แบบตอนนั้นฮิตมาก การได้คุยกับคนแต่งนิยายหรือคนที่เอาประสบการณ์มาเล่านี่แบบ ตื่นเต้นมาก ได้คุยทีนี่กรี๊สสลบ อย่างกะคนบ้า 5555
เสียดายที่ไม่ได้คุยกะพี่นูช่วงนั้นเนาะ ถึงตอนนี้ถ้าพี่นูยังอยากได้น้องอีกสักคนก็คุยกะหนูได้นะคะ(รออยู่ คึคึ)
แต่บอกเลยว่ามันให้ความรู้สึกประสบการณ์ที่ดีมากๆเลย เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่คุยกันจากตอนนั้น ที่คบกันมาจนถึงตอนนี้ก็เยอะหลายคน

สุดท้ายนี้รออ่านตอนต่อไปอีกเรื่อยๆนะคะ  :-[

ออฟไลน์ Yarkrak

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
 :HBD4:

สุขสันต์วันเกิดครับน้องนู แก่ขึ้นมาอีกป้แล้วนะครับ
คิด หวังสิ่งใดในสิ่งที่ดีงามขอให้ได้สมดังความมุ่งมาดปรายรถนา
มีสุขภาพแข็งแรง ร่ำรวยๆนะครับ

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
ขอบคุณคุณนูที่ได้แบ่งปันเรื่องราวๆดีๆนี้ค่ะ
ร้องไห้ไปหลายตอนเลย T_T
ต่อไปไม่ว่าจะมีอุปสรรคใดๆเข้ามาอีก
ขอให้ร่วมกันฝ่าฟันไปนะคะ ^^

ออฟไลน์ NuNew

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-2
 :hao7:


ผมหานิยายของตัวเองไม่เจอ
ต้องถาม Google อะครับ....งงงเว่ย
ผมก็ไม่เคยแจ้งให้ย้ายนะ
หรือเป็นเพราะชื่อกระทูัมันฟ้องตัวเอง 5555
ช่างมันครับ ไหน ๆ ไดอารี่ของผมก็จะปิดวันนี้แล้วเหมือนกัน

 :mew2:


อีกสักพักผมจะมาลงตอนสุดท้ายนะครับ

แล้วเจอกันครับ

ออฟไลน์ NuNew

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-2


สวัสดีครับ....หลังจากที่หายไปนานแสนนาน

บางคนคิดว่าผมคงทิ้งไปเลย  แต่ไม่นะ....คนชื่อ นู (พยายาม) รักษาสัญญาเสมอครับ

ก็จะบอกกล่าวให้ทราบกันก่อนอ่านเลยว่า ตอนนี้มันยาวมากกกกกก

และผมก็ลงมันเป็นตอนสุดท้ายแล้ว

ไดอารี่เล่มนี้ปิดลงแล้วนะครับ

อย่างที่เคยบอกไว้เมื่อตอนก่อนหน้านี้ (ตอนไหนสักตอนนึงล่ะ)

ว่าผมจะจบมันไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ถึงได้ตั้งชื่อตอนว่า “SERIES ที่ลงเอย”
 
แต่บังเอิญตอนนั้นมันมีประเด็นใหม่ขึ้นมา ผมก็เลยเอามาขยายให้ฟังกันต่อ ทำให้จบไม่ลงซะที 

ซึ่งครั้งนั้นที่พูดไว้ ผมก็ไม่เคยนึกว่า มันจะลงเอยแบบนี้ แบบที่มันดีเกินจะฝันถึง

เลยถือโอกาสให้มัน แฮปปี้เอนดิ้ง เหมือนนิยายเจ้าชายเจ้าชาย (ไม่ผิดครับ ไม่ใช่เจ้าชายเจ้าหญิง อย่างที่คิด)

หลังจากที่ไดอารี่เล่มนี้ปิดลง ผมก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีก ชีวิตมันจะผกผันต่อไปยังไง ก็ไม่มีใครคาดเดาได้

……What lies in the future is a mystery to us all
No one can predict the wheel of fortune as it falls...
(Goodbye to Love :The Carpenters)

แต่ชีวิตทุกวันนี้มีความสุขดีกับคนที่เรารัก และรักเรา ผมว่ามันคุ้มค่ามากแล้วสำหรับตัวเอง

....ชีวิตดี๊ดี.....


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-10-2015 16:33:07 โดย NuNew »

ออฟไลน์ NuNew

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-2


Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย


        เป็นเวลาเกือบปี ที่คุณพ่อคุณแม่ของพี่นิวไม่ได้กลับมาบ้านเลย แต่เราก็ไมได้ห่วงอะไรมากมาย

เพราะไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ท่านก็โทรมาคุยเป็นระยะ ๆ ให้เรารู้ว่าท่านสบายดี

         กว่าเราจะพร้อมหน้ากัน เมื่อนั้นก็ใกล้จะถึงเทศกาลทำบุญประจำปีของตระกูลพี่นิว

ซึ่งก็ใกล้เคียงกับวันเชงเม้งของครอบครัวผม และผมก็คงจะกลับไปร่วมงานที่บ้าน 

ส่วนบ้านพี่นิวก็เตรียมตัวไปบ้านใหญ่ที่ต่างจังหวัด  แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น

ผมก็ถูกซักถามถึงหน้าที่การงาน จนแทบจะเรียกได้ว่าซักฟอก

ด้วยความห่วงใยจากคุณพ่อและคุณแม่

“เป็นไงเรา หน้าที่การงานไปถึงไหนแล้ว”

“ไม่ถึงไหนหรอกครับพ่อ รายนี้ขี้เกียจจะตาย”

       คนที่ไม่มีใครถามกลับเป็นคนตอบแทนผม....ก็....ตามนั้นแหละครับ

       ก็ไม่รู้สินะ......ยิ่งทำงานไปนาน ๆเข้า ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเมินเฉยต่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงานขึ้นทุกวัน

“ที่ทำงานมีขั้นตอนการเลื่อนตำแหน่งยังไงเหรอลูก”

      จากที่นั่งอยู่บนโซฟาเหยียดขาตามสบายเมื่อครู่ คุณพ่อก็ขยับตัวนั่งตรง แสดงถึงความใส่ใจอย่างจริงจัง

ตั้งคำถามเอาตรง ๆ แบบนี้ ดูท่าท่านคงจะรู้สึกกังวลกับตำแหน่งงานของผมอยู่ไม่น้อย

อาจจะเป็นเพราะผมนั่งตำแหน่งนี้มาหลายปีแล้ว  เพื่อนพนักงานที่สอบเข้าทำงานได้พร้อม ๆ กับผม

หลายคนกำลังสอบตำแหน่งผู้จัดการกันด้วยซ้ำไป  แต่เรื่องของเป้าหมายในชีวิต ของใครก็ของคนนั้น

จะให้เหมือนกันก็คงเป็นไปไม่ได้

 “ก็......เมื่อก่อนจะมีสอบแบบ e-learning* ครับ สอบผ่านขั้นต้นเมื่อไร

ก็เสนอชื่อเลื่อนเป็นผู้มีอำนาจลงนามตามลำดับไป”

(*e-learning เป็นระบบงานที่ออกแบบมาเพื่อให้พนักงานศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง ผ่านระบบเครือข่าย ของธนาคาร ซึ่งมีการเปิดสนามสอบปีละ 2-3 ครั้ง ให้พนักงานที่รักความก้าวหน้าได้ลงสมัคร โดยจัดหมวดหมู่ของวิชาที่ใช้สอบไว้เป็นชุด ๆ สอบผ่านแต่ละชุด ก็สามารถปรับตำแหน่งขึ้นไปทีละระดับ ข้อสอบก็ทำผ่านคอมพิวเตอร์ที่เราใช้ทำงานประจำวันกันนั่นแหละครับ แต่ในวัน-เวลาที่สอบ ซึ่งเป็นวันเสาร์-อาทิตย์ จะทำการล็อคหน้าจอไม่ให้เราเข้าไปสืบค้นคำตอบในระบบงานได้)


“แล้วเราผ่านหรือยัง”

“ผ่านแล้วครับ”

“ถึงระดับไหนแล้วล่ะ”

“ผ่านระดับรองผู้จัดการแล้วครับ”

“แล้วยังไม่ปรับตำแหน่งให้หรือยังไง”

“ถ้ามีการเปิดสอบสัมภาษณ์ตำแหน่งรองผู้จัดการ ผมก็มีสิทธิ์ยื่นใบสมัครเข้ารับการพิจารณาครับ”

       ตอนนี้ถ้าจะเทียบตำแหน่งทางบัญชี ผมก็คงเป็นผู้ช่วยสมุห์บัญชีน่ะแหละ

แต่ชื่อมันอลังการจนเกินหน้าเกินตาไปเยอะครับ เพราะว่า นอกจากตำแหน่งจะมีชื่อเรียกเฉพาะแล้ว

ยังมีการแบ่งชั้นวรรณะ ว่าใครเหนือกว่าใครด้วยการเติมคำว่า “อาวุโส” ห้อยท้ายไว้อีกต่างหาก

“มีโอกาสไหมลูก”

     ผมเหลือบไปมองพี่นิวที่ทำหูผึ่งรอฟังอยู่ข้าง ๆ

“มีครับ แต่ว่า....”

“แต่เขาไม่สอบครับพ่อ”

“อ้าว..../เอ๊อ....”

       ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ อุทานพร้อมกัน สายตาสามคู่พุ่งมาที่เป้าหมายเดียวคือ ผม

จากนั้นก็มีคำถามว่า “ทำไม” เหมือนอีกหลาย ๆ คนที่สงสัย

“ไม่ใช่ว่าผมไม่รักความก้าวหน้านะครับคุณพ่อคุณแม่”

       ไม่ว่าจะกี่คนที่ถาม จะกี่ปีที่ผ่านไป ผมก็จะมีเหตุผลเดียวที่บอกใครต่อใครได้ 

ซึ่งแน่ล่ะ  ผมคงไม่กล้าบอกคนอื่น ๆถึงเหตุผลที่แท้จริงอยู่แล้ว

        มันน้ำเน่าเกินไปถ้าใครได้ฟัง......แต่.....

        มันสำคัญตรงที่บอกใครไม่ได้มากกว่า

“ตำแหน่งรองผู้จัดการมันมีแค่ตำแหน่งเดียวในแต่ละสาขาน่ะครับ ถ้าผมได้เลื่อนขึ้นไปจริง ๆ

ก็อาจจะต้องโยกย้ายไปที่อื่นที่มีอัตราว่าง แม้แต่ต่างจังหวัดที่ไกลออกไป ผมก็ต้องย้ายไปตามคำสั่ง

เพราะสาขาที่ตั้งอยู่ในเมืองที่เจริญอย่างบ้านเรา คนที่เขามีผู้ใหญ่สนับสนุนก็คงจะวางตัวไว้หมดแล้ว”

“แล้วคิดว่าพ่อไม่มี?”

      พี่นิวหันขวับ ไปทางเจ้าของเสียงทันทีที่ท่านพูดจบ

“พ่อรู้จักใครเหรอครับ”

“มันก็มีบ้าง”

คุณพ่อลากเสียงยาวด้วยน้ำเสียงเอื่อย ๆ เหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรกับ สิ่งที่เรียกว่า “เส้นสาย”

“แต่ผมไม่ได้ใช้เส้นสายนะครับ จะว่าไปผมเองก็ไม่ได้ขยันอย่างที่พี่นิวพูดน่ะแหละ”

“อย่างนูนี่ ไม่เรียกว่า ไม่ขยันนะ เรียกว่า ขี้เกียจเลยจะถูกกว่า”

        .....แหม่.....พี่นิวครับ..........ถ้าไม่คิดจะเข้าข้าง ก็อย่าเหยียบย่ำซ้ำเติมได้ไหมครับ.....

ถ้าไม่ติดว่ารักมากนะ ผมได้ออกแรงฟาดฟันคนบางคนแถวนี้ไปแล้ว

“งั้นเราก็ย้ายไปรับตำแหน่ง จะที่ไหนก็ช่าง ไม่ว่าช้าหรือเร็วก็ต้องได้ย้ายกลับมาอยู่ดี

พ่อเชื่อว่านโยบายของธนาคารก็คงอยากจะให้พนักงานอยู่ในท้องถิ่นบ้านเกิดมากกว่า”

“แต่มันไม่มีจุดหมายนี่ครับ จะต้องรอไปถึงเมื่อไรถึงจะได้ย้ายกลับมาก็ไม่รู้ ผมมีคนที่ต้องห่วงใยตั้งหลายคน

พ่อกับแม่ก็อายุมากขึ้นทุกวัน เขาก็คงไม่อยากให้ผมห่างหูห่างตาไปไหนไกล ๆ

ถึงแม้ว่าทุกวันนี้เราจะไม่ได้อยู่บ้านเดียวกัน คิดถึงขึ้นมา อยากจะไปหาเมื่อไรก็ได้

อีกอย่างหนึ่งผมดูตัวอย่างจากรุ่นพี่ที่ย้ายไปรับตำแหน่งที่อื่น หลายคนแทบจะไม่มีโอกาส

ได้กลับบ้านเกิดเลยจนเกษียณ ซึ่งผมคงรอเวลานานขนาดนั้นไม่ได้ ผมเองก็ไม่ได้เก่งกาจ

จนถึงกับสามารถเรียกร้องหรือต่อรองกับเจ้านายให้ได้ตามความต้องการของตัวเอง

เพราะงั้น เรื่องจะเล่นเส้นให้ได้ย้ายกลับ มันคงเป็นไปไม่ได้ 

แต่พูดจริง ๆ ผมเองก็ไม่ได้อยากย้ายไปไหน พอ ๆ กับที่ไม่อยากใช้เส้นสาย

ในการขยับตำแหน่งนั่นแหละครับ แค่ได้เข้ามาทำงานด้วยเส้นสาย ก็เรียกว่าโชคดีมากแล้ว”

“มีแต่คนที่เขาทะเยอทะยาน อยากจะไต่เต้าให้มีตำแหน่งสูง ๆ กันทั้งนั้นแหละ

มีแต่เราล่ะมั้งที่สวนกระแสอย่างนี้”

      คุณพ่อเปรยขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจ สายตายังจับจ้องอยู่ที่ผม

ส่วนคุณแม่ก็นั่งอยู่ข้างคุณพ่อบนโซฟาตรงกันข้ามกับเราสองคน มือของคุณพ่อกุมมือคุณแม่ไว้หลวม ๆ

เหมือนเป็นความเคยชิน ผมเหลือบตามองดูแล้วอยากจะยิ้ม แต่ที่ทำไปก็เพียงมอง

แล้วนึกถึงตัวเองในวันหนึ่งข้างหน้า ที่ผมจะได้อยู่เคียงข้างพี่นิว และกอบกุมมือกันไว้แบบนี้บ้าง

“เหตุผลที่ผมไม่สอบเลื่อนตำแหน่งอย่างที่บอกไปแล้วมันก็ใช่อยู่ครับ แต่มันก็ยังมีเหตุผลอื่นอีกข้อ”

 ……..เหตุผลที่บอกใครไม่ได้

     แต่สำหรับครอบครัวซึ่งรู้สถานภาพระหว่างผมกับพี่นิวดีอยู่แล้ว

ซ้ำยังเป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างไม่เป็นทางการผมคงไม่จำเป็นต้องปิดบัง

เพียงแต่ผมลังเลว่าจะพูดต่อไปยังไงดี อยู่ ๆ จะโพล่งออกไป ผมก็ออกจะกระดากอยู่เหมือนกัน

“ไหนลองว่ามาซิ ไอ้เหตุผลที่ว่านั่นน่ะ ดูท่าว่ามันจะสำคัญสินะ”

     ผมจ้องหน้าคนที่ยังไม่ละสายตาไปจากผมตั้งแต่โดนคุณพ่อยิงคำถามแรก ๆ

     ในขณะที่พี่นิวขยันเหน็บแนมผมตลอดการสนทนา แต่แววตาที่มองมาก็ยังอบอุ่นและเปี่ยมไปด้วยกำลังใจ

อย่างที่ผมเคยได้รับเสมอมาในเวลาที่ผมต้องการ  เขารู้ดีทีเดียวล่ะว่า เหตุผลที่แท้จริงคืออะไร

แม้ว่าผมจะไม่เคยบอกเขาออกมาตรง ๆ ก็ตาม

“สำหรับใครหลายคนอาจจะยอมแลกอะไรหลายอย่างได้ เพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน

 แต่สำหรับผมแล้ว  ถ้ามันต้องแลกกับความสุข ผมก็ขอปฏิเสธ.....หลายปีที่ผ่านมา

ผมได้อยู่ในบ้านนี้อย่างสมาชิกคนหนึ่ง  เหมือนเป็นลูกอีกคนหนึ่ง

ผมรู้สึกเป็นหนี้คุณพ่อคุณแม่มากเหลือเกิน ไม่ว่าจะสุขจะทุกข์

ก็คอยช่วยเหลือประคับประคองราวกับลูกแท้ ๆ  ผมคิดอยู่เสมอว่า

หากมีอะไรที่ผมสามารถตอบแทนได้ ผมก็พร้อมจะทำทันที

......ยิ่งสิ่งนั้นจะทำให้คนที่เรารักมีความสุข ผมก็ยิ่งเต็มใจ”

       ผมหันไปมองพี่นิว......คนที่ผมรักที่สุดทั้งชีวิตก็คือคน ๆนี้.....

ลูกชายอันเป็นที่รักเพียงคนเดียวของบ้าน  เพียงแค่ผมทำให้คนที่ผมรักมีความสุข

 ก็เท่ากับได้ตอบแทนพระคุณของคุณพ่อคุณแม่ไปด้วยแล้ว

  “เพราะพี่นิวเป็นลูกชายคนเดียว แถมยังเป็นหลานคนโตของตระกูล

ทุกคนต่างก็ห่วงใยเขา ผมเองก็เหมือนกันครับ....ผมอยากจะดูแลเขา

อยากทำให้เขามีความสุข เพราะเมื่อไรที่เขามีความสุข ผมก็สุขไปด้วย”

      ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ จนผมได้ยินเพียงเสียงของตัวเองก้องไปมาอยู่ในห้องนั่งเล่น

รู้สึกตกใจจนต้องชะงักคำพูดไว้เพียงนั้น ก่อนจะพยายามรวบรวมคำพูดประโยคต่อไป ให้ตรงใจที่สุด

       คนที่ถูกกล่าวถึงยื่นมือมากุมมือของผมเอาไว้แล้วบีบเบา ๆ.....

      ผมสบตาเขาอีกครั้งเพื่อเรียกกำลังใจที่จะพูดต่อ
“ที่ผ่านมา ด้วยวัยและการไม่ยอมรับความรู้สึกของตัวเอง ทำให้เราต่างก็เสียเวลาไปนานหลายปี

ผมรู้ดีว่าช่วงเวลานั้นมันทุกข์ทรมานขนาดไหน  มาวันนี้ ผมไม่อยากให้เราต้องอยู่ในสภาพนั้นอีกแล้วครับ

ผม.....ไม่อยากแยกจากเขาไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ตาม........เพราะเขาเป็นคนสำคัญ.......

เป็นคนที่ผมอยากจะใช้เวลาที่เหลืออยู่กับเขาให้มากที่สุด.......ให้นานที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้

ตำแหน่งที่สูงขึ้น ความรับผิดชอบก็ต้องสูงตาม พร้อม ๆ กับภาระหน้าที่ ที่คงจะแบ่งเวลาของเราออกไปอีก

สิ่งที่ได้มา มันเทียบไม่ได้เลยกับคนที่สำคัญที่สุดสำหรับผม 

ใคร ๆ อาจจะมองว่ามันไร้สาระ แต่สำหรับผม.....ชีวิตที่ไม่มีพี่นิว ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้ยังไง”


         จบคำพูดยาว ๆ ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ....นิ่ง


        พี่นิวส่งยิ้มมาให้แทนคำขอบคุณ พร้อมกับบีบมือผมแน่นขึ้น

ผมเห็นน้ำใส ๆ คลออยู่ในหน่วยตาของเขา  ผมรู้ว่าเขารู้สึกซาบซึ้งกับความตั้งใจของผม

ที่จะทำเพื่อ “ความสุขของเรา”  แต่ยิ่งไปกว่านั้น พี่นิวยังไม่ลืมว่า

เราสองคนเสียเวลาไปมากเท่าไร กว่าจะมีวันนี้ได้


………………


 “ว่ายังไงแม่”

      คุณพ่อถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะหันไปถามคู่ชีวิตที่รอสบตาอยู่ข้าง ๆ

“ไม่ว่ายังไงค่ะพี่ใหญ่.......น้อยเข้าใจลูก”

       คุณแม่ตอบคุณพ่อไปด้วยรอยยิ้ม

“ก็.....นะ ถ้าเลือกแล้วว่า อย่างไหนมันดีสำหรับเรา

พ่อก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะฝืนใจให้นูต้องทำสิ่งที่ไม่ชอบเหมือนกัน

แล้วถ้าคิดว่าจะไม่เสียใจในวันหน้าที่จะไม่ได้ก้าวหน้าในหน้าที่การงานเหมือนเพื่อนฝูง

.....ก็ตามใจแล้วกัน”

       ผมยกมือไหว้ขอบคุณคุณพ่อและคุณแม่.....ขอบคุณที่ท่านเข้าใจ

และให้ความสำคัญกับการตัดสินใจของผม  อันที่จริง ผมซาบซึ้งดีอยู่แล้วว่า

ท่านทั้งสองมีเมตตาต่อผมมากเพียงไหน

“แม่ก็เดาไว้อยู่แล้วล่ะว่า เพราะลูกชายตัวดีของแม่ ทำให้นูไม่อยากไปไหน”

       คุณแม่เปรยยิ้ม ๆ แล้วมองไปที่ลูกชาย

“แม่พูดแบบนี้เหมือนผมเป็นตัวถ่วงความเจริญเลยนะครับเนี่ย”

        แล้วเสียงหัวเราะก็ลั่นครืน เปลี่ยนบรรยากาศจริงจังในห้องนั่งเล่นเมื่อครู่

ให้กลับมากรุ่นไปด้วยไออุ่นแบบครอบครัวเหมือนเดิม

“ที่จริง....แม่เคยอยากได้ลูกสาวนะ”

       คุณแม่โปรยยิ้มและหันมามองผม

“เพราะคิดว่าลูกสาวคงจะใกล้ชิดแม่ จะได้อยู่เป็นเพื่อนกัน

ก็อย่างที่นิวเคยพูดน่ะแหละว่าอยากมีน้อง แต่แม่ก็มีไม่ได้เพราะสุขภาพไม่แข็งแรง

ได้เขามาคนหนึ่งนี่ก็ลุ้นกันตั้งแต่รู้ตัวว่าท้องจนวันคลอดเลย”

       ผมเคยได้ยินญาติ ๆ ของพี่นิวพูดถึงเรื่องนี้มาบ้าง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้รับรู้โดยตรงจากปากคุณแม่

ถึงได้ตระหนักในความรักและความห่วงใยที่ท่านมีต่อลูกชาย รวมไปถึงการให้ความเข้าใจอย่างไม่มีข้อแม้

ซึ่งความเมตตาที่ผมได้รับจากท่านก็สืบเนื่องมาจากเหตุผลนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

“เพราะมีลูกคนเดียวก็เลยทำให้แม่ต้องห่วงยิ่งกว่าห่วง จะว่าหวงด้วยก็ได้

ยังเคยคิดอยู่ว่า ถ้าวันหนึ่งนิวต้องแยกออกไปมีครอบครัวของตัวเอง พ่อกับแม่จะทำยังไง

เราสองคนคงจะกลายเป็นตาแก่ยายแก่ที่เฝ้าบ้านอยู่อย่างเหงา ๆ

แล้วก็ทำได้แค่คอยเป็นห่วงอยู่ห่าง ๆ”

         คุณแม่เบนสายตาไปมองคุณพ่อแล้วยิ้ม เหมือนจะขอการสนับสนุน ซึ่งคุณพ่อก็ยิ้มรับ

“แม่อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ ผมไม่ทิ้งให้พ่อกับแม่เฝ้าบ้านตามลำพังหรอก”

“อ๋อ....ไม่มีทางหรอก เพราะพ่อกับแม่ชิงทิ้งเราซะก่อนแล้วไง ใครจะรอให้ถูกทิ้งกันละจ๊ะ”

       เสียงหัวเราะดัง ๆ จากทุกคนดังขึ้นอีกครั้ง ผมรู้สึกผ่อนคลายจนหมดความกังวลไปเลยว่า

ไม่ได้ถูกกดดันเรื่องหน้าที่การงานอีกแล้ว

“หลังจากพ่อกับแม่แต่งงานกันแล้ว เราสองคนก็อยากออกมาอยู่กันประสาครอบครัว

ถึงได้ซื้อบ้านหลังนี้ไว้ ก่อร่างสร้างตัวด้วยการเปิดกิจการของตัวเอง แต่ไม่ทันไร

พ่อเขาก็ต้องกลับไปช่วยงานที่บ้าน ทิ้งให้แม่เลี้ยงลูกทางนี้คนเดียว

พร้อมกับต้องดูแลกิจการของเราไปด้วย มันผิดไปจากฝันของเราสองคนมากทีเดียว

......สิ่งที่นูคิดและทำอยู่......แม่เข้าใจ และไม่ว่ายังไง แม่ก็ขอยืนยันว่านูเป็นลูกของพ่อกับแม่

เท่า ๆ กับพี่นิวนั่นแหละ เพราะฉะนั้นการตัดสินใจกับชีวิตของตัวเองขึ้นอยู่กับลูก

แม่จะยอมรับ และพร้อมจะสนับสนุนทุกทาง”

“ชะตาชีวิตนี่ก็แปลกนะลูก  บางคนกว่าจะมีกินมีใช้ จนได้เป็นเจ้าของกิจการเล็ก ๆ สักแห่ง

ก็ดิ้นรนกันแทบตาย  แต่บางคนกลับได้มันมาง่าย ๆ ทั้งที่ไม่เคยนึกยินดีในสิ่งเหล่านั้น

มากเกินไปกว่าความสุขของคนที่เรารัก”

        คุณพ่อผู้ซึ่งไม่ค่อยจะได้พูดเรื่องอื่นนอกจากเรื่องงาน อยู่ ๆ ก็เปรยขึ้นมา

“พ่อแต่งงานกับแม่ก็คิดแค่ว่าอยากสร้างครอบครัวเล็ก ๆ มีลูกสักคนสองคน

ทำมาหากินกันไป เราอาจจะมีต้นทุนมากกว่าคนอื่นอยู่บ้างก็จริง

แต่พ่อก็ไม่เคยมีเป้าหมายมากไปกว่าขอให้ได้อยู่กับครอบครัว

สร้างฐานะให้เป็นปึกแผ่นไม่ให้ลูกเมียต้องลำบาก

แต่สุดท้ายทุกอย่างมันก็ไม่ได้เป็นไปตามที่หวัง เพราะเราต้องรักษาความหวังของคนอื่น ๆ

ที่ไม่ว่ายังไงพ่อก็ทอดทิ้งไม่ได้ โดยเฉพาะย่าของลูก”

         คุณย่าที่พยายามพยุงกิจการของสามีมานานนับสิบปี

หลังจากที่ต้องอยู่คนเดียวอย่างผู้หญิงแกร่งคนหนึ่ง  ถึงแม้ว่าคุณปู่จะสิ้นไปตอนที่ลูก ๆ ทั้งสี่คนโตแล้ว

ภาระการเลี้ยงดูจึงไม่หนักหนาสากรรจ์เท่าไร แต่การจะบริหารกิจการที่หล่อเลี้ยงหลายชีวิตในครอบครัว

ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ใครจะนึกว่า ผู้หญิงคนเดียวจะทำอะไรได้มากมายเพียงนี้

ลูกที่ตัดช่องน้อยแต่พอตัว ไม่คิดจะแบ่งเบาภาระของผู้เป็นแม่คงได้ชื่อว่าเป็นลูกอกตัญญู

และหากคุณพ่อทำเช่นนั้น ผมเชื่อว่า คุณแม่ก็คงรู้สึกผิด

ที่ยอมให้คุณพ่อเลือกทางเดินที่เห็นแก่ตัว โดยไม่คิดจะทักท้วง

         แต่วันนี้ดูเหมือนจะเป็นคุณย่าเอง

ที่ยินยอมให้คุณพ่อปลีกตัวออกมาจากกิจการที่ดูแลรับผิดชอบมาตลอดเท่าอายุของพี่นิว

ถึงแม้ว่าคุณย่าจะไม่ได้เต็มใจ เพราะต้องโอนอ่อนผ่อนตามมติของคนอื่น ๆ อย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก

.....ด้วยวัยที่ร่วงโรยลงมากแล้ว

จิตใจของหญิงสูงวัยท่านนั้น คงล้าเกินกว่าจะแข็งขืน ดึงดันให้ทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการเหมือนที่ผ่านมา

...ท่านคงรู้ว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องวางมือเสียที



มีต่อนะครับ....ขอจัดหน้าก่อน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-10-2015 16:34:37 โดย NuNew »

ออฟไลน์ NuNew

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-2


“คิดอะไรไม่หลับไม่นอน......หือ”

     วงแขนที่อ้อมมารัดรอบลำตัวหลวม ๆ พร้อมกับคางที่เกยลงมาบนไหล่

ทำให้ผมต้องเบี่ยงหน้าไปหา พร้อมกับจรดปลายจมูกไปพอดีกับขมับของเขา

“คิดถึงทุก ๆ คน”

“เยอะไปไหมนั่น” พี่นิวหัวเราะเบา ๆ อย่างที่รู้ว่าผมพูดไปอย่างนั้นเอง

“ผมเป็นหนี้ครอบครัวพี่นิวมากจัง”

“หือ??”

       น้ำหนักบนไหล่หายไป ในขณะที่ใบหน้าหล่อ ๆ กับแววตาที่มีคำถามก็ยื่นเข้ามาจนชิด

       ผมมองไปในความมืดนอกตัวบ้านอย่างไม่มีจุดนำสายตา

เห็นเพียงแสงไฟวับแวมจากบ้านหลังอื่นในละแวกเดียวกัน เบื้องบนคือท้องฟ้าไร้ดาว

ในคืนที่มีแต่กลุ่มเมฆก้อนหนาเตรียมพร้อมที่จะกลั่นตัวเป็นหยดน้ำได้ทุกเมื่อ.....

บ่งบอกถึงฤดูกาลที่ไม่ค่อยปกติ ด้วยเป็นหน้าร้อนที่ร้อนเสียจนแทบลืมว่าฝนตกแล้วจะฉ่ำเย็นเช่นไร

         ที่ระเบียงห้องของเรา.......ที่เดิม ซึ่งผมหมั่นเปลี่ยนบรรยากาศด้วยการตกแต่งสวนเล็ก ๆ

และหาต้นไม้มาปลูกอยู่เรื่อยเมื่อว่างเว้นจากงานประจำอันหนักหน่วง ทำให้เราสองคนชอบที่จะมายืนคลอเคลีย

หนีความอุดอู้ในห้องนอนบ่อย ๆ  โดยเฉพาะในยามค่ำคืน ที่มีทั้งความมืด และแผงไม้เลื้อย

ช่วยบดบังเราสองคนจากสายตาคนภายนอก

“พูดแบบนี้คิดอะไรอยู่”

       พี่นิวถามต่อ เพราะผมนิ่งไปนาน.....ก็ไม่รู้จะพูดยังไงนี่นา

       ไม่รู้จริง ๆ ว่าผมจะใช้คำไหนดี ถึงจะแทนความรู้สึกตอนนี้ได้อย่างตรงความหมายที่สุด

“คิดหลายเรื่องเลยครับ”

“ยกมาสักเรื่องซิ พี่อยากฟัง”

          เอาเข้าจริงผมก็ไม่รู้จะเริ่มต้นที่ตรงไหน  อาจจะเป็นเพราะเราอยู่ด้วยกันมานานมาก

มีหลากหลายเรื่องราวเหลือเกินที่ผ่านเข้ามาให้เราร้องไห้  และยิ้มได้

.......จนถึงตอนนี้ ผมก็ยังไม่รู้ว่าวันข้างหน้า   ระหว่างน้ำตากับรอยยิ้ม

อย่างไหนที่ผมจะได้รับมากกว่ากัน  รู้แต่ว่าวันนี้ผมปลาบปลื้มใจ จนอยากจะร้องไห้

.......ถึงแม้จะมีน้ำตา แต่มันก็แทนความสุขที่เอ่อล้นจนผมไม่สามารถจะสรรหาคำใด ๆ มาบรรยายได้เลย

“ทำไมผมถึงได้รับแต่สิ่งดี ๆ จากบ้านนี้ล่ะครับพี่นิว”

“ก็เพราะนูเป็นลูกของพ่อกับแม่ไง....เป็นเท่า ๆ กับที่พี่เป็น”

“แต่ต้องไม่ใช่แบบนี้......มันมากเกินไป”

        ผมหมุนตัวกลับมาจ้องหน้าหาคำตอบที่อยากฟัง

“ไม่ต้องไปโอนบ้านเป็นชื่อผมนะครับ”

        ผมรวบรัดเข้าเรื่องที่ทำให้ตัวเองรู้สึกไม่สบายใจมาตั้งแต่ตอนที่พูดคุยกันพร้อมหน้า

“ได้ไง ก็แม่บอกมา”

“ก็อย่าให้รู้”

“สักวันก็ต้องรู้”

.................

“ผมไม่เห็นอยากได้เลย แค่ได้อยู่ด้วยกันก็พอแล้ว.....พี่นิวว่าไหม”

          ผมโอบแขนไปรอบเอวที่เริ่มจะกลายเป็นพุงกะทิ ซบหน้าลงบนไหล่กว้างที่เริ่มหนาขึ้นตามวัย

สูดกลิ่นไออบอุ่นกลิ่นเดิม ๆที่คุ้นเคย

“ก็อยากจะว่าตามนั้นหรอก แต่ยังไงพี่ก็เห็นด้วยกับแม่ไปแล้ว”

“ใครจะมารู้ ถ้าเราไม่บอก ผมว่าคุณแม่ไม่เรียกดูโฉนดหรอกมั้งครับ....เนอะ”

“ไม่อะ”

   “ฮื้อ”

         ส่งเสียงออกไปให้เขารู้ว่ากำลังขัดใจผมอยู่ แต่พี่นิวก็ไม่สน กลับโยกตัวผมเหวี่ยงเบา ๆ

อย่างที่ไม่ได้ทำแบบนี้มาตั้งนานแสนนานแล้ว.....อาจจะเป็นเพราะเราต่างก็เป็นผู้ใหญ่ 

อารมณ์ที่จะมานัวเนีย กอดกัน.....โยกเยกเอยน้ำท่วมเมฆ....เหมือนสมัยวัยหวาน มันไม่หลงเหลืออีกแล้ว

ครั้งนี้ก็เลยทำให้ผมรู้สึกอยากอ้อนเขาขึ้นมาตะหงิด ๆ

   “พี่นิว”

   “หือ”

   “เรายังรักกันเนอะ”

   “หึ ๆ อารมณ์ไหนเนี่ย”

   “อารมณ์อยากอ้อน” ผมตอบกลั้วหัวเราะ

   “รักครับ”

   “ผมก็รักพี่นิวนะครับ”

        รางวัลของการบอกรักเป็นการกดจูบกลางกระหม่อมแรง ๆ พร้อมกับอ้อมกอดที่แน่นขึ้นอีกเท่าตัว

   “อึ้บ.....หายใจไม่ออก อย่ารัดแน่นแบบนี้สิ”

            ผมประท้วงให้อ้อมกอดคลายออก ถึงได้เอนลงซบหน้ากับไหล่แน่น ๆ อีกครั้ง

   “แม่อยากให้นูมั่นใจ แม่คงกลัวว่า ถ้าเกิดเรื่องเข้าใจผิดกันอีก นูจะหนีกลับไปอยู่บ้าน

แล้วทิ้งให้ลูกแม่ทุกข์ใจอยู่คนเดียว”

   “จนขนาดนี้แล้ว ไม่มีทางที่ผมจะเข้าใจผิดอีกแล้วล่ะครับ....เฮ้อ....รู้สึกเหมือนตัวเองมีแต่ได้กับได้ยังไงไม่รู้อะพี่นิว”

   “ช่าย.....ได้ทั้งลูกชายกับบ้านพร้อมที่ดินอีกหนึ่งหลัง”

                ถึงจะหมั่นไส้ถ้อยคำที่เข้าข้างตัวเองแบบนั้น แต่นั่นก็เป็นความจริงล้วน ๆ ที่ผมไม่อาจจะปฏิเสธได้

   “จำได้ไหม ว่าแม่เคยบอกจะโอนบ้านเป็นชื่อนูตั้งนานแล้ว”

             ผมพยักหน้าหงึก ๆ

   “ไม่คิดว่าคุณแม่จะเอาจริงนี่นา”

   “รู้ไหม....ในขณะที่นูวิตกเรื่องที่พี่จะต้องแต่งงานกับใครก็ไม่รู้ที่ผู้ใหญ่รับปากกันไว้

แต่แม่กลับกลัวว่า ถ้านูรู้สึกไม่มั่นคง นูก็อาจจะจากไป.....แม่เขารักนูมากนะ

พี่เป็นลูก พี่รู้ดี พี่ยังเคยแอบคิดเลยว่า ถ้าถึงวันที่ต้องแต่งงานจริง ๆ พี่คงต้องระเห็จออกไปจากบ้านหลังนี้แน่ ๆ

เพราะแม่จะกลับมาอยู่กับนูเอง”

   “จริงหรือครับ”

         ผมรำพึงออกไปเสียงแผ่ว คล้ายมันไม่ใช่คำถามที่ต้องการคำตอบจริงจังนัก

   “อืม”

   “พี่นิวครับ”

   “หืม”

   “ผมมีอีกหลายคำถามที่อยากรู้”

   “ก็ถาม”

   “คู่หมั้นพี่อะ”

   “ไม่มีแล้ว”

   “ทำไมอยู่ ๆ เขาถึงถอนหมั้นล่ะครับ”

   “เขาไม่อยากรอมั้ง”

   “ก็เห็นรอมาได้ตั้งเป็นปี ๆ ทำไมอยู่ ๆ ถึงไม่อยากรอ”

   “ก็คงเห็นแล้วว่ารอไปก็ไม่มีประโยชน์”

   “เขารู้ว่าพี่มีผม?”

   “เปล่า.....เขารู้ว่า พี่ไม่ใช่ตัวจริง แต่งไปก็ไม่มีโอกาสได้เป็นเมียเจ้าของกิจการ

อย่างมากก็เป็นได้แค่เมียผู้จัดการแผนกโยธา ที่วิ่งไปวิ่งมาตามไซต์งานต่างจังหวัด เวลาจะจู๋จี๋กันแทบไม่มี”

   “แต่งงานเพื่อผลประโยชน์ของครอบครัวสินะครับ”

“ผู้ใหญ่ตกลงกันมาแต่ครั้งปู่ยังอยู่ ถ้าพี่ไม่มีนูอยู่ก่อนแล้ว บางทีพี่ก็อาจจะทำตามข้อตกลงของปู่ก็ได้”

“เพราะผลจากการประชุมบอร์ดใช่ไหมครับ การสืบทอดตำแหน่งถึงเปลี่ยนไป

แล้วก็เลยมีผลถึงเรื่องการหมั้นไปด้วย”

   “จะว่าไปแล้ว พี่เองก็ไม่รู้หรอกนะ....พวกเรารุ่นลูก รุ่นหลาน ไม่มีใครรู้หรอกว่า

เรื่องสืบทอดตำแหน่งผู้บริหารเป็นความคิดของปู่หรือเปล่า เราอยู่กันแบบนี้ก็เพราะย่าทั้งนั้น 

หรืออาจจะเริ่มที่พ่อเป็นลูกชายคนโต แล้วก็เหมาะสมที่จะเป็นผู้บริหารมากกว่าใคร

แต่ไม่ว่าอย่างไหนมันก็ทำให้กิจการของเราอยู่มาได้....ไม่ว่าเรื่องนี้จะมีที่มายังไง

พี่ก็ยังเคารพนับถือย่าไม่เปลี่ยนแปลง”

   “นั่นสิครับ ถึงคุณพ่อจะเป็นประธาน แต่คุณย่าก็ไม่เคยปล่อยมือเลย ผมก็ว่าคุณย่าต้องทั้งเก่ง ทั้งแกร่ง

ไม่งั้นคงคุมกิจการมานานขนาดนี้ไมได้”

   “ใช่....ยี่สิบกว่าปีที่พ่อเป็นผู้บริหาร น้อยครั้งที่จะตัดสินใจด้วยตัวเองโดยไม่ผ่านความเห็นของย่า

ก็ขนาดพ่อยังต้องฟังย่า แล้วคนอื่นจะไม่ฟังย่าได้ยังไง”

   “เรื่องหมั้นของพี่นิวมันยกเลิกกันง่าย ๆ แบบนี้เลยเหรอครับ คุณย่าไม่รู้สึกเสียหน้าเหรอครับ ที่ผิดคำพูด”

   “เราต่างก็รู้เหตุผลที่ฝ่ายโน้นยกเลิกการหมั้น คนที่เสียคำพูดและเสียหน้าไม่ใช่ฝ่ายเรา

และถึงจะเป็นแบบนี้กิจการของเราก็ต้องพึ่งพากันต่อไปอยู่ดี ระหว่างสองตระกูลมันไม่ใช่เรื่องบาดหมางหรอกนะ”

   “บทจะง่ายมันก็แสนง่ายแบบนี้เองเหรอครับ”

   “ก็แค่ทางฝ่ายหญิงบอกเลิก พี่ก็เป็นอิสระ....แค่นั้น”

         ถึงยังไงผมก็ว่ามันง่ายเกินไปอยู่ดี ถ้าเหตุผลที่ฝ่ายหญิงถอนหมั้นคือไม่ขอเป็นภรรยาของลูกหลาน

ที่ไม่มีโอกาสได้เป็นผู้บริหารสูงสุดของกิจการ ผมว่า....ไอ้เรื่องที่ว่า ทำไมพี่นิวถึงจะไม่ได้ตำแหน่งนั้นนี่แหละ

คือประเด็นหลัก และ......และ.....และ.......ทางฝ่ายนั้นรู้ได้อย่างไร.........

ก็คงไม่ยากเพราะกิจการครอบครัวที่ต้องเกื้อหนุนกัน ย่อมต้องรู้ความเคลื่อนไหวกันบ้างเป็นธรรมดา

           ถามเองตอบเองแล้วผมก็ได้คำตอบ

   “ถ้างั้นการที่คุณพ่อลงจากตำแหน่ง ก็เป็นต้นเหตุให้ฝ่ายหญิงถอนหมั้น คุณพ่อไม่โดนคุณย่าตำหนิเหรอครับ”

   “ถ้าพ่อมีเหตุผลพอ และย่าอยู่ในภาวะจำยอม ถึงจะไม่ชอบใจเท่าไร ก็คงทำอะไรไม่ได้มาก”

   “อะไรคือภาวะที่คุณย่าจำยอมครับ.........ผมละลาบละล้วงเรื่องครอบครัวของพี่เกินไปหรือเปล่า”

         พี่นิวนิ่งไปจนผมกลัวว่าคำถามที่ค่อย ๆ คืบไปตามคำตอบของพี่นิว

จะกลายเป็นการก้าวล่วงไปถึงครอบครัวของเขา  โดยเฉพาะคำถามของผมเกี่ยวกับคุณย่าด้วยแล้ว

ต่อให้อยากรู้แค่ไหน ถ้าพี่นิวไม่เต็มใจบอก ผมก็ต้องหยุด

   “ลืมไปแล้วเหรอ ว่านูก็เป็นคนในครอบครัวพี่ด้วยเหมือนกัน”

             เป็นอีกครั้งที่คำตอบของเขาทำให้ลมหายใจผมแทบสะดุด

   “ถ้าจะเอาคำตอบจริง ๆ ก็ต้องบอกว่า พี่นี่แหละที่สร้างภาวะจำยอมขึ้นมาต่อรองย่า”

   “ฮื้อ???....”

              ไม่งงไหวหรือครับ

   “และเพราะว่าพ่อรู้จักลูกตัวเองดี.....รู้ว่า ไม่ว่ายังไง พี่ก็จะไม่ทิ้งนู”

            ถ้อยคำหนักแน่นขนาดนี้ ไม่ให้รางวัลก็ดูใจร้าย....ว่าไหม

              ผมแตะริมฝีปากพี่นิวแผ่ว ๆ ด้วยปากของตัวเอง แทนคำขอบคุณ

   “มันเริ่มมาจากเรื่องที่พี่ขอออกมาตั้งบริษัท.....พี่บอกย่าว่า พี่อยากมีอาณาจักรที่ตัวเองสร้างมากับมือเหมือนปู่

แต่ย่าไม่เห็นด้วย บอกว่าพี่ยังไม่มีประสบการณ์  ให้ทำกับที่บ้านไปก่อน พูดยังไงย่าก็ไม่ยอม

ก็เลยพบกันครึ่งทาง ความจริงย่าคงกลัวว่าถ้าวันหนึ่งปีกกล้าขาแข็ง พี่จะออกมาเต็มตัว

ก็เลยให้เงินมาลงหุ้นด้วย อย่างน้อยขอมีหุ้นสักครึ่งหนึ่ง ก็ทำให้พี่ต้องฟังเสียงย่า”

“ทำแบบนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า พี่นิวจะปฏิเสธตำแหน่งประธานได้นี่ครับ ก็แค่มีกิจการของตัวเองเพิ่มเข้ามา”

“ปัญหามันอยู่ที่ คนอื่น ๆไม่มีใครรู้ว่าย่าเอาเงินส่วนตัวมาลงหุ้นกับพี่ เงินก้อนนั้นถึงต้องให้พ่อรับหน้าแทน

....นูคงเข้าใจ มันเหมือนเป็นการเอาเปรียบพี่น้องคนอื่น ๆ ที่เขาก็อาจจะอยากมีกิจการของตัวเองเหมือนกัน

แล้วถ้าย่าให้เหตุผลว่า ย่ามีเงินก้อนหนึ่งที่ตั้งใจจะแบ่งให้หลานคนอื่น ๆด้วย เพียงแต่พี่ได้มาก่อน

นูคิดว่าจะมีกี่คนที่ยอมเข้าใจ แล้วถ้าเขาจะเอาอย่างบ้าง จนในที่สุด

ไม่มีลูกหลานคนไหนอยากจะทำงานกับครอบครัวอีกต่อไป กิจการของเราจะเป็นยังไง”

“หมายความว่าพี่นิวทำให้คุณย่าต้องยอมจำนน โดยอ้างเรื่องนี้น่ะเหรอครับ”

 “พี่ยอมเดินตามเกมย่า  ทั้งที่ตอนแรกพี่แค่ไม่อยากอยู่ใต้ปีกของที่บ้านตลอดไป

เรื่องของเรื่องก็เพราะพี่มีนู พี่คิดว่าถ้าตั้งตัวได้แล้ว เราจะได้อยู่ด้วยกัน

โดยที่ย่าไม่สามารถมาบังคับให้พี่ทำตามใจได้อีก แต่ย่าเป็นคนหยิบยื่นโอกาสให้พี่เอง

คงหวังแค่อยากจะถ่วงให้พี่อยู่ในอำนาจต่อไป ขนาดย่าสบประมาทไว้ล่วงหน้าด้วยซ้ำไป

ว่ากิจการของพี่จะไม่รอด แต่ก็ยังให้เงินมาลงทุน....ย่ายอมจ่าย

เพราะคิดว่าสุดท้ายพี่ก็ต้องกลับไปรับตำแหน่งต่อจากพ่ออยู่ดี”

“แบบนี้ก็เท่ากับพี่นิวแบล็คเมล์คุณย่าสิครับ.....มิน่าล่ะ วันนั้นคุณย่าถึงว่าพี่นิวเจ้าเล่ห์”

         ผมนึกสงสารคุณย่าขึ้นมาเสียแล้วสิครับ ข้อเสนอที่จะผูกมัดหลานชายคนโปรดกลับย้อนมาเล่นกลเอาเสียได้

คุณพ่อกับลูกชายเหมือนแท็กทีมกันเลย

“มันก็ไม่เชิงนะ อย่าลืมสิครับ ว่าพี่ทำเพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกันนะ....หรือว่านูอยากให้พี่แต่งงานกับคนอื่น”

“แหม....พูดแบบนี้มันก็.....”

“พี่นิวครับ ผมถามจริง ๆนะ คุณพ่อเกษียณเพราะอยากพักผ่อนจริง ๆ หรือว่า อยากจะปลดภาระตำแหน่งประธานกันแน่”

   “ทั้งสองอย่าง”

   “เหรอครับ”

   “แม่ก็ดีใจที่พ่อเลือกทำอย่างนี้ และไม่ว่าจะมีเหตุจูงใจอะไรให้พ่อทำอย่างนี้  สิ่งที่แม่กับพี่ดีใจที่สุดก็คือ

ครอบครัวของเรายังอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม....เท่าเดิม ไม่มีใครหายไปไหน ไม่มีใครเพิ่มเข้ามา 

แบบนี้มันพอดีที่สุดแล้วสำหรับครอบครัวเรา”

               พอดีที่สุดอย่างที่พี่นิวว่า.....ก็คือมีผมรวมอยู่ด้วยสินะ

              ผมคิดว่า “คำตอบ” ที่ผมเคยสงสัย วันนี้ก็ได้เฉลยตัวเองออกมาแล้ว

โดยที่ผมไม่ต้องไปค้นหาที่ไหน ที่ผ่านมาผมไม่เคยปริปากอยากรู้อะไรเพราะเหตุที่คิดเสมอว่า

มันเป็นเรื่องเฉพาะครอบครัวของพี่นิว หากแต่เมื่อได้รู้เรื่องราวทั้งหมด กลับกลายเป็นว่า

ตัวผมเองต่างหาก ที่เป็นปัจจัยให้เกิดการตัดสินใจของคนทั้งบ้าน 

              นอกจากคำว่า “โชคดี” แล้ว ยังมีคำไหนที่แทนความหมายเดียวกัน แต่ยิ่งใหญ่กว่าอีกไหมครับ

....ผมอยากได้คำนั้นเหลือเกิน

   “พี่นิวครับ พรุ่งนี้เราไปแบงก์กันนะ”

   “พรุ่งนี้วันอาทิตย์ นูจะไปเคลียร์งานเหรอ”

   หันไปดูหน้าคนถาม......จ๋อยเชียว

   “เปล่าครับ ผมจะไปถอนเงินที่สาขาในห้าง.....ไปด้วยกันนะ”





(ยังมีต่อครับ......ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าไดอารี่หน้าสุดท้าย)



ออฟไลน์ NuNew

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-2



             วันนี้คุณพ่อกับคุณแม่ตระเวนเยี่ยมเยียนญาติมิตร หลังจากที่ไปอยู่ทางเหนือเสียนาน

ยิ่งคุณพ่อด้วยแล้ว ตั้งแต่บริหารกิจการของครอบครัวอย่างคร่ำเคร่ง

ก็แทบจะไม่มีโอกาสได้พบปะเพื่อนฝูงและคนคุ้นเคยกันอย่างปลอดโปร่งเลย

นอกจากว่าจะพบเจอกันบ้างในงานสังสรรค์ธุรกิจ หรือสมาคมต่าง ๆ ตามแต่โอกาส

          ผมกับพี่นิวกลับจากทำธุระที่แบงก์มาถึงบ้านเอาช่วงบ่าย

หลังจากที่เราอิ่มมื้อเที่ยงมาจากร้านสุกี้ชื่อคุ้นหูร้านเดิม วันนี้ผมเห็นน้องผู้ชายที่เป็นเด็กเสิร์ฟ

ขอแลกที่ยืนกับเพื่อนผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ที่อยู่ใกล้โต๊ะของเรา เพื่อจะมายืนเต้นข้าง ๆ พี่นิว

ซึ่งผมก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าส่งสายตาล้อเลียนไปให้พี่นิว ซึ่งนั่งทำหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราว

แล้วตบรางวัลน้องคนนั้นด้วยทิปเล็ก ๆ น้อย ๆ หลังจากการเต้นนั้นจบลง

   “ถามจริง พี่นิวรู้หรือเปล่าว่าน้องคนนั้นเขาไม่ได้ยืนข้างโต๊ะเราตั้งแต่แรก”

                ผมแกล้งถามขึ้นเมื่อเราขึ้นมาอยู่บนรถเตรียมกลับบ้านกัน

   “รู้”

   “อ๋อ....มิน่าล่ะ ถึงได้ทิปน้องเขาไปตั้งเยอะ”

               ผมแกล้งทำทีเหมือนตัวเองไม่พอใจ

   “หาเรื่องแล้วไหมล่ะ”

   “ก็ทุกทีไม่เห็นจะทำอะไรแบบนี้นี่นา”

   “เขาอุตส่าห์มีความพยายามขนาดนั้น จะให้พี่ทำเฉยก็น่าสงสารแย่สิ”

   “แล้วใบร้อยที่ให้ไปน่ะ แอบเขียนเบอร์โทรไว้หรือเปล่า”

   “แกล้งถามใช่ไหมเนี่ย”

              พี่นิวขมวดคิ้ว เสียงเริ่มขุ่น

   “ฮ่า ๆ ผมล้อเล่นหรอกครับ ขำดี น้องผู้หญิงหน้าเหวอเลย ตอนที่พี่นิวยื่นทิปให้น้องคนนั้นน่ะ

อาจจะคิดว่า ถ้าเขายืน เขาก็คงได้ไป”

   “พี่ถึงได้ไม่เอาเงินทอนไง วันนี้เรากินสุกี้ที่แพงที่สุดในโลกเลยรู้ไหม”

   “อย่าทำบ่อยแล้วกันครับ สุกี้มื้อละสองพันกินกัน 2 คนนี่มันออกจะเกินไปหน่อย”

            คุณพ่อกับคุณแม่กลับถึงบ้านคล้อยหลังเราสองคนไม่นาน  ก่อนท่านจะขึ้นไปพักผ่อนบนห้อง

ผมก็ทันได้บอกให้ท่านลงมารับของว่างตอนบ่ายจัด วันนี้ผมสั่งข้าวเกรียบปากหม้อที่หน้าปากซอยไว้

เจ้านี้เพิ่งย้ายครอบครัวมาจากต่างจังหวัด แค่ข้าวของที่ใช้ทำอาหาร ดูสะอาดไม่พอ ยังมีรสชาติอร่อยอีกด้วย

ผมอุดหนุนเขาเป็นประจำ จนรู้สึกว่า ไปซื้อขนมปากหม้อทีไร มักจะได้แถมมาด้วยทุกที  จนพี่นิวเริ่มแซวว่า

สงสัยป้าแกจะยกลูกสาวให้ เพราะทุกครั้งจะต้องได้เจอน้องเขาตักขนมให้ตลอด




                 มุมโปรดของครอบครัวก็ไม่พ้น หน้ามุข ที่เต็มไปด้วยกอกล้วยไม้ของคุณแม่

ที่ผมหาต้นใหม่มาแทนต้นเก่าที่เฉาตายไปเกือบหมด  คุณแม่มาเห็นยังนึกว่าเป็นของเก่า

แต่เพราะผมเคยเล่าให้ฟัง ก็เลยชื่นชมผมเสียใหญ่ว่าปลูกต้นไม้เก่ง......ไอ้ผมจะบอกว่ามีคนสวนมาช่วยดูแล

คุณแม่ก็จะชมเก้อเสียเปล่า ๆ ก็เลยนิ่งไว้

   “ปากหม้อเจ้านี้ไส้เค็มรสกำลังดีนะ แต่ไส้หวานแม่ขอผ่านนะจ๊ะ วันนี้รับแกงกะทิมาเต็มที่แล้ว”

   “พ่อก็เหมือนกัน วันนี้กินขนมจีน 3 น้ำยาไปเต็มที่เลย กะทิทั้งนั้น”

   “เป็นไงครับขนมจีน 3 น้ำยา”

            พี่นิวถาม ซึ่งผมก็สงสัยเหมือนกัน

   “ก็น้ำยาปักษ์ใต้ น้ำพริก แล้วก็แกงเขียวหวานไง”

   คุณแม่ตอบ

   “อ๋อ.....นึกว่ามีสูตรใหม่ที่ไหน ผมจะได้ไปชิม”

   “แล้วเราสองคนวันนี้ไม่ไปไหนเหรอ วันหยุดนะลูก ไม่ไปพักผ่อน ดูหนัง ฟังเพลงนอกบ้านบ้างล่ะ”

   “วันนี้ผมชวนพี่นิวไปทำธุระมาแต่เช้าแล้วครับ กลับก่อนคุณแม่เดี๋ยวเดียว

จริง ๆ แล้ววันหยุดผมชอบอยู่บ้านมากกว่า ออกไปข้างนอกมีแต่เรื่องเสียเงิน”

   “งก!”

   “เอ๊...ว่าน้องทำไม  ดีสิ....แม่ยังชอบอยู่บ้านเลย แต่ยังไงแม่ก็อยากให้เราไปเปิดหูเปิดตาบ้างนะ

หมกตัวอยู่แต่ในบ้านจะไม่ทันโลกเอา”

   “ครับคุณแม่”

           ผมหันไปสบตาพี่นิว เป็นเชิงบอกว่า.....ธุระที่ไปจัดการที่แบงก์มา จะทำตอนนี้ล่ะนะ......

พอเขายิ้มให้ ผมก็ลุกขึ้นไปเอาของสิ่งหนึ่ง แล้วกลับมานั่งคุกเข่าลงตรงหน้าคุณพ่อ

   “อะไร”

              คุณพ่อเลิกคิ้วถาม เมื่อผมส่งซองยาวให้

   “โบนัสปีนี้ของผมทั้งหมดครับ”

   “ให้พ่อ?”

            คุณพ่อรับไปเปิดออกดู....มันเป็นดร๊าฟท์สั่งจ่ายชื่อคุณพ่อ ด้วยตัวเลขที่ไม่ได้มากมายอะไร

สำหรับผู้บริหารที่เคยอยู่กับตัวเลขหลักร้อย ๆ ล้านมาก่อนอย่างคุณพ่อ แต่ท่านคงทราบดีว่า

มันเป็นตัวเลขที่ไม่น้อยเลยสำหรับพนักงานแบงก์ตัวเล็ก ๆอย่างผม

   “ให้พ่อทำไม.....ทำไมไม่เก็บไว้ใช้เองล่ะลูก”

            ผมก้มลงกราบที่ตักคุณพ่อ แล้วพูดตอบ

   “ผมไม่มีอะไรจะตอบแทนสิ่งที่คุณพ่อทำให้ผม ก็มีแต่โบนัสที่เป็นเหมือนรางวัลของคนทำงาน

ที่จะแสดงความรู้สึกขอบคุณจากใจของลูกคนหนึ่งที่จะให้พ่อได้”

   “พ่อก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าความเป็นพ่อหรอก”

   “แต่การที่คุณพ่อลาออกจากตำแหน่ง ทั้งที่ยังสามารถทำงานได้ เพียงเพราะอยากให้ผมได้ยืนอยู่ที่เดิม

มันก็มากเกินไป สำหรับลูกนอกไส้อย่างผมเหมือนกันครับ”

   “พูดอะไรอย่างนั้น เห็นลูกเป็นทุกข์ พ่อจะนิ่งเฉยอยู่ได้ยังไง แล้วสิ่งที่พ่อทำไป 

ก็ไม่ใช่เพราะนูคนเดียว แม่เขาก็อยากให้พ่อทำแบบนี้มานานแล้ว แต่จังหวะมันมาตอนนี้

ทุกคนก็เลยดูเหมือนจะสมหวังกันไปหมด.......เอ้า.....เอาคืนไป ถือเสียว่าพ่อรับแล้ว

ขอบใจนะลูก แค่นี้พ่อก็ดีใจแล้ว ที่นูเป็นเด็กกตัญญู”

            ผมรับซองคืนมาอย่างไม่ค่อยเต็มใจ เพราะไหน ๆ ก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะให้คุณพ่อ

   “งั้นผมบริจาคในนามคุณพ่อได้ไหมครับ”

   คุณพ่อคุณแม่สบตากันยิ้ม ๆ แล้วก็พยักหน้า

   “ก็ตามใจลูก”







      

                  หลังจากงานทำบุญรวมญาติผ่านพ้นไป คุณพ่อคุณแม่ก็กลับเหนือตามเดิม

ส่วนบ้านเราก็ได้ต้อนรับญาติผู้ใหญ่อีกท่าน ที่เดี๋ยวนี้ชักจะมาบ่อยขึ้น

              เมื่อครั้งที่คุณย่ามาอยู่บ้านเราครั้งแรก  การชงชาให้คุณย่า ถือว่าควรแล้วที่จะปรนนิบัติ

ต่อญาติผู้ใหญ่ของคนที่เรารัก ซึ่งเราก็ได้แต่เพียรพยายามอย่างยิ่งที่จะวางตัวให้ท่านเอ็นดู

หรือแม้ไม่เอ็นดู ก็ขอเพียงอย่าให้ท่านชังน้ำหน้า ก็ถือว่าเป็นบุญแล้ว

           แต่วันนี้ การชงชาแบบเดิม ชุดชาเดิม ๆ เสิร์ฟให้ผู้ใหญ่ท่านเดิม

กลับเปลี่ยนแปลงความรู้สึกที่คล้ายจำใจต้องทำ กลายเป็นทำด้วยความเต็มใจ และดีใจที่ได้ทำให้ท่าน

ภูมิใจที่ท่านไว้วางใจให้เราทำให้ มันช่างต่างกันเหลือเกิน กับในวันเก่า ๆ



               ผมกำลังเติมน้ำในกระติกไฟฟ้าแล้วเสียบปลั๊ก

บนโต๊ะมีชุดกาแฟเนื้อเนียนสีไข่ไก่พร้อมจานรอง 3 ชุด กาชงน้ำชาที่โรยใบชารอไว้แล้ว

โถน้ำตาล โกโก้สำเร็จรูปชนิด ทรีอินวัน และจานเปลสำหรับใส่ของขบเคี้ยว....

ทั้งหมดถูกเตรียมไว้เป็นอาหารว่างสำหรับคน 3 คน มองออกไปที่หน้ามุข ข้างกอกล้วยไม้

คุณย่ากับหลานชายคนโปรด กำลังคุยกันอย่างออกรส รอเวลาน้ำชายามบ่าย


   
             
             รอยยิ้มของผมผุดขึ้นที่ริมฝีปาก หยั่งรากแห่งความสุขลงไปถึงหัวใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

           
             นึกย้อนกลับไปหลายปีที่ผ่านมา นับจากวันที่ความรักของเราเริ่มต้นขึ้น มันไม่มีอะไรง่ายเลยจริง ๆ

แต่การที่เราสองคนก้าวเดินมาถึงวันนี้แล้ว ผมก็อดที่จะยิ้มอย่างมีความสุขไม่ได้



              ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นข้างหน้า จะ 10 ปี 20 ปี ผมก็พร้อมจะเผชิญ

              ตราบเท่าที่ผู้ชายคนนี้จะอยู่เคียงข้างผมตลอดไป

              คนที่ผมไม่จำเป็นต้องถามว่า....พี่ครับ รับผมบ้างไหมครับ.....อีกต่อไป

              แต่เขาจะเป็นผู้ชายคนที่อยู่ให้ผมบอกรักไปอีกนานเท่านาน


              “ผมรักพี่นิวนะครับ”





 :mew1:

มาถึงปกหลังแล้วครับ
ขอบคุณ เพื่อนพ้องน้องพี่ทุก  ๆคนที่ติดตามกันมาตลอด
ขอบคุณมาก ๆครับ   :pig4:

ออฟไลน์ Yarkrak

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
 เย้เย้.......... มาแล้ววววววววววววว:pig4: :pig4: :pig4:
หายไปนานนนนนมากกกกก(ก-ล้านตัวครับ)
อ่านก่อนครับ
 :mew1:
ขอบคุณน้องนูที่นำเรื่องราวดีๆมาให้ได้อ่าน
ได้รู้จักคนเขียน น้องโชคดีที่มีคุณพ่อคุณแม่ที่รักและเข้าใจลูก
โชคดีที่มีพี่นิวที่รักและมั่นคงต่อน้อง แถมด้วยคุณย่าที่คิดว่า
ตอนนี้คงหลงหลานนอกใส้อีกคนแล้ว
ขอให้ชีวิตรักของน้องที่มีพี่นิวครอบครัวของพี่นิวราบรื่นและสุขสมบูรณ์ตลอดไป
ขอบคุณอีกครั้งในเรื่องราวทั้งหมดที่ถ่ายทอดมา ยินดีกับความสุขของน้อง
ขอบคุณที่ทำให้เราได้รู้จักและรับรู้เรื่องราวต่างๆที่มีทั้งสุขและทุกข์ตลอดระยะเวลาที่ถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ
ยินดีที่พ่อแม่ของน้องเลี้ยงลูกมาให้เป็นคนดีมีจิตใจที่ดี เป็นที่รักและยอมรับของคนอื่นโดนเฉพาะครอบครัวพี่นิว
ขอให้น้องนูและพี่นิวรักกันยืดยาวตลอดไปครับ
 :L2: :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-10-2015 16:42:26 โดย Yarkrak »

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
ขอบคุณนูเช่นกัน
ที่มาถ่ายทอดบันทึกชีวิตรักให้ได้อ่าน
มีเยอะแยะมากมาย ที่จะเก็บเกี่ยวไปใช้

มีเรื่องที่ทำให้คนอ่านมีน้ำตาตลอดเลย
ร้องไห้กับความทุกข์ในความรักของนู
แม้แต่ความสุขขอนู คนอ่านก็ร้องไห้(ตื้นตันไปกับนู)

ัขออวยพรให้นูกับนิวมีความสุขกันตลอดไปเลยนะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด