พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย  (อ่าน 139866 ครั้ง)

ออฟไลน์ Asuke

  • แค่อยากบอกว่า ตอนนี้ผมไร้คู่
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2
สนุกมากครับพี่นู มาต่ออีกเร็วๆนะครับ

อยากกินไข่พะโล้ โปะ

  • บุคคลทั่วไป
ไปยอมเขาทำม๊ายยยย'  เล่นตัวหน่อยซี่โถ่-_-

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
 :really2:
มันก็ยัง..งง งง
หุหุ

ใจเจ้าเอ๋ย เคยเจ็บ เคยปวดช้ำ
ใจเจ้ากรรม ถูกซ้ำ ช้ำกี่หน
ใจเจ้าเอ๋ย เคยทุกข์ เคยนิ่งทน
ใจเจ้ากรรม กระเสือกกระสน ป่นแหลกราน

น้ำเพียงหยด รดบนพื้น ดินกระด้าง
สามารถง้าง ความแห้งแล้ง แย้งร้าวฉาน
กลับชุ่มชื้น คืนชีวิต คิดยืนนาน
ใจประสาน ขับขานกาย ร้ายคืนดี


 o13 จะมีอะไร..หักมุม มากกว่านี้อีกมั้ยครับ พี่น้อง

 :L1: รักคือรัก นั่นซินะ..นู

ยินดียิ่งกับ "พี่นิว" จะหาใครได้โอกาสแล้ว โอกาสอีก เช่นนี้
หุหุ

+1 อีกครับ

ออฟไลน์ gambee

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 451
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
อะไรยังไงซับซ้อนเกินไปรึป่าวคุณนิว
แต่สำหรับนู รักคือ....รัก สินะ

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
ขอให้รักกันนานๆน้าค่าพี่นูพี่นิว  :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

สู้ๆ อุปสรรคมีไว้ให้เราฝ่าฟัน เพราะมันจะทำให้เราแข็งแกร่งยิ่งขึ้น o13 o13 o13 o13 o13

สู้ๆคร๊าบบบบบ.. :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ NuNew

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-2


           ใครที่เคยได้อ่านตอนนี้มาก่อน (ที่อื่น) ผมจะบอกว่า ผมตัดตอนต้นในส่วนที่เป็นเนื้อเพลงออกไป

เพราะรู้สึกว่ามันจะมีเรื่องลิขสิทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ที่ผมเขียนไว้แบบนั้นมันนานมาแล้ว

ตอนนั้นไม่ค่อยเคร่งเรื่องนี้กันเท่าไหร่ ก็ถือว่า ผมกันปัญหานี้ไว้ก็แล้วกันนะครับ

   ส่วนเนื้อหาอื่น ๆคงเดิมครับ ยกเว้น การสะกดคำ และ(ความพยายาม) ใช้ภาษาให้ถูกหลักตามที่เคยได้รับคำไว้






THE SIXTH PAGE



          เวลาที่เราอยู่กับตัวเองตามลำพัง เรามักจะคิดถึงเรื่องราวในอดีต ไม่ว่าจะสุข ทุกข์ หวานอมขมกลืนสักแค่ไหน

ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงมัน แค่จะนึกถึงความหวานก็มักมีรสขมเฝื่อนฝาดแทรกอยู่ร่ำไป

คงไม่มีใครพบเจอสิ่งใดสิ่งหนึ่งแต่เพียงด้านเดียว

      ดังนั้นไม่ว่าชีวิตที่ผ่านมาของผมจะพบกับเรื่องราวเลวร้ายสักเพียงไหน ผมก็จะไม่ทดท้อห่อเหี่ยว

ขอเพียงผมมีใครคนหนึ่งที่รักผมอยู่เคียงข้าง และคอยปลอบโยนให้กำลังใจ ผมก็พร้อมที่จะสู้ต่อไป

          เพลงบางเพลงอาจจะทำให้ผมนึกถึงคน ๆ นั้น

       แต่ถ้อยคำในบทเพลงก็ยังไม่สามารถบรรยายความรู้สึกที่ผมมีต่อเขาได้มากพอ แต่อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง

ที่พอเขาได้ฟังเพลงนั้น เขาก็จะเดินมาโอบกอดผม พร้อมกับกระซิบข้างหูว่า...”เพราะพี่รักนู”...

      หลายคนบอกว่าผมโชคดีที่ผมมีคนที่รักผม แต่ผมว่าพี่นิวก็โชคดีเหมือนกันแหละ ที่ผมก็รักเขาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

      “พี่รักมากกว่า”

      “ผมรักพี่มากกว่า”

      “พี่มากกว่า”

      “ผมมากกว่า”

      “พี่”

      “ผม”

      “ถ้าพี่รักนูน้อยกว่า พี่ก็หมั้นกับเขาไปแล้วดิ”

        ผมเลยต้องหยุดเถียง ก็ผมไม่ได้มีทางเลือกให้ต้องแสดงออกถึงปริมาณความรักอย่างพี่นิวนี่

ออฟไลน์ NuNew

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-2
 

      การใช้ชีวิตคู่ไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งคู่ของเรายิ่งยาก

         เท่าที่ผ่านมา....มันยากทั้งที่ไม่ควรจะยากเท่านี้


        เรื่องที่เราไม่อยากเปิดเผยให้ใครได้รู้ เป็นเหมือนหนามยอกอกตลอดเวลา

ในขณะที่เราจำต้องแสดงความสัมพันธ์ฉันพี่น้องอย่างที่สังคมรอบข้างเรารับรู้ 

แต่ภายในเรากลับรักกันเหลือเกิน อยากบอกใครก็บอกไมได้

มันยากก็ตรงที่ทำยังไงถึงจะไม่หลุดให้คนอื่นสงสัย

      
     วิธีที่เราทำจนกลายเป็นเรื่องธรรมดาก็คือ เรามักไม่ค่อยไปไหนมาไหนนอกบ้านด้วยกัน

เพราะผมเชื่อว่า ยังไงก็ต้องมีคนสังเกตเห็นบ้าง เวลาที่เราจะมีร่วมกันก็คือในบ้านของเราเอง

ซึ่งก็ยังต้องจำกัดพื้นที่อยู่นั่นเอง เพราะมีทั้งป้าแม่บ้าน และพี่นางที่คอยดูแลบ้านให้เรา

   
          ถ้าเราอยู่ในห้องนั่งเล่น ถึงจะดูโทรทัศน์ด้วยกัน เราก็มักจะนั่งกันคนละมุม

ซึ่งถ้าเราอยากคลอเคลียกันก็ต้องขึ้นไปห้องโถงชั้นบน ซึ่งสองคนนั้นจะขึ้นมาโดยที่เราไม่อนุญาตไม่ได้

   ใช่ว่าเราเจ้ายศเจ้าอย่างหรอกครับ แต่เป็นเพราะคุณแม่เคยวางระบบไว้แบบนั้น

เวลาที่ป้าหรือว่าพี่นางต้องการจะขึ้นมาบนบ้านก็เลยต้องกดอินเตอร์คอมขึ้นมาก่อน

ส่วนเรื่องทำความสะอาดบ้าน พี่นางจะขึ้นมาทำตอนที่ทุกคนออกไปทำงานกันหมดแล้ว

         
      พูดว่าห้องโถงฟังดูเหมือนมันกว้างนะครับ แต่ไม่หรอก มันก็พื้นที่แค่สามคูณสามเมตรหน้าห้องนอนของเราสองคน

ที่พี่นิวซื้อพรมผืนย่อมมาปู ผมก็มีหน้าที่หาหมอนอิง หมอนขวานมาวาง นั่ง ๆ นอน ๆ ดูโทรทัศน์กัน

ก่อนที่เราจะแยกย้ายกันเข้าห้องนอนของตัวเอง

         หรือบางคืนพี่นิวอาจจะแวะมานอนเล่นในห้องผม  ก่อนที่เขาจะกลับไปนอนห้องของตัวเอง

(ไม่ต้องเดานะครับ ว่าเราเล่นอะไรกันในห้องนอนของผม 555)

      
      เราสองคนใช้ชีวิตอย่างนี้เรื่อยมาจนกลายเป็นความเคยชินว่า เวลาไหนจะทำอะไร

เวลานี้ใครอีกคนอยู่ที่ไหน และจะตามตัวได้ยังไง

          กิจวัตรของผมค่อนข้างแน่นอนกว่าของพี่นิวเพราะเป็นงานประจำ ทำงานห้าวันแล้วหยุดเสาร์อาทิตย์

 อาจจะมีกิจกรรมของที่ทำงานในวันหยุดบ้างตามแต่จะมีนโยบายมาจากสำนักงานใหญ่เป็นครั้งคราวไป

ซึ่งเราก็จะรู้ล่วงหน้า ทำให้ผมสามารถวางแผนการใช้เวลาร่วมกับพี่นิวได้ค่อนข้างแน่นอน

          แต่เขาสิ....      

       พี่นิวถูกวางตัวให้นั่งเก้าอี้กรรมการบริหารแทนคุณพ่อเป็นคนต่อไป ก็ด้วยความที่คุณพ่อเป็นลูกชายคนโตของตระกูล

(ไม่นับคุณลุงที่เป็นลูกบุญธรรมของคุณปู่คุณย่าของพี่นิวนะครับ) ลูกชายคนเดียวของคุณพ่อจึงถือได้ว่า

เป็นผู้สืบสันดานเช่นกัน แต่ในขณะที่คุณพ่อยังไม่เกษียณ พี่นิวก็ต้องศึกษางานในกิจการทั้งหมด

เบื้องแรกก็คือการควบคุมดูแลสำนักงานสาขา(เล็ก ๆ) ในต่างจังหวัดรวม 3 สำนักงาน

โดยมีพี่ชายซึ่งเป็นลูกของคุณลุงคอยช่วยเหลือ (สำนักงานหลักมีคุณพ่อประจำอยู่แล้วในอีกจังหวัดหนึ่ง)

          งานรับเหมาก่อสร้างโครงการภาครัฐ วงเงินจ้างเหมานับร้อยล้านต่อปี เป็นงานที่ต้องใช้ความรับผิดชอบสูง

โดยเฉพาะมือใหม่อย่างพี่นิว ยิ่งต้องทุ่มเท ทำให้เวลาของเขาหมดไปกับการทำงานแทบทั้งหมด

ปีแรกที่พี่นิวกลับจากต่างประเทศก็จับงานทันที แทบไม่มีเวลาที่จะระเริงสำราญกับชีวิตวัยหนุ่มเลย

ผมก็พลอยได้รับอานิสงส์อันนั้นไปด้วย (แง.....)

         แต่อย่างไรก็ดี ผมก็ยังถือว่า เราโชคดีที่ได้อยู่ด้วยกัน แม้ว่าในบางครั้งพี่นิวต้องไปค้างที่สำนักงานสาขาอื่น

เป็นเวลาหลายวัน (เฮ้อออออ....ทำใจ)
      

      หลายครั้งที่พี่นิวอยากจะพาผมไปด้วย แต่ผมกลับไปไม่ได้ เพราะการจะยื่นใบลางานต้องยื่นล่วงหน้า 

ซึ่งพี่นิวก็ไม่อาจจะบอกผมล่วงหน้าได้ แต่ก็เคยมีครับ เป็นครั้งแรกที่ผมบังเอิญหยุดงานพอดี

แล้วพี่นิวก็ได้โอกาสชวนผมนั่งรถออกต่างจังหวัด ไปดูไซท์งานด้วยกัน ความจริงมันน่าเบื่อมากสำหรับผม

เมื่อลงจากรถด้วยอาการเมา เพื่อจะไปนั่งรอ นอนรอ ในขณะที่เขาเดินไปเดินมา สำรวจความเรียบร้อยโดยทั่วไปของงาน

รับฟังปัญหาที่หัวหน้าคนงานจะรายงานความคืบหน้า หรือหรือแม้แต่จะต้องเบิกเงินค่าแรงไปจ่ายให้คนงาน

แต่ผมก็ยังอยากจะไป เพียงเพราะต้องการใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้มากที่สุดเท่าที่โอกาสจะอำนวย

หลังจากที่เราห่างกันไปนานมาก ห่างกันไปในลักษณะที่เหมือนจะเลิกราจากกัน

      “ผมเอากางเกงว่ายน้ำไปด้วยนะครับ”

      “แถวนั้นเขาไม่นุ่งกางเกงอาบน้ำหรอก”

      “เอ๊อ....แล้วเขานุ่งอะไรอะ”

      “ผ้าขาวม้า”

           ผมล่ะอึ้ง แต่ที่จริงมันก็คงจะถูกของพี่นิว เพราะที่ ๆ เราจะไปมันเป็นบ้านป่า ไกลตัวเมืองมาก

น้ำท่าที่จะใช้อาบก็เป็นลำคลองสายเล็ก ๆ ที่ดูสะอาดดี (แม้ว่าสีจะเหมือนน้ำโคลนสีอ่อน ๆ)

             ผมนุ่งผ้าขาวม้าไม่เป็น แต่ถ้าโสร่งล่ะชอบนัก ก็เลยหยิบโสร่งผืนโปรดติดกระเป๋าไปด้วย

ส่วนของพี่นิวเขาบอกว่าจะไปหาเอาข้างหน้า
      
         ถึงที่หมายผมก็โผเผลงจากรถตามเคย พี่นิวจะเข้ามาประคอง แต่ผมห้ามไว้ เพราะคงดูไม่ดีเท่าไร

ที่ผู้ชายจะประคองกันเดินทั้งที่ไม่ได้เมาเหล้า แล้วผมก็กลัวสายตาคนอื่นจะมองเราแปลก ๆ

พี่นิวก็เลยหันไปหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าเดินเข้าไปเก็บในบ้านพักชั่วคราว

(ความจริงน่าจะเรียกว่าเพิง เพราะมันสร้างด้วยไม้หยาบ ๆ ไม่ทาสี มีพื้นที่ไม่ถึงยี่สิบตารางเมตรดี

มุงด้วยหลังคากระเบื้องลอนคู่ราคาถูก)

           นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ออกต่างจังหวัดกับพี่นิว ได้มาในสถานที่ค่อนข้างห่างไกลความเจริญ

ถึงแม้ว่าผมจะไม่ใช่คนติดหรู ไม่ใช่ผู้ลากมากดีมาจากไหน แต่ความเป็นอยู่อย่างคนเมือง

ทำให้ผมไม่ชินกับการอาบน้ำในที่โล่งแจ้งร่วมกับคนงานอื่น ๆ ถ้าเป็นเพื่อน ๆ ตอนที่เข้าค่ายสมัยเรียนก็ว่าไปอย่าง

พอผมเห็นท่าน้ำริมลำคลองแล้วก็เลยกระซิบพี่นิวว่า ผมค่อยอาบตอนค่ำ ๆ น่าจะดีกว่า

อย่างน้อยถ้ามีใครอาบอยู่แถว ๆนั้น จะได้ไม่เห็นกันชัดนัก....ก็ผมอายอะ

และพอตกค่ำ พี่นิวก็อาบน้ำเป็นเพื่อนผม ด้วยผ้าขาวม้าเนื้อเหี่ยว ๆ สีซีด ๆ

(ตอนผึ่งไว้ที่ราวข้าง ๆ เพิง ผมยังเห็นรูเล็ก ๆ แถว ๆ ที่น่าจะเป็นแก้มก้นอีกตะหาก...

พี่นิวนะพี่นิว ผมไม่เคยจะรู้ว่าเขาชอบโชว์ขนาดนี้....)

      
      น้ำในคลองออกจะเย็นเมื่อความมืดโรยตัวอยู่รอบ ๆ เรา ผมหนาวจนคางสั่นไปเลย

เมื่อสายลมยามค่ำกระโชกมาเบา ๆ ตอนที่ขึ้นมานั่งถูสบู่บนท่าน้ำ  ถูไม่ทันเสร็จดี ผมก็กระโจนกลับลงไปล้างตัว

แล้วรีบตะกายขื้นมาจนโสร่งแทบจะรูดไปตามลำขาด้วยความหนักของน้ำที่อมไว้ในเนื้อผ้า

          คนงานอาบน้ำเสร็จหมดแล้ว ตอนนี้เป็นช่วงเวลาอาหารมื้อค่ำของพวกเขา ผมได้ยินเสียงเฮฮามาจากวงเหล้า

หน้าบ้านพักคนงานที่เห็นแสงเรือง ๆ จากหลอดไฟแรงเทียนต่ำ ผมคว้าโสร่งอีกผืนที่เตรียมมาสำหรับผลัด

แต่ยังคว้าไม่ทันจะได้ ก็ถูกผีพรายดึงผ้าซะแทบหลุด

           “พี่นิวนี่ เล่นบ้า ๆ อะไร ผ้าผมจะหลุด”

           ผมเผลอตัวเอ็ดพี่นิวเสียงดัง ค่าที่เล่นไม่รู้จักเวล่ำเวลา

          “มาถูหลังให้พี่ก่อน”

          “ไม่เอาอะ หนาว”

          ผมดึงผ้าออกจากมือเขา แต่ดูจะไม่สำเร็จ เพราะมือสั่นจากการอาการสะท้านด้วยลมหนาว

แต่คนดึงผ้าท่าจะแรงดี เกือบจะทำผ้าผมหลุดจริง ๆเสียแล้ว

           “ลงมาอยู่ในน้ำสิ ไม่หนาวหรอก น้ำมันอุ่น”

            ลองทำเสียงยั่วแบบนี่ล่ะก็ เขาคงมีแผนอีกแล้วล่ะสิ แต่ผมกลัวคนงานมาเห็น เลยปัดมือเขาออก   

ทั้งที่.....อิอิ....อยากลองลงไปในน้ำอุ่น ๆ ดูสักที

           “เดี๋ยวใครมาเห็นอะพี่นิว”

        “มืด ๆแบบนี้ใครเขาจะออกมาดู ไม่เห็นเหรอ เขาตั้งวงกันแล้ว อีกนานกว่าจะเลิก”

          คนเจ้าแผนการพยายามหว่านล้อมให้ผมใจอ่อน

         “ก็ได้ครับ ผมถูหลังให้อย่างเดียวนะ”

            พี่นิวทำเสียงอือรับคำ

            ผมหย่อนตัวลงนั่งห้อยขาที่ท่าน้ำ แล้วบอกให้เขาหันหลังมา แต่พี่นิวกลับจับขาผมให้แยกออก

พอที่ตัวเองจะแทรกเข้ามายืนตรงกลางได้ แถมหันหน้ามาให้อีกต่างหาก ตอนนี้ใบหน้าของพี่นิวได้ระดับกับใบหน้าของผม

ทำให้เขาโอบไปรอบสะโพกผมได้ถนัดมือ

           “แล้วผมจะถูได้ยังไงเล่า”

         “ได้...ก็ถูไปสิ...อ้ะ”

            พี่นิวหยิบสบู่ให้ ก่อนจะจมตัวเองลงไปในน้ำทั้งตัวให้เปียกพอที่จะถูสบู่ให้เป็นฟองได้ แล้วกลับขึ้นมายืนให้ผมถูหลัง

ทั้งที่ยังหันหน้า

           “ยืนเฉย ๆสิครับ”

          คนมือซนบีบก้นผมอะ โดนเอ็ดไปทีหนึ่งเขาก็เก็บมือไว้ทีหนึ่ง พักเดียวก็หาเรื่องให้ผมได้ดุอีก

          “เอามือออกไปนะ ไม่งั้นผมไม่ถูให้แล้ว”

           คราวนี้ดื้อสิครับ เขาถลกโสร่งเปียก ๆ ของผมขึ้นมาถึงหน้าขา จนเห็นเนื้อขาวโพลนในความมืด

แต่ถึงจะมืดผมก็อายนะ ที่ตรงนี้มันออกจะโล่ง นอกจากพุ่มไม้ด้านหลังของเราแล้ว ก็เป็นอากาศ

มองเห็นไปถึงห้องแถวคนงานนู่นเลย ส่วนฝั่งตรงกันข้ามเป็นดงต้นสาคู

(ไม้น้ำชนิดหนึ่งจำพวกปาล์ม หรือ ต้นจากครับ)

         ผมหยุดมือที่กำลังฟอกสบู่ให้พี่นิว รอดูว่าเขาจะทำอะไรต่อ

          ...นั่น...ว่าให้แล้วยังไม่รู้สึก

            พี่นิวถลกผ้าผมไว้แค่หน้าขา แต่มือเขากลับเลื้อยเข้ามาลึกกว่านั้นอีก ผมตีมือนั่นแรง ๆ จนเขาต้องสูดปาก

(ผมมือหนัก) แต่ก็ยังไม่ยอมหยุด นี่ถ้าเป็นสถานการณ์และสถานที่ปกติ ป่านนี้ผมคงมีอารมณ์ร่วมไปแล้วล่ะ

พี่นิวรู้เสมอว่า สัมผัสผมตรงไหนถึงจะเรียกอารมณ์อย่างว่าได้ ผมเคยได้ยินบางคนบอกว่า

ความตื่นเต้นสามารถเร่งเร้าอารมณ์ร่วมรักให้เร่าร้อนและสุขสมได้มากกว่าปกติ   

แต่สำหรับผมตอนนี้ตื่นเต้นมาก....มากจนมันกลายเป็นกลัว และหวาดระแวงว่าใครจะมาเห็นเรา

           ผมผลักไหล่พี่นิวออกห่าง แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล ร่างหนา ๆ ไม่สะทกสะท้านเอาซะเลย

ส่วนมือก็ทำหน้าที่ได้อย่างซื่อสัตย์ต่อเจ้าของ

           “พี่นิวหยุดเลย ผมไม่เอาด้วยนะ”

           “นะ...มันมืด ไม่มีใครมาเห็นหรอก นูลองดูไปรอบ ๆ สิ เราเห็นอะไรไหม เราไม่เห็น คนอื่นก็ไม่เห็น”

           “แต่ตรงนี้มันโล่ง ผม....”

           “ก็เพราะมันโล่งไง มันก็เลยกลืนไปกับความมืด...นะ พี่อยากลอง”

           ผมหันไปมองรอบ ๆ มันก็มืดอย่างที่พี่นิวว่า แต่ความหวาดระแวงก็ยังไม่หายไป

          “จะให้ผมทำอะไร”

           ผมอุบอิบถามเขาเสียงเบา ๆ

           “อยู่เฉย ๆ”

               ผมพยักหน้า แล้วก็ปล่อยให้เขาทำตามชอบใจ พี่นิวพยายามเล้าโลมผมอยู่พักใหญ่ แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

จนเขาถอดใจ

           “เกิดอะไรขึ้น”

           “ผมกลัวมีคนมาเห็น”

            ครับ...ความกลัวเป็นตัวกดอารมณ์ปรารถนาได้ชะงัดนัก ผมไม่รู้สึกอะไรกับสัมผัสของพี่นิวทั้งที่เคยชอบ

        “พี่นิวก็ควรจะกลัวนะครับ เกิดลูกน้องมาเห็นจะทำไง”

           “อืม....”

            ดูท่าเขาเซ็ง ๆ และคงหมดอารมณ์ไปด้วยอีกคน จากนั้นเขาก็ยืนดี ๆ ให้ผมถูสบู่จนเสร็จ แล้วขึ้นจากน้ำ

ผลัดผ้าเปียกออกนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียว และผมก็นุ่งโสร่งอีกผืนที่เตรียมมาเพียงผืนเดียว

กะว่าจะไปใส่เสื้อกล้ามที่บ้านเอา
      

      เราต้องเดินผ่านวงเหล้าก่อนจะถึงบ้านพัก คนงานปากเปราะคนหนึ่งท่าทางจะครึ้มจนได้ที่

ก็เลยผิวปากวี้ดวิ้วออกมา จากนั้นทั้งวงเหล้าก็เงียบเสียงลง ไม่มีแม้แต่เสียงช้อนกระทบจานสังกะสี

           หนึ่งในวงเหล้านั้นผมจำได้ว่าชื่อพี่ขนุน เป็นรองหัวหน้าคนงาน กำลังจ้องหน้าคนที่ผมเดาว่าเป็นคนผิวปากแซวเรา

นายคนนั้นก้มหน้าก้มตา แต่ท่าทางไม่ได้สำนึกว่าตัวเองทำเรื่องที่ไม่ควรลงไป

และตอนนี้กำลังตกเป็นเป้าสายตาของคนรอบข้าง

            ส่วนพี่นิวหยุดเดินหันไปมองแวบเดียวแล้วก็ผลักไหล่ผมให้เดินต่อไป หลังจากนั้นเสียงในวงเหล้าก็สงบลง

แล้วก็วงแตกไปในที่สุด ผมไม่รู้ว่ามันสมควรแก่เวลา หรือเพราะว่านายคนนั้นเป็นตัวเร่ง ทำให้วงแตกกันแน่

แต่ก็ดีแล้ว เพราะนี่มันก็เรียกได้ว่าดึกมากสำหรับบ้านป่าแบบนี้ พวกเขาทำงานกันหนักมากแล้วในตอนกลางวัน

ถึงเวลานี้ก็ควรจะได้พักผ่อน เก็บแรงไว้ทำงานดีกว่า

   

ออฟไลน์ NuNew

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-2
   

    
      ในห้องพักมีเตียงพับอยู่ตัวเดียว ซึ่งผู้ชายร่างใหญ่ กับ ร่างไม่เล็ก ขึ้นไปนอนเบียดกันบนนั้นคงไม่ไหวแน่

พี่นิวก็เลยลากที่นอนลงมาปูบนพื้นแล้วพับเตียงพิงไว้กับฝาผนัง ทั้งที่จริงแล้วพื้นที่สำหรับนอนมันก็เท่าเดิม

แต่เรากลับมั่นใจกว่าเมื่อนอนบนพื้นแทนที่จะนอนบนเตียงพับนั่น


           อากาศยามดึกที่นี่ค่อนข้างหนาว บ้านพักหลังนี้ไม่มีหน้าต่างเลยและมีประตูเพียงบานเดียวเท่านั้น

ช่องลมที่ตีไม้โปร่งไว้ด้านบนสุดของฝาผนัง ช่วยให้อากาศถ่ายเทได้ดีพอสมควร แต่มันก็พาเอายุงมาด้วย

แถมอากาศที่เริ่มเย็นทำให้ผมคิดถึงผ้าห่มจับใจ แต่ที่นี่ไม่มี ผมได้แต่เอาผ้าขนหนูกับโสร่งมาคลุมกาย

บรรเทาความหนาวเย็นเท่านั้น ผมไม่เคยมีประสบการณ์ออกมาค้างที่ไซท์งานแบบนี้

และพี่นิวก็ไม่เคยเล่าให้ผมฟังว่าเขาต้องมาทนอยู่ในสภาพไหนเวลาที่ต้องค้างที่แคมป์

ผมก็เลยไม่ได้เตรียมข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นมา

           พี่นิวขยับเข้ามานอนใกล้ ๆ แล้วกอดผมไว้ในอ้อมแขนช่วยให้อุ่นขึ้น

ผมเบียดกระแซะเข้าไปชิดแผงอกของพี่นิวอีกหน่อย ทั้งที่จริงแค่นี้ก็ชิดพอแล้ว

แต่ทำไมไม่รู้ สำหรับคนที่เรารัก ใกล้แค่ไหนก็ยังไม่พอ ผมขยับลงมาหนุนแขนให้นอนถนัดขึ้น

พี่นิวก็เลยเอาคางมาเกยหัวผม

          “หัวเหม็นอะ” แล้วตามด้วยเสียงหัวเราะในลำคอ

          ผมกำหมัดกระทุ้งไปที่หน้าอกเขาเบา ๆ....คนกำลังจะโรแมนติกอยู่แท้ ๆ บ่นออกมาได้ เสียบรรยากาศหมดเลย

แต่ผมก็นอนยิ้มได้อย่างมีความสุขกับไออุ่นจากกายของพี่นิว

      
      ผมเคลิ้มหลับไปตอนไหนไม่รู้ แล้วก็ตื่นตอนที่รู้สึกว่ามียุงบินหวึ่ง ๆ อยู่ข้างหู

มันน่ารำคาญมากเลยว่าไหม  ผมอยากจะยกมือขึ้นตบยุง แต่ติดตรงที่คนที่นอนกอดผมอยู่เขากำลังหลับสบาย

ก็เลยทำได้แค่ ยกมือขึ้นปิดหูเสียพอไม่ให้ได้ยินเสียง แต่นั่นก็ทำให้ผมหลับตาไม่ลงอีกเลย

      พอประสาทมันตื่นซะแล้ว สมองก็ทำงานของมันไปเรื่อยเปื่อย ผมกวาดสายตาไปรอบห้องที่มีเพียงความมืดมิด

ก็ใช่ว่าจะเห็นอะไร แต่ผมก็เห็น....
   
           ผู้ชายคนหนึ่งที่เกิดมาพร้อมทุกอย่าง หน้าตาดี ความรู้ดี ฐานะและความเป็นอยู่ดี

เขาไม่ต้องมานอนกลางดินกินกลางทรายอย่างนี้ก็ได้ แต่เขาก็มา เพราะนี่คือหน้าที่ความรับผิดชอบต่อครอบครัว

และเพื่อความหวังของใครอีกหลายคนในตระกูลที่ทุ่มเทมาให้เขา ด้วยว่าในอนาคตเขาต้องเป็นผู้นำ

ผมว่ามันเป็นภาระที่ยิ่งใหญ่เหลือเกินสำหรับคนหนุ่มวัยเลยเบญจเพสมาเพียงเล็กน้อยอย่างพี่นิว

           บ้านป่าห่างไกลความเจริญเป็นสถานที่ที่ไม่เคยอยู่ในความคิดของผมเลยว่าจะต้องมากินมานอนแบบนี้

ถึงจะมาทำงานก็เถอะ...ก็งานของผมอยู่ในตึกที่มีเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ

พี่นิวเองก็เถอะ....เขาจะอยู่แต่ในสำนักงานติดเครื่องปรับอากาศก็ยังได้

แต่เขาเคยบอกผมว่า....ถ้าเราไม่เคยเป็นลูกน้องเราจะก้าวขึ้นเป็นผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลได้ยังไง....

ผมเถียงเขาว่า....ผู้บริหารแบงก์ผมไม่เห็นจะเคยมาเป็นพนักงานเทลเลอร์เลยซักคน ก็เห็นเขาได้รางวัลผู้บริหารดีเด่นได้

....แต่เขาก็เป็นแค่ลูกจ้างใช่ไหมล่ะ กิจการเจ๊ง เสียหาย อย่างมากเขาก็เปลี่ยนงาน

แต่เจ้าของกิจการทำอย่างนั้นไม่ได้ เราปัดความรับผิดชอบไม่ได้ และถ้าไม่เหลือวิสัยจริง ๆ 

ไม่มีใครอยากปิดกิจการแล้วมีแต่หนี้ติดตัวหรอก

......พี่นิวก็เป็นผู้บริหารไงครับ ทำไมต้องลงมาทำอะไรเองหมดทุกอย่างแบบนี้ล่ะ

.......ก่อนเราจะก้าวไปถึงขั้นนั้นมันก็ต้องรู้ตั้งแต่ดินทรายที่เราเอามาถมที่ ไปจนถึงงานที่จะต้องประมูลนั่นแหละนู

เพียงแต่วันนั้นพี่ไม่ต้องลงมาดูไซท์งานเองเท่านั้นแหละ แล้วถ้าพี่ไม่เคยมาดูให้เห็นกับตา พี่จะรู้จักงานที่พี่ทำเหรอ

ไม่รู้จักงานแล้วพี่จะบริหารมันได้ยังไง ไหนจะความเป็นอยู่ของคนงานอีกล่ะ

ถ้าเราไม่เห็นความเป็นอยู่ ไม่เคยเห็นการทำงานของเขา เราจะปกครองเขาได้ยังไง

ในเมื่อเราไม่ได้ทำงานอยู่ตรงนี้ตลอดเวลา ลูกน้องบางคนก็เหลวไหล ถ้าตาเราสอดส่องมาไม่ถึง....

           ที่พี่นิวพูดมาทั้งหมดใช่ว่าผมจะไม่รู้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่าเขาจะลำบากลำบนไปทำไม

ในเมื่อมีลูกน้องข้างกายคอยรับคำสั่งอยู่แล้วตั้งสองคน ซึ่งผมมาคิดดูแล้วว่า การที่พี่นิวมีลูกน้องที่ไว้วางใจได้

และซื่อสัตย์ต่อเขาอย่างไม่ต้องเคลือบแคลงในพฤติกรรม ก็คงเพราะพี่นิวเป็นคนแบบนี้....

เขาเป็นคนใส่ใจคนรอบข้างเสมอ มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่ระดับความสัมพันธ์

และผมก็เชื่อว่าผมเป็นที่หนึ่งสำหรับพี่นิวเสมอ


           ผมอยากยกมือขึ้นลูบใบหน้าที่เห็นในเงามืด เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกเต็มตื้นที่อยู่ในหัวใจผมให้เขาได้รับรู้ว่าฃ

ผมภูมิใจในตัวเขามากแค่ไหน พร้อมกันนั้นก็รู้สึกเหมือนตัวเองช่างเล็กจ้อยเหลือเกินเมื่ออยู่ในอ้อมแขนที่ยิ่งใหญ่ของพี่นิว

ผมแทบจะไม่ได้ทำอะไรที่ดีและมีความหมายแสดงถึงความเป็นคนสำคัญอย่างที่พี่นิวทำอยู่เลย

เพราะบ้านผมก็แค่คนค้าขายธรรมดา ภาระหน้าที่ก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดที่ว่า

ถ้าขาดผมไปกิจการที่บ้านจะติดขัด ดำเนินต่อไปไม่ได้

      
      แต่ผมก็รักเขาหมดหัวใจ และด้วยความรักของผม ผมสัญญาว่าจะทำให้เขามีความสุข

ผมจะไม่ทำให้ชีวิตของพี่นิวต้องตกต่ำลงเพราะผม แม้ว่าความรักของเราจะอยู่ในเงามืด

แต่ถ้าในเงานั้นมีเพียงเราสองคน ผมก็จะไม่ปล่อยให้พี่นิวต้องเดียวดายเป็นอันขาด

ที่ไหนมีพี่นิว    ที่นั่นจะมีผม

       ผมมองเห็นอนาคตของเราสองคนที่จะอยู่ด้วยกันตลอดไป ไม่ว่าอุปสรรคที่ผ่านเข้ามาจะเลวร้ายแค่ไหนฃ

 เราสองคนจะฝ่าฟันไปด้วยกัน เรื่องราวที่ผ่านมาในอดีตของเราเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ดียิ่งกว่าคำพูดใด ๆ ว่า

ไม่ว่าเมื่อไรเราก็จะยังรักกันเสมอ

      

       แล้วผมก็นอนตื่นสาย หลังจากที่นอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยแล้วผล็อยหลับไปตอนไหนไม่รู้ตัว

ตื่นขึ้นมาพี่นิวก็ออกไปทำงานแล้ว แสงสว่างส่องลอดเข้ามาตามช่องลม....จ้าซะขนาดนี้ ไม่ต่ำกว่าเก้าโมงเช้าแน่ ๆ

ผมนึกบ่นพี่นิวในใจว่า ไม่ยอมปลุกผมบ้างเลย สายขนาดนี้ผมจะไปอาบน้ำในคลองได้ยังไง

ผมเปิดประตูออกไปเห็นห้องแถวคนงานปิดประตูกันหมด คงจะไปอยู่กันที่หน้างานห่างออกไปประมาณร้อยเมตร

พอจะทำให้ผมกล้าผลัดผ้าลงไปอาบน้ำในคลองได้ แต่พอเข้าไปทำธุระในสุขาหลังบ้าน

ผมก็เห็นโอ่งใบย่อมที่มีน้ำอยู่เต็ม เมื่อวานยังไม่เห็นโอ่งใบนี้เลย

ผมยิ้มออกมาด้วยความดีใจที่พี่นิวช่างเป็นห่วงเป็นใย และรู้ใจผมไปซะหมด

เขารู้ว่าผมอายที่จะอาบน้ำกลางแจ้ง และคงสั่งให้ใครเอาโอ่งน้ำมาวางให้ในนี้

         แต่แล้วผมก็ต้องหุบยิ้ม เมื่อนึกได้ว่า....แล้วผมจะเอาอะไรตักน้ำอาบล่ะนี่

          เฮ้อ..พี่นิวของผม....

        ก็เลยต้องใช้ขันใบเดียว (สำหรับล้างก้น) ที่มีนั่นแหละครับ ตักน้ำอาบให้มันเสร็จ ๆ ไป


          เราค้างกันสองคืนครับ เป็นสองคืนที่ค่อนข้างทรมานสำหรับผมด้วยความไม่เคยชิน และเพราะไอ้ยุงตัวเดิม (หรือเปล่า)

ที่มันคอยตอมหวึ่ง ๆ อยู่ข้างหูตอนที่ผมหลับ

           ตอนสาย ๆ ของวันต่อมาเราก็พร้อมเดินทางกลับ ก่อนขึ้นรถพี่ขนุนรองหัวหน้าคนงานมาส่งเราพร้อมกับเงาะถุงใหญ่

ที่เราสองคนกินยังไงก็ไม่หมด

        “แม่ให้เอามาให้คุณนิวครับ”

           “เกรงใจอะพี่หนุน ฝากขอบคุณแม่ด้วยนะ แต่สงสัยผมคงต้องแบ่ง ๆ ให้พรรคพวกอะ กินไงหมดเนี่ย”

           “แม่เขาก็คงคิดไว้แล้วว่าคุณนิวคงเอาไปแจกนั่นแหละ ถึงได้เก็บมาซะขนาดนี้”

           ผมเดินอ้อมมาเปิดประตูด้านผู้โดยสารเพื่อจะขึ้นไปนั่งรอ เพราะผมไม่คุ้นเคย ไม่รู้จะคุยอะไร

แต่ประโยคต่อไปของพี่ขนุนทำให้ผมต้องยืนค้ำหลังคารถ ขอฟังด้วยคนอย่างเสียมารยาท

           “นี่ก็ยังบ่นผมไม่เลิกว่าทำไมไม่ไปพักที่บ้าน อุตส่าห์ปัดกวาดเช็ดถูห้องไว้ให้”

           พี่นิวเหลียวมาดูผมแว่บหนึ่งแล้วก็หันกลับไปบอกลาลูกน้อง

           “ไปล่ะพี่หนุน เดี๋ยวจะถึงบ้านค่ำ”

           “ครับ ขับรถดี ๆนะครับคุณนิว...แล้วมาเที่ยวอีกนะครับคุณนู”

            ผมยกมือไหว้พี่ขนุน เพราะพี่เขาอาวุโสกว่าพี่นิวหลายปี ทำเอาพี่ขนุนรับไหว้แทบไม่ทัน

คงคิดไม่ถึงว่าผมจะทำ เพราะผมเป็นน้องพี่นิวก็เป็นเหมือนนายจ้างอีกคน

พี่นิวอาจจะต้องวางตัวในฐานะนายจ้าง แต่ผมอะ ไม่ต้องก็ได้

ผมถือว่าการยกมือทำความเคารพตามลำดับอาวุโสยังเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับสังคมบ้านเราอยู่

       ก่อนออกรถพี่ขนุนบอกพี่นิวว่า จะจัดการเรื่องคนงานเมื่อคืนวานให้เรียบร้อยไม่ต้องเป็นห่วง

ก็ไม่รู้ว่าเขาไปคุยอะไรกันตอนไหน ความจริงผมไม่ได้ติดใจที่โดนแซว คิดซะว่าก็แค่คนเมา

ส่วนพี่นิวผมมองไม่ออก จะว่าเป็นคนเก็บอาการก็อาจจะใช่ หรือเขาอาจจะไม่ใส่ใจเอาเลยก็ใช่อีก

       
     ระหว่างทางผมเอ่ยถามในสิ่งที่ยังคาใจที่ได้ยินมาจากพี่ขนุน

     “บ้านพี่ขนุนอยู่ไหนเหรอครับ”

          “ก็ไม่ไกลอะ”

          “เขาชวนเราไปค้างที่บ้านเหรอครับ”

          “ก็...อืม”

        “ทำไมไม่ไปอะ มันน่าจะสะดวกกว่านี้ไหมครับพี่นิว”

          “ก็สะดวก”

        ไอ้อาการถามคำตอบคำ มันชวนให้ผมสงสัยหนักกว่าเก่าอีกครับ จากที่รู้สึกแค่ตะหงิด ๆ ในใจ

ตอนที่พี่ขนุนบอกว่าเขาเตรียมที่พักไว้ให้แล้ว นั่นไม่ได้แปลว่าเขารู้ล่วงหน้าว่าเราจะมากันหรอกหรือ

แล้วทำไมผมยังต้องไปนอนตากยุงในเพิงแคบ ๆ ด้วยล่ะ

          “แล้วเวลาพี่นิวมาค้าง พี่นิวนอนที่เพิงนั่นทุกทีเหรอครับ”

          “ก็...ไม่....ไม่แน่อะ”

         “ไปพักบ้านแม่พี่ขนุนสิครับ”

         “ก็มีบ้าง”

          เสียงตอบชักอึก ๆ อัก ๆ แผ่ว ๆ หาย ๆ ไม่หนักแน่นเหมือนเวลาที่เขาตอบคำถามผมตามปกติ

ทำให้ผมนึกรู้แล้วว่าเขาแกล้งให้ผมนอนตากยุง ผมเลยทำหน้างอใส่ซะเลย

         “ดูนี่ดิ ผมโดนยุงกัดอะ”

         ผมยื่นแขนข้างขวาที่มีจุดแดง ๆ ของรอยยุงกัดเข้าไปใกล้ ๆ พอให้เขาเหลือบมามองได้

โดยไม่ต้องละสายตาจากถนนข้างหน้ามากนัก แต่เขาก็ไม่หันมา

         “พี่เห็นตั้งแต่เช้าเมื่อวานนี้แล้ว”

         ...อ้อ...แล้วก็ทนดูให้ผมโดนยุงกัดอะนะ ด้วยความหมั่นไส้ปนน้อยใจผมก็เลยนั่งเฉย ๆ ไม่พูดกับเขาเสียดื้อ ๆ

ชวนผมมาให้ลำบาก นี่ถ้าได้นอนสบาย ๆ ที่บ้านแม่พี่ขนุนผมก็คงไม่ต้องโดนยุงกัด

ไหนจะต้องนอนหนาวอีก ผ้าห่มก็ไม่มี

         พักใหญ่ ๆ กว่าที่พี่นิวจะจับมือผมแล้วก็พูดเป็นเชิงขอโทษ

          “ก็พี่อยากอยู่กับนูตามลำพังนี่ บ้านพี่หนุนก็ดีหรอก สะดวกสบายกว่าเยอะ มีห้องน้ำห้องส้วมเป็นสัดส่วน

อาหารการกินก็พร้อม แม่พี่หนุนเขาก็ต้อนรับพี่ดี แต่เขาก็อยู่กันหลายคน นอกจากพ่อกับแม่แล้วก็มีทั้งน้องชายน้องสะใภ้

หลานอีก 2 คน พี่หนุนเขายกห้องเขาให้พี่นอนทุกทีเวลาพี่มาดูงาน ส่วนเพิงนี่ก็สร้างไว้พักตอนกลางวัน

พี่ไม่เคยค้างหรอก ก็...ยุงมันเยอะอย่างว่า”

         ผมจะงอนต่อ หรือว่าจะหายงอนดี ตอนนี้คิดไม่ออกเลย

ก็ในคำสารภาพนั้นไม่ได้แปลว่าเขาแกล้งนี่นา เขาแค่ยอมให้เราอยู่ด้วยกันสองคนอย่างลำบากนิดหน่อย

แลกกับยุงอีกสองสามตัวที่มันเจาะเนื้อผม

         “แล้วยุงกัดพี่นิวหรือเปล่าอะ”

         ผมดึงมือออกจากมือเขา แล้วจับแขนเสื้อแจ็กเก็ตที่ยาวจรดข้อมือเลิกออกดู

เห็นจุดแดง ๆ ตามแขนไม่น้อยไปกว่าผมก็เลยน้ำตาซึม (สำออยเน้อะ)

ทำไมเขาต้องทำแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้ ใช่ว่าเราจะไม่เคยอยู่ด้วยกันตามลำพังเสียเมื่อไร

        พี่นิวหันมายิ้มให้....รอยยิ้มที่แสนอ่อนโยน มีไว้ให้ผมคนเดียวเสมอมา

ผมคว้าเป้ที่วางไว้บนเบาะหลัง หยิบขวดยาหม่องออกมาทาตรงรอยยุงกัด

ผมรู้ว่ามาทาเอาตอนนี้มันก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก แต่ผมก็อยากจะทำ

แล้วเขาก็นั่งนิ่ง ๆ ให้ผมทาอยู่อย่างนั้น

          จะว่าไปแล้ว นอกจากเรื่องนอนหนาวกับนอนตากยุง พี่นิวก็ทำให้ผมมีความสุขดี

แต่ผมคงต้องกลับไปเตรียมข้าวของเก็บไว้ท้ายรถพี่นิวบ้างแล้ว เผื่อว่าต่อไปถ้าต้องค้างที่แคมป์อีก

จะได้ไม่ต้องถูกยุงกัด
 
     ผมไม่สงสัยแล้วว่าพี่นิวอยู่ยังไง กินนอนยังไง เวลาที่ต้องมาดูงานเพราะได้มาเจอด้วยตัวเอง

แล้วผมก็นึกโทษตัวเองว่า ที่จริงควรจะใส่ใจเขาให้มากกว่านี้ พี่นิวไม่เคยบอกผมก็ไม่เคยถาม

ทั้งที่ถ้าผมถาม เขาก็จะพูดจะเล่าให้ฟังน่ะแหละ

มีอะไรอีกหลายอย่างที่ผมยังต้องเรียนรู้ที่จะทำให้คนที่ผมรักมีความสุข


      
       สามชั่วโมงต่อมาเราก็จวนจะถึงบ้านกันแล้ว ได้เวลาอาหารเย็นพอดี

เลยแวะกินข้าวเคล้าบรรยากาศยามสนธยากันที่ร้านอาหารบนเกาะ

มองออกไปทางทิศตะวันออกเป็นทะเลเรียบ ๆ ที่แสงของตะวันชิงพลบทอประกายเป็นเกล็ดสีเหลืองทอง

สะท้อนผิวน้ำยามต้องลม

          อาหารที่นี่ไม่ได้อร่อยมากมายอะไรนัก แต่ได้ชื่อว่าอาหารทะเลสดเท่านี้ก็พอแล้ว

          “อยากกินปูอะ”

          “เขาบอกว่ามันไม่สดพี่เลยไม่สั่ง กินเข้าไปดีไม่ดีเดี๋ยวท้องจะเสียเอา ไม่คุ้มกับที่อยาก”

          “สั่งเป็นผัดผงกะหรี่ได้ไหมอะ”

          “เดี๋ยวท้องเสีย”

          “ก็ผมอยากกิน”

          “งั้นย้ายร้านไหม ถามเขาก่อนว่าปูสดไหม ถ้าสดเราค่อยนั่ง”

           ผมลองชั่งใจ เดินเข้ามานั่งแล้วไม่สั่ง แต่ดันเดินไปถามร้านอื่น เขาจะว่าอะไรไหม

แล้วร้านอื่นปูจะสดไหม  ถ้ามันเหมือน ๆกัน จะกลับมากินร้านนี้อีกมันจะน่าเกลียดไหม

         “ไปเถอะ...แค่ร้านข้าง ๆ ก็ได้”

          พี่นิวตัดสินใจแทน แล้วทำท่าจะลุกจากโต๊ะจริง ๆ

          “ไม่ดีกว่าครับ นั่งร้านนี้แหละ ไม่เอาปูก็ได้”

           ผมจับแขนพี่นิวให้นั่งลง ไม่สนใจปูสดอีกต่อไป จากนั้นก็เปิดเมนูเลือกอาหารทะเลอย่างอื่น

รู้สึกผิดยังก็ไม่รู้ ที่ผมเหมือนจะกลายเป็นคนเรื่องมากกะอีแค่เรื่องกิน ทั้งที่แต่ก่อนไม่เคยเป็น....

นี่เพราะพี่นิวน่ะแหละ ตามใจจนผมเคยตัว (555 โทษเขาได้อีก)


             หลังอาหารพี่นิวก็ขับรถกินลมริมทะเล ถึงจะมองออกไปไม่เห็นทะเลเพราะเป็นเวลาค่ำแล้ว

แต่ผมก็ชอบที่จะฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่ง และเสียงลมล้อยอดสน

           เราจอดรถตรงลานซีเมนต์ที่มีรถจอดอยู่บางตา เพราะคนส่วนใหญ่กลับกันไปหมดแล้ว

สปอตไลท์จากเสาสูงสาดแสงสว่างจ้าไปทั่วชายหาดเพื่อให้ความปลอดภัยกับคนที่มาเที่ยว

แต่เราสองคนกลับเดินเลี่ยงออกไปในที่ที่แสงส่องไม่ถึงแล้วจับจูงมือกันเดิน

มันเป็นความสุขและความอิ่มเอมเล็ก ๆ ที่อยู่ในส่วนลึกของผม

ราวกับว่าผมได้ประกาศให้ชาวโลกได้รับรู้ในความสัมพันธ์ที่เรามีต่อกัน

ทั้งที่ความจริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น

          “เราลองนั่งตรงนี้จนเช้าได้ไหมพี่นิว”

          ผมหย่อนก้นลงนั่งบนทรายชื้น ๆ ให้ใกล้กับแนวคลื่นมากที่สุด แล้วยังดึงแขนอีกคนให้นั่งลงตาม

          “นั่งทำไม”

          “รอดูพระอาทิตย์ขึ้นไง”

          พี่นิวหัวเราะความคิดของผม แล้วบอกว่า

         “ถ้าอยากดูพระอาทิตย์ขึ้น เดี๋ยวตีห้าเรามากันอีกทีก็ได้”

          ผมเบะปากใส่พี่นิวด้วยความหมั่นไส้....ทำยังกับว่าเราไม่เคยมีแผนที่จะมาดูพระอาทิตย์ขึ้น

งั้นแหละ แล้วไงล่ะ...สุดท้ายเราทั้งสองคนก็ไม่เคยที่จะตื่นให้ทันเวลาได้สักที

         “อย่ามาโทษพี่”

          “ผมเปล่า”

           พี่นิวเอามือจิ้มหน้าผากผมจนหน้าหงาย แล้วก็บอกว่า จะเปิดโรงแรมริมทะเลนอนกันก็ได้

ถ้าผมอยากดูจริง ๆ แต่ผมว่ามันก็เกินไปนะ ที่นี่กับบ้านเราห่างกันแค่ขับรถไม่ถึงยี่สิบนาที

ค่าที่พักในโรงแรมริมทะเลก็ใช่ว่าจะถูก ๆ เราก็เลยแค่นั่งเล่นกันตรงนั้นอีกพักใหญ่ ๆ

นั่งไปนั่งมาผมก็ชักจะง่วง ก็เลยเอนลงพิงไหล่แข็ง ๆ ของคนข้าง ๆ

           “ไงอ่ะ เปลี่ยนใจนอนโรงแรมไหม”

           “ไม่เอาอะ เสียดายตังค์ พี่นิวอะครับ ง่วงไหม”

           “ยัง แต่กลับกันเลยก็ดีนะ นูท่าทางจะง่วง”

            แล้วเสียงโทรศัพท์ของพี่นิวก็ดังขึ้นขัดจังหวะการพูดคุยของเรา

           “ครับแม่”

       ..............

           “อยู่ริมทะเลครับ เสียงมันดังมากเลยเหรอ”

            พี่นิวพูดไปหัวเราะน้อย ๆ ไป คุณแม่คงได้ยินเสียงคลื่นแทรกเข้าไปเพราะเรานั่งอยู่ติดทะเลมาก ก็เลยถาม

ซึ่งปกติเวลาที่คุณแม่โทรมาเรามักจะอยู่ที่บ้าน

           “อ้าว...จะมาทำไมไม่บอกก่อน”

       .............

          “ครับแม่ กำลังจะกลับพอดี”

          .............

           “แม่จะเอาอะไรไหม ผมจะซื้อไปฝาก”

       ............

            “ได้ครับแม่”

            พี่นิวกดวางสายแล้วยังมองโทรศัพท์นิ่งอยู่ด้วยท่าทางมีกังวล

            “คุณแม่มาเหรอครับพี่นิว”

         “อืม...มีอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไม่เห็นบอกก่อนว่าจะมา”





ออฟไลน์ muiko

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +98/-3
พี่นิวน่ารักอ่ะ แถมรักนูมากๆๆด้วย
เข้าใจพี่นิวผิดซะตั้งนาน
ต้องขอโทษที่ว่าพี่นิวไว้เยอะพอสมควรเลย :sad4:

รอตอนต่อไปค่ะ :pig4:

ออฟไลน์ gang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 144
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
 :กอ :กอด1:อิจฉาจัง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ bobie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2182
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +269/-7
พอเรื่องไม่ดีผ่านไป
ก็กลับมาหวานกว่าเดิมอีก
น่ารักมากๆเลย
ต่างคนต่างใส่ใจกับอีกฝ่าย

ออฟไลน์ took-ta_naka

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 604
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +216/-10
 o13  น่ารักมากมาย 

โจ๊กกุ้ง

  • บุคคลทั่วไป
ตอนท้ายๆเหมือนจะมีมาม่านะคะ

ออฟไลน์ gambee

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 451
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
โชคดีทั้งคู่ที่ยังรักกันเสมอมาจนได้อยู่ด้วยกันในที่สุด
แต่...จะเกิดอะไรขึ้นอีกหนอ :L2:

namtarn11

  • บุคคลทั่วไป
อบอุ่นจัง

ออฟไลน์ NuNew

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-2


นั่งกดเป็ดเหลืองย้อนหลังให้ทุก ๆ คอมเม้นท์ครับ

ละเลยคำขอบคุณไปนานเลย

ก็พอดีได้อ่านทุก ๆ คอมเม้นท์ซ้ำไปอีกที

พี่นิวเค้าตามมาอ่านด้วย พออ่านซ้ำแล้วก็ิยิ้ม ๆ ครับ

แถมมาเจอที่ผมเอาคำพูดเค้ามาบอกว่า ถึงตอนดี ๆ ของเค้าก็เล่ามั่ง ก็ิยิ่งขำ

ผมเลยได้มาอีกดอก.....กะจะเอามาเขียนทุกเม็ด ไม่ให้ตกหล่นเลยใช่มั้ย.....

ทำไงได้ วิถึทางทำมาหากินของผมอะเนอะ 555


รอสักครู่นะครับ ผมกำลังจัดหน้าตอนใหม่ ....เดี๋ยวเจอกันครับ

vvhite

  • บุคคลทั่วไป
ไม่ค่อยได้เข้ามาอ่านนาน
มัวแต่ทำการบ้าน 5555
พี่นูกับพี่นิวยังน่ารักเหมือนเดิมเลย  :กอด1:
      ปล. เป็นกำลังใจให้พี่นูนะครับ :L2: :L2: 

ออฟไลน์ NuNew

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-2



           กลับถึงบ้านไม่ดึกมาก คุณแม่กำลังรอพี่นิวอยู่ในห้องหนังสือ เป็นอันรู้กันว่า

มีเรื่องสำคัญจากทางโน้นจะพูดด้วย ผมก็เลยปลีกตัวขึ้นบ้าน ทำธุระส่วนตัวเสร็จก็เข้านอนเลย

แต่ก็ไม่ลืมที่จะเข้าไปเตรียมชุดนอนให้พี่นิวไว้ที่ห้องของเขา


           เสียงเปิดประตูเบา ๆ ก่อนตัวคนเปิดจะมาหย่อนตัวนั่งบนเตียงผม ทำเอาที่นอนยวบเลย...พ่อคนตัวหนัก

      “กี่ทุ่มครับเนี่ย”

      “เที่ยงคืนแล้ว”

      “คุณแม่คุยนานจัง เรื่องสำคัญเหรอครับ”

      ที่ผมว่านานเพราะตั้งแต่ถึงบ้านตอนยังไม่ถึงสามทุ่มดี จนถึงเที่ยงคืนนี่ก็เกือบสามชั่วโมง

พี่นิวก็ยังใส่ชุดเดิมแสดงว่าเพิ่งคุยกันเสร็จ ปกติคุณแม่ไม่ค่อยคุยอะไรนาน ๆ ขนาดนี้เลยครับ

      พี่นิวพยักหน้า แล้วเกลี่ยเส้นผมบนหน้าผากผมเบา ๆ

      “ไปนอนเหอะ ดึกแล้วนะครับ แล้วพรุ่งนี้อะ....พี่นิวจะไปทำงานกี่โมง”

      “พรุ่งนี้จะไปโน่น ย่าให้มาตาม”

      “โทรมาก็ได้นี่ครับ ทำไมคุณแม่ต้องมาเอง”

      ผมอดแปลกใจไม่ได้ ลางสังหรณ์บางอย่างเตือนผมว่า เรื่องนี้พิเศษกว่าครั้งไหน ๆ ที่ผ่านมา

นอกจากคุณย่าที่ไม่เคยตามตัวให้ไปพบแล้ว คุณแม่ยังต้องมาบอกด้วยตัวเองอีก หรือว่าบางที

คุณแม่จะมาเตือนว่าคุณย่าจะพูดเรื่องอะไร เลยต้องมาบอกให้พี่นิวเตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อน

แต่ผมก็นึกไม่ออกอยู่ดีว่าจะเป็นเรื่องอะไร.....ก็เพราะผมรู้ตัวอยู่เสมอว่า

จะอย่างไรผมก็ยังเป็นคนนอกสำหรับคนในตระกูลนี้อยู่ดี นอกจากความเป็นลูกบุญธรรมของคุณพ่อคุณแม่พี่นิวฃ

เป็นน้องชายนอกไส้ของพี่นิว ผมก็แทบจะไม่ได้ก้าวเข้าไปมีส่วนแม้เศษเสี้ยวในตระกูลนั้นเลย

ดังนั้นไม่ว่าเรื่องอะไร ถ้าครอบครัวพี่นิวไม่เอ่ยปากออกมา ผมก็ไม่เคยแทรกตัวเข้าไป


         วันรุ่งขึ้นพี่นิวกับคุณแม่ออกรถไปกันแต่เช้า ผมตื่นขึ้นมาส่งขึ้นรถก่อนที่ตัวเองจะไปทำงานบ้าง

สีหน้าพี่นิวยังดูมีกังวลอยู่ทำเอาผมเป็นห่วงไม่หาย แต่ถ้าเขาไม่เอ่ยปาก ผมก็ไม่กล้าถาม

เรื่องที่คุณแม่พูดกับพี่นิวเมื่อคืนนี้ ถ้าเป็นเรื่องที่ผมจำเป็นจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง คุณแม่ก็คงจะบอกกับผมแล้ว

และแม้แต่พี่นิวเอง ก็คงจะพูดให้ผมฟังบ้าง ความกังวลที่เขาแสดงออกมาทางสีหน้า ก็คงเป็นเรื่องธรรมดา ๆ

ที่ท้ายที่สุดแล้วพี่นิวของผมก็จะจัดการมันได้สำเร็จเหมือนทุกครั้ง ผมก็เลยพยายามตัดมันออกจากความคิดไป

เพราะงานของผมต้องใช้สมาธิ...นับเงินนี่ครับ สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวก็พลาดได้ง่าย ๆ

ทั้งที่ก็แค่นับหนึ่งถึงห้าสิบให้ครบนี่แหละ แต่บางทีมันก็พลาดเอาดื้อ ๆ

มันไม่ดีทั้งนั้น ไม่ว่าจะนับขาดหรือเกิน


      
     ผมอยู่บ้านคนเดียวได้สามวัน พี่นิวก็กลับมาคนเดียว สีหน้ายังคงมีริ้วรอยกังวลปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน

ผมทำได้เพียงคอยดูแลสิ่งต่าง ๆ ไม่ให้รบกวนอารมณ์พี่นิวซ้ำเข้าไปอีก เพราะผมไม่รู้จริง ๆว่าเขาเป็นอะไร

ผมรู้แต่เพียงว่า เวลาที่พี่นิวไม่สบายใจ ผมอยากทำอะไรก็ได้ให้เขารู้สึกดีขึ้น

           อย่างเวลานี้ ซึ่งเป็นเวลาก่อนจะเข้านอน หลังจากที่ผมเตรียมเสื้อผ้าให้พี่นิวเสร็จแล้ว

ผมก็ยังไม่กลับห้องของตัวเอง ผมวางเตาน้ำมันหอมระเหยอังด้วยเทียนไขอันเล็ก ๆไว้บนโต๊ะที่หัวเตียงด้วย

วันนี้ผมเหยาะกลิ่นลาเวนเดอร์ลงไป เพื่อช่วยให้อารมณ์ผ่อนคลาย ผมหยิบครีมนวดฝ่าเท้ามารอไว้

ตั้งใจจะนวดเท้าให้พี่นิวจนกว่าเขาจะหลับ

           พี่นิวเดินออกจากห้องน้ำด้วยผ้าเช็ดตัวผืนเดียว เนื้อตัวยังเปียกไปด้วยหยดน้ำ แถมหัวยังเปียกอีกด้วย
      “ทำไมสระผมกลางคืนล่ะครับ”

      “มันตึง ๆ มึน ๆ”

      “งั้นเป่าผมให้แห้งก่อนดีกว่านะครับ นอนทั้งที่หัวยังเปียกอยู่เดี๋ยวจะเป็นเชื้อรา”

           ผมลุกออกไปหยิบไดรเป่าผมที่ห้อง กลับเข้ามาพี่นิวก็นั่งเหม่ออยู่บนเตียงแล้ว

อาการแบบนี้ไม่เหมือนทุกครั้งที่เขามีเรื่องไม่สบายใจ เห็นแล้วชวนให้วิตก จะดีกว่าไหมถ้าเขาจะพูดออกมาให้ผมฟังบ้าง

บางทีเพียงแค่มีใครรับฟัง เรื่องหนักอกมันก็อาจจะเบาลงได้

         ผมทำเป็นไม่สังเกตความเป็นไปของเขา เป่าผมให้เสร็จแล้วก็หยิบเสื้อผ้ามาให้สวม จับให้นอนก็นอน

พี่นิวก็ทำตามไปเหมือนหุ่นยนต์
   
       “จะทำอะไรน่ะนู”

         เค้าถามเมื่อผมนั่งขัดสมาธิ เอาหมอนใบเล็กวางบนตักเพื่อหนุนเท้าให้

      “นอนเฉย ๆนะครับ ผมจะนวดเท้าให้”

         ผมตักเนื้อครีมสีขาวนวลออกมาทาให้ทั่วตั้งแต่ข้อเท้าจนถึงปลายนิ้วเท้า แล้วค่อย ๆ นวดคลึงไปตามสัญชาตญาณ

ตามที่เคยเห็นการนวดฝ่าเท้ามาบ้าง เวลาไปเป็นเพื่อนน้าของผมที่สถานที่นวดแผนโบราณ

แต่ผมไม่เคยใช้บริการ เพราะดูมันยังไม่จำเป็นสำหรับผม และผมก็ชอบใช้ครีมทาเท้า

เลยคิดว่าเอามาประยุกต์ ใช้กับพี่นิวแทนน้ำมันนวดที่เขาใช้น่าจะดีกว่า

         ลูกค้าของผมหลับตาพริ้มทีเดียว แต่ผมรู้ว่าเขายังไม่หลับ นาน ๆ ครั้งก็จะถอนหายใจแรง ๆ ออกมาทีหนึ่ง

      “พี่นิว....ผมเล่านิทานให้ฟังเอาไหม”

      “หือ?”

      พี่นิวลืมตาขึ้นมามอง

      “นิทานอะไร”

      “อะไรก็ได้ครับ พี่นิวอยากฟังเรื่องอะไรอะ”

       พี่นิวหัวเราะขำผม แล้วก็ส่ายหัว ไม่พูดอะไรต่อ ที่จริงผมก็นึกไม่ออกว่าจะเล่านิทานเรื่องอะไร

ไอ้ที่เคยอ่านสมัยเด็ก ๆ มันก็ลืม ๆ ไปมั่งแล้ว เอามาเล่าเดี๋ยวจะเพี้ยน แต่ผมก็ไม่อยากอยู่เงียบ ๆ

ก็เลยชวนคุยเรื่องโน้น เรื่องนี้ พอหมดมุกเข้าก็วกเข้ามาเรื่องเพื่อนสนิทของเราเอง

      “ปืนชวนไปเที่ยวบ้านเขาอะครับพี่นิว”

      “บ้านไหน...บ้านพ่อแม่เขาน่ะเหรอ”

      “ก็งั้นสิครับ บ้านที่นี่จะชวนทำไม เราอยากไปเมื่อไรเขาก็ไม่ว่าอยู่แล้ว”

      “เมื่อไรอะ แต่อาทิตย์หน้าพี่ไม่อยู่นะ จะไปต่างจังหวัด ดูงานที่แคมป์”

      “ไปค้างเหรอครับ”

      “ค้างไม่ได้หรอก แต่ต้องไปทุกวัน ออกตอนเช้า พอบ่ายสองก็ต้องรีบกลับแล้ว”

          อย่างที่รู้กันว่าเหตุการณ์ในเขตสามจังหวัดบางพื้นที่ยังไม่สงบ คนที่จะเดินทางไปที่นั่นต้องรู้จักเส้นทางดี

และต้องรู้ว่าเวลาไหนควรจะออกจากพื้นที่นั้นได้แล้ว ซึ่งพี่นิวก็ได้อาศัยลูกน้องที่เป็นคนในท้องถิ่น

คอยบอกความเคลื่อนไหวให้อยู่

           ผมแอบบ่นว่าทำไมยังต้องประมูลงานแถวนั้นด้วยก็ไม่รู้ พี่นิวบอกว่างานนี้บริษัทเราไม่ได้ประมูลเอง

แต่รับช่วงมาจากบริษัทที่ประมูลโครงการได้ เราทำเฉพาะส่วนที่ถูกว่าจ้างแกมขอร้องให้ทำ ผมก็เข้าใจดีครับ

เพราะว่ากิจการรับเหมาทำโครงการใหญ่ ๆ บางครั้งก็จำเป็นต้องว่าจ้างบริษัทที่มีความชำนาญเฉพาะด้าน

มารับช่วงเป็นส่วน ๆ ไป ถ้าประเมินแล้วว่าตัวเองทำได้ไม่ดีพอ หรือไม่คุ้มค่าแรง ค่าเช่าอุปกรณ์

และที่เราต้องรับมาก็เพื่อรักษาพันธมิตรทางธุรกิจไว้ เพราะหลายครั้งที่เราเองก็ต้องส่งงานต่อให้บริษัทอื่นรับไปเหมือนกัน

แต่ขนาดว่ารับช่วง งานนี้ก็มีมูลค่าหลายสิบล้าน แล้วก็ตามเคยครับ พี่นิวจะเป็นคนไปตรวจงานเองทุกที

ทั้งที่คุณพ่อเคยบอกไว้ว่าให้ลูกน้องคนที่ไว้ใจได้หน่อยไปดูให้ก็พอ เพราะท่านก็ห่วงลูกชายคนเดียวไม่น้อย

แต่คุณพ่อก็คงทราบดีเหมือนกันว่า ลูกชายคุณพ่อน่ะ....ดื้อ ห้ามยังไงก็ไม่ฟัง คงมีแต่ผมที่นั่งรออย่างใจจดใจจ่อ

หลังจากที่เขาโทรบอกว่าออกจากที่นั่นแล้ว

      “แล้วปืนจะไปวันไหน”

      “เสาร์หน้าครับ พี่นิวเสร็จงานวันไหนนะ”

      “ถ้าไม่ศุกร์ก็เสาร์ ยังไม่แน่เลย”

      “งั้นผมไม่ไปก็ได้ ถ้าพี่นิวไม่อยู่ผมไม่ไปดีกว่า”

      “อยากไปก็ไปได้นี่ ค้างคืนหรือเปล่า”

      “ค้างคืนเดียวครับ กลับเช้าวันอาทิตย์ เพราะวันจันทร์ทำงาน ไม่อยากกลับค่ำอะ กลัวจะเมารถแล้วเพลีย

เช้าวันจันทร์จะลุกไม่ไหว”

      “นั่นสิ นูนี่เป็นไงไม่รู้นะ เมารถไม่หายซะที”

      “ก็ยังดี....”

         ผมลากเสียงยาว กะจะจิกคนไม่เมารถ แต่ชอบเมาเหล้าซะหน่อย

      “ดียังไง เมารถเนี่ยนะ จะไปเที่ยวที่ไหนก็ไม่สนุก เมาแล้วก็อ้วก”

          นักดื่มยังไม่รู้ว่าจะโดนเล่น

      “ดีกว่าเมาเหล้าแล้วให้ผมคอยเช็ดอ้วกไง”

          ขาสองข้างของพี่นิว ยกขึ้นมาพร้อมกันพาดตรงบ่าผมแล้วหนีบเข้ากับคอ พร้อมกับเสียงหัวเราะที่ตามมาของพี่นิว

ผมคว้าขาเขาจับถ่างออกแล้วโถมลงไปทับคนที่นอนหัวเราะอยู่อย่างแรงจนไอแค่ก ๆ

      “โอ๊ย....จุก...ล้มลงมาได้ คิดว่าตัวเองเบานักหรือไง”

      “ดี...สมน้ำหน้า ทีตัวเองนอนทับเค้า ไม่คิดว่าเค้าก็หนักหรือไง”

      “ไม่เห็นเคยบ่น”

      “บ่นจนเลิกบ่นไปนานแล่ว”

          พี่นิวจับตัวผมพลิกให้ลงนอนข้างล่าง แล้วตัวเองก็ขึ้นไปนอนทับผมแทน...ตัวหนักเหมือนเดิมครับ

ที่จริงน่าจะหนักขึ้นด้วยแหละ คนอะไรยิ่งโตตัวยิ่งใหญ่....ใหญ่ไปหมดทุกส่วน 555

      “คืนนี้นอนห้องพี่นะ”

         ผมส่ายหน้าดิก....ไม่เอาหรอก ผิดกติกา

      “นวดเท้าพี่นิวเสร็จแล้ว ผมก็จะไปนอนครับ ง่วงแล้ว”

      “ง่วงก็นอนที่นี่แหละ”

           ผมส่ายหน้ายิ้ม ๆ ไม่ได้เล่นตัวหรอกครับ แต่บ้านเราไม่ได้มีแค่เราสองคน จะทำอะไรตามใจชอบไม่ได้

ขนาดว่าไม่ได้นอนห้องเดียวกัน ทุกครั้งที่ผมจะออกจากห้องพี่นิว หรือว่าพี่นิวออกจากห้องของผม

ผมจะต้องคอยสำรวจความเรียบร้อยว่า ทำอะไรตกหล่นไว้บ้างหรือเปล่า อย่างพวกชิ้นเล็กชิ้นน้อย เสื้อผ้า

ผมระมัดระวังจนมันกลายเป็นนิสัยติดตัวไปแล้ว ไม่งั้นตอนพี่นางขึ้นมาทำความสะอาด

ก็อาจจะพบเห็นอะไรที่ชวนให้คิดเตลิดเปิดเปิงเอาได้

          นัวเนียกันพักเดียวก็ได้เรื่อง พอเครื่องร้อนแล้วก็หยุดไม่ได้ ครั้งนี้ผมรู้สึกได้ถึงความตึงเครียดของพี่นิว

ที่ผมเห็นมาหลายวัน บทรักของเขาดูมันเฉื่อย ๆ เนือย ๆ อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

แถมยังไม่เป็นฝ่ายเล้าโลมผมเสียอีก ทั้งที่ปกติเราก็ช่วยกันดี แต่คราวนี้ต้องเป็นผมที่พยายามปลุกเร้าให้เขาตื่นตัว

แล้วยังใช้เวลานานเสียจนผมแทบจะหมดอารมณ์ไปเลย


       ผมกลับมานอนที่ห้องของตัวเองหลังจากพี่นิวหลับไปแล้ว ด้วยความคิดที่ยังค้างคาใจ ผมอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

มันร้ายแรงแค่ไหน ผมอยากช่วย แต่ก็ไม่กล้าพอที่เอ่ยปากถาม ผมไม่เคยตั้งสัตย์ปฏิญาณว่า

จะไม่ก้าวก่ายเรื่องภายในครอบครัวของพี่นิว หากในส่วนลึกผมก็ทำเช่นนี้มาตลอด จะดีไหมนะ

ถ้าผมจะละเมิดความตั้งใจของตัวเองสักครั้ง

      พรุ่งนี้เถอะ....ผมจะถามเขา ช่วยได้หรือไม่ได้ผมไม่สนแล้ว ขอเพียงได้แบ่งเบาความทุกข์ใจ

จากคนที่ผมรักมาบ้างเป็นพอ


        วันนี้เป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ เราสองคนได้อยู่กับบ้านเพื่อพักผ่อน ผมก็เข้าครัวทำของกินเล่นมาเสิร์ฟพี่นิว

ที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ที่ห้องโถงชั้นบน แล้วอยู่ ๆ พี่นิวก็พูดขึ้นมาว่าอยากมีกิจการเป็นของตัวเอง

      “เท่านี้ยังเหนื่อยไม่พอเหรอครับ”

         ผมย้อนถามเขาเล่น ๆ ไม่คิดสักนิดว่าเขาจะตั้งใจจริง

      “ไม่ได้ไปแบกหาม จะเหนื่อยอะไรนักหนา เหนื่อยแบบพี่ พักเดี๋ยวเดียวก็หาย”

      “จะทำอะไรล่ะครับ บริษัทรับเหมาเหรอ”

      “จะทำไปทำไมอีก”

      “อ้าว....ก็ผมเห็นบริษัทอื่นเขาเปิดบริษัทลูกรอรับช่วงงานประมูลจากบริษัทแม่ หรือไม่ก็

เอาไว้ยื่นซอง กันบริษัทคู่แข่งไง”

      “อืม...น่าคิดเนอะ เอาไว้รับช่วงงานบริษัทเราเอง แต่ไม่ดีกว่า ถ้าพ่อเขาเห็นว่าดี เขาคงทำไปแล้วล่ะนู

พี่อยากทำธุรกิจรักษาความปลอดภัย”

      “ยามเนี่ยนะ”

      “แนว ๆ นั้น แต่เราไม่ได้ทำแค่ยามนะ พี่กะว่าจะมีบอดี้การ์ดด้วย”

      “เราไม่มีประสบการณ์เลยนะครับ”

      “ใช่ มันก็ต้องใช้เวลา แต่พี่มีคนรู้จักที่พอจะปรึกษาได้ อาจจะให้เขามาเป็นคนดูแล”

         พี่นิวเอ่ยชื่อนายทหารคนหนึ่งที่เคยมาบ้านเราสมัยที่คุณแม่ยังไม่ปิดกิจการ ตอนนั้นคุณแม่เรียกเสธ.

แต่ตอนนี้ตำแหน่งคงจะก้าวไปไกลกว่านั้นแล้ว เป็นที่รู้กันว่าท่านเป็นคนกว้างขวางมาก คุณพ่อของเสธ.

เป็นนายตำรวจนอกราชการที่เกษียณอายุในตำแหน่งที่ใหญ่พอดู และยังพอมีบารมีอยู่บ้าง

      “ระดับนั้นเขาไม่มาทำงานกะเราหรอกมั้งครับ”

      “ซื่อจริง....พี่แค่เอาชื่อมาเท่านั้นแหละ แล้วท่านก็อาจจะให้ลูกน้องมาคอยดูแลให้”

      “หุ้นลม?”

      “ใช่”

         หลังจากนั้นพี่นิวก็วาดวิมานในอากาศให้ผมฟัง โดยภาพรวมก็ดีอยู่นะ แต่มาไม่ดีเอาตอนท้ายนี่แหละ

      “ต่อไปโบนัสของนูก็เอามาลงหุ้นกับพี่”

         ฮื้อ!!!!

      “เอาไปทำมายยยยย ไม่กี่ตังค์เอง”

      “ไม่เป็นไร สิ้นปีพี่มีปันผลให้ด้วยนะ ไม่ดีเหรอ มันจะได้งอกเงยไง”

      “แล้วถ้าไม่มีกำไรล่ะครับ”

       พี่นิวดีดนิ้วกับปากผมเบา ๆ

      “ปากนะ”

      “เจ็บอะ”

          ผมบ่นไม่จริงจังอะไรนัก เพราะพี่นิวก็แค่ล้อเล่นเหมือนกัน แต่ถึงกระนั้นเขาก็จุ๊บเบา ๆ ลงตรงที่เขาทำให้เจ็บ

เป็นการปลอบขวัญ

          แล้วผมก็สบโอกาสที่จะได้ถามอย่างที่ผมตั้งใจไว้เมื่อคืนนี้

      “ช่วงนี้พี่นิวมีเรื่องอะไรไม่สบายใจเหรอครับ”

      “หืม...ทำไมเหรอ”

          ผมว่าเขารู้ว่าผมถามถึงอะไร และคงไม่ค่อยเต็มใจจะตอบ ก็เลยย้อนถามด้วยประโยคซื้อเวลา

เผื่อผมจะไม่ใส่ใจจริงจัง แต่เมินซะเถอะ ผมหมายมาดมาหลายวัน อยากรู้เต็มแก่แล้ว

ก็เลยย้ำความอยากรู้ของตัวเองอีกที ทีนี้จากที่อารมณ์ดี พูดเรื่องกิจการใหม่เป็นต่อยหอยอยู่ตะกี้

พี่นิวก็เข้าโหมดเดิม   
   
      “ผมเห็นพี่กังวลตั้งแต่ก่อนไปหาคุณย่าแล้วอะ กลับมาก็ยังเหมือนเดิม”

      “ก็ไม่มีอะไร คุณย่าเรียกไปคุยอะไรนิดหน่อย คนแก่น่ะ ไม่เห็นหน้าเรานาน ๆ ชักคิดถึงล่ะมั้ง

แล้วก็อยากให้พี่ไปเยี่ยมย่าเล็กด้วย”

         ใจผมน่ะฟังแล้วไม่อยากจะเชื่อ แต่ในเมื่อพี่นิวบอกแค่นี้ ผมก็จำต้องรับไว้แค่นี้ จะว่าไปวันนี้

เขาดูดีขึ้นกว่าเมื่อวานเยอะเลย ยิ้มได้ หัวเราะได้ หัวคิ้วไม่ชนกันแล้ว ทำให้ผมคิดว่าเขาคงหาทางแก้ปัญหาได้แล้ว

      “พี่นิวครับ ตกลงผมไม่ไปบ้านปืนแล้วนะ”

      “อ้าว...ทำไมอะ เค้าอุตส่าห์ชวน”

      “ก็อุตส่าห์ชวนจริง ๆอะแหละ ไม่ได้เต็มใจสักนิดนึง บังเอิญผมนั่งอยู่ด้วยไง ถึงได้ออกปากชวน

ที่จริงเขาอยากไปกับปอสองคนมากกว่า”

      “อ้อ...ฮ่า ๆ ก็ดี จะได้ไม่ไปเป็นก้าง”

      “ก็นั่นแหละ ถ้าพี่นิวไปด้วยผมจะได้มีเพื่อนไง ไม่ต้องไปทนดูเขาหวานกันต่อหน้าต่อตาให้อิจฉาเล่น”

      “จะไปอิจฉาเขาทำไม”

          พี่นิวคว้าคอผมเข้าไปหนีบไว้ใต้วงแขน (จั๊กกะแร้) ก็เพราะอีแบบนี้แหละ ผมถึงได้อิจฉาคู่นั้นไง....

ก็ไอ้ท่าล็อกคอเนี่ย มันไม่เห็นจะหวานตรงไหนเลย



      
       บรรยากาศวันหยุดถึงแม้อากาศจะร้อนนิดหน่อย แต่ระหว่างเรามันก็ชื่นมื่นดี

จนกระทั่งคนที่ทำลายบรรยากาศนั้นคือผมเอง

          คุณชายนิวนั่งเอกเขนกพิงหมอนขวานใบใหญ่ โดยมีผมปรนนิบัติราวกับทาสด้วยความซื่อสัตย์อยู่ใกล้ ๆ

ผมทำอะไรให้เขาได้หมดแหละ นี่ก็กำลังป้อนเฟรนช์ฟรายด์ใส่ปากให้ ในขณะที่คนกินนั่งดูโทรทัศน์ไป

เปิดหนังสืออ่านเล่นไป แต่...........

      “อย่าให้หกเลอะเทอะสิพี่นิว อ้าปากกว้าง ๆ”

       ผมป้อนเฟรนช์ฟรายจิ้มซอสใส่ปากพี่นิว แต่คุณชายอ้าปากช้าไปหน่อย ซอสก็เลยหกลงบนอกเสื้อเขา

ผมล่ะหมั่นไส้ ไม่หยิบกินเองแล้วยังไม่ยอมอ้าปากอีกแน่ะ แล้ววันนี้เขาก็ใส่เสื้อขาว รอยซอสเป็นดวงโตบนเสื้อ

ทำให้ผมต้องแยกออกมาซักมือต่างหาก เสียเวลาออกจะตาย ไม่งั้นพี่นางก็โยนเข้าตู้ซักเหมือนตัวอื่น ๆได้เลย

      “ดูทำ ๆ ผมต้องลงน้ำยาซักอีกแล้วอะ”

      “ให้นางทำไปสิ”

      “งานเขาเยอะอยู่แล้ว ต้องมานั่งซักมือกะอีเสื้อตัวเดียวเนี่ยนะ”

      “พี่ไม่เห็นเขาจะเคยบ่นเลย มีแต่นูแหละ บ่นนั่นบ่นนี่”

      “หา......ว่าผมขี้บ่นเหรอ”

           พอโดนว่าผมก็ชักฉุน นั่งเฉย ๆเป็นคุณชาย ยังจะมาว่าคนที่คอยปรนนิบัติ แบบนี้มันใช้ไม่ได้

      “ว่าที่ไหน พี่พูดเรื่องจริงทั้งนั้น”

          พี่นิวพูดเรื่อย ๆ ทั้งที่ตายังมองโทรทัศน์อยู่และไม่ได้หันมาดูว่าตอนนี้ผมเริ่มจะตาเขียวใส่แล้ว

      “งั้นก็อย่ากง อย่ากินมันเลย”

          ผมฉวยจานเฟรนช์ฟรายกับถ้วยซอสออกไปวางให้ไกลมือ

      “อะไร....พูดแค่นี้ทำเป็นโกรธอีกแล้ว นี่ก็อีก ขี้โกรธ ขี้งอนที่หนึ่งเลย”

           ผมหันขวับไปส่งสายตาอาฆาต แต่ไม่โต้ตอบด้วยวาจา คราวนี้ไม่พูดพล่ามทำเพลง ผมรวบของกินทั้งหมด

เดินลงบันไดบ้านมาเลย แล้วก็ไม่กลับขึ้นไปอีก ไม่อยากอยู่ใกล้กัน เดี๋ยวอดไม่ได้ผมอาจจะพูดอะไรร้าย ๆ ออกไปอีก

ก็เลยใช้เวลานั้นเดินดูต้นไม้บ้าง เข้าครัวดูป้าทำกับข้าวบ้าง จนอารมณ์ค่อยเย็นลง


           การที่ผมเดินออกมาจากตรงนั้นทำให้ผมได้คิดหลายอย่าง จะว่าไปมันก็เป็นเรื่องปกติ

ที่เมื่อเราไม่ได้อยู่ในพื้นที่ของการเผชิญหน้า จิตใจก็สงบ สติก็เริ่มมา ทำให้การคิดตริตรองของเรามีเหตุมีผลขึ้น

ผมเป็นคนใจร้อนโดยสันดาน แต่ใครที่ไม่สนิทสนมด้วยคงมองไม่ออก เพราะภายนอกผมจะนิ่ง ๆ

และ(ค่อนข้าง)สุภาพ ในขณะที่พี่นิวจะเยือกเย็นและสุขุมกว่า จนบางทีผมว่าเขาเรื่อย ๆ เฉื่อย ๆ จนน่าโมโห

และยิ่งไปกว่านั้น ผมมักจะออกอาการหงุดหงิดทุกทีเวลาที่เขาทำเป็นไม่เห็นว่าผมกำลังไม่พอใจ

ส่วนที่มาของความไม่พอใจของผมก็หลากหลายเหลือเกิน มีสาระบ้าง ไม่มีสาระบาง แต่พี่นิวก็ทนผมได้ทุกเรื่อง

จะว่าไปแล้วเขาก็ตามใจผมเป็นส่วนใหญ่......คิดไปคิดมา ผมก็ขี้โกรธ ขี้งอนอย่างเขาว่าจริง ๆ ด้วย


         พออารมณ์ดีผมก็นึกถึงเขาว่า ป่านนี้อาจจะหลับปุ๋ยอยู่หน้าโทรทัศน์ไปแล้ว ถ้าเราอยู่ด้วยกัน

ก็คงจะคุยกันไป ดูหนังไป แต่อยู่คนเดียวเฉาปาก อาจจะสนิทนิทรารมณ์เอาได้ง่าย ๆ

         ผมจรดปลายเท้าย่องขึ้นบันได ไม่อยากให้เขารู้สึกตัวก่อนที่ผมจะ “ต๊ะเอ๋” เวลาที่พี่นิวสะดุ้งตกใจตื่น

โคตรตลกเลย หน้ายุ่ง หัวยุ่ง คิ้วขมวด หน้าตากลายเป็นคนขี้โมโหผิดไปจากคนใจดีอารมณ์เย็นอย่างที่ใคร ๆ คุ้นตา

        “....ไม่ได้บอกครับ”

     ...................

       “มันต้องเป็นอย่างนั้นจริง ๆเหรอ ผมไม่.....ไม่ได้ใช่ไหม”

      .................

      “ให้พ่อช่วยพูดกับ.....ให้หน่อยสิครับ ผมจะบ้าตายอยู่แล้ว”

           พี่นิวไม่ได้หลับ หรือว่า เพิ่งจะตื่นขึ้นมารับโทรศัพท์ก็ไม่รู้ คนปลายสายคงเป็นคุณแม่

ผมเดาจากลักษณะการอ้อนของเขาได้ แต่คุยกันเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ผมได้ยินกระท่อนกระแท่น

บางช่วงบางคำที่ขาดหายไป ผมเดาไม่ออกว่าเขาพูดถึงอะไร

      ....เสียมารยาทจังเลยผม....แต่ที่จริงก็ไม่ได้ตั้งใจหรอก ก็ผมไม่รู้นี่นาว่าเขากำลังทำอะไรอยู่

 แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ผมก็เลยยืนค้างอยู่ตรงหัวบันได แค่พอให้เห็นพี่นิวนั่งก้มหน้าคุยโทรศัพท์เท่านั้น

      “แล้วทางโน้นเค้าเต็มใจเหรอครับ ไหนว่าเรียนอยู่เมืองนอก คงยังไม่รู้ใช่ไหมครับ”

     ..................


      “ผมอยากคุยกับเขาก่อน แม่ว่าดีไหม”

    ..................

      “แม่มาคุยให้หน่อยสิ ผมสงสารน้อง ไม่กล้าพูดเอง”

     .................

      “โทรมาก็ได้ นะครับแม่”

      .................

      “ครับ ขอบคุณครับ”

          มีผมอยู่ในหัวข้อสนทนาด้วยล่ะ ไม่รู้เขาคุยอะไรกัน แต่ผมจับได้ว่าน้ำเสียงไม่ค่อยดี

ใจผมมันก็เลยหวิว ๆ ยังไงไม่รู้  หรือว่าเรื่องนี้เองที่พี่นิวกำลังกังวลอยู่....เรื่องที่มีผมเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

           ผมก้าวเข้าไปหาพี่นิวเมื่อเห็นว่าเขาวางสายไปแล้ว พอผมทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ พี่นิวก็ล้มตัวลงนอนหนุนตัก

       “หายงอนแล้วเหรอ”

        ผมยิ้มเป็นทีรับคำ แต่ไม่ตอบอะไร เขาก็เห็นแล้วนี่นา รู้ก็รู้อยู่ว่าถ้ายังงอนผมไม่มาหาเขาเองหรอก

ปล่อยให้เดินตามหาดีกว่า ผมจะได้รู้สึกดีว่าโดนง้อ

      “ไปบ้านปืนกันดีกว่า”

      “อ้าว....แล้วไหนบอกว่าจะไปตรวจงานล่ะครับ”

      “ให้คนอื่นไป ขี้เกียจละ อยากอยู่กับนู”

      “งั้นผมโทรไปบอกปืนก่อนนะ เขาจะได้วางแผนถูก”

      “กลับบ้านนี่ ต้องมีแผนด้วยเหรอ”

      “ไม่ใช่หรอกครับ เขาจะได้รู้ตัวล่วงหน้าว่าเราจะไปด้วยไง ก็ผมปฏิเสธเขาไปแล้ว เขาอาจจะเปลี่ยนแผนก็ได้”

          ผมกดโทรศัพท์ออกหาปืน คุยกันสองสามคำก็รู้เรื่อง ปืนกับปอกำลังเดินซื้อของกลับไปฝากคนที่บ้าน

ส่วนผมก็คงต้องเตรียมข้าวของไว้บ้าง รวมทั้งของฝากพ่อกับแม่ปืนด้วย ไปนอนค้างอ้างแรมบ้านเขามือเปล่า

มันเกรงใจยังไงไม่รู้


     

ออฟไลน์ NuNew

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-2
     




      ตกเย็นวันศุกร์ผมก็รวบรวมของฝาก และจัดกระเป๋าเสื้อผ้าสองสามชุด รวมทั้งโสร่งผืนโปรด

เผื่อจะเอาไปเล่นน้ำในคลอง ปืนบอกว่า บ้านเขาอยู่ติดคลองด้วย ผมรู้สึกสุขใจจนฮัมเพลงออกมาโดยไม่รู้ตัว

   “มีความสุขจริงนะ”

          พี่นิวแซวมาจากบนเตียง เขามานอนเล่นที่ห้องผมตั้งแต่หัวค่ำ เพราะผมขลุกอยู่ในห้อง

เพื่อจัดกระเป๋าเสื้อผ้าทั้งของเขาและของผม พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางกันแต่เช้า จะได้มีเวลาแวะเที่ยวระหว่างทาง

และไปถึงบ้านปืนให้ทันอาหารกลางวัน

      “ทำยังกะไปเที่ยว”

      “อ้าว...ก็ไปเที่ยวสิครับ ถึงจะเป็นบ้านเพื่อน แต่ผมว่าต้องสนุกแน่”

      “เพราะเป็นบ้านปืน?”

          คนว่างงานพูดจาหาเรื่อง แต่พอเงยหน้าขึ้นมองตาก็รู้ว่าพี่นิวไม่ได้จริงจังอะไร แต่ผมมันเหมือนวัวสันหลังหวะ

เพราะปืนเคยลวนลามผม (ด้วยความเมา) ครั้งแรกที่โดน พี่นิวไม่รู้ผมไม่กล้าบอกกลัวเขาจะเข้าใจผิด

และผมก็สงสารปืนกลัวโดนพี่นิวยำเละ แต่ครั้งหลังเขาเห็นด้วยตาตัวเอง ผมก็เลยต้องยอมให้ปืนถูกชกซะหมอบ

เมาทั้งเหล้า เมาทั้งหมัดไป

      “หาเรื่องละ ไม่ช่วยทำอะไรก็นั่งเฉย ๆได้ปะ”

        เสียงโทรศัพท์ในห้องโถงหน้าห้องผมดังขึ้น สัญญาณติดกันสองครั้งทำให้รู้ว่าเรียกมาจากข้างล่าง

อาจจะเป็นป้า หรือไม่ก็พี่นางโทรขึ้นมา ผมเดินออกไปยกหูขึ้นกรอกเสียงลงไป ถึงได้รู้ว่าไม่ใช่ทั้งสองคน

      “นูเหรอลูก”

  ”สวัสดีครับคุณแม่...พี่นิวครับคุณแม่โทรมา”

      ผมร้องบอกพี่นิว เพราะคิดว่าคุณแม่จะขอสาย

  “ไม่ลูก แม่อยากพูดกับนู”

  “ครับ”

       ผมโบกมือให้พี่นิวเป็นทีว่า ไม่ต้องลุกขึ้นมา ในใจก็นึกสงสัยว่าคุณแม่มีธุระอะไร แต่พี่นิวกลับเดินออกจากห้องผม

ตอนที่เดินผ่านไป เขาโอบไหล่แล้วยังแถมจุ๊บขมับผมด้วย จากนั้นก็เดินลงบันไดไป

      “คุณแม่มีอะไรเหรอครับ”

      “ทำอะไรกันอยู่เหรอลูก กินข้าวกันหรือยัง”

      “เรียบร้อยแล้วครับ พอดีพรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวบ้านเพื่อนที่ต่างจังหวัดน่ะครับ”

      “นิวไปด้วยเหรอ”

      “ครับ ทีแรกก็จะไม่ไปหรอก นี่นึกยังไงก็ไม่ทราบ สงสัยจะเหนื่อยมากไปมั้งครับ เลยอยากไปเที่ยวพักผ่อน”

      “อืม...นูช่วยดูแลพี่เขาดี ๆหน่อยนะ...แล้วนี่อยู่หรือเปล่า”

      “ลงไปข้างล่างแล้วครับ”

         ผมชะโงกไปดูตรงบันไดโดยอัตโนมัติ แต่ไม่เห็นเขา

      “เอ่อ...นู...สบายดีไหมลูก”

      “ครับคุณแม่ สบายดี คุณพ่อกับคุณแม่ล่ะครับ เป็นยังไงมั่ง”

      “ก็เหมือนเดิมแหละ พ่อเขาก็ทำแต่งาน แม่ก็ต้องคอยดูไม่ให้หักโหมเกินไป นี่แม่ก็บอกเขานะ

ว่าอีกสักสามสี่ปีก็วางมือได้แล้ว ให้ลูก ๆหลาน ๆเขาทำกันไป พ่อกับแม่จะได้ไปเที่ยวตอนแก่”

      “โห...คุณแม่ยังไม่แก่สักหน่อย ยังทำงานได้อีกตั้งหลายปีแน่ะครับ”

         ผมหยอดคุณแม่ไปหน่อยหนึ่ง  แต่ก็ด้วยความจริงใจที่ดูยังไงคุณแม่ก็ยังเหมือนเดิม

ไม่ได้แก่อย่างที่ออกตัวเลย คุณแม่ถามถึงงานของผมอีกสองสามประโยค ก็เข้าเรื่อง

ซึ่งผมรู้สึกแต่แรกแล้วเหมือนกันว่า คุณแม่น่าจะมีธุระสำคัญกับผม แต่กำลังตะล่อมอยู่

...นั่นผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม

      “นู”

       คุณแม่เรียกชื่อผมเบา ๆ แล้วนิ่งไป ทำให้ผมต้องขานรับด้วยความรู้สึกแปลก ๆ ที่กำลังก่อตัวขึ้นช้า ๆ ในช่องอก

ภาพใบหน้ามีกังวลของพี่นิว ตั้งแต่วันที่คุณแม่มาที่นี่ จนถึงการคุยทางโทรศัพท์เมื่อวันก่อนแวบเข้ามาโดยไม่มีเหตุผล

เหมือนมันคือภาพสไลด์ต่อเนื่องที่ผูกเป็นเรื่องราวเดียวกัน

      “ครับ”

      “นูรู้ใช่ไหมว่าแม่รักนูเหมือนลูกแม่คนหนึ่ง”

        ผมอึ้งกับประโยคเกริ่นนำของคุณแม่ ด้วยวัยที่ไม่น้อยแล้วของผม ทำให้พอจะรู้ว่า เรื่องที่กำลังจะได้ฟัง

อาจจะบั่นทอนความรู้สึกมั่นคงในจิตใจไม่ใช่น้อย มิฉะนั้นคุณแม่คงไม่พยายามย้ำถึงความเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว

ที่ผมได้รับจากทุกคนตลอดมาเช่นนี้.....เมื่อรู้อยู่แก่ใจผมก็ต้องยอมรับ

      “ครับคุณแม่”

      “เราทุกคนยอมรับว่านูอยู่ในครอบครัวเราในฐานะอะไร แต่แม่ก็ฝืนคำสั่งของคุณย่าไม่ได้ พ่อก็เหมือนกัน

ทุกคนอึดอัดใจที่จะบอกกับนู”

           คุณแม่ถอนหายใจมาตามสาย ทำให้ผมรู้ว่าคุณแม่อึดอัดใจและลำบากใจแค่ไหนที่จะพูดต่อไป

      “แม้แต่แม่ก็ไม่กล้าที่จะพูดกับนูซึ่งหน้า”

      “คุณแม่อย่าพูดอย่างงี้สิครับ”

      “เมื่อวันก่อนที่แม่มาหาที่บ้าน แม่ตั้งใจจะพูดกับเราพร้อม ๆ กัน แต่แม่ก็ทำไม่ได้”

      “คุณแม่มีอะไรจะบอกผมเหรอครับ”

      “นูฟังแม่นะ เรื่องที่มันเกิดขึ้น เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่จัดการ พ่อกับแม่ก็มารับรู้ทีหลังเหมือนกัน นูคงรู้ดีว่า

ทุกคนต้องฟังคำสั่งคุณย่า”

      “ทราบครับ”

          เสียงผมแผ่วลง พร้อมกับลมหายใจที่ขาดห้วง เตรียมพร้อมที่จะฟังต่อไป ทั้งที่สำนึกในใจผมกว่าครึ่ง

เริ่มจะเดาได้ตั้งแต่คุณแม่พูดว่า....ผู้ใหญ่จัดการให้....

      “คุณย่าหมั้นหมายลูกของเพื่อนท่านให้นิวไว้แล้ว”

          ไม่ผิดเลย....กับที่ผมเดาไว้ในใจ แต่กระนั้นผมก็รู้สึกเหมือนภายในตัวมีกระแสลมพัดแรงจนเนื้อตัวหนาวสั่น

แขนขาผมพาลจะอ่อนแรง แต่มือผมกลับกำหูโทรศัพท์ไว้แน่น...ก็แค่...เหลือเรี่ยวแรงที่จะหย่อนตัวลงนั่งกับพื้น

จากที่ยืนพิงฝาผนังในตอนแรก ขายาว ๆ ของผมเหยียดออกเพียงเพื่อจะทำให้ตัวเองรู้สึกสบาย

และมั่นคงขึ้นในแนวระนาบ ผมไม่อยากเป็นลม แต่ในแก้วหูก็อื้ออึงไปด้วยคำบอกเล่าที่เพิ่งผ่านไป

        คุณแม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องคู่หมั้น แต่แทบจะไม่มีอะไรขังอยู่ในหัวผมเลย จากนั้นก็ปลอบใจ

เหมือนทุกครั้งที่รู้ว่าผมกำลังอ่อนแอแค่ไหน
      
      “แม่อยากอยู่ตรงนั้นด้วยนะนู แม่รู้ว่า...นู....รู้สึกยังไง แต่เห็นใจแม่เถอะ แม่เองก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน

เราไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ไม่งั้นแม่คง....นูก็คงไม่ต้องอยู่ในฐานะแบบนี้”

        เสียงคุณแม่สั่น ๆ คล้ายกำลังอดกลั้นอาการสะอื้น ยิ่งตอกย้ำความน้อยเนื้อต่ำใจให้ผมซ้ำลงไปอีก

ผมไม่ควรมาอยู่ตรงนี้แต่แรกแล้วสินะ มาแล้วก็ใช่ว่าจะสร้างความภาคภูมิใจให้ครอบครัวพี่นิวเสียเมื่อไร

ไหนยังจะทำให้คุณแม่ต้องลำบากใจที่จะต้องเป็นคนบอกผมด้วยตัวเอง

      “อย่าโทษตัวเองเลยครับคุณแม่”

      ผมรู้สึกดีที่ตัวเองควบคุมเสียงไม่ให้สั่นได้ แต่ความจริงผมไม่ได้ร้องไห้เลยมากกว่า

      “ผมเองก็ไม่ได้คิดว่า...ตัวเองจะต้องอยู่ตรงนี้ตลอดไปหรอกครับ คุณแม่ไม่ต้องห่วงนะครับ

เรื่องนี้ยังไงมันก็ต้องมาถึงสักวัน ถึงพี่นิวจะแต่งงานมีครอบครัว ก็ไม่ได้แปลว่าคุณแม่จะไม่ให้ผมเป็นลูก

ไม่ใช่เหรอครับ ความจริงแล้วมันเป็นข่าวดีสำหรับครอบครัวมากกว่า บ้านเราจะได้มีหลานวิ่งเล่นกันสักคนสองคน”

      “นู”

        คุณแม่เรียกชื่อผมแล้วก็เงียบไป เสียงโทรศัพท์ถูกวางดังกึกเข้าหูผม จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงคุณแม่ร้องไห้

แล้วคุณพ่อก็มาพูดสายแทน

      “พ่อขอโทษนะนู”

      “ไม่ต้องขอโทษหรอกครับคุณพ่อ เรื่องนี้ไม่มีใครผิด บอกคุณแม่ด้วยนะครับว่า มันเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับบ้านเรา

คุณพ่อไม่ต้องห่วงผมนะครับ ผมไม่เป็นไร”

      “พ่อขอบใจลูก”

          ผมไม่กล้ารับคำขอบใจจากคุณพ่อ แต่จะบอกว่าไม่ต้องขอบใจ ผมก็พูดไม่ออก เพราะตอนนี้

ผมกำลังกัดปากตัวเองไม่ให้ก้อนสะอื้นมันหลุดออกไปให้คุณพ่อได้ยิน

      “ถึงยังไง เราก็ยังเป็นครอบครัวเดียวกันเหมือนเดิม”

          คุณพ่อย้ำให้รู้ในตอนท้าย ผมกล่าวขอบคุณท่าน ก่อนจะวางหูโทรศัพท์ลงบนแป้น

แปลกไหม.....ที่ผมไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว แค่หน้าอกหายใจสะท้อนจากแรงกระแทกภายใน

ที่ไม่รู้ตัวว่ามันก่อตัวขึ้นมาตอนไหน ผมรีบหายใจเอามันออกมาก่อนที่มันจะทำให้น้ำตาผมไหล

           ก็ผมบอกทางโน้นไปว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดี ทำไมผมต้องร้องไห้ด้วยเล่า

           แต่ผมก็ขยับตัวเองให้ลุกขึ้นไม่ไหว ผมเพิ่งจะรู้ตัวว่าเรี่ยวแรงมันหายไปหมดเลย

เหมือนพลังชีวิตถูกสูบออกไปหมด ทันทีที่รู้ว่าอีกไม่นาน เส้นทางชีวิตของผมกับพี่นิว

จะมีใครแทรกซ้อนเข้ามาอีกคน และทำให้สถานะของผมตรงกับความเป็นจริงที่ทุกคนได้รับรู้มาตลอด

....ผมก็แค่ลูกบุญธรรม เป็นน้องนอกไส้ ความผูกพันทางสายเลือดไม่มีแม้แต่หยดเดียว

ส่วนความสัมพันธ์ในเงามืด มันก็คงจะมืดมนต่อไป ทั้งสิ้นหวังและไร้อนาคต
 
        ผมรู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยวทั้งที่สิ่งนั้นยังมาไม่ถึง แต่มันจะแปลกอะไร เพราะอีกไม่นานมันก็ต้องเป็นไปแบบนั้นอยู่แล้ว



             ผมนอนพลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียงนอน รำพึงถึงความหลังไปเรื่อย ๆ พยายามที่จะปลงให้ได้เร็ว ๆ ว่า

อีกหน่อยพี่นิวคงต้องใช้ชีวิตในแบบของผู้ชายทั่วไป ต้องมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ  และ.....

ผมควรหัดที่จะมีชีวิตอยู่โดยไม่มีเขาเสียตั้งแต่บัดนี้ได้แล้ว 

      เราอยู่ด้วยกันจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันไปแล้ว ให้แยกกันอยู่โดยไม่ข้องเกี่ยวกัน

มันคงยากเหลือเกิน แต่จะให้ผมทำชีวิตเหมือนที่ผ่านมา มันคงเป็นไปไม่ได้....ผมรู้ดี

           แต่ถึงผมจะพยายามคิดเช่นนั้น หากส่วนลึกในจิตใจ ผมกลับพยายามหาทางออกว่า

ทำยังไง.....เราถึงจะอยู่ร่วมกันได้โดยที่ไม่ต้องมีใครแยกจากไป ซึ่งคนที่เป็นฝ่ายไปก็คงเป็นผมนี่เอง

ตอนนี้ขอแค่ผมไม่เสียเขาให้ใครไป ผมยอมที่จะอยู่ในเงามืด แม้ว่าวันนั้นพี่นิวจะต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น

ขอเพียงเรายังได้อยู่ด้วยกัน ผมยอมแลกทุกอย่าง

         ผมคิดอยู่ด้านเดียวจนลืมไปว่า...การที่มีใครอีกคนเข้ามามีส่วนร่วมในความสัมพันธ์สามคนผัวเมียแบบนั้น

มันคงทุกข์ทรมานสิ้นดี และในยามที่เวลาแห่งการลาจากยังมาไม่ถึง บางทีคนเราก็ยังไม่รู้สึกถึงการสูญเสียมากเท่าที่ควร

          เสียงโทรศัพท์หน้าห้องดังขึ้นอีกแล้ว ข้างบนเวลานี้มีผมอยู่คนเดียว พี่นิวไปไหนไม่รู้

แล้วผมก็ไม่มีแก่ใจจะเที่ยวเดินตามหาเสียด้วย ผมก็เลยต้องหลุดจากอาการซึม ๆ เหม่อ ๆ ไปรับสาย

            คุณแม่โทรมาพูดรัว ๆ เร็ว ๆ ทำเอาผมทำอะไรแทบไม่ถูก ผมรีบรับคำแล้ววางหู

ก่อนจะวิ่งจนเป็นกระโดดลงบันไดไปที่หลังบ้านตามที่คุณแม่บอก

        พี่นิวนั่งอยู่บนพื้นหญ้าเขียว ๆ ที่เราไม่ตั้งใจจะปลูกมัน แต่ดันงอกงามดี ผมไม่เห็นหน้าเขา

เพราะอาการนั่งชันเข่าสองแขนพาดไขว้กันแล้วซบหน้าลงไป....ไม่เห็นเหมือนที่คุณแม่บอกเลย

เขาดูสงบเสียจนผมไม่คิดว่าพี่นิวกำลังทำร้ายตัวเอง

      “พี่นิวครับ”

           ผมเรียกชื่อเบา ๆ ขณะที่สองเท้าเดินเข้าไปหาช้า ๆ ร่างสูงใหญ่ยังไม่ไหวติง แต่ผมสังเกตเห็น

ไหล่ไหวน้อย ๆ แล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นมองผม....ผมเห็นรอยน้ำตา....พี่นิวร้องไห้เพราะเรื่องของเรา

เห็นอย่างนี้แล้ว    มันยิ่งบีบคั้นหัวใจผมจนเจ็บหนึบไปหมด ทำไมความรักของเรามันถึงได้มีอุปสรรคมากมายขนาดนี้

      “เข้าบ้านนะครับ”

        พี่นิวขยับตัวลุกขึ้นช้า ๆ ราวกับคนสิ้นเรี่ยวแรง พอเขาเหยียดตัวยืนได้ ผมถึงได้เห็น

หลังมือที่อาบไปด้วยเลือดที่ห้อยตกอยู่ข้างตัว ผมคว้ามือข้างนั้นขึ้นมา แต่ทุกคำพูดมันจุกอยู่ในอก

ผมไม่สามารถเปล่งเสียงใด ๆ ออกมาได้แม้แต่คำเดียว มีเพียงแววตาของผมที่สื่อให้พี่นิวได้รู้ว่า

ผมเจ็บไปกับเขาด้วย

         พี่นิวโอบไหล่ผมพาเดินเข้าบ้าน พอก้าวเท้าเข้าห้องรับแขก ป้าก็เดินมาบอกว่า

คุณแม่โทรมาให้โทรกลับด้วย ผมก็เลยบอกให้ป้าหาอุปกรณ์ทำแผลมาให้ แล้วบอกให้พี่นิวนั่งคอยที่โซฟา

      “คุณแม่โทรมาบอกว่าพี่นิวอยู่หลังบ้าน กลัวว่าพี่นิวจะทำอะไรลงไป เลยบอกให้ผมรีบไปดู

ผมจะไปบอกคุณแม่ก่อนว่าพี่นิวไม่เป็นไรนะครับ”

          พี่นิวพยักหน้า ป้าเดินสวนกับผมหลังจากที่หยิบกล่องปฐมพยาบาลมาวางให้

เสียงป้าถามด้วยความเป็นห่วงตามหลังมาแว่ว ๆ แล้วก็ต้องถอยกลับไปในครัว

เพราะไม่มีคำตอบจากปากพี่นิว

          ผมเดินกลับมาทำแผลให้พี่นิว หลังจากบอกคุณแม่ไปตามตรงว่า พี่นิวคงจะชกต้นไม้แถว ๆ หลังบ้าน

จนข้อมือแตกเลือดซิบ ๆ ไม่ได้เป็นอะไรมากอย่างที่คุณแม่วิตก คุณแม่ฝากให้ผมดูแล ผมรับคำไปโดยอัตโนมัติ

ถึงคุณแม่ไม่บอก ผมก็ต้องดูแลเขาเท่าชีวิตอยู่แล้ว

      “ทำร้ายตัวเองทำไมครับ ทำเองเจ็บเองเห็นไหมเนี่ย”

         พันผ้าที่แผลเสร็จ ผมก็ฝืนพูดจาหยอกล้อเขาไปเพื่อคลี่คลายบรรยากาศที่มันหม่นเศร้า

ผมอยากบอกเขาว่า  อย่ากังวลไปเลย เราจะผ่านมันไปด้วยกันเหมือนทุกครั้ง  แต่ผมก็พูดไม่ออก 

เพราะรู้ว่าคราวนี้  มันยากเหลือเกินที่เราจะหาหนทางที่ดีที่สุดสำหรับเรา  ที่จะไม่ทำให้เราบอบช้ำมากนัก

      ที่ผมพูดออกไปแบบนั้นไม่ได้ เพราะรู้อยู่เต็มอกว่า ไม่ว่าอย่างไรเราสองคนก็ต้องเจ็บ

และอาจจะพาใครอีกคนเข้ามาเจ็บไปกับเราด้วย เพราะผมจะไม่ยอมถอย 

ผมจะไม่ยอมสละที่ยืนให้ใครง่าย ๆ ผมยอมให้ทุกคนเจ็บดีกว่าจะต้องสูญเสียพี่นิวไป 

แต่ที่สำคัญ.....พี่นิวจะต้องยอมเจ็บไปกับผมด้วย

      ..........แต่ทว่า

      “นู”

          พี่นิวพูดกับผมเป็นคำแรก นับจากที่ผมลงไปเจอเขาหลังบ้าน ผมเงยหน้าขึ้นสบตาที่ยังคงทิ้งรอยแดงช้ำ

นานแล้วที่ผมไม่เคยเห็นพี่นิวร้องไห้จนเห็นร่องรอยชัดเจนขนาดนี้

      “พี่ขอโทษ”

      “ขอโทษผมทำไม”

          ผมพูดกลั้วหัวเราะ นอกจากมันจะไม่ช่วยอะไรแล้ว กลับทำให้ผมเผลอปล่อยเสียงสะอื้นออกมาเบา ๆอีกต่างหาก

มือข้างที่ไม่ได้พันผ้าของพี่นิวลูบหัวผม แล้วพักไว้ที่ไหล่ก่อนจะบีบแรง ๆ

      “พี่คงดูแลนูตลอดไปอย่างที่เคยสัญญาไม่ได้ พี่ขอโทษ”


      .....ไม่เอานะ.....


      .....ผมไม่ยอม....


      .....อย่าทำกับผมอย่างนี้....


      .....จะทิ้งกันลงได้ยังไง.....


           ผมอยากพูดออกไปอย่างนั้น แต่เวลานี้มันได้แต่อึ้ง ในสมองผมว่างเปล่าอีกครั้ง ผมอุตส่าห์ยอมแล้วทุกอย่าง

แม้กระทั่งยอมให้ตัวเองเป็น “น้อย” ถ้าคำนี้มันหมายถึงบุคคลที่สามของครอบครัวในอนาคตของพี่นิว

แต่สิ่งที่ผมได้รับคือการถูกปล่อยให้อยู่อย่างเดียวดายงั้นหรือ


           ใครบางคนบอกผมว่า...ในความรัก ไม่มีคำว่าศักดิ์ศรี....ผมรู้ว่าศักดิ์ศรีมีไว้ให้เราภาคภูมิใจ

ในสิ่งที่มี....ที่เป็น....ที่ทำ   

       สำหรับคนอื่นอาจยอมละทิ้งทุกอย่างเพื่อเกียรติยศและศักดิ์ศรีที่ว่า   

      แต่สำหรับผม ผมยอมละทิ้งทุกอย่าง แม้กระทั่งศักดิ์ศรี เพียงเพื่อจะฉุดรั้งเวลาแห่งความสุข

ที่ได้อยู่กับพี่นิวให้นานที่สุด แม้ว่าในความสุขนั้น ผมจะได้ลิ้มรสความทุกข์แสนสาหัส ปนมากับความริษยา

ที่ไม่อาจยืนเคียงคู่คนที่ผมรักได้อย่างเปิดเผย อย่างที่ผู้หญิงคนนั้นกำลังจะได้ยืน

แต่ในเมื่อพี่นิวตัดสินใจแล้ว ทุกอย่างก็จะเป็นไปตามนั้น ผมจึงทำได้เพียงตอบเขาไป

“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ”

      ผมกลับเข้าห้องของตัวเอง ล็อคประตู และไม่ลืมที่จะเอากุญแจห้องชั้นบนทั้งหมดมาไว้กับตัว

ผมแค่รู้สึกอยากอยู่คนเดียวเงียบ ๆ ไม่อยากให้ใครรบกวน เพื่อทำใจกับอนาคตที่กำลังจะมาถึง....

อีกนานเท่าไรก็ไม่รู้หรอก แต่มันก็ต้องมาถึงสักวัน   ทั้งที่ความจริงแล้วผมไม่ต้องทำอย่างนั้นก็ได้.....

ผมได้ยินเสียงประตูห้องข้าง ๆ ปิดเบา ๆ พี่นิวก็คงต้องการเวลาสำหรับตัวเองด้วยเหมือนกัน


.....เขาไม่ได้ต้องการกุญแจดอกนี้.......

โจ๊กกุ้ง

  • บุคคลทั่วไป
ว่าแล้วว่าต้องดราม่า กริ๊ด สงสารทั้งสองคนเลย หน่วงมาก เป็นกำลังใจให้นะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ KuMaY

  • คนไม่สำคัญ ทำไรก็ผิด
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 620
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
อ๊ากกกกกกกกกกก :dont2:
อ่านกี่รอบมันก็ยังหน่วงได้ตลอดเลยอ่ะ

คิดถึงพี่นูที่สุดเลย :กอด1:

ออฟไลน์ took-ta_naka

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 604
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +216/-10
 :เฮ้อ:  เฮ้อ......มันมาอีกแล้ว  มาม่า  ดูท่าว่าจะหม้อใหญ่ซะด้วย    :z3:

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
ขัดคุณย่าไม่ได้ คบกันเปิดเผยไม่ได้นั่นก็แสดงว่าวันนึงต้องมีสักคนต้องมีครอบครัวแล้วอีกคนจะอยู่ยังไงยอมเป็นน้อย??ตลกเหอะ ถ้ามีคนนึงเดินมาบอกสามีเราว่ายอมเป็นน้อยจะรู้สึกยังไง เฮ้ออออชีวิตวนไปวนมาเจ็บ ห่าง กลับมา เจ็บ เหนื่อยยังอ่ะนู ถ้าพี่นิวยัง "เคลียร์" ทุกอย่างไม่เรียบร้อยก็อยู่กับตัวเองเหอะ

 :เฮ้อ:

ออฟไลน์ ka[ze]na

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-6
อืม....กดดันได้อีก เสียน้ำตา เศร้าจิต ชีวิตเซ็ง!!!! :z3:

ออฟไลน์ everlastingly

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 476
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
 :pig4: ให้กำลังใจก่อนนะพี่นู เดี๋ยวเข้ามาอ่าน เพราะพี่นูก็มาต่อบ่อย
แต่ แต่ คือว่า...ขอทำใจก่อนนะพี่ แบบว่าล่าสุดที่อ่านคือตอนที่พี่นิวหนีไปเมืองนอก ยังทำใจไม่ค่อยได้เท่าไร ขออีกสักพักนะ
อ่านเรื่องพี่นูตอนนั้นแล้วมันมืดมน ตกในภาวะเศร้า ร้องไห้และทำใจไม่ได้เลย ขนาดแค่เป็นคนอ่านนะเนี้ยะ  :m15:

ออฟไลน์ NuNew

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-2


WARNING




ถ้าจะบอกซ้ำอีกว่า เรื่องทั้งหลายมันผ่านมาแล้ว จะรู้สึกดีขึ้นกันมั้ยครับ

แต่ก็จะบอกอีกว่า

บรรยากาศตอนหน้าก็ประมาณนี้เหมือนเดิมแหละครับ

เรื่องอ้อนนักฯ ที่เขียนจบไปแล้ว มีคนอ่านมาบอกลาว่า ไม่ชอบเรื่องเศร้า ขอไม่อ่านต่อล่ะ

เรื่องนี้มันก็ยังอึมครึม ถ้าใครไม่ชอบเสียน้ำตา หาไหล่ซบไม่ได้ ก็บอกลากันได้ตลอดนะครับ

ก็ "ชีวิต" อ่ะ ทำไงได้ ผมก็อยากโชคดีมีความสุขเหมือนใคร ๆ ทั้งโลกน่ะแหละ





ออฟไลน์ akiko

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 620
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-2
ปัจจุบันคงไม่ได้เป็นน้อย ใช่มั๊ยคะ
ไม่อยากใช้คำนี้เลย


mengsama

  • บุคคลทั่วไป
ทำไมย่าไม่แต่งเองละ........ให้นิวแต่งงานนั่นหมายถึงว่าจะต้องอยู่กับคนๆนั้นที่ไม่ได้รักไปตลอด...นี่หรือคือรักและความหวังดีของย่า =_=

ออฟไลน์ bobie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2182
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +269/-7
ดราม่าหนักเลยอ่ะพี่นู
โดนพรากจากกันทั้งที่ยังรักกัน
เศร้าเลย

ออฟไลน์ Aoya

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 906
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-3

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด