Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 52 Coldness Town] จบแล้วจ้า
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 52 Coldness Town] จบแล้วจ้า  (อ่าน 52572 ครั้ง)

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้


1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เีดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



การเริ่มต้นครั้งใหม่ของเด็กหนุ่มนักเรียนไทยในเมืองอันห่างไกล ที่ต้องเผชิญหน้ากับโลกดีไซน์ที่สุดหฤโหด โดยมีเพียงชายหนุ่มปริศนาที่ปรากฎกายขึ้นในเวลาอันแปลกประหลาด....ความรักสุดประทับใจเริ่มต้นอีกครั้ง



"ไม่รู้สิ ความจริงก็คือฉันไม่เคยมานั่งจำหรือว่านั่งคิดเรื่องของนาย..........
เพราะทุกๆเรื่องของนาย ฉันไม่เคยใช้สมองคิดเลยซักครั้ง
ฉันใช้......ความรู้สึกจากข้างในนี้...ให้กับนายมากกว่า" / ไกด์


"เรื่องบางเรื่อง มันก็คงสวยงามได้แค่...
ในความทรงจำเท่านั้นแหละมั้ง" / วิน


"เขาไม่เคยจากเธอไปไหนซักหน่อย
เขาจะจากเธอไปจริงๆ ก็เมื่อเวลาที่เธอยอมแพ้ต่างหาก" / สเตลล่า


"แกจะหนีไปไหนได้อีก ในเมื่อเขาก็ยังติดอยู่ในความทรงจำของแก
ต่อให้แกหนีไปอีกค่อนโลก เค้าก็ตามแกไปทุกที่อยู่ดี" / จีโอ


"ถ้าคิดจะรัก ก็ไม่ต้องกลัวแล้ว เรากล้าทำเรื่องบ้าบิ่นกันมาตั้งเยอะ
แค่จะกล้าทำตามหัวใจตัวเอง.....มันจะมีอะไรยากวะ" / เอิร์ธ

ได้ยินแค่นี้

ผมก็หนาวไปทั้งตัวแล้วล่ะ



หาก Loveless Society สร้างความประทับใจให้คุณ Coldness Town จะทำให้คุณอบอุ่น เหมือนแก้วกาแฟร้อนๆ เลยล่ะ

การเดินทางครั้งใหม่เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งแล้ว ที่นี่

------------------------------------------

ภาค 3
Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71352.0

ภาค 1
Loveless Society เพราะรัก... ออกแบบไม่ได้
https://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=28027.0
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-01-2020 17:38:03 โดย M2M_Jill »

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ตอนที่ 1 Snowflake

   ถนนสายยาวที่ทอดลงจากภูเขาขนาดย่อม รายล้อมไปด้วยป่าสนที่หนาทึบสองข้างทาง ท่ามกลางลมหนาวที่พัดเอื่อยๆของฤดูหนาวต้นปี หิมะที่กำลังหลอมละลายทำให้ท้องถนนเมืองวิลแลตชื้นแฉะและเยือกเย็นไปด้วยลมหนาวที่พัดเอื่อยๆมาเป็นระยะ สภาพอากาศที่ขัดกับวิวทิวทัศน์แบบนี้ทำให้การเดินทางเป็นไปด้วยความยากลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเดินเท้าริมถนนที่รถวิ่งเร็วขนาดนี้
   ชายหนุ่มใบหน้าขาวใส ดวงตากลมโต ภายใต้คิ้วที่ดกดำและทรงผมที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ กำลังเม้มริมฝีปากที่สั่นหงั่กเดินไปตามถนนเส้นนั้น ชายหนุ่มซุกมือลงกับเสว็ทเตอร์สีฟ้าใส ที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้เสื้อโค้ทสีน้ำตาลไหม้ยาวถึงเข่า แต่ด้วยกางเกงที่ไม่ได้หนานักทำให้ส่วนล่างของร่างกายเริ่มหนาวสะท้าน เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นวันนี้ เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงของชีวิตชายหนุ่มคนนี้ทีเดียว......วิน
   ชายหนุ่มวัย 24 ปีลูกชายเพียงคนเดียวของเจ้าของกิจการเงินทุนรายใหญ่ของเมืองไทย ที่เพิ่งจะจบมหาลัยเอกชนมาหมาดๆในคณะที่แค่เพียงทำให้ดูว่ามีอะไรๆอย่าง แฟชั่นดีไซน์ เด็กหนุ่มลูกคุณหนูที่คุณแม่ตามใจมากตั้งแต่เยาว์วัย ไม่เรียนรู้สิ่งอื่นใดนอกจากการขับรถตะลอนๆไปทั่วกรุงเทพ ฉลองกับเพื่อนฝูง และการสังสรรค์ สิ่งเดียวที่ทำให้วินดูมีอะไรๆอยู่บ้างคือปริญญาบัตรที่กว่าจะได้มาก็แทบลากเลือด และเมื่อหนุ่มน้อยรายนี้ ไม่ยอมเด็ดขาดที่จะสานต่องานธุรกิจของพ่อ และไม่ยอมเด็ดขาดที่จะก้าวไปสู่การเป็นผู้ใหญ่ คุณพ่อผู้มีกฎระเบียบเข้มข้นของบ้าน จึงได้วิธีที่จะดัดนิสัยหนุ่มน้อยคนนี้อย่างเดียว ส่งไปเผชิญชีวิตด้วยตัวคนเดียวที่เมืองนอก มายังฝรั่งเศส เมืองแห่งดีไซน์ ในโรงเรียนดีไซน์ที่มีชื่อเสียงอย่าง Esmod
   ซึ่งทั้งที่จริงแล้ว วิน แทบไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากงอแงเป็นฟืนเป็นไฟ เมื่อพ่อสามารถจัดหาที่เรียน และหลักสูตรให้เขาได้เสร็จสรรพ และขอเพียงให้วินก้าวขึ้นเครื่องบินมายังปารีสเพื่อเผชิญหับปัญหาที่เหลือเองด้วยเงินติดกระเป๋าเพียง 5,000 ยูโร และถึงแม้ว่าจะเป็นจำนวนที่ดูเยอะ แต่สำหรับหนุ่มน้อยลูกคุณหนูที่ไม่รู้จักกับปัญหา มันคือการเริ่มต้นที่โหดร้ายมากๆ แต่ด้วยหัวใจรักสนุก การไปยังถนนรู เซนต์ ลาแซร์ ในย่านเซนต์จอร์จ ในช่วงที่ยังไม่ถึงการเปิดเทอมนั้น เป็นเรื่องที่สุดแสนจะงี่เง่ามากในความคิดของวิน ดังนั้นการออกแบ๊คแพ๊คกับเพื่อนที่วางแผนให้มาเจอกันที่ปารีส จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งกว่า
   สามวันให้หลัง วินหันหลังให้กับการท่องเที่ยวแบบนี้ เขาไม่อาจจะทนกับการท่องเที่ยวแบบค่ำไหนนอนนั่นได้อีกแล้ว มันเป็นการดูถูกตัวเองแสนสาหัสมากเมื่อเพื่อนๆในแก๊งค์ของเขาต่างใช้การท่องเที่ยวนี้เป็นการปลดปล่อยอิสระครั้งสุดท้าย ก่อนเข้าสู่โลกการทำงาน เพื่อนๆทุกคนในกลุ่ม ต่างมีสตูดิโอจับจองเข้าทำงานกันหมดแล้ว ดังนั้นการอยู่ในวงล้อมที่ตัวเองดูด้อยกว่า จึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีอีกต่อไป สามชั่วโมงให้หลัง วินเดินเท้าออกจากชาโตว์ วิลแลต มาอยู่บนถนนเส้นนี้
   ชายหนุ่มเตะกองเกล็ดหิมะที่ก่อตัวอยู่ริมถนนอย่างหัวเสีย พลางนึกถึงเรื่องของตัวเอง กระเป๋าใบใหญ่ที่อยู่ด้านหลังทำให้การเดินทางนี้ค่อนข้างลำบาก แต่สำหรับวินมันคือหายนะชัดๆ
   “ทนไม่ไหวแล้วโว้ย" ชายหนุ่มตะโกนก้อง พลางวางของลงจากหลัง พลางทรุดตัวลงนั่งที่สามแยกแห่งหนึ่งที่สุดปลายถนน ชายหนุ่มถอนหายใจครั้งหนึ่งก่อนจะปาดเหงื่อที่เย็นเฉียบบนใบหน้า ร่างกายของเขาเกิดการเผาพลาญพลังงานมามากพอแล้วกับการเดินจากวิลแลตกลับไปปารีส มันเป็นโคตรความคิดที่บ้าเอามากๆ แต่เขารู้ตัวว่าตัวเองก็มีลูกบ้าบางอย่างมากพอ เมื่อถึงเวลาจำเป็น วินหยิบแฟ้มเอกสารการเียนของเขามาดูคร่าเวลา เขาหยิบมันมาดูตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เวลาสิบโมงเช้าของวันมะรืน เขาต้องเข้าไปพบดีไซน์เนอร์ที่จะเป็นวิทยากรให้เขาไปจนจบคอร์สนี้ที่ Esmod นั่นยิ่งทำห้เขารู้สึกหัวเสียมากขึ้นไปอีก เขาเที่ยวกับเพื่อนๆไปจนลืมวันเวลา เขามีเวลาหาหลักแหล่งให้กับตัวเองแค่วันเดียวเท่านั้น แต่เดี๋ยวก่อน เมื่อคิดถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา เขาหยิบเอากระเป๋าสตางค์ขึ้นมาดู และเมื่อเปิดกระเป๋าออกดู ก็ไม่เลวร้ายอะไรนัก ยังพอใช้ชีวิตไปได้อีกสี่วัน.....สี่วัน!!!
   วินคิดว่านี่ต้องเป็นปัญหาใหญ่แน่ๆ แต่ที่สำคัญก็คือเขาจากมาด้วยการทะเลาะกับพ่อ ดังนั้นเขาจะไม่ยอมโทรไปขอตังค์เพิ่มเด็ดขาด เขาจะต้องอยู่ด้วยตัวเองให้ได้
   วินส่ายหัวอย่างหัวเสียขณะที่รถคันหนึ่งค่อยๆชลอลงและจอดลงตรงหน้าของเขา วินคิดว่านี่จะต้องเป็นเรื่องที่ประสาทเอามากๆอีกเรื่องหนึ่งของวันแน่ๆ เมื่อรถตรงหน้าเป็นรถที่ดูเก่ามากๆ เก่ามากเสียจนเขาไม่คิดว่าจะมาโลดแล่นอยู่บนถนนสุดหรูหราเหมาะสำหรับรถที่แล่นเร็วๆอย่างนี้ได้อย่างไร ตัวรถสีแดงสดที่รอยถลอกอยู่บ้างประปราย เจ้าของรถหมุนกระจกลงมาพลางชะโงกหน้ามาหาวิน
   “ใช่คนไทยหรือเปล่า" เสียงอันนุ่มลึกทักออกมาจากรถรุ่นเก่าสีแดง วินเงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นยืนและมองเข้าไปรถ ที่ตกตแต่งอย่างแปลกตา วินมองหน้าคนขับที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหนาเตอะ ใบหน้าที่คล้ำเล็กน้อยกับผมที่ยาวจนสามารถรวบผูกไปด้านหลังได้อย่างพินิจ
   “แบบนี้น่าจะใช่" เสียงผู้ชายคนนั้นว่าอีก "ขึ้นรถมาดีกว่า เดี๋ยวอากาศจะเย็นลงกว่านี้ สภาพแบบนั้นน่ะ เดินไม่ถึงปารีสหรอก"
   วินยังคงยืนอึ้งอยู่อย่างนั้น
   “เอ้า ขึ้นมาสิครับ เดี๋ยวผมไปส่ง เร็วๆเข้า จอดแบบนี้ตำรวจไม่ปลื้มนะ" เขาพูดด้วยเสียงโฮกฮากอยู่พักนึง ก่อนที่วินจะรีบขนข้าวของของตัวเองขึ้นรถคันนั้น และเปิดประตูขึ้นนั่งที่ด้านหลัง
   “รถอาจจะเล็กหน่อยนะ ผมเอามากจาเมืองไทยน่ะ ให้เขาปรับพวงมาลัยมาเป็นฝั่งซ้ายเอา" ชายหนุ่มคนนั้นพูด ก่อนจะเริ่มออกรถไป
   “ขอบคุณ" วินกล่าวขึ้น ชายหนุ่มคนนั้นมองวินมาจากกระจกมองหลังพลางอมยิ้ม ก่อนจะขับรถต่อไป เด็กหนุ่ม ขมวดคิ้วพลางหลบสายตาและมองออกไปข้างทาง
   “จะลงไหนล่ะนาย" ชายหนุ่มคนนั้นถามอีก
   “ปารีส" วินตอบห้วนๆ "แถวไหนก็ได้ย่านเซนต์ จอร์จ"
   ชายหนุ่มยังคงมองวินอย่างพินิจพิเคราะห์
   วินพยายามหลบสายตาอีกครั้ง เขาเกลียดสายตาแบบนี้ สายตาที่กำลังทำเหมือนเขาถูกตรวจสอบ
   “มองอะไรพี่" วินถามเสียงเข้ม
   “เปล่า" ชายหนุ่มตอบ "เห็นหนาวๆ ก็เลยจะถามว่าจะกินอะไรหรือเปล่า หลังรถพี่มีไมโล"
   วินมองตาแข็งใส่ชายหนุ่มคนนั้นหนึ่งครั้ง ก่อนจะก้มลงหยิบกระบอกน้ำอุ่นขึ้นมาและเปิดออกดื่มอย่างหิวกระหาย
   “ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้าสินะ" ชายหนุ่มคนนั้นตอบ
   “รู้ได้ไงอ่ะ" วินถาม
   “ก็เดินมาตามถนนเส้นนี้ ก็แสดงว่าออกมาจากวิลแลต เพื่อที่จะเข้าไปปารีส เวลาป่านนี้ กับระยะทางเท่านี้ ก็ต้องเดินมาตั้งแต่เช้า" ชายหนุ่มคนนั้นตอบอีก วินก้มหน้าลง "แล้วท่าทางแบบนี้ ไม่ได้มาเที่ยวใช่ไหม"
   “ก็ประมาณนั้นอ่ะ" วินตอบอย่างหัวเสีย "พี่รีบขับๆไปเหอะ เดี๋ยวพอถึงที่ผมจ่ายให้"
   ชายหนุ่มคนนั้นส่ายหน้าให้วินครั้งหนึ่งก่อนะจะขับรถต่อไปอย่างเงียบสนิท และนั่นทำให้ความอึดอัดของวินค่อยๆหายไปบ้าง เขาไม่ชอบสายตาการถูกตรวจสอบ มันทำให้เขาพ่ายแพ้เอาเสียได้ โดยเฉพาะชายหนุ่มคนนี้ ที่ทำทีเหมือนว่ามีประสบการณ์มากกว่า เขาไม่ชอบเป็นอย่างยิ่ง
   รถเล็กๆสีแดงคันน้อยๆขับเคลื่อนตัวเองเข้าสู่ปารีสในอีกครึ่งชั่วโมงถัดมาวินนั่งมองสองข้างทางอย่างมีความสุข ร้านรวงเปิดไฟแล้วทั้งที่เพิ่งจะบ่ายแก่ๆ ไม่มีแสงแดดสาดลงมาที่ปารีสหลายวันแล้ว เป็นปกติสำหรับเมืองหนาวแบบนี้ หอไอเฟลตั้งตระหง่านอยู่กลางเมือง เบื้องหน้า รถสีแดงขับผ่านซุ้มประตูชัยอาร์ค เดอ ทริออมพ์ ไปในไม่กี่อึดใจ เมื่อข้ามฝั่งไปยังพระราชวังแวร์ซาย รถสีแดงคันเล็กก็หักเลี้ยวเข้าสู่ย่านเซนต์จอร์จในไม่กี่นาทีถัดมา วินมองเห็นป้ายตรงหน้าถนนเขียนคำว่าเซนต์จอร์จ นั่นก็ทำให้เขาเริ่มเกิดอาการล่อกแล่กหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ เพื่อหาบ้านเช่าหรือโฮมสเตย์.....โฮมสเตย์!!!........ในปารีส
   “ที่นี่ไม่มีที่พักอย่างที่นายต้องการหรอก" ชายหนุ่มกล่าวพลางค่อยๆชลอรถลงที่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง วินหันมามองชายหนุ่มคนนั้นทันที ที่ขณะนี้หันมามองหน้าวินอย่างเต็มตัว
   “รู้แล้วล่ะน่า" วินว่าพลางเริ่มหยิบข้าวของของตัวเอง
   “ร้านนี้เป็นร้านอาหารที่อร่อยแล้วก็ถูกด้วย ลงไปหาอะไรกินซะ" ชายหนุ่มคนนั้นกล่าวพลางพยักเพยิดไปทางร้านแห่งนั้น วินมองตามไป หน้าร้านปักป้ายชื่อ flocon De Niege
   “ฟลอคอน เดอ เนง" ชายหนุ่มว่า "สโนว์เฟลค หรือเกล็ดหิมะ เจ้าของร้านเป็นคนไทย ถ้าเรากำลังอยากได้ความช่วยเหลืออะไร ก็ลองถามเค้าดู เผื่อเค้าช่วยได้"
   "ขอบคุณ" วินว่าพลางกำลังจะเขยิบตัวออกจากรถ
   "มันไม่ใช่เรื่องยากหรอกนะ ขอความช่วยเหลือจากใครเนี่ย คนไทยด้วยกันในเมืองแบบนี้น่ะ ต้องพึ่งกันไว้มากๆนะ" ชายหนุ่มคนนั้นพูดพลางยื่นนามบัตรของตัวเองให้กับวิน ชายหนุ่มรับมันมา
   

   อัครพล จุรีรักษ์
   Art Director
   Sume' International


   เมื่อพลิกไปด้านหลังก็พบกับเบอร์โรศัพท์มือถือ
   "กดเบอร์เป็นใช่ไหม โทรศัพท์ที่นี่น่ะ" ชายหนุ่มถามขึ้น
   วินพยักหน้า
   "พี่ชื่อมิกนะ ถ้ามีปัญหาอะไรเร่งด่วน โทรมาหาพี่ได้ เผื่อจะได้ช่วย" ชายหนุ่มกล่าว
   "ขอบคุณ ผมชื่อวิน" วินตอบ
   "อ่าหะ" ชายหนุ่มว่า "นึกว่าจะไม่รู้ชื่อแล้ว"
   วินลงจากรถไปอย่างไว้ท่า ก่อนที่รถคันสีแดงคันนั้นจะขับจากไป
   “พิลึกคน ไม่ได้ขอให้ช่วยซะหน่อย" วินบ่นพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองที่ร้านเกล็ดหิมะ แต่ยังไงซะผู้ชายที่ขับรถมาส่งเขาก็บอกอะไรที่จำเป็นต่อเขาหลายอย่าง วินก้าวเข้าไปในร้านอย่างไว้ท่า
   “Excuses” ชายหนุ่มกล่าวเป็นภาษาฝรั่งเศส เมื่อเข้าไปร้าน มีฝรั่งอยู่สามสี่โต๊ะ ที่ไม่ได้ใส่ใจมองมาทางเขาเท่าไหร่ แต่กำลังนั่งจิบกาแฟยามบ่ายอยู่กับเพื่อนของตัวเองเท่านั้น เมื่อคำทักทายของวินไม่เป็นผล เขาจึงได้ยืนมองไปมองมาอยู่หน้าร้าน
   “มากี่ที่ครับ" เสียงทักทายดังขึ้น วินหันไปเจอชายหนุ่มอีกคนที่แต่งตัวเป็นบาริสต้า เดินออกมาจากเคาท์เตอร์ร้าน เพื่ออกมาต้อนรับเขา ใบหน้าขาวสะอาดและร่างกายที่สูงกว่าวินพอประมาณ ไหล่ที่กว้าง และดูสุภาพ เดินเข้ามาหาวินอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มมองหน้าวินด้วยดวงตาดำขลับและคิ้วที่ดำสนิท
   “รู้ได้ไงว่าเป็นคนไทย" วินโพล่ปากออกไปตามอารมณ์
   บาริสต้าคนนั้นเหลือกตาขึ้นอย่างสุภาพ
   “นายก็พูดออกมาอยู่นี่ไง" ชายหนุ่มตอบ "มากี่ที่ครับ"
   วินชะงักไปทีหนึ่ง
   “ก่อนหน้าที่จะพูดดิ นายรู้ได้ไง" วินถามต่อ
   “แล้วตกลงมากี่ทีครับ" นายบารีสต้าถามต่ออีก
   “ตอบคำถามมาก่อนดิ" วินว่าต่อ
   “ก่อนจะให้คนอื่นตอบคำถามนาย นายควรจะตอบคำถามคนอื่นก่อนไม่ใช่หรือไง" นายคนนั้นตอบกลับ วินถึงกับหัวเสียขึ้นมาทันที มันเหมือนกับเขาถูกท้าทาย
   “แล้วทำไม เห็นเป้นคนไทยแล้วกลัวไม่มีตังค์จ่ายหรือไง ไม่ต้องกลัวหรอกน่า มีตังค์แน่" วินเริ่มโวยวาย
   “มากี่ที่ครับ" ชายหนุ่มคนนั้นถามต่ออีก ไม่สนใจกับท่าทางของวินแต่อย่างใด
   “นี่นาย....”
   “ถ้ายังไม่ตอบอีก ผมต้องขอให้ออกไปนะครับ" บารีสต้าพูดเสียงเข้ม
   วินถึงกับอ้าปากค้าง ก่อนจะกัดฟันทันที
   “...ม...มาคนเดียว" วินตอบเสียงเข้ม
   “ก็แค่นั้น" บารีสต้าว่าเสียงเย็นเฉียบ "นั่งตรงนั้นก่อน เดี๋ยวไปตามเจ้าของร้านมาให้"
   “รู้ได้ไงว่าอยากเจอเจ้าของร้านวะ" วินถามต่ออีก บารีสต้าคนนั้นหันหลังกลับมา
   “ไม่มีคนปารีสที่ไหน ใส่กางเกงยีนส์รองเท้าผ้าใบกับเสว็ทเตอร์หรอก" บารีสต้าคนนั้นบอก "แล้วกระเป๋าแบบนั้น ถ้าไม่ใช่แบ็คแพ็คกำลังหาที่พัก ก็ต้องเพิ่งมาปารีส ที่สำคัญ นายมาร้านนี้ ถ้าไม่ใช่คนไทยแนะนำมา นายจะรู้จักได้ไง"
   บารีสต้าคนนั้นทิ้งท้ายเอาไว้ ก่อนจะหายไปหลังร้านทันที
   วินรู้สึกหัวเสียอีกแล้ว ทำไมมันนนี้มีแต่เรื่องหายนะสำหรับเขา
   คนไทยในเมืองนี้มันแปลกประหลาดชัดๆ ทำไมถึงรู้ความต้องการของเขาไปซะทุกอย่างเลยนะ มันเสียศักดิ์ศรีอย่างยิ่งที่เขาจะต้องถูกมองเป็นคนที่ต้องขอความช่วยเหลือใคร เขาไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ด้วยซ้ำ เขาจะอยู่ที่นี่ได้ด้วยตัวเอง
   แค่นึกถึงคนบนรถสีแดงคนนั้นที่ช่วยเขามาถึงตรงนี้
   และบารีสต้าคนนั้นที่ทำทีเป็นรู้ดีไปซะทุกอย่าง
   มันทำให้วินโดนอ่านเกมส์ออกขนาดนี้
   แค่นี้เขาก็เย็นไปทั้งตัวแล้ว....
   และนั่นคือสิ่งที่เขาเกลียดที่สุด...
…...........

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ตอนที่ 2 Housemate

   วินนั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่างของร้าน ส่งสายตาที่ไม่เกรงกลัวไปให้กับหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่ดูมีอายุพอสมควร และกำลังนั่งเคาะปากกาลงบนกระดาษใบหนึ่งอยู่บนโต๊ะ ขณะที่ตัวเองกำลังตักข้าวผัดหมูกินอย่างโหยหา
   “เดี๋ยวก่อนนะ เธอว่า เธอเปิดเรีนวันไหนนะ" เธอถามขึ้น
   “เปิดเรียนวันศุกร์" วินตอบ "แต่ต้องเข้าไปพบวิทยากรพรุ่งนี้ สิบโมง"
   “แล้วยังไม่มีที่พัก" เธอถามต่ออีก
   “ใช่"
   “แต่มาปารีสตั้งแต่ปีใหม่"
   “ใช่"
   “ตอนนี้เหลือเงินอยู่ 3,000 ยูโร"
   “ใช่"
   “เวรกรรม" เธอสบถพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง "ลูกคุณหนูใช่ไหมเนี่ย"
   “ทำไม คิดว่าผมจะอยู่ที่นี่ไม่ได้เหรอ" วินถามเสียงแข็ง
   “ไม่ใช่อยู่ไม่ได้" เธอตอบ "แต่เธอไม่มีสิทธิอยู่ด้วยซ้ำ เธอมาเรียนคอร์สพิเศษ 6 เดือนที่ Esmod เชียวนะ ถ้าเธอไม่มีเงิน 10,000 ยูโรต่อเดือนล่ะก็ เธอไม่มีทางจบ แพ๊คกระเป๋ากลับบ้านไปเถอะ"
   “รู้ได้ไงเนี่ย" วินถามเสียงเข้ม
   “ฉันอยู่ปารีสมา 6 ปีแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่" เธอกล่าว
   “แล้วสรุปจะช่วยผมหรือเปล่า" วินถาม "ถ้าไม่ช่วยผมจะได้ไป"
   “นายออกไปจากร้านนี่ก็เท่ากับไปตายเปล่า" เธอกล่าว "คืนนี้เธอจะโดนตำรวจตวจคนเข้าเมืองเล่นงานเอาแน่ ถ้าเที่ยวไปนอนถามถนน"
   “แล้วจะเอายังไงก็ว่ามาเลย" วินถามต่อ
   “เห้อ.......ก้อง เจ้าก้อง มานี่หน่อย" เธอส่งเสียงเรียก ชายหนุ่มในชุดบารีสต้าคนเดิมเดินมาหาที่โต๊ะทันที
   “มีอะไรเหรอครับเจ๊ใหญ่" ชายหนุ่มที่ชื่อก้องพูดขึ้น
   “นายคนนี้ต้องการที่พัก อย่างน้อยๆก็อาทิตย์นึง แต่ค่าเช่าน่ะอาจจะยังไ่ม่พร้อม เราจะช่วยหน่อยได้หรือเปล่า" เจ๊ใหญ่ถามต่อ
   ก้องมองหน้าวินอย่างเฉยชาอยู่พักนึง วินมองกลับด้วยสายตาท้าทาย ก้องเลิกคิ้วใส่
   “นิสัยแบบนี้ จะอยู่กับใครที่นี่ได้เหรอครับ" ก้องพูดขึ้นมา วินถึงกลับจ้องกลับมาตาถลน
   “เจ๊ก้กำลังคิดอยู่เหมือนกัน ลุงทอมเป็นไง แกไม่ค่อยอยู่บ้านนี่" เจ๊ใหญ่พูด
   “ไม่ได้หรอกครับ ลุงแกอารมณ์ร้อนมาก ถ้าเจอแบบนี้แกโยนออกจากห้องแกเอาง่ายๆ" ก้องบอก
   “ซีดานล่ะ คนนี้ก็ไม่ค่อยเรื่องมาก" เจ๊ใหญ่ว่า
   “ซีดานเจ้าชู้น่ะครับ พาผู้หญิงมาห้องไม่ซ้ำ จัดปาร์ตี้ทุกคืน กลัวว่าเดี๋ยวจะไม่ได้เรียนเอา" ก้องตอบอีก วินเริ่มกัดฟันทันที
   “แล้วจะเอายังไงล่ะทีนี้" เจ๊ใหญ่ว่าพลางกอดอก
   “อยู่กับผมนี่แหละ" ก้องว่า
   “เอ้อ...จริงสิ ลืมนึกไป" เจ๊ใหญ่ว่า "เราอยู่ที่ถนนทอควิลนี่ ไม่ไกลจากตรงนี้ นั่งรถเมล์สายเดียวก็ถึง ก็น่าจะโอเคนะ"
   “ผมไม่โอเค" วินพูดขึ้นเสียงดัง ทำเอาคนทั้งร้านหันมามองทันที วินมองไปรอบๆอย่างตกใจแป้บนึงก่อนที่จะหันกลับไปประจันหน้ากับเจ๊ใหญ่และก้องอีก "ให้อยู่กับเด็กในร้านนี่เนี่ยนะ ผมไม่เอาด้วยหรอก คุณไม่ต้องช่วยผมหรอก เดี๋ยวผมออกไปหาที่อยู่เองดีกว่า ไร้สาระ"
   วินว่าพลางลุกขึ้นทันที
   “นั่นนายจะไปไหนน่ะ" เจ๊ใหญ่ถามขึ้น
   “ไม่ต้องยุ่งหรอกน่า" วินพูดเสียงดังพลางหยิบกระเป๋าออกไปนอกร้านทันที
   “เดี๋ยวก่อนสิ จะออกไปไม่ได้นะ นี่มันเย็นแล้วด้วย ตายแล้ว......เอาไงดีล่ะก้อง ถ้าไปเป็นอะไรล่ะก็แย่เลย" เจ๊ใหญ่ว่า
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ" ก้องพูดเรียบๆ พลางมองตามออกไปด้วยสีหน้านิ่งสนิท "เดี๋ยวเขาก็กลับมาเอง ไม่เกินหกโมงเย็นหรอก"
   “คิดงั้นเหรอ จะดีเหรอ" เจ๊ใหญ่ว่า
   “ใช่ครับ เรื่องค่าเช่าอะไรหรืออะไรๆของเด็กคนนั้น เดี๋ยวผมจัดการเอง" ก้องว่า "เป็นอันว่าเด็กคนนี้จะอยู่กับผมเดือนนี้ทั้งเดือนเลย"
   “เอางั้นเหรอ" เจ๊ใหญ่ถาม
   “ใช่ครับ" ก้องตอบ
   “เอาจริงๆนะ เราไม่เห็นจะต้องลำบากตั้งหนึ่งเดือนเลยก้อง ดูดูแล้วคนนี้ไม่เบาเลยนะ" เจ๊ใหญ่ว่า
   “เราตั้งร้านนี้ขึ้นมาก็เพื่อจะช่วยเหลือคนไทยในปารีสด้วยไม่ใช่เหรอครับ" ก้องถาม "เด็กคนนี้ถ้ายังทำตัวแบบนี้อีก อยู่ที่ไม่ได้หรอกครับ"
   “แต่ท่าทางเขาจะรวยนะ เดี๋ยวพ่อแม่ก็ส่งเงินมาให้เองแหละมั้ง" เจ๊ใหญ่ว่า
   “ไม่จริงหรอกครับ" ก้องว่า "สภาพแบบนี้ ไม่ได้กลับเมืองไทยง่ายๆหรอก"
   “งั้นก็ตามใจเราก็แล้วกัน" เจ๊ใหญ่ว่า "แต่วันนี้สี่โมงก็ปิดร้านได้เลยนะก้อง เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเปิดเต็มวันเหมือนเดิม แต่ว่าแบบนี้ถ้าเด็กคนนั้นกลับมาอีกแล้วจะเจอกันไหมเนี่ย"
   “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมอยู่เอง" ก้องว่า "ไม่ต้องห่วงเจ๊ เดี๋ยวผมดูแลร้านให้"
   “ตามนั้นแล้วกัน"
   เจ๊ใหญ่พูดทิ้ท้ายก่อนจะเดินกลับเข้าไปหลังร้านในขณะที่ก้องเดินกลับเข้าไปในเคาท์เตอร์ของตัวเอง และเริ่มเช็ดแก้วต่อไปอย่างใจเย็น
   โดยไม่รู้เลยว่า อากาศข้างนอกเริ่มเลวร้ายลงทุกที
   ..........
   วินไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองเดินห่างออกมาจากร้านเกล็ดหิมะไกลเท่าไหร่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็คือ สภาพอากาศที่แย่ลง หิมะเริ่มโปรยปรายลงมากอีกครั้ง และเริ่มทำให้การเดินทางเริ่มลำบากมากกว่าเดิม และเหมือน่าผู้คนแถบนี้จะเข้าใจสภาพอากาศที่เกิดขึ้นได้ดีกว่าเขาเสียแล้ว ในครึ่งชั่วโมงผู้คนก็ต่างหายไปจากท้องถนนจนหมด วินรู้สึกตกประหม่าเล็กน้อย แต่เขาจะต้องอยู้ด้วยตัวเองให้ได้ นั่งรงที่ป้ายรถเมล์ริมถนน ตอนนี้ผู้คนเริ่มบางตาไปมากแล้ว ซุกตัวเองอยู่ในเสื้อหนาวที่เริ่มไม่ทำงานมากขึ้นทุกที เขายกขาขึ้นซุกเข้าไปในเสื้อด้วยเพื่อความอบอุ่น คิดว่าพายุหิมะคงเข้าปารีสมาได้ไม่นาน เขาหยิบเอากระเป๋าตังค์ขึ้นมาเริ่มคำณวน ความเป็นไปได้ของการใช้ชีวิต และสิ่งหนึ่งที่เขายอมรับเอาไว้แน่ๆว่า มันกำลังเกิดขึ้นจริงๆคือ....วิกฤตแล้ว
   มันไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้อะไร หรือทำอะไรไม่เป็นเลยหรอก การทำงานด้านดีไซน์ต้องใช้เงินสูงมาก และที่สำคัญนี่มันคอร์สพิเศษที่เลยจากปริญญาตรีแล้ว คนที่เรียนส่วนใหญ่ มีงานทำมีรายได้มากพอที่จะมาลงคอร์สนี้เพิ่มเติมักษะตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อเงินในกระเป๋าเขามีอยู่เพียงเท่านี้ เขายอมรับว่ามันเป็นปัญหา
   แต่ถ้าหากคนที่นี่รู้ว่าเขารวยแค่ไหน แล้วต้องถูกส่งมาทำดัดนิสัยที่นี่แบบนี้ นั่นมันเป็นสิ่งที่เขายอมให้เกิดขึ้นไม่ได้เป็นอันขาด มันเสียศักดิ์ศรีมากเกินไป เขายอมไม่ได้ โดยเฉพาะกับคนที่ร้านเล็กๆอย่างสโนว์เฟลคนั่น เจ้าบารีสต้าที่ทำท่าเฉยชาใส่เขาคนนั้น เป็นแค่คนไทยมารับจ้างทำอาหาร เขาไม่มีทางยอมรับความช่วยเหลือจากคนแบบนั้นเด็ดขาด
   อากาศไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงเลย วินมองดูนาฬิกาข้อมือที่บ่งบอกเวลาจะห้าโมงเย็นแล้ว เขาเริ่มกังวลเล็กน้อย เขาจะเอายังไงกับคืนนี้กันนะ ทันใดนั้น ท่ามกลางหิมะขาวโพลน มองเห็นตำรวจในชุดหนาเตอะอยู่ที่ริมฝั่งถนน กำลังเดินมาจากตรอกข้างหน้า และกำลังข้ามถนนมาหาเขา แม้ว่าภาพที่มองผ่านหิมะจะเลือนราง แต่ความรู้สึกถึงปัญหาใหญ่ๆ กำลังชัดเจนขึ้นอย่างบอกไม่ถูก วินเริ่มขนกระเป๋าของตัวเองและลุกขึ้นจากป้ายรถเมล์ช้าๆอย่างไม่ให้มีพิรุธ และค่อยๆกัดฟันฝ่าความหนาวเย็นออกไปจากตรงนั้นอย่างรีบร้อน
   อย่างที่เขาคิดเอาไว้ วันนี้มันหายนะชัดๆสำหรับเขา ปัญหาในชีิวตเขาตอนนี้เริ่มเยอะแยะเกินไปแล้ว คิ้วที่ดำขลับเริ่มขมวดเป็นเลขแปด เขาไม่ถนัดการแก้ปัญหาจริงๆซะด้วย ไม่รู้ว่าร่างกายพาเขาเดินย้อนกลับมาตามเส้นทางเดิมมานานแค่ไหนแล้ว แต่เมื่อเลี้ยวที่หัวมุมถนน ก็เจอเข้ากับตำรวจอีกนายที่กำลังจูงสุนัขมาทางเขาอีก วินกัดฟันก่อนจะหันหลังกลับอีกครั้ง ตำรวจคนที่ไล่เขามาจากป้ายรถเมล์ก็เดินตามเขามาติด วินส่ายหน้ากับตัวเอง เขาคิดว่านี่ต้องเป็นปัญหาใหญ่แน่ๆ เขาหันว้ายหันขวาอยู่พักนึง ก่อนจะมองไปรอบๆตัว ร้านสโนว์เฟลคอยู่ถัดไปอีกหน่อย วินถอนหายใจกับตัวเองก่อนสะบัดหัวไปมาอย่างอามรมณ์เสีย
   ให้มันได้อย่างนี้สิน่า.....
   เสียงกร๊องแกร็งของประตูร้านเปิดขึ้นอีกครั้ง เสียงลมหิมะพัดลู่เข้ามาในร้านอย่างไม่นิ่งสงบ วินมองไปมองมาในร้านอย่างร้อนรน
   ทีเวลาแบบนี้ล่ะไม่รีบเสนอหน้ามาล่ะ ให้ตาย....
   ทันใดนั้นร่างๆหนึ่งก็ดันหลังวินจากด้านนอกร้านให้เข้าไปในร้านทันทีพร้อมกับปิดประตูใส่ วินอารามตกใจจึงรีบหันกลับมาดูว่าเป็นใคร ชายหนุ่มบารีสต้าในชุดหนาเตอะอยู่ด้านนอกร้าน พร้อมกับกำลังคุยบางอย่างอยู่กับตำรวจที่เดินตามหลังเขามาติดๆ วินมองเหตุการณ์อันเลือนรางจากในร้านอย่างร้อนรน แต่ถ้าเขาออกไปตอนนี้ เขารู้ดีว่ามันจะต้องเป็นปัญหาแน่ จึงได้แต่ยืนถอนหายใจอย่างอารมณืเสียอยู่ในร้าน เมื่อเวลาผ่านไปพักนึง เจ้าบารีสต้าคนนั้นก็เปิดประตูกลับเข้ามาในร้าน
   มองหน้ากันอยู่พักหนึ่ง วินจึงหลบตาไปทางอื่น พลางแสดงอาการหงุดหงิดเพราะเสียท่ากลับการกลับมาที่นี่อีกครั้ง ก้องเลิกคิ้วใส่วินครั้งหนึ่งก่อนจะถอดเสว็ทเตอร์ออก
   “ไปเปิดฮีตเตอร์ที อยู่หลังเคาท์เตอร์" ก้องบอก "เร็วดิ เดี๋ยวก็หนาวตายกันหมด"
   วินขมวดคิ้วพลางทำหน้าท้าทายใส่
   “แล้วเรื่องอะไรฉันต้องทำตามคำสั่งนายด้วยวะ" วินว่า
   ก้องก้มหน้าลงอย่างเหนื่อยหน่าย และทำเหมือนกับว่าที่วินกำลังบ่นอยู่เป็นแค่ลมหนาวที่พัดผ่านไป เขาเดินอ้อมไปยังหลังเคาท์เตอร์และเปิดฮีตเตอร์เสียเอง ก่อนจะคว้าผ้ากันเปื้อนมาผูกเข้าที่เอว และเปิดเครื่องชงกาแฟขึ้น ก่อนจะหยิบแก้วมาใบหนึ่งแล้วเริ่มชงทันที โดยไม่ปริปากพูดอะไรซักคำ ขณะที่วินมองการกระทำของก้องอยู่อย่างนั้น
   “ของฉันใส่น้ำตาลสองก้อนนะ ไม่ใส่นม" วินว่า
   เมื่อเครื่องชงกาแฟชงเสร็จ ก้องก็คว้ามันมานั่งดื่มทันที วินจ้องก้องตาถลน
   “ฉันไม่ได้มาขอกินฟรีนะ ฉันมีปัญญาจ่าย" วินร้องเสียดัง ก้องวางแก้วลงอย่างสุภาพ พลางเงยหน้าขึ้นมามองวิน
   “เก็บเงินของนายเอาไว้เหอะ ก่อนจะวิกฤตไปกว่านี้" ก้องพูดเบาๆ ไม่สนใจอารมณ์เป็นฟืนไฟของวิน พลางยกกาแฟขึ้นจิบเป็นบางครั้ง และมองวินด้วยสายตาเฉยชา
   “กวนตีน" วินพูดใส่
   ก้องยิ้มที่มุมปากให้กับวินทันที
   “ไม่ขอบคุณแล้วยังปากเสียอีกนะ" ก้องพูดกลับใส่ เด็กหนุ่มโยนกระเป๋าลงที่เคาท์เตอร์ทันที "น่าจะปล่อยให้หนาวตายอยู่ข้างนอกก็ดี"
   “อย่านึกว่านี่เป็นบุญคุณไปหน่อยเลย ฉันไม่ได้ขอนายซะหน่อย" วินว่า
   “งั้นก็ออกไปดิ" ก้องว่า วินก้มหน้าลงพลางกัดฟันยืนนิ่ง ก้องขำเบาๆ
   “ขำอะไร เดี๋ยวพอพายุหมด ฉันไปแน่" วินว่า ก้องส่ายหน้า
   “ไม่ต้องไปไหนหรอก เดี๋ยวกลับด้วยกันเนี่ยแหละ" ก้องพูดเสียงนิ่มลง พลางลดอาการแข็งกร้าวใส่วินลงบ้าง เพื่อไม่ให้เปิดอารมณ์โมโหรุนแรงครุกรุ่นไปมากกว่านี้ "อย่าอวดดีไปหน่อยเลยนาย อยู่ที่นี่ด้วยนิสัยแบบนี้มันจะลำบาก"
   “นายไม่ต้องมาสอน" วินว่า
   “ฉันไม่ได้สอน" ก้องหันมาว่า "ฉันพูดกับตัวเอง"
   วินอ้าปากค้างพลางมองหน้าก้องที่ส่งสายตาเฉยชามาหาเขาทันที
   “คนบ้าชัดๆ" วินว่า
   “นี่นาย" ก้องยื่นหน้าเขามาใกล้วินทันที พลางมองวินด้วยสายตาที่เหมือนคนบนรถที่ขับมาส่งเขาที่นี่มอง มองด้วยสายตาตรจสอบ "ที่นี่น่ะ เสิร์ฟกาแฟให้คนไทยฟรีให้คนละแก้วต่อวัน แค่เดินเขามาสวัสดีทักทายกัน ก็รับไปเลย.....ทักทายแบบดีดีน่ะ"
   ก้องหยิบกาแฟขึ้นมาจิบอีกครั้ง พลางมองหน้าวินที่ตาแดงก่ำไปด้วยความหนาวและโกรธ วินเมินหน้าหนีทันที
   “ตามใจ" ก้องว่าพลางหันหลังเข้ามาเคาท์เตอร์ โดยที่วินไม่ใส่ใจจะมองตามไป เขาโกรธมาก และถ้าเขายังมองหน้าหมอนี่อีกต่อไปแค่นาทีเดียว เขาจะต่อยหมอนี่แน่ๆ
   เสียงดังแกร็กดังขึ้นตรงหน้า วินหันกลับมามองก็พบกับแก้วบรรจุกาแฟวางอยู่ตรงหน้า
   “น้ำตาลสองก้อน ไม่ใส่นม" ก้องพูดขึ้น พลางหยิบแก้วของตัวเองไปล้าง
   วินถอนหายใจพลางหยิบขึ้นมาดื่มอย่างเสียไม่ได้ อากาศมันเย็นเกินไป จนเขาไม่อาจจะปฏิเสธได้
   “บ้านเราสองคนอยู่ที่ถนนทอร์ควิล ห่างจากที่นี่ไปไกลอยู่เหมือนกัน" ก้องพูดขึ้นขณะล้างแก้วอยู่หลังเคาท์เตอร์ " Esmod อยู่ถัดจากร้านนี้ไปอีกสี่บล็อค ถ้านายตื่นเช้ามาทำงานที่นี่พร้อมฉันตอนเจ็ดโมง เราก็จะมารถเมล์รอบเดียวกัน แล้วพอเก้าโมงครึ่ง นายก็เดินจากร้านนี้ไปเรียนได้พอดี"
   วินมองตามก้องไปอย่างไม่อยากเชื่อหู
   “นี่ฉันยังไม่ได้ตก.....”
   “เจ็ดโมงถึงเก้าโมงครึ่งนายก็ได้ทำงานตั้งสามชั่วโมงครึ่ง และถ้านายเรียนเสร็จแล้วกลับมาทำงานต่อได้เร็ว ก่อนร้านปิดตอน สองทุ่ม นายก็บวกเพิ่มไปอีก" ก้องพูดพลางเดินกลับมาที่เคาท์เตอร์ "ที่นี่ให้ชั่วโมงละ 50 ยูโร ร้านหยุดวันอาทิตย์ อย่างฉันทำทุกวัน ฉันจะได้เดือนนึงตก 15,000 ยูโร แต่หักค่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าใช้ชีวิต ก็เหลือแค่เดือนละเจ็ดพัน ดังนั้นนายมีเวลาทำงานน้อยกว่าฉัน นายอาจจะได้แค่เดือนละ 10,000 ยูโร และเหลือเงินเก็บต่อเดือนแค่ 5,000 เท่านั้น แต่นายมีเรียนด้วย ดังนั้นเงินเก็บของนาย อาจจะต้องหักไปเป็นค่าอุปกรณ์อื่นๆในคอร์สอีก"
   “นายไปรู้เรื่องเรียนของฉันได้ยังไง....”
   “สำหรับข้อเสนอแรกในการมาอยู่กับฉัน" ก้องยังคงพูดต่อ ไม่ใส่ใจตำพูดของวิน "นายต้องจ่ายค่าที่อยู่ให้ฉัน 1,000 ยูโรก่อน เป็นค่ามัดจำก่อนเข้า แต่ค่าเช่าเดือนแรกนายไม่ต้องจ่ายฉัน ค่าน้ำค่าไฟด้วย ฉันจะออกให้ก่อน พอหนึ่งเดือนนี้ผ่านไป เราสองคนมาคุยกันใหม่ ว่านายจะยังอยู่กับฉันต่อหรือเปล่า ถ้าต่อ ข้อเสนอข้อที่สองจะตามมา"
   “อ...อะไรนะ" วินร้อง
   “แต่มันมีข้อแม้อยู่" ก้องพูดต่ออีก วินทำหน้าเบ้ "ที่นี่จ่ายค่าแรงสูงกับฉัน เพราะฉันจบเอกทำอาหารมา แต่กับนายที่ไม่มีอะไรยืนยัน ฉันจะต้องทำให้เจ๊ใหญ่มั่นใจก่อนว่า นายจะไม่มาเป็นแค่เด็กล้างจาน ฉันจะทำให้นายเป็นผู้ช่วยของฉัน เพื่อที่นายจะได้เงินเดือนพอๆกับฉัน เพื่อการใช้ชีวิตอยู่ต่อไปของตัวนายเอง อาทิตย์นี้ เมื่อนายเรียนเสร็จ นายจะต้องมาหาฉันที่ร้านนี้หลังหนึ่งทุ่ม ฉันจะสอนนายชงกาแฟ"
   “อะไรนะ" วินร้องเสียงดัง "เรื่องอะไรฉันต้องมาเรียนเรื่องงี่เง่าพวกนี้อีก"
   “ฉันจะถือว่าที่นายพูดออกมาเมื่อกี้เป็นความบังเอิญ" ก้องว่า "ข้อแรกฉันจะบอกนายเอาไว้ก่อนว่าฉันไม่ชอบให้ใครมาพูดจาดูถูกงานอาหารของฉัน ข้อสองที่นายต้องทำ เพราะเงินของนายที่กำลังจะเหลือแค่สองพัน จะหมดไปกับค่าโต๊ะดราฟไฟ และอุปกรณ์ตัดเย็บ ยังไม่รวมเครื่องมือศิลปะในวิชาเลือกด้วย แต่เรื่องนี้นายต้องบริหารค่าใช้จ่ายเอาเอง ถ้ามีปัญหาเร่งด่วน กลับมาบอกฉัน ฉันอาจจะช่วยไม่ได้ทันที แต่ฉันอาจพอหาทางให้ได้"
   “นี่เจ้าบารีสต้า" วินว่า
   “ฉันชื่อก้อง" ก้องว่า
   “เออ....จะชื่ออะไรก็ช่าง" วินว่า "ฉันยังไม่ตอบตกลงเลยนะ ว่าจะไปอยู่กับนาย แล้วนายมีสิทธิอะไรเข้ามาจัดการชีวิตฉันแบบนี้น่ะเหอะ"
   “นายไม่มีทางเลือกแล้ว" ก้องว่า "ข้อเสนอของฉันเอื้อประโยชน์ให้นายสุดๆแล้วนะ นายน่าจะดีใจที่ฉันเป็นคนไทย ที่อายุก็ไม่ต่างอะไรจากนาย ถ้านายคิดว่าจะออกไปหาคนอื่น พร้อมกับข้อเสนอดีกว่านี้ได้ภายในคืนเดียวก็เชิญ เงินแค่ 3,000 ยูโร ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่านายจะไปรอดได้ซักกี่น้ำ"
   วินมองหน้าก้องนิ่ง
   “ฉันไม่สนว่านายเป็นใคร ใหญ่โตมาจากไหน แต่มาอยู่ที่นี่แล้ว ก็ต้องฟังกัน ช่วยเหลือกัน" ก้องว่า "ไม่อยากอดตาย แล้วถ้าไม่พึ่งคนไทยด้วยกัน จะไปพึ่งใครอีกล่ะ"
   วินกัดหันพลางถอนหายใจ
   “เชื่อฉันเถอะน่าพ่อคุณชาย" ก้องพูดเสียงเฉยชา พลางมองเข้าไปในตาของวิน "อยู่กับฉันน่ะ สนุกแน่"
   วินกำลังจะอ้าปากแต่ทว่าก้องก็หยิบแก้วกาแฟเดินไปล้าง
   “นายไม่ได้กล่าวทักทายกับฉันด้วยดี ดังนั้นค่ากาแฟแก้วนี้ นายต้องจ่าย 1,000 ยูโร เป็นค่ามัดจำบ้าน" ก้องพูด
   “นี่นายหลอกกันเหรอ" วินโวยวายขึ้นทันที "เล่นกันอย่างนี้มีเรื่องแน่"
   “จะทำอะไรล่ะ แจ้งความเหรอ กับตำรวจใช่ไหม" ก้องว่า "กับเจ้าทุกข์ที่ดื่มกาแฟแล้วไม่จ่ายเงิน แถมไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งเนี่ยนะ เอาจริงดิ"
   ก้องมองหน้าวินอย่างเฉยชา พลางล้างแก้วอยู่อย่างนั้น
   วินส่ายหน้าอย่างหงุดหงิดพลางหลับตาด้วยความโกรธขึ้ง เขาไม่ยอมหรอก เรื่องงี่เง่าแบบนี้ เขาจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด หมอนี่ไม่รู้ซะแล้วว่าเขาเป็นใคร เขาตัดสินใจแล้ว...
   “ก็ได้" วินร้องขึ้น พลางล้วงเข้าไปในกระเป๋าเพื่อหยิบเงินออกมาหนึ่งพันยูโร แล้ววางลงบนเคา์เตอร์ ก้องเดินมารับเงินเอาไว้ทันที
   “แค่นั้นแหละครับ" ก้องว่าพลางยิ้มที่มุมปากทีนึง
   “ใช่" วินรับคำ "นายอยู่กับฉันน่ะ สนุกแน่"
   วินพูดเสียงเจ้าเหล่ใส่ก้องทันที ก้องหันมามองหน้าวินด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเดินกลับไปหลังร้าน
   มันเป็นการเริ่มต้นที่แย่เอามากๆสำหรับวิน
   เขาคิดถูกแล้ว นี่มันหายนะชัดๆ
…........

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ตอนที่ 3 At First Sight

   อีกไม่กี่อึดใจ หิมะที่โปรยปรายก็หยุดลง เมื่อก้องและวินนั่งอยู่บนรถเมล์ที่กำลังแล่นไปตามถนนรู เซนต์ ลาแซร์ และออกสู่ย่านทอร์ควิล บ้านในแถบนี้ยังเป็นทาวน์เฮ้าส์สามชั้นติดกัน และดูเหมือนว่าจะเหมือนกันไปทุกหลังจนแทบไม่เห็นความแตกต่างใดใด ทั้งคู่ลงที่รถเมล์ป้ายหนึ่ง ก้องเดินนำไปตามางเรื่อย ขณะที่วินเดินตามโดยไม่อยากมีคำพูดสนทนาใดใดระหว่างกัน เพราะว่าอันที่จริงแล้ว วินไม่ได้เต็มใจเลยซักนิด
   บ้านที่เป็นจุดหมายเป็นบ้านสามชั้นที่หัวมุมถนน ไม่ดูใหม่และไม่ดูเก่า ก้องกดรหัสสี่หลักลงบนระบบรักษาความปลอดภัยที่ประตูก่อนจะเปิดออก
   “4422” ก้องพูดขึ้นก่อนจะเดินนำเข้าไป
   โถงทางเดินขนาดเล็กนำทั้งคู่เดินไปตามทาง ก้องเดินขึ้นบันไดที่หักเลี้ยวที่ปลายทางเดินขึ้นไปด้านบน ห้องของเขาอยู่ชั้นสาม และติดกับหน้าต่างด้วย เมื่อเปิดประตูเข้าไป วินก็ตกตะลึงกับภาพตรงหน้า
   ห้องขนาดใหญ่พอสมควร ที่มีโต๊ะรับแขกอยู่ตรงกลาง ด้านซ้ายเป็นห้องครัวอันสะอาดเอี่ยมและตู้ที่ติดผนังเรียงร้าย ถัดไปด้านซ้ายคือมุมดนตรีที่มีแอมป์และกีตาร์ตั้งอยู่ และด้านขวามีพาสิชั่นกันไปสู่ห้องนอน ที่เปิดแง้มเอาไว้เล็กน้อย เตียงนอนที่ยังคงรกอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้ว ห้องนี้นับว่าเนี๊ยบมากสำหรับวิน
   ชายหนุ่มยืนมองไปรอบๆอยู่ซักพัก ก่อนเสียงกองผ้าจะดังขึ้นทำให้เขารู้สึกตัว
   “นี่เครื่องนอน" ก้องพูด "นายนอนโซฟานี่ก็แล้วกัน"
   วินทำหน้าเหยเก พลางมองหน้าก้อง แต่เขาเบื่อแล้วที่จะต่อปากต่อคำกับเจ้าน้ำแข็งนี่ ไม่ได้อะไรขึ้นมาอยู่ดี
   “ห้องน้ำอยู่ทางโน้น แต่ก็คงไม่ต้องอาบกันบ่อยหรอก อากาศแบบนี้ ตู้เสื้อผ้านี่นายใช้ได้ตู้นึง" ก้องว่า "น้ำไฟ ก็ใช้ตามมารยาทที่นายควรมรก็แล้วกัน ส่วนอินเตอร์เน็ทรหัสคือจีแล้วตามด้วยเลขห้อง ถ้านายได้โต๊ะดราฟมาทำงาน ฉันให้เอาไปไว้มุมกีตาร์ตรงโน้น สงสัยอะไรอีกหรือเปล่า"
   วินถอนหายใจพลางก้มลงหยิบกองฟ้าห่มขึ้นมา แล้วเอากลับเข้าไปเก็บในตู้เสื้อผ้า พร้อมกับวางกระเป๋าตัวเองลงแล้วเริ่มจัดของ ขณะที่ก้องเดินเข้าห้องน้ำไปเอาน้ำลูบหน้าครั้งหนึ่ง ก่อนจะออกมาพร้อมกับชุดที่ผ้ากันเปื้อนผูกอยู่ ชายหนุ่มเดินตรงเข้าไปยังมุมของห้องครัวแล้วเริ่มเปิดตู้เย็นหยิบตะกร้าผักออกมาทันที ก่อนจะเริ่มหันแครอทและผักกาดขาวด้วยมีดที่วางอยู่อย่างมีฝีมือ วินที่กำลังเก็บข้าวของตัวเองอยู่ถึงกับต้องหันมามองการกระทำของก้องที่อยู่ตรงหน้า
   เหมือนกับว่าโลกที่ถูกตีกรอบเอาไว้ด้วยบาเรียที่หนาเตอะ กั้นวินออกจากบริเวณนั้น เจ้าบาริสต้าหนุ่ม ก้มลงทำอาหารอย่างใจเย็น พลางหยิบเครื่องปรุงมากมายค่อยบรรจงเทลงไปในหม้อต้อมซุปที่กำลังส่งกลิ่นหอมฉุยออกมาก กลิ่นแบบนี้ ถึงวินจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาหารแต่กลิ่นแบบนี้มันต้มยำกุ้ง อาหารไทยขึ้นชื่อที่เขามั่นใจ วินแอบมองก้องอยู่อย่างนั้นราวกับถูกมนต์สะกด ชายหนุ่มคนนี้มีเวทย์มนต์ประหลาด ขณะที่กลิ่นต้มยำเริ่มส่งกลิ่น มันก็เหมือนกับนี่เป็นยาเสน่ห์ชั้นเลิศ ลีลาการทำอาหารของก้อง มันทำให้วินรู้สึกหิวขึ้นมามากมาย ก้องยิ้มที่มุมปากขณะอยู่เหนือหม้อต้มซุป
   “ถ้าจะกิน ก็รีบเก็บของซะสิ จะได้มาช่วยกันเตรียมอาหารเย็น" ก้องพูดขึ้น
   วินรีบหันหน้าหนีทันที ไม่อยากให้ก้องรับรู้ว่าตัวเองกำลังดูเขาอยู่
   “ค..ใครบอกว่าฉันจะกอนกันเล่า" วินพูดขึ้น แต่ดูเหมือนกับว่าเสียงของเขากำลังขัดแย้งกับอีกเสียงหนึ่งที่ดังมาจาท้องของเขา เพราะความจริงก็คือ เขาไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่ออกมาจากชาโตว์วิลแลต เขากัดฟันอย่างหัวเสียเมื่อก้องหัวเราะเบาๆ เขาไม่มีทางเลือกอื่น จึงได้แต่รีบเก็บข้าวของเข้าตู้เสื้อผ้า และเริ่มจัดระเบียบพื้นที่ใช้สอยของตัวเองจนเสร็จเรียบร้อย
   หลังจากล้างไม้ล้างมือเสร็จเรียบร้อย ก้องก็เริ่มเจียวไข่ดาวที่ฟูฟ่องลงในกระทะ วินเดินมายังที่ทำครัวตรงนั้นก่อนจะเปิดหม้อต้มยำกุ้งที่หอมกรุ่นดูภายใน เครื่องแกงต่างๆ ผักและกุ้มงลงหม้ออย่างไม่อั้น วินถึงกับขมวดคิ้วทันที
   “นี่มันต้องแพงมากเลยไม่ใช่รึไง" วินพูดเสียงเข้ม "นายไปซื้อของสดพวกนี้มาได้ยังไง"
   “นายไม่ต้องรู้หรอก" ก้องว่า "ถือซะว่าฉันเลี้ยงต้อนรับก็แล้วกัน ไปหยิบจานกับชามใหญ่ๆมาดิ อยู่ที่ตู้ตรงนั้นน่ะ"
   วินขมวดคิ้วใส่ก้องทีนึงก่อนจะเดินไปหยิบของอย่างว่างง่าย และวางลตรงหน้าของก้อง ที่ค่อยเทต้มยำกุ้งลงชามอย่างระมัดระวัง วินเดินไปอีกทางหนึ่งเพื่อตักข้าวลงบนจานเปล่าสองใบ และเดินกลับมาวางตรงกลาง ก้องใส่ไข่เจียวลงจานอีกสองใบและวางกระทะกลับเข้าที่เดิม
   “ทำอะไรๆให้คนอื่นเป็นเหมือนกันนี่" ก้องพูดขึ้น วินทำหน้าเง่อะเงิ่นก่อนจะมองจานข้าวสองใบที่อยู่ในมือของตัวเอง
   “ก...ก็จานมันมีอยู่สองใบ ถ้าไม่ใช่ของฉันกับนาย จะเป็นของหมาที่ไหนเล่า" วินพูดสวนกลับ ก้องส่ายหัวน้อยๆ พลางอมยิ้ม
   “งั้นคุณหนูครับ กรุณาหยิบกับข้าวทั้งหมดไปวางที่โต๊ะกินข้าวตรงโน้นด้วยครับ" ก้องว่าพลางทำหน้าเฉยชาใส่วิน ที่หัวเสียมาก พลางหยิบกับข้าวทุกอย่างไปยังโต๊ะกินข้าวที่อยู่ไม่ไกลกันนัก
   วินมองไปบนโต๊ะที่มีการทำความสะอาดเอาไว้อย่างเลี่ยมเชี่ยม
   “นายอยู่คนเดียว ทำไมโต๊ะกินข้าวเหมือนมีคนมาใช้ตลอดเวลาเลยล่ะ" วินว่าพลางเริ่มนั่งลง
   ก้องเดินตามมาสมทบหลังจากทำความสะอาดทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว
   “มีคนมากินข้าวที่นี่กับฉัน" ก้องว่า "แค่นั้นแหละ"
   วินเหลือบตาขึ้นมองก้องที่เริ่มตักอาหารกินทันทีโดยทำราวกับคำถามที่วินถามเมื่อกี้เป็นแค่ลมที่ผัดผ่านไป
   “นี่เจ้าบาริสต้า" วินว่า
   “ฉันชื่อก้อง" ก้องรีบสวนทันควัน
   “นายไม่คิดว่ามันจะแปลกไปหน่อยรึไง" วินว่า
   “อะไรแปลก" ก้องถามต่ออีก
   “ก็ฉันไม่รู้จักนาย นายก็ไม่รู้ฉัน แล้วอยู่ดีดีก็มาอยู่ด้วยกันแบบนี้" วินว่า "นายไม่คิดว่า.....”
   “คิดว่านายจะเป็นโจรน่ะเหรอ หรือนายจะคิดว่าฉันจะเป็นโจร" ก้องว่าพลางมองหน้าวิน "ก็บอกแล้วไง ว่าร้านเกล็ดหิมะ มีเอาไว้ช่วยเหลือคนไทยในปารีส นายกำลังลำบากฉันก็ต้องช่วย ไม่ต้องมีเหตุผลไว้ใจอะไรมากมาย คนไทยเหมือนกัน ก็ต้องช่วยกันดิ แค่นั้นแหละ"
   วินยังคงมองหน้าก้องอยู่อย่างนั้น ก้องเงยหน้าจากจานอาหารมามองชายหนุ่ม
   “กินซะสิ มันจะเย็นหมด" ก้องว่า "เสร็จแล้วก็เข้าไปอาบน้ำนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าไม่ใช่รึไง"
   “รู้แล้วล่ะน่า" วินว่าพลางตักน้ำต้มยำเข้าปาก
   และเขาก็รับรู้ทันทีว่า เขาไม่เคยทานต้อมยำที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน แม้แต่ในประเทศไทย ความลงตัวของรสชาติเปรี้ยว เค้ม เผ็ด ผสมผสานจนกลมกลืนเป็นเนื้อเดียว เมื่อบวกกับไข่เจียวที่มีกลิ่นของเนยแข็งเล็กน้อย ทำให้ดูเข้ากันอย่างประหลาด เมื่ออาหารสองคำแรกไม่สามารถหยุดความอยากอาหารที่แสนจะถูกปากของเขาได้ขนาดนี้ วินจึงเข้าสู่โหมดเงียบและเริ่มจ้วงกินอาหารเย็นอย่างตั้งอกตั้งใจโดยไม่ปริปาก แม้ว่าการฉกฉวยน้ำแกงและไข่เจียวของสองมือที่ว่องไวเป็นระวิงของวินจะทำเอาก้องตกใจถึงกับมองการกระทำของวินอยู่อย่างนั้น
   “อร่อยใช่ไหม" ก้องถามเสียงเย็น
   วินชะงักตัวเองครั้งหนึ่งก่อนจะมองหน้าก้อง
   “ก...ก...ก็พอกินได้" วินพยายามเมินหน้าไปทางอื่น
   “งั้นจานเดียวก็พอมั้ง" ก้องว่า
   “ไม่" วินพูดขึ้นทันที "ฉ...ฉันยังไม่อื่มอ่ะ อีกสองจานได้ป่าว"
   ก้องเท้าคางอย่างสุภาพพลางมองหน้าวินอย่างพินิจ
   “อร่อยใช่ไหม" ก้องถามเสียงเย็นอีกครั้ง
   วินหายใจเข้าลึกๆพลางขมวดคิ้ว หมอนี่มัน....
   "อืม"  เขาตอบเบาๆ พลางก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย
   “ก็แค่นั้น" ก้องว่าก่อนจะลุกเอาชามไปตักต้มยำมาเพิ่ม
   “ไม่ต้องตัวลอยไปล่ะนาย" วินพูดต่อทันที "ฉันเคยกินอร่อยแบบนี้มาก่อนต่างหาก"
   เขายอมรับว่าโกหก
   “ฉันเป็นพ่อครัว" ก้องตอบขณะตักต้มยำเพิ่มอีกถ้วย "ฉันต้องการคอมเมนต์"
   “อ..อ้อ" วินว่า "ก...ก็อร่อยดี"
   ก้องพูดขณะเอาชามกลับมาให้วินอีก วินมองก้องด้วยความเสียท่าครั้งหนึ่งก่อนจะเริ่มทางอาหารต่อไป
   ไม่กี่นาทีต่อมาทั้งคู่ช่วยกันล้างจานหลังจากต้อมยำกุ้งหมดหม้อไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อเวลาล่วงเลยไปจนพลบค่ำ วินเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็เดินตรงรี่มาที่โซฟาของตัวเองเริ่มจัดที่นอน ขณะที่ก้องก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วออกมาตรวจตราความเรียบร้อยในห้องเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะมุ่งหน้าตรงเข้าห้องนอนของตัวเอง
   “พรุ่งนี้ตีห้าครึ่งนายต้องพร้อมแล้วนะ ห้ามสายล่ะ เราต้องไปให้ทันก่อนร้านเปิดเข้าใจไหม" ก้องว่า "แต่ถ้านายหลับเพลินยังไง เดี๋ยวแันจะออกมาปลุก ห้ามอิดออดเด็ดขาด"
   “รู้แล้วน่า" วินร้อง
   “บางทีฮีตเตอร์มันอาจจะส่งเสียงอยู่บ้าง ก็อย่าไปใส่ใจมัน" ก้องว่า "งั้นก็....ราตรสวัสดิ์....คุณหนู"
   “เออ" วินตอบห้วนๆ ขณะที่ก้องเปิดประตูห้องนอน "ขอบใจ สำหรับมื้อเย็นด้วยละกัน"
   ก้องได้ยินก่อนจะหันกลับมาหาเจ้าของคำพูดที่สุภาพที่สุดที่เพิงได้ยินเป็นครั้งแรก ก็พบเพียงร่างน้อยๆที่ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มไปแล้วอย่างนิ่งสนิท
   ก้องหัวเราะในลำคอครั้งหนึ่งก่อนจะปิดประตูห้องนอนไป
…..........

   ฝีเท้าก้าวไปตามถนนมุ่งหน้าสู่สถาบัน Esmod อย่างเร่งรีบ วินเอามือซุกไปในกระเป่ากางเกง ขณะเดินแบกเป้ไปตามท้องถนนที่ชื้นแฉะไปด้วยหิมะ เขาออกจากร้ายเกล็ดหิมะมาได้ครึ่งชั่วโมงแล้ว หลังจากต้องทนกับการเสิร์ฟโน่นนี่นั่นให้กับลุกค้าในร้านเกือบสามชั่วโมง แต่โชคดีที่ร้านยังมีคนมาช่วยอีกเยอะแยะเขาจึงไม่มีอะไรให้ทำมากนัก  เขาหาเรื่องพยายามออกมาจากร้านให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้ปลีกออกมาจากโลกแบบนั้นซะที โลกรอบๆตัวเจ้าบาริสต้าคนนั้น โลกที่ทำให้เขารุ้สึกเป็นตัวประหลาดและดูน่าสงสาร เพราะว่าที่ที่เขาควรจะมาคือที่นี่ต่างหาก
   สองเท้าหยุดอยู่ที่หน้า Esmod สถาบันแฟชั่นดีไซน์จุดมุ่งหมายที่เขามาถึงปารีสนี่........

   วินก้าวออกจาลิฟท์เมื่อมันหยุดอยู่ที่ชั่นสี่ เขาเดินตรงเข้าไปที่ห้องห้องหนึ่ง ที่เจ้าหน้าที่ด้านล่างให้เขามารออยู่ที่นี่ เพื่อรพบกับพี่เลี้ยงวิทยากรที่จะทำหน้าที่เป็นคนดูแลเขาไปจนจบคอร์สนี้ เขามาก่อนเวลาเล็กน้อย และนั่นทำให้เขาต้องนั่งรออย่างเบื่อหน่ายอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งไม่กี่อึดใจต่อมาเสียงประตูก็เปิดออก วินหมุนเก้าอี้หันหลังไปดู
   หญิงสาวในชุดดำสมบูทส้นสูงและเสื้อคลุมยาวสีส้ม ใบหน้าสวยคมภายใต้เส้นผมดำขลับที่เติมเมคอัพอย่างงามสง่า ดวงตาที่กรีดเอาไว้อย่างคมคายจ้องมองมาหาเขา
   “วิริยะ โสภณนภา" เธอพูดเสียงไทยชัดเจน วินถึงกับชะงักงันเล็กน้อยก่อนตะลุกขึ้นทันที
   “ครับ" วินรับคำ ขณะที่เธอทำไหล่ตกพลางยิ้มแหยๆ
   “ส่วนคัดเลือกนักเรียนไปค้นประวัติฉันมาก่อนรึเปล่านะ" เธอบ่นกับตัวเองครั้งหนึ่ง "ตามฉันมา"
   เธอเดินนำหน้าออกไปจากห้อง วินเอียงคอเล็กน้อยด้วยความสงสัยก่อนจะเดินตามไป
   “เธอคือนักเรียนคนที่สองในโปรเจ็คร่วมของฉัน ทาง Esmod ติดต่อฉันไป และฉันก็ตอบตกลงมาทำโปรเจ็คร่วมกันกับที่นี่" เธอกล่าวอย่างฉับไว เมื่อรู้ว่าวินเป็นคนไทย เธอจึงเริ่มบ่น"เธอและนักเรียนอีกคนนึงต้องมาพบฉันวันพรุ่งนี้ตอนบ่ายสองโมงที่เดอ ลา คาเฟ่ ตรงข้ามสวนสาธารณะตรงหอไอเฟล"
   “คุณเป็นคนไทยเหรอ" วินถามต่อ
   “เห็นพูดภาษาอะไรอยู่ล่ะยะ"เธอหันมาว่ากลับ "โปรเจ็คในคอร์สนี้จะไม่ใช่แค่เรื่องแฟชั่นเท่านั้น แต่จะเป็นการจัดแฟชั่นโชว์ที่จะผสมผสานศิลปะที่ลงตัวระหว่างงานนาฎกรรมแบบคอนเทม และเซ็ทแฟชั่นที่ลงตัว Esmod เปิดโอกาสให้นักศึกษาป.โทเป็นผู้รับผิดชอบโปรเจ็ค และให้ฉันมาทำงานเป็นวิทยากรร่วมกับเป็นผู้รับผิดชอบงานนี้"
   “งั้นก็หมายความว่าคุณกำลังทำคอร์สวิชานี้เป็นโปรเจ็คงานจริงไปด้วย" วินถาม
   “ไม่ใช่ฉัน...นายต่างหากที่ต้องทำ" เธอหันกลับมาว่า
   “โอเค ผมทำได้แน่ๆอยู่แล้ว" วินว่าพลางยิ้มเยาะ
   “หึหึ" เธอพาวินมายังห้องที่เป็นสตูดิโอสีขาว มีโต๊ะดราฟสองตัววางอยู่ โดยมีโต๊ะธรรมดาตั้งอยู่ตรงกลาง โดยรอบๆรายล้อมไปด้วยรูปถ่ายเซ้ทแฟชั่นที่แปะอยู่ที่ข้างฝา ยังไม่รวมถึงกองนิตยสารแฟชั่นที่ตั้งอยู่บนชั้นหนังสือนับสิบตู้ริมห้อง
   “คุณวิริยะ นี่ไม่ใช่งานโปรเจ้คจบปริยญาตรีนะ" เธอว่าเสียงเฉียบขาด "ดังนั้นความสนใจในเรื่องแฟชั่นร่วมสมัยเป็นเรื่องสำคัญ"
   “แล้วทำไมคุณถึงคิดว่าผมไม่เข้าใจเนื้อหาของแฟชั่นร่วมสมัยล่ะครับ" วินว่าเธอกลับ เธอส่งยิ้มเป้นประกายพลางมองวินหัวจรดเท้า เขาสะดุ้งเล็กน้อยพลางมองสภาพตัวเอง
   “ทรานสคริปต์ของเธอ เกรดวิชาศิลปะร่วมสมัยเธอได้แค่บีลบ ขณะที่โปรเจ็คของเธอ รวมเล่มรายงานวิชามีแค่หก ไม่ใช่เจ็ดบท แถมเธอยังไม่เคยลองฝึกงานกับสตูดิโอไหนๆเลยด้วยซ้ำ เธอจบออกมาเป็นเพราะเธอเรียนเอกชนและพ่อของเธอก็ช่วยเอาไว้ ฉันพลาดตรงไหนหรือเปล่า" เธอกล่าวพลางยืนเท้าเอว
   “คุณรู้ได้ยังไง" วินร้อง
   “ที่นี่คือสตูดิโอของคุณ และเพื่อนของคุณอีกคน" เธอถอนหายใจอีกครั้งเมื่อพูดถึงนักเรียนอีกคนของเธอ "เราจะมาเจอกันที่นี่ตอนบ่ายสองโมงวันพรุ่งนี้ ฉันหมายความตามคำที่พูด"
   “นี่....”
   “คุณวิริยะคะ ถ้าคุณยังสงสัยอะไรล่ะก็ ขอให้เก็บคำถามเอาไว้พรุ่งนี้จะดีกว่า วันนี้ฉันมีธุระต่อ" เธอว่า
   “ผมแค่อยากรู้ว่าคุณรู้เรื่องของผมได้ยังไง" วินว่า
   “อ๋อ..เรื่องนั้น...ก็รู้สึกว่าคุณพ่อของคุณจะแนบจดหมายมากับพอร์ทของคุณด้วยน่ะ ดิฉันก็เลยทราบว่าคุณเองเป็นลูกของนักธุรกิจชื่อดังของวงการเหมือนกัน" เธอกล่าว
   “อะไรนะ" วินว่า "พ่อผมน่ะเหรอ"
   “พ่อของคุณไม่ใช่หรือไง บริษัทเงินทุนยักษ์ใหญ่ ที่เป็นแหล่งเงินทุนสำคัญให้กับวงการดีไซน์ของประเทศ" เธอว่า "คอสโม คอนเทอลิโอนี่ สาขาประเทศไทย"
   “ใช่น่ะใช่ แต่....”
   “อ๋อ เข้าใจล่ะ นี่คุณคงจะไม่รู้อะไรเลยสินะ" เธอว่าเสียงยิ้มเยาะ "ที่คุณพ่อของคุณ ส่งคุณมาที่นี่น่ะ ก็เพื่อจะให้คุณมีส่วนในการออกความเห็นกับงานที่จะเกิดขึ้นนี่ด้วย คุณถึงถูกจับโยนมาทำงานกับฉันในโปรเจ็คนี้ไง"
   “อ้ะ....”
   เหมือนอะไรบางอย่างถูกยิงเข้ามาที่สมอง
   ไม่น่าล่ะ พ่อของเขาถึงได้จัดการอะไรปุ๊บปับนัก นี่มันแผนลวงให้เขาเข้าทำงานให้พ่อนั่นเอง ที่แท้พ่อก็แค่อยากกาวิธีหลอกล่อเขาอีกแล้ว วินกัดฟันเบาๆ
   “คอสโม่ คอนเทอลิโอนี่ ตกลงที่จะร่วมทุนกับซูเม่ อินเตอร์เนชั่นนอล เพื่อที่จะแปลงผลงานของสุเมธ ตระกูลศิลป์ ดีไซน์เนอร์ไทยชื่อดัง ให้กลายเป็นแบรนด์ระดับโลกไงล่ะ" เธอกล่าว "ฉันจะแกล้งทำเป็นงงว่าคุณไม่รุ้เรื่องพวกนี้ก็ได้นะ ถ้าคุณต้องการอย่างนั้น"
   “เปล่านะ ผมแค่"
   “เอาเถอะ งานที่ฉันอยากให้คุณทำวันนี้ก็คือ ช่วยคัดคอลเลกชั่นที่ดูน่าสนใจทั้งหมดจากนิตยสารที่กองอยู่ตรงนั้น เอาเฉพาะผลงานของซูเม่เท่านั้นก็พอ" เธอกล่าว "ก็ดีเหมือนกัน ที่คุณรู้เรื่องแฟชั่นบ้าง คุณกับฉันจะได้คุยกันรู้เรื่อง อย่างน้อยๆ เราเบิกงบอะไรไป คุณจะได้ช่วยคุยกับพ่อคุณได้บ้าง"
   “ง...งั้นเหรอครับ"
   “ค่ะ" เธอกล่าวพลางเดินตัดตรงออกไปจากสตูดิโอ "เดี๋ยวอีกซักพัก เพื่อนของคุณอีกคนก็คงมาแล้ว บอกเขาเรื่องงานที่ฉันสั่งด้วยละกัน....”
   “เดี๋ยวก่อนสิ แล้วผมจะรู้ได้ยังไงว่าเขาเป็นนักเรียนอีกคน แล้ว..." วินหันไปหันมา "แล้ว....ให้ตายสิ คุณชื่ออะไรเนี่ย"
   “ฉันเหรอ" เธอหันกลับมาหาวินอีกครั้ง "ฉันชื่อเจนจิรา ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะคะคุณวิริยะ"
   วินมองเธอจากไป พลางคิดในใจว่า ผู้หญิงคนนี้ประหลาดมาก เธอทำให้เขาไม่สามารถเอาชนะอะไรเธอได้เลย มันเหมือนกับว่า...
   ...เธอมีเวทย์มนต์อย่างนั้นล่ะ
…........

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ตอนที่ 4 Timeless

   “นึกว่าจะโง่ซะอีก" ก้องพูดเสียงเย็นเฉียบหลังร้านเกล็ดหิมะ ขณะที่วินตักอาหารเข้าปากทันที
   “หมายความว่ายังไงนายบารีสต้า" วินว่า
   “ก็ฉันนึกว่านายจะไปเสียตังค์ซื้ออาหารแถว Esmod กินแทนที่จะกลับมากินกับฉันที่นี่ไง" ก้องว่า
   วินสะบัดหน้าหนี
   “ฉันก็แค่ไม่อยากเสียประโยชน์เท่านั้นแหละ" วินร้อง "นายไม่ต้องมาคิดเป็นบุญคุญอะไรหรอกนะ"
   “รู้แล้วครับคุณหนู" ก้องว่าพลางลุกขึ้นจากตรงนั้น "จะกลับมากี่อีกทีกี่โมง"
   “แล้วเรื่องอะไรฉันต้องรายงานนายทุกเรื่องด้วยวะ" วินว่า
   “ขอโทษนะ ตามสัญญาเมื่อวาน นายบอกว่าจะกลับมาให้ฉันสอนชงกาแฟยังไงล่ะ" ก้องว่า "ลืมแล้วรึไง นายไม่พอใช้หรอกนะ ติปเด็กเสิร์ฟน่ะ ไม่พอหรอก"
   วินถอนหายใจอีก ให้ตายสิ แค่นี้เขาก็ปัญหาท่วมหัวพออยู่แล้ว
   “อ....เออน่า....เดี๋ยวกลับมาก็เห็นเองแหละ" วินว่าพลางรีบกินข้าวยกใหญ่ "กลับเข้าไปทำงานเหอะ เดี๋ยวก็โดนหักตังค์หรอก"
   “ไม่เป็นไรหรอก มีนายอยู่ด้วยก็เหมือนโดนหักตังค์อยู่แล้ว" ก้องพูดก่อนจะหายตัวไปในร้านก่อนที่วินจะทันได้เถียงกลับ
   “ไอ้บาริสต้า" วินพึมพำ "ถ้าฉันดีขึ้นกว่านี้ล่ะก็ นายโดนหนักแน่"
   วินบ่นอิดออดก่อนจะรีบกินข้าวกลางวันให้เสร็จ พลางรีบรุดออกจากร้านเกล็ดหิมะไปยัง Esmod ทันที
   เรื่องเมื่อเช้าทำเอาเขาครุ่นคิดอยู่นานเหมือนกัน มันไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากทำงาน แค่เขาไม่อยากเป็นเหมือนพ่อ มีชีวิตที่เอาแต่ทำงานหนักแบบนั้น ทอดทิ้งแม่ ทอดทิ้งครอบครัว แล้วก้มาเข้มงวดเอากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ไร้สาระสิ้นดี
   คอสโม คอนเทอลิโอนี่ เป็นบริษัทเงินทุนที่สนับสนุนเงินให้กับงานสายดีไซน์มาเป็นเวลานานหลายสิบปี มันเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เขาเลือกเรียนแฟชั่นดีไซน์ตั้งแต่แรกด้วย เพราะอย่างน้อยๆ พ่อของเขาก็จะได้ไม่ต้องมามีปัญหากับเรื่องนี้ไปอีก แต่เขาก็แอบคิดเล็กๆว่า ถ้าเรีนจบแล้ว เขาน่าจะพอหนีออกจากสังคมมของพ่อได้บ้าง เขาเบื่อกับความรู้สึกแบบเมื่อเช้า ความรู้สึกเหมือนถูกตรวจสอบ เหมือบกับว่าไม่ว่าเขาจะไปทางไหน ก็จะมีเงาของพ่อคอยตามตัวเขาอยู่ตลอดเวลา เขาอยากเป็นอิสระจากวังวนเหล่านี้มากที่สุด
   วินเปิดประตูสตูดิโอที่ชั้นสี่ที่ Esmod ก็พบกับร่างๆหนึ่งที่กำลังนั่งตัดรูปจากนิตยสารที่เขาวางกองทิ้งไว้บนโต๊ะกลางห้อง ชายหนุ่มขาวตี๋ หุ่นสมส่วน หน้าตาหล่อเหลา ภายใต้หมวกไหมพรมส่งสายตามามองเขา ขณะที่วินยืนมองอยู่ครู่หนึ่งอย่างพินิจ
   “ไอ้เอิร์ธ" วินร้องเสียงหลง
   “ไอ้วิน" เอิร์ธร้องกลับ
   “มาทำอะไรที่นี่วะ" ทั้งคู่ออกเสียงพร้อมกัน ก่อนจะถลาเข้ามากอดกันทันที
   “ไอ้เหี้ยเอิร์ธ อะไรเนี่ย อย่าบอกนะว่าแกเป็นเด็กอีกคนในโปรเจ็คอ่ะ" วินว่า
   เอิร์ธมองหน้าวินอยู่พักนึง
   “หึหึ" เอิร์ธว่า "มิน่าล่ะ ยัยนั่นถึงได้พูดแบบนั้น"
   “ใครวะ" วินถาม
   “ช่างมันเถอะ" เอิร์ธว่า "ว่าแต่เห้ย ไม่ได้เจอกันนานมากอ่ะ นี่เรียนจบกับเค้าด้วยเหรอวะ"
   “อ้าวไอ้นี่ ก็จบดิวะ" วินว่า "กูไปเรียนแฟชั่นดีไซน์ไง มึงเรียนดอมเดสที่จุฬานี่ ไหงมาต่อสาขานี่วะ"
   “เรื่องมันยาวอ่ะ" เอิร์ธว่า
   “กี่ตอน" วินถามกลับ
   “50 ตอนมั้งไอ้บ้า" เอิร์ธตอบติดตลก "คือกูมาก็มาทำโปรเจ็คนี้โดยเฉพาะนั่นแหละ มันได้ใบจบหลักสูตรด้วยไง มันน่าสนใจดี"
   “แล้วนี่พักอยู่ที่ไหนยังไงเนี่ย" วินว่า ความหวังเล็กๆแอบผุดขึ้นในใจ เขาอาจจะย้ายไปอยู่กับเอิร์ธได้ไหมนะ "เผื่อกูจะย้ายไปอยู่ด้วย"
   “คงไม่สะดวกว่ะ กุอยู่กับแฟน" เอิร์ธว่า "อยู่ชาโตว์วิลแลต"
   “อ้อ.....โห มีแฟนแล้วเหรอวะ" วินร้อง แสงแห่งความหวังดับวูบลงเขาคงไม่กลับไปวิลแลตอีกแล้ว "เออ ดีใจด้วย"
   “อืมๆ แล้วแกอ่ะพักอยู่ไหน" เอิร์ธถาม
   “อยู่ ทอร์ควิล" วินตอบสั้นๆ
   “อยุ่คนเดียวเหรอ" เอิร์ธถาม "ก็ต้องอยู่คนเดียวอยู่แล้วสินะมึง พ่อมึงรวยนี่"
   “เออๆ ไม่เจอสี่ปี เล่นพ่อเล่นแม่อีกแล้วนะ" วินว่า "แต่แม่งโคตรคิดถึงเลยอ่ะ ตั้งแต่จบม.หกก็ไม่เจอเลยอ่ะ"
   “อือ กูมีปัญหากับที่บ้านเรื่องเลือกที่เรียนว่ะ" เอิร์ธว่า "ก็เลยต้องหายไปซักพักเลยอ่ะ แต่ตอนนี้โอเคแล้วล่ะ ตายห่ามัวแต่คุย เออ มาช่วยกันเลือกรูปดิ จะได้เสร็จๆ"
   “แล้วแกรู้แล้วเหรอเอิร์ธ ว่าต้องทำอะไรอ่ะ" วินว่า
   “อ๋อรุ้แล้วๆ" เอิร์ธว่า "คัดคอลเลกชั่นที่คิดว่าดีที่สุดของแบรนด์ซูแม่จากนิตยสารพวกนี้ไง"
   “รู้ได้ไงอ่ะ" วินถาม
   “อ๋อ ก็พอดีฉันเจอกับพี่เลี้ยงพวกเราแล้ว" เอิร์ธว่า "แม่ง ไม่รู้ว่าจะเจอคนนี้ ที่นี่เขาสืบประวัติกูมาก่อนป่าววะ"
   “เห้ย ทำไมมึงพูดเหมือนเขาเลยวะ" วินว่า
   “อะไรนะ" เอิร์ธร้อง
   “ก็ประโยคเมื่อกี้ที่มึงพูดอ่ะ คุณเจนเขาก็พูดเหมือนกัน" วินว่า
   “หึหึ" เอิร์ธว่า "แหงอยู่แล้ว"
   “รู้จักเขาเหรอวะ" วินว่าพลางหยิบเล่มต่อไปมาเปิดออกทันที
   “เรื่องมันยาวว่ะ" เอิร์ธตอบ
   “หลายเรื่องนะมึงเนี่ย" วินว่า
   “จริงๆแล้วมันก็เรื่องเดียวกันนี่แหละ" เอิร์ธว่า "เอางี้ดิ เลิกแล้ว ไปหาไรกินกันป่าว จะได้คุยกันไง"
   “เอาดิไปๆ" วินว่า
   ก่อนจะรู้ตัว ทั้งคู่ก็ใช้เวลาทั้งบ่ายระลึกความหลัง และช่วยกันทำงานจนเสร็จลุล่วง ท่ามกลางอดีตที่ย้อนเวลากลับมาอีกครั้งหนึ่ง
….......
   มีคนเคยบอกว่าปารีสเป็นเมืองที่เชย การวางผังเมืองที่ถือเป็นผังเมืองที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลกทำให้เมืองนี้ยังคงเหมือนเดิม ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ปารีสจะไม่มีเวลาเดินต่อไปอีกนานเท่านาน และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้หลายๆคนหลงใหลปารีส เพราะมันสามารถทำให้เราลืมเวลาได้ และมันก็เป็นจริงอย่างนั้น
   วินและเอิร์ธเดินเตร็ดเตร่ไปบนถนนฮักโซ โดยมีเพียงกาแฟอุ่นๆกันคนละแก้วเท่านั้น
   “แล้วหลังจากนั้นกูก็มาเรียนต่อที่นี่ไง" เอิร์ธว่า
   “โห ชื่นชมแกว่ะ เอาชนะที่บ้านได้เฉียบขาดมาก" วินว่า "แล้วแฟนแกอ่ะ เขารู้หรือเปล่า เรื่องนี้"
   “รู้" เอิร์ธว่า "แต่ฉันไม่ให้เขามาช่วยอะไรเลยเว่ย ทุกๆอย่างเกิดจากการตัดสินใจของฉันเอง ว่าแต่แกเหอะ โดนส่งตัวมาแบบนี้ แกจะอยู่ไหวแน่เหรอวะ"
   “ต้องไหวดิ" วินว่า "ขนาดแกยังทำได้เลย ฉันก็ต้องทำได้เหมือนกัน"
   “อืม" เอิร์ธว่า "ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกก็แล้วกัน"
   “ขอบใจว่ะ" วินว่า
   “งั้นแยกกันตรงนี้ก็แล้วกันนะ เดี๋ยวแฟนกูมารับตรงหัวมุมถนนตรงโน้นอ่ะ" เอิร์ธว่า "พรุ่งนี้เจอกันบ่ายสอง ไปเป็นใช่ป่าวร้านที่คุณเจนเขานัด"
   “เป็นๆ แล้วเจอกัน" วินแยกกับเอิร์ธตรงแยกมุมถนน ก่อนจะหันหลังกลับเดินย้อนจากถนนฮักโซกลับขึ้นไปยังซา เดอ ลู แปง เขาเตร็คเตร่อย่างใจเย็นและรู้สึกสบายใจมากขึ้น เหมือนกับว่านี่เป็นครั้งแรกด้วยซ้ำที่เขารู้สึกสบายใจขนาดนี้ตั้งแต่มาอยู่ที่ปารีสนี่
   เอิร์ธ เป็นเพื่อนรักของเขาสมัยมัธยมปลาย เรื่องเกรียนๆต่างๆที่วัยรุ่นชายล้วนจะสามรถตั้งก๊วนทำได้ ทั้งคูเป็นตัวตั้งตัวตีทำมาหมดแล้ว ตั้งแต่ทำวงดนตรี ทีมบาส เล่นการ์ด อาละวาดกับโรงเรียนอื่น เขากับเอิร์ธไม่เคยพลาดซักงาน มันเริ่มถึงจุดหักเหก็เมื่อตอนที่เอิร์ธ อยู่ดีดีก็เงียบขรึมขึ้นมาเฉยๆตอนขึ้นม.หก แล้วเริ่มฝึกปรือฝีมือวาดรูปและงานกราฟิคอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาไม่รู้หรอกว่าสาเหตุของมันคืออะไร เขาก็แค่ลองทำตามเอิร์ธไปเท่านั้น และเมื่อเอิร์ธตัดสินใจเรียนต่อออกแบบนิเทศศิลป์ที่มหาลัยอันดับหนึ่งของไทยด้วยคะแนนดีขนาดนั้นได้ เขาเองก็มีแค่สกิลด้านวาดรูปคนและเสื้อผ้าสวยๆที่เหลืออยู่ การกระโจนเข้าสาขาแฟชั่นดีไซน์มหาลัยเอกชนที่พ่อของเขาไม่ขัดข้องจึงเป็นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่ นับเป็นการกลับมาเจอกันที่แปลกประหลาดสำหรับวินมากที่เดียวที่ได้เจอเอิร์ธอีกครั้งที่นี่ จากการพูดคุยกันมาตลอดบ่ายเขารับรู้ได้ว่าเอิร์ธโตขึ้นกว่าเดิมมาก ไม่เหลือคราบของไอ้เอิร์ธสุดแสบอีกต่อไปแล้ว
   วินเดินไปเรื่อยๆเพื่อทบทวนตัวเอง เขาแค่อยากหนีจากชีวิตแบบนี้ก็เท่านั้น เขาเดินทางมาไกลค่อนโลกแล้ว ทำไมเขาถึงไม่สามารถหลีกหนีความเป็นจริงนี้ไปได้ซะที เลี้ยวที่หัวมุมถนนอีกครั้ง พร้อมกับร่างของายคนหนึ่งเดินข้ามฝั่งมาประกบเขา
   “ทำไมไม่ไปที่ร้าน" เสียงอันเย็นเฉียบชาดังขึ้นอีกครั้ง วินหยุดชะงักทันที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองข้างๆตัว ก็พบกับเจ้าบารีสต้าอีกครั้ง
   “เห้ย นาย" วินว่า พลางมองไปรอบๆตัว "นายมาได้ไงเนี่ย"
   “ตอบคำถามฉันก่อนดิ มารยาทอ่ะ" ก้องพูดเสียงเบาๆพลางเหล่มองวินด้วยหางตา
   วินกัดฟันพลางส่ายหน้า
   “ก....พอดีเจอเพื่อน ก็เลยไปหาอะไรกินกัน" วินตอบ
   “นายพามาที่ร้านก็ได้นี่" ก้องพูด
   “ตอบคำถามกลับมาดิ มารยาทอ่ะ" วินว่ากลับ เขาจะไม่ยอมเป็นลูกไล่ เจ้าน้ำแข็งนี่อีกแล้ว
   ก้องเงียบไปพักนึงพลางหันมามองหน้าวินเต็มตัว รู้สึกตกใจเล็กน้อยที่โดนว่ากลับบ้าง เขาก้มหน้าลง
   “พอดีผ่านมาแถวนี้ เห็นนายก็เลยเดินตาม" ก้องว่า วินเหล่มองอย่างพินิจ "เพื่อนนายอยู่ที่นี่งั้นเหรอ แล้วทำไมไม่ไปอยู่กับเพื่อนนายล่ะ"
   “นี่นายไล่ฉันเหรอ" วินร้องทันทีพลางหันไปมองหน้าก้องด้วยตาแดงก่ำ
   “เปล่า ก็แค่ถามดู" ก้องรู้สึกตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นแววตาที่ส่งความรู้ประหลาดออกมาจากวิน
   วินก้มหน้าลงพลางเดินออกไปตามถนนมุ่งหน้าสู่ทอร์ควิล
   ทำไมเจ้าบาริสต้านี่ต้องมาพูดแทงใจดำเขาด้วยนะ สาเหตุที่ทำให้เขาคิดทบทวนอยู่นี่ ก็เพราะว่าเป็นเอิร์ธทั้งหมด ตอนนี้มันเหมือนกับว่าเอิร์ธประสบความสำเร็จแล้วอย่างนั้นล่ะ มีแฟน มีบ้าน มีที่เรียนต่อ มีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ ในขณะที่เขากำลังร่อนเร่ไปเรื่อยๆ พ่อไล่ออกมาให้ใช้ชีวิตเอง บ้านก็ไม่มี เงินก็ร่อยหรอ ต้องระเห็จมาอยู่กับคนแปลกหน้าที่แทบไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ ทั้งๆที่เอิร์ธเป็นคนที่เขารู้จักดี แต่ทว่าสี่ปีจนกระทั้งวันนี้ เขาดันไม่สามารถที่จะไปอยู่กับเอิร์ธ ได้อีกแล้ว
   เขากัดฟันกับตัวเอง เขาอยากจะหนีไปให้ไกล ไปจากปัญหาเหล่านี้ เขาไม่อยากเผชิยหน้ากับอะไรทั้งนั้น
   “ถ้าฉันมีเงินมากกว่านี้ ฉันจะไม่อยู่รบกวนนายต่อไปหรอก" วินพูดขึ้นเสียงเข้ม ขณะที่ก้มหน้าลงมองทางเท้า "ฉันไปแน่"
   “ฉันไม่ได้พูดขึ้นมาเพราะจะไล่นายหรอก" ก้องพูดขึ้น "ฉันก็แค่ถามดู ฉันรู้ว่านายไม่อยากอยู่กับฉัน เพราะถ้านายมีทางเลือกมากกว่านี้ นายก็คงไป นายพูดเอง"
   วินเงียบละเดินฟังต่อไป
   “ก็แค่เห็นว่ามีเพื่อนอยู่ที่นี่" ก้องว่า "ก็คิดว่านายอาจจะได้ไปอยู่ที่อื่นที่อยากไป"
   ยังคงไร้เสียงใดใจากวินอีก ก้องเริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง
   “นายไม่อยากทำงานแบบที่ฉันทำใช่ไหม" ก้องพูดขึ้น วินถึงกับหยุดเดินทันที และหันกลับมามองหน้าบารีสต้าหนุ่มด้วยสีหน้าท้าทาย "ไม่อยากอยู่ หรือมาคบค้าสมาคมกับพวกทำงานหาเช้ากินค่ำแบบนี้ใช่หรือเปล่า"
   “ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วนายจะทำยังไง" วินถาม "นายจะปล่อยฉันไปรึไง"
   “คุณหนูวินครับ" ก้องพูดเสียงเย็นเฉียบ "ผมไม่ได้ขอร้องให้คุณมาอยู่กับผมนะครับ"
   “นี่นาย นายอย่านึกว่าฉันจะไม่กล้านะ" วินพูดพลางกัดฟัน "นายอย่า....อย่าคิดนะว่า"
   “นายจะไปก็ได้ ฉันรู้ว่านายกล้า ฉันจะคืนเงินที่ให้ฉันมาเมื่อวานให้ก็ได้" ก้องว่า "แต่ฉันอยากให้นายคิดทบทวนดูดีดี ว่านายน่ะ บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงเมืองนี้เพราะอะไร"
   “อะไรของนายวะ" วินร้อง
   “นายมาปารีสเพราะอะไร" ก้องว่า
   “ก็มาเรียนต่อน่ะสิ" วินตอบ
   “เป็นอย่างนั้นจริงๆน่ะเหรอ" ก้องว่า "มาเรียนต่อ แต่หาบ้านก่อนเปิดเรียนวันแรกสิบสี่ชั่วโมงน่ะเหรอ"
   วินก้มหน้าลง เขาจะบอกหมอนี่ไปได้ยังไง ว่าเขาถูกพ่อส่งมาดัดนิสัย
   “ฉันจะไม่ขอให้นายทำในสิ่งที่นายไม่อยากทำ" ก้องพูด "ฉันขอให้นายทำค่สิ่งที่นายต้องทำเท่านั้นเอง และมันก็ไม่ได้ยากเลยซักนิด"
   วินหลับตาลงทันที เขาไม่อยากเผชิญหน้ากับคำว่าหมดทางเลือกแบบนี้เยซักนิด
   “เมื่อเช้า นายก็อิดออดกว่าจะตื่น ประชดใส่ฉันสารพัดที่ฉันบังคับให้นายตื่นมาทำงานที่ร้าน" ก้องว่า "แต่พอนายทำเข้าจริงๆ มันก็ไม่เห็นยากเลยไม่ใช่หรือไง"
   “ใช่ แต่ฉันไม่อยากทำไงเล่า" วินว่า
   “แต่นายก็ได้เงินนะ" ก้องว่า
   “ฉันมีเงินเยอะแยะ" วินร้อง
   “เป็นอย่างนั้นจริงๆน่ะเหรอ" ก้องถามต่ออีก "เงินเยอะแยะเลยงั้นสินะ"
   “นี่เจ้าบารีสต้า นายหยุด....”
   “วิน" ก้องพูดชัดเจน "ฉันรู้ว่านายอึดอัด แต่นายต้องทำนะ เพื่อตัวของนายเอง"
   วินกำหมัดแน่น
   “นายทำไปก่อนเถอะ" ก้องว่า "อดทนไปก่อน แล้วนายจะรู้ว่าเวลารอบๆตัวนายจะหยุดหมุนไปโดยที่ตัวนายเองไม่รู้ตัว แล้วพอนายกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง นายก็จะรู้ว่าตัวเองมีอะไรๆพร้อมมากกว่าตอนนี้มาก แล้วพอถึงตอนนั้นนายจะไปออกไปจากบ้านฉันเมื่อไหร่ก็ย่อมได้"
   วินเงยหน้าขึ้นมามองห้องอีกครั้ง
   “ฉันไม่ได้ขอให้นายอยู่กับฉัน" ก้องว่า "ฉันยืนยัน"
   วินเมินหน้าหนีอย่างครุ่นคิด พลางมองไปยังท้องถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนในเสื้อคลุม เดินไปมาขวักไขว่ ถ้าเขาออกจากบ้านหมอนี่ตอนนี้ เขาคงต้องเจอกับอะไรอีกมากมาย และปัญหาใหม่ๆที่คาดไม่ถึงจะเกิดขึ้นกับตัวเขาหรือเปล่านะ วินหันหลับมามองหน้าก้องที่ส่งสายตาเฉยชาให้กับเขา ถ้าเขาลองแก้ปัญหาไปกับหมอนี่ ประโยชน์ก็จะได้กับตัวของเขาเองมากกว่าหรือเปล่า
   “ว่าไง จะอยู่ หรือจะไป" ก้องถามอีก
   วินถอนหายใจครั้งหนึ่ง
   “มันจะได้ผลใช่หรือเปล่า" วินถามขึ้นเบาๆ เพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกดูแย่เกินไปนัก "ฉันดีกว่านี้หรือเปล่า"
   “ไม่รู้" ก้องตอบ "แต่ฉันไม่ใช่คนดูถูกคน ฉันเชื่อมั่นในตัวคนอยู่แล้ว ไม่ว่าคนคนนั้นจะดูแย่แค่ไหน คนพวกนั้นต้องการแค่โอกาสแก้ตัว และสำหรับนาย ก็บังเอิญว่าฉันมีโอกาสแบบนั้นพอดี"
   วินหายใจเข้าลึกๆพลางหลับตา
   “งั้น.....โอเค" วินว่า "ฉันจะอยู่กับนาย"
   “งั้นเดี๋ยวกลับไปที่ร้าน ฉันจะเริ่มสอนนายชงกาแฟ" ก้องว่า วินทำหน้าเหนื่อยหน่ายขึ้นมาทันที "ไม่ยากหรอก ถ้านายไม่ต่อต้านน่ะนะ"
   “งั้นก็นำไปดิ" วินว่า ก้องอมยิ้มที่มุมปากก่อนจะเดินออกหน้าไปทันที
   วินขอให้คำพูดของเจ้าบาริสต้าคนนั้นเป็นจริงก็แล้วกัน หากว่าเขาอดทนเพียงเล็กน้อย เวลารอบตัวจะหยุดหมุนไปเอง เขาก็อยกให้มันเป็นอย่างนั้น
   ทั้งๆที่จริงแล้ว ปารีสเป็นเมืองที่มีมนต์ขลังของเวลาเป็นเรื่องสำคัญ ลมหนาวที่พัดโชยมาตลอดปี สามารถทำให้เรื่องราวของโชคชะตาเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอ เช่นเดียวกันกับวิน....
….........

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ตอนที่ 5 Remove Me

   มันเป็นอย่างที่ก้องว่าจริงๆ มันไม่ได้มีอะไรยากไปซักหน่อยกับการทำงานอยู่ที่ร้านเกล็ดหิมะ วินก็แค่กลั้นหายใจ เดินไปเดินมา วันนึงเขาก็ได้แล้วอย่างน้อยราวๆเกือบ 1000 ยูโร และนั่นก็ทำให้เขาเริ่มมีตังค์เก็บมากขึ้นในอีกสองอาทิตย์ต่อมา ซึ่งสิ่งที่กำลังทำให้เขาประสาทเสียกลับไม่ใช่งานบริการต๊อกต๋อย กับเจ้าบาริสต้าสุดเฉยชา แต่เป็นการเรียนการสอนที่สตูดิโอใน Esmod Academy มากกว่า หรือถ้าจะกล่าวให้ถูกก็คือบรรยากาศการเรียนและทำโปรเจ็คในห้องทุกๆครั้ง มักจะมีรังสีประหลาดแผ่ออกมาจากคุณเจนจิราและเอิร์ธ มันมันเหมือนกับว่าสองคนนี้รู้จักกันมานาน และมักจะมีบทสนทนาที่ทำให้วินรู้สึกแปลกใจทุกครั้ง
   “มีเหตุผลหรือเปล่าว่าทำไมเพื่อนของนายยังไม่มาน่ะ เขาไปตายหรือยังไง" เจนพูดขึ้นทันทีเมื่อเข้ามาในสตูดิโอในเช้ากลางสัปดาห์ของอาทิตย์ต่อมา เอิร์ธถอนหายใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะ พลางมองเจนที่เดินฉับๆไปยังโต๊ะเพื่อวางของของตัวเองลง
   “ไม่รู้คับ" เอิร์ธตอบห้วนๆ
   เจนพลิกนาฬิกาข้อมือมาดูเวลา
   “ฉันจะลงไปคุยกับอาจารย์ใหญ่ที่ชั้นสามก่อน" เจนพูดขึ้น เมื่อวางแฟ้มงานของเธอลง "ฉันต้องการสตาร์บัคส์ตอนกลับขึ้นมาในอีกครึ่งชั่วโมง แล้วถ้าเพื่อนนายยังไม่มาในตอนนั้น....วันนี้ก็ไม่ต้องเรียนมันแล้ว"
   เจนจิราสะบัดตัวออกไปจากสตูดิโอ เอิร์ธเม้มปากเบาๆ
   “ทำไมหวยมาออกที่ผมวะพี่กาย พี่นัท" เอิร์ธตบโต๊ะครั้งหนึ่งก่อนจะลุกขึ้น และก้าวเท้าออกจากสตูดิโอทันที
   เอิร์ธสาวเท้าวิ่งออกจาก Esmod ไปยังสตาร์บัคส์ที่อยู่ตรงหัวถนน ขณะที่เขากำลังรออยู่นั้น ก็พบกับวินที่กำลังเดินอยู่ที่ถนนฝั่งตรงข้าม เมื่อได้รับกาแฟเขาก็รีบรุดเดินตามวินไปทันที
   “ไอ้วิน หายไปไหนมาวะ" เอิร์ธร้องเมื่อสามารถเดินตามวินมาทันได้จนถึงหน้าสถาบัน
   “อ้าวโทษที พอดีวันนี้กูทำงานล่วงเวลาอ่ะ" วินว่า
   “ขึ้นไปบนสตูเดี๋ยวนี้เลย" เอิร์ธพูดเสียงแข็งพลางจ้ำอ้าวนำขึ้นไป วินตามขึ้นไปอย่างงงงัน
   เจนจิรากลับขึ้นมาในอีกครึ่งชั่วโมง พอดีกับที่เอิร์ธและวินประจำที่เรียบร้อยแล้ว เธอหยิบกาแฟขึ้นมาจิบหนึ่งครั้งก่อนจะเริ่มพูด
   “ฉันได้ดูคอเลคชั่นที่เธอสองคนคัดเลือกมาแล้ว" เจนจิรากล่าว "ถือว่าเธอสองคนก็ตาถึงในระดับนึง ดังนั้นวันนี้ ฉันก็จะเริ่มโปรเจ็คอย่างเป็นทางการซะที"
   วินและเอิร์ธหมุนเก้าอี้มาประจันหน้ากับเธอ ขณะที่เจนเริ่มปิดไฟและฉายสไลด์ของเธอ
   “แฟชั่นวีค เดือนกันยายนเหรอ" วินว่า เจนหันมามองเขาอย่างประเมิณค่า
   “ใช่ค่ะคุณวิน" เธอตอบ "ปีนี้แบรนด์ซูเม่อินเตอร์เนชั่นนอล ต้องการทำโปรเจ็คในการจัดงานแสดงศิลปะและแฟชั่นโชว์ ที่เป็นคอนเซปต์ดั้งเดิมของแบรนด์อยู่แล้ว และเปิดตัวอย่างเป็นทางการตอนแฟชั่นวีคที่จะถึงนี้ ดังนั้นเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องทำงานนี้"
   “หัวข้ออะไรพี่เจน" เอิร์ธถาม
   “Coldness in Paris” เจนจิราตอบ "นี่เป็นเวิร์ดเริ่มต้น ที่ได้มา"
   วินและเอิร์ธจดลงในสมุดทันที
   “เอาล่ะ อันดับแรกที่ฉันอยากให้เธอสองคนทำคือ ลองประเมิณงานต่างๆที่ซูเม่มีอยู่ และหางานที่พอจะเป็นกรณีศึกษาได้อย่างดีที่สุดมาให้ได้ ภายในเดือนมีนาคม เราสามคนต้องย้ายสตูดิโอไปที่เซนต์เรจิส เพื่อทำงานกับทีมงานของแบรนด์ซูเม่ แต่ก่อนหน้านั้น เธอสองคนต้องจัดเซ็ทแฟชั่นมาให้ฉันดู เป็นงาน Experiment อะไรก็ได้ ที่แตกประเด็นจาก Coldness in Paris มาให้ฉันก่อน" เจนเริ่มอธิบาย
   “เซ็ทแฟชั่นจะต้องประกอบด้วยแฟชั่นโชว์หนึ่งชุด ในชุดนั้นจะต้องแตกออกเป็นสี่คอลเลคชั่นด้วยกัน" เจนว่าต่อ "เธอสามารถติดต่อฟรานเชียสก้าที่ชั้นสองเรื่องอุปกรณ์ตัดเย็บและนางแบบได้ทุกเวลา ส่วนเอิร์ธ เธอต้องทำคอนเซ็ปต์อาร์ท Visual และ Sound รวมถึง ธีม ทั้งหมดที่เกี่ยวเนื่องกันกับแฟชั่นโชว์ของคุณวินด้วย"
   “เดี๋ยวนะ วินเขาติดต่อเรื่องอุปกรณ์ได้ แล้วผมล่ะ" เอิร์ธร้องทันที
   “ฉันเดาว่าเธอมีรายชื่อช่างภาพ ดีไซน์เนอร์ อาร์ทไดเรกเตอร์ที่ดีอยู่ในมือเธอเอิร์ธ" เจนว่า "จากประวัติผลงานระหว่างฝึกงานอันน่าทึ่งของเธอมันก็ไม่น่าจะทำให้ปัญหานี่ เพราะทีมงานเก่าของเธอน่ะ ก็ทำได้ทุกอย่าง จริงไหม"
   เจนลุกขึ้นไปเปิดไฟทันที ขณะที่เอิร์ธเม้มปากอย่างหัวเสีย
   “เสก็ตทุกอย่างจะต้องเข้ารูปเล่มส่งให้ฉันในวันอังคารหน้า" เจนว่า "การคอนซัลต์จะเริ่มทุกวันเวลาหกโมงเย็นที่เดอ ลา คาเฟ่ ที่เดิม เธอสองคนจะต้องทำงานด้วยกันมากพอก่อนจะเอาอะไรๆมาส่งฉัน ฉันแจ้งทาง Esmod เรื่องสตูดิโอห้องนี้เอาไว้แล้ว เธอสามารถอยู่ที่นี่ได้นานเท่าที่ต้องการ"
   เจนเริ่มหยิบข้าวของของตัวเองจากโต๊ะและออกเดิน
   “อีเมล์และเบอร์ติดต่อของฉันอยู่ที่โต๊ะนี่แล้ว โทรหาฉันได้หลังบ่ายสามโมงเท่านั้น" เจนว่า พลางเดินตัดตรงไปยังประตูสตูดิโอ "แล้วเจอกันวันพุธหน้าค่ะ"
   เสียงปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับการจากไปของเจนจิรา หญิงสาวที่ทำให้วินรู้สึกว่าเขาพึ่งวิ่งระยะทางไกลมาเป็นร้อยๆเมตรเมื่อกี้
   “สุดยอด" วินว่า "เธอคนนี้สุดยอดจริงๆ มาไวไปไว จัดการทุกอย่างเอาไว้เสร็จสรรพแล้วด้วย ฉันขยับตัวไม่ได้เลยอ่ะ"
   “คิดงั้นเหรอ" เอิร์ธว่า "นายแน่ใจนะว่าขยับไม่ได้อ่ะ ถามจริง"
   “เอาน่า มีอะไรให้ฉันช่วยก็บอก" วินว่า
   “อย่ามามึนไอ้วิน วันนี้แกก็มาสาย" เอิร์ธว่า
   “อะไรวะเอิร์ธ นิดเดียวเอง แล้วอีกอย่าง เราก็ไม่ใช่เด็กๆแล้วป่ะวะ" วินว่า "เรียนแบบนี้ถ้าไม่เสร็จหรือมีเหตุอะไร มันก็ไม่ได้เข้มงวดขนาดนั้นซะหน่อย"
   “ไอ้ใช่น่ะมันใช่ แต่มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ" เอิร์ธว่า "ข้อแรกเลยนะเว่ย ฉันมีสาเหตุที่ต้องมาเรียนและทำโปรเจ็คนี้ ฉันไม่ได้แค่มาเรียนเฉยๆ ข้อสองฉันรู้จักคุณเจนจิราดี เขาไม่ใช่อาจารย์แบบที่นายคิดว่าจะเจอแบบที่มหาลัยที่ไทยแน่ๆ ผู้หญิงคนนี้น่ะ ฉันจะใช้คำว่าอะไรดีนะ.....เข้าใจยาก.....กว่าที่แกจะคิดถึงอีกเยอะไอ้วิน"
   “ขนาดนั้นเลยเหรอวะ" วินว่า
   “ถ้าแกเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่เพื่อนฉัน ฉันก็คงจะบอกให้แกไปทำเรื่องเปลี่ยนคลาสซะด้วยซ้ำ แกรับมือเขาไม่ไหวแน่ๆ" เอิร์ธว่า
   “ดูถูกกันไปหรือเปล่า" วินร้อง
   “หึหึ" เอิร์ธ หัวเราะ "แต่คราวนี้ ฉันไม่ยอมให้แกไปไหนเด็ดขาด งานนี้เป็นงานที่ยากมากๆ และฉันต้องทำให้สำเร็จเท่านั้นเว่ย ถ้าแกทำพัง ฉันเด็ดหัวแกแน่"
   “เอ่อะ ไหงหวยมาออกที่ฉันวะ" วินว่า
   “ไม่รู้แหละ" เอิร์ธว่า "แกต้องทำงานนี้กับฉันให้เสร็จเท่านั้น เข้าใจหรือเปล่า"
   “พูดเหมือนมีทางเลือกอื่นแล้ว" วินพูดแหยๆ
   “รู้แล้วก็ดี งั้นไปแยกกันไปรีเสิร์ชเดี๋ยวนี้ แล้วเอาทุกอย่างมากองลงตรงกลางในอีกครึ่งชั่วโมง" เอิร์ธว่า "ทำเดี๋ยวนี้เลย"
   วินถอนหายใจพลางหันกลับไปที่มุมทำงานของตัวเอง เขาเริ่มรู้สึกอึดอัดกับงานนี้เพิ่มขึ้นทีละน้อยแล้วล่ะสิ
…....
   “ประเด็นคือฉันไม่เข้าใจเรื่องที่แกบอกว่า มันเป็นมหัศจรรย์ตอนหน้าหนาวว่ะ" เอิร์ธถามขึ้นในหลังจากงานทุกอย่างเอามากองเรียงกันเรียบร้อยแล้ว "มันไม่เห็นจะมหัศจรรย์ตรงไหน"
   “กูคิดถึงพวกกำไลแล้วก็ลูกไม้" วินพยายามอธิบาย "ที่สีพื้นๆ แสดงถึงความเย็นชาแล้วก็แห้งแล้ง"
   “แต่กำไล ซูเม่เพิ่งจะใช้ไปเมื่อตอนปลายปีที่แล้วเอง" เอิร์ธว่า "งานป่าในเมืองไง"
   “งั้นก็เปลี่ยนไปใช้พวกดอกไม้แล้วก็เครื่องประดับแวววาวไหมล่ะ" วินแย้งขึ้นมา
   “ดอกไม้เหรอวิน หน้าหนาวเนี่ยนะ" เอิร์ธว่า "บรรลือโลก"
   “ก็กำลังคิดเหมือนกันว่าจะให้ไปถ่ายในแถบอุตสาหกรรมตรงนอกเมือง เพื่อให้มันเกิดความรู้สึกตรงกันข้ามกันกับความเป็นจริง" วินว่า "จะได้เห็นดอกไม้ท่ามกลางความดิบเถื่อน"
   “พอ พอ พอ" เอิร์ธยกมือขึ้นรั้งคำพูดของวินเอาไว้ "เห้ย ไอ้วิน เป็นไรของแกวะ"
   วินถอนหายใจเสียงดัง
   “แก้รอบที่สามแล้วนะ นี่แกยังไม่เข้าใจอีกเหรอวะ" เอิร์ธว่า "นี่ขนาดกูเองก็ไม่แฟชั่น ยังเห็นช่องโหว่ขนาดนี้ แล้วนี่ถ้าคุณเจนมาเห็นงานนี้ล่ะก็ นายเละเป็นโจ๊กแน่"
   “ก็......” วินมองลงไปในงานของตัวเอง "ฉันไม่เคยต้องทำงานแบบนี้นี่หว่า"
   “ไม่รู้แหละ" เอิร์ธส่ายหน้าพลางมองนาฬิกาของตัวเอง "เอางี้ วันนี้พอแค่นี้ก่อน แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมาว่ากันใหม่ ถึงอยู่ไปนานกว่านี้ก็ไม่ได้อะไรดีขึ้นหรอกกูว่า"
   เอิร์ธว่าดังนั้น ก็เริ่มต้นเก็บข้าวของของตัวเองทันที วินนั่งมองเพื่อนของเขาอยู่ได้ซักพักก็ลุกขึ้นเก็บของบ้าง
   “กูไม่รู้นะว่าอะไรหอบมึงให้มาเรียนที่นี่" เอิร์ธพูดขึ้น "แต่มึงจงรู้เอาไว้ด้วยว่ากู ไม่ได้เป็นหัวหน้ากลุ่มโครงงานตอนมัธยมแล้ว กูคงไม่ยอมให้มึงทำงานชุ่ยๆแน่ และกูก็ไม่สนด้วยว่ามึงจะได้ใบปริญญามาได้ยังไง"
   “พูดอย่างนี้หมายความว่าไงวะเอิร์ธ" วินหันกลับมาพูดเสียงแข็ง
   “ไอ้วิน ถึงมึงกะกูจะไม่ได้เจอกันมาห้าปี แต่กูก็ยังจำสันดานมึงได้นะ" เอิร์ธว่า "มึงเคยตัดสินใจอะไรในเรื่องจริงๆจัง เองซะที่ไหน ทุกอย่างถ้ามึงไม่ตามเพื่อน มึงก็ตามพ่อมึง แล้วไอ้ที่มึงเรียนจบมาได้เนี่ย กูถามจริง พ่อมึงเล่นเส้นป่ะวะ"
   “เห้ย พูดแบบนี้มันจะไม่ดูถูกกันไปหน่อยเหรอวะ" วินร้อง "กูก็ทำอะไรๆเป็นนะเว่ย ไม่ใช่เด็กๆแล้ว เกรดที่กูจบมาก็ออกจะดี มึงเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า"
   “กูมองตามึงก็รู้และ" เอิร์ธว่า "มึงไม่ได้ให้ความสำคัญในงานดีไซน์เลยด้วยซ้ำ ถามจริงเหอะไอ้วิน มึงมาปารีสทำไมวะ"
   “กูก็มาเรียนแฟชั่นต่อไง" วินตอบ
   “เป็นอย่างงั้นเหรอ" เอิร์ธถาม "แล้วทำงานได้แค่นี้เนี้ยนะ"

   วินรู้สึกสะดุ้งในใจอย่างประหลาด เขาโดนคำถามแบบนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว

   “ก...ก็"
   “ช่างมันเหอะ" เอิร์ธตอบ "ไปเหอะ แกกลับไปได้แล้ว"
   วินส่ายหน้าครั้งหนึ่งก่อนจะเดินออกจากสตูดิโอไปทันที

   บนท้องถนนที่เย็นยะเยือก ทำให้เวลารอบตัวของวินหายไปอีกแล้ว เขาอยากจะหายไปจากตรงนี้เสียที เขาไม่อยากทำอะไรแล้วทั้งนั้น ทำไมคนที่อยู่รอบๆตัวเขาถึงต้องพยายามตรวจสอบเขาขนาดนี้ด้วยนะ วินก้มหน้าลงอย่างสับสน หรือคำถามนี้มันจำเป็นกับเขามากขนาดนั้นเลยหรือ เขามาที่นี่ทำไม......เขามาไกลถึงเมืองอันห่างไกลนี่ทำไม
   ร่างๆหนึ่งกระชากตัวของวินกลับขึ้นมาบนฟุตบาทอย่างรวดเร็ว ทำเอาวินแทบหยุดหายใจ ร่างๆนั้นประคองตัวของวินเอาไว้เพื่อไม่ให้เขาล้ม และเขาก็พบว่าร่างๆนั้นก็คือเจ้าบาริสต้าหนุ่มนั่นเอง
   “นายทำอะไรอ่ะ" วินร้องใส่ ขณะที่ก้องพยักเพยิดไปทางซ้ายมือ รถยนต์ที่แล่นมาด้วยความเร็วตัดผ่านหน้าไป วินใจหล่นวูบขณะที่หันกลับมามองหน้าก้องด้วยสีหน้าตกใจ
   “คนไทย ข้ามถนนจะมองขวา" ก้องว่า "ไม่รู้หรอกว่าเป็นนาย แต่ถึงเป็นใครก็ปล่อยเดินออกไปไม่ได้หรอก"
   วินสะบัดแขนก้องออกทันที
   “ทำไมถึงต้องมีนายอยู่ในทุกๆที่เลยวะ" วินร้อง "นายตามฉันป่ะเนี่ย"
   “ป..ปล่าวซะหน่อย" ก้องว่า "ร้านเราอยู่ถัดไปอีกสี่บล็อค เจอฉันเดินไปมาแถวนี้นายยังไม่เลิกแปลกใจอีกรึไง"
   “ไม่ใช่ร้านฉันด้วยซะหน่อย" วินพูดเหวี่ยงๆก่อนจะเดินนำหน้าไปยังเส้นทางเดิมๆ ไปสู่ร้านเกล็ดหิมะ ขณะที่ก้องเดินตามไปเงียบๆ วินยอมรับว่าตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์จะมาหงุดหงิดเจ้าบารีสต้านี้ สิ่งที่เขากังวลตอนนี้คือคำพูดทุกคำของเอิร์ธมันก้องอยู่ในหัว เขากำลังคิดทบทวนถึงเรื่องนี้อย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเลย
   เลี้ยวที่หัวมุมถนนครั้งหนึ่ง ทันใดนั้น ก้องก็ดึงแขนของเขาและเริ่มออกวิ่งทันที วินที่ไม่ได้ตั้งตัว ก็เผลอโดนดึงตามไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
   “นายจะพาฉันไปไหนวะเจ้าบารีสต้า ร้านมันอยู่ทางนั้นไม่ใช่รึไง" วินร้องขึ้น
   “พานายหายไปจากที่นี้พักนึง" ก้องว่า "นายอยากได้แบบนั้นไม่ใช่หรือไง"
   วินถึงกับชะงักในใจทันที หมอนี่รู้ได้ยังไงกัน วินได้แต่มองเสื้อเสว็ทเตอร์สีส้มที่ปลิวสะบัดอยู่ตรงหน้าขณะที่ตัวเขากำลังวิ่งตามก้องไป ความรู้สึกแปลกๆเกิดขึ้นในใจ เหมือนกับว่าหมอนี่กำลังพาเขาไปสู่อิสระอย่างนั้นแหละ
   เขาจำไม่ได้แล้วว่าวิ่งกันมาไกลเท่าไหร่ ในที่สุด เขาก้องพามาถึงถนนริมคลองที่ตัดผ่านกลางกรุงปารีส เป็นถนนเส้นเล็กที่ตัดออกมาจากแซง ซู ปิส เลียบคลองที่ตัดออกมาจากแม่น้ำกลางกรุงปารีสอีกที นกพิราบฝูงหนึ่งกำลังบินลุกหือขึ้นจากสะพานขณะที่ก้องพาเขาเดินมาหยุดอยู่ที่สะพานข้ามคลองที่ร้างผู้คน ที่สุดปลายสะพาน เขามองเห็นวิหารแซง ซู ปิส อยู่ไกลๆ ก้องหันมายิ้มเบาๆให้วินก่อนจะกางแขนตัวเองออกพลางหันหน้าออกไปยังคลองตรงหน้า
   “ประสาท" วินว่า "อะไรของนายวะ"
   ก้องหันมาเลิกคิ้วใส่วิน
   “นายนั่นแหละ อะไร" ก้องว่า "อุตส่าห์พามาที่ดีดี ยังจะหงุดหงิดอยู่อีก ปล่อยวางได้แล้ว"
   “เพื่อ" วินว่าเสียงเข็ง แม้ว่าสายตากำลังมองไปรอบๆภาพที่สวยงามราวกับภาพวาดแบบนี้ "ฉันจะเครียดเรื่องอะไรมันก็เรื่องของฉันได้มะ"
   ถึงแม้ปากวินจะโพล่งออกไปแล้ว แต่ชายหนุ่มก็เท้าแขนเข้ากับสะพาน พลางมองออกไปไกล พร้อมกับลมหนาวที่พัดมาต้องหน้าเบาๆ เขาหลับตาลงซึมซับมันไปประเดี๋ยวเดียวก็ก้มหน้าลงอีกครั้ง
   “มีคนบอกว่า ใครถ้าเวลาเครียดแล้วก้มหน้าลง นั่นหมายความว่าคนคนนั้น ไม่กล้าเผชิญหน้า ไม่กล้าตัดสินใจล่ะ" ก้องพูดขึ้น
   “เปลี่ยนจากคนชงกาแฟเป็นนักจิตวิทยาแล้วรึไงนาย" วินถามกลับ ก้องขำเบาๆ
   “มีอะไรอยากจะปรึกษาหรือเปล่า" ก้องว่า
   “ไม่สบายป่ะเนี่ย" วินถามกลับ
   “ก็ฉันเคยบอกนายแล้ว ว่าถ้านายมีอะไร ก็ปรึกษาฉันได้" ก้องว่า
   “บอกนายแล้วนายจะช่วยอะไรได้วะ" วินว่า "นายไม่รู้เรื่องของฉันซะหน่อย"
   “ก็เพราะว่าฉันไม่รู้เรื่องอะไรไง" ก้องว่า "มันอาจจะให้นายเห็นอะไรๆแบบที่นายไม่เคยเห็นมาก่อนก็ได้นะ มุมมองน่ะ"
   วินมองหน้าก้องแว้บนึงก่อนจะถอนหายใจ เขาไม่เหลือใครในเมืองนี้แล้วจริงๆ แม้แต่เอิร์ธก็ยังไ่ม่เข้าใจเขา บางทีหมอนี่ถึงจะกวนประสาท แต่ถ้ามันช่วยรับฟังอะไรได้บ้าง มันก็น่าจะดีขึ้นเหมือนกัน
   “ก้อง" วินเรียกชื่อก้องเป็นครั้งแรก "ฉันไม่รู้ว่าฉันมาที่นี่ทำไม"
   แล้วก็เข้าสู่ความเงียบทันที วินรู้สึกอายตัวเองเหลือเกินที่ต้องพูดอะไรแบบนี้กับหมอนี่
   “ฉัน ฉันไม่รู้ฉันมาที่นี่เพื่ออะไร กำลังทำอะไรอยู่ และทำไปเพื่ออะไรว่ะ" วินพูดออกมาจากใจจริง "ฉันก็เลยหงุดหงิดน่ะ"
   “งั้นเหรอ" ก้องทวนคำ
   “ฉันไม่รู้ว่าฉันควรจะเริ่มจากตรงไหน ฉันมองไปทางไหน มันก็มีแต่เรื่องไม่ถูกใจทั้งนั้น" วินว่า "ทั้งเรื่องที่เรียน เรื่องการเงินตอนนี้ เรื่องเพื่อน เรื่องนายก็ด้วย"
   “ฉันด้วยเรอะ" ก้องพูดเสียงเข้ม
   “ก็ใช่สิวะ" วินว่า "ทำไมตอนนี้ฉันไม่มั่นคงเลยซักอย่าง ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แถมยังต้องมาอยู่กับนาย มาขอความช่วยเหลือนายแบบนี้ นี่ฉันทำอะไรไม่ได้ด้วยตัวเองขนาดนั้นเลยเหรอ นี่ฉันมันตกต่ำขนาดนี้เลยเหรอวะก้อง ถามจริงๆ"
   “นายคิดว่านี่คือจุดตกต่ำถึงขีดสุดในชีวิตนายแล้วเหรอ" ก้องว่า วินหันมาหาเขาทันที
   “ก็เห็นๆกันอยู่อ่ะ" วินว่า
   “งั้นเหรอ นายคิดอย่างนั้นจริงๆเหรอ" ก้องถาม "ฉันจะบอกให้นะ นายไม่ใช่คนที่ตกต่ำที่สุดที่นี่หรอก”
   “อะไรนะ” วินถาม
   “ฉันเดาว่านายคงเคยใช้ชีวิตแบบเหนือคนอื่นมาก่อนงั้นสินะ” ก้องว่า “งั้นฉันจะบอกอะไรนายให้ ที่นี่ ยังมีคนไทยอีกเยอะมาก ที่มีชีวิตลำบากกว่านาย ฉันอยู่ที่นี่มานาน ฉันเห็นคนไทยหลายคนเดินเข้าออกร้านเกล็ดหิมะคนแล้วคนเล่า คนพวกนั้น บางคนไม่มีเงินติดตัวเลยซักเหรียญ ไม่มีบ้าน ไม่มีงาน บางคนไม่แม้แต่หนังสืออนุญาติเข้าเมืองมาด้วยซ้ำ”
   วินหันมามองก้องทันที
   “นายยังไม่รู้ตัวอีกเหรอว่านายได้โอกาสที่คนที่นี่อีกหลายชีวิตเขาไม่มี” ก้องว่า “นายไม่พอใจที่มาอยู่กับฉัน แต่นายไม่คิดบ้างเหรอว่าแล้วถ้านายไม่ได้มาอยู่กับฉันล่ะวิน นายจะไปอยู่ที่ไหน....นี่ฉันไม่ได้จะมาตำหนินายเพิ่มนะ ฉันกำลังคุยด้วยเหตุด้วยผลนะ โอเคนะ”
   วินมองหน้าก้องอีกครั้งก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ
   “นายได้ทำงานที่ร้าน ทั้งๆที่นายไม่ต้องมีใบอนุญาติ ฉันบอกว่าจะสอนนายชงกาแฟ นายจะได้มีรายได้เพิ่ม นายคิดดูสิ มีใครที่ไหนจะได้โอกาศแบบนี้ดีดีภายในคืนเดียวบ้างล่ะ” ก้องว่า "ที่นายยังทำอะไรไม่ได้เป็นจริงเป็นจัง มันมาจากตัวนายเองมากกว่า"
   วินก้มหน้าลงอีกครั้ง
   “บางครั้งคนเรามันก็หนีปัญหาไปได้ไม่ไกลนักหรอก" ก้องว่า "เพราะสุดท้ายแล้ว นายก็ต้องกลับมานั่งแก้มันอยู่ดีไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว"
   “แต่ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าฉันทำไปเพื่ออะไร" วินว่า "ฉัน ไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมฉันถึงปล่อยให้ตัวเองมาอยู่ถึงที่นี่ได้"
   “แต่ฉันว่านายหนีปัญหามา" ก้องพูดยิงเข้าอกของวินเข้าอย่างจัง เพียงเพราะเขาไม่เผชิญหน้ากับพ่อในวันนั้น นั่นทำให้เขาต้องมาอยู่ที่นี่ "และนั่นทำให้นายมาเคว้งอยู่ที่นี่ อยู่อย่างคนที่ไม่มีทางเลือกแบบนี้ไงล่ะ"
   วินหันไปมองก้องอย่างไม่เชื่อหู หมอนี่พูดตรงใจเขาทุกประเด็น
   “นายรู้ดีเกินไปและ" วินว่า
   “แล้วมันจริงไหมล่ะ" ก้องว่าต่อ
   “จริง" วินตอบอย่างคนพ่ายแพ้ "ฉันไม่รู้ว่าที่ทำอยู่นี่มันคือสิ่งที่ฉันต้องการจริงๆหรือเปล่าด้วยซ้ำน่ะ"
   “ทางออกที่ดีที่สุดก็คือการก้าวไปข้างหน้า" ก้องว่า "เพราะถึงยังไงนายก็ถอยหลังกลับไม่ได้แล้ว ทำต่อไปอย่างเต็มใจดีกว่านะวิน บางทีมันอาจจะมีอะไรดีขึ้นบ้างก็ได้"
   “แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา" วินว่า "ถ้านี่ไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการ"
   “นายก็จะรู้ไง ว่านี่มันไม่ใช่" ก้องว่า "ถ้าตอนนี้นายอดทนทำเรื่องที่นายรู้สึกว่าไม่ใช่ จนผ่านมันไปได้ อย่างอื่น มันก็ไม่มีอะไรที่นายจะทำไม่ได้อีกแล้วป่ะวะ"
   วินหันหน้าไปมองก้องอย่างเต็มตา
   “คิดงั้นเหรอ" วินว่า
   “อื้อ" ก้องพยายามทำสีหน้าให้กำลังใจกับวินอย่างสุดๆ แต่วินกลับรู้สึกว่านั่นเป็นการกวนประสาทมากกว่า วินยิ้มให้ก้องทันที
   “นายนี่ก็มีความคิดดีดีเหมือนกันนี่หว่าเจ้าบารีสต้า" วินว่า
   “ก็บอกว่าชื่อก้องไงเล่า" ก้องว่า
   “เออๆ นั่นแหละ" วินว่า "เห้อ...”
   วินถอนหายใจดีจัง พลางมองออกไปยังคลองแห่งนั้น
   “ขอบใจนายมาก" วินว่า "เป็นอันว่าฉันจะลองดูก็แล้วกัน"
   “ดีแล้ว" ก้องพูดเสียงห้วนๆ "เย็นมากแล้ว กลับกันเหอะ วันนี้ฉันจะสอนนานชงกาแฟ"
   วินห่อไหล่ทันทีอย่างเบื่อหน่าย
   “ไหนบอกจะลองดูไง" ก้องว่า
   “ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย นำไปดิ" วินว่า
   ก้องส่ายหน้าพลางอมยิ้มใส่วินครั้งหนึ่ง ก่อนจะเดินตามไป
   ก้องพูดถุกทุกอย่างเลย และความรู้สึกที่ไม่ได้เกิดขึ้นกับเขามาหลายวันแล้วก็เกิดขึ้น ความรู้สึกสบายใจ เพราะว่าที่จริงแล้ว ถึงก้องจะทำให้วินรู้สึกหมั่นไส้และหัวเสีย แต่ตั้งแต่เขาเริ่มชีวิตจริงจังที่นี่ หมอนี่เป็นคนเดียวที่ทำให้เขาสบายใจได้ ยังไงซะ หมอนี่ก็คงไม่รู้ถึงความโหดร้ายของงานดีไซน์ที่เขาได้รับมา แต่อย่างน้อยเขาก็ได้รู้แล้วว่า
   ความอบอุ่นเล็กที่เกิดขึ้นนี้ มันเป็นความอบอุ่นเดียวที่เขามีซะแล้ว....
…...........

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ตอนที่ 6 Fighting

   การพรีเซนต์งานรอบที่สามของกลางเดือนมกราคมคลืบคลานผ่านมาอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าวินจะหมดค่าใช้จ่ายไปกับการทำพรีเซนต์ การปรินท์งาน และค่าตัวอย่างเสื้อผ้า เขาก็สามารถบริหารมันได้อย่างฉิวเฉียดเต็มที และที่ต้องเต็มใจขอบคุณอย่างจริงจัง ก็คือเพื่อยร่วมชายคาของเขา เจ้าบาริสต้าก้อง ที่ช่วยเขาบริหารค่าใช้จ่ายได้อย่างจวนตัวพอดีเป๊ะ วินยอมรับว่าชีวิตรัดเข็มขัดแบบนี้ค่อนข้างอึดอัด แต่ด้วยภาระงานอันหนักอึ้งแบบนี้ มันทำให้เขาไม่มีช่องว่างที่จะให้เงินที่มี ไหลไปสู่อย่างอื่นได้เลย
   วันนี้เจนจิรานัดการดูคอเลกชั่นครั้งที่สามที่ห้องตัดเย็บชั้นสามของ Esmod เขาและเอิร์ธ ต้องจัดแฟชั่นโชว์อย่างง่ายๆหนึ่งชุดพร้อมกับพรีเซนต์ต่อหน้าเจนจิราและวิทยากรรับเชิญที่จะมาร่วมกันตัดสินชะตาในโปรเจ็คแรกของการเรียน เขายอมรับว่ากังวลมาก และนั่งเตรียมพรีเซนต์ทั้งคืน แลรุดหน้ามาที่นี่ตั้งแต่ช่วงเช้า เขาขอทางร้านเกล็ดหิมะหยุดงานช่วงเช้าหนึ่งวัน ซึ่งก้องเองก็ไม่ได้ว่าอะไรแถมยังอุตส่าห์ตื่นแต่เช้าทำข้ามกล่องมาให้เขาทานอีกด้วย
   “ฉันอยากให้นายเต็มที่กับวันสำคัญแบบนี้" ก้องว่า "สู้ๆก็แล้วกัน"
   แม้ว่าเอิร์ธจะไม่ได้บอกว่าตัวเองตื่นเต้น แต่ทว่าวันนี้วินเห็นเอิร์ธเดินวนไปวนมาในห้องตัดเย็บอย่างเป็นกังวลมาก ทำเอานักเรียนคนอื่นๆ ที่กำลังเย็บปัก ต้องจัดหาเก้าอี้มาให้เอิร์ธนั่ง เพื่อไม่ให้เขารบกวนสมาธินักเรียนคนอื่นๆ และเมื่อเจนจิรามาถึง เขาและเอิร์ธก็ถึงกับตกตะลึง เพราะเธอขนเอากองทัพดีไซน์เนอร์หลายๆคนตามมาด้วย เขาและเอิร์ธมองหน้ากันแหยๆครั้งหนึ่งก่อนจะลุกขึ้น
   “สวัสดีครับพี่เจน" เอิร์ธเริ่มทักทายก่อน พลางเดินเข้าไปหาเธอ
   “ทุกอย่างเรียบร้อยใช่ไหม" เจนถามกลับพลางมองไปรอบๆ
   “เรียบร้อยครับแล้ว...” เอิร์ธมองไปยังกลุ่มคนที่เดินตามเจนจิราที่กำลังจับจองที่นั่งเพื่อรอพรีเซนต์เหมือนกำลังค้นหาบางอย่าง
   “เขาไม่มา" เจนพูดกับเอิร์ธ "เขาไม่ว่าง ไปเตรียมพรีเซนต์เถอะ"
   “ครับ" เอิร์ธก้มหน้าลง ก่อนจะเดินกลับไปยังแผงควบคุมที่วินยืนอยู่ตรงนั้น
   “เป็นไรป่ะวะ" วินถาม "ยุกยิกพิกล"
   “ไม่มีอะไรอ่ะ" เอิร์ธว่าเสียงเข้ม "เดี๋ยวฉันจะพรีเซนต์วิชั่ว ก่อน แล้วหลังจากนั้นแกก็ปล่อยตัวนางแบบออกมาเลยนะ แล้วเวลาพรีเซนต์อ่ะขอเป็นภาษาอังกฤษเลย"
   “โอเค" วินรับคำ ก่อนที่เอิร์ธจะปิดไฟมืดลง
   เป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมงที่การแสดงผลงานของเอิร์ธและวินดำเนินไป ท่ามกลางการดูงานของเหล่าบรรดาดีไซน์เนอร์ที่ต่างก็จับตาพินิจงานของทั้งคู่อย่างเอาเป็นเอาตาย และเมื่อการแสดงจบลง เอิร์ธและวินก็ต่างออกมายืนตรงหน้าเหล่าดีไซน์เนอร์ของเจนจิรา
   เธอหันไปคุยกับคนข้างๆสองสามคำ ขณะที่ทุกๆคนดูท่าทางจะมีความเห็นกับโชว์ที่เพิ่งผ่านมาอย่างเผ็ดร้อนพร้อมกับค่อยๆทยอยออกจากห้องตัดเย็บไป เหลือเพียงเจนจิราและเพื่อนของเธอสองคนที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวหน้า ขณะที่วินและเอิร์ธมองหน้ากันหน่ายๆก่อนที่เจนจิราจะกระแอมขึ้น
   เอิร์ธและวินกลับมายตัวตรงทันที
   “ฉันไม่เข้าใจ ว่าทำไมมันถึงเป็นการซักซ้อมที่ดีไม่ได้" เจนจิราเริ่มพูดเป็นภาษาไทย "พวกเธอมีเวลาเตรียมตัวตั้งครึ่งชั่วโมง สับสนสิ้นดี แล้วแบบของคอเลกชั่นใบไม้ผลิที่ฉันสั่งล่ะไปไหน"
   เจนจิราหันหน้ามามองวิน เขาสะดุ้งสุดตัว
   “อยู่...อยู่..เอ่อ" วินพูดอึกอัก
   เจนจิราหลับตาลงด้วยความเหนื่ยหน่าย ก่อนจะเบนสายตามาหาเอิร์ธ
   “ส่วนของเธอ ต้องปรับสีดำลงนะ ไม่อย่างนั้นจะมืดกันทั้งโชว์แน่ๆ" เจนจิราเริ่มพูด "แต่คอนเซปต์โดยรวมถือว่าลงตัวแล้ว แต่ฉันไม่ชอบงาน Experiment ของเธอเลย สีเทากับเขียวแบบนี้"
   “Loveless....”
   “Loveless Society คอลเลคชั่นของกายสิทธิ์ เดือนธันวาคม เดือนที่แล้ว" เจนจิราพูดตัดบทของเอิร์ธ พลางลุกขึ้นยืนอย่างสุภาพ "นึกว่าเธอจะใช้อะไรที่สดใหม่ได้มากกว่านี้ซะอีกนะ"
   เจนจิราแค่นเสียงดูถูกก่อนจะเดินไปยังโต๊ะที่เอิร์ธและวินวางเพจพรีเซนต์เอาไว้ พร้อมกับเพื่อนๆของเธอ
   “แล้วชุดทั้งหมดของโชว์ล่ะไปไหน" เจนจิราว่า วินรีบรุดไปด้านหลังห้องตัดเย็บทันที "ทำไมไม่มีใครพร้อมเลยซักคน"
   เอิร์ธเข้ามาประกบเธอทันที
   “นี่มันอะไรเนี่ย" เธอหยิบเอาเพจหน้าหนึ่งขึ้นมา เป็นรูปจากคอลเลกชั่นของ Loveless Society นั่นเอง "การหากินของเก่า ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีของดีไซน์เนอร์หรอกนะ"
   “การติดอยู่กับเรื่องเก่าๆก็ไม่ใช่ความเป็นมืออาชีพเหมือนกันแหละครับ" เอิร์ธพูดกลับ เจนจิราถึงหับหันมามองหน้าเด็กหนุ่ม พอดีกับที่วินเข็มเอาราวเสื้อผ้าที่ใช้โชว์มาทั้งหมด
   “ก็มาดูกัน ว่าใครจะติดกับอดีตมากกว่ากัน" เจนจิรายิ้มเยาะ พลางเดินผ่านเอิร์ธไปยังราวชุดของวิน ที่เขยิบตัวมาหาเอิร์ธทันที
   “มีอะไรกันเหรอ" วินถามเบาๆ
   “ไม่มีอ่ะ หยิบปากกาแล้วก็จดตามแล้วกัน" เอิร์ธว่าเสียงเข้ม
   “ฉันไม่ให้ผ่านหรอกนะ สำหรับโชว์วันนี้ ดีไซน์เนอร์ที่มาวันนี้ส่วนใหญ่ ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใหม่อะไร ฉันต้องการโชว์ใหม่วันเดียวกันนี้ในสัปดาห์หน้า" เอิร์ธและวินรู้สึกเหมือนแก้วเจียนะไนราคาแพง ตกลงแตกตรงหน้า เขาทั้งคู่หมดเงินไปมากโขกับงานนี้ เจนจิราพูดพลางหันไปพูดคุยกับเพื่อนของเธอ "ตัวนี้ดูแย่นะฝน"
   เธอหยิบเอาเสื้อที่เขาเก็บตังค์ทั้งอาทิตย์เพื่อซื้อผ้ามาตัดออกมา วินเจ็บจี๊ดในหัวใจ ขณะที่กำปากกาแน่น
   “ก็ไม่หรอกนะ ถ้ามีแจ๊กเก็ทสีแปร๋นๆสวมทับล่ะก็ได้" เพื่อนของเจนจิราหยิบมาทาบกับตัวเอง
   “แต่มันจะดูเหมือนของ...” เจนหยิบมันกลับมา
   “ของดอลเช่ ในโวร์คฉบับเดือนกรกฎาปี 2004 เหรอ ไม่หรอก ถ้ามีเครื่องประดับที่เข้ากัน" ฝนว่า
   “แล้วเข็มขัดล่ะอยู่ไหน" เจนจิราว่า วินรีบวิ่งไปด้านหลังห้องอีกครั้ง เจนจิราเหลือกตาขึ้น "เพื่อนเธอหกล้มหัวฟาดพื้นมารึยังไง ทำไมถึงไม่พร้อมอะไรเลย"
   เอิร์ธยิ้มตอบแหยๆ ขณะที่วินวิ่งกลับมา พร้อมกับเข็มขัดสีชมพูแปร๋นสองเส้น
   “เลือกยากมากครับ" วินว่า "มันต่างกันมาก"
   เอิร์ธพ่นลมออกมาอย่างตกใจ ทั้งหมดถึงกับหันไปมองเอิร์ธทันที
   “เธอถอนหายใจอะไร" เจนจิราถาม
   “เอ่อ...” เอิร์ธมองไปยังเจนจิราและเพื่อนๆของเธอ "คือ ผมแค่ตกใจ เพราะเอ่อ...เข็มขัดสองเส้นนั้นดูเหมือนกันมากสำหรับผม"
   เจนจิราเอียงคอ
   “ผมเอ่อ....ผมอาจจะยังไม่ค่อยชินงานดีไซน์พวกนี้" เอิร์ธว่า
   “พวกนี้งั้นเหรอ" เจนจิรา พลางแค่นเสียงหัวเราะ ไปพร้อมๆกับเพื่อนๆของเธอ วินส่ายหน้าน้อยๆไปให้เอิร์ธ "เธอคิดอย่างนั้นเหรอจริงๆเหรอเอิร์ธ งั้นฉันจะบอกอะไรให้ก็แล้วกัน"
   เจนจิราพูดพลางหยิบเข็มขัดจากมือวินมาลองคาดที่ชุดนั้น
   “เธอ ดีไซน์เนอร์น้องใหม่ไฟแรง ที่อยากจะท้าทายตัวเอง ไปสู่จุดที่สูงกว่าเดิม เพื่อตามอะไรบางอย่างให้ทัน จับพลัดจับผลูเข้ามาเรียนในคลาสของฉัน คลาสแฟชั่นที่ไม่เคยอยู่ในสายตาของเธอเลย เพื่อประกาศให้ใครต่อใครรู้ว่า เธอเริ่มเอาจริงเอาจังและมองเรื่องดีไซน์แตกฉาน ซะจนไม่สนว่าเนื้อหาของคลาสนี้จะเป็นยังไง" เจนจิราว่าพลางหยิบหมวกใบเก๋มาประกบเข้ากับชุดอีกใบ "ที่นี่ไม่ใช่แค่งานดีไซน์ที่หาคอนเซปต์ หาไอเดีย ทดลองทำ แล้วจบเหมือนงานที่เธอเคยทำมา แต่มันคืองานที่จำเป็นจะต้องคิดให้เร็ว คิดถี่ถ้วน คิดให้ไว และที่สำคัญ ต้องสวยงาม......ฉันต้องใช้แจ๊กเก็ทอีกตัว"
   “ได้คับ" วินรับคำก่อนจะเดินไปยังตู้เสื้อผ้ามุมห้อง
   “ที่เธอไม่รู้ก็คือ งานแฟชั่น มันก็คือการประมวลผลลัพธ์ของงานแบบที่เธอเคยทำมาแล้วในเวลาอันแสนสั้นของชีวิตดีไซน์เนอร์หน้าใหม่อย่างเธอ ให้กลายเป็นเงินมูลค่ามหาศาล และงานฝีมืออีกนับไม่ถ้วน น่าเศร้าที่เธอได้พยายามทำตัวเองให้ดูเหมือนว่าจะแตกฉานกับเรื่องดีไซน์แบบนี้ ทั้งที่แท้จริงแล้ว เธอก็ไม่ได้รู้ดีไปกว่าเพื่อนของเธอคนนี้" เจนจิรามองหน้าเอิร์ธพลางยิ้มกว้าง "หรือมากไปกว่าทีมฝีมือดีที่เธอเคยทำงานด้วยมาด้วยซ้ำ ทั้งๆที่มันก้เป็นแค่....เรื่องพวกนี้ อย่างที่เธอว่าน่ะนะ"
   เอิร์ธกัดฟันกรอดขณะมองเจนจิราเดินกลับไปยังราวชุดเสื้อผ้าของเธอ
….................
   “ไม่ๆ แต่ประเด็นมันคือฉันแค่ไม่เข้าใจ แล้วก็มองไม่เห็นความต่างของเข็มขัดสองเส้นที่นายถืออยู่เว่ยวิน" เอิร์ธโวยวายเสียงดังกลางร้านเกล้ดหิมะในเวลาเย็นของวันนั้น ขณะที่วินนั่งฟังพลางถอนหายใจ พร้อมกับก้องที่เดินมานั่งลงที่โต๊ะด้วยอีกคนพร้อมกับแก้วเครื่องดื่มของตัวเอง "ไม่เข้าใจว่ายัยนั่นต้องการอะไรกันแน่"
   “มันต่างกันที่ที่การตัดเย็บแล้วก็เดินตะเข็บ" วินว่าเสียงเหนื่อยหน่าย "นายก็ไม่น่าจะโพล่งออกไปเลย ไหนว่ารู้จักเขาดีไง"
   “รู้น่ะรู้ แต่ไม่รู้ว่าจะร้ายขึ้นขนาดนี้" เอิร์ธว่า พลางจิบเครื่องดื่มของตัวเอง
   “เอ้อ ลืมแนะนำ นี่คือก้อง เป็นเอ่อ เฮาส์เมทของฉันเอง" วินแนะนำ เอิร์ธรีบจับมือทันทายทันที "เขาเป็นบาริสต้าของที่นี่ นายนี่น่ะทำอาหารเก่งน่าดูเลยล่ะ"
   “หวัดดี วินพูดถึงนายบ่อยๆ" ก้องว่า "ได้เจอตัวจริงซะที"
   “หวัดดี หวัดดี" เอิร์ธว่า "โทษทีนะที่มารบกวนอ่ะ"
   “ไม่เป็นไร ตามสบายเลย ร้านจะปิดแล้ว" ก้องว่า
   “เออ แม่ง เซ็งว่ะ นี่ฉันหมดไปเป็นพันเลยนะเว่ย" เอิร์ธว่า "ต้องทำใหม่ทั้งคอเลคชั่นเลยอ่ะ"
   “กล้าพูดมากไอ้เอิร์ธ" วินว่า "ของฉันหมดไปเกือบหมื่น เงินเก็บฉันทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมาเลยอ่ะ"
   “นี่อย่าบอกนะว่าที่นายทำงานมาทั้งอาทิตย์น่ะ มันสูญไปกับ" ก้องหันมาหาวิน ที่ยักไหล่ไปหาเอิร์ธ
   “สูญสิ้นไม่เหลือซักเหรียญอ่ะฮะ" เอิร์ธว่า
   “คุณเจนเค้าอะไรจากแกหรือเปล่าวะ" วินว่า "ถ้าแกล้งกันแบบนี้ ฉันซวยไปด้วยนะเว่ย ไม่เอาด้วยอ่ะ"
   เอิร์ธส่ายหน้าพลางครุ่นคิด
   “ถ้ามีอะไรกับเค้าอ่ะ ว่ากันตรงๆไม่ดีกว่าเหรอวะ" วินว่า "ปล่อยไว้แบบนี้ ฉันว่าไม่เวิร์คว่ะ"
   “แกไม่เข้าใจหรอกไอ้วิน" เอิร์ธว่า
   “งั้นลองเล่ามาดิ เผื่อจะช่วยแก้ปัญหาอะไรกันได้" ก้องว่า พลางมองหน้าเอิร์ธ ที่มองวินและก้องอย่างครุ่นคิด "นายสองคนเป็นพาร์ทเนอร์กันไม่ใช่หรือไง น่าจะช่วยกันให้จบคอร์สนี้ไปให้ได้นะฉันว่า ถ้าอาจารย์คนนี้เค้ามีปัญหา นายสองคนก็ต้องสู้ล่ะ"
   วินมองหน้าก้องอย่างไม่เชื่อหู  หมอนี่ทำตัวน่าคบขึ้นมากขนาดนี้เลยหรือนี่ หลังจากผ่านไปอาทิตย์นึง ซึ่งวินก็รู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่แปลกน่าดู
   “ฉันพูดอะไรผิดเหรอ" ก้องว่า
   “ป..เปล่า" วินว่าพลางก้มหน้าลง เพื่อไม่ให้ก้องรู้ว่าเขากำลังมองอยู่ "เออ ไหนลองว่ามาดิ๊"
   เอิร์ธเหล่มองหน้าวินครั้งหนึ่ง
   “เรื่องมันยาวนะ" เอิร์ธว่า
   “กี่ตอน" วินต่อคำ
   “50 ตอนมั้ง ไอ้บ้า......” เอิร์ธว่า "ฉันว่าอย่าดีกว่า ไม่เป็นไรหรอก”
   “เอ๊า ทำไมอ่ะ" วินถาม
   “ก็เพราะมันเป็นเรื่องที่งี่เง่ามากอ่ะดิ" เอิร์ธว่า "เอาไว้วันหลังฉันจะเล่าให้ฟังก็แล้วกัน วันนี้ฉันกลับก่อน"
   “ซะงั้นอ่ะ" วินร้อง "แล้วคราวนี้ฉันต้องทำยังไงล่ะวะ"
   “เอาเป็นว่าแกกับฉันต้องทำให้ยัยนั่นยอมรับงานเราให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม" เอิร์ธว่า "เราต้องทำงานให้หนักขึ้นและหนักขึ้นมากกว่านี้ และแกก็ห้ามสะเพร่าแล้วด้วย ฉันจะไม่ยอมให้ยัยนั่นมาทำให้เป้าหมายฉันเสียไปหรอก"
   “อ...โอเค" วินว่า "งั้นแล้วเจอกัน"
   “ขอบใจมากนะ ก...ก้องป่ะ" เอิร์ธว่า "ขอบใจมากสำหรับกาแฟ ยินดีที่ได้รู้จัก ไปก่อนล่ะ"
…..........
   หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา วินได้ลองใช้ชีวิตแบบที่ก้องได้แนะนำเขา ตื่นนอนตอนเช้า เพื่อเข้าไปทำงานที่ร้านเกล็ดหิมะ ตอนบ่ายไปเรียน ตกเย็นมาทำงานที่ร้านเกล็ดหิมะต่อ พร้อมกับเรียนชงกาแฟอีกครึ่งชั่วโมง เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองได้เดินทางมาไกลพอสมควรเหมือนกันจากจุดที่ไม่เป็นอะไรเลย เขาไม่รู้ตัวเลยว่า เขาสามารถเก็บเงินได้แปดพันยูโร ซึ่งแม้ว่ามันจะหมดไปกับการตัดเย็บเสื้อผ้าหมดแล้ว แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เขาเองก็ไม่ต้องคิดทบทนอะไรมากมาย ในเมื่อที่เขาทำอยู่ทุกวันนี้มันก็ไม่ได้หนักหนาอะไร และผลตอบแทนที่ได้มันก็คุ้มเกินกว่าคุ้ม
   เหตุผลหลักๆที่ทำให้มันคุ้มเอามากๆก็คือเพื่อนร่วมห้องสุดเฉยชาอย่างก้อง หมอนี่ไม่เพียงแต่จะช่วยเขาในทุกๆเรื่องแล้ว แต่ก้องยังทำให้ทุกๆอย่างของชีวิตเขาสบายขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด ไม่เพียงแต่เรื่องเงิน แต่ความเป็นอยู่ในบ้านของหมอนี่ ทำให้วินสบายเอามากๆ โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน วินมีอาหารไทยรับประทานทุกวัน แต่เป็นอาหารไทยที่ได้รับการปรุงแต่งแบบใหม่ เป็นอาหารไทยที่ประยุกต์ใส่ส่วนผสมของตะวันตกที่ทำให้เขาได้ลิงชิมรสชาติใหม่ๆของมันทุกๆวัน
   เหตุผลที่สำคัญรองลงมาก็คือ ความคิดความอ่านของก้องหลายๆอย่างทำให้เขาเรียนรู้และมีสติมากขึ้น แม้ว่าความกังวลในอนาคตของตัวเองจะยังไม่จางหายไป แต่วินก็รู้ว่าตอนนี้เขาก็ต้องเริ่มทำอะไรบางอย่างขึ้นมาบ้าง ไม่อย่างนั้น เขาจะยืนนิ่งอยู่กับที่ และที่สำคัญ มันจะทำให้ก้องดูถูกเขา เพราะถ้าตัดเรื่องดีดีและอาหารอร่อยๆที่เขาได้มาจากก้อง หมอนี่เป็นคนที่มีบุคลิกที่ประหลาดมาก ก้องมักจะมองวินด้วยสายตาแปลก ทำเย็นชาใส่ และที่สำคัญ ตรวจสอบเขาตลอดเวลา และนั่นเป็นสาเหตุที่วินไม่ค่อยแฮปปี้นักกับการอยู่ที่บ้านถนนทอร์ควิลนี่
   หลังอาหารมื้อเย็นหมดลง วินนั่งทำงานอยู่กับพื้นห้องอย่างเคร่งเครียด แบบเสื้อผ้าและเวิร์คชีทมากมายกองอยู่หน้าโซฟาที่เขานอน ชายหนุ่มสวมแว่นพลางนั่งเสก็ตแบบงานต่างๆอย่างเอาเป็นเอาตาย ทันใดนั้น แก้วใบนึงก็ยื่นให้ตรงหน้า
   “อะไรอ่ะ" วินร้องถาม
   “ช็อคโกแลต" ก้องตอบห้วนๆ "กินซะ มันจะช่วยให้นายอยู่ดึกได้ทนขึ้น"
   “ขอบใจ" วินรับคำพลางยิ้มให้ก้องแว้บนึงก่อนจะรับมาดื่ม
   “ยิ้มเป็นด้วยเหรอนาย" ก้องว่าพลางเลิกคิ้ว วินถึงกับสำลักเบาๆ พลางมองหน้าก้อง
   “นี่ก้อง นายจะเลิกตรวจสอบฉันซักวันเนี่ยมันจะตายหรือไงหะ" วินว่าพลางส่ายหน้า "ฉันก็คนดิวะ ยิ้มเป็นเว่ย"
   “นายน่าจะทำแบบนี้ตั้งแต่วันแรกที่เจอกับเจ๊ใหญ่ กับฉันที่ร้านเกล็ดหิมะนะ" ก้องว่า "นายจะดูเป็นมิตรมากขึ้น และอาจจะได้รับความช่วยเหลือเร็วกว่านี้ก็ได้"
   “แล้วฉันจะเป็นมิตรกับคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนเลยเนี่ยนะ บ้าหรือเปล่า" วินร้อง
   “แต่ฉันยังเป็นมิตรกับนายตั้งแต่วันแรกที่เจอนายเลยนะ" ก้องว่า
   “แน่ใจ ว่านั่นเรียนเป็นมิตร" วินว่า
   “ก็นายไม่เป็นมิตรกับฉันก่อนนี่" ก้องว่า
   “กวนและ" วินว่าพลางก้มลงไปทำงานตัวเองต่อ
   “วิน" ก้องพูดขึ้น
   “หืม" วินพูดขึ้น ทั้งๆที่ยังไม่เงยหน้ามาจากงาน
   “ที่นายยิ้มให้ฉันแบบนี้ หมายความว่า น....นายไม่เห็นฉันเป็นคนอื่นแล้ว ใช่ป่ะ" ก้องพูดขึ้น วินเงยหน้าขึ้นมามองก้องพลางขมวดคิ้ว
   “มาไม้ไหนอีกเนี่ย" วินว่า
   “นี่ถามจริงๆ" ก้องว่า "ก็เห็นที่ผ่านมาครึ่งเดือนนี่ นายทำอย่างกะว่า ฉันเป็นศักตรูคู่อาฆาตกับนายอย่างนั้นล่ะ ฉันก็เลย กังวลว่านายอาจจะอึดอัดที่อยู่กับฉันหรือเปล่า"
   “โห" วินว่า "นี่ผ่านมาตั้งครึ่งเดือน เพิ่งจะมากังวลว่าฉันจะอึดอัดที่อยู่กับนายหรือเปล่า มันจะไม่ช้าไปหน่อยหรือครับคุณบาริสต้า"
   ก้องยิ้มเบาๆที่มุมปาก
   “ตอนนี้นายดูมีเรื่องอะไรต้องตัดสินใจ ต้องทำเยอะเกินอ่ะ" ก้องว่า "ฉันไม่อยากให้ตัวเองเป็นสาเหตุให้นายต้องมากังวลจนอะไรๆต้องล้มไปตอนนี้ ไม่งั้นตัวนายจะแย่"
   วินยักไหล่
   “ความจริงก็คือ อยู่กะนายฉันโคตรอึดอัดเลยว่ะ" วินว่า ก้องทำหน้านิ่งๆไปพักนึง "ตอนแรก ฉันก็คิดว่าจะเอาชนะนายให้ได้ ฉันจะลองสู้กับนายดูซักตั้ง เพื่อจะได้ไปจากนายให้พ้นๆให้ได้อ่ะ"
   ก้องก้มหน้าลง
   “แต่ตอนนี้ฉันว่า นายก็เข้าท่าดีนะ" วินว่า พลางยิ้มกว้าง "นายดูแลทุกอย่างให้ฉันดีเว่อร์ ถ้าไม่นับเรื่องที่นายทำตัวเหมือนพ่อฉันมากกว่าเพื่อนร่วมห้องน่ะนะ"
   “งั้นเหรอ" ก้องว่า
   “เออดิวะ" วินว่า "แต่ถ้านายไม่เข้มงวดใส่ฉันตั้งแต่วันนั้น ฉันคงไม่มีพรีเซนต์ไปส่งเขาวันนี้แน่ๆเลยว่ะ ถึงแม่งจะโดนโละก็เหอะ อย่างน้อยๆ ก็ไม่อายยัยอาจารย์คนนั้นแน่ ว่าฉันเกาะพ่อเรียน"
   “เกาะพ่อเรียนเหรอ" ก้องว่า วินถึงกับหุบปากลงทันที เขาจึงก้มหน้าลงทำงานต่อทันที
   “ม..ไม่มีอะไรหรอก" วินว่า "ไม่ต้องถามอะไรด้วย ฉันจะทำงานแล้ว"
   ก้องยิ้มน้อยๆให้วินที่กำลังกลับไปทำงานอย่างขมักเขม้น
   “ถ้า....มีอะไรที่ฉันพอจะช่วยนายได้อีก ก็บอกละกัน" ก้องพูดเบาๆ "เห็นเพื่อนนายมาบ่นวันนี้แล้ว รู้สึกว่านายเองก็ใช่ว่าจะเอาเงินที่กาได้แทบตาย ไปใช้สบายๆในที่เรียนซะด้วย"
   วินหยุดฟังก้องแว้บนึง หมอนี่สงสัยประสาทกลับแน่ๆ
   “ฉันเอ่อ....ก็แค่ อยากช่วยนายน่ะ" ก้องว่า วินเงยหน้าขึ้นมามองก้องอีกครั้ง
   “ฉันว่านายป่วย" วินว่า
   “ฉันไม่ได้ป่วย" ก้องว่า "ฉันแค่.....เป็นห่วงนายก็เท่านั้น"
   วินตกใจเล็กน้อยกับคำพูดนั้น ก้องลุกขึ้นทันทีที่พูดจบคำ พลางหันหลังเดินกลับไปยังห้องตัวเอง
   “ยังมีช็อคโกแลตร้อนๆอยู่ในกาอีกหน่อย นายเอ่อ...อาจจะดื่มได้อีกสองสามแก้ว" ก้องว่า "ถ้ากินเสร็จแล้ว เอาน้ำแช่กาไว้ก็พอ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันตื่นมาล้างเอง...แล้วก็เอ่อ........อย่าลืมเปิดฮีตเตอร์ก่อนนอน เดี๋ยวจะหนาวตายเอา.......ฉัน...ไปนอนก่อน...ราตรีสวัสดิ์"
   วินแอบยิ้มให้กับตัวเองครั้งหนึ่ง หมอนี่ทำให้เขารู้สึกแบบนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว ความรู้สึกที่ทำให้อากาศรอบตัวดูเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย
   ความอบอุ่นเกิดขึ้นในใจอย่างไม่ทันตั้งตัว....
….

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ตอนที่ 7 Impress

   “เอาจริงๆแล้วมันก็ไม่ค่อยดีซะทีเดียวหรอกครับ" เอิร์ธพูดขึ้นท่ามกลางร้านเลอ ดา คาเฟ่ ริมสวนสาธารณะ วันนี้เจนนัดเขาออกมาพบข้างนอก ซึ่งนั่นทำให้เขาต้องตื่นเช้า ซึ่งนั่นเป็นฟังค์ชั่นที่เอิร์ธไม่ค่อยจะปลื้มมากนัก
   “แต่วินเค้าก็เอางานมาให้ผมดูเรียบร้อยแล้ว" เอิร์ธพูดต่อ "นี่คือทั้งหมดที่ผมพอจะเอามาสานต่องานได้"
   เจนมองงานของวินอยู่แว้บนึงก่อนจะปิดแฟ้มงานลง และจ้องหน้าเอิร์ธอย่างเพ่งพินิจ
   “ฉันมีอะไรบางอย่างอยากจะพูดกับเธอ" เจนมองหน้าเอิร์ธที่เลิกคิ้วกว้าง "เรื่องเพื่อนของเธอคนนี้น่ะ"
   “วินน่ะเหรอครับ" เอิร์ธว่า
   “ใช่" เจนตอบ "ฉันจะถามได้ไหมว่า เธอกับวินรู้จักกันมานานแล้วหรือเปล่า"
   “ผมกับวิน เราเป็นเพื่อนกันสมัยมัธยมปลายครับ เพิ่งจะมาแยกกันก็ตอนที่เข้ามหาลัย" เอิร์ธเล่า "ผมไม่ได้เจอเค้าอีกเลยจนกระทั่งที่นี่"
   “แล้วก่อนหน้านี้ล่ะ" เจนจิราถาม
   “ถ้าพี่เจนหมายถึงที่ Lovable Studio ก็ไม่ครับ" เอิร์ธว่าต่อ "วินเค้าไม่ได้ทำงานเลย ตั้งแต่เรียนจบ คือเขา....”
   “พ่อรวย" เจนพูดตรงประเด็น เอิร์ธจึงรีบยกตัวขึ้นทันที เขาไม่อยากอยู่ในสถานะที่กำลังนั่งขายเพื่อนตัวเอง
   “แต่วินเป็นเพื่อนที่ดีครับ" เอิร์ธว่า "เขาไม่ใช่อย่างที่คนอื่นๆเห็นหรอกครับ จริงๆแล้วเขาก็....”
   “เขาจะเป็นเพื่อนที่ดีของเธอหรือเปล่าฉันไม่รู้ แต่ฉันอยากให้เธอมีพาร์ทเนอร์ที่ดีพอ" เจนจิราว่า "พวกเธอเหลือเวลาอีกแค่สามอาทิตย์ในการจัดการกับเซ็ทงานทั้งหมด ก่อนเราจะย้ายไปที่สตูดิโอแถวเซนต์เซอร์ปิส เธอคิดว่าเพื่อนของเธอคนนี้จะตามเธอไปไหวหรือเปล่า"
   “ทำไมพี่เจนถึงคิดอย่างนั้นล่ะครับ" เอิร์ธถามทันที
   “งานนี้เป็นเรื่องที่เสี่ยงเอามากๆ เธอเองก็มีประสบการณ์การทำงานแฟชั่นมาน้อย คนที่พอจะพึ่งพาเรื่องแฟชั่นได้ ก็ดัน.....พึ่งไม่ได้แบบนี้ ฉันเริ่มกังวลกับการจบหลักสูตรของพวกเธอ"
   “แล้วงานของเค้าโอเคไหมครับ" เอิร์ธวกเข้าเรื่องงาน เขาไม่อยากพูดลับหลังในด้านไม่ดีเกี่ยวกับวินไปมากกว่านี้
   “สิ่งที่ฉันอยากจะเตือนเธอในแบบรุ่นพี่เตือนรุ่นน้องในวงการเลยนะเอิร์ธ ถ้าเธอริที่จะเดินตามคนที่สำคัญของเธอขึ้นมาอยู่ระดับเดียวกับเค้า ระดับเดียวกับชั้น ด้วยวิธีแบบนี้ คู่หูของเธอคนนี้เป็นกุญแจสำคัญ" เจนพูด "เธอไม่มีความสามารถด้านนี้มากพอที่จะไต่เต้ามาได้ ชั้นพยายามเต็มที่เพื่อจะช่วยเธอ ซึ่งตัวเลือกเดียวที่ชั้นเห็นตอนนี้ ก็วิน เพื่อนของเธอเค้ายังพอมีอะไรๆอยู่บ้าง ที่จะช่วยเธอได้ นี่เป็นทางเดียวเท่านั้น เธอต้องดันเพื่อนของเธอให้มากกว่านี้"
   “ผมไม่ได้ต้องการให้ใครมาเป็นเครื่องมือในการไต่เต้าของผม" เอิร์ธว่า "โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนของผมเอง"
   “นั่นไม่ใช่ที่ฉันพูด" เจนจิราพูด
   “แต่นั่นคือสิ่งที่คุณต้องการให้ผมทำคุณเจน" เอิร์ธว่า "ไม่ว่าพี่จะรู้อะไรเกี่ยวกับผมมากน้อยแค่ไหน ผมขอเลยว่าอย่าเข้ามายุ่ง หรือวางแผนอะไรๆให้กับผมทั้งนั้น"
   เจนจิราอึ้งไปเล็กน้อย
   “ผมเห็นอะไรๆมามากพอเกี่ยวกับคุณ ผมจะไม่ยอมให้เรื่องของพี่นัทกับพี่กายมาเกิดขึ้นกับผมที่นี่เป็นอันขาด" เอิร์ธว่า "ผมอยากให้ตัวเองเป็นแค่คนอื่นในสายตาของคุณ ผมไม่ต้องการการช่วยเหลือ หรืออะไรทั้งนั้นต่อให้คุณหวังดีก็ตาม ซึ่งผมก็คิดว่ามันไม่ใช่"
   “เธอไม่ไว้ใจฉันงั้นเหรอ" เจนจิราว่า "จากเรื่องทั้งหมดที่เคยผ่านมาเนี่ยนะ"
   “ผมไม่เห็นความน่าไว้ใจจากคุณ" เอิร์ธพูดตรงๆ "ถ้าพี่ไม่ว่าอะไร ผมขอข้อสรุปจากงานที่ผมต้องตื่นเช้ามาส่งนี่ด้วย"
   “น่าประทับใจ" เจนจิราว่าพลางกอดอกอย่างไว้ท่า "แต่ฉันไม่ให้ผ่านหรอก"
   เอิร์ธอมยิ้มที่มุมปาก
   “เธอยิ้มอะไร ไม่ผ่านนะ" เจนจิรากล่าว
   เอิร์ธหยิบเอากระดาษบรีฟงานที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาทันที
   “บางทีคนที่ตัดสินงานผม อาจจะไม่ใช่คุณบ้างก็ได้ไม่ใช่เหรอ" เอิร์ธว่า
   “เอิร์ธ" เจนจิราพดเสียงดัง "เธอจะทำอะไร"
   “ของานคืนด้วยครับ" เอิร์ธว่าพลางหยิบแฟ้มของตัวเองกลับทันที
   “ถ้าเธอคิดว่าจะทำอะไรโดยไม่ปรึกษาฉันก่อนละก็ ฉันขอบอกก่อนเลยนะว่า...." เจนลุกขึ้นยืนทันที
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ก็พี่บอกเองนี่ ว่าผมมีทีมเก่าที่ไว้วางใจได้ไม่ใช่เหรอครับ" เอิร์ธว่าพลางเดินออกจากร้านกาแฟ
   เจนจิรากัดฟันทันที
   นี่เป็นความรู้สึกแรกที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเธอ มันมากกว่าพลังพิเศษที่เธอเคยสัมผัสได้จากดีไซน์เนอร์ไทยไฟแรงที่เธอคยพบเมื่อตอนต้นปีเสียอีก มันมากกว่านั้น...
   มันเหมือนคู่ต่อสู้ที่เสมอกัน เสมอกันในทุกๆทาง...
….....
   เสียงน้ำตกไหลเบาๆอยู่ใต้บ้านทรงโมเดนร์นที่สร้างจากไม้โอ็คสีน้ำตาล ปลูกคร่อมทางน้ำตกเล็กๆที่ไหลเอื่อยๆจากภูเขาชานเมืองวิลแลต เอิร์ธเปิดประตูบ้านเข้าไปเบาๆ พลางนั่งลงที่โซฟาในห้องโถง ห้องโถงที่เปิดกระจกให้มองเห็นภายนอกได้ หิมะที่กำลังละลาย ร่วงจากต้นไม้ ที่ค่อยๆเปิดให้เห็นสีเขียวได้บ้าง กำลังสร้างคามหมายบางอย่างให้กับเขา
   เอิร์ธนั่งกำหมัดแน่นอยู่ตรงนั้น ใบหน้าแดงกำ่ด้วยความกังวล ชายหนุ่มลุกขึ้นออกเดินพลางมองไปรอบๆตัวบ้าน มีภาพศิลป์แปะอยู่บนผนังเรียงราย เข้าไปในห้องๆหนึ่ง โต๊ะดราฟไฟตัวหนึ่งตั้งอยู่ กองงานภาพถ่ายกองอยู่รอบๆโต๊ะอย่างไม่ค่อยเป็นระเบียบมากนัก โต๊ะริมห้องมีไอแมคตั้งอยู่หนึ่งเครื่อง ข้างคีย์บอร์ดมีทัมพ์ไดร์ฟรูปหีบและกุญแจวางอยู่ เอิร์ธเดินเข้าไปหยิบดูหนึ่งครั้ง ก่อนจะถอนหายใจ
   “หาอะไรอยู่เหรอครับสุดหล่อ" เสียงอันอบอุ่นที่สุดในโลกของเอิร์ธดังขึ้น ชายหนุ่มหันไปมองร่างร่างหนึ่งที่ยืนพิงประตูอย่างไว้ท่าในเสื้อเสว็ทเตอร์สีส้มและโค้ทยาว รอยยิ้มภายใต้ใบหน้าที่คมคายส่งมาหาเอิร์ธ
   “ป...เปล่าพี่" เอิร์ธตอบ "ค...แค่จะมา...หาน่ะ"
   “เลิกคอนซัลแล้วทำไมไม่โทรหาล่ะ" เจ้าของเสียงนั้นเดินเข้ามาหาเอิร์ธ ในห้อง
   “ผมไปหาวินมาน่ะ" เอิร์ธว่า "พอดีเรามีอะไรต้องคุยกันหน่อยน่ะ"
   “มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า" เสียงนั้นถามอีก
   “ไม่มีหรอก" เอิร์ธตอบ
   “จริงสินะ" ร่างนั้นขำเบาๆ “ลืมไปว่าไอ้ตัวแสบของพี่น่ะเก็บอาการเก๊งเก่ง”
   ร่างๆนั้นชี้สองนิ้วเข้าไปที่ตาของเอิร์ธ ชายหนุ่มยิ้มเบาๆก่อนจะก้มหน้าลง
   “อากาศมันหนาวไป ไฟมอดรึไงค้าบไอ้ตัวแสบ” ร่างนั้นขยี้หัวเอิร์ธเบาๆ เด็กหนุ่มยิ้มให้กับตัวเองก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองร่างนั้นด้วยสายตาที่มีความหมาย
   “พี่มิก” เอิร์ธพูด “ทำไมพี่ถึงอยากได้ชีวิตแบบนี้”
   “อะไรนะ” มิกถามกลับ
   “ผมถามว่า “ทำไมพี่ถึงอยากได้ชีวิตแบบนี้"
   “ชีวิตแบบไหนอะไรของแกวะ" มิกถามอีก
   “คือ..ผมหมายถึง ทำไม พี่ถึงเลือกชีวิตแบบนี้น่ะ แบบว่า ทำไมถึงมาที่นี่ อยู่แบบนี้" เอิร์ธถาม
   “อยู่ดีดีทำไมมาถามเรื่องนี้วะ" มิกว่า
   “ตอบกันก่อนดิ" เอิร์ธว่า
   “อืมมม ไม่รู้สิ ถ้าถามว่าทำไมพี่ถึงเลือกชีวิตแบบนี้ พี่ก็ไม่รู้หรอกนะว่า....ไอ้ชีวิตที่พี่อยู่เนี่ยมันเป็นแบบไหน แต่นี่มันก็ชีวิตพี่ แล้วพี่ก็มีความสุขกับที่มันเป็นแบบนี้นะ ส่วนคำถามที่ถามว่าทำไมพี่ถึงมาที่นี่ ก็เพราะอาชีพการงานมันพาพี่มาถึงตรงนี้ไง" มิกตอบ "ตาแกละ อยู่ดีดีทำไมมาถามเรื่องนี้ล่ะ"
   “ผม....เอ่อ...” เอิร์ธเม้มปากพลางครุ่นคิด "พี่มิก ถ้าเกิดว่ามีคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องเลือกชีวิตแบบไหน ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องมีชีวิตแบบที่เป็นอยู่ล่ะ คนที่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร"
   “ทำไมอ่ะ มันสำคัญกับเราเหรอ" มิกเลิกคิ้ว "เราไม่ใช่คนที่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำอะไรไม่ใช่เหรอ"
   “ผมรู้พี่" เอิร์ธมองหน้ามิกอย่างมีความหมาย "ผมรู้ดีเลยแหละ....แต่ว่าถ้าคนคนนั้นเข้ามามีความสำคัญต่อเป้าหมายเรามากๆ มันกำลังทำให้ผมเริ่มลังเลว่ะพี่"
   มิกแตะไหล่ของเอิร์ธและบีบแน่น
   “มีคนเคยบอกว่าอากาศหนาวๆมันทำให้คนเราขี้เกียจมากขึ้น" มิกว่า เอิร์ธขมวดคิ้วด้วยความสงสัย "แต่พี่ว่าไม่ใช่ ถ้าคนมันขี้เกียจ มันก็อ้างไปทุกฤดูแหละ ร้อนก็ว่าเหนื่อย ฝนตกก็ว่าเฉอะแฉะ"
   เอิร์ธยิ้มเบาๆ
   “มันสำคัญที่ตัวเรา ถ้าเรามั่นคง แข็งแรงมากพอ ต่อให้อากาศมันหนาวแค่ไหน เราก็สร้างความอบอุ่นให้กับตัวเองได้" มิกว่า "ถ้าคนคนนั้นของเรา จำเป็นที่จะต้องไปกับเราจริงๆ ต่อให้เขาสร้างผลกระทบให้เรามากแค่ไหน เราก็ต้องเข้มแข็งไว้ ไม่อย่างนั้น ทุกอย่างมันก็คงพังไปหมด"
   “แล้วเราจะไม่มีสิทธิเหนื่อยหรือท้อแท้บ้างเลยเหรอพี่" เอิร์ธถาม
   “ไม่มีก็บ้าแล้ว เราก็คนนะเว่ย" มิกพูด "แต่....มันขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบน่ะ คือ...เราก็ต้องรู้ด้วยว่าเวลาไหนควรอ่อนแอ เวลาไหนควรเข้มแข็ง ใครที่เราสามารถแสดงความรู้สึกได้เต็มที่ ใครที่เราต้องเก็บความรู้สึกเอาไว้....เราไม่สามารถทำให้ทุกคนมาเข้าใจเราได้ เราต้องหาวิธีอยู่เพื่อให้เข้าใจกันและกัน นี่คือวิถีแห่งการอยู่ร่วมกัน"
   “มิน่า พี่นัทกับพี่สา ถึงอยู่กับพี่มาได้ตั้งนาน" เอิร์ธว่า "พี่รู้ไหมผม...ไม่เคยมีเพื่อนที่อยู่ด้วยกันมานานแบบพี่เลยอ่ะ"
   “แล้วเจ้าวินล่ะ" มิกถาม
   “นั่นก็ใช่อ่ะพี่แต่ ผมกับมันก็ไม่ได้เจอกันมานานแล้วอ่ะ ก็เพิ่งจะต้องมาทำอะไรๆร่วมกันก็ตอนนี้เอง" เอิร์ธอธิบาย
   “มันก็คงไม่ต่างกันหรอกพี่ว่า" มิกพูด "แล้วไอ้คนที่เราว่ากำลังมีผลกับเราเนี่ย คือเจ้าวินงั้นเหรอ"
   “ก็....ประมาณนั้นอ่ะพี่" เอิร์ธว่า "ผมกับมัน มีอะไรที่ต้องรับผิดชอบร่วมกันเยอะมากเกินไปมั้งช่วงนี้"
   “ยังไงก้ดูแลตัวเองด้วยก็แล้วกันนะเอิร์ธ ช่วงนี้พี่ก็อาจจะยุ่งๆ ต้องขอโทษด้วยนะครับ" มิกพูดเสียงอ่อนโยน
   “ผมขอตัวไปอาบน้ำนอนก่อนนะ" เอิร์ธว่า พลางเดินออาจากมิกไป
   เขายังต้องเผชิญอะไรอีกมากที่ตัวเองก็ยังไม่รู้เลยว่าจะทำสำเร็จไหม
   มันจะต้องเป็นของขวัญที่มีค่าที่สุดของพี่มิกอยู่แล้ว เอิร์ธคิดในใจ และเขาก็จะไม่อยมให้ใครมาขัดขวางเรื่องนี้เด็ดขาด
…...............

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






yayee2

  • บุคคลทั่วไป
ดีใจที่ได้เจอเรื่องนี้ จะเรียกว่าภาคต่อของ "เพราะรัก......ออกแบบไม่ได้"  ได้ไหมเนี่ย

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
ดีใจที่ได้เจอเรื่องนี้ จะเรียกว่าภาคต่อของ "เพราะรัก......ออกแบบไม่ได้"  ได้ไหมเนี่ย

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ที่ไม่ใช้ชื่อว่า "เพราะรัก....ออกแบไม่ได้ 2"

อาจจะเป็นเพราะว่า เรื่องนี้บอกเล่าประเด็นคนละอย่างกันกับ Loveless Society ค่ะ

Loveless Society พูดถึงเมืองคนไร้รัก ที่พยายามออกแบบวาดฝันความรกให้เป็นอย่างใจตัวเองต้องการ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นนั้นค่ะ

Coldness Town บอกเล่าเรื่องราวใหม่ ประเด็นใหม่ ตัวละครใหม่ แต่ก็ยังมีกลิ่นอายของ Loveless Society หลงมาเป็นไอจางๆ อยู่ค่ะ ตัวละครจากภาคที่แล้ว ก็ไม่ได้กลับมากันทุกตัวค่า

ฝากเรื่องนี้ไว้ด้วยนะคะ

ออฟไลน์ janamanza

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 653
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
อ่านเรื่องนี้แล้วนึกถึงกลิ่นไอปารีสเมืองแฟชั่นมาก
ทุกๆการดำเนินเรื่องมีความน่าติดจนขนาดทิ้งหนังสือเรียนเพื่อมาอ่านเรื่องนี้

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ตอนที่ 8 Agreement

   วันเวลาแห่งการทำงานไม่ได้เป็นไปอย่างเรียบง่ายนัก แต่มันก็ไม่ได้มีอะไรที่ยากลำบากขนาดนั้นสำหรับมิก ผ่านไปหลายอาทิตย์แล้วกับการปรับแก้งานทั้งหมด ถึงแม้ว่าเขาจะต้องเหน็ดเหนื่อยกับการทำงานสุดหินกับคุณเจนจิรา หรือแม้แต่การเอาใจใส่ในรานละเอียดทุกเม็ดขึ้นมาของเอิร์ธ วินก็ยังสามารถเอาชนะปราการเหล่านั้นมาได้ไม่ยากนัก ดังนั้น เมื่อการรันทรูแฟชั่นโชว์ที่ Esmod ของเดือนเมษายนจบลงมันจึงเป็นที่พอใจของทั้งคู่มากๆ ซึ่งที่เหลือมันขึ้นอยู่กับ.....
   “ฉันจะถามเธอสองคนเป็นคำถามสุดท้าย" เจนจิรานั่งไขว่ห้างพูดกับสองหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ เอิร์ธหายใจเข้าลึกๆ ขณะที่วินมองหน้าเธอกลับ "พวกเธอมั่นใจนะว่านี่คืองานที่ดีที่สุด"
   วินถอนหายใจเบาๆ มันคงยังไม่ผ่านอีกครั้งแน่ๆ
   “ผมมั่นใจว่านี่คืองานที่ดีสุดของพวกเรา" เอิร์ธตอบกลับ วินหันไปมองเพื่อนรักทันที
   “โทษที เมื่อกี้เธอบอกว่า....” เจนจิราพยายามพูดต่อ
   “ผมบอกว่าผมมั่นใจว่านี่คืองานที่ดีที่สุดของพวกเรา" เอิร์ธว่า พลางมองหน้าเจนจิราอย่างท้าทาย
   “ทำไมเธอถึงคิดแบบนั้น" เจนจิราถามต่อ
   “เพราะตลอดเวลาหนึ่งเดือนเต็มที่ผ่านมาผมกับวิน เราสองคนตั้งใจทำงานนี้กันหามรุ่งหามค่ำ วินเอง งานนี้เขาก็เป็นต้นแบบของไอเดียทั้งหมดในงานนี้ ซึ่งสำหรับผมแล้ว นี่คืองานที่ดีที่สุดเท่าที่เราสองคนมีครับ" เอิร์ธพูดตอบ
   เจนจิราหันไปมองหน้าวินที่เลิกคิ้วพลางแอบเหล่มองเพื่อนรักที่ยังคงจ้องไปที่เจนอย่างมุ่งมั่น
   “งั้นก็โอเค" เจนจิรากล่าว พลางลุกขึ้นและเดินออกจากห้องไป
   วินมองเธอเดินจากไปอย่างงวย ก่อนจะหันกลับมา
   “แล้วไงวะ" วินร้องพลางส่ายหัวก่อนจะหันกลับมาหาเอิร์ธ "ยัยนี่เดาใจยากว่ะเอิร์ธ กูว่ากูคง....”
   “ถ้าทนไม่ไหวก็ไม่ต้องทน" เอิร์ธว่าพลางเก็บแฟ้มงานของพวกเขาทั้งหมดอย่างรีบร้อน
   “อะไรของแกวะ ตอนทำงานตลอดเดือนนึงนี่ แกบอกให้ฉันทนเอาทนเอา พองานเสร็จแกบอกไม่ต้องทนแล้ว" วินร้อง
   “ช่างเหอะ ฉันไปละ" เอิร์ธว่า
   “แกจะไปไหนวะ" วินถาม "แล้ว....เอางานฉันไปด้วยทำไม"
   “เออ ขอยืมหน่อย....” เอิร์ธตอบสั้นๆพลางเดินตัดหน้าวินออกไป
   “แกจะเอางานฉันไปทำอะไรวะเอิร์ธ" วินถามขึ้น เอิร์ธหยุดชะงัก พลางหันมามองหน้าวิน
   “แกถามขึ้นมาก็ดีละ วิน กู.....ของานนี้มึงไปขายนะ ถ้ามีคนรับซื้อ กูจะคืนค่าไอเดียมึง" เอิร์ธพูดทันที
   “ด...เดี๋ยวก่อน อะไรนะ เอางานพวกนี้ไปขายเหรอ ขายใคร ขายที่ไหน ทำไมกูไม่เห็นรู้เรื่องเลย" วินถาม
   “มึงจะให้กูทำสัญญาด้วยหรือเปล่า" เอิร์ธถาม
   “เดี๋ยวไอ้เอิร์ธ กูตามไม่ทัน" วินร้อง "มึงจะเอางานนี้ไปขายเหรอวะ มันทำได้ด้วยเหรอวะ"
   “ทำไมเราถึงต้องให้คนคนเดียวเป็นคนตัดสินงานเราละวะ" เอิร์ธว่า
   “แต่ถ้าทำแบบนี้ คุณเจนรู้เข้าล่ะ มันจะไม่เกิดเรื่องเหรอวะ" วินว่า
   “แกสนด้วยเหรอวะ แค่แกมีเงินอยู่ที่นี่ต่อไปได้โดยไม่ต้องขอพ่อแก มันก็น่าจะพอแล้วไม่ใช่เหรอ" เอิร์ธว่า วินรู้สึกเหมือนกับโดนต่อยเข้าที่หน้าอย่างจังกับประโยคดูถูกขนาดนี้
   “เห้ย ไอ้เอิร์ธ มึงเป็นเหี้ยอะไรเนี่ย" วินถามเสียงแข็ง "กูแค่ถามว่ามึงจะทำอะไรกับงานกู มึงจะมาเกทับกูเพื่อ?”
   “มึงก็ตอบกูมาแค่นั้น ว่าได้หรือไม่ได้" เอิร์ธตอบกลับ "อย่ามากความเลยไอ้วินกูขอ"
   “ไม่อ่ะ" วินเดินเข้ามาดึงแฟ้มของตัวเองกลับมาจากมือของเอิร์ธ "กูก็เรียนดีไซน์มาเหมือนมึงนะ เรื่องเงินมันไม่สำคัญสำหรับกูหรอก กูทำงานอยู่ร้าน Snowflake ถึงกูไม่ได้เรียน กูก็อยู่ได้ แค่เงินค่าแบบที่มึงจะเอาไปขาย มันไม่ได้ช่วยให้สถานะทางการเงินกูดีขึ้นหรอก แต่ประเด็นที่กูต้องการจากมึง ก็คือจุดประสงค์ มันไม่ใช่กูดูไม่ออกไอ้เอิร์ธ มึงกับคุณเจนมีปัญหากัน แล้วกูก็คิดว่าถึงเวลาแล้ว ที่มึงต้องเล่าให้กูฟัง"
   เอิร์ธมองหน้าวินอย่างวิตกกังวล ภาพของอดีตอันวุ่นวายสมัยเรียนมหาลัยเข้ามาในหัวเต็มไปหมด จนตัวเอิร์ธเอง ไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหน
   “ถ้ากูเล่าให้มึงฟัง สาบานมา ว่าจะไม่หัวเราะ ไม่วิจารณ์ ไม่ถามอะไรทั้งนั้น" เอิร์ธว่า
   “อ้าวไอ้นี่ แล้วถ้ากูสงสัย ก็ถามไม่ได้เลยไง" วินว่า
   “กูให้มึงถามสามข้อพอ" เอิร์ธตอบ
   “งั้นมึงนั่ง" วินว่า "เล่าที่นี่แหละ ไม่มีใครละ"
   เอิร์ธหายใจเข้าครั้งหนึ่ง ก่อนจะกลับไปนั่งลงอีกครั้ง
   “เรื่องของกูกับคุณเจน มันไม่มีอะไรกันโดยตรงเว่ย มันเป็นเรื่องที่ผ่านคนอื่นมา" เอิร์ธว่า "มันเป็นเรื่องสมัยกูไปฝึกงานที่ Lovable Studio ตรงสุขุมวิทอ่ะ มึงน่าจะรู้จัก พ่อมึงก็เป็นหุ้นส่วนอยู่"
   “อ่าหะ" วินว่า "แล้วไงต่อ"
   “ก็มันมีโปรเจ็คที่กูเคยทำร่วมกับคุณเจนเค้า คือ...มันก็ไม่ใช่โปรเจ็คกูโดยตรงหรอก มันเป็นของพี่เลี้ยงฝึกงานกูไง แล้วกูก็ดันไปทำงานโดนใจเค้าเข้า ก็เลยมีชื่อในโปรเจ็คนี้เต็มตัว แล้วพี่ๆที่อยู่ในโปรเจ็คนั้นน่ะ ก็ดันไม่ลงรอยกับคุณเจนในเรื่องส่วนตัวเข้า มันเป็นเอ่อ เรื่องรักๆใคร่ๆกันในกองถ่ายงานอ่ะ แล้วมันก็เหมือนจบไม่ค่อยสวยกันมั้ง คือนอกจากพี่เลี้ยงฝึกงานกูมันก็ยังมีพี่อีกสองสามคนด้วยไง แล้วเค้าก็รักสามเศร้ากัน เรื่องงานเรื่องส่วนตัวปนเปกันยุ่งเหยิงไปหมด"
   “โทษทีไอ้เอิร์ธ กูยังมองไม่เห็นปัญหาอะไรเลย" วินถามพลางขมวดคิ้ว "มันเป็นเรื่องของพี่เลี้ยงฝึกงานมึง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับมึงวะ หรือมึงไปคลุกวงในกะเค้าด้วย"
   เอิร์ธมาถึงจุดที่ตะขิดตะขวงใจจะเล่าที่สุด เค้าหลับตาลงหนึ่งครั้งพลางกัดริมฝีปากอย่างตกประหม่า
   “มึงสาบานแล้วนะ ว่าจะไม่หัวเราะ" เอิร์ธว่า
   “เออ เร็วๆดิวะ เล่ามา" วินว่า
   “พี่เลี้ยงฝึกงานกู เค้า....เป็นแฟนกู" เอิร์ธว่า
   “อ้อ" วินว่า "คลุกวงในจริง"
   “นั่นแหละ มันก็เลยกระทบกระทั่ง เกี่ยวเนื่องกันมาถึงกูไง" เอิร์ธว่า "คือถึงยังไงก็เหอะ งานนั้นมันจบสวยงาม พวกพี่ๆกูก็เลยได้โปรโมทกันหมด แล้วก็โยกย้ายตำแหน่งกัน แล้วพี่เลี้ยงฝึกงานกูก็เลยโดนย้ายงานมาอยู่ที่นี่"
   “มึงก็เลยตามเค้ามาเรียนต่อที่นี่ แล้วบังเอิญว่าคุณเจนก็ยังตามมาเป็นพี่โปรเจ็คมึงอีกสินะ" วินว่าต่อจนจบ
   “อืม ก็ประมาณนั้น" เอิร์ธตอบ
   “ประเด็นคือมึงอึดอัดว่างั้น ที่เค้าทำเรื่องมากใส่มึง" วินถาม "แต่ถ้าเป็นรักสามเศร้าจริงอย่างว่า เค้าจะมางี่เง่าใส่มึงทำไมวะ"
   “ก็บอกแล้ว ว่าเรื่องมันยาว" เอิร์ธว่า
   “เอางี้ดีกว่าเอิร์ธ กูว่านี่มันยังไม่ใช่ทั้งหมดที่กูจะเข้าใจอยู่ดี กูว่ามึงกะกูมาทำข้อตกลงกัน ว่าจะเอายังไง เพื่อจะได้ผ่านไปดีกว่า" วินว่า
   “ก็ได้ แล้วมึงจะเอายังไง" เอิร์ธถามกลับ
   “อันดับแรกกูอยากรู้ความต้องการของมึงก่อน ว่าทั้งหมดแล้ว มึงต้องการอะไร" วินว่า "แล้วมึงกะกูมาช่วยกัน ว่าจะทำยังไง ให้ความต้องการของมึงกะกูเป็นจริงขึ้นมาให้ได้ที่นี่"
   “แล้วกูจะเชื่อใจมึงได้ไงไอ้วิน ถ้ามึงทำสิ่งที่กูต้องการพังล่ะ" เอิร์ธว่า "กูไม่ใช่ไม่รู้นิสัยมึงไอ้วิน ตอนม.ปลายมึงเป็นยังไง มึงก็น่าจะรู้"
   วินถอนหายใจครั้งหนึ่ง เขากระหายความช่วยเหลือมากเหลือเกินในช่วงเวลาแบบนี้ เขาหมดเงินไปโข กับการสังเวยสงครามกันระหว่างเอิร์ธและเจนจิรา ซึ่งเขาจะไม่ยอมให้มันส่งผลต่อเขามากไปกว่านี้อีกแล้ว แต่เขาจะทำยังไงให้เอิร์ธไว้ใจเขาได้
   คำพูดของก้องแว้บเข้ามาในหัว
   “มึงเหลือใครในเมืองนี้อีกให้ไว้ใจล่ะวะ" วินแย้งขึ้นมา "กูจะไม่ขอให้มึงทำอะไรในเรื่องที่มึงทำไม่ได้ แต่ตอนนี้มึงไม่มีใครที่จะพึ่งพิงได้แล้วนะ กูอยากพึ่งมึง กูบอกตามตรง ดังนั้น กูก็จะไม่ยอมทำให้มึงที่เป็นความหวังเดียวกับกูต้องพังไปด้วยกันเด็ดขาด"
   “มึงไปหัดพูดสวยหรูแบบนี้มาจากไหนวะ" เอิร์ธว่า
   “ช่างมันเหอะ" วินว่า "คิดซะว่าเป็นตอนที่ยกกันไปต่อยไอ้เบิร์ดห้อง 5 ร่วมกันนั่นแหละ มึงจะปล่อยให้มันมาหยามห้องเราเล่น ซ้อมไอ้นุ๊กเหมือนหมูเหมือนหมาได้ไงวะ"
   “มันไม่เห็นเหมือนกันตรงไหนเลยไอ้วิน" เอิร์ธตอบ "แล้วตอนนั้นก็โดนสุรชัยตีเรียบกันทุกคน"
   “กูไม่ได้หมายถึงผลลัพธ์ตอนนั้น กูแค่อยากให้มึงกับกูเชื่อใจกันเหมือนตอนนั้นอีกครั้งต่างหาก" วินว่า "กูให้เวลามึงคิดคืนนึง แล้วพรุ่งนี้มาเจอกันที่นี่ กูรู้ว่ามึงอยากได้งานกูไปขาย แต่กูจะไม่ให้ จนกว่ากูจะมั่นใจว่ามึงจะไม่พากูไปพังเหมือนที่มึงเอาเวลาและเงินตลอดสามเดือนของกูที่นี่ มาผลาญไปกับคุณเจน มึงตกลงหรือเปล่า"
   เอิร์ธหรี่ตามองวิน
   “มึงมีทางออกให้กูเหรอ" เอิร์ธถามอีกครั้ง
   “ก็มีพอๆกับที่มึงจะมีให้กูกลับนั่นแหละ" วินว่า "กูอาจเหลวเป๋วไม่เป็นท่าในสายตามึงไอ้วิน แต่กูดิ้นรนได้เว่ย กูจะดิ้นเท่าที่กูมีเว่ย"
   “งั้นก็ได้.....” เอิร์ธว่า "เจอกันพรุ่งนี้ 9 โมง เอางานมึงมาด้วย แบบร่างเซ็ทที่สาม มึงลงสีที กูอยากได้งานทั้งเซ้ทนั้นสมบูรณ์จริงๆ เอาแบบพร้อมขาย"
   “โอเค" วินว่า "แล้วพรุ่งนี้เจอกัน"
….....................
   “นายไปตกลงกับเค้าแบบนั้น แล้วนายจะเอาอะไรไปสู้เค้า" ก้องพูดอยากเงียบสงบ ขณะที่มองดูวินรองกาแฟออกจากเครื่องชงอย่างประณีตในตอนค่ำของวันนั้น "นายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพดานของเค้าอยู่สูงแค่ไหน แล้วถ้าความต้องการนายไม่ได้เท่ากับเค้า นายจะเสียเยอะโดยใช่เหตุนะ"
   “ที่เป็นอยู่ตอนนี้มันก็เสียเยอะอยู่เหมือนกันแหละน่า มันต่างกันตรงไหน" วินว่า "นายเป็นคนบอกฉันเองไม่ใช่เหรอ ว่ามาถึงจุดนี้แล้วก็ต้องลุยอ่ะ......”
   “ไม่ๆ ใส่ครีมก่อนแล้วค่อยวาด........มันก็ถูก แต่ฉันอยากให้นายระวังตัวเองด้วย ถ้าแรงผลักดันเค้ามีสูง แล้วนายมีไม่ถึงเท่าเค้า จะเป็นนายเองที่จะเคว้งคว้างเมื่อไปแตะจุดนั้นได้แล้ว" ก้องพูด "นายเองก็ยังไม่รู้ไม่ใช่เหรอ ว่าตัวเองอยากทำอะไรกันแน่น่ะ แล้วตอนนี้ก็ไปตกลงกับเค้าซะแล้ว"
   วินนิ่งอยู่พักนึง แม้ว่ามือจะกำลังโรยผงโกโก้ลงไปเป็นลายผิวกาแฟ มันเป็นความเงียบที่มีความหมายมากมายเหลือเกิน เขาเกลียดแบบนี้ที่สุด เกลียดเวลาก้องมองเขาทะลุเข้าไปถึงข้างใน ข้างในที่ว่างเปล่า ไม่มีอะไรซักอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน ความว่างเปล่าที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่ ชีวิตนี้ต้องการอะไร หรือจะมีชีวิตต่อไปในรูปแบบไหน
   วินวางช้อนลง พลางเท้าแขนลงกับโต๊ะ เขาพูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองแก้วกาแฟที่ส่งกลิ่มมาแตะจมูก ความอบอุ่นเดียวที่ทำให้หัวใจพองโตคือแก้วกาแฟเล็กๆอันนี้ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาก็ตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นก้องลุกขึ้นมามองเค้าอย่างใกล้ชิด ด้วยสายตาที่แปลกประหลาด
   “เป็นอะไรหรือเปล่าวิน" ก้องถามเสียงเย็นชา
   วินถอนหายใจครั้งหนึ่ง
   “ฉันขอลองได้ไหมวะก้อง" วินถามกลับ "อย่างน้อยฉันจะได้พิสูจน์ตัวเองในบางเรื่อง ฉัน ฉันไม่อยากเป็นคนไม่มีอะไรในตัวเองว่ะ"
   ก้องมองหน้าวินอย่างตั้งใจ
   “มันมีแว้บนึง ที่ฉันนึกถึงนาย ที่นายบอกว่า ถ้าเรายอมก้าวผ่านสิ่งที่เราคิดว่าทำไม่ได้ไปได้ หลังจากนั้นมันก็จะไม่มีอะไรที่เราจะทำไม่ได้อีกแล้ว ฉันอยากจะลองทำมันดูเท่านั้นอ่ะ" วินว่า "มันเพิ่งเริ่มต้นเอง นายก็อย่าเพิ่งห้ามสิ มันจะยิ่งทำให้ฉันสับสน"
   “ฉันไม่ได้ห้าม ฉันบังคับนายได้ที่ไหนล่ะ" ก้องว่า
   “พูดใหม่ซิ" วินเหลือเชื่อจริงๆกับประโยคเมื่อกี้
   ก้องหัวเราะในลำคอแห้งๆ
   “ฉันแค่.....” ก้องเอามือเกาจมูกเบาๆ "เป็นห่วงนาย"
   วินเลิกคิ้วมองก้อง
   “ไม่ใช่่ว่านายก็เริ่มพอใจที่ฉันมีรายได้แล้วก็ช่วยค่าห้องนายได้หรอกเหรอ" วินว่า
   “ในหัวนายนี่มีแต่เรื่องเงินรึไงวิน" ก้องถาม
   “เหอๆ ก็นายบอกฉันเองว่ามันเป็นปัจจัยสำคัญในการอยู่ที่นี่อ่ะ" วินว่า "ความจำเสื่อมเรอะ"
   ชายหนุ่มยกแก้ววางบนบาร์ทันที
   “เสร็จแล้ว" วินว่า ก้องก้มหน้าลงตรวจงานของวิน
   “สวยดี" ก้องพูดเบาๆ
   “อะไรนะ" วินว่า
   “ฉันบอกว่า นายวาดลายสวยดี" ก้องตอบ
   “อ้อ" วินรับคำ "ใช้ได้หรือยังอ่ะ ถ้าได้แล้วก็ดื่มซะ จะได้กลับบ้านกันซะที"
   “เอ่อ...ฉันว่านายดื่มเถอะ"  ก้องว่าพลางลุกขึ้น "ฉันจะไปปิดหลังร้านแล้ว"
   “โห … ทำเป็นหยิ่งนะ ทำให้แล้วไม่กินเจ้าบาริสต้า" วินร้องขณะที่ก้องเดินผ่านเขาไป
   “แค่ดูก็รู้แล้วว่าไม่อร่อย" ก้องตะโกนไล่กลังมา
   “จะถูกฝีมือกันไปแล้ว เจ้าบาริสต้า อาทิตย์นี้มีลูกค้าติดใจฝีมือกาแฟนฉันด้วยนะเฟ่ย" วินร้อง "ไม่กินฉันกินเองก็ได้ โธ่"
   วินยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบเอง แต่ทันทีที่กาแฟแตะลิ้น เข้าก็พ่นออกมาแทบไม่ทัน เพราะมันขมเสียจนไม่รื่นคอ
   “นายไม่ได้ใส่น้ำตาลเลย มันจะอร่อยไหมล่ะ" ก้องว่าขณะเดินกลับมาอีกครั้ง
   วินมองก้องอย่างเสียท่าเล็กน้อย ก่อนจะเทกาแฟทิ้งแล้วเริ่มล้างแก้ว ขณะที่ก้องหยิบเสื้อโค้ทของตัวเองและของวินอยู่ที่หน้าร้าน วินเดินคอตกมาหาก้องที่หน้าร้าน
   “วันนี้นายทำไม่ผ่านนะ" ก้องว่าพลางยื่นเสื้อคลุมให้วิน
   “ก็แค่ลืมใส่น้ำตาลหรอกน่า ก็นายชวนคุยอ่ะ" วินร้อง ก้องยิ้มแปลกๆให้วินครั้งนึง
   “ก็หัดหาความหวานให้ชีวิตบ้างสินาย" ก้องพูด ก่อนจะปิดประตูร้านแล้ว เดินไปตามถนนกับวินท่ามกลางลมหนาวที่พัดโชยมา
….....................

ออฟไลน์ sanfran

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
ชอบค่ะ อุ่นมากๆ
วินดูมีความรับผิดชอบมากขึ้น ดูมีสิ่งที่พัฒนาเรื่อยๆ

รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ sanfran

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
หาความหวาน เค้าจะใส่น้ำตาลแล้วใช่ปะๆ

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ตอนที่ 9 No More No Less
   
   วันรุ่งขึ้น วินมาถึงสตูดิโอก่อนเวลานัดหนึ่งชั่วโมง เขาขอลางานตอนเช้าจากร้านเกล็ดหิมะออกมาด้วยเหตุผลที่ว่า ต้องเข้ามาจัดการเรื่องเรียน ถึงแม้ว่าก้องจะดูออกว่าวินไม่ได้มาด้วยเหตุผลนั้น แต่ในตอนเช้า ก้องกลับช่วยพูดกับเจ๊ใหญ่ให้วินออกมาก่อนเวลาได้ซะอย่างนั้น วินเองก็ส่งสายตาขอบใจให้เป็นนัยๆ ซึ่งก็เหมือนเดิมคือได้รับเพียงความเฉยชากลับคืนมา
   ที่สตูดิโอของ Esmod ว่างเปล่า เสียงเครื่องปรินท์ดังออดๆอยู่ข้าง วินกำลังนั่งแบบร่างลงสีที่นั่งทำในคอมพิวเตอร์เมื่อคืนสั่งพิมพ์ออกมาอย่างใจเลื่อนลอย พลางคิดทบทวนสิ่งที่ตัวเองจะต้องคุยกับเอิร์ธวันนี้   เอิร์ธกำลังล้ำเล้นบางอย่างกับเจนจิรา ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม วินกลายเป็นเครื่องมือชิ้นเอกของสงครามนี้ไปเสียแล้ว เขานั่งคิดมาตลอดคืนว่า เขาควรจะให้งานของตัวเองไปกับเอิร์ธหรือไม่
   เสียงเครื่องปรินท์เงียบลง ทำให้เขาตื่นจากภวังค์ วินเดินไปหยิบกระดาษออกมาจากเครื่องปรินท์ ขณะที่ประตูสตูดิโอเปิดออกพอดี ใบหน้าของเอิร์ธโผล่เข้ามา ทั้งคู่มองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง
   “ขอบโทษที่กูมาสาย" เอิร์ธว่า
   “ไม่เป็นไรอ่ะ กูออกมาเช้าเอง" วินว่า พลางวางกระดาษที่ปรินท์ลงบนโต๊ะกลางห้อง เอิร์ธก็นั่งลงตาม พลางมองงานของวินที่กองอยู่ตรงหน้า ขณะที่วินมองเอิร์ธอย่างสงบนิ่ง
   “สวยดีนะ งานมึงเนี่ย" เอิร์ธพูด
   “สวยตลอดแหละ เวลามันจะมีประโยชน์อ่ะ" วินพูดแทงใจดำ เอิร์ธเหลือกตาจึ้นมามองวินแว้บหนึ่ง "ตกลงว่าไง เรียกมาวันนี้น่ะ"
   “กูมีช่องทางบางอย่าง" เอิร์ธว่า "แบบว่า....กูมีเส้นสายดีไซน์เนอร์อยู่บ้าง แล้วเอ่อ กูก็เลยคิดมาซักพักแล้วว่า ถ้าโปรเจ็คที่เดินหน้าไปกับเจนจิราไม่เวิร์คขึ้นมา กูจะเอางานออกไปให้คนอื่นลองตัดสินบ้าง แล้วงานมึงเองก็โอเคขึ้นมาก กูก็เลย..."
   “แล้วทำไมมึงถึงคิดว่า โปรเจ็คที่ทำกับคุณเจนเค้ามันจะไม่เวิร์ค" วินถามต่อ
   “ก็.......ช่างมันเหอะ” เอิร์ธขมวดคิ้ว พลางส่ายหัว "มึงไม่เข้าใจหรอก"
   วินทำตาเบิกโพลงพลางมองไปยังงานบนโต๊ะ
   “กูไม่เข้าใจอยู่แล้ว....มึงส่ายหัวแล้วบอกช่างมันเหอะ อะไรวะ" วินถามต่อ
   “ไม่คือ.....เรื่องอื่นมันอธิบายยากไง มึงกับกูเพื่อนกัน น่าจะพูดง่ายกว่าป่ะวะ" เอิร์ธว่า
   “มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องพูดง่ายพูดยากเลยเว่ยไอ้เอิร์ธ ถ้ามึงรู้จักกูจริงๆ มึงก็น่าจะรู้ว่ากูไม่ใช่คนพูดง่าย" วินตอบ
   “แล้วมึงจะทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากทำไมวะ มึงก็แค่เอางานมึงมาให้กู กูเอาไปขาย ถ้ากูได้เงินมา ก็แบ่งเปอร์เซนต์กัน แค่นั้นเอง" เอิร์ธว่า "มึงเองก็ไม่อยากอึดอัดกับเรื่องกูกับคุณเจนเค้าไม่เหรอวะ แถมมึงก็ได้ตังค์"
   “กูไม่อยากมีส่วนร่วมในปัญหาน่ะใช่ แต่ถ้ามึงทำแล้วปัญหามันตามมามึงจะทำยังไง" วินว่า "ทุกวันนี้ปัญหากูท่วมหัวพออยู่แล้ว กูไม่ต้องการมันเพิ่ม"
   “คือสมมตินะเว่ย ถ้ายังเดินโปรเจ็คกันต่อไป โดยที่กูก็อยากทำบางอย่างเพื่อบางคน แล้วก็มีอีกคนมาขัดขวางกู แล้วยังมีมึงเข้ามาอีก แถมที่ผ่านมาคนบางคนก็ไม่ได้ช่วยทำอะไรให้กูดีขึ้น แล้วมึงกับกูทำงานไปด้วยกันต่อไปมันจะ อึดอัด" เอิร์ธว่า
   “ห๊ะ" วินรู้สึกงงงวยกับประโยคสุดบรรลือลั่นของเอิร์ธเอามากๆ "เดี๋ยวนะ ใครทำอะไรให้ใคร แล้วใครไม่ช่วยอะไรบางคนให้ดีขึ้น แล้วใครอึดอัด........กูจะบอกให้นะ ตอนนี้ กูเนี่ยอึดอัด"
   “เอางี้ งั้นถ้ามึงไม่สะดวกใจขนาดนี้ กูจะลาออกจาก Esmod แล้วไปทำเองก็ได้ป่ะ" เอิร์ธว่า
   “ห๊ะ" วินร้องอีกรอบ "อะไรวะ เรื่องแค่นี้มึงจะลาออกเลยเหรอ เงินที่มึงเสียไปล่ะ กูว่ามันจะไปกันใหญ่แล้วหรือเปล่าเนี่ย ไอ้เอิร์ธ มึงไหวป่ะวะ"
   “ไม่คือ ถ้าจุดประสงค์ของมึงคือแค่อยากเรียนจบคอร์สนี้อ่ะ กูก็จะไม่ขัดไง มึงก็เรียนต่อไป โดยที่กูจะได้ไม่ต้องมาเป็นตัวปัญหาให้มึง" เอิร์ธตอบ
   “กูไม่แน่ใจว่ะเอิร์ธ" วินว่า "คือมึงกับกูเป็นพาร์ทเนอร์กันนะเว่ย กูไม่แน่ใจว่ากูมีสิทธิคิดแทนเรื่องของมึงกับกูได้หรือเปล่า แต่กูไม่คิดว่ากูจะหนีปัญหาว่ะ"
   “อะไรนะ" เอิร์ธร้อง
   วินกัดฟันเล็กน้อย หน้าของก้องแว้บขึ้นมาในสมอง
   “คือ....กูหนีปัญหามาค่อนโลกแล้วนะเว่ย แล้วมึงจะให้กูหนีไปไหนอีกวะ" วินร้อง เอิร์ธถึงกับมองหน้าวินทันที "ถ้ามึงต้องการไอ้สเก็ตแบบเสื้อ 20 รูปเนี่ย มึงเอาไปได้ตรงนี้เลยเว่ย กูไม่มีปัญหาหรอกไอ้เอิร์ธ แต่ประเด็นคือกูไม่รู้ว่ามึงต้องการอะไรว่ะ"
   วินถอนหายใจพลางส่ายหน้า เอิร์ธนั่งแน่นิ่ง
   “กูบอกมึงให้ก็ได้ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น อยู่ดีดีกูถึงมาโผล่ที่ปารีส" วินว่า "กูอยากเอาชนะพ่อกูเว่ย กูไม่อยากทำงานให้กับคอสโม กูก็เลยรับคำท้าของเค้า ว่าถ้ากูไม่อยากทำงานให้เค้า ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินเค้าอีก เค้าก็เลยให้เงินกูก้อนสุดท้าย ให้กูมาที่นี่ มาทั้งๆที่กูไม่เป็นอะไรเลยซักอย่าง ไม่รู้อะไรเลยซักเรื่อง แต่กูก็กล้าพอ ไอ้เรื่องกล้าๆเนี่ย ก็น่ารู้นิสัยกันดีอยู่แล้ว กูไม่เคยกลัว ต่อให้กูอดตายที่นี่ กูจะไม่ขอเงินเขาอีก
   มึงเองก็น่าจะพอรู้อยู่แล้วนี่ ว่าตอนนี้กูอยู่ในสภาพยังไง มึงถึงกล้าเอาเรื่องเงินมาเป็นข้อต่อรองกับกู ไอ้เรื่องกูดูแย่อ่ะ มันก็เยอะพอยู่และที่มึงเกทับมา กูทนได้ไม่เป็นปัญหาหรอก ที่ปารีสมันไม่มีใครมานั่งนินทาว่าลูกคุณเกียรติศักดิ์มานั่งทำงานร้านอาหารอยู่แล้ว ถึงต่อให้มีกูก็ไม่แคร์ไอ้เอิร์ธ แต่อย่างน้อย ชีวิตที่ร้านเกล็ดหิมะ กับที่สตูดิโอ Esmod นี่มันก็เป็นที่ที่กูเดิมพันเอาไว้ด้วยชีวิตที่เหลือของกูทั้งชีวิตเลยนะเว่ย ยิ่งกูเจอมึง ก็โคตรกล้าลงทุนอ่ะ แต่พอมึงมาไม้นี้ กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ.......กูก็ไม่รู้จะตัดสินใจยังไงว่ะไอ้เอิร์ธ"
   เอิร์ธนั่งฟังวินอย่างสงบนิ่ง พลางถอนหายใจ
   “ตอนนี้กูชักสงสัยแล้วว่ะ ว่ามึงหรือกูกันแน่วะ ที่ไม่รู้ตัวเองต้องการอะไร" วินพูดออกมาทันที มันเป็นคำถามที่เขาเริ่มรู้สึกขึ้นมาตลอดทั้งเช้านี้ เอิร์ธมองหน้าวินอย่างมีความหมาย
   “ไม่หรอก กูรู้ว่ากูต้องการอะไร แต่ประเด็นคือมึง มีตัวคนเดียวมากกว่า" เอิร์ธตอบ
   “ห๊ะ" วินร้องเป็นครั้งที่สาม
   “มึงอยู่ที่นี่มาจะสามเดือนแล้ว มึงก็เพิ่งจะเปลี่ยนความคิดตัวเองได้ก็เท่านั้น ปลายทางของมึงก็คือจบคอร์สนี้ แล้วก็อยู่ได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพ่อมึงใช่ไหม แล้วหลังจากนั้นอ่ะ มึงคิดไว้หรือยัง" เอิร์ธถามกลับ
   “เอ่อ....เรื่องนั้น...”
   “เพดานของมึงไม่เท่ากูว่ะขอโทษเหอะไอ้วิน" เอิร์ธตอบกลับ วินชะงักทันที ก้องพูดประโยคเดียวกันนี้กับเค้าเมื่อวานเอง
   “แล้ว....มันต่างกันยังไงวะ" วินถาม
   “ก็ตรงที่กูคิดไง.....”เอิร์ธตอบ "มันอาจจะดูงี่เง่า ถ้ากูบอกว่ากูทำทุกอย่างเพื่อที่จะมาอยู่ที่นี่กับแฟนกูในฐานะที่เท่าเทียมกัน แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่ไม่ใช่เหรอวะ ถ้าเกิดเราจะทำอะไรให้ใครซักคน....คนที่เรารักมากๆน่ะ"
   “มึงไม่ต้องมาหาคำพูดสวยหรู ไอ้เอิร์ธ วิธีที่มึงใช้ มันก็ไม่ถูกอยู่ดี มึงจะเอาชนะเรื่องนี้ด้วยการจบโปรเจ็คนี้ มึงก็ควรใช้วิธีแก้ปัญหาบนเส้นทางนี้" วินว่า "พอมึงเจอปัญหามึงก็หลบแล้วไปใช้ทางอื่น มันจะไม่โกงตัวเองไปหน่อยเหรอวะ"
   “กูไม่ทำงานหนัก แต่กูทำงานให้ฉลาด" เอิร์ธว่า "ข้อแรก กูรู้จักคุณเจนมามากพอ มากกว่ามึงแน่ๆ ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เต็มใจที่จะช่วยกู ทั้งๆที่เค้ารู้จักกูมาก่อน มึงก็เห็นสิ่งที่เขาต่อต้านเราทั้งคู่ มึงกะกูจะโดนอะไรไปจนกว่าจะจบอีกเยอะ แล้วตอนจบ มันก็จะไม่ได้อะไรเลย ข้อสอง มึงไม่เคยต้องทำอะไรเพื่อคนอื่นอยู่แล้ว เพราะแค่ทำให้ตัวมึงเอง กว่าจะได้มาถึงเดือนนี้ ก็แทบไม่รอด"
   “แต่มันก็....”
   “ปลายทางของกูชัดเจนพอไอ้วิน" เอิร์ธพูด "กูไม่สนวิธีที่จะทำให้กูไปถึงตรงนั้น โอเค....ถ้ามันเป็นทางที่เลวมากๆ กูก็ไม่ทำหรอก กูก็มีสติพอไอ้วิน คำถามคือมึงเชื่อใจกูแค่ไหน"
   “ไม่รู้ว่ะ" วินว่า "แล้วปลายทางของมึงคืออะไร"
   “กูอยากอยู่ในวงการนี้ แบบมีชื่อ" เอิร์ธว่า "กูไม่ได้ทะเยอทะยาน แต่กูเองก็ไม่ต่างจากมึงเรื่องที่บ้าน ถ้ากูออกมาแล้ว กูก็ต้องได้ดีเท่านั้น และทั้งหมดที่กูเอามาเสนอมึง ก็เพียงเพราะว่ากูเห็นโอกาส ที่มันน่าจะเป็นไปได้เท่านั้นเอง"
   “แต่กู....”
   “ถ้ามึงอยากได้กูเป็นที่พึ่ง มึงกล้าพอจะตามกูไปไหมล่ะ" เอิร์ธถามต่อ วินหายใจเข้าลึก   ๆ พลางมองออกไปนอกหน้าต่าง
   “กูมั่นใจ ว่าตัวเองมีเป้าหมายยังไง....
   แสงสว่างลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาช้าๆ ขณะที่วินมองมันอย่างมีความหมาย
   “ถ้ามึงมีเป้าหมายในการอยู่ที่นี่ต่อไปได้แล้วจริงๆ คิดต่อไปอีกหน่อยมันก็คงไม่ยากไม่ใช่เหรอวะ ในเมื่อมึงไม่อยากทำงานให้พ่อมึง ก็ทำงานกับกูไง" เอิร์ธพูดต่อ "ไม่ว่าจะอยู่ที่นี่ต่อไป หรือทำงานข้างนอก ปลายทางของกูก็เหมือนกัน …. คำถามคือ ปลายทางของมึงล่ะไอ้วิน...คืออะไร"
   ภาพในอดีตที่เขามีปากเสียงกับพ่อลอยขึ้นมาแจ่มชัดอีกครั้ง วินหลับตาลง พลางมองกลับมาหาเอิร์ธ
   “มึงเอาไปได้แล้วไป" วินว่า "งานกูอ่ะ"
   “อะไรนะ" เอิร์ธรู้สึกตกใจกับการกระทำของเพื่อน วินลุกขึ้นทันที
   “กูเอาด้วย" วินตอบ "กูหมดคำถามแล้ว มึงจะเอายังไง ก็เอาตามนั้น"
   “อ...อ่าหะ" เอิร์ธตอบ
   “แต่กูไม่ลาออกจากที่นี่นะ" วินว่า "มึงจะออกหรือเปล่าก็เรื่องของมึง ส่วนเรื่องงานก่อนที่มึงจะเอาไปเสนอขายใคร มึงต้องบอกกูก่อน กูจะได้เตรียมงานดีดีไว้ให้มึงก่อนเพิ่มเติม"
   “อ่าหะ" เอิร์ธรับคำ
   “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว กูก็จะกลับละนะ เมื่อเช้ากูก็ทิ้งงานที่ร้านมาเหมือนกัน" วินว่า
   “เดี๋ยวก่อนวิน" เอิร์ธว่า "เมื่อวานมึงบอกกูว่า มึงก็มีทางออกให้กูเหมือนกัน ทางออกคืออะไรวะ วันนี้กูยังไม่เห็นมึงเสนอไอเดียอะไรมาให้กูเลย"
   “กูเสนอไปแล้ว" วินว่า "กูบอกมึงไงว่ากูจะไม่ลาออก เพราะถ้าเผื่อมึงพลาด กูจะยังยืนอยู่ที่นี่ ดีกว่าล้มไปทั้งคู่"
   “แล้วมันจะช่วยอะไรวะ" เอิร์ธถามต่อ
   “เพราะที่กูต้องเรียนคอร์สนี้ ก็เพราะที่จริงแล้ว......กูก็ยังต้องทำงานให้พ่อกูอยู่" วินว่า เอิร์ธถึงกับตาเบิกโพลง
   “อะไรกันวะ ไหนมึงบอกว่ารับคำท้าเค้ามาแล้วไง" เอิร์ธว่า
   วินถอนหายใจพลางมองมาหาเอิร์ธ
   “กูเชื่อใจมึงไอ้เอิร์ธ" วินพูดทันที "กูยังบอกะไรมึงมากไม่ได้ตอนนี้ว่ะ กูมีอีกหลายอย่างต้องทำ ก็อย่างที่กูบอก ปัญหากูท่วมหัวแล้วตอนนี้ เอาเป็นว่ากูเอาด้วยก็แล้วกัน แต่กูอ่ะ อยากจะเตือนมึง บางทีแค่คุณเจน อาจจะไม่ใช่ปัญหาเดียวที่มึงจะต้องเจอก็ได้นะกับการมีชื่อเสียงของมึงในวงการนี้อ่ะ มึงก็เตรียมตัวไว้ดีดีแล้วกัน กับปัญหาที่จะเกิดขึ้น มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอก"
   วินเดินตัดออกจากเอิร์ธเพื่อจะออกจาห้องสตูดิโอ
   “เหตุผลที่มึงไม่ยอมบอกกู ก็คงเป็นสาเหตุที่มึงทะเลาะกับพ่อแล้วมาโผล่ที่นี่ใช่ไหมวะ" เอิร์ธถาม
   “ก็.....ช่างมันเหอะ" วินว่า "มึงไม่เข้าใจหรอก"
   วินปิดประตูสตูดิโอไป
   เพราะจริงๆแล้วมันเป็นจริงอย่างนั้น
   เรื่องที่เค้าทะเลาะกับพ่อ มันเป็นต้นเหตุ
   ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดที่พาเค้ามาอยู่ที่นี่
   ก็เพราะพ่อนั่นแหละ
…...........
   “ผมไม่ทำ......ทำแบบนี้ มันไม่ถูก มีดีไซน์เนอร์อีกหลายคนที่ต้องการโอกาส ทำไมต้องเป็นผม"
   “ก็เพราะว่าถ้าเป็นแกมันจะง่ายกว่ามาก แกมีทุกอย่างที่วงการนี้ต้องการ แกเรียนจบแล้ว แล้วแกก็เป็นลูกชั้น แค่นี้มันก็พอแล้ว ที่แกจะเข้ามาทำงานกับชั้น.....แกอย่าทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากได้ไหม"
   “แล้วคนอื่นๆล่ะ เค้าจะรู้สึกยังไงตอนที่ผมเดินเข้าไปที่คอสโม ผมไม่ได้มีฝีมือมากขนาดนั้น ถ้าผมเข้าไปมันก็เป็นได้แค่ตัวตลกเท่านั้น"
   “จะไปแคร์อะไรกับไอ้แค่ขี้ปากคน แกเป็นลูกชั้น มีโอกาสอยู่ในมือแล้ว ทำไมไม่คว้า นี่แกโง่หรือบ้าวะไอ้วิน ชั้นให้แกมาทุกอย่าง แกต้องตอบแทนชั้นบ้างได้แล้ว"
   “ให้ทุกอย่างเหรอพ่อ พ่อไม่ได้ให้อะไรผมเลย สิ่งที่พ่อให้มามันมีแต่เรื่องสกปรก พ่อจะกว้านซื้อดีไซน์เนอร์มาอีกกี่คนเพื่ออะไร ในเมื่อพ่อก็ไม่ได้เลือกพวกเค้า คนพวกนี้ทำงานด้วยแรงบันดาลใจและสร้างสรรค์ พ่อเอาขายความหวังว่าพวกเขาจะได้โอกาส แล้วให้พวกเขารอต่อไปเพื่ออะไรอ่ะ"
   “คนพวกนั้นจะสร้างงานให้แก แกจะเป็นหัวหน้าคนพวกนั้น แล้วสร้างเม็ดเงินมูลค่ามากมายให้กับชั้น วงการของเราก็จะเติบโตไปอีก พวกนั้นน่าจะดีใจด้วยซ้ำ"
   “ไม่ พ่อไม่เข้าใจ......พวกเขาไม่มีทางยอมให้ตัวเองโดนล่ามไว้หรอก เมื่อวันนึงพวกเขารู้ตัวว่าไม่มีทางจะไปไกลได้กว่านี้ เขาก็จะออกจากพ่อ ไปทำงานให้ตัวเอง ไม่มีใครยอมให้คนอื่นมาสร้างความหวังลมๆแล้งๆให้ตัวเองหรอกพ่อ แม้แต่เงินก็ซื้อพวกเขาไว้ไม่ได้"
   “แล้วยังไง ก็ช่างหัวพวกมันสิ ถึงพวกมันจะออกไป แกก็มีงานมากมายอยู่ในมือแกที่แกจะสามารถเอาออกไปขายต่อไปอย่างสบายทั้งนั้น"
   “แต่มันความคิดสร้างสรรค์จากพวกเค้า พ่อจะหากินบนความคิดสร้างสรรค์ของคนอื่นแบบนี้งันเหรอ ผมไม่ทำ.......และเงินก็ซื้อผมไม่ได้เหมือนกัน"
   “เงินซื้อแกไม่ได้งั้นเหรอ....แกเชื่ออย่างนั้นเหรอ ได้...แกอย่าคิดว่าจะออกไปจากวงโคจรของชั้นได้เจ้าวิน ยังไงแกก็เป็นลูกของชั้นวันยังค่ำ"
   “พ่อว่าอะไรนะ"
   “แกไม่มีฝีมือเท่าคนอื่นๆงั้นใช่มั้ย ได้.....ฉันให้แกไปเรียนต่อดีไซน์ที่เมืองนอก และแกต้องไป เพราะฉันจะไม่ให้เงินแกใช้อีกแล้ว และแกก็อย่าหวัง ว่าจะหางานทำได้ที่สตูดิโอในกรุงเทพ ฉันไม่มีวันปล่อยให้พวกนั้นรับแกเข้าทำงาน นอกจากแกจะทำให้กับคอสโมเท่านั้น.......สิ้นปีเมื่อไหร่ แกขึ้นเครื่องไปปารีสซะ ที่เหลือชั้นจัดการเอง"
   “อะไรกันอ่ะพ่อ พ่อไม่มีสิทธิมาบังคับผมแบบนี้นะ"
   “ก็ลองดูกันมั้ยล่ะเจ้าวิน"
   “พ่อ!! “
   “ฉันจะให้แกไปเจอชีวิตลำบากๆ อันน่าเห็นใจ แบบที่แกสงสารพวกดีไซน์เนอร์พวกนั้นนัก ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าถ้าแกก็ไม่มีเงินติดตัวเหมือนดีไซน์เนอร์คนอื่นๆ เงินมันยังจะซื้อแกได้อยู่ไหม แกยังจะคิดแทนพวกเค้าอยู่ไหม"
   “ได้....งั้นเราจะได้เห็นกันพ่อ งั้นผมจะไปเรียนให้พ่อ ผมจะไป ไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย"
   “วิน.....ไอ้วิน.....วิน!!!”

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ตอนที่ 10 Warm

   "วิน......วิน" เสียงอันรุนแรงและแข็งกร้าวดังอยู่ในหัวของเขา มันเป็นเสียงของอสูรกายที่เปลี่ยนชีวิตเค้าไปตลอดกาล
   "วินคับ!!!" เสียงของมันเปลี่ยนเป็นโทนอบอุ่น พร้อมกับมือที่แตะลงที่บ่าของเขาและบีบแน่น วินสะดุ้งสุดตัว พลางมองไปยังเจ้าของเสียง ที่ตอนนี้จับไหล่ของเขา พลางมองหน้าเขาอย่างเป็นกังวล
   “ว่าไง นาย" วินหันไปตอบ แม้ว่าในดวงตายังคงแข็งกร้าว "มีอะไรเหรอ"
   “เป็นอะไร" ก้องถาม นับว่าเป็นครั้งแรก ที่วินเห็นแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความกังวลของเพื่อนร่วมห้องคนนี้ "คิดอะไรอยู่เหรอ"
   “ไม่มีอะไรอ่ะ" วินหันกลับไปมองท้องถนนเบื้องล่างอีกครั้ง
   “เข้าไปข้างในดีกว่ามั้ย เปิดประตูระเบียงไว้แบบนี้ เดี๋ยวหิมะมันเข้า" ก้องว่า
   “นายก็ปิดประตูไปดิ" วินว่า "ฉันอยากอยู่ตรงนี้อีกซักพัก"
   ก้องส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะโอบเอววินจากด้านหลัง แล้วยกตัวของวินเข้ามาข้างในตัวห้องทันที
   “เห้ย เจ้าก้อง นายทำบ้าอะไรของนายเนี่ย ปล่อยฉันเซ่!!!” วินร้องอยู่พักนึงก่อนที่ก้องจะวางตัววินลง แล้วปิดกระจกระเบียงลง "ทำบ้าอะไรของนายวะ จะอุ้มฉันเพื่อ!!? แล้วไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนวะ"
   “ก็พูดแล้วไม่ฟังกันนี่" ก้องพูดเรียบๆ ก่อนจะหันมาหาวินอีกครั้ง "แล้วเมื่อกี้คิดอะไรอยู่"
   “นี่คุณก้องคับ ผมไม่จำเป็นต้องบอกคุณทุกเรื่องหรอกนะคับ" วินว่า "ฉันจะคิดอะไรอยู่มันก็เรื่องของฉันได้ไหมเล่า"
   “มีเรื่องจะคุยด้วยอ่ะ" ก้องพูดเสียงแข็ง ซึ่งจริงๆแล้ววินเดาว่าก้องพยายามที่สุดแล้ว ที่จะไม่เสียงแข็ง น้ำเสียงมันเลยออกจะดูตลกเสียมากกว่า
   “เรื่องอะไร" วินถามกลับห้วนๆด้วยอารมณ์หงุดหงิด
   “เรื่องข้อตกลงระหว่างเราสองคน" ก้องพูด
   “ห๊ะ" วินว่า "ข้อตกลงอะไรวะ"
   “นี่ผ่านมาสามเดือนแล้ว ก็ฉันเคยบอกนายว่า ถ้าเดือนแรกนายอยู่ที่นี่ได้ด้วยดี ข้อเสนอที่สองจะตามมาไง จำไม่ได้เหรอ" ก้องว่า วินถึงกับหน้าถอดสีอีกครั้ง.......อีกปัญหากำลังมาอีกแล้วสินะ
   “อ่อ.....ยังไงอ่ะ จะไล่ฉันไปแล้วล่ะสิ" วินว่า "งั้นก็ขอเวลาชั้นซักสองสามวันนะ แล้วเดี๋ยวฉันจะย้ายไป"
   “อย่าพูด ถ้ารู้ว่าทำไม่ได้" ก้องว่าวินเข้าอย่างจัง ชายหนุ่มมองหน้าเขากลับ "ฉันไม่ได้จะไล่นาย แต่ฉัน....ฉันอยากให้นายอยู่ต่อ.....”
   “ฉันก็ยังอยู่ไม่ใช่รึไงวะ นายประสาทหรือเปล่า" วินว่า
   “ฉันหมายถึง อยู่กับฉัน ไปเรื่อยๆ" ก้องว่า "ฉัน......อยากให้นายอยู่กับฉันไปก่อนได้หรือเปล่า"
   “เอ่อ....อะไรนะ" วินร้อง "อะไรของนายวะ ไม่เข้าใจว่ะ"
   “ก็แค่ตอบมาว่าได้หรือไม่ได้ แค่นั้นแหละ นายจะทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่อง่ายทำไมกันนะ"
   “นี่นายก้อง นายต้องการอะไรก็บอกมาตรงๆเหอะ" วินว่า "ฉันไม่หัวเราะนายหรอกน่า ลำบากเรื่องเงินขึ้นมาหรือไง"
   “ก็ประมาณนั้นอ่ะ" ก้องว่า "พอดีฉันมีปัญหา แล้ว ก็เลยคิดว่าถ้านายอยู่กับฉันต่อไปอีกหน่อย ก็น่าจะดี ฉันหมายถึง อยู่ต่อถึงนายจะเรียนจบแล้วอ่ะ"
   “โห" วินว่า "หลังเรียนจบด้วยเหรอ"
   “อ..อืม" ก้องว่า "นายสะดวกหรือเปล่า"
   วินมองหน้าก้องอยู่พักนึง
   “เกิดอะไรขึ้นเจ้าบาริสต้า" วินว่า "พูดมาตรงๆเหอะ"
   “ก็บอกแล้วไง ว่ามีปัญหาเรื่องเงิน" ก้องตอบ
   “มันจะมีได้ยังไง นายไม่ได้เอาเงินไปทำอะไรนี่ ที่ทำอยู่ตอนนี้ มันก็อยู่ได้แล้วไม่ใช่เหรอ" วินว่า
   “ฉันจะเปิดร้านอาหาร" ก้องว่า "ฉันก็เลยจะเริ่มเก็บเงิน"
   “อ๋อ เขาใจละ" วินว่า "นายก็เลยจะเพิ่มส่วนแบ่งค่าเช่า เพื่อเติมส่วนที่นายขาดใช่ไหมล่ะ"
   “ก็....ประมาณนั้นอ่ะ" ก้องว่า
   “เอาดิ" วินว่า "โอเค ฉันจะอยู่"
   “เหรอ ทำไมหนนี้นายพูดง่ายจัง"ก้ องว่า
   “แล้วมันไม่ดีรึไงหะ" วินว่า
   “ก็ดี" ก้องยิ้มกว้างให้วิน ซึ่งเขาก็ยิ้มตอบ พลางหันหลังเดินไปที่กองงานของตัวเอง
   แต่....
   “เดี๋ยวนะ" วินหันหลังกลับมา "เมื่อกี้นายยิ้มเหรอเจ้าบาริสต้า นายยิ้มให้ฉันนี่"
   ก้องทำหน้าเหวอ พลางตีหน้ากลับมาเป็นปกติ
   “ก....ก็....อืม" ก้องว่า
   “ชะละล่า เจ้าบารีสต้า ผู้แสนเย็นชาเป็นหิมะปารีส ยิ้มเป็นกะเค้าด้วย" วินเดินเข้ามาแซวเป็นการใหญ่
   “อ...อะไรของนายเล่า" ก้องว่า พลางเอามือเกาจมูกอย่างไว้ท่า วินเอามือชี้หน้าทันที
   “อั่นแน่ะ มีเขินด้วยว่ะ" วินว่า "เห้ยเอาจริง....ฉันก็คิดว่าตัวเองอยู่กับรูปปั้นมาหลายเดือนแล้วเหอะ เอาจริงถ้านายไม่ได้หนักหนาอะไรเนี่ยนะ ทำตัวเป็นคนปกติบ้างก็ได้เหอะ คนที่ร้านเกล็ดหิมะ มีแต่คนเค้าบอกว่านายเป็นคนยิ้มยากกันทั้งนั้น"
   “ก็มันไม่มีอะไรที่ทำให้ฉันอารมณ์ดีได้ซักเท่าไหร่นี่" ก้องพูดเสียงเย็นชา
   “แล้วยิ้มให้ฉันเมื่อกี้นี้เนี่ย แสดงว่าฉันทำให้นายอารมณ์ดีรึไงวะ" วินถามพลางขมวดคิ้ว "ใช่สินะ ได้คนแชร์ค่าเช่าต่อ สบายไปครึ่งนึงเต็มๆ"
   “ในหัวฉันไม่ได้มีแต่เรื่องเงินอย่างเดียวหรอกวิน" ก้องว่า "ฉันก็แค่ดีใจที่โอกาสทำร้านอาหารของฉันจะเป็นจริงขึ้นมาก็เท่านั้น"
   “อ่ะนะ" วินว่า "ก็เต็มที่ละกัน"
   “ว่าแต่นายเหอะ ตอนนี้ก็ดีขึ้นเยอะแล้วนี่ ไหงไม่คิดย้ายออกไปล่ะ ไหนว่าไม่อยากอยู่ด้วยกันนักไง" ก้องว่า วินมองค้อนแว้บนึง "นี่ไม่ได้หมายความว่าจะไล่ ก็เพิ่งชวนอยู่ต่อไปเมื่อกี้เอง จำไม่ได้รึไง"
   “รู้แล้วน่า...”วินว่า "ก็ช่วงนี้ชั้นเอ่อ....มีเรื่องต้องคิดเยอะพอดี ฉันไม่อยากคิดคนเดียวน่ะ มีนายก็ยังดีกว่าไม่มีใครว่ะ"
   “ดีกว่าหมาหน่อยนึงว่างั้น" ก้องว่า
   “อ้าว พูดเองนะ" วินว่าพลางหัวเราะ ก้องส่ายหัวน้อยๆ "เห้ย ไม่ใช่หรอก ฉันก็อยากขอบใจนายด้วยเหมือนกันที่ช่วยฉันมาตั้งสามเดือน ถ้าไม่ได้นาย ป่านนี้ฉันก็ยังคง....”
   “ไม่ได้เรื่อง..." ก้องว่าต่อ
   “เห้ยได้ยินว่ะคับ" วินว่า ก้องเลิกคิ้วพลางเดินไปที่ครัวของตัวเอง
   “แต่ฉันขอให้นายอยู่ต่อจนหลังเรียนจบด้วยนะ นายสะดวกเหรอ" ก้องถามต่อ "เรียนจบแล้ว ไม่กลับไทย ไปหาครอบครัวรึไง"
   “ไม่อ่ะ" วินตอบทันที พลางมองไปยังหน้าต่างเมื่อครู่ ความทรงจำบางอย่างแล่นเข้ามาในหัว "ฉันยังไม่กลับหรอก"
   แล้วก็เงียบกันไปพักนึง เป็นความเงียบที่มีความหมายมากมายสำหรับวิน ก้องมองวินอยู่อย่างนั้น ความรู้สึกของเขาเอง ก็มีบางอย่างที่ให้วินขึ้นมาเสียด้วย
   “ฉันไม่มีอะไรให้กลับไปหาหรอกที่จริงแล้ว" วินว่า พลางหันกลับมหาก้อง ที่สะดุ้งเมื่อรู้สึกว่ามองวินนานเกินไปเลยรีบหัวไปหยิบกานมมารินแก้เก้อ  วินเลิกคิ้วน้อยๆ เมื่อรู้ว่าถูกมองอยู่ ชายหนุ่มทำเป็นนั่งจัดงานตัวเองบนโต๊ะ "แล้วนายอ่ะ ไม่มีใครให้กลับไปหาเหรอที่เมืองไทย"
   ก้องหัวเราะในลำคอเบาๆ พลางยกแก้วนมอุ่นๆมาสองแก้ว เดินมาหาวิน ก่อนจะวางแก้งหนึ่งลงตรงหน้าชายหนุ่ม
   “ไม่มี" ก้องพูดเบาตรงหน้าวิน วินมองหน้าก้อง ก่อนจะพยักหน้าเบา ดวงตาของก้องมีความรู้สึกบางอย่างที่วินไม่เข้าใจ วินหลบตาลงมองกองงานอขงตัวเอง แม้ว่าตอนนี้ เขาเริ่มรู้สึกแปลกๆขึ้นมาข้างในเสียแล้ว
   “งั้นก็....เต็มที่ละกัน เรื่องร้านอ่ะ"วินว่า "ขอบใจที่ยังให้ฉันอยู่ต่อ แล้วก็ทุกๆเรื่องที่นายให้คำปรึกาาแล้วก็...สอนชั้นอ่ะ......ถ้ามีอะไรเรื่องร้านให้ช่วยก็บอก ถ้าเกิดว่าชั้นช่วยได้อ่ะนะ"
   “หึหึ" ก้องหัวเราะขึ้นมาในลำคอ พลางเอามือขยี้หัววินเบาๆ "แค่นายยังอยู่ต่อ ก็พอแล้วล่ะ"
   บาริสต้าหนุ่มเดินเข้าห้องตัวเองไป วินที่ทำเป็นขัดขืนที่โดนลูบหัว มองก้องเดินหายไป ด้วยความสงสัย
   ผู้ชายคนนี้ลึกลับและเย็นยะเยือกยิ่งกว่าอากาศที่นี่เสียอีก
   แต่วินก็ชักจะชินเสียแล้ว เพราะในความเย็นยะเยือกของก้อง มันก็มีความรู้สึกดีดีอยู่ด้วย
   ความรู้สึกแบบเดียวกับควันหอมฉุยที่ลอยมาจากแก้วนมอุ่นๆตรงหน้านี่....
   นึกอะไรออกบางอย่าง ยิ้มให้กับตัวเองก่อนจะเดินตามก้องเข้าไปในห้องนอน แล้วเคาะที่ผนังสามครั้ง
   “ว่า?" เสียงก้องตอบมาจากในห้อง
   “ฉันมีเรื่องจะขอให้ช่วย" วินว่า
   “เรื่องอะไรล่ะคับ" ก้องตอบ
   “อาทิตย์หน้าฉันไม่มีคลาส แล้วเอ่อ....ฉันก็ได้ข่าวมาว่าเจ๊ใหญ่จะปิดร้านเกล็ดหิมะอาทิตย์หน้าด้วยเหมือนกัน เพราะจะเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์"
   “ก็ใช่ แล้วทำไม" ก้องถามกลับ
   “เที่ยวป่าว?” วินรวบรวมความกล้ามาไม่พร้อมดี จึงพูดวลีออกไปด้วยเสียงอันสั่นเครือ ได้รับเพียงความเงียบกลับมา วินทำหน้าเหยเก รู้สึกเขินตัวเองพิกล คิดว่าเจ้าบารีสต้า คงไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดแน่ๆ วินจึงผละตัวเองออกจากประตูห้องนอนของก้อง พลางก่นด่าตัวเองในทุกๆด้าน ที่ชวนก้องทำเรื่องไร้สาระ หมอนี่ไม่มีวันยอมอยู่แล้ว
   ไม่กี่อึดใจต่อมา มืออุ่นๆดึงแขนของวินกลับไป ก้องโผล่หน้าออกมาจากห้องนอน มีรอยยิ้มบางๆอยู่ที่มุมปาก มองหน้าวินด้วยสีหน้าที่ยากจะเดาอารมณ์
   “แล้วมีตังค์เหรอ" ก้องถามด้วยเสียงกวนๆ
   “ก..ก็.......” วินมองก้องด้วยตาเบิกกว้าง "พ...พอมี.....แต่ไม่มาก"
   “งั้นไม่ต้อง" ก้องพูด วินยักไหล่แก้เก้อ
   “อ...อื้อ...ไม่เป็นไร ไม่ไปก็ไป" วินว่า
   “คือ ฉันหมายความว่า.....นายก็ไม่ต้องออก" ก้องพูด "เดี๋ยวฉันพาไปเอง"
   “อ...อะไรนะ" วินว่า
   “ไปทำงานให้เสร็จไป" ก้องว่า "เอาเที่ยวแบบไม่มีงานไปกวนก็จะดี แล้วฉันจะเลี้ยงเอง"
   ก้องยิ้มเบาๆให้กับวินครั้งหนึ่ง ก่อนจะหายเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง
   วินรู้สึกเหมือนตัวเองวิ่งระยะทางไกลมากก็ไม่ปาน หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ทำไมเจ้าบารีสต้านี่ต้องทำตัวให้เขาคาดเดายากด้วยนะ
   ความจริงคือตอนนี้เขาไม่ได้รู้สึกอุ่นอย่างเดียว
   มันร้อนจนหน้าเค้าแดงได้ที่เอามากๆ
….......

ออฟไลน์ sanfran

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
อืม ลงเร็วมาก ก้นยังไม่ทันแตะเก้าอี้เลย (ลงเร็วก็บ่นเนอะ 555)

เหมือนว่าปัญหาของวินจะเริ่มคลายปมออกมา แล้ววินก็พุ่งเข้าหาแล้วไม่ได้วิ่งหนี
จะติดตามต่อไปนะค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






yayee2

  • บุคคลทั่วไป
เห็นพัฒนาการของวิน ก็รู้สึกยินดีล่ะ
แล้ว แล้ว ตอนนี้หัวใจของวินกับก้อง :m1:
ก็กำลังมีเมล็ดพันธุ์บางอย่างกำลังจะงอกขึ้นใช่ปะ
และที่อยากรู้อีกคือ เป็นหัวใจใครนะที่ไม่เคยลืม และไม่ลีมใคร ไม่ลืมอะไร
สิ่งที่ทำให้ไม่เคยลืมนี้ มันผ่านมาแล้วก่อนถึง ณ เวลานี้ หรือ
ในอนาคตที่จะถึงในกาลต่อไป

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
เรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นและเกิดขึ้นไปแล้วค่ะ ^^

ออฟไลน์ sanfran

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
ครึ่งหลังอยู่หนายยย
 

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
“สตราส์เบิร์กงั้นเหรอ" วินพูด ขณะนั่งดูโบรชัวร์ที่สถานีรถไฟ ขณะที่ก้องนั่งรอมองวินอ่านอย่างนิ่งสงบที่แกล เดอ อีส หรือสถานีรถไฟช่วงตะวันตกของปารีส แน่นอนว่ามันห่างจากถนนทอร์ควิลมากโข ดังนั้นเหตุการณ์ในเช้าวันอาทิตย์จึงเกิดปากเสียงกันเล็กน้อยระหว่างก้องกับวิน เพราะวินคิดว่าก้องจะเริ่มออกเดินทางวันจันทร์ จึงไม่ได้จัดเตรียมของอะไรไว้เลย จนกระทั่งตี 5 ที่ก้องดึงวินขึ้นมาจากโซฟาและบอกว่าจะออกเดินทางในครึ่งชั่วโมง วินก็พ่นไฟใส่ก้องไม่ยั้ง สองชั่วโมงต่อมาทั้งคู่มาถึงสถานีอีสได้ก่อนเวลาครึ่งชั่วโมง
   “มันสามารถไปถึงเบอร์ลินเลยใช่หรือเปล่าก้อง TGV อ่ะ" วินถาม
   “อ่าหะ" ก้องว่า พลางมองไปยังขบวนรถไฟที่จอดรออยู่เบื้องหน้า "แต่ที่ที่เราจะไปก่อนจะหยุดแค่ สตราส์เบิร์กเท่านั้นล่ะ"
   “ทำไมถึงเลือกที่นั่นอ่ะ" วินเยหน้าขึ้นมาถามก้อง
   “ถูก" ก้องตอบทันที
   “ถูกแป๊ะอะไร ตั๋วเฟิร์สคลาส TGV ตั้งคนละ 200 ยูโร แถมนายยังจะไปนอนโรงแรมอีก" วินว่า "นี่เอาเงินเก็บมาเลี้ยงกันป่ะเนี่ย แบบนี้จะดีเหรอนาย"
   “เอาน่า.....คิดมากทำไมล่ะวิน ก็บอกแล้วว่าจะเลี้ยงนายเอง" ก้องว่า "ลูกคุณหนูอย่างนาย นั่งเฟิร์สคลาสแหละดีแล้ว"
   วินถอนหายใจครั้งหนึ่ง เขาเริ่มรู้สึกอึดอัดก็เพราะค่าใช้จ่ายตั้งแต่เริ่มเดินทางนี่แหละ ตั๋วนี่แพงไม่ใช่เล่นเลย ทำไมก้องต้องจ่ายให้เขาขนาดนี้ด้วย
   “แต่มันเก็บนายไม่ใช่รึไง" วินพูดเสียงเข้มขณะมองก้องที่มองออกไปเบื้องหน้าอย่างนิ่งเงียบ
   ชายหนุ่มผู้เย็นชาหันหน้ากลับมาหาวินพลางโอบไหล่เขาทันที
   “ฉันบอกว่า....ไม่ต้องคิดมากไง" ก้องพูด
   วินถอนหายใจครั้งหนึ่ง
   “งั้นฉันไม่เกรงใจนะ" วินว่า "อย่ามาบ่นทีหลังก็แล้วกัน"
   ก้องหัวเราะในลำคอครั้งหนึ่ง
   “ขอบใจ" ก้องว่าพลางลุกขึ้น เดินไปยังรถไฟ
   “ขอบใจทำไมวะ" วินว่า "นายนี่ประสาท"
   ก้องหันกลับมาหาวิน
   “ก็ห่วงกันไม่ใช่รึไง" ก้องว่า "นายน่ะ"
   วินหน้าแดงเล็กๆ
   “ก็เดี๋ยวจะมาบ่นใส่ฉันอีกทีหลัง อย่าให้ได้ยินเชียวเจ้าบาริสต้า" วินร้อง
   “ขึ้นรถไฟได้แล้ว" ก้องพูดก่อนจะเดินนำขึ้นไปพร้อมกับข้าวของขึ้นสะพายหลัง วินลุกตามไปด้วยข้าวของที่พะรุงพะรังเต็ทหลังเช่นกัน
   รถไฟ TGV ของปารีส จะพาทั้งคู่ไปเมืองสตราส์เบิร์ก ประเทศเยอรมัน โดยใช้เวลาแค่ 2 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น ซึ่งสำหรับวินแล้ว มันเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นมาก เขาไม่เคยเดินทางเองข้ามประเทศ แบบชนิดที่ต้องตีตั๋วต่อรถ เพราะเมื่อตอนต้นปีที่เขาใช้ชีวิตเป็นแบ๊กแพ็คเกอร์ อยู่สองสามอาทิตย์ เขาก็วนเวียนอยู่วิลแลตกับปารีสเท่านั้น
   รถไฟแล่นออกจากปารีสด้วยความเร็วและนิ่งสงบ ก้องสละที่นั่งริมหน้าต่างให้วินนั่งชมวิวตลอดสองข้างทางอย่าง เสียงกดชัเตอร์ดังอย่างต่อเนื่อง วินถ่ายรูปสองข้างทางเอาไว้ด้วยกล้องส่วนตัว พลางยิ้มให้ตัวเองย่างมีความสุข ชานเมืองปารีสเตมไปด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา ภูเขาลูกน้อยๆกับบ้านที่อยู่ตรงหุบเขาแถวชานเมือง สร้างบรรยากาศที่น่าประทับใจเป็นอย่างมากให้วิน
   “ชอบเหรอ" เสียงเย็นชาถามมาจากข้างตัววิน เขาหันกลับไปมองก้องที่กำลังมองเขาผ่านแว่นตากันแดดสีดำ โดยที่ตัวเองนั่งเอนหลังพิงเบาะอย่างสบายใจ
   “อื้อ" วินตอบเบาๆ พร้อมรอยยิ้มขณะดูรูปในกล้อง และมองออกไปนอกหน้าต่างเป็นระยะ "สวยมากเลย"
   ก้องกอดอกเบาๆ พลางมองตามวินออกไปนอกหน้าต่าง
   “ฤดูหนาวผ่านไปแล้ว เข้าใบไม้ผลิ" ก้องว่า "ที่สตราส์เบิร์ก นายจะได้เห็นต้นไม้ทั้งเมืองเป็นสีเขียวสด ตัดกับตึกสีอิฐเทา จากโรงแรมของเรานะ เดินไปตามถนนพร้อมช็อกโกแลตร้อนๆซักแก้ว มองดูคนขี่จักรยาน.....”
   วินนั่งฟังก้องเล่าสิ่งเหล่านั้นราวกับตกอยู่ในภวังค์ แม้ว่าจะอยู่ภายใต้แว่นกันแดดหนาทึบ แต่ใบหน้าที่ฉายรังสีความสุขออกมาจากตัวก้อง ทำให้วินสัมผัสมันได้ วินอมยิ้มน้อยๆขณะที่ก้องเล่าเรื่องที่เมืองสตราส์เบิร์กไปเรื่อยๆ มันเป็นความรู้สึกที่แสนสบายเอามากๆ ก้องนั่งพิงเบาะกอดอกเล่า พลางออกท่าทางบ้างเล็กน้อย ชี้ไปยังทิวเขานอกหน้าต่าง เพื่อให้วินได้เห็นภาพ
   ทั้งๆที่จริงแล้ว แค่วินมองหน้าก้อง เขาก็เห็นภาพที่สวยงามมากๆแล้วล่ะ
   “......ฉันชอบที่นั่นมาก ถ้านายได้ไป นายก็คงจะรู้สึกแบบเดียวกัน" ก้องยังคงเล่าต่อไป "มีร้านขายรูปถ่ายสวยๆที่นายอาจจชอบ ถ้าอยากได้ก็บอกฉัน เดี๋ยวะซื้อให้แล้วก็.....”
   แชะ!!!
   “นายทำอะไรอ่ะ" ก้องพูดขึ้น เมื่อเสียงกดชัตเตอร์ดังขึ้น
   “ก็ถ่ายรูปนายไง" วินว่า "นายยิ้มด้วยอ่ะเมื่อกี้"
   “งั้นเหรอ" ก้องทำเสียงสูง "ทำไมเหรอ ฉันยิ้มนี่มันเป็นเรื่องประหลาดใจของนายใช่มั้ยเนี่ย"
   “แหงดิ" วินว่า "ก็ตั้งแต่อยู่ด้วยกัน นายไม่เคยยิ้มเลยซักแอะ รูปเนี่ย ฉันจะเอาไปให้เจ๊ใหญ่ดูว่านายก็ยิ้มเป็น"
   “อ่ะนะ" ก้องว่าพลางเกาจมูกครั้งหนึ่ง
   “นายไปที่นั่นบ่อยเหรอ" วินถาม
   “อื้อ" ก้องตอบ "เมื่อก่อนไปบ่อย สามเดือนครั้งอ่ะ"
   “เหรอ ก็แสดงว่าเมื่อต้นปีก็เพิ่งไปมาใช่ป่ะ" วินถามต่อ
   “ไม่อ่ะ" ก้องว่า "ไปครั้งสุดท้าย ปลายปีก่อนโน้น"
   “ปีนึงเลยเหรอ" วินว่า "ทำไมอ่ะ"
   “ก็....” ก้องเงียบไปพักนึง "ไม่รู้จะไปกับใครอีกอ่ะ"
   “อ้อ.....” วินทวนคำ พลางคิดทบทวนประโยคเมื่อกี้อีกครั้ง
   ไม่รู้จะไปกับใครอีก....งั้นเหรอ
   วินพยักหน้าเบาๆ
   “แล้วทำไมถึงพาฉันไปอ่ะ" วินถามต่ออีก
   ก้องหันหน้ามามองวิน จริงๆแล้ววินไม่รู้หรอกว่าก้องมองเขาหรือเปล่า แต่ทิศทางการหันหน้ามามันเป็นอย่างนั้น
   “นั่นสิ" ก้องว่าพลางหัวเราะในลำคอ "ทำไมต้องเป็นนาย....ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ"
   “อ่าว...”วินว่า "สรุปคืออยากมา เพราะไม่ได้มานานแล้ว ก็แค่นั่นช่ะ.....อินดี้ใส่เพื่อ!!?”
   “อ่ะนะ" ก้องว่า ก่อนจะหันกลับไปมองหน้าต่างเหมือนเดิม ขณะที่วินก้หันหลับไปมองหน้าต่างแล้วยิ้มกว้างให้ตัวเอง และเริ่มถ่ายรูปอีกครั้ง
   รถไฟเคลื่อนตัวต่อไป ท่ามกลางความอบอุ่นที่แปลกประหลาด วินกดรูปถ่ายไปรูปแล้วรูปเล่าอย่างมีความสุข วันนี้เขารู้สึกได้เลยว่า หัวใจของเขาพองโตอย่างบอกไม่ถูก มันอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเอามากๆ มากเสียจนทำให้เขายิ้มไม่หยุดเลยทีเดียว
   “มันเป็นวันหยุดของนายครั้งแรกตั้งแต่มาอยู่ด้วยกันกับชั้น"
   อยู่ดีดีก้องก็พูดขึ้นมา หลังจากที่เงียบกันไปหลายนาที วินหันกลับมามองด้วยอารามตกใจเล็กๆ ก้องยังคงมองออกไปนอหน้าต่าง กอดอกนั่งพิงอย่างสบายใจภายใต้แว่นดำหนาเตอะ
   “ที่นั่นเป็นที่ที่พิเศษกับชั้น" ก้องว่า "ชั้นอยากให้นายได้เห็นมันน่ะ.....”
   วินยิ้มให้ก้องโดยไม่รู้ตัว
…........

ออฟไลน์ sanfran

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :impress2:


คนอ่านยังอบอุ่นตามเลย ปถมค้อนเพราะมีไฟ อิจฉา เบาๆ ปะปนมาด้วย

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ตอนที่ 11 Wind

   รถไฟจอดนิ่งสนิทที่สถานีสตราส์เบิร์กประเทศเยอรมนี ก้องและวินเดินออกจากอาคารรูปโดมของสถานีรถไฟ อย่างไม่เร่งรีบ ก้องทำทีเป็นเดินช้าลง เพื่อให้วินได้ถ่ายรูปอาคารให้หนำใจ วินปลื้มกับอาคารรูปโดมที่รับกับรถไฟเป็นอย่างมาก ในฐานะดีไซน์เนอร์คนหนึ่ง นี่ก็เป็นงานสถาปัตยกรรมที่งดงามมากสำหรับวินทีเดียว ก้องยืนมองวินอยู่ห่างๆ มีความสุขพิลึกที่ได้เห็นรอยยิ้มของลูกคุณหนูเจ้าปัญหาคนนี้
   สายลมสินะ......
   ภาพที่ชัดเจนตรงหน้าของก้องทำให้หัวใจของเขาสั่นสะท้าน บาริสต้าหนุ่มหลับตาลงครั้งหนึ่ง ขณะที่วินยังคงถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ไม่กี่นาทีต่อมา แก้วกระดาษใบหนึ่งชูอยู่ตรงหน้าเขา วินลดกล้องลงก่อนจะมองแก้วไปนั้น แล้วยิ้มกริ่ม
   “ไรอ่ะ" วินถามเสียงใส
   “ไปกันได้แล้วล่ะ" ก้องพูดเรียบๆ "รับไปสิ"
   วินยิ้มให้ก้องครั้งหนึ่งก่อนจะรับมันมาถือในมือ
   ทั้งคู่แบกกระเป๋าออกมาด้านนอกสถานีรถไฟ
   “สถานีรถไฟสวยมากเลยอ่ะนาย ฉันได้ไอเดียอะไรตั้งเยอะ นายคิดดูสิ โครงสร้างแบบนี้หาที่ไทยไม่ได้แน่ๆ และแถม.....” วินพูดพลางยกกล้องขึ้นถ่ายรูปเพดานของสถานีรถไฟ โดยไม่สังเกตว่าก้องกำลังยืนหยุดที่หน้าสถานี วินหันกลับมามองก้องทันที "….แล้วหยุดเดินทำไมเนี่ย"
   ก้องยิ้มให้วินที่มุมปาก ก่อนจะหันหน้าไปเบื้องหน้า วินจึงมองตามไป
   วินค่อยๆลดกล้องลงช้าๆ ก่อนจะปล่อยมันลงห้อยคอ พลางจับแก้วช็อคโกแลตเอาไว้แน่นทั้งสองมือ ชายหนุ่มเดินออกไปข้างหน้าช้าๆพลางกวาดสายตาไปรอบๆ
   ภาพตรงหน้าคือเมืองที่อาคารเป็นสถาปัตยกรรมชั้นเลิศ ถนนตรงหน้าพลุกพล่านไปด้วยผู้คนที่ขี่จักรยานสวนกันไปมา ต้นไม้ริมถนนผลิใบสีเขียวอ่อนลู่ลมหนาวที่พัดมาอย่างเบาบาง วินโอบแก้วในมือเอาไว้อย่างเบามือ กลิ่นช็อคโกแลตอุ่นๆลอยมาแตะจมูก พอทีกับเห็นลุงวัยกลางคนกำลังจูงสุนัขเดินข้ามถนน เด็กสาวชาวเยอรมันสองคนวิ่งไล่กันอ้อมตัววินอยู่สองสามครั้ง ก่อนจะวิ่งกลับไปหาแม่ของพวกเธอ วินมองตามไปเห็นชายอีกคนแบกกีตาร์ขี่จักรยานไปยังถนนอีกฝั่ง ที่เรียงรายไปด้วยต้นไม้สูงชะลูดสีเขียว วินส่ายหน้าให้ตัวเองช้าๆ ภาพตรงหน้ามันเป็นยิ่งกว่าความฝัน เมืองที่งดงามไปด้วยความสมดุล และการออกแบบที่งดงาม ชายหนุ่มยิ้มกว้างพลางพ่นลมออกมาเบาๆ ก่อนจะหันกลับมาหาก้องที่ยืนกอดอกมองเขาพลางยิ้มที่มุมปาก
   วินอ้าปากเหมือนพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่มีสิ่งใดลอดออกมา ก้องยิ้มกว้างเต็มที่ให้วิน ยิ้มแบบที่วินเองไม่เคยเห็นมาก่อน ชายหนุ่มเดินตามมาพลางวางแขนเอื้อมโอบไหล่วินเอาไว้
   “ขอต้อนรับสู่สตราส์เบอร์กวิน" ก้องพูดพลางหายใจเข้าและออกครั้งหนึ่ง วินมองหน้าก้องที่อยู่ใกล้ๆพร้อมกับยิ้มให้
   “เหมือนที่นายบอกฉันทุกอย่างเลย" วินว่าพลางหันกลับไปยังตัวเมือง "เหมือนทุกอย่างเลยก้อง"
   “ไปกันต่อเถอะ" ก้องว่าพลางหันมาหาวิน "แล้วก็อย่าลืม จิบช็อคโกแลตร้อนๆไปด้วยล่ะ"
   ก้องออกเดินไปพร้อมกับวิน ที่ค่อยจิบช็อคโกแลตอย่างไม่รีบร้อน พลางดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบๆตัว
   “ที่ที่เราจะไปพักชื่อเมอร์เคียว" ก้องว่า "อยู่ตรงนั้นเอง"
   “โห....มันจะไม่แพงเหรอก้อง" วินว่า
   “ไม่หรอก" ก้องว่า "ฉันรู้จักกับเจ้าของโรงแรมน่ะ"
   “อั้ยย่ะ" วินร้อง "เป็นคนใหญ่โต"
   “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกนะ พี่คนนี้เค้าบินมาทำงานที่ยุโรปรอบเดียวกับฉัน สนิทกันเหมือนญาติอ่ะ" ก้องว่า "เวลาร้านเจ๊ใหญ่ปิดปรับปรุง ฉันจะมารับจ๊อบเป็นบาริสต้ากะกลางคืนที่นี่ซักสามสี่วัน แลกกับที่พักแล้วก็ไปเที่ยวรอบๆเมือง"
   “อ๋อ....อย่างนี้นี่เอง" วินพยักหน้ารับ
   เนื่องจากโรงแรมอยู่ใกล้สถานีรถไฟมาก ทั้งคู่ใช้เวลาแค่ไม่นานก็มาถึงโรงแรมทันที ก้องเดินเข้าไปคุยกับพนักงานโรงแรมเป็นภาษาฝรั่งเศสอยู่สองสามคำ จากที่วินสังเกต พนักงานคนนั้น แสดงท่าทีดีอกดีใจที่ได้เจอก้องเป็นอย่างมาก และยิ่งไปกว่านั้น การพูดคุยกันของพนักงานคนนั้นกับก้องมันเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ การหัวเราะ สิ่งที่วินไม่เคยเห็นมาก่อนจากบาริสต้าผู้เย็นชาอย่างก้อง
   “ไป ขึ้นไปข้างบนกัน" ก้องหันมาหาวิน พร้อมกับแนะนำวินให้กับพนักงานคนนั้นรู้จัก ก่อนจะขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นบน ห้องนอน 408
   ห้องนอนของทั้งคู่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรนัก มีเตียงที่เหมาะกับการนอนสองคนได้สบายๆ กับตู้เสื้อผ้าสองตู้ ห้องน้ำที่หรูหรากระทัดรัด อยู่ด้านซ้ายของประตูขณะที่มีระเบียงเล็กๆอยู่ด้านนอกห้องนอน ที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองได้พอสวยงาม
   “เก็บของไปก่อนนะวิน เดี๋ยวชั้นมา" ก้องพูดก่อนจะเปิดประตูห้องหายไป วินเริ่มต้นแยกเสื้อผ้าต่างๆที่อัดแน่นมาอย่างลวกๆด้วยความเร่งรีบเมื่อเช้า เข้าตู้เสื้อผ้าไป มันใช้เวลาไม่มากนักก็เสร็จเรียบร้อย วินมองเห็นกระเป๋าของก้องที่วางอยู่มุมห้อง
   “อืม.....ถือว่าเป็นการตอบแทนก็แล้วกันนะเจ้าบาริสต้า" วินพึมพำกับตัวเองก่อนจะถลาไปหยิบกระเป๋าของก้องมาวางบนเตียงแล้วเริ่มจัดข้าวของให้ เสื้อผ้าของก้องก็ไม่ต่างจากที่วินเห็นมาตลอดหลายเดือนนี่เท่าไหร่นัก เสื้อผ้าสบายๆแต่ต้องมีความเนี๊ยบอยู่เสมอ วินแอบเก้อเขินเล็กน้อยที่ค้นมาถึงเหล่ากางเกงในสีขาวของก้องที่เขาต้องจัดมันเข้าตู้เช่นกัน เมื่อมาถึงก้นกระเป๋ามีผ้ากันเปื้อนตัวโปรดพับมาอย่างเรียบร้อยอยู่ด้วย ผ้ากันเปื้อนที่ก้องชอบใช้มันทำอาหารให้เขากินอยู่ทุกวันนั่นเอง วินหยิบมันขึ้นมาคลี่ออกและปัดให้พอหายยับ จนมือไปสะดุดกับสิ่งหนึ่งที่ซุกอยู่ในกระเป๋าหน้าท้อง
   ล้วงหยิบออกมาเป็นรูปถ่ายเก่าๆหนึ่งใบ เป็นรูปของก้องยืนข้างกับผู้หญิงลูกครึ่งคนหนึ่ง หน้าตาของเธอนับว่าสวยมากทีเดียว ซึ่งทั้งก้องและผู้หญิงคนนั้น ถูกโอบกอดคอด้วยเด็กหนุ่มอีกคนที่อยู่ด้านหลัง เด้กหนุ่มหน้าตาขาวสะอาด ใบหน้าฉายรอยยิ้มอย่างมีความสุข วินมองเด็กหนุ่มคนนั้นอย่างเพ่งพินิจอยู่พักหนึ่ง เขาเห็นบางอย่างอยู่บนหน้าของเด็กคนนั้น มัน....
   เสียงเคาะประตูดังขึ้น ก้องรีบเก็บรูปถ่ายนั้นไปที่เดิม ก่อนจะพับผ้ากันเปื้อนอย่างลวกๆวางไว้บนที่นอน และลุกขึ้นไปเปิดประตู
   “What's matter?” วินร้องถามเมื่อพบว่าเป็นพนักงานที่คุยกับก้องข้างล่างเมื่อกี้นั่นเอง
   “Sorry Kun Wind.Could you please go down to lobby? He wants to see you.” พนักงานคนนั้นบอก
   “Who?” วินถาม
   “Kevin” พนักงานคนนั้นตอบ
   “ห๊ะ" วินทำเสียงหลง "Who's Kevin?. I never heard that name before.”
   “Oh sorry I mean Koon Kong. Is that correct?” พนักงานคนนั้นตอบ
   “Oh yeah. ก้อง some kind like that” วินนึกขำเล็กน้อย เขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าก้องมีชื่ออีกชื่อว่าเคลวิน "I'll be there in a moment.Told him I'm not finish yet.”
   “Got it” พนักงานคนนั้นเดินจากไป วินปิดประตุห้องพลางหันกลับมามองกองกระเป๋าของก้องบนเตียง
   “ให้ตายสิ เจ้าบาริสต้า" วินร้อง "นายนี่ลึกลับเป็นบ้าเลย"
   วินเก็บของของก้องอีกสองสามอย่างสุดท้ายเข้าที่ก่อนจะรีบลงไปข้างล่างอย่างที่ก้องฝากบอกมา
….........

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
ที่นี่คงเป็นที่ที่ก้องมีความทรงจำที่ดีกับใครซักคน ที่หัวใจของก้องไม่เคยลืมกระมัง
แล้วก็เดาเอาว่า คงจะเป็นที่ที่หัวใจของวิน/ก้องไม่เคยลืมอีกเช่านกัน ในกาลต่อไป
แต่จะอย่างไรก็ตาม อยากบอกคนเขียนว่า เป็นเรื่องที่อ่านแล้วรู้สึกอบอุ่นในหัวใจมากจ้ะ
คนเขียนใช้ภาษาสื่อความรู้สึกได้ดีจริงๆ

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ที่ด้านล่างของ Lobby วินลงมาพบก้องกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่อายุดูไม่ห่างไปจากก้องมากนัก แต่การแต่งตัวดูภูมิฐานและดูมีเงินเอาเสียด้วย
   “อ้าว ใช่คนนั้นหรือเปล่า" เสียงเขาทักขึ้นเมื่อเหลือบตามาเห็นวิน
   “อื้อ" ก้องรับคำในลำคอเบาๆ พลางมองมาหาวิน และพยักหน้าเบาๆเพื่อเรียกให้เขาไปหา วินเดินไปในวงสนทนาด้วยความตกประหม่าเล็กๆ "คนนี้แหละ"
   วินพยักหน้าทักทายชายคนนั้นน้อยๆ
   “หวัดดีหวัดดี" ชายคนนั้นกล่าว "วินใช่ไหมล่ะ เพื่อนเคลวินอ่ะ"
   วินหัวเราะเบาพลางเหล่มองก้อง
   “จริงๆแล้วก็แค่เช่าบ้านอยู่ด้วยกันอ่ะคับ" วินตอบ "กับเคลวินอ่ะ"
   “โห นายนี่ตอบแบบตัดสัมพันธ์กันเลยนะ อุตส่าห์พามาเที่ยวที่ดีดี" ก้องหันไปบ่น
   “ไหนว่าจะไม่บ่นทีหลังไง" วินย้อน
   “อ่าๆ...ไม่ทะเลาะกะนายดีกว่า นี่จีโอ เพื่อนชั้นเอง" ก้องว่า
   “หวัดดีค้าบ" จีโอยิ้มกว้างทักทาย
   “เป็นหุ้นส่วนของโรงแรมที่นี่แล้วก็ร้านขนมหวานอีกร้านแถวๆนี้" ก้องอธิบาย "เป็นทั้งเพื่อน ทั้งพี่ แล้วก็เจ้านายชั้นด้วยน่ะที่จริง"
   “ไม่ขนาดนั้นหรอกคับ" จีโอตอบ "เราสองเคยช่วยเหลือกันมาเท่านั้นเอง"
   “ยินดีที่ได้รู้จักคับ" วินตอบ
   “เช่นกันคับ สนุกที่เมืองนี้ให้เต็มที่ไปเลยนะวิน" จีโอพูด "ส่วนนายก็ค่อยกลับมาที่นี่ตอนหกโมงเย็นก็ยังทันนะ กว่าเลาจ์จะเปิดน่ะ"
   “อ่าๆ ได้" ก้องตอบ
   “วิน เห็ว่านนายเทคคอร์สที่ Esmod ด้วยเหรอ" จีโอถาม
   “ใช่คับ" วินตอบ "แฟชั่นดีไซน์"
   “เจ๋งโคตร" จีโอร้อง ทำเอาวินตกใจเล็กๆ "เอางี้ ถ้าอยากมีร้านเป็นของตัวเองเมื่อไหร่ ก็บอกกันก็ได้นะ จะลงทุนให้"
   “โห...คงไม่ขนาดนั้นมั้งคับ" วินตอบ
   “หมอนี่มันยังไม่รู้อ่ะ ว่าจะไปไกลได้แค่ไหนน่ะ" ก้องตอบหักดิบ วินมองค้อนแว้บหนึ่ง
   “เห้ย ของแบบนี้มันเร่งรีบกันไม่ได้หรอก ไอ้ก้อง ชีวิตมันต้องคิดเยอะอยู่แล้ว" จีโอตอบ "ตอนนี้ไปเที่ยวเหอะ เดี๋ยวบ่ายสองก็มีตลาดงานศิลป์ด้วยแหนะ เดี๋ยวจะพลาดกัน ออกไปเหอะ"
   “อ่าได้ แล้วเจอกันเพื่อน" ก้องตบไหล่จีโอครู่หนึ่ง
   “แต่ฉันก็ว่าเหมือนจริงๆว่ะ" จีโอพูดกับก้อง ที่หันไปยิ้มและพยักหน้ารับ ก่อนจะพาวินออกจาก Lobby มาด้านนอกของโรงแรม
   “ฉันเช่าจักรยานไว้สองคัน นั่นไง มีคนเอามาให้เราแล้ว" ก้องชี้ไปยังที่จอดจักรยานที่อยู่ถัดไป "เดี๋ยวเราขี่ไปเที่ยวรอบๆเมืองกัน"
   “เมื่อกี้จีโอเค้าบอกว่าเหมือนจริงๆ....อะไรเหมือนอะไรเหรอ" วินถาม
   “ไม่มีอ่ะ" ก้องตอบทันที โดยไม่มองหน้าวิน
   หมอนี่ทำตัวลึกลับใส่เขาอีกแล้ว ตั้งแต่มาที่เมืองนี้ ก้องก็แทบจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนด้วยซ้ำ
   “ชื่อเคลวินเหรอนาย" วินถาม "ตลกว่ะ ทำไมชื่อไทยมันไม่เก๋รึไง"
   “เปล่า" ก้องตอบ "เคลวินเป็นชื่อฉันจริงๆ"
   “อะไรนะ" วินร้อง
   “ก็ชื่อจริงๆไง" ก้องหันมาหาวิน "นายไม่เข้าใจเหรอ"
   “เข้าใจก็ได้....แล้วจะดุทำไมเนี่ย" วินร้อง
   “ก็นายไม่ฟัง" ก้องว่า "ขี่เป็นใช่ป่ะ ไปกันได้แล้ว"
   ทั้งคู่พาจักรยานไปตามท้องถนนของสตราส์เบิร์ก อย่างไม่เร่งรีบ
   “เราจะไปไหนกันอ่ะนาย" วินร้องถาม
   “ย่านกลางเมืองที่โบสถ์ ถ้านายชอบสถาปัตยกรรม ที่นั่นก็สวยมาก แล้วก็มีของขายเยอะแยะ" ก้องตอบ
   วินพยักหน้ารับพลางขับตามไป
   ไม่กี่อึดใจต่อมาทั้งคู่ก็มาถึงย่านกลางเมือง ที่รายเล้อมไปด้วยบ้านไม้สไตล์ยุโรปที่ตั้งอยู่เรียงราย ผู้คนเดินไปมาพลุกพล่าน นักท่องเที่ยวก็เช่นกัน เดินตัดตรงไปยังโบสถ์ Notre Dame ที่อยู่กลางเมือง วินและก้องไม่สามารถขับจักรยานเข้าไปได้อีก จึงฝากไว้ที่ร้านขายของชำร่วยร้านหนึ่ง แล้วใช้วิธีเดินเท้าเข้าไปต่อ ร้านเกาแฟและร้านขายของมากมายที่แต่งขึ้นบริเวณชั้นล่างของบ้านไม้ ทำให้ดูน่ารักมากๆ วินถ่ายรูปทุกร้านเอาไว้อย่างสนใจ ขณะที่ก้องเดินเอามือซุกเสื้อหนาวมองไปรอบๆอย่างเย็นสบาย
   “ก้องดูนี่สิ มีรูปจากเมืองไทยด้วย" วินชี้ให้ดูร้านถ่ายรูปร้านหนึ่ง "ซื้อมะ.....เผื่อนายจะคิดถึงบ้าน"
   “นายอยากได้ป่ะล่ะ ฉันจะซื้อให้ แต่ถามฉัน ฉันไม่อยากได้อ่ะ" ก้องว่า "ไม่ตลกเหรอ ซื้อรูปประเทศตัวเองจากประเทศอื่น"
   “ก็เพราะมันตลกดีอ่ะสิ" วินว่า "นายไม่ตลกเหรอ"
   ก้องส่ายหน้าพลางเดินนำหน้าออกไปทันที วินยักไหล่หน่ายๆพลางเดินตาม ไม่นานนักทั้งคู่ก็มาถึงโบสถ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า
   “โบสถ์นอร์ทเทอร์ ดามน่ะ" ก้องว่า "ที่ปารีสก็มี แต่ที่นี่ก็มีเหมือนกัน เป็นสไตล์โรมานิกเหมือนกัน”
   “โรมานิก ใช่ที่ไหนเล่า ทำเป็นรู้ดี มันออกจะ...” วินว่า
   “โกธิค...” ก้องต่อคำ “ที่นี่เคยโดนไฟไหม้ เค้าก็เลยบูรณะใหม่น่ะ”
   “อ่อ” วินว่าพลางเริ่มลงมือถ่ายรูปแก้อาย
   “มีหอระฆังอยู่ด้านบนอ่ะ จะขึ้นไปไหม” ก้องถาม
   “ไม่อ่ะ” วินตอบแม้ว่าเมือยังกดชัตเตอร์อยู่ “คนเยอะจะตาย ขึ้นไปก็อึดอัด.....ไปกันต่อเหอะ”
   “ถ้านายไม่ซื้ออะไร ก็เดี๋ยวฉันจะพาไปกินข้าว ที่ร้านตรงมุมโน้นนะ แล้วเดี๋ยวเราก็กลับกันได้แล้วล่ะ” ก้องว่า
   “เห้ย จะรีบกลับไปไหน” วินว่า “ฉันยังไม่ได้ไปดูตลาดศิลปะที่จีโอเพื่อนนายบอกไว้เลย”
   “ฉันกะว่าจะพานายไปพรุ่งนี้แทนอ่ะ” ก้องว่า “ตลาดนั่นมันอยู่อีกฝากนึงของเมือง”
   “อ้าวเหรอ” วินร้อง “จริงสิ นายต้องไปเป็นบาริสต้าด้วยนี่คืนนี้”
   “ใช่ แต่พอเลาจ์ปิด เราค่อยมาที่นี่กันอีกรอบ” ก้องตอบ
   “มาทำไมอีกอ่ะ” วินถาม
   “เอาเหอะน่า ไปหาไรกินกันเถอะ” ก้องพูดพลางเดินนำไป
   “โอเคค้าบ คุณไกด์” วินร้อง
   วินาทีนั้น ก้องหันหน้ากลับมาหาวินทันที พลางจ้องมองวินตาเขม็ง
   “อ้าวเห้ย เป็นไรไปวะ" วินร้อง "ทำตาหน้ากลัวจัง"
   “นายเรียกชั้นว่าอะไรนะเมื่อกี้" ก้องถาม
   “เรียกว่าอะไร" วินถาม "อ๋อก็ไกด์ไง ไกด์อ่ะ....คนนำเที่ยวอ่ะ แปลกตรงไหนวะ"
   “ไม่มีอะไรอ่ะ" ก้องว่า "ตามมาได้แล้ว"
   วินเอียงคอเล็กน้อย รู้สึกรำคาญในบุคลิกของเจ้าบาริสต้าคนนี้จริงๆ ถ้าจะแปลกได้ถึงขนาดนี้ล่ะก็ โชคดีที่เขาคุ้นชินมามากพอแล้วกับสามเดือนที่ผ่านมา
   ยอมรับว่าเสต็กมื้อกลางวันอร่อยไม่ใช่เล่นเลยสำหรับวิน ซึ่งมันก็แน่นอนอยู่แล้วเพราะก้องต้องรู้เรื่องอาหารดีเลิศ และมันก็ไม่เคยผิดหวัง วินทานมื้อกลางวันอย่างหิวโซ เพราะตั้งแต่ออกเดินทางก็มีเพียงช็อคโกแลตร้อนๆจิบแก้หนาวเท่านั้น นี่นับเป็นมื้อแรกของการเดินทางมาสตราส์เบิร์กนี้
   “นับถือนายเรื่องอาหารจริงว่ะก้อง" วินพูดขณะเช็ดปากและดื่มน้ำ "ขาดลอยจริง"
   “ขอบใจ" ก้องว่าขณะตักซุปที่เหลือก้นถ้วยทาน "ที่นี่ฉันว่ารสชาติโอเค แล้วราคาก็ไม่แพง"
   “ไม่แพง จานละ 800 ยูโรเนี่ยนะ" วินร้อง
   “ก็ไม่แพง ด้วยรสชาติเท่านี้" ก้องร้อง "ของเค้าดี บริการก็ดี อาหารรสชาติเยี่ยม เค้าก็ควรได้ราคาที่เหมาะสมไม่ใช่เหรอ 800 นี่ถือว่าน้อยไปด้วยซ้ำ กับระดับรสชาติเท่านี้"
   “อืมมม ก็จริงอ่ะ" วินว่า "ว่าแต่ นายจะเลี้ยงฉันแบบนี้ไปทุกมื้อจริงๆอ่ะเหรอ นายไหวเหรอวะก้องถามจริง"
   “ไหวดิ" ก้องว่า "ไม่เชื่อใจกันเหรอ ฉันเคยดูแลนายมามากกว่านี้ หนึ่งเดือนเต็มๆเลยนะ"
   “แต่ไม่ใช่ราคาเท่านี้ป่ะวะ" วินร้อง
   “ต้มยำกุ้งหม้อแรกที่ฉันทำให้นาย ก็ไม่ได้ถูกนะ" ก้องตอบพลางอมยิ้ม "เชื่อใจฉันเถอะน่า บอกว่าเลี้ยงได้ ก็คือเลี้ยงได้ดิ"
   “แต่ฉันไม่สบายใจ" วินว่าพลางมองออกไปนอกร้าน หอระฆังสูงตะหง่านอยู่ตรงหน้า "ฉันเองก็ไม่ใช่คนไม่มีเงิน ต้องให้นายมาเลี้ยงมาดูแลกันแบบนี้"
   “ยังไม่เลิกคิดมากเรื่องนี้อีกเหรอนาย" ก้องว่า "คำตอบง่ายๆก็คือ ตอนนี้ เวลานี้ นายไม่ได้มีเหมือนที่เมืองไทย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ฉันก็รับหน้าที่ดูแลนายมาอย่างน้อยก็สามเดือนแล้ว นายทิ้งคราบคุณหนูของนายแบบเมื่อก่อนไปเหอะ ที่ผ่านมานี่นายก็ดีขึ้นเยอะ....ชั้นชอบนายที่นายเป็นแบบนี้มากกว่าด้วยซ้ำน่ะ"
   วินหันมามองก้องทันที พลางยิ้มน้อยๆ
   “งั้นเหรอ" วินว่า
   “อ่าหะ" ก้องหลบตาลงมองจานที่ว่างเปล่าของตัวเอง วินมองก้องอยู่อย่างนั้น
   “คืนนี้ให้ฉันเป็นลูกมือนายที่เลาจ์ได้ไหมล่ะ" วินถามขึ้น
   ก้องเงยหน้าขึ้น
   “อะไรนะ" ก้องถามกลับอย่างไม่เชื่อหู
   “ก็.....ถือเป็นการตอบแทนที่นายดูแลชั้นไง อย่างน้อยก็ตลอดวันนี้" วินว่า
   “แล้วถ้านายลืมใส่น้ำตาลขึ้นมาล่ะ" ก้องถามตอบ
   “เชื่อมือเหอะน่า" วินตอบ "ให้โอกาสวินคนใหม่ ได้ทำอะไรดีดีให้คนอื่นบ้างไม่ได้หรือไงเล่า.....นายเป็นคนบอกฉันเอง ว่าให้หัดเติมความหวานให้ชีวิตบ้าง ฉันก็คิดว่าเท่าที่ผ่านมาช่วงนี้ นายก็ทำให้ฉันหวานขึ้นจนจะเลี่ยนอยู่แล้วเจ้าบาริสต้า"
   “อ่านะ" ก้องยักไหล่เบาๆ "งั้นก็โอเค"
   “จริงๆนะ" วินว่า
   “จริง" ก้องว่า "อย่าไปป้ำๆเป๋อก็แล้วกัน"
   “นี่นาย.....”
   เสียงทะเลาะอันอบอุ่นดังก้องไปทั่วย่านกลางเมืองสตราส์เบิร์ก แม้ว่าสายลมที่หนาวเย็นจะพัดผ่านไปแล้ว ใบไม้ที่กำลังผลิออก ก็ยังหนาวอยู่ดี
   หรืออาจเป็นเพราะว่าวิน รู้สึกรักความอบอุ่นแบบนี้เข้าซะแล้ว
   จึงรู้สึกว่าอากาศรอบตัวก็ยังหนาวอยู่เหมือนเดิม
…........
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-10-2012 14:35:07 โดย M2M_Jill »

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ตอนที่ 12 Beside

   ก้องทำหน้าที่บาริสต้าที่เลาทจ์ของเมอร์เคียวในช่วงหกโมงครึ่งถึงสองทุ่มครึ่ง วินเองก็ตามสัยญาที่ให้ไว้ ในการเป็นลูกมือให้กับก้องอยู่ด้านหลังของบาร์ วินอยู่ในชุดบาริสต้าอีกคน เป็นชุดบาริสต่าแบบเต็มตัว ไม่เหมือนแบบที่ร้านเกล็ดหิมะ ที่วินจะใส่ชุดธรรมดาและมีผ้ากันเปื้อนทับ แต่ที่นี่วินสวมเสื้อสีขาวกางเกงแสล็คสีดำ คาดผ้าสีดำเต็มยศเช่นเกียวกับก้อง ทั้งคู่ใช้เวลาร่วมกันทำงานอย่างมีความสุข และวินก็ได้แสดงฝีมือการเรียนชงกาแฟกับก้องมาตลอดสามเดือนที่ผ่านมาได้อย่างน่าประทับใจ
   ก้องเฝ้ามองทุกการกระทำของวินอย่างตั้งใจที่ด้านหลังของบาร์ เป็นความรู้สึกที่ประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก เช่นเดียวกับจีโอ ที่แวะมาดูทั้งคู่ทำงานตอนช่วงสองทุ่มด้วย เจ้าตัวแสดงความสงสัยใหญ่ ว่าทำไมวินถึงสามารถเป็นบาริสต้าได้อีกคน
   ล่วงเลยเวลาไปเกือบถึงสามทุ่มกว่าลูกค้ากลุ่มสุดท้ายจะออกจากเลาทจ์ หลังจากนั้นเป็นคิวของบาร์เทนเดอร์และคลับเล็กๆ บาริสต้าสองคนจึงสละตำแหน่งให้กับพนักงานโรงแรมตัวจริง วินทิ้งตัวลงที่เก้าอี้หลังจากหมดหน้าที่แล้ว
   “โอยยยย เหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย" วินว่า "นักท่องเที่ยวเยอะใช่เล่นเลยก้อง ฉันงี้สับเปลี่ยนภาษาแทบไม่ทัน"
   “อ่านะ" ก้องตอบ "นายก็ทำได้ไม่เลวเหมือนกันนี่วิน ส่วนผสมถูกต้องทุกแก้วเหมือนกัน"
   “โห นี่นายนั่งดูฉันด้วยเหรอ" วินถาม
   “อื้อ" ก้องรับคำในคอเบา "ลูกค้าหลายคนเห็นเค้าชอบลายที่นายวาดให้ไปอ่ะ"
   “อ้อ" วินว่า "ก็โชคดีไปที่ฉันวาดรูปเก่งไง นายก็เหมือนกันแหละเจอคนรู้จักหลายคนด้วยไม่ใช่เหรอ"
   “อืม ก็นะ" ก้องตอบ ขณะที่วินยื่นกหน้ามาใกล้
   “เห้ยถามจริง ชื่อเคลวินจริงอ่ะ" วินถาม
   “อืม" ก้องตอบเขินพลางเกาจมูก และอมยิ้ม
   “อั้ยย่ะ" วินว่า "นายนี่มีอะไรๆแปลกๆอยู่เบื้องหลังเหรอเนี่ย อยู่กันมาตั้งนาน ไม่บอกกันซักคำ ตั้งแต่มาที่นี่นะ ชั้นเจอเรื่องเหวอๆเกี่ยวกับนายตั้งเยอะ"
   “ก็ไม่รู้จะบอกไปทำไมอ่ะ" ก้องว่า "ฉันเองก็ไม่นึกว่านายจะอยู่กับฉันมาได้ด้วยดี แล้วก้ได้พาที่นี่ด้วยกัน"
   วินพยักหน้ารับ พลางมองไปรอบๆ
   “แล้ว....ที่นี่มันเป็นที่พิเศษของนายยังไงอ่ะ" วินถาม "นายเคยอยู่ที่นั่นงั้นเหรอ"
   “ก็....ไม่เชิงอ่ะ" ก้องว่า "ไม่รู้จะเล่ายังไง"
   “เออ เออ ไม่อยากเล่าก็ไม่ต้องเล่า" วินว่า "ฉันจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าละ"
   “อืม เสร็จแล้วก็ลงมาหาฉันที่ Lobby นะ" ก้องว่า "เอากล้องของนายลงมาด้วย"
   “ได้คร้าบบบบ" วินรับคำล้อเลียน
   “แล้วก็....ขอบใจที่จัดเสื้อผ้าชั้นให้น่ะ" ก้องพูด วินยักคิ้วให้เป็นคำตอบ ก่อนจะจ้ำอ้าวออกไปยัง Lobby ซึ่งวินก็พบกับจีโอที่อยู่บริเวณเคาท์เตอร์พอดี
   “อ้าววิน" จีโอร้องทัก
   “อ้าวจีโอ หวัดดีคับ" วินร้องทัก
   “โห วันนี้ขอบคุณมากที่มาช่วย" จีโอร้องบอก
   “อ๋อไม่เป็นไรหรอกครับ" วินว่า "ขอบใจจีโอมากเหมือนกันที่เอื้อเฟื้อที่พักให้พวกเราในการเดินทางนี้น่ะครับ"
   “เห้ย เรื่องนั้นสบายมากอยู่แล้ว" จีโอบอก "ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณคุณวินมากกว่า"
   “เรื่องอะไรเหรอครับ" วินถามกลับ
   “ก็ที่คุณพาเคลวินกลับมาสตราส์เบิร์กได้น่ะ" จีโอตอบ "พวกเราที่นี่หลายคนดีใจมากที่เจอเค้า"
   “อ๋อ เค้าก็บอกผมเหมือนกันว่าไม่ได้กลับมาที่นี่ก็ปีนึงแล้ว" วินตอบ
   “ปีครึ่งด้วยซ้ำวิน" จีโอตอบ "ตั้งแต่....”
   “คุยอะไรกันอยู่เหรอ" ก้องเดินตามออกมาจากเลาทจ์ ตัดบทสนทนาระหว่างวินกับจีโออย่างจงใจ
   “นี่นาย หัดมีมารยาทบ้างสิวะคับ คุณจีโอเค้ากำลังคุยกับฉันอยู่เนี่ย" วินว่า จีโอหัวเราะเบาๆ
   “นายต่างหากที่หัดมีมารยาท ฉันรอนายเปลี่ยนเสื้ออยู่นะ จะมายืนคุยเรื่องไร้สาระไปเพื่อ" ก่ช้องว่าเสียงแข็ง
   “อะไรของนาย ไม่เข้าใจว่ะ" วินส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปยังชั้นบนของโรงแรม เมื่อพ้นสายตาของก้องและจีโอแล้ว วินตัดสินใจแอบฟังต่อ
   บางทีเขาก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าเรื่องลึกลับของหมอนี่มันจะมีอะไรกันนักหนา
   “.....อย่าเล่าให้เค้าฟังจีโอ" เสียงของก้องพูดขึ้น
   “นี่นายไม่ได้บอกเค้าหรอกเหรอเนี่ย" จีโอว่า
   “ไม่ได้จะไม่บอก แต่หาโอกาสบอกไม่ได้" ก้องพูดต่อ "อย่าให้เค้าได้ยินเรื่องนี้จากปากคนอื่น มันจะทำให้ฉันดูแย่ในสายตาเค้า"
   “นายเป็นห่วงความรู้สึกเด็กคนนี้นี่เองแคลวิน" จีโอถามอีก
   “เขาเป็นคนที่ฉันดูแลมาอย่างน้อยก็ตลอดเวลาที่เขามาฝรั่งเศส" ก้องว่า "มันเป็นความรับผิดชอบของฉันที่ต้องดูแลเค้า"
   วินยิ้มน้อยๆกับประโยคนั้นของก้อง....
   “แต่ฉันว่านายเห็นวินเป็นตัวแทนของเคลลี่มากกว่า" จีโอพูด
   “ช่างมันเหอะ นายไม่เข้าใจหรอก" ก้องพูดทิ้งท้าย ก่อจะเงียบเสียงไป
   วินรีบกดลิฟท์ทันที
   เคลลี่....
   ภาพของเด็กผู้ชายในรูปถ่ายของก้องแว้บเข้ามาในสมอง
   ต้องใช่แน่ๆ.....
   วินคิดได้แล้วว่าที่จริงแล้ว ก้องเองก็มีเรื่องโน่นนี่นั่น ที่เค้าควรจะรู้มากกว่านี้อยู่เหมือนกัน ถ้าก้องอยากจะดูแลเค้า และเห็นเค้าเป็นความรับผิดชอบของตัวเอง เขาก็ควรจะได้รู้จักก้องมากกว่านี้ มันไม่ยุติธรรมสำหรับเขา
   เปิดประตูห้องและเริ่มต้นเปลี่ยนเสื้อผ้า ประตูห้องก็เปิดออกตาม เป็นก้องนั่นเอง
   “ทำไมเพิ่งเปล่ี่ยนเสื้อผ้าอ่ะ ขึ้นมาตั้งนาน" ก้องถาม
   “ก็....” วินร้องแก้เก้อ ขณะที่ตัวเองยังอยู่ในสภาพสวมเสื้อเพียงอย่างเดียว โดยที่ส่วนล่างมีแค่กางเกงในเท่านั้น
   “อ้อ....เข้าใจและ" ก้องว่า พลางปิดประตูห้องกลับไปตามเดิม
   “เห้ย เจ้าบาริสต้า ไม่ใช่อย่างนั้นนะโว้ย" วินร้องทันที
   “เร็วๆเข้าเหอะน่า" ก้องตะโกนจากนอกห้องมา
   วินส่ายหน้ากับตัวเองเล็กน้อย พลางคิดเรื่องสนุกๆให้กับตัวเอง
   คอยดูเหอะเจ้าบาริสต้า ความลับของนาย ฉันจะต้องรู้ให้หมดทุกเรื่องให้ได้เลย....
…...

   

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด