ร้ายที่ 16 ผ่านการสอบมาได้สามวันผมสะกดคำว่าชิบหายอยู่ในหัวมากกว่าร้อยครั้งแล้ว ผมเคยเป็นคนที่ไม่ใส่ใจอะไรพวกนี้อยู่แล้ว แต่การที่ไปนั่งกานั่งเติมมั่วในห้องสอบนี่ทำให้ผมรู้เลยว่าผมอาจจะไม่จบพร้อมเพื่อน คือไอ้ไม่ใส่ใจน่ะสำหรับผมมันก็เท่อยู่หรอก(?) แต่พอเอาเข้าจริงๆถ้าเรียนไม่จบนี่ก็น่าอายจนอยากมุดแผ่นดินหนีเหมือนกันนะ
เวลาที่ผมเซ็งและก็กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะ ผมจะฟุบหน้าลง ไม่สนใจสิ่งมีชีวิตอื่นใดบนโลกนอกจากเรื่องเซ็งในหัวของตัวเอง เฉกเช่นวันนี้ที่ไม่มีการสอบแต่เจือกโดนไอ้เชี่ยธัญบังคับให้มานั่งฟังมันบ่นเรื่องการวิจัยธุรกิจเชี่ยอะไรก็ไม่รู้ แน่นอนว่าไอ้ธีก็ต้องตกเป็นเหยี่อของไอ้ธัญด้วย วิชานี้สอบพรุ่งนี้ครับ และก็เป็นวิชาสุดท้ายของเทอมนี้ด้วย โอ้ว สววรรค์
“นาย . .ฟังอยู่รึเปล่า” ธัญถาม
“อืม” ตอบไปงั้น แต่ตาน่ะจะหลับอยู่แล้ว เบื่อวงจรเชี่ยๆนี่จัง อยากไปเที่ยวชะมัด
“เยอะจังวะ จำไม่ได้”
“ไม่ยอมตั้งใจเรียนเองนี่”
“เออ พ่อเกียรตินิยม พ่อสามจุดเจ็ด . .” ธีมันกัดแฝดตัวเอง “กูก็เป็นแฝดมึงนะ ทำไมกูไม่เก่งเหมือนมึงล่ะ”
“มึงโง่” คำตอบของไอ้ธัญมันถูกป่ะนั่น . . แต่ก็มีส่วนจริงบ้างอะไรบ้างอยู่นะ
แล้วไอ้ธัญก็เพ้อเจ้อละเมอละไม(?)เป็นภาษาธุรกิจต่อไป ทิ้งให้ไอ้ธีเกาหัว ส่วนผมก็นั่งฟุบฟังบ้างไม่ฟังบ้างแต่ส่วนใหญ่คือไม่ฟังน่าจะมากกว่า
ผมลืมตาขึ้น เป็นจังหวะเดียวกันกับที่โต๊ะว่างๆมีคนเดินเข้ามานั่งสองสามคน ให้ตาย . . ไอ้มังกร ไอ้ไนท์ และก็ไอ้แอร์ในเสื้อช้อปสีน้ำเงิน พอพวกมันหย่อนก้นนั่งลงโต๊ะข้างๆปุ๊บ มันก็หยิบหนังสือของใครของมันขึ้นมาอ่านปั๊บ เว้นอยู่คนคือไอ้มังกร มันหยิบกระดานวาดรูปขึ้นมาแล้วก็ลงมือร่างภาพอย่างรวดเร็ว ดูท่าทางเครียดๆและก็ลนๆชอบกลทั้งสามคนเลย
ประชาชีในห้องสมุดต่างพากันแตกฮือรีบลุกหนีไปนั่งที่อื่น ทั้งไอ้มังกรทั้งผมอยู่ใกล้กันไม่รู้จะมีเรื่องกันเมื่อไหร่(มาห้องสมุดทีไรเป็นอันต้องได้เรื่องทุกทีสิน่า) แต่คราวนี้มาแปลก ผมเฉย ส่วนไอ้มังกรก็วาดรูปของมันไป อยู่ในช่วงสอบของปีสามปริญญาตรีถ้าไม่จริงจังก็ไม่มีทางเรียนจบอ่ะนะ ต่างฝ่ายต่างก็เลยมีสมาธิอยู่แต่ในเรื่องการรับผิดชอบของตัวเอง
แต่ผมน่ะเบื่อที่จะฟังไอ้เชี่ยธัญเต็มทน ก็เลยเลิกฟุบโต๊ะและก็เหลือบมองดูการวาดรูปของไอ้มังกรแทน ท่านั่งแม่งวางอำนาจชิบหาย พาดขาชันเข่าข้างเดียวไปที่เก้าอี้อีกตัว ส่วนกระดานทันที่จะเอามาวางบนโต๊ะ มันเสือกวางไว้บนขาที่ชันขึ้นมาของมัน
. . ก็เอ่อ . . เท่ดีอยู่หรอก . . มั้งนะ ผมไม่ได้เอาความรู้สึกของตัวเองมาตัดสินนะครับ ผมดูจากสายตาของสาวๆที่มองมาที่โต๊ะของพวกมันต่างหาก จะสอบอยู่แล้วแต่แม่เจ้าประคุณทั้งหลายก็ยังยืนเพ้อยืนซุบซิบยืนถ่ายรูปไอ้มังกรแชะๆๆอย่างกับมันเป็นเซเลป ซึ่งมันก็เป็นอยู่แล้วป่ะวะ ?
“อ้าว เจ้านาย หวัดดี” ไนท์เห็นผมเป็นคนแรก (มันเงยหน้าขึ้นมาเป็นครั้งแรกในรอบสิบนาที) โบกมือทักผม ยิ้ม แล้วก็อ่านต่อ
“หวัดดีครับ” ไอ้แอร์เห็นผมเป็นคนที่สอง ทำท่าเหมือนไอ้ไนท์ตามลำดับเป๊ะๆ ผมไม่ได้ทั้งยิ้มตอบและก็ยกมือตอบ แต่ทำหน้างงใส่
ส่วนคนสุดท้าย ไอ้ฝรั่งหัวดำ มันหันมา มองอยู่สองวิ แล้วมันก็หันไปทำงานต่อด้วยใบหน้าเฉยเมยที่สุดในสากลโลกนี้แล้ว . . คนอื่นมองมันว่ามันเป็นคนเย็นชา อีกคนอาจมองมันว่าอาจจะเป็นคนเคร่งขรึมและสุขุม ส่วนผมผมมองว่ามันกวนตีน = =
“ลุกไปที่อื่นเหอะ” ธัญเสนอขึ้นมา “ไปสตาบั๊กก็ได้ . . นาย มึงหิวน้ำนี่”
ยังไม่ทันที่ผมจะตอบอะไร ขวดน้ำแร่ที่ยังไม่ได้แกะก็ถูกส่งข้ามโต๊ะให้มาวางตรงหน้าผม ไอ้คนส่งก็คือคนที่ถือพู่กันอยู่อีกมือนั่นแหละ ลูกน้องมันยิ้มขำ ส่วนผม . . หยิบน้ำนั่นขึ้นมา และก็แกะกิน (กูหิวจริงๆนี่)
ธัญจิ๊ปากเล็กๆแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อ มันหันไปสนใจบทเรียนตรงหน้าอีกครั้ง ส่วนผมก็ดืมน้ำแร่นั่นจนเกือบจะหมด
“มึงหิวข้าวด้วยใช่มั้ย” ธัญโพล่งขึ้นมา
“หา?” กูหิวข้าวด้วยเหรอ กูแค่บ่นว่ากูหิวน้ำนะเว้ย . .
อะไรไม่รู้ถูกโยนผ่านหน้าผมไป แซนวิชทูน่า!!!! น่าอร่อยชิบหายเลย ผมมองคนที่โยนมา ซึ่งตอนนี้แม่งหันกลับไปสนใจกระดานวาดรูปของมันต่อแล้ว ผมเลยขยับหัวเข้าไปใกล้ ที่ซึ่งไอ้มังกรก็นั่งเหมือนเกือบจะหันหลังให้
“มึงไม่แดกรึไง”
“มึงแดกเหอะ” มันตอบทั้งๆที่มันไม่ได้หันกลับมามอง
“งั้นกูไม่เกรงใจนะ”
“เออ”
ท่าทางจะยุ่งเกินกว่าที่จะมาต่อล้อต่อเถียงกับผมได้ ลูกน้องไอ้มังกรยิ้มขำลูกเดียว ส่วนลูกน้องผมมันทำหน้างงกันใหญ่คงไม่รู้ว่าผมกับไอ้มังกรไปสนิทกันตอนไหน(คงจะสงสัยตั้งแต่เกิดเรื่องไอ้วายุจนต้องเข้าโรงพยาบาลพร้อมกันนั่นแล้ว) ซึ่งอยากจะบอกมันเหลือเกินว่าไม่ได้สนิทหรอก สถานการณ์มันบังคับทั้งนั้น
“เจ้านาย กูกับธีจะไปกินข้าวละนะ” ธัญชักสีหน้านิดๆ เหมือนมันงอนผมยังไงยังงั้นนั่นแหละ คือเวลานี้มันเวลาเที่ยงกว่าเกือบจะบ่ายโมงเข้าให้แล้วครับ
ผมยังไม่ทันได้ตอบอะไร ไอ้ธัญก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินหนีไปเลย ไอ้ธีงงจัดเดินตามแฝดของมันไป หลังจากนั้นไม่นานไนท์กับแอร์ก็สมัครสมานสามัคคีพร้อมใจกันลุกขึ้นยืนแล้วไปนั่งที่อื่น
ทิ้งให้ผมอยู่กับไอ้มังกร สองคน สองโต๊ะ . .
“ทำงานเหรอวะ” ผมหันไปถาม
“อืม”
“ดูรีบๆ ลืมทำส่งรึไง”
“. . ใช่”
“ดินพอกหางหมู”
มันหันมาหาผมด้วยสีหน้าที่กึ่งรำคาญกึ่งอยากด่า ผมยักไหล่ ก็มันจริงนี่นา . . มังกรเหลือบมองดูหนังสือผม
“สอบพรุ่งนี้เหรอ”
“อืม”
“กำลังติวกับเพื่อน?”
“. . ใช่”
“โง่ อ่านเองไม่รู้เรื่อง”
“เชี่ยนี่ . . เค้าเรียกว่าช่วยกันติวช่วยกันเรียนเฟ้ย คณะมึงน่ะคงช่วยกันเรียนได้แต่ช่วยกันวาดไม่ได้เลยอิจฉาใช่มะ”
นี่ผมกำลังเถียงอะไรกับมันอยู่เนี่ย โคตรไร้สาระเลย . . มังกรไม่ได้พูดอะไรต่อ มันหันไปสนใจงานวาดภาพของมันแทน ทิ้งให้ผมต้องมาง่วนกับการแกะแซนวิชทูน่าที่โคตรน่าอร่อยนั่น จะว่าไปผมจะมานั่งอยู่กับมันสองคนทำไมกัน ผมรีบเคี้ยวตุ้ยๆยัดขนมปังเข้าปากให้ได้เร็วที่สุดและมากที่สุดก่อนที่จะหอบสมบัติของตัวเองแล้วลุกขึ้นยืน
การกระทำของผมทำให้ไอ้มังกรส่งเสียงถามทันที “จะไปไหน”
“ไปนั่งที่อื่นน่ะสิ” หรือไม่ก็กลับคอนโดไปหาหลับหานอน สอบพรุ่งนี้ก็มั่วแม่งเลย ตามสไตล์คนที่(มีแวว)จะเรียนไม่จบอย่างผม
“นั่งตรงนี้” มังกรพูดด้วยเสียงเย็นชาพร้อมกับสายตาที่ฆ่าได้แม้กระทั่งคนที่โหดที่สุดในภพนี้แล้วอย่างเช่นผม(?) ผมมองมันด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจ ประมาณว่าจะให้กูนั่งทำไม แต่มันก็ส่งสายตามาเหมือนกันว่า กูไม่ตอบมึงหรอก ผมก็เลยต้องนั่งลงตามเดิมและก็ทำหน้าเซ็งแทน
มันเริ่มสั่งผมได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ? “อ่านหนังสือสิ” ยังไม่ทันไรก็สั่งอีกแล้ว ด้วยน้ำเสียงที่นิ่งและก็เย็นชาโคตรตามแบบฉบับของมันนั่นแหละ
“ขี้เกียจ”
“อ่าน”
“ขี้เกียจโว้ย”
“. .” มันคงจะเลิกราไปเองล่ะมั้งเพราะเห็นว่าผมไม่ค่อยสนใจเรื่องอะไรประเภทนี้อยู่แล้ว ผมแอบภาคภูมิใจกับชัยชนะนี้นิดๆ จนกระทั่งผมเห็นร่างควายๆของไอ้มังกรจุมปุกลงที่นั่งตรงกันข้าม
“อะไร” ถามด้วยความงง นั่งคนละโต๊ะก็ดีอยู่แล้ว
“อ่านหนังสือซะ” มันกอดอกแล้วก็ส่งสายตากึ่งบังคับกึ่งดุมาใส่ผม คิดว่าจะได้ผลเหรอ
“ไม่ โว้ย” ตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ
มือของมันคว้าหมับเข้าที่มือของผมอย่างรวดเร็วจนผมตั้งตัวไม่ทัน
“อะไรวะ!”
“จะอ่านได้ยัง”
“เหี้ยอะไรของมึงเนี่ย!”
“มองไปรอบๆสิ” ผมมองไปรอบๆตามที่ไปมังกรบอก เห็นพวกนักศึกษามองมาอย่างตกตะลึง บ้างก็ซุบซิบ บ้างก็กรี๊ดกร๊าด ทำท่าเหมือนผมกับไอ้มังกรเป็นแรร์ไอเทมที่หาดูได้ยากยังไงยังงั้น
“ทะ ทำไมวะ” บอกตรงๆว่าอึดอัดกับสิ่งเหล่านั้น แต่อึดอัดเพราะทำอะไรไม่ถูกกับคนตรงหน้ามากกว่า
“ไม่อายเหรอ”
“อายเหี้ยอะไร”
แล้วมังกรก็คว้าหมับเข้าอีกที่ข้อมืออีกข้อของผมจนตอนนี้ผมโดนมันจับทั้งสองมืออย่างแนบแน่นบนโต๊ะอย่างโคตรสวีทวี๊ดวิ้ว อันที่จริงผมยอมรับว่าผมอายตั้งแต่ที่มันจับมือผมครั้งแรกแล้วล่ะ
“ปล่อย” กระทืบเข้าอย่างจังโดยใช้เท้าเพราะมือถูกเกาะกุมไว้เสียแน่น แต่ . . เจือกไม่โดน โดนมันเกี่ยวขาเอาไว้ทั้งสองข้างอีก ขยับไม่ได้เลย เล่นเหี้ยอะไรกับกูเนี่ยมังกร!!!!!
“ทีนี้ . . จะอ่านหนังสือได้รึยัง”
“เออก็ได้!!!!”
พอผมพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชันแล้ว ไอ้มังกรก็รีบปล่อยมือออกมาจากมือผมราวกับว่ามือผมมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านแล้วก็เกิดช็อตขึ้นมากะทันหันซะอย่างนั้น มันทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ลอยหน้าลอยตาหยิบกระดานวาดรูปของมันขึ้นมาวาดรูปต่อ
“อย่ามาเนียน” ผมแค่นเสียงขึ้นมาอย่างเหลืออด
“อะไร”
“เอาขายาวๆของมึงออกไปจากขากูด้วย”
มันทำเป็นไม่ได้ยิน . . แม่ง โคตรกวนตีนเลย
สองร้ายในหนึ่งรัก *
ทำไมงานแม่งเยอะอย่างงี้วะเนี่ย
คิดแล้วก็อิจฉาน้องชายผมชะมัด เชี่ยแม่งไม่ต้องซีเรียสอะไรเล้ยยยย มีแต่เรียนกับเล่นก็เป็นพอ ส่วนผมน่ะเหรอต้องรับผิดชอบเกือบจะทุกอย่างที่ครอบครัวกิตติเกษมของผมครอบครอง ซึ่งมันก็เป็นทรัพย์สินในจำนวนที่ไม่ใช่น้อยๆ
“คุณจิ๊บ ผมขอพักนะ หนึ่งชั่วโมงหลังจากนี้รับสายแทนผมด้วย” ผมสั่งเลขาคนงามหุ่นโคตรเอกซ์ไปด้วยเสียงเนือยๆ ซึ่งเธอก็รับคำและก็เดินนวยนาดออกจากห้องไป พอพ้นสายตาของเธอ ผมก็สลบคว่ำหน้าลงกับโต๊ะอย่างอ่อนระโหยโรยแรง(ท่าเหมือนน้องไม่มีผิด)
แฟ้มที่ผมนอนทับอยู่เป็นข้อมูลเกี่ยวกับบริษัททั้งหลายแหล่ที่ผมต้องบริหาร แม่งแข็งโป๊กซะจนผมฟุบหน้าไม่สบาย ผมเลยเงยหน้าขึ้นและก็แหวกแม่งออกไปให้หมดอย่างรำคาญ จนกระทั่งเจอแฟ้มล่าสุดที่คนของผมส่งมาให้ แฟ้มไอ้เจ้านาย บอกตรงๆว่าแฟ้มของมันผมต้องซื้อลิ้นชักขนาดย่อมมาเก็บเลยทีเดียวเพราะหนาซะยิ่งกว่าของบริษัทไหนๆเสียอีก
ว่าแต่ . . ผมยังไม่ได้เปิดแฟ้มนี้เลยนี่นา
ไม่รู้ว่าเปิดแล้วจะเซ็งและก็เหนื่อยมากขึ้นรึเปล่า วีรกรรมของไอ้เจ้านายแต่ละอย่างมันชวนปวดหัวทั้งนั้น ผมเปิดมันออกมาดู ข้างในเป็นรูปเซ็ทล่าสุดที่คนของผมถ่ายมากับรายละเอียดเป็นโน้ตสั้นๆที่อ่านแล้วพอจับใจความได้ คนของผมมันมีอยู่ทั่วทุกสารทิศที่ไอ้เจ้านายมันอยู่นั่นแหละครับ
วันที่ 14/10/XX ก่อน JN สอบไฟนอลวันสุดท้าย เจเอ็นคือเจ้านายนี่แหละครับเป็นโค้ดที่คนของผมกับผมใช้สื่อสารกัน(แม่งเดายากมาก ให้ตายเหอะ) ผมเปิดดูรูปที่คนของผมส่งมา ซึ่งแรกๆก็ไม่มีอะไร ไอ้แฝดมารับน้องชายผมที่คอนโด ท่าทางมันทั้งหัวเสียทั้งงัวเงีย แล้วหลังจากนั้นก็เป็นรูปที่อยู่ในห้องสมุด ซึ่งก็มีแฝดธีธัญประกบ จนกระทั่ง . .
ไอ้หน้าฝรั่งที่มาจับมือถือแขนกับน้องชายผมปรากฏขึ้นในรูป
สติของผมเริ่มที่จะขาดผึงออกเล็กๆ คนนอกดูยังไงแม่งก็เหมือนคนรักกำลังจู๋จี๋ แต่สำหรับผม ผมมองว่าไอ้มังกรมันกำลังคิดจะลวนลามน้องชายผู้โคตรแมนของผมอยู่ต่างหาก เดี๋ยวนะ . . ถึงแม้ว่าผมจะคิดว่าสองคนนี้อาจจะมีซัมติงรอง แต่พอเจอะเข้าจังๆแบบนี้ก็เล่นเอาผมรู้สึกขัดหูขัดตายังไงบอกไม่ถูก นี่ผมหวงน้องเหรอ ไม่เคยมีอาการแบบนี้เลย ถึงแม้ว่ามันจะลากผู้หญิงเข้ามานอนด้วยเป็นสิบเป็นร้อยคน
หรือเพราะไอ้มังกรมันเป็นผู้ชาย และมันก็อยู่ในรายชื่อที่เข้าข่ายเป็นอันตรายต่อไอ้เจ้านายวะ?
ข้อมูลลึกลับพอๆกันกับไอ้วิหคดำที่ชื่อเหม . . รายนั้นยิ่งแล้วใหญ่ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวมันเลยนอกจากมันเคยเข้าคุกอยู่เกือบปีและหลังๆก็ถูกปล่อยตัวออกมาเพราะอำนาจมืด
ไม่ได้การละ อันตรายทุกทางแทบจะทั้งสิ้น . . ผมรีบจิ้มจึกๆเข้าที่โทรศัพท์ที่ไว้สำหรับติดต่อภายใน “คุณจิ๊บ ผมมีธุระด่วน ที่เหลือฝากด้วยนะ” ชิ่งง่ายๆนี่แหละหลักการทำงานของกู . . ผมคว้าเอาสมบัติที่อยู่บนโต๊ะซึ่งมีเพียงแค่กระเป๋าตังค์ โทรศัพท์และก็กุญแจรถก่อนที่จะบึ่งออกไปข้างนอกทันที ทิ้งให้คุณจิ๊บยกหูโทรศัพท์ค้างอยู่อย่างนั้นและกำลังอึ้งกับความไวแสงของผม
“คุณกานต์ กลับเร็วจังเลยนะครับวันนี้” ลุงยามถามผม เมื่อผมขับรถออกไปอย่างหล่อใส่แว่นกันแดดที่โคตรเท่ก่อนที่จะเลื่อนกระจกรถลงเพื่อคุยกับลุงยาม
“ไอ้แสบก่อเรื่องอีกแล้วครับ” ผมหมายถึงไอ้เจ้านาย ซึ่งเรื่องนี้ไม่น่าจะเกี่ยวกับไอ้เจ้านายโดยตรงเท่าไหร่นักหรอก
“ฮ่าๆๆๆ วัยรุ่นก็อย่างงี้แหละครับ”
“แหมลุง ผมก็ยังวัยรุ่นนะ”
“เอ่อ อันนั้นผมก็ไม่เถียงหรอกครับ คุณกานต์ทั้งหล่อทั้งเก่งทั้งเด็ก สุดยอดไปเลยครับ”
“หึหึ ที่ลุงพูดก็ถูก” ผมพูดทีเล่นทีจริง ผมเป็นพวกหลงตัวเองรึเปล่าวะ แต่ด้วยเหตุนี้นี่เองทำให้ผมสนิทกับลูกจ้างเกือบจะทุกคน
“ฮ่าๆ เดินทางโดยสวัสดิภาพครับคุณกานต์”
“เจอกันพรุ่งนี้ ดูแลบริษัทดีๆนะครับลุง”
ผมเลื่อนกระจกลงแล้วก็ขับรถต่อ จุดหมายของผมคือรังมังกรที่มีใต้ถุนเป็นร้านน้ำเต้าหู้ . . เห็นทีจะต้องคุยกับมันตรงๆสักหน่อยว่าอะไรยังไงกับน้องผมกันแน่
ใช้เวลาไม่นานนักก็ถึง . . ผมจอดลงเข้ากับที่ข้างๆใกล้ๆบ้านไอ้มังกร บ้านของลุงเมฆด้วย เดินลงไปข้างในร้านที่ดูเหมือนจะปิดทำการแต่ก็มีประตูเลื่อนทีดูพอรู้ว่ามีคนอยู่ข้างใน ผมเลื่อนขึ้นแล้วก็แทรกตัวเข้าไปในร้านที่เก้าอี้ไม้หลายชุดถูกยกขึ้นไปบนโต๊ะเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าร้านปิดอยู่ แต่กลิ่นน้ำเต้าหู้หอมฉุยกำลังลอยเข้ามาปะทะที่จมูกผม คงมีใครสักคนกำลังเตรียมของอยู่หลังร้าน และผมคิดว่านั่นน่าจะเป็นมังกร
“มึงเป็นใคร!”
มีคนทักขึ้นมาเสียก่อนที่จะผมจะเข้าไปหลังร้าน น้ำเสียงขวางโลกแบบนี้เคยได้ยินที่ไหนนะ
“ . .ไอ้เตี้ย” ผมรำพึงเมื่อเห็นไอ้ไนท์ที่ยืนจังก้าอยู่ข้างหลัง มันแต่งตัวชุดนักศึกษาเต็มยศที่ดูยังไง้ยังไงก็เด็กกว่าผม
“มึงว่าใครเตี้ย!!!!” แม่งโคตรเหมือนร็อตไวเลอร์ ดุสัดชนิดที่ว่าหมายังอาย ผมโดนมันคว้าคอเสื้ออย่างแรง นี่ถ้ามีเขี้ยวและก็มีเสียงขู่แฮ่ๆด้วยล่ะก็ แม่งใช่เลย
“เปล่า” ไม่ได้กลัวมันหรอก แต่กลัวมันกัด เลยรีบปฏิเสธ ไอ้ไนท์ปล่อยคอเสื้อผมและก็ทำท่าเอาเรื่องใส่แทน
“มาที่นี่ทำไม”
“มาหาไอ้มังกร” ผมตอบสั้นๆ มองซ้ายมองขวาตามหาไอ้หน้าฝรั่ง “มันอยู่ไหน”
“ทำไมกูต้องบอกมึงด้วย” ไนท์มองผมอย่างไม่ไว้ใจ
“กูมีเรื่องจะคุยกับมัน”
“คุยกับกูแทน”
เห้ย . . มันมีอะไรแบบนี้บนโลกด้วยเหรอ “กูมีธุระกับไอ้มังกร กูไม่มีธุระอะไรกับมึง”
“เสียงเอะอะอะไรข้างนอกวะไอ้ไนท์” ลุงเมฆในชุดพ่อค้าขายน้ำเต้าหู้เดินออกมาจากหลังร้านพร้อมๆกับเหงื่อซ่ก ผมรีบยกมือไหว้ทันที เร็วพอๆกันกับไอ้ลอร์ดไวเลอร์ “อ้าว คุณเจ้าขุน”
“อย่าเรียกผมว่าคุณเลยนะครับลุง คนกันเอง”
“คนกันเองที่ไหนกัน คุณเป็นเจ้าหนี้ของผมนะ” ให้ตายสิ ลุงเมฆโคตรจะให้เกียรติผมเลย “ผมตามหาตัวน้องชายของคุณไม่เจอ ก็เลยไม่รู้ว่าจะใช้หนี้เค้าได้ที่ไหน”
“เอ่อ . . ผมไม่ได้มาทวงหนี้ลุงหรอกครับ”
“งั้นผมฝากไปให้น้องชายของคุณหน่อยสิ ตั้งแต่ที่ไอ้มังกรพามาวันนั้นผมก็ไม่ได้เจอเด็กคนนั้นอีกเลย”
“เดี๋ยวนะครับ เจ้านายเคยมาที่นี่เหรอ” ผมถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ
“ครับ” ลุงเมฆตอบเหมือนไม่ค่อยแปลกใจ “น้องชายคุณกับเพื่อนกับไอ้มังกรลูกชายผม”
“ตอนนี้ลูกชายลุงอยู่ที่ไหนเหรอครับ ผมมีเรื่องคุยด้วย”
“มันน่าจะไปวาดรูปที่มหาลัยยังไม่กลับมาครับ . . แต่อีกสักพักคงกลับ” ลุงเมฆตอบพลางใช้ผ้ากันเปื้อนซับเหงื่อ “คุณจะรอก็ได้นะครับ อีกสักพักมันคงต้องกลับมาช่วยผมเตรียมร้าน”
“ผมช่วยลุงเองครับ ไม่ต้องกวนไอ้มังกรหรอก” ไนท์รีบเดินเข้ามาอาสาทันที
“ไอ้ไนท์ . . เอ็งก็มาช่วยอยู่ทุกวัน”
“แต่วันนี้มังกรมันจะไม่มา . .เพราะมีตัวบ้าอะไรก็ไม่รู้มารอดักมัน”
“เฮ้ กูไม่ใช่ตัวบ้านะ”
“พูดอะไรอย่างนั้นกับเจ้าหนี้ข้าวะ ไอ้ไนท์”
เป็นอะไรที่ดูวุ่นวายชิบหายสำหรับผม ผมถอนหายใจดังเฮือก ลุงเมฆมองผมกับเชี่ยไนท์ด้วยความมึนงง ส่วนคนที่เด็กสุดทำหน้าตาไม่ไว้ใจผมยังไงก็อย่างงั้นเสมอ
“งั้นผมนั่งรอนะครับ” ผมยกเก้าอี้ลงตัวหนึ่งแล้วก็นั่งลง ลุงเมฆพยักหน้ารับก่อนที่จะเดินไปหลังร้านต่อ ส่วนไอ้ไนท์มันดูไม่พึงพอใจเป็นอย่างมากกับการกระทำของผม ผมเลยยักคิ้วส่งให้มันไปสองจึก นั่นยิ่งทำให้มันหัวเสียเข้าไปใหญ่
“ถ้ามึงจะทำอะไรมังกรล่ะก็ . .ข้ามศพกูก่อนเหอะ!”
“ระแวงไม่เข้าเรื่อง” ร็อตไวเลอร์นี่มันคิดมากเป็นด้วยเหรอวะ “มึงเห็นว่ากูเป็นพวกชอบใช้กำลังอย่างมึงเหรอ”
“นี่มึงหาว่ากูโง่ ไม่ใช่สมองเหรอ!”
ไอ้สุดยอดของสุดยอดแห่งการมโนเอ๊ย . . เด็กน้อยขั้นสูงสุดคือมันนี่แหละ
“ไอ้ไนท์ อย่าไปกวนคุณเค้า มาหลังร้าน!!!!!” ลุงเมฆตะโกนข้ามร้านมาอย่างรู้เลยว่าเป็นนักเลงเก่า ไนท์มันทำท่าเหมือนโดนขัดใจแต่ก็เดินไปหลังร้านแต่โดยดี ผมส่ายหน้าอย่างระอาให้มัน ก่อนที่จะนั่งรอให้ไอ้คนที่ผมมีธุระด้วยมันรีบมา เพราะเวลาของผมนั้นคือธุรกิจเสียส่วนใหญ่
จนกระทั่งผมได้ยินเสียงประตูเหล็กเลื่อนเปิดขึ้นอีกครั้ง ไอ้ฝรั่งหัวดำที่โคตรหล่อกำลังเดินเข้ามาในร้านพร้อมๆกับสะพายอุปกรณ์วาดรูปของมันมาด้วย มันไม่ได้สังเกตว่าผมนั่งอยู่เลยเลื่อนประตูเหล็กลงที่เดิม ส่วนผมก็ลุกขึ้นยืน แล้วมันก็หันมาประจันหน้ากับผมพอดี
แอบเห็นมันสตั๊นไปห้าวิแบบนิ่งๆ ก่อนที่จะยกมือไหว้
“กูมีเรื่องจะคุยด้วย”
ไอ้ฝรั่งหน้าหล่อขมวดคิ้วเล็กๆก่อนที่จะพยักหน้า ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรออกมา ไอ้เชี่ยไนท์ก็วางถาดอะไรสักอย่างลงจนสะดุ้งสะเทือนไปหมด
“มังกร อย่าไปไว้ใจมัน!” บอกตรงๆว่าตอนนี้โคตรรำคาญไอ้ร็อตไวเลอร์เลยให้ตายเหอะ (ถูกสถาปนาจากไอ้เตี้ยขึ้นมาเป็นไอ้ร็อตไวเลอร์เรียบร้อย)
มังกรดูจะงงๆกับไอ้ไนท์ มันพยักหน้าเชิงบอกว่าไม่เป็นไร ไอ้ไนท์เห็นดังนั้นก็หยิบถาดขึ้นมาแล้วก็เดินเข้าไปหลังร้านอย่างโคตรกระทืบ ไอ้เด็กเชี่ยนี่มันเป็นอะไรกับผมมากป่ะ ทำไมมองผมในแง่ร้ายจังหว่า?
“คุณมีอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ”
“เรื่องน้องกู” ผมตอบทันที
“ครับ” มันตอบรับ น้ำเสียงประมาณว่า . . แล้วไงครับ . .
“มึงกับน้องกูเป็นอะไรกัน”
คำถามนั้นทำเอาคนที่มีนัยน์ตาสีฟ้าใสสั่นระริกเล็กน้อยก่อนทำหน้านิ่งอย่างคงคอนเซปต์
“เพื่อนครับ”
“เพื่อน?” ผมทวนคำอย่างมีอารมณ์ “เพื่อนกันคงไม่จับมือถือแขนกันในที่สาธารณะกันแบบนั้นหรอกนะ” พูดไปอย่างขาดสติจนดูเหมือนเป็นพี่ชายที่โคตรจะหวงน้องชายเข้าไส้ . . แต่ถึงมันจะดูไม่ดียังไงก็ช่างมันเถอะ เพราะท้ายที่สุดแล้วเอาเข้าจริงผมก็หวงไอ้เจ้านายจริงๆนั่นแหละนะ ยอมรับอย่างแมนๆเลย
มังกรดูพูดไม่ออกบอกไม่ถูก “ตอนไหนครับ”
“สองสามวันก่อนที่ห้องสมุด”
“อ๋อ” มังกรรับ “อันที่จริงนั่นผมทำแค่อยากจะสั่งสอนมัน”
“หา?”
“มันไม่ยอมอ่านหนังสือครับ” มันตอบหน้าตาย “ผมเลยบังคับ”
“ด้วยการจับมือถือแขนน้องกูเนี่ยนะ”
“ครับ” โหยยยยยย ไอ้นิ่ง ไอ้หน้าด้าน . . น้องกูกูเลิ้ยงอย่างดีไม่เคยให้มีข่าวเสียๆหายๆด้านนิยมชมชอบเพศเดียวกันนะเว้ยยยยยยยยยยยยยยยยย
“ยังไงก็เถอะ” ผมทอดถอนใจ พยายามสะกดอารมณ์อย่างสุดกลั้น “มึงมั่นใจนะว่าจะไม่มีการพัฒนามากไปกว่าคำว่าเพื่อน”
“ . .” มันนิ่งเสียนานก่อนจะตอบด้วยเสียงที่ออกจะสั่นเครือแปลกไปจากตอนแรก “ครับ”
“ดูมึงไม่ค่อยมั่นใจ”
“ผมบอกว่า . . ครับ ผมไม่ได้ปฏิเสธ”
คือไอ้มังกรมันนิ่งและเย็นชาเสียจนผมร้อนใส่มันก็คงแพ้ ประหนึ่งสำนวนที่ว่าไฟน้อยย่อมแพ้น้ำแข็งขั้วโลกเหนืออย่างมัน(สำนวนประเทศไหนฟะ)
“แต่น้องกู . . เหมือนจะไม่ได้คิดแบบมึงนะ”
ผมพูดเหมือนผมรำพึงมากกว่า มังกรขมวดคิ้วส่งสายตาเป็นคำถามมาที่ผม ดวงตาสีฟ้าใสของมันส่อแววอยากรู้
ผมยักไหล่เล็กๆก่อนที่จะเดินชนไหล่ของไอ้มังกรไป หึหึ กูปล่อยให้มึงอยากแล้วกูก็จากไปกูวินมั้ยล่ะ เอาซี่มึงจะสะกิดจะเรียกจะถามอะไรกูรึเปล่า เพราะถ้ามึงทำ . .
. .
มึงต้องคิดอะไรกับน้องกูแน่นอน “เดี๋ยวครับ”
นั่นไง . . มันเรียกผม ผมแค่นหัวเราะในใจก่อนที่จะหันไปหาไอ้มังกร
“ทำไมถึงพูดแบบนั้น”
บร๊ะเจ้า มันอยากรู้จริงๆด้วยเว้ยเห้ย ฮ่าๆๆๆ ผมหัวเราะอย่างมีชัยอยู่ในใจ แต่ใบหน้าที่แสดงออกมาคือเจ้าเล่ห์ซะไม่มี
“ทุกอย่างมันเกิดขึ้นตอนที่มึงนอนโคม่าในโรงพยาบาล”
“ ...”
“น้องกูมันเป็นห่วงมึง”
“นั่นอาจจะเป็นเพราะความรู้สึกผิดของมัน ที่มันคิดว่าผมต้องมาเจ็บเพราะมัน”
“แต่กูไม่คิดอย่างนั้น”
“?”
“มึงไม่ได้เห็นอะไรที่กูเห็นนี่ . . จริงมั้ย”
ผมตบบ่ามันแปะๆก่อนที่จะเดินจากไปอีกครั้ง นั่นยิ่งทำให้ไอ้มังกรเหลืออด แม่งเดินมาขวางทางผมซะงั้น ตัวมันกับตัวผมสูงพอๆกัน แต่อาศัยด้วยความที่มันเด็กกว่า มันเลยสูงกว่าผมนิดหน่อย แต่ก็แค่นิดหน่อยเท่านั้นเหอะ! (เกี่ยว?)
“ช่วยพูดให้มันชัดเจนด้วย”
“อะไร”
“พี่อยากจะพูดอะไรกับผมกันแน่”
เออว่ะ นั่นสิ . . กูจะพูดอะไรกับมึงกันแน่ฟะเนี่ย “เอาเป็นว่า . .”
“ครับ?”
“มึงจริงใจกับน้องกูรึเปล่า”
“…” มันนิ่งไปเลย
“กูรู้ที่มึงต้องมาเจ็บก็เพราะอยากปกป้องน้องกูใช่มั้ย”
“…” ยังคงนิ่งอยู่เหมือนเดิม
“ถ้าเป็นงั้น . .”
“…”
“. . มึงต้องผ่านด่านกูให้ได้ก่อน” หึ ด่านกูโหดสัด ชนิดที่ว่าหมีขั้วโลกเหนือยังหนาวเลยล่ะ ผมหัวเราะเล็กๆก่อนที่จะเดินออกไปจากร้านน้ำเต้าหู้ที่กำลังปิดนั่น หวังว่ามันคงจะไม่มาขัดการกลับบ้านของผมอีกนะ
แต่มันก็มาขัดจนได้ . .
ผมมองหน้าไอ้ฝรั่งหัวตั้งสีดำดวงตาสีฟ้านี่อย่างนึกฉงน ตอนแรกก็โกรธมันอยู่หรอก แต่ตอนหลังชักอยากจะแกล้งมากกว่า มันหลุบตาลงต่ำราวกับต้องการหลบตาผมก่อนที่จะพูดขึ้นมา
“ผมไม่จำเป็นต้องผ่านด่านของพี่หรอกครับ”
มันผิดจากที่ผมคาดเอาไว้ . .
“ผมไม่ได้คิดกับไอ้เจ้านายแบบนั้น”
มึงจะหักอกน้องกูงั้นเรอะ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! นั่นเป็นความคิดแรกที่เข้ามาในหัวของผมตามประสาหนุ่มเลือดร้อนแต่โตแล้วเลยไม่ได้แยกเขี้ยวกัดคอมัน
ผมยิ้ม ยิ้มที่มุมปาก
“งั้นมึงก็ไม่ต้องมายุ่งกับน้องกู”
มังกรมองผมก่อนที่จะหายใจแรงๆ ผมเค้นอะไรจากเด็กมันอยู่เนี่ย นี่ผมกำลังสนุกอยู่เหรอ
ผมเปิดประตูขึ้นรถไป . . แต่ก่อนจะขึ้นรถ ผมดันได้ยินเสียงอันดังที่ถูกส่งผ่านมาทางอากาศ
“ . . ด่านจะยากแค่ไหน ยังไงผมก็ต้องผ่าน”
ส่งสาส์นท้าดวลมาให้พี่ชายไอ้เจ้านายงั้นรึ . . มังกร