ร้ายที่ 17 “แด๊ด ทำไมแด๊ดยังไม่จ่ายหนี้เค้าไปสักทีล่ะ”
“อันที่จริงข้าว่าข้าจะคุยกับเอ็งเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน”
“ . . แด๊ดไปกู้เงินบ้านโน้นเพิ่มเหรอ”
“จะบ้าเหรอไอ้ลูกเวร ไม่ใช่อย่างนั้นโว้ย”
“แล้วมันเรื่องอะไรล่ะ”
“. . เจ้าหนี้ของเราเปลี่ยนเป็นคนใหม่น่ะ”“เป็นไรวะไอ้ก้าว ทำหน้าเซ็งอย่างกับพ่อมึงตาย”
“แช่งตัวเองแต่เช้าเลยนะพ่อ”
“เช้าพ่อง นี่สิบโมงแล้วเฟ้ย นี่เอ็งเพิ่งจะได้ฤกษ์ตื่นขึ้นมางั้นเรอะ”
“ก็เมื่อคืนนอนตีสาม”
“ทำเชี่ยไรถึงตีสาม”
“ดูหนังโป๊”
“อยากนักก็ไปใช้มืออีกไป๊!!!! ไอ้หมกมุ่น” พ่อโยนFHMมาใส่ผมที่หลบทันพอดี ดันซวยไปโดนหน้าป้าแม่บ้านที่ยกข้าวเช้าบวกเที่ยงมาเสิร์ฟผมพอดี ดีนะข้าวไม่คว่ำและป้าก็ไม่เจ็บเท่าไหร่
“นี่พ่อคิดว่านายพูดจริงเหรอ”
“เออดิ”
“ใครมันจะไปหื่นเหมือนพ่อกันล่ะ”
“ปากเสีย เดี๋ยวข้าเตะเข้าให้”
“ก็ให้กวนหน่อยเหอะ คนมันไม่มีอะไรทำนี่” จริงอย่างที่ผมพูดครับ ปิดเทอมเล็กมาห้าวันเต็มๆแล้วโคตรจะไม่มีอะไรทำ ทั้งๆที่บทลงโทษของผมนั้นถูกพี่ขุนกับพ่อลืมไปหมดแล้ว ผมได้ของทุกอย่างกลับคืนมาแต่ไหงพอได้มาทุกสิ่งทุกอย่างกลับน่าเบื่อลงไปถนัดตา อยู่บ้านเฉยๆก็เซ็ง ออกไปข้างนอกไปเจอไอ้แฝดก็เซ็ง แม่งเซ็งจริงๆ ทำไมมันน่าเบื่ออย่างงี้นะ
“ถ้าว่างนัก ก็เชิญมึงไปช่วยงานกูที่สาขาใหญ่นะครับ” พี่ขุนเดินลงบันไดมาด้วยชุดสูทเต็มยศตามประสานักธุรกิจมีน้องห่วยและมีพ่อขี้เกียจ
“สิบโมงแล้วนี่มึงเพิ่งจะไปทำงาน?”
“ผมเลียนแบบพ่อมาน่ะ”
เป็นอีกครั้งที่พ่อโยนหนังสืออะไรไม่รู้ไปใส่พี่ขุนเหมือนที่ทำกับผม พี่ขุนหลบทัน และคราวนี้ป้าแม่บ้านที่เพิ่งเดินเข้ามาก็หลบทันด้วย แม่ง . . มีการพัฒนาด้วยเว้ย
“รีบแดกรีบไปเลย ข้าเบื่อหน้าเอ็ง”
“โห่ยยยย ใจร้ายว่ะ ทีกับไอ้นายยังไม่เห็นเคยพูดอย่างงี้เลย” พี่ขุนแกล้งร้องโอดโอย
“อันที่จริงข้าก็เบื่อหน้าไอ้นายเหมือนกัน” นั่นไง . . กูนั่งกินข้าวอยู่เฉยๆกูยังโดนเลย “ว่าจะหาอะไรให้มันทำ”
“อย่าบอกนะว่าเกี่ยวกับร้านหนังสือนั่น . .”
“ก็ใช่”
“พ่อ อีกอาทิตย์นึงก็เปิดเทอมแล้ว นายยังไม่พร้อม” ผมรีบแถ
“เอ็งบอกไม่มีอะไรทำไม่ใช่รึไง”
“คืออยากไปเที่ยวไงพ่อ ไม่ใช่ไปทำงาน”
“ดี งั้นเย็นนี้ไปเที่ยวกับข้า”
“เที่ยวไหน” เที่ยวกับพ่อจะสนุกเหรอ . . ผมเชื่อว่าพี่ขุนก็คิดอย่างนั้นเพราะหันมาสบตากับผมอย่างตื่นๆ
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก” พ่อยกกาแฟขึ้นมาจิบ “แต่มึงต้องไป”
“อ้าว ไหงบังคับกัน”
“จำลูกสาวเจ้าของโรงแรมเพื่อนข้าได้มั้ย”
“โหยพ่อ เพื่อนพ่อมีเป็นแสน”
“ยังไงก็ช่าง เอ็งต้องไปดูตัว”
พรืดดดดดดดดดดดดดดดดดด . . ทั้งผมกับพี่ขุนพ่นลมออกมาเป็นน้ำเหมือนกันทั้งพี่ทั้งน้อง
“เดี๋ยวพ่อ นายยังเรียนไม่จบ ถ้าจะให้ดูตัว ก็ต้องพี่ขุนโน่น!!!!” โยนขี้ใส่พี่ชายเต็มๆเหมือนยัดเยียด ซึ่งมันทำหน้าเหมือนจะกินผมผ่านทางสายตา ใครจะไปชอบโดนคลุมถุงชน นี่มันสมัยไหนแล้ว!!!!
“ก็ลูกสาวเจ้านั่นมันสนใจในตัวเอ็ง ไม่ใช่พี่เอ็ง”
“ไม่ไป!” ผมตอบทันที รีบลุกขึ้นยืนกะวิ่งไปที่ห้องนอนของตัวเองและหยิบกุญแจรถ ขับรถหนีไปซะ แต่เหมือนพ่อจะรู้กลเม็ดวิธีการหนีของผมทุกอย่าง ถูกดึงเสื้อเอาไว้จนทำให้ขยับไปไหนไม่ได้
“ยังไงก็ต้องไป”
“แต่ . .”
“เอาเถอะน่า ข้าไม่บังคับเอ็งในเรื่องนี้หรอก” พ่อบอกเสียงง่ายๆ “ก็แค่ไป ถ้าไม่ถูกใจก็ทำให้เค้ารู้ไปเลยว่าเอ็งไม่ถูกใจ”
“ไม่สมเหตุสมผลเลย” ผมแอบบ่น “หน้าอย่างนายยังมีคนสนใจอยู่เหรอ”
“นั่นสิ” ไอ้พี่ขุนรีบเสริมขึ้นมาทันที ทีเรื่องอย่างนี้เห็นด้วยใหญ่เลยนะ ไอ้พี่เวร “เป็นผมก็ว่าไปอย่าง”
“ของเอ็งไม่ช้าก็เร็วยังไงก็ต้องมี” พ่อพูดกับพี่ขุน “แต่ตอนนี้ไอ้ก้าวต้องรับความซวยไปก่อน”
แม่ง อะไรฟะ ดูตัวเชี่ยไรโคตรงี่เง่า . . ผมสะบัดหน้าเซ็งๆก่อนที่จะเดินตึงตังขึ้นไปบนห้อง มาอยู่บ้านใหญ่เมื่อสองสามวันก่อน แน่นอนว่ายังไม่ได้กินน้ำเต้าหู้สักถุง . . จะว่าไปตั้งแต่วันก่อนสอบไฟนอลวันสุดท้ายผมยังไม่ได้เจอหน้าไอ้มังกรเลยสักกะติ๊ด ซึ่งนั่นนับว่าเป็นเรื่องดี แต่ถึงยังไงไอ้ความรู้สึกที่ว่าอยากกินน้ำเต้าหู้มันก็ยังมีอยู่ ไอ้เชี่ยมังกร ไอ้บ้า . .แม่งทำให้ผมติดน้ำเต้าหู้บ้านมันไปซะฉิบแล้ว ซวยจริงๆ
ผมนั่งเล่นกลิ้งเล่นอยู่บนห้อง ซึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน แผ่นดีวีดีซีรี่ส์ทุกเรื่องถูกผมรื้อออกมาจากตู้จนเป็นกองพะเนิน สรุปไม่ได้สักทีว่าจะดูเรื่องอะไรกันแน่ ท้ายที่สุดก็เลือกไม่ได้สักเรื่อง ก็เลยมากลิ้งเล่นอยู่บนเตียงอย่างนี้ด้วยความเซ็งขั้นสูงสุด ยิ่งตอนเย็นมีการดูตัวบ้าบอคอแตกอะไรนั่นอีกยิ่งทำให้เซ็งมากเข้าไปใหญ่ ใครไม่เกิดเป็นผมคงไม่เข้าใจหรอก เชื่อผมดิ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เข้ามาเลย” ผมพูดเสียงงัวเงีย ทั้งๆที่ไม่ได้หลับเลย
“คนอย่างมึงว่างเป็นด้วยเหรอ” เป็นพี่ชายของผมนั่นเอง แม่งเดินเข้ามาในชุดสูท สงสัยเห็นผมนอนเหมือนกบซังกะตายมั้งเลยพูดขึ้นมาอย่างนั้น
“ไม่ยอมไปทำงานอีกเหรอ . .แล้วนายจะเอาเงินที่ไหนกินล่ะ”
“กวนตีน” ผมโดนพี่ผมเขกหัว พี่ขุนนั่งลงบนเตียงจนเตียงยุบ “กูจะเข้ามาบอกมึงว่า . . มะรืนนี้จะมีงานต้อนรับทีมงานของทูตฝรั่งเศสที่โรงแรมของเราที่ภูเก็ตโน่น”
“แล้วยังไง” จะตีลังกาดูยังไงก็ไม่ใช่เรื่องของผม = =
“เห็นเซ็งๆก็เลยจะมาชวนให้ไปด้วย”
นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมให้ความสนใจขึ้นมานิดนึง . . ว่างแบบนี้ไปทะเลสักหน่อยก็ดีเหมือนกันนะ เรื่องนี้ทำให้ผมรู้สึกดีกว่าเรื่องดูตัวบ้าบอนั่นเยอะเลย
“ไป” ผมตอบทันที
“ฮ่าๆๆๆ ชวนแฝดไปด้วยก็ได้นะ”
“อืม” ไม่ค่อยมั่นใจเรื่องไอ้แฝดเท่าไหร่นักหรอก เห็นได้ยินว่าครอบครัวมันจะไปเที่ยวอังกฤษในช่วงนี้วันใดวันหนึ่งนี่แหละ ไม่ได้จำมา
“แล้วอย่าไปดื้อไปซนให้ทูตเค้าปวดหัวนะมึง หน้าตาของประเทศเราเลยนะโว้ย”
“ไม่เคยดื้อไม่เคยซนเหอะ พูดอย่างกับนายเป็นเด็กๆไปได้”
“เตรียมตัวไว้ด้วยล่ะ”
พี่ขุนลูบหัวผมแรงๆจนผมชี้โด่ชี้เด่ ก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้ผมต้องฟุบหน้าลงกับหมอนอีกรอบ . .
อย่างน้อยก็มีทะเล . . ซึ่งเป็นเรื่องดีเพียงเรื่องเดียวที่คอยผมอยู่ในตอนนี้
สองร้ายในหนึ่งรัก *
ผมถูกยัดเข้ามาอยู่ในชุดที่แบบยิ่งดูยิ่งอึดอัด เป็นสูทสั่งตัดจากแบรนด์ดังที่พ่อสั่งมาให้เมื่อนานมาแล้ว ปกติผมใส่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ เป็นทางการหน่อยก็เชิ้ตและก็มีแจ็คเกต แต่นี่คือสูท . . แม่เจ้า แค่คิดถึงแดดยามเย็นข้างนอกตอนนี้ผมก็ร้อนเข้าไปถึงในตับแล้ว พ่อเอาชุดอะไรมาให้ผมใส่เนี่ยยยยยยยยยย
“โว้ว พอดูได้ขึ้นมานิดนึง” พ่อมองดูผมตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างทึ่งๆ ส่วนผมที่ถูกแม่บ้านจัดแต่งทรงผมให้อยู่ทำหน้าเหม็นเบื่อใส่พ่อ “ดูทำหน้าเข้า เดี๋ยวข้าเตะเลย”
“ก็ไม่อยากไปนี่หว่า”
“ก็แค่งานๆนึง เดี๋ยวมันก็ผ่านไปเองนั่นแหละ”
พูดง่ายจังวะคุณพ่อ ผมกลอกตาอย่างเซ็งๆ ทนนั่งอยู่เฉยๆจนกระทั่งแม่บ้านเค้าทำผมให้ผมจนเสร็จ เลยได้ฤกษ์ออกไปจากห้องสักที มองดูนาฬิกาอีกที อ้าวเห้ย นี่มันหกโมงกว่าแล้ว นี่ผมแต่งตัวเกือบสองชั่วโมงเลยเหรอ
ผมขึ้นรถยุโรปสีดำขลับมันวับพร้อมๆกับพ่อ ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่โทรศัพท์กับแบงค์ร้อยหนึ่งใบ(อาศัยความเร็วในการฉกเงินที่วางอยู่บนโต๊ะแถวนั้น) ยังไงงานนี้ก็ฟรีอยู่แล้วไม่ต้องพกอะไรให้มันมากมายนักหรอก พ่อนั่งเล่นไอแพดมินิตลอดทาง ส่วนผมได้แต่มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเซ็งๆ
จนกระทั่งรถจอดเทียบท่า มีคนมาเปิดประตูให้พ่อและผมซึ่งเดินออกไปตามหลังคุณพ่อแบบติดๆ โรงแรมอะไรก็ไม่รู้ . . หรูโคตร แค่เดินไปขึ้นบันไดข้างหน้ายังมีแสงสีส้มส่องสว่างจนแสบตา
“รวยมั้ยล่ะ” พ่อหันมายักคิ้วให้ ส่วนผมเบ้ปาก . . รวยแล้วยังไงล่ะ
ผมเดินตามพ่อไปสักพัก ก็ถูกเชิญให้ขึ้นลิฟต์ไปชั้นสูงสุด ซึ่งเป็นร้านอาหารอิตาเลี่ยน ถ้าทางจะจานละพันสองพันเป็นแน่แท้ ผมมองดูนั่นดูนี่ไปเรื่อยจนกระทั่งพ่อพามาหยุดที่โต๊ะริมกระจกที่เห็นวิวในกรุงเทพชัดเจนและก็โคตรจะสวยในยามค่ำคืนเช่นนี้
“อ้าวมาแล้วเหรอคุณกิต”
“สวัสดีๆคุณวิชัย”
มีคนนั่งรอผมกับพ่ออยู่สองคน เป็นชายวัยกลางคนที่ดูท่าทางรวยๆกับเด็กสาวหน้าตาน่ารักที่พอเห็นผมก็เบ้หน้าใส่ อ้าว . . ไหนบอกว่าสนใจผมไง นี่ก็โดนบังคับมาเหมือนกันเหรอ
“ก้าว ทักทายน้องมะนาวซะสิ”
ยัยเด็กมะนาวยกมือไหว้ผม ถึงแม้ว่าจะนอบน้อมแต่สีหน้านั่นกลับสวนทางกลับการกระทำ เออแฮะ ท่าทางการดูตัวครั้งนี้จะง่ายขึ้นสำหรับผม เพราะต่างคนต่างก็โดนบังคับมา
“หวัดดี” ผมพูด
“สวัสดีค่ะพี่นาย”
“เด็กสองคนนี้มันเหมาะกันดีนะ ว่ามั้ยคุณกิต” พ่อของมะนาวพูดแล้วก็หัวเราะด้วยน้ำเสียงอันดัง ให้ตายสิ นี่มันน่าเบื่อมากนะ ผมคิดว่าผมสามารถทนอยู่ที่นี่ได้เกินสิบห้านาทีด้วยซ้ำ
“หึหึ นั่นสินะ” พ่อแกล้งหัวเราะใส่ผม
“เป็นไงบ้างเจ้านาย โตขึ้นแล้วก็หล่อขึ้นเป็นกองเลยนะเนี่ย”
“แหะๆ” ผมยิ้มแห้งๆ
“ลูกสาวอาโตขึ้นแล้วสวยขึ้นมากเหมือนกัน เหมือนเพลงอะไรนะ ยิ่งโตยิ่งสวยน่ะ ฮ่าๆๆๆ”
“อ่า . .แหะๆ”
“เอ้า รีบดูเมนูเร็วเข้า เดี๋ยวมื้อนี้อาเลี้ยงเอง อยากกินอะไรสั่งเลย”
ผมหยิบเมนูขึ้นมาเปิดเซ็งๆ . . ตอนนี้อยากกินข้าวมันไก่หน้าคอนโดมากกว่าอะไรๆพวกนี้อีกให้ตายเหอะ
“เอาไอ้นี่ละกันครับ” มันคืออะไรก็ไม่รู้ผมชี้สั่งแบบมั่วๆ “ขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ”
“โอ๊ะได้เลย”
ผมส่งสายตาแบบเบื่อๆให้พ่อที่โคตรจะขำผมก่อนที่จะลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ ภาวนาในใจดังๆขอให้ตัวเองปวดขี้ในตอนนี้ ขออภัยคนอ่านที่กำลังทานอะไรด้วยนะครับ เพราะตอนนี้ห้องน้ำสำหรับผมยังน่าอยู่มากกว่าในร้านอาหารอิตาเลี่ยนนั่นซะอีก
ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำ ไม่ได้สังเกตว่ามีคนเดินตามเข้ามา . .
“เห้ย!!!!!!!”
“กว่าจะได้เจอเจ้าตัว” ไอ้เหมยิ้ม มันอยู่ในชุดเสื้อแขนยาวมีฮู้ดสีดำกับเกางเกงยีนส์ตัวโคร่งที่โคตรฮิบฮอป
“มึงเป็นพวกสตอล์กเกอร์เหรอวะ” ผมถามอย่างหวาดระแวง
คำถามนั้นทำเอาไอ้เหมหัวเราะ “จริงๆแล้วกูเป็นยิ่งกว่าสตอล์กเกอร์อีก”
“เหี้ย โรคจิต” ผมเดินหนีมัน แต่ก็โดนมันขวางเอาไว้ “อย่ามากวนตีน พ่อกูรออยู่ข้างนอก”
“กับอาของกู และก็ลูกพี่ลูกน้องของกูสินะ”
“เดี๋ยวนะ . . นั่นญาติมึงเหรอ อาวิชัยกับยัยน้องมะนาวนั่น”
“ใช่ ญาติสนิทเลยแหละ” เหมยักไหล่ “สนิทจนโรงแรมนี่กูเองก็มีส่วนเป็นเจ้าของด้วยเหมือนกัน”
รู้แล้วว่าทำไมมันออกมาจากคุกได้เร็วจนไอ้มังกรต้องตั้งคำถาม . . เงินตรา . . และก็อำนาจมืดนี่เอง
“มึงใช้น้องมะนาวเป็นเครื่องมือเรียกกูออกมา”
“ถูกเผง” เหมยิ้ม เดินเข้ามาใกล้ผม “ก็มึงเล่นเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ไม่ออกมาให้กูเห็นหน้าสักที”
“ถอยไป” ผมผลักมัน ไม่รู้ทำไมยิ่งผมผลักไสมัน ไอ้เชี่ยเหมแม่งก็ยิ่งชอบใจยิ่งเข้ามาใกล้ผมใหญ่เลย “เห้ย กูจะเตือนเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะ ถ้ามึงยังไม่ถอย กูเตะจริงๆด้วย”
“เฮ้ออออ . . ทำไมน่ารักอย่างงี้เนี่ย” มันทำเสียงเพ้อๆก่อนที่จะยอมถอยแต่โดยดี ไอ้เชี่ยเหม ไอ้หน้าด้าน ชมกูแบบนั้นกูไม่ดีใจเลยพูดตรงๆ กูขนลุก กูจะอ้วก!!!!!!!!!
“มึงมัน . . โรคจิต”
“ว่าแต่จะออกไปข้างนอกจริงๆเหรอ อาวิชัยกับน้องมะนาวไม่น่าเบื่อรึไง”
“อยู่กับมึงน่าเบื่อกว่าอีก”
“ฮ่าๆๆๆ พูดออกมาจากใจรึเปล่าเนี่ย”
“เออ!” เอาไอ้เชี่ยเหมไปไกลๆที โคตรน่ารำคาญ
“แต่กูมีทางออกให้นะ” เหมมองผมด้วยสายตากรุ้มกริ่ม “มึงสามารถออกไปจากที่นี่โดยที่พ่อของมึงกับอาวิชัยไม่รู้ไม่เห็น”
ผมชะงักกึกเลยทีเดียว “จริงเหรอวะ”
“จริงสิ”
“งั้นไปเลย”
ใครจะไปอยากอยู่ในที่ที่ตัวเองอึดอัดกันล่ะ ถ้าไอ้เหมมันจะทำอันตรายผมจริงผมก็พร้อมจะสู้อยู่แล้วผมมันชายแท้มาดแมนและแฮนซั่ม ผมไม่มีวันที่จะกลัวมันอยู่แล้ว ไอ้เหมเดินนำผมแบบแอบๆไปที่ห้องครัว ซึ่งมีแต่เชฟที่กำลังทำงานอย่างขยันขันแข็ง ไม่มีใครสนใจผมกับไอ้เหมเลย
“เปิดประตูนั่นก็จะทะลุออกไปลิฟต์ส่งสินค้าแล้ว”
เห้ย ง่ายดีจังเลย ผมรีบเดินดุ่มๆออกไปยังลิฟต์ส่งสินค้าโดยมีไอ้เหมเดินตามมาติดๆ จนกระทั่งเข้ามาอยู่ในลิฟต์ส่งสินค้า
“ขอบใจ” ผมพูด รู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อยที่ออกมาอยู่นอกบรรยากาศที่แสนจะน่าอึดอัดนั่นได้
“ไม่ได้ช่วยฟรีๆอยู่แล้ว”
“ว่าไงนะ” ให้ตายสิ ลืมไปได้ยังไงว่ามันน่ะโคตรเจ้าเล่ห์
“ไหนๆตอนนี้มึงก็ว่างแล้ว” เหรอ กูว่างเหรอวะเนี่ย? “ไปเป็นคู่เดทให้กูหน่อยเป็นไง”
“ฮะ?”
“สัญญาเลยว่ามันจะต้องน่าเบื่อน้อยกว่าตอนที่มึงอยู่กับอาวิชัยและก็น้องมะนาวแน่นอน”
น่าเบื่อน้อยกว่า . . แต่ก็ยังน่าเบื่ออยู่ไม่ใช่เหรอวะไอ้เชี่ยเหม!!!!!!!!!! ยังไม่ทันที่ผมจะปฏิเสธอะไร ผมก็ถูกมันดึงแขนให้เดินไปข้างหน้าแล้ว
ตลาดนัดตอนกลางคืน . .
มันแกล้งผมหรือว่ายังไง ให้ตายสิ ทั้งเนื้อทั้งตัวของผมเหมาะที่จะมาเดินตลาดนั้นเหรอ ขนาดถอดสูทถอดไทดึงเสื้อเชิ้ตออกมาข้างนอกกางเกงสแลคแล้ว ก็ยังดูเป็นทางการมากจนเกินไปอยู่ดี ผมฟึดฟัดกับเรื่องนี้มาก แต่ไอ้เชี่ยเหมเอาแต่หัวเราะแล้วก็พูดเป็นรอบที่แปดสิบว่า “ดูดีอยู่แล้วน่า”
“มันไม่ถูกกาลเทศะ” ผมบ่น “กูอายชาวบ้านเค้า”
“ไหน ไม่เห็นจะมีใครมองเลย”
“ยังไงก็ช่างเหอะ กูขาดความมั่นใจ”
“เอาเสื้อกูไปใส่ป่ะละ”
“มึงอย่ามาตลก”
เหมหัวเราะอีกครั้งก่อนที่จะดันหลังให้ผมเดินไปข้างหน้าแทน คนค่อนข้างพลุกพล่านหน่อยเพราะมันเป็นเสาร์อาทิตย์พอดี
“เฮ้อ เหมือนฝันเลยนะ” เหมพูดเสียงฝันๆ “รู้มั้ย ตั้งแต่ที่กูรู้จักมึง กูก็อยากทำอย่างนี้มาโดยตลอด มาเดทกับมึง มาถือของที่มึงซื้อให้มึง”
ผมแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน รีบเดินจ้ำอ้าวหนีมันอย่างรวดเร็วทีสุด ไม่เคยดีใจเลยที่มีคนอย่างไอ้เชี่ยเหมมาสนใจ ยิ่งนับวันมันยิ่งแสดงออกมากขึ้นแบบนี้ยิ่งทำให้ผมขนลุกและก็รับไม่ค่อยจะได้ ให้มันมาท้าสู้ยังจะใช่วิถีลูกผู้ชายมากกว่า
“เออแฮะ ลืมไปเลย คนอย่างมึงต้องเดินห้าง ใช้ของแบรนด์นี่หว่า”
ที่กูต้องใช้ของแบรนด์เพราะกูไม่มีเวลาซื้อของต่างหาก(จริงๆคือขี้เกียจ) นานๆทีจะซื้อของที่ใช้ก็เลยต้องมีคุณภาพดีและก็ราคาสูงหน่อย แต่ผมเถียงในใจไปก็คงไม่มีประโยชน์ ปล่อยให้มันพล่ามของมันไปนี่แหละ
“เห้ย อันนี้เท่” มันเท่จนผมต้องออกปาก เป็นรองเท้าสีน้ำตาลมือสองที่ยังค่อนข้างใหม่และยังคงมีความเท่ชิบหายวายป่วงซ่อนอยู่
“อื้อ เท่จริงๆด้วย” เหมยิ้มจนตาหยี “ลองใส่ดูสิ”
“เจ้านาย” ยังไม่ทันที่ผมจะหยิบมันขึ้นมาลอง ใครไม่รู้เดินเข้ามาทักผม . . มองกลายๆเห็นเป็นไอ้แอร์ แม่งควงผู้หญิงมาและก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผม สวยดีทีเดียว
“อ้าว . .แอร์”
“ทำไม” มันรำพึงขึ้นมา มองไปที่ไอ้เหมอย่างมีคำถาม “ . . ต้องมากับมัน”
ผมกลอกตาอย่างเบื่อๆ “กูโดนบังคับมา”
“มานี่” มันสวมวิญญาณราชาของมันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แม่งดึงแขนผมให้มาอยู่ฝั่งเดียวกันกับมันซะงั้น “เชื่อผมนะ” มึงทำเชี่ยอะไรของมึง ผู้หญิงเขาถลึงตามองกูอยู่เนี่ย ป่านนี้คงคิดไปเป็นสิบเป็นแสนแล้วว่ากูเป็นกิ๊กมึง!!!!!
“มึงตัดสินใจจะมีเรื่องกับกูวันนี้เหรอวะแอร์” เหมไม่ได้ตกใจอะไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หนำซ้ำแม่งยังทำหน้ากวนตีนใหญ่
“กูจะมีเรื่องกับมึงทุกวันก็ยังได้” ผมเห็นแอร์มันกำหมัดแน่น ฉับพลันทันทีผมเห็นใครมาจากไหนไม่รู้ตั้งหลายคนมายืนห้อมล้อมผมกับไอ้แอร์เอาไว้อย่างน่ากลัว ชนิดที่ว่ามากกว่าห้าคน ผู้หญิงของไอ้แอร์ที่อยู่ข้างๆผมถึงกับตกใจจนหน้าซีดเซียว นี่มันอะไรกัน ตลอดเวลาที่ผ่านมา คนพวกนี้คอยตามไอ้เหมอยู่ห่างๆงั้นเหรอ
“ไอ้เชี่ยเหม ไอ้ฟาย” ผมกัดฟันด่า
“ถ้าไม่มีคนเข้ากันท่า กูก็เดินกับมึงสองต่อสองไม่ได้สิ ยิ่งเป็นมึงด้วยแล้ว ใครๆเค้าก็อยากกันมึงออกไปจากกูทั้งนั้นนี่นา”
“เหี้ย”
“ว่ายังไงล่ะแอร์ จะยอมให้กูเดทกับเจ้านายดีๆ หรือมึงจะต้องมาเจ็บตัวแทน” อะไรมันจะเหี้ยได้ถึงขนาดนั้น ผมมันสำคัญขนาดนั้นเลยรึไงสำหรับไอ้เชี่ยเหม หรือมันแค่อยากแกล้งผมกันแน่ แต่ยังไงก็แล้วแต่ วันนี้จะต้องไม่มีใครเจ็บตัวเพราะผม
“แอร์มึงไปเดินเที่ยวกับแฟนเถอะ” กะอีแค่เดินเล่นกับไอ้เหมคงไม่มีอะไรเลวร้ายนักหรอกมั้ง ถึงไงผมก็ไม่อยากให้ใครต้องมาเจ็บตัวเพราะผมอีกแล้ว
“ไม่ได้นะ”
“เชื่อกู” มึงอย่ามามากเรื่องนะเว้ย ให้มันจบแค่นี้แหละ
“แต่ . .”
“ถ้ามันจะทำอะไรกู กูรับผิดชอบเรื่องของกูเอง”
แอร์มองมาที่ผมอย่างหนักใจ รู้เลยว่าพวกชายโฉดนี่แม่งก็เหมือนลูกพี่มันนั่นแหละ ห่วงสวัสดิภาพผมมากกว่าสวัสดิภาพของตัวเองตลอด ไม่รู้ผมเป็นนายพวกมันตั้งแต่ชาติปางไหน
“ถ้าอย่างนั้น . .”
“เฮ้ย!!!!!!!!!!”
นี่กูโดนลากอีกแล้วเหรอ กูเบื่อ กูเพลียยยยยยยยยยย ผมโดนไอ้แอร์กระชากแขนอย่างแรงแล้วรีบวิ่งหนีพวกไอ้เหม แฟนไอ้แอร์แม่งก็ถูกลากไปด้วยเหมือนกัน วิ่งกันหัวจะทิ่ม
“อย่าปล่อยให้นายหนีได้นะพวกมึง”
ไอ้เหมบอกลูกน้องมัน เวร เวรของจริงละงานนี้ พวกผมวิ่งหนีพวกไอ้เหมจนสร้างความวุ่นวายให้ตลาดเป็นอย่างมาก ในเมื่อแม่งหนียากไอ้แอร์ก็ลากผมให้เข้าไปในที่ๆคนเยอะๆแทน ตรงนี้คนแออัดมากมากเสียจนพวกผมทั้งสามกลมกลืนไปกับคนเหล่านั้น หันไปมองข้างหลังอีกที พวกไอ้เหมก็หายไปจากคลองสายตาแล้ว
“โทษทีนะครับ ผมไม่ยอมให้เจ้านายอยู่ใกล้มันหรอก” แอร์พูดด้วยเสียงหอบ แล้วหันไปกระซุบกระซิบกับแฟนอย่างขอโทษขอโพยที่พาเธอต้องมาลำบากด้วย
ถึงไงก็เถอะ ตอนนี้คิดว่าโอกาสที่พวกไอ้เหมแหกฝูงชนพวกนี้แล้วมาเจอผมกับไอ้แอร์คงเป็นเรื่องยาก
“มานี่เถอะครับ”
แอร์บอกกับผม ผมที่ไม่รู้จะทำยังไงต่อก็ได้แต่เดินตามมันไป จนกระทั่งแอร์มันมาหยุดตรงร้านที่แม่เจ้า O.O คงมุงเยอะมาก แต่ดันไม่เข้าไปอุดหนุนซะงั้น
“คนมุงเหี้ยไรกันวะ ใครตีกัน”
“เปล่าหรอกครับ” แอร์บอกยิ้มๆแต่เป็นแบบเหนื่อยๆ “คนขายมันหล่อ”
เวร แล้วมันจะพาผมมาที่นี่ทำไมกันล่ะ แอร์พาผมเดินไปจนกระทั่งผมถึงกับบางอ้อ ทำไมผมไม่เอะใจนะว่านี่มันร้านน้ำเต้าหู้ ซึ่งเป็นร้านขนาดย่อม มีเก้าอี้กับแสงเทียนชิวๆให้นั่งแทะปาท่องโก๋จิ้มสังขยา ที่คนมุงแล้วก็ไม่เข้าไปอุดหนุนนั่นอาจจะเป็นเพราะ . . ที่นั่งเต็ม และบางส่วนซึ่งก็คือส่วนใหญ่กำลังต่อแถวซื้อของจากคนขายอย่างกับคริสปี้ครีมสมัยที่เปิดใหม่ๆแน่ะ
“มันเพิ่งมาเปิดแถวนี้เหรอ” ผมถามแอร์
“ได้สักพักแล้วล่ะครับ ยิ่งมันมาขายช่วยพ่อ ร้านก็ยิ่งดัง มันก็ยิ่งดัง ก็เลยขายดีอย่างนี้ไง”
“ชิ” ผมหมั่นไส้ “น้ำเต้าหู้อร่อยเฉยๆหรอก ไม่เกี่ยวอะไรกับมัน”
“ฮ่าๆ เราไปทักมันดีกว่านะครับ” ยังไม่ทันที่ผมจะปฏิเสธผมก็โดนไอ้แอร์ดันหลังเข้าไปทางหลังร้านซะแล้ว
เห้ย . . เห็นแล้วขำ ไอ้มังกรใส่ผ้ากันเปื้อนครึ่งตัวสีขาว ข้างบนเป็นเสื้อยืดคอวีสีน้ำเงิน แม่งกำลังทอดปาท่องโก๋อยู่เลยครับพี่น้อง
เหมือนพ่อมันจะไม่อยู่ . . แอร์ส่งเสียงให้มังกรมันได้ยินสักหน่อย
“เฮ้ เป็นไงบ้างเพื่อน”
มังกรได้ฤกษ์เงยหน้าขึ้นมา มันพยักหน้าให้แอร์เป็นเชิงทัก แต่เมื่อเห็นผม . . แม่งก็ทำไม้ที่ใช้เขี่ยๆปาท่องโก๋เมื่อตะกี้หล่นลงไปบนพื้น เหมือนตกใจนักหนาว่าผมมายืนอยู่ตรงนี้ได้ไง
“ไอ้เหี้ย กูไม่ใช่ผีนะ” อดกัดไม่ได้ . .
มังกรปรับสีหน้าให้เข้าที่เหมือนเดิมคือนิ่งตามคอนเซปต์ของมัน
“กูพามาส่ง” แอร์บอกด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจราวกับว่าการพาตัวผมมาเป็นผลงานชิ้นเยี่ยม
“ไปเจอที่ไหน” พ่อง คุยกันอย่างกับกูเป็นหมาที่ไอ้มังกรทำหาย . .
“ . . อยู่กับเชี่ยเหม” ผมสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตที่ถูกส่งผ่านมาทางสายตาสีฟ้าๆของไอ้ฝรั่งหัวดำที่เป็นพ่อค้าน้ำเต้าหู้ในวันนี้ . . แม่ง ทำไมมองกูเหมือนกูทำผิดอะไรร้ายแรงขนาดนั้นด้วยเล่า ???
มึงทำให้กูรู้สึกผิดขึ้นมาแบบงงๆ ?!!!