ปฏิญญารัตติกาล บทส่งท้าย [28/01/13]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ปฏิญญารัตติกาล บทส่งท้าย [28/01/13]  (อ่าน 96355 ครั้ง)

ออฟไลน์ Paracetamol

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 660
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-2
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่2 [12/10/12]
«ตอบ #30 เมื่อ13-10-2012 16:31:52 »

วาลเซอิคจะช่วยยังไงล่ะ อิอิ  :z1:

ออฟไลน์ Lemon_Tea

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1641
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่2 [12/10/12]
«ตอบ #31 เมื่อ13-10-2012 17:02:54 »

ฝันถึงเซเอลก็บอกมาเถอะ หนุ่มน้อย

ออฟไลน์ YounIn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-8
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่2 [12/10/12]
«ตอบ #32 เมื่อ15-10-2012 11:24:49 »

แล้ว ใคร เป็น พ่อ

แล้ว จะ แก้ ยังไง นะ หุหุหุ  :impress2: :impress2: :impress2: :impress2:

ต่อๆๆ

ออฟไลน์ rubymoona

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +86/-5
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่2 [12/10/12]
«ตอบ #33 เมื่อ15-10-2012 13:26:45 »

ฮา!!!น่าสงสารจังคะเจ้าหนูน้อย!!!!กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก  :pigha2:
ว่าแต่ท่านเซเอลจะทำอะไรคะ จะกินเด็กเหรอ ไม่ดีม๊างงงงงงงงงงงงงง ให้เด็กกินดีกว่าน่า! :-[

ออฟไลน์ reborn23

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่2 [12/10/12]
«ตอบ #34 เมื่อ15-10-2012 14:42:01 »

ฝันถึงใครเอ่ย หนูวาล

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่2 [12/10/12]
«ตอบ #35 เมื่อ16-10-2012 18:29:41 »

ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เซียร์จะติดงานงานหนังสือ ดังนั้นคงจะไม่ได้อัพจนกว่าจะจบงานนะคะ ;w;

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่2 [12/10/12]
«ตอบ #36 เมื่อ16-10-2012 18:34:51 »

รับทราบค่ะ

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่3 [8/11/12]
«ตอบ #37 เมื่อ08-11-2012 18:51:53 »

บทที่ 3 หลังม่านหมอก


   วาลเซอิคกลับมาถึงปราสาทก็พบบรรยากาศแปลกประหลาดซึ่งถ่ายทอดมาจากทุกคนรอบตัวเขาราวกับว่าแต่ละคนมีบางสิ่งบางอย่างอยู่ในใจแต่ไม่ยอมพูดออกมา ซึ่งก็อาจจะดีกับตัวเขาเองซึ่งในตอนนี้ไม่อยากจะมองหน้าใครนัก ความรู้สึกอับอายกับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นทำให้เขาสบายใจมากกว่าเมื่อไม่มีใครจ้องมอง

   เด็กหนุ่มพาตัวเองเข้าไปในห้องอาหารที่ไร้วี่แววผู้คนเหมือนทุกวัน เมื่อเขาโตขึ้น คนในปราสาทก็ไม่ได้ประคบประหงมเขาอย่างเคยจึงเริ่มคุ้นชินกับการกินอาหารคนเดียว ในขณะที่คนอื่น ๆ ดื่มกินเลือดของสัตว์ที่เขาได้มา ซึ่งหลาย ๆ ครั้งความแปลกประหลาดนี้ได้ชักจูงให้เกิดความสงสัย แต่เพราะเป็นภาพที่เจนตามาแต่เล็กแต่น้อยในที่สุดเขาก็มองว่ามันเป็นเรื่องปกติไป กลับกัน ตัวเขากลายเป็นความแปลกประหลาดเสียเองเพราะเป็นเพียงบุคคลเดียวที่ต้องกินสิ่งที่เรียกกันว่าอาหาร

   หลังจากอิ่มเอมกับมื้อเย็นแล้ว วางเซอิคก็คิดจะไปพักผ่อน ทว่าคัลดิชกลับเดินเข้ามาขวางเขาเอาไว้ด้วยสีหน้าที่บ่งบอกอารมณ์ไม่ถูก

   “นายท่านเรียกเจ้าให้ไปพบ”

   วาลเซอิคมุ่นคิ้ว การเรียกครั้งนี้ดูเป็นทางการกว่าปกติจนน่าสงสัย เพราะเซเอลไม่เคยเรียกหาเขาเป็นการส่วนตัวแบบนี้มาก่อน แต่ก็สามารถพบได้เกือบทุกเวลาที่ต้องการ

   “ตอนนี้เลยหรือ?”

   ชายหนุ่มกลอกตาสีแดงเลือดของตนพลางไหวไหล่เหมือนจะตอบรับคำนั้นอยู่กลาย ๆ โดยไม่ได้พูดออกมา แต่วาลเซอิคก็พอจะเข้าใจความหมายของท่าทางนั้นได้ จึงกล่าวขอบคุณคัลดิชแล้วผละเดินตรงไปยังห้องที่เซเอลมักใช้พำนักอยู่เป็นประจำ นั่นคือห้องอ่านหนังสือ

   เมื่อไปถึง ยังไม่ทันจะยกมือเคาะ ประตูบานใหญ่นั้นก็เปิดออกต้อนรับราวกับมีคนที่มองไม่เห็นตัวคอยเปิดปิดประตูให้อยู่

   เซเอลนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง แสงเทียนดวงเล็ก ๆ โบกไหวเมื่อประตูเปิดออกและกลับยืนตรงนิ่งเช่นเดิมเมื่อประตูปิดลง เจ้าของห้องเงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือนด้วยสายตาที่ไม่ได้แสดงอารมณ์ใด ๆ เขาวางหนังสือลงก่อนประสานมือบนหน้าตัก

   “เป็นเช่นไรบ้าง?” คล้ายจะเป็นคำถามทั่วไป แต่สำหรับวาลเซอิคนั้นเป็นคำถามที่ค่อนข้างเจาะจง

   “ก็....ไม่แตกต่างจากเดิมเท่าไหร่...” วาลเซอิคตอบพลางเกาท้ายทอยด้วยความรู้สึกประหม่า ไม่ใช่ประหม่าตัวเซเอล แต่เป็นความประหม่าต่อความรู้สึกอื่น

   “ถ้าอย่างนั้นวันนี้เจ้าคงจะไปเดินเล่นกับข้าได้”

   เดินเล่น?

   ร้อยวันพันปีเซเอลไม่เคยพูดคำนี้ออกมาจากปากสักครั้ง มีแต่เขาคนเดียวที่เพียรพยายามชวนเซเอลออกไปข้างนอกบ้างแต่เจ้าตัวก็ตอบปฏิเสธแล้วเรียกคนอื่นมาพาเขาออกไปแทนเสมอ

   แต่เซเอลก็ไม่ได้รอคำตอบรับ เจ้าตัวลุกขึ้นยืนและหยิบเสื้อคลุมมาปกปิดเรือนผมสีเงินของตนเอง อีกทั้งเงาของฮูดยังปิดถึงเกือบครึ่งหน้าจนมองไม่เห็นดวงตาสีแดงเลือดน่าสะพรึงกลัวคู่นั้น ก่อนที่จะเดินสวนกับวาลเซอิคออกมาข้างนอก ทำให้ผู้ถูกชักชวนต้องรีบสาวเท้าตามไปแม้ใจจะยังสงสัยว่าอีกฝ่ายต้องการจะทำอะไรกันแน่ กระนั้นเซเอลก็ไม่ใช่คนช่างพูดมากนัก ถึงเขาจะถามก็ใช่จะได้รับคำตอบ มีทางเดียวที่วาลเซอิคสามารถเลือกได้คือต้องไปหาคำตอบที่ต้องการเอาดาบหน้า

   อาร์วิน่า คัลดิชและคัลมาร์ ยืนมองทั้งสองจากหน้าต่างบานหนึ่งบนปราสาท ต่างก็คาดเดาได้เลา ๆ ว่าเซเอลคิดจะทำอะไร แม้ไม่ใช่ความคิดที่ดีในความเห็นของพวกเขา แต่ก็คงจะเป็นทางเดียวกระมังสำหรับเด็กชาวมนุษย์คนนั้น เพราะอย่างไร...ผู้ต้องสาปอย่างพวกเขาก็ไม่อาจตอบสนองทุกความต้องการของมนุษย์ได้

   “ไม่นึกเลยนะว่าวันหนึ่งจะมีปัญหายุ่งยากแบบนี้เกิดขึ้นมาได้” คัลมาร์ถอนหายใจพลางส่ายศีรษะ

   “แต่ข้าคิดว่านายท่านเคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน” อาร์วิน่ามีความเห็นเป็นอีกอย่าง สีหน้าของเธอดูไม่พอใจกับการตัดสินใจนี้นักแต่ไม่อาจคัดค้านได้ “มนุษย์นั้นมีแรงผลักดันต่ออารมณ์ความรู้สึกมากกว่าพวกเรา ยังไงมันก็ต้องเกิดขึ้นในสักวัน เพราะมันเป็นสัญชาตญาณในการสืบเผ่าพันธุ์ตามธรรมชาติ ถ้าหากว่าเรื่องนี้จบแค่นั้นมันก็คงจะดีอยู่หรอก” หญิงสาวมีความกังวลอื่นอยู่ในใจ มันเป็นแค่ข้อสันนิษฐานแต่ก็ใช่จะไม่มีทางเกิดขึ้น กระนั้นความเป็นหญิงของเธอก็ยังคงร้องเตือนถึงมันอย่างแผ่วเบา

   ในขณะที่อาร์วิน่าและคัลมาร์แลกเปลี่ยนความเห็นกัน คัลดิชกลับไม่พูดอะไรและหมุนตัวเดินห่างออกมาจากหน้าต่างเงียบ ๆ

   “นั่นเจ้าจะไปไหน?” อาร์วิน่าเรียกอีกฝ่ายไว้ด้วยคำถาม

   “แทนที่จะคุยกันอยู่แบบนี้ ข้าว่าตามไปดูเองเลยดีกว่า” คัลดิชว่า “นายท่านก็ไม่ได้ห้ามอยู่แล้วด้วย”

   คัลมาร์เห็นด้วยกับฝาแฝดตนเองทันที เพราะเจ้าตัวก็รู้สึกเป็นห่วงทั้งสองอยู่ไม่น้อย ข้อแรกวาลเซอิคยังเด็กเกินไป และข้อสอง เจ้านายของพวกเขาอาจจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากก็เป็นได้

   เซเอลเป็นเจ้าเหนือปราสาทแห่งนี้ หากสิ้นเซเอลสถานที่นี้ก็จะสูญสิ้นไปด้วย เพราะเหตุนั้นพวกเขาจึงมีหน้าที่ปกป้อง กระนั้นครั้งนี้เจ้าตัวกลับยืนยันว่าจะพาวาลเซอิคไปด้วยตัวเองซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกวิตกกังวลขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แต่มีเพียงคัลดิชที่กล้าออกความเห็นเช่นนี้

   “ถึงนายท่านจะไม่ได้ห้ามก็เถอะ แต่ก็ไม่ได้ออกปากอนุญาต ตามปกติเจ้าไม่ใช่คนที่มองหาช่องว่างในคำสั่งแบบนั้นนี่?” อาร์วิน่าตั้งข้อสังเกตขณะเดินตามหลังออกมาจากห้อง

   “เลี้ยงเด็กมาก ๆ คงจะติดนิสัยเด็กมาเสียล่ะมั้ง” คัลมาร์เปรยพลางหัวเราะโดยไม่ได้คิดอะไร แต่ทันใดนั้นหน้าของคัลดิชก็มีริ้วแดงเกิดขึ้น

   “พูดบ้า ๆ”

-------------------------->

   วาลเซอิคเดินตามหลังเซเอลเข้าสู่ผืนป่าที่ห้อมล้อมด้วยต้นไม้สูงใหญ่ ความคุ้นเคยบังเกิดขึ้นในความทรงจำ ทั้งกลิ่นชื้นแฉะของผืนดิน กลิ่นของต้นไม้ เสียงแสกสากที่ดังจากรอบด้านโดยไม่ปรากฏเงาสิ่งใด เงาของต้นไม้ที่ทาบลงมาบนพื้นดินจนแทบไม่เห็นแสงจันทร์ที่สาดส่องจากเบื้องบน

   มันเป็นเพียงความคุ้นเคยจากความทรงจำอันเลืองรางที่แทบจะลืมเลือนไปหมดแล้ว

   แต่เมื่อเดินไกลออกมาจากปราสาทมากขึ้น ความหนาทึบของผืนป่าก็น้อยลงจนกระทั่งถึงบริเวณที่มีต้นไม้เพียงหยิบมือ จากตรงนี้เป็นเนินทำให้มองเห็นเบื้องล่างว่าเป็นหมู่บ้าน

   “นั่นมัน.....”

   นานแสนนานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้คิดถึงเลยว่าเขาเคยอยู่ในหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยผู้คนมาก่อน แต่ตอนนี้ภาพของหมู่บ้านกลับดูแปลกตาไปจากที่เคยจำได้ เพราะมันเงียบเชียบอย่างไม่น่าเชื่อ

   “ตามข้ามาสิ” เซเอลเดินนำไปก่อน โดยอ้อมไปอีกด้านหนึ่งซึ่งมองเห็นอีกมุมของหมู่บ้านที่แตกต่างจากมุมที่เงียบงันในตอนแรก เพราะในมุมนี้มีจุดหนึ่งที่อยู่ท้ายหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยแสงไฟและผู้คน ดูเป็นขอบเขตที่แตกต่างจากตัวหมู่บ้านราวกับเป็นส่วนเกิน

   พวกเขาพากันตรงไปที่จุดนั้นโดยที่วาลเซอิคไม่รู้ว่าเป็นสถานที่แบบใด

   เสียงเพลงดังออกมาจากร้านรวงที่มีแสงไฟสว่างจ้า ด้านหน้าร้านบางร้านมีหญิงสาวสวมชุดเปิดเนินอกส่งสายตาเชิญชวนชายหนุ่มที่เดินผ่านไปผ่านมาพร้อมแอ่นองค์เอวให้อีกฝ่ายทัศนา บ้างก็เดินเข้าไปเกาะเกี่ยวแขนบดเบียดเนินอกอิ่มและพยายามดึงเข้าไปในร้าน เป็นบรรยากาศแบบที่วาลเซอิคไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนแม้กระทั่งในความทรงจำวัยเด็กอันห่างไกล เขาไม่เคยรู้เลยว่ามีสถานที่แบบนี้ในหมู่บ้านด้วย

   พวกเขาเดินผ่านร้านที่มีผู้ชายตัวใหญ่หึ่งกลิ่นเหล้าเดินออกมาพร้อมหญิงสาวหน้าตาสะสวย ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายอย่างอารมณ์ดีแต่ไม่ค่อยเป็นภาษาผสมไปกับเสียงหัวเราะคิกคักของฝ่ายหญิง นับว่าเป็นภาพที่แปลกตาอยู่ไม่ใช่น้อย

   เซเอลเลี้ยวเข้าไปในร้านหนึ่งซึ่งมีหญิงสาวหลายคนนั่งอยู่ด้านหน้า พวกเธอล้วนแต่สวมใส่เสื้อผ้าที่เปิดเผยช่วงไหล่จนถึงเนินอก รัดเอวจนเล็กและเน้นสะโพกผายน่ามอง สายตาของพวกเธอมองมาอย่างยั่วยวนแต่ให้อารมณ์เหมือนสายตาของจิ้งจอกยามจับจ้องเหยื่อ วาลเซอิคไม่กล้าสบดวงตาเหล่านั้น และรีบวิ่งตามไปเกาะด้านหลังเซเอลโดยไม่กลัวเสียมาดแม้แต่น้อย

   ภาพของเด็กชายอายุสิบสามเกาะชายผ้าคลุมชายหนุ่มทำให้สาว ๆ หัวเราะคิกคักอย่างเอ็นดู พวกเธอไม่ค่อยได้พบเจอเด็ก ๆ ในสถานที่แบบนี้นัก ปฏิกิริยาของวาลเซอิคจึงน่ารักน่าชังเป็นอย่างยิ่ง กระนั้นเสียงหัวเราะของพวกเธอทำให้เด็กหนุ่มอยากกลับไปที่ปราสาทอันแสนสงบ

   แต่ความประหม่าของวาลเซอิคไม่ได้ทำให้เซเอลเปลี่ยนใจจากสิ่งที่กำลังจะทำแม้แต่น้อย

   ชายหนุ่มเดินเข้าหาหญิงสาวสูงวัยที่ยังแต่งตัวสวยงามดึงอายุตัวเองให้ดูน้อยกว่าความเป็นจริง กระนั้นบุคลิกของเธอก็กรีดกรายราวกับนางพญา ทำให้มองดูก็รู้ได้ทันทีว่าเธอคือแม่เล้า และเมื่อเธอเห็นแขกที่ไม่ยอมเปิดเผยใบหน้า เธอก็ยิ้มต้อนรับพลางยกยาสูบขึ้นจรดริมฝีปากก่อนเป่าควันสีขาวออกมา

   “มีอะไรให้รับใช้หรือ?” เธอเอ่ยถาม

   “ข้าต้องการหญิงสาวที่ดีที่สุดของเจ้า” เซเอลตอบตามตรงโดยไม่อ้อมค้อม แต่แม่เล้ากลับมองกลับมาด้วยดวงตาที่เคลือบไปด้วยความไม่ไว้วางใจ

   “ผู้หญิงที่นี่ส่วนมากมีแขกประจำกันทั้งนั้น สำหรับแขกที่ไม่ยอมเปิดเผยกระทั่งหน้าตา....” ไม่ทันจบประโยคดี เหรียญทองจำนวนมากก็ถูกวางลงบนเคาท์เตอร์ด้านหลัง นัยน์ตาของแม่เล้าเป็นประกายระยับเมื่อต้องกับทรัพย์สินสูงค่าอย่างหาได้ยาก

   “สำหรับข้าไม่จำเป็น แต่ข้าต้องการให้เด็กคนนี้” เซเอลวาดมือไปด้านหลังและรุนวาลเซอิคให้มายืนข้างหน้า

   หญิงวัยกลางคนผู้เป็นแม่เล้ามองพิจารณาเด็กหนุ่มอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจหันไปเรียก

   “เอลยา”

   “คะ?” หญิงสาวยังรุ่น ๆ เดินแทรกผู้คนออกมาจากมุมหนึ่งของร้าน เธอขานตอบด้วยเสียงหวานใสและใบหน้ายิ้มแย้ม

   “ช่วยดูแลเด็กคนนี้ให้หน่อยสิ เขาเพิ่งเคยมาที่นี่ คงต้องการคำแนะนำหลายอย่าง” แม่เล้าผายมือไปทางวาลเซอิค เอลยาจึงยิ้มกว้างขึ้นแล้วเดินเข้าไปหา

   “ตามข้ามาทางนี้สิ ข้ามีอะไรดี ๆ ให้เจ้าดูด้วยนะ” เอลยาเอ่ยชวนด้วยสีหน้าที่ปั้นแต่งให้เหมือนพี่สาวใจดี วาลเซอิคหันไปขอความคิดเห็นจากเซเอลและเมื่อเห็นการพยักหน้าตอบรับจึงยอมเดินตามหญิงสาวไปแต่โดยดี แต่ก็ยังหันมองเซเอลเป็นระยะจนกระทั่งลับหัวบันไดไปทางชั้นสอง

   ชายหนุ่มผละจากเคาท์เตอร์ทันทีหลังจากวาลเซอิคจากไป เขาเดินออกไปด้านนอกโดยเดินผ่านผู้คนซึ่งจ้องมองมายังตัวเขาด้วยสายตาแตกต่างกัน แต่เจ้าตัวไม่ได้นึกสนใจ เขาเดินออกไปที่ถนนซึ่งผู้คนมากหน้าหลายตาต่างสรวลเสเฮฮากับสุราและนารี ก่อนหันมองไปยังทิศทางหนึ่ง ที่ปลายสายตาของเขาคือหอระฆังของหมู่บ้านซึ่งสร้างไว้สูงมากพอจะส่งเสียงกังวานของมันไปทั่ว จุดที่หอระฆังแห่งนี้ตั้งอยู่เป็นจุดกึ่งกลางระหว่างหมู่บ้านที่เป็นเขตที่อยู่อาศัยและตรงจุดที่เป็นเมืองกลางคืน หากมองจากบนนั้นจะสามารถเห็นได้ทั่วทั้งหมู่บ้าน

   เซเอลมุ่งตรงไปยังหอระฆังด้วยฝีเท้าที่รวดเร็วแต่เงียบเชียบ ท่ามกลางเสียงจอกแจกจอแจของผู้คน ตัวเขาจึงเปรียบเสมือนเงาที่แอบแฝงตนเองไว้อย่างเงียบงันและเคลื่อนผ่านผู้คนเหล่านั้นไปโดยที่ไม่มีใครคิดจะสังเกต ผ้าคลุมสีเข้มสะบัดพลิ้วไปตามแรงลมที่พัดสวนกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย แต่เขาก็คอยระมัดระวังผ้าคลุมศีรษะเป็นอย่างมากไม่ให้มันหลุดออก

   เพียงไม่นาน ชายหนุ่มก็มายืนใต้หอระฆัง ซึ่งแสงจันทร์สาดส่องทาบเงาของมันลงมาบนตัวเขาพอดี

   บริเวณนี้ค่อนข้างเงียบเมื่อเทียบกับอีกจุดหนึ่งที่เขาอยู่เมื่อครู่ ในขณะที่มองซ้ายขวาแล้วไม่มีใครผ่านมาอย่างแน่นอน เซเอลก็ย่อตัวลงเล็กน้อยก่อนจะถีบตนเองพุ่งขึ้นไปบนอากาศ ใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีหยั่งเท้าลงบนส่วนที่ยื่นออกมาของหอและส่งแรงผลักอีกครั้ง หลังจากทำเช่นนี้ เซเอลก็สามารถขึ้นมายืนอยู่บนขอบของชั้นระฆังได้อย่างไม่ยากเย็นและไม่เสียเหงื่อแม้แต่น้อย

   กระนั้นการกระทำของเขาก็ใช่จะหลุดรอดสายตาของบุคคลกลุ่มหนึ่งซึ่งตอนนี้ทั้งสามยืนรออยู่ข้างระฆังใบใหญ่ที่ทิ้งตัวนิ่งสงบภายในบรรยากาศยามราตรี

   “ทำไมพวกเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?” เซเอลมองพลางเอ่ยถาม

   ทั้งสามมองหน้ากัน เหมือนผลักภาระให้อีกฝ่ายเป็นคนตอบ

   “พวกเรามีหน้าที่ปกป้องท่าน จะให้พวกเรารออยู่แต่ในปราสาทคงไม่เหมาะสมเท่าไหร่” อาร์วิน่าที่ถูกสองแฝดผลักหน้าที่มาให้จำต้องเป็นคนตอบอย่างไม่อาจขัดขืนได้ “อีกอย่าง วาลเซอิคก็เป็นเด็กในปกครองของพวกเราทุกคน หากจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาก็ควรจะอยู่ในสายตาพวกเราด้วย”

   เซเอลเงียบไปครู่หนึ่งขณะเดินเข้ามาด้านในและมองออกไปยังสถานที่ที่วาลเซอิคอยู่ในตอนนี้

   “ตอนนี้พวกเจ้าคงบังคับให้เขาอยู่ในสายตาไม่ได้หรอก” ถ้อยคำนั้นแฝงความนัยบางอย่างเอาไว้

   “แบบนี้จะดีหรือ? ท่านไม่ต้องการให้เขาคลุกคลีกับมนุษย์มากเกินไปไม่ใช่หรือ?” อาร์วิน่าตั้งข้อสงสัย “เพราท่านกลัวว่าเขาจะมีจุดจบเหมือนกับ....”

   “อาร์วิน่า!” คัลมาร์กระซิบเตือนเสียงเครียด

   “ช่างเถอะ” เซเอลโบกมือ “ที่อาร์วิน่าพูดก็ไม่ผิด ข้าไม่อยากให้เขาใกล้ชิดมนุษย์มากเกินไปเพราะมนุษย์นั้นมีจิตใจที่สุดจะหยั่งถึง ข้าสัญญากับนางไว้ว่าข้าจะปกป้องเขาให้ดีที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นพวกเราก็ไม่อาจกันเขาออกจากมนุษย์อย่างสมบูรณ์ได้หรอก”

   “แล้วหากวันหนึ่งเขาโหยหาจะอยู่กับมนุษย์ด้วยกันขึ้นมา....?”

   “......”

   เซเอลไม่ได้ตอบคำถามนั้น สายตาของเขามองออกไปไกลอย่างไร้จุดหมาย กระนั้นในใจของเขาก็คล้ายจะมีคำตอบอยู่แล้ว....

   เพราะเมื่อถึงเวลานั้น...ที่สุดตัวเขาก็ไม่มีอำนาจจะทำอะไรได้อยู่ดี

-------------------->
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-11-2012 18:59:23 โดย ZIar »

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่3 [8/11/12]
«ตอบ #38 เมื่อ08-11-2012 18:54:56 »

   แสงเทียนที่ถูกดับไปกลับถูกจุดขึ้นอีกครั้ง ส่องให้เห็นภายในห้องที่เป็นระเบียบเรียบร้อยยกเว้นแต่เพียงบนเตียงซึ่งมีสองร่างเปลือยเปล่าเอนอยู่ด้วยกัน เครื่องนอนที่ยับย่น หมอนที่ถูกปัดตกลงมาด้านล่าง และเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ถูกถอดกระจายไปทั่วอย่างไร้ระเบียบ บ่งบอกได้ดีถึงกิจกรรมที่เกิดขึ้นจนถึงเมื่อครู่นี้

   “นี่ เจ้าฝันถึงใครหรือ?” เอลยาเอ่ยถามพลางพลิกตัวคว่ำ ผ้าห่มผืนบางเลื่อนไหลไปกับส่วนโค้งเว้าของร่างกาย

   “.......อ....อะไรนะ?” วาลเซอิคสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกถามเข้าอย่างนี้โดยไม่ทันตั้งตัว เขาชะงักจากการเอื้อมมือไปหากางเกงแล้วหันกลับมาถามด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน

   เอลยาหรี่ตานิด ๆ ทำให้ดวงตาของเธอเป็นประกายดูสวยงามและมีเสน่ห์แบบลึกลับ ดวงตาที่ทำให้เขาคิดถึงใครบางคนที่มักจะไม่แสดงออกทางสีหน้า ทว่าในแววตากลับมีความรู้สึกบางอย่างอยู่เสมอเมื่อจ้องมองมาทางเขา เมื่อคิดเช่นนั้น ใบหน้าของเขาก็แดงวาบขึ้นมาจนแม้อยู่ใต้แสงเทียนสลัวก็สามารถสังเกตเห็นได้

   “อย่ามาปิดบังข้าหน่อยเลย” เอลยาพาตนเองขึ้นไปเกยบนตักเด็กหนุ่ม อกอวบอิ่มบดเบียดกับหน้าขาโดยไม่มีสิ่งใดกางกั้น ริมฝีปากสีเรื่อของหญิงสาวยังคงแย้มยิ้มพลางกล่าวต่อไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงนิ่ง “เจ้าไม่รู้หรือว่าที่นี่เป็ฯที่แบบไหน เด็กแบบเจ้าใช่ว่าข้าเพิ่งเคยเจอเสียเมื่อไหร่ ว่ากันว่า...เมื่อเด็กชายมีครั้งแรกมักจะฝันถึงใครบางคน จริงหรือเปล่า?” ในขณะที่ถามเช่นนั้น เรียวนิ้วก็ไต่ไปบนท่อนขา

   “ก็คงจะ...ประมาณนั้น....” วาลเซอิคตอบไม่เต็มคำก่อนยกมือขึ้นปิดปากอาย ๆ แล้วมองไปทางอื่น

   “ไม่ต้องบอกชื่อก็ได้ เด็กส่วนใหญ่ก็ไม่ได้รู้จักชื่อคนในฝันหรอก” หญิงสาวหัวเราะ “รูปร่างหน้าตาเจ้าจำได้หรือไม่?”

   เด็กหนุ่มแสดงความลังเลด้วยสีหน้าและท่าทางอย่างโจ่งแจ้ง แต่เมื่อคิดดูดี ๆ แล้ว ที่นี่ก็ไม่มีใครได้ยินนอกจากเอลยาและตัวเขาเอง ดังนั้น...ถึงพูดไปคน ๆ นั้นก็คงไม่รู้

   “เป็น....ผู้ชาย.....”

   เอลยาเลิกคิ้วน้อย ๆ ก่อนจะยิ้มหวานเช่นเดิม

   “ไม่น่าแปลกหรอก บางคนก็ฝันถึงผู้ชายบ้าง”

   วาลเซอิคเงียบไปอีกครั้ง เหมือนพยายามจะพูดแต่ก็ไม่กล้าพูดจึงได้แต่อ้าปากและหุบกลับไปก่อนกวาดสายตาไปรอบ ๆ ด้วยท่าทีหนักใจอยู่ไม่น้อย กระนั้นเขาก็ค่อย ๆ เปล่งเสียงออกมาอย่างแผ่วเบาราวกับกลัวว่าจะมีใครมาได้ยินบทสนทนานี้เข้า

   “....เขามี...ผมสีเงินยาว แล้วก็...ดูลึกลับ”

   “เห.......?”

   คราวนี้เอลยาเปล่งเสียงสูงขึ้นด้วยความประหลาดใจอย่างมาก

   “มีอะไรหรือ?” วาลเซอิคมุ่นคิ้ว

   “คน ๆ นั้นแต่งกายเหมือนชนชั้นสูงด้วยหรือเปล่า?”

   คำถามนั้นทำให้วาลเซอิคหยุดคิดไปชั่วครู่ เพราะเครื่องแต่งกายของเซเอลนั้นเขาเห็นจนเจนตาจึงไม่รู้ว่าจัดอยู่ในระดับไหน แต่หากเทียบกับคนในหมู่บ้านที่เขาเห็นอยู่ตอนนี้ ก็คงจะดูมีราคากว่าและเรียบร้อยเป็นระเบียบแบบแผนมากกว่า แบบนั้นคงเรียกว่าเครื่องแต่งกายของชนชั้นสูงได้กระมัง?

   วาลเซอิคพยักหน้าหลังจากได้ข้อสรุปในใจ

   “ตายจริง...” เอลยาอุทานแล้วลูบอกตัวเอง “ดีแล้วที่เจ้าพบเขาแต่ในความฝัน”

   “ทำไมกัน?”

   “เจ้าไม่เคยได้ยินหรอกหรือ? ตำนานของท้องที่แถบนี้น่ะ” หญิงสาวขยับตัวขึ้นนั่งแล้วคว้าหมอนใกล้มือมาอิงกับหัวเตียง รวบผมยาวไปพากที่บ่าข้างหนึ่ง ปล่อยให้ผ้าห่มเลื่อนไหลจากเนินอกลงไปกองบริเวณเอวโดยไม่รู้สึกสะเทิ้นอาย “เกี่ยวกับผู้ต้องสาป....”

   ผู้ต้องสาป?

   ในวินาทีแรกวาลเซอิคเกือบจะตอบรับออกไป ทว่าใจของเขากระหวัดนึกไปถึงคัลดิชและคัลมาร์ที่มักพูดอยู่เสมอว่าเรื่องที่พวกเขาเป็นผู้ต้องสาปนั้นเป็นความลับสำหรับโลกภายนอก เพราะอย่างนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงยังคงอยู่อย่างสงบสุข แม้ว่าเซเอลจะไม่ได้กำชับกับเขาเรื่องนี้ แต่การที่อีกฝ่ายสวมเครื่องแต่งกายมิดชิดไม่ยอมเปิดเผยหน้าตาก็เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดี

   เขาเลือกที่จะส่ายศีรษะแทนคำตอบ

   “ก็น่าแปลกที่เจ้าไม่เคยได้ยินแต่ฝันถึงเขาได้” เอลยาขยับขาขึ้นมาคู้แล้วเกยคางกับหัวเข่า “ที่แถบนี้น่ะมีเรื่องเล่าเหมือน ๆ กันว่า ในอดีตเคยมีผู้ครองที่ดินอยู่ตระกูลหนึ่งซึ่งอยู่ในปราสาทหลังงาม มีบริวารเพียบพร้อม แต่กลับมีใจหยาบช้าจึงถูกสาปให้กลายเป็นอมนุษย์ต้องมีชีวิตอยู่ในความมืดและดื่มกินแต่เพียงโลหิตไปชั่วกัปชั่วกัลป์ ถึงอย่างนั้นคำสาปก็ครอบคลุมถึงผู้ที่อาศัยในปราสาททั้งหมดด้วย ทำให้ผู้คนค่อย ๆ ล้มตายลงจากความกระหายของคนในปราสาท ในที่สุดคนที่ยังเหลือรอดก็ลุกขึ้นต่อสู้เพื่อสังหารสายเลือดต้องสาปนั้นให้หมดสิ้นไป แต่เพราะความกลัวยังคงอยู่ ในที่สุดคนที่เหลือจึงถอยร่นออกจากปราสาทนั้นและปล่อยรกร้างให้กลายเป็นป่ากว้างใหญ่ไป”

   วาลเซอิคกลืนน้ำลายเมื่อได้ยินเรื่องเล่า เพราะปราสาทของเซเอลก็อยู่ในป่านั้น และพวกคนที่อยู่ที่นั่นก็อาศัยในความมืดและดื่มกินแต่เลือดสัตว์เท่านั้น

   “แต่ว่า...พวกเขาก็ตายไปหมดแล้ว?”

   “ก็ควรจะเป็นแบบนั้นนะ” เอลยากลอกตา “แต่ก็ไม่เชิง เพราะยังมีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า ผู้ต้องสาปที่เหลืออยู่แลกเปลี่ยนสัญญากับมนุษย์ว่าจะไม่กล้ำกรายสร้างความเสียหายให้กับมนุษย์อีก จึงยังคงอาศัยอยู่ในปราสาทหลังนั้น นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ทุกคนปล่อยสถานที่แห่งนั้นให้รกร้างก็ได้”

   และอาจเป็นเพราะเหตุนั้น...พวกเขาจึงดื่มกินแต่เลือดของสัตว์ที่อยู่ในป่า...

   วาลเซอิคคิดในใจ

   แต่ถึงอย่างนั้นอาหารหลักแต่เดิมก็คือเลือดของมนุษย์ ถ้าอย่างนั้นตัวเขาล่ะ?

   นั่นคือข้อสงสัยที่เพิ่มขึ้นมา เพราะเขาคือมนุษย์คนเดียวในปราสาทหลังนั้น เป็นเหมือนจานอาหารที่ลอยไปลอยมาตรงหน้าและสามารถขย้ำกินเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วทำไม...คนพวกนั้นถึงไม่กินเขา?

   “แล้วซ......คนผมเงินที่ว่า?” เขาเกือบเผลอออกชื่อออกไปแต่ก็ชะงักไว้ทันโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้สังเกต

   “ก็เป็นตำนานอีกนั่นล่ะนะ แต่ดูมีตัวตนมากกว่าเรื่องเล่าที่ว่ามาต้น ๆ” เอลยาโคลงหัวพลางนึก “หลาย ๆ ครั้งที่มีคนพบเห็นชายหนุ่มผมสีเงินที่มีดวงตาแดงเลือดปรากฏตัวออกมาต่อหน้ามนุษย์ เป็นคนที่รูปงามจนน่าหลงใหลแต่ก็มีกลิ่นอายที่ลึกลับและอันตราย ถึงแม้ว่าจะไม่เคยมีใครเล่าว่าถูกเขาทำร้ายแต่สำหรับสิ่งมีชีวิตที่กินเลือดมนุษย์อย่างเรา ๆ เป็นอาหารก็คงจะอดกลัวไม่ได้อยู่ดี”

   รูปลักษณ์ที่เอลยาว่ามานั้นตรงกับเซเอลทุกประการ แต่กลับไม่ได้พูดถึงคัลดิช คัลมาร์ หรืออาร์วิน่าด้วย แปลว่าทั้งสามคนอยู่แต่ในปราสาทไม่เคยออกมาภายนอกเลย

   และคนที่พาเขาไปอยู่ที่นั่นก็คือเซเอล....

   ทำไมกันนะ?

   เขาไม่เคยนึกสงสัยเรื่องนี้เลยจนกระทั่งวันนี้ ทำไมเซเอลจึงได้พาเขามาจากมนุษย์และเลี้ยงให้เติบโตท่ามกลางผู้ต้องสาปโดยไม่ได้ทำอันตรายเขา ซ้ำยังให้อีกสามคนคอยฝึกสอนเรื่องต่าง ๆ ให้อีก หรือว่า....อีกฝ่ายคิดจะใช้เขาเป็นเครื่องมือต่อกรกับมนุษย์ด้วยกัน?

   วาลเซอิครีบส่ายศีรษะ

   เขาไม่ควรคิดเรื่องแบบนี้ออกมาเลย

   “เป็นอะไรไปหรือ?”

   “เปล่า” วาลเซอิคปฏิเสธทันที “ข้าแค่กำลังคิดว่าข้าอาจจะเคยได้ยินจากที่ไหนสักแห่งถึงได้ฝันถึง”

   หญิงสาวหัวเราะเสียงใส

   “ถ้าเจ้าเคยพบกับเขาจริง ข้าเองก็อยากถามเหมือนกันว่าเขารูปงามอย่างที่เล่ากันหรือไม่”

   วาลเซอิคนึกตอบอยู่ในใจกับคำถามข้อนั้น เพราะสำหรับเขาที่เป็นผู้ชายก็ยังคิดว่าเซเอลเป็นคนรูปงามคนหนึ่ง ซึ่งแม้หญิงสาวตรงหน้าเขาจะสวยงามเพียงใดก็ยังไม่อาจเทียบกับเซเอลได้ อาจเพราะฝ่ายนั้นมีเสน่ห์ที่ดึงดูดใจด้วยกระมัง....หากได้มองเพียงสักครั้งก็อยากจะละสายตา

   “ว่าแต่ เจ้ามาจากที่ไหนหรือ?” เอลยาวนเข้าหาหัวข้อปกติธรรมดาบ้าง

   “ก็....ไกลอยู่” เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร เพราะนอกจากปราสาทหลังนั้นเขาก็ไม่เคยไปที่ไหนอีกเลย “อาจจะไม่ไกลเท่าไหร่”

   “เป็นความลับสินะ” หญิงสาวถอนใจ “เอาเถอะ ไว้เจ้ามาเยี่ยมข้าอีกสิ ข้าน่ะถึงจะมีแขกประจำแต่ก็ไม่ค่อยมีใครสุภาพเหมือนเจ้าเลย” เธอขยับตัวไปกอดพลางลูบมือไปบนแผ่นอก แม้อายุจะยังน้อยแต่ก็มีรูปร่างสมส่วนไม่มากหรือน้อยเกินไป ทำให้เธอรู้สึกเพลิดเพลินกับลอนกล้ามเนื้อเหล่านั้น

   “แล้ว...ข้ากลับได้หรือยัง?” เพราะไม่เคยมาในสถานที่แบบนี้ วาลเซอิคจึงไม่รู้ว่าตนควรจะปลีกตัวออกไปเมื่อใดหรือทำอะไรต่อ

   “แหม....จะรีบหนีข้าไปแล้วหรือ? ข้ามีเสน่ห์ไม่พอสำหรับเจ้าหรือยังไงกัน?”

   “ม...ไม่ใช่นะ!” วาลเซอิคโบกไม้โบกมือ “แต่ว่าข้าต้องรีบกลับนะ เดี๋ยวคนที่มาด้วยจะรอนาน” เขาอ้างไปถึงเซเอลที่ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังรอเขาอยู่หรือไม่ ด้วยเหตุนั้นเอลยาจึงยอมปล่อยวาลเซอิคด้วยสีหน้า
กระเง้ากระงอดและช่วยสวมเสื้อผ้าก่อนพาลงมาข้างล่างซึ่งเซเอลไม่ได้รออยู่ที่นั่น.... เด็กหนุ่มใจหายวาบ รีบก้าวฉับ ๆ ออกมาข้างนอกเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะทิ้งตนเองเอาไว้ที่นี่ แต่แล้วเสียงของเซเอลก็ดังขึ้นจากทิศหนึ่งทำให้ความรู้สึกโล่งใจผุดซ่านขึ้นมาแทนที่ความกังวลเมื่อครู่

   “เสร็จธุระแล้วก็กลับกันเถอะ” เซเอลกล่าวเพียงสั้น ๆ ไม่ได้สังเกตสีหน้าที่เต็มไปด้วยข้อกังขาเกี่ยวกับตัวตนของตนเองของวาลเซอิคแม้แต่น้อย

   “ท่านไปไหนมา?” เด็กหนุ่มเร่งฝีเท้าขึ้นมาเทียบข้างแล้วเอ่ยถาม

   “แถว ๆ นี้ ไม่ได้ไกลมากหรอก” คำตอบค่อนข้างกำกวม ทำให้วาลเซอิคต้องเพ่งมองที่ริมฝีปากอีกฝ่ายว่ามีรอยเลือดติดอยู่หรือไม่ เขากำลังสงสัยว่าเซเอลแอบไปดื่มเลือดใครมาหรือเปล่าถึงได้ถือโอกาสพาเขาเข้ามาในหมู่บ้านและปล่อยให้เขาอยู่กับผู้หญิง

   “เซเอล....”

   “มีอะไร?”

   “......” วาลเซอิคลังเลว่าตนเองควรจะถามหรือไม่เกี่ยวกับเรื่องของผู้ต้องสาป ซึ่งเป็นเรื่องเล่าที่ผ่านมานานแล้วและอาจเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา บางทีมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คนอื่นเข้าใจก็เป็นได้ แต่ถึงอย่างนั้น หากว่าเป็นอย่างที่เล่ากันมาจริง ๆ ก็หมายความว่าเซเอลเองก็เคยเป็นมนุษย์และต้องคำสาปนั้น หรือไม่...เซเอลเองนั่นแหละคือเจ้าของที่ดินที่ใจคอโหดเหี้ยมจนถูกสาป...

   จนแล้วจนรอด วาลเซอิคก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา ชายหนุ่มจึงเลื่อนสายตามองแล้วพรูลมหายใจออกมาเล็กน้อยเพราะไม่อาจคาดเดาได้ว่าเด็กคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่

   “ถ้าเจ้าไม่ถามออกมา ข้าเองก็ตอบไม่ได้หรอก” เซเอลกล่าว

   วาลเซอิคเหลือบตามองเจ้าของร่างสูงโปร่ง บรรยากาศรอบกายของคน ๆ นี้อบอวลไปด้วยความลึกลับที่เขาคุ้นชินราวกับเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ที่นี่แล้ว เซเอลก็คือคนที่แตกต่างมากเสียจนไม่อาจกลมกลืนไปกับมนุษย์ทั่วไปได้จริง ๆ

   เพียงแต่เพราะเขาอยู่กับเซเอลมานานจึงไม่ทันได้สังเกต...

   “ปกติแล้ว ท่านดื่มได้แต่เลือดใช่หรือเปล่า?” ในที่สุดวาลเซอิคก็ถามเรื่องพื้น ๆ ที่สุด

   “ใช่ ทั้งข้าและพวกนั้นด้วย”

   “แล้ว....วันหนึ่งท่านจะกินเลือดข้าด้วยหรือ?” ในขณะที่ถามเช่นนั้น วาลเซอิคก็กลืนน้ำลาย ถ้าหากเขาเป็นแค่อาหารที่รอการกิน เขาจะทำอะไรได้?

   เซเอลหยุดเดิน และหมุนตัวมามองวาลเซอิคและนิ่งเงียบ....

   ดวงตาสีเลือดที่เปล่งประกายอยู่ภายใต้ผ้าคลุมคล้ายจะฉายแววบางอย่างออกมา ก่อนที่เซเอลจะเอ่ยตอบ
   “....ถึงข้าจะอยากหรือไม่...ข้าก็แตะเลือดของเจ้าไม่ได้”

   “หมายความว่ายังไง....”

   เซเอลไม่ได้ตอบคำถามนั้น แต่กลับหมุนตัวและออกเดินต่อทำให้วาลเซอิคต้องรีบสาวเท้าตาม ทว่ายังไม่ทันถึงตัวอีกฝ่าย เขาก็ถูกจู่โจมจากด้านหลังด้วยความรวดเร็ว

   “สบายตัวดีไหมล่ะเจ้าหนูน้อย” อาร์วิน่านั่นเองที่เข้ามาล็อคคอเขาและแสยะยิ้มถาม การแสดงออกนั้นบ่งบอกว่าเธอรู้อะไร ๆ อยู่หลายส่วน ทำให้วาลเซอิคหน้าแดงวาบ

   “ประสบการณ์ครั้งแรกที่น่าจดจำสินะ จากนี้ไปนายคงไม่ใช่เด็กน้อยแล้วสิ” คัลดิชกอดอกแล้วพูดขณะเดินมาหยุดข้าง ๆ

   “คงต้องจดลงในสมุดบันทึกการเจริญเติบโตของวาลเซอิคเสียแล้ว” คัลมาร์เสริมด้วยรอยยิ้มที่เจ้าตัวปั้นแต่งให้เหมือนคุณพ่อที่เฝ้าดูการเติบโตของลูกชายตัวน้อย

   “บันทึกอะไรนั่นมันมีเสียที่ไหนกันล่ะ!” วาลเซอิคโวยวายหน้าแดง “ข้าไม่ใช่เด็กมาตั้งนานแล้วนะ พวกเจ้าเลิกทำเหมือนข้าเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ เสียทีสิ”

   อาร์วิน่าและคัลมาร์หัวเราะร่า ในขณะที่คัลดิชแค่เพียงยิ้มมุมปากน้อย ๆ

   เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจพรืด คนพวกนี้ได้ทีก็แกล้งเขาตลอด แต่เมื่อคิดดี ๆ เมื่อถึงคราวตัวเองก็ไม่พลาดโอกาสจะเป็นฝ่ายแกล้งเหมือนกัน โดยเฉพาะอาร์วิน่าที่โดนเขากับคัลดิชและคัลมาร์แกล้งเอาบ่อยที่สุด มาถึงตอนนี้ไม่แปลกเลยที่เจ้าตัวจะสนุกกับการเอาคืน

   ตัวเขาสนิทสนมกับคนเหล่านี้จนเหมือนครอบครัวตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่มีใครเลยที่คิดทำร้ายเขา แต่แค่เพียงเรื่องเล่าจากปากคน ๆ หนึ่งทำให้เขาคิดระแวงคนเหล่านี้ได้ยังไงกันนะ...

   ถึงจะเป็นผู้ต้องสาป...แต่กลับเลี้ยงดูเขาอย่างดี ดังนั้นเขาเองก็ควรจะปล่อยทิ้งเรื่องเหล่านั้นไปเสียและพยายามเลิกที่จะสนใจมัน....อย่างนั้นสินะ....

TBC


---------------

โฮ พอทำพาร์ทไทม์โรงแรมแล้วไม่มีเวลาเลย ;{};

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่3 [8/11/12]
«ตอบ #39 เมื่อ08-11-2012 19:30:07 »

โอ้วว ขอบคุณที่มาต่อนะคะ
เรื่องยังน่าติดตามเหมือนเดิมเลย
อยากรู้จริงๆว่าจะเป็นยังไงต่อ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่3 [8/11/12]
« ตอบ #39 เมื่อ: 08-11-2012 19:30:07 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Lemon_Tea

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1641
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่3 [8/11/12]
«ตอบ #40 เมื่อ08-11-2012 20:16:27 »

ง่ะ ทำไมต้องให้ไปสถานที่แบบนั้นด้วยอ่ะ
ประสบการณ์ครั้งแรกของเขา เฮ้อ T^T

ออฟไลน์ Whatever it is

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3959
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +380/-8
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่3 [8/11/12]
«ตอบ #41 เมื่อ08-11-2012 22:14:49 »

 พาไปหาคนอื่นซะงั้น 555

netthip

  • บุคคลทั่วไป
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่3 [8/11/12]
«ตอบ #42 เมื่อ09-11-2012 06:49:32 »

บู ก็นึกว่าจะกินกันเอง
อย่างนี้ก็แปลว่านายตายด้าน(หมดสมรรถภาพ)นะสิ?

ออฟไลน์ Ali$a฿eth

  • [จิ้น]ตนการ
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-3
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่3 [8/11/12]
«ตอบ #43 เมื่อ09-11-2012 11:09:14 »

นึกว่าเซเอลจะ.................. สอยวิชาสุขศึกษาด้วยตัวเองเสียอีก

ออฟไลน์ AGALIGO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-4
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่3 [8/11/12]
«ตอบ #44 เมื่อ09-11-2012 12:56:35 »


แล้วจะยังไงต่อนิ

+ เป็ดจ้า


ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่3 [8/11/12]
«ตอบ #45 เมื่อ09-11-2012 13:56:06 »

มาต่อๆๆๆๆ จะอ่าน แง้. . .

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่3 [8/11/12]
«ตอบ #46 เมื่อ10-11-2012 00:07:08 »

บ๊ะ!!!! ครั้งแรกของหนูน้อย  o22 ทำม๊ายยยยยยยยยยยยยย
ชอบบรรยากาศเวลาวาลเซอิคอยู่กับอาร์วิน่า คัลดิช คัลมาร์ อารมณ์แบบพี่น้องหยอกล้อกันสนุกสนาน ส่วนเซเอลก็เป็นคุณพ่อที่ติดจะเข้มงวด  :laugh:
แอบชอบเอลยานิดๆแฮะ ^^

รอตอนหน้านะคะ

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่4 [14/11/12]
«ตอบ #47 เมื่อ14-11-2012 16:21:54 »

บทที่ 4 เงาที่คืบคลาน


      ในตอนแรก สิ่งที่วาลเซอิคพูดออกมานั้นค่อนข้างจะสร้างความวิตกให้กับเซเอลอยู่ไม่น้อย เหมือนจะเป็นสัญญาณเตือนถึงความหวาดระแวงที่มีต่อสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่พวกเดียวกับตน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อวาลเซอิครู้สึกว่าตัวเองอยู่ในฐานะของอาหาร และคนอื่น ๆ คือผู้ล่า และถึงแม้พวกเขาจะไม่เคยมองวาลเซอิคในฐานะอาหาร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลาย ๆ ครั้งที่เด็กหนุ่มคนนี้ปลุกเร้าความกระหายของพวกเขา เมื่อวาลเซอิคได้รับบาดแผลมาจากกิจกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ จนถึงแผลใหญ่จากการฝึกฝน การทำแผลดูจะเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาเมื่อกลิ่นอันหอมหวานของเลือดมนุษย์กำจายเข้าสู่ประสาทการรับรู้

   ทว่าความกังวลของเขาก็เหมือนจะกลายเป็นสิ่งเปลืองเปล่าไป เพราะหลังจากครั้งนั้น วาลเซอิคก็ไม่เคยพูดเรื่องเดิมออกมาอีกเลย

   และเมื่อหลายปีผ่านมา.......

   “เซเอล” เสียงขานชื่ออย่างอารมณ์ดีดังขึ้นพร้อมประตูที่เปิดออก ร่างสูงของเด็กหนุ่มโตเต็มวัยก้าวเข้ามาในห้องโดยไม่ต้องรอคำอนุญาตและสวมกอดเข้าที่เอวของเจ้าของห้องอย่างถือวิสาสะ “ข้ากลับมาแล้ว เหนื่อยจังเลย...ท่านไม่คิดหรือว่าเราควรจะเลี้ยงสุนัขล่าเนื้อไว้สัก 2-3 ตัว จะได้ไว้ต้อนเหยื่อแทนที่ข้าจะต้องวิ่งไล่พวกมันด้วยตัวเอง”

   เมื่อหลายปีผ่านไป....วาลเซอิคก็เหมือนจะปรับตัวเข้ากับสถานที่ได้ดีกว่าที่คาดไว้ จากเด็กน้อยขี้อายก็กลายเป็นเด็กหนุ่มที่มีความมั่นใจในตัวเอง แต่ความขี้เล่นก็ยังเหมือนเดิมไม่มีผิด หรืออาจจะมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ และดูเหมือนความสัมพันธ์กับพวกเขาก็จะใกล้ชิดขึ้น โดยเฉพาะ....กับเขา...

   เซเอลเอี้ยวคอไปมองอีกฝ่ายที่เข้ามาสวมกอดตนจากด้านหลัง วาลเซอิคมักจะทำอย่างนี้อยู่บ่อยครั้งในช่วงหลัง ๆ มานี้ ซึ่งเขาก็คิดว่าคงจะพฤติกรรมของมนุษย์ที่ไม่ได้รับความอบอุ่นจากพ่อแม่ในตอนเด็ก ๆ

   “ข้าเคยเลี้ยงเมื่อนานมาแล้ว แต่พวกมันก็ตายไปหมดแล้ว”

   “แล้วท่านไม่คิดจะเลี้ยงอีกหรือ?” วาลเซอิคออดอ้อนพลางวางคางลงบนบ่าชายหนุ่มที่ตอนนี้ตัวเล็กกว่าตนเล็กน้อย

   “ข้าจะไปหาพันธุ์มาจากไหนกัน” เซเอลมุ่นคิ้ว

   “ถ้าท่านอนุญาต ข้าสามารถหามาให้ได้” เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง “แต่เป็นลูกสุนัข คงต้องเลี้ยงไว้สักปีสองปีถึงเริ่มออกล่าได้”

   “เจ้าพูดแบบนี้แปลว่าวางแผนจะเลี้ยงอยู่แล้ว แค่รอข้าอนุญาตเท่านั้นเองหรือ?” ชายหนุ่มเหลือบดวงตาสีเลือดมองอีกฝ่ายเหมือนกำลังรู้ทัน ทำให้วาลเซอิคยิ้มเผล่ออกมา “แล้วหากข้าไม่อนุญาต เจ้าคิดจะทำยังไงต่อ? ออดอ้อนให้ข้ายอมหรือ?”

   “อย่าใจร้ายกับข้าอย่างนั้นสิ ข้ารู้ว่าท่านยอมตามใจข้าอยู่แล้ว” เด็กหนุ่มพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ เพราะถึงแม้เซเอลจะดูเย็นชาที่ภายนอก แต่ก็ไม่เคยขัดใจเขาจริง ๆ จัง ๆ สักครั้ง กลับเป็นคนที่ตามใจเขามากที่สุดเสียด้วยซ้ำ และคงเพราะเหตุนั้นทำให้วาลเซอิคมักจะเข้าหาเซเอลโดยตรงเมื่อต้องการจะร้องขออะไรบางอย่างโดยไม่นึกกริ่งเกรง เพราะหากขอกับอาร์วิน่า คัลดิชและคัลมาร์ ทั้งสามก็ต้องมาขอจากเซเอลอีกทอดอยู่ดี

   หากให้สามคนนั้นขอ จะมีโอกาสได้ผลน้อยกว่าเขาขอเองด้วย...

   เซเอลที่รู้แกวได้แต่ถอนหายใจ รู้สึกว่าตนเองตามใจอีกฝ่ายมากเกินไปเสียแล้ว แต่กระนั้นเขาก็กำลังหาเหตุผลมาขัดใจเด็กคนนี้ให้ได้สักครั้ง

   “แล้วเจ้าจะเลี้ยงยังไงกัน? แบ่งส่วนอาหารของเจ้าไปให้พวกมันน่ะหรือ? แล้วยังต้องปล่อยให้เดินเล่นบ้าง เจอแดดเจอลมบ้าง” ว่ากันตามตรงแล้ว เซเอลไม่ค่อยเห็นด้วยว่าปราสาทแห่งนี้เหมาะสมกับสิ่งมีชีวิตปกติ แต่ที่เขาพาวาลเซอิคมาเลี้ยงดูก็เพราะสิ่งที่เคยสัญญาไว้กับผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่คิดที่จะพาเด็กมนุษย์มาอยู่ในสถานที่แบบนี้

   “ยังไงข้าก็ต้องออกไปเดินรับแดดทุกเช้าอยู่แล้ว ข้าพาไปเอง” วาลเซอิคว่าพลางยิ้มกว้างขึ้น เพราะเมื่อเซเอลเริ่มหาเหตุผลมาง้างกับเขาแปลว่าเจ้าตัวกำลังจะอนุญาตแต่หาข้ออ้างที่จะไม่ทำเช่นนั้น “อาหารก็ไม่น่าเป็นปัญหา ข้าก็แค่ล่าให้มากขึ้นสักนิดหน่อยก็พอแล้ว พวกท่านเองก็ดื่มเลือดทุกวันนี่นา”

   “ช่วงแรกที่พวกมันยังทำอะไรเองไม่ได้ เจ้าจะต้องเลี้ยงปากท้องเพิ่มอีก 2-3 ชีวิตเชียวนะ”

   “ข้าไม่ได้ทำคนเดียวเสียหน่อย คัลดิชกับคัลมาร์ก็ช่วยข้าอยู่ด้วย”

   เซเอลส่ายศีรษะน้อย ๆ

   “ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะไปขอมาจากที่ไหน? ใครจะยกลูกสุนัขพันธุ์ดีให้คนไม่รู้หัวนอนปลายเท้ากัน” สุนัขล่าเนื้อนับเป็นสมบัติของพรานที่ไม่ใช่จะหามาครอบครองได้ง่าย ๆ หากเป็นพันธุ์ที่ไม่เหมาะสมก็ยากจะฝึกให้ทำงานได้ จริงอยู่ว่าในปราสาทมีเงินทองมากมายที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร แต่หมู่บ้านรอบ ๆ นี้ก็ไม่มีที่อยู่อาศัยของชนชั้นสูงที่เลี้ยงหรือเพาะพันธุ์สุนัขล่าเนื้อไว้จำนวนมาก ๆ เสียด้วย

   “ข้ามีหนทางแล้วแน่นอน แต่ข้าต้องใช้เงินมากหน่อย” พอพูดถึงเรื่องนี้สีหน้าของวาลเซอิคก็ดูลำบากใจขึ้นมา เพราะถึงแม้เงินทองในปราสาทจะไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรมานานแล้ว เซเอลจึงให้วาลเซอิคหยิบไปใช้ตามสะดวก แต่การหยิบของมีค่าไปใช้อย่างฟุ่มเฟือยทั้งที่ไม่ใช่ของตนเองก็ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเกรงใจอยู่ไม่น้อย

   “เจ้าเอาไปเถอะ หากว่าจำเป็น” สำหรับเซเอลแล้ว ของเหล่านั้นไม่ได้มีค่าอะไรเลย ในเมื่อตัวเขาไม่อาจนำมันไปใช้ได้ สู้ยกให้คนที่จำเป็นต้องใช้ไปเสียดีกว่า “แล้วหากเจ้าจะนำไปใช้กับพวกผู้หญิง ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไร ไม่จำเป็นต้องมาบอกข้าทุกครั้งหรอก” ที่เซเอลต้องพูดออกมาแบบนี้ เพราะในบางครั้งวาลเซอิคก็จะเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าประหม่าและบอกว่าจะขอเข้าไปในเมือง เขาดูท่าทางก็พอรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะไปที่ไหนจึงหยิบเหรียญทองให้ไปแม้วาลเซอิคจะไม่ได้เอ่ยปากขอ ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ทำแบบนี้มาหลายปี จะว่าดีก็ดี ที่อีกฝ่ายไม่ข้ามหน้าข้ามตาเขาไปทำไรตามใจชอบ แต่เขาเองก็เคยบอกแล้วว่าหากเป็นเรื่องนั้นเขาอนุญาตตามสบาย แต่วาลเซอิคก็ยังทำแบบเดิมไม่เคยเปลี่ยน แค่ช่วงปีหลัง ๆ ท่าทางประหม่าหายไปเท่านั้น

   “ครั้งนี้ข้าแค่จะไปเอาสุนัข ไม่ได้ไปหาใครหรอก” วาลเซอิคหัวเราะออกมา “หรือว่าท่านหึงข้า?”

   เซเอลมุ่นคิ้วเข้าหากันทันที

   “ไร้สาระ”

   ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขารู้สึกอยู่นิดหน่อย ซึ่งน่าจะใกล้เคียงความหวงมากกว่าความหึงอย่างที่วาลเซอิคว่า และตัวเขาเองก็ไม่นึกแปลกใจที่ตนเองรู้สึกเช่นนั้น เพราะวาลเซอิคเป็นเด็กที่เขาเลี้ยงดูมา หากไม่หวงเลยสิจึงจะน่าแปลกกว่า

   วาลเซอิคจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาแฝงนัยบางอย่าง

   ตัวเขานั้นมีความสงสัยในบางสิ่งบางอย่างมานานแล้ว สายตาที่เซเอลมักจะใช้มองเขานั้นเป็นสายตาที่ใช้มองใครบางคนอยู่หรือเปล่า? เพราะบางครั้งเหมือนกับว่าอีกฝ่ายกำลังมองดูใครบางคนที่อยู่ในตัวของเขามากกว่าตัวเขาเองที่ยืนอยู่ตรงนี้

   และที่น่าสงสัยยิ่งกว่าคือ ทำไมเซเอลจึงได้พาเขามาเลี้ยงดูโดยไม่ใช้เป็นอาหาร

   เพราะเจ้าตัวเคยช่วยเขาไว้จากกองไฟน่ะหรือ?

   หรือเพราะเขาไม่มีพ่อแม่?

   เซเอลไม่ใช่คนใจบุญถึงขนาดนั้นเป็นแน่ บางทีคงจะเป็นเหตุผลเกี่ยวกับสิ่งที่ปรากฏบนร่างกายของเขา ใบหน้าของเขา...

   กระนั้นหลาย ๆ ครั้ง วาลเซอิคก็คาดหวังว่าเซเอลจะรู้สึกอะไรบางอย่างกับตนเองนอกเหนือจากเด็กในปกครองและตัวแทนของใครบางคน ทุก ๆ ครั้งที่รู้สึกเช่นนั้น วาลเซอิคจะต้องออกไปข้างนอก....ไปหาใครบางคนที่จะตอบสนองเขาได้ เพื่อให้ตัวเขาเองรู้สึกว่าตนมีความสำคัญ....

   “ท่านจะหวงข้าสักหน่อยก็ได้นี่นา...” วาลเซอิคกระซิบกับตัวเอง

   “อะไรหรือ?” เสียงที่กระซิบอยู่ข้างหูเรียกให้เซเอลเลิกคิ้วด้วยความสงสัย กระนั้นวาลเซอิคก็เพียงยิ้มกว้างแทนคำตอบก่อนจะประทับริมฝีปากลงบนแก้มของเขา

   “เช่นนั้นข้าไปก่อนดีกว่า หากมืดกว่านี้เดี๋ยวท่านจะคิดว่าข้าไปแอบทำอะไรไม่ดีไม่งาม” เด็กหนุ่มตัดบทอย่างรวดเร็ว

   “แล้วเงิน...”

   “ข้าจำได้ว่าท่านเก็บไว้ที่ไหน ข้านำติดตัวไปไม่มากหรอก” ว่าจบ วาลเซอิคก็เดินจากไป ทำให้เซเอลต้องมุ่นคิ้วด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าตนพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า ด้วยปกติวาลเซอิคจะรอจนกว่าเขาจะเดินไปหยิบเงินให้ด้วยตัวเอง แต่ครั้งนี้...เรียกว่าเป็นพัฒนาการหรือความผิดปกติเขาเองก็ไม่แน่ใจ

-------------------------->

   ท้องฟ้ายามเย็นเป็นสีเหลืองส้มสลับกับสีอ่อนของริ้วเมฆ วาลเซอิคเงยหน้ามองสีสันเหล่านั้นขณะพาตัวเองออกจากแนวชายป่าและมุ่งเข้าสู่หมู่บ้าน สำหรับเขาแล้ว สีสันของท้องฟ้าที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าพิศวงเป็นสิ่งที่แสนรื่นรมย์ เพราะเมื่อเขากลับเข้าสู่เขตปราสาท เขาก็จะพบแต่เพียงบรรยากาศอันมืดมิดที่แสงสว่างจากเบื้องบนส่องลงมาไม่ถึง อาจจะเป็นเพราะเมฆหมอกหนาที่ลอยปกคลุมเหนือปราสาทนั้นกระมัง

   ตัวเขาเองก็เพิ่งจะได้เห็นท้องฟ้ากว้างอย่างนี้เป็นครั้งแรกในตอนที่ขอเซเอลออกมาที่หมู่บ้านอีกครั้งหลังจากพบกับเอลยา โดยปกติแล้วเขาจะอยู่แต่เพียงในป่า และสัมผัสแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านกิ่งไม้ใบไม้ลงมา ส่วนคัลดิชและคัลมาร์ไม่เคยสนใจจะออกมาในสถานที่ที่แสงสว่างส่องถึงเลย สองคนนั้นจะออกมาก็เมื่อฟ้าเริ่มมืดแล้วเท่านั้น

   และเหตุผลที่เขามักจะขอออกมาบ่อย ๆ หลังจากนั้นคงเป็นเพราะจะได้สัมผัสท้องฟ้าและสายลมเหล่านี้กระมัง แต่ในวันนี้ สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่เป้าหมายของเขา

   เด็กหนุ่มเดินเข้าไปในหมู่บ้านอย่างคุ้นเคย แต่ก็ไม่คุ้นตา โดยปกติแล้วเขาจะมาเมื่อค่ำกว่านี้และพวกชาวบ้านจะกลับเข้าที่พักอาศัยไปจนหมด ในเวลาเย็นอย่างนี้ร้านรวงข้างทางจะอยู่ในช่วงกำลังเก็บข้าวของ ทำให้เขามีโอกาสได้เห็นอะไรมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งเครื่องประดับที่ดูไม่หรูหราอะไรเมื่อเทียบกับสิ่งของในปราสาทแต่ก็สวยงามแบบเรียบ ๆ เสื้อผ้าที่ไม่ได้เป็นผ้าเนื้อดีและตัดเย็บอย่างเรียบง่าย ข้าวของเครื่องใช้ที่ทำจากไม้และโลหะผสมเป็นหลักต่างกับในปราสาทที่เป็นเครื่องทองเหลือง และเครื่องเงินทั้งสิ้น ถึงอย่างนั้นข้าวของมีคมก็ดูจะไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ ต่างก็เพียงความประณีตในการตกแต่ง

   ระหว่างที่วาลเซอิคเดินไปตามถนน ผู้คนรอบข้างก็มองมายังเขาด้วยสายตาต่าง ๆ กัน ส่วนใหญ่เป็นความสงสัย อาจเพราะเขาค่อนข้างเป็นเสมือนคนแปลกหน้าสำหรับคนเหล่านี้ และเครื่องแต่งกายของเขาก็ดูจะไม่เข้ากับบรรยากาศแบบชาวบ้านทั่ว ๆ ไปเอาเสียเลย

   แต่งกายแบบชนชั้นสูง...

   นั่นคงเป็นคำนิยามการแต่งกายของเขาในเวลานี้ ซึ่งหากเป็นสมัยก่อนเขาคงไม่เข้าใจความแตกต่าง แต่เมื่อได้เข้าออกหมู่บ้านบ่อยขึ้นเขาก็เข้าถึงคำนี้ได้มากขึ้น ถึงอย่างนั้นหากเอาการแต่งกายของเขาไปเทียบกับเซเอล เขาก็คงจะดูเหมือนชาวบ้านไปในทันที เพราะเซเอลนั้นเหมือนกับชนชั้นสูงทั้งเครื่องแต่งกาย รูปลักษณ์ และการวางตัว กระนั้นเมื่อออกมาข้างนอกเซเอลก็จะอยู่ในชุดคลุมมิดชิดเสมอ

   วาลเซอิคเดินทะลุหมู่บ้านมาจนเกือบถึงหอระฆัง เขาเลี้ยวจากจุดนั้นไปเล็กน้อยโดยไม่ได้เดินไปถึงด้านหลังของหมู่บ้านที่เป็นเขตสำหรับอาชีพกลางคืนซึ่งตอนนี้เริ่มจะมีคนเดินเข้าออกกันบ้างแล้ว

   เด็กหนุ่มเดินตรงไปยังบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีขนาดพอเหมาะสำหรับครอบครัวเล็ก ๆ บริเวณหน้าบ้านมีเด็กสองคนกำลังวิ่งเล่นอยู่ เขายิ้มให้เด็กสองคนนั้นซึ่งมองมาด้วยสายตาสงสัย

   “เอลยาอยู่ไหม?”

   “พี่อยู่ข้างในค่ะ” เด็กผู้หญิงกล่าวตอบแล้วชี้ไปที่ประตู

   วาลเซอิคเดินเข้าไปตามคำบอก และพบหญิงสาวในเครื่องแต่งกายที่แตกต่างไปจากยามปกติที่พบเจอกัน เอลยาอยู่ในชุดสาวชาวบ้านธรรมดา เสื้อแขนพองปิดถึงข้อศอก กระโปรงยาว ผ้ากันเปื้อน และใบหน้าที่ไร้เครื่องเติมแต่ง แต่ดูเหมือนเธอกำลังจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ผ้ากันเปื้อนจึงถูกปลดไปแล้วครึ่งทาง

   “ข้าคิดว่าเจ้าจะขออาเจ้าไม่สำเร็จเสียอีก” เอลยาหัวเราะ

   วาลเซอิคไม่ค่อยได้พูดถึงครอบครัวตัวเองมากนักกับคนอื่น ๆ เพราะถูกกำชับไว้หลังจากที่เขาออกมาจากปราสาทบ่อย ๆ ด้วยเหตุนั้นจึงมักจะอ้างกับเอลยาว่า ต้องขออนุญาต ‘อา’ จึงสามารถมาเที่ยวได้ และเรื่องครั้งนี้ก็ต้องผ่านการอนุญาตจาก ‘อา’ เช่นกัน

   เอลยาตลบผ้ากันเปื้อนไปวางบนโต๊ะแล้วพาวาลเซอิคเดินออกไปทางประตูหลังบ้านซึ่งมีสวนเล็ก ๆ ที่ปลูกผักสวนครัว 2-3 ชนิดอยู่ก่อนจะถึงรั้วกั้นของบ้านอีกหลัง ในสวนนั้นมีกรงสำหรับเลี้ยงสัตว์ขนาดใหญ่พอประมาณตั้งอยู่ติดประตู และในกรงมีลูกสุนัขในวัยน่าเอ็นดูอยู่สองตัว

   “ถ้าเจ้าไม่มารับวันนี้ข้าก็ไม่รู้จะเอาอะไรเลี้ยงแล้วล่ะนะ” หญิงสาวพูดกลั้วหัวเราะ

   ตัวเอลยาเองแม้จะเป็นผู้หญิงกลางคืนแต่ก็ค่อนข้างมีระดับจึงได้พบปะกับคนที่เดินทางผ่านหมู่บ้านนี้บ่อยครั้ง และหลาย ๆ คนก็รู้จักมักจี่กับคนที่มีฐานะดี ถึงอย่างนั้นก็ต้องอ้อนแล้วอ้อนอีกกว่าจะได้ลูกสุนัขสองตัวนี้มา เพราะวาลเซอิคบอกว่าอยากได้นักหนา เจ้าตัวรับรองเป็นมั่นเหมาะว่าราคาไหนก็จ่ายได้แน่ แต่เห็นท่าทางแล้วเธอก็เดาได้ทันทีเลยว่าเจ้าตัวกะเวลากระชั้นชิดแล้วค่อยขอคุณอาที่อ้างถึงบ่อย ๆ ซึ่งถึงอยากจะปฏิเสธก็คงปฏิเสธไม่ทัน ช่างไม่คิดถึงตัวเธอที่ต้องเป็นคนดูแลเจ้าตัวซนสองตัวนี้บ้างเลย

   “ข้าสัญญาแล้วข้าต้องมารับสิ” วาลเซอิคยื่นหน้าไปหอมแก้มเอลยาแล้ววางถุงเงินให้ในมือก่อนเดินไปนั่งยอง ๆ ข้างกรง มองลูกสุนัขสองตัวที่นั่งจุ้มปุ๊กมองกลับมาด้วยสายตาระแวดระวัง

   หญิงสาวส่ายศีรษะ มองเด็กหนุ่มที่คิดว่าจะเป็นลูกค้าชั่วข้ามคืน แต่ที่ไหนได้กลับมาติดพันกับเธอราวกับกลายเป็นน้องชายอีกคนหนึ่ง แต่ตัวเธอเองก็มีน้องอยู่หลายคนจึงไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจที่มีเด็กผู้ชายตัวโต ๆ มาคอยอ้อนเพิ่มอีก นอกจากนี้...คงเพราะวาลเซอิคมีบางส่วนคล้ายกับคนที่เธอเคยรู้จักในสมัยเด็กกระมัง แต่เธอเองก็จำคน ๆ นั้นไม่ค่อยได้แล้ว

   “เจ้าจะพูดคุยทำความรู้จักกับพวกมันไปก่อนก็ได้ ข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน” เอลยาแซวก่อนเดินกลับเข้าไปในบ้าน ทิ้งให้วาลเซอิคนั่งจ้องตากับลูกสุนัขที่ไม่คุ้นเคยกับสถานที่และไม่คุ้นเคยกับคนแปลกหน้า

   “นี่ เจ้าน่ะ”

   วาลเซอิคสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมีเสียงดังขึ้นจากเบื้องหลัง เขาหันไปมองและเจอชายหนุ่มที่เหมือนอายุและรูปร่างไล่เลี่ยกับตนเองยืนกอดอกมองมาด้วยสายตาไม่สบอารมณ์

   ไม่ต้องเดาก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นน้องชายของเอลยาแน่นอน เธอเคยเล่าให้เขาฟังอยู่บ่อย ๆ ว่ามีน้องชายคนหนึ่งที่อายุมากกว่าเขานิดหน่อยแต่นิสัยเจ้ากี้เจ้าการไปเสียทุกเรื่องอยู่คนหนึ่ง พอดูจากลักษณะแล้วก็เห็นจะเป็นอย่างที่เอลยาว่า เพราะใบหน้าที่เหมือนไม่พอใจทุกอย่างรอบตัวนั้นบ่งบอกอุปนิสัยได้เป็นอย่างดี

   “มายุ่งอะไรในบ้านคนอื่นเขา หา?” อีกฝ่ายถามพลางขมวดคิ้วทำให้หน้าดูขึงขังกว่าเดิม “เจ้าคงเป็นวา....อะไรนั่นที่เอลยาพูดถึงสินะ? คิดว่าสนิทกับพี่ข้าแล้วจะเดินเข้าบ้านตามใจชอบได้หรือยังไง?”

   วาลเซอิคนึกอยากเถียงออกไปทันทีแต่ก็ตัดสินใจว่าเงียบไว้จะดีกว่า เด็กหนุ่มลุกขึ้น ปัดฝุ่นจากกางเกงแล้วยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร

   “ข้าชื่อวาลเซอิค เจ้าคงเป็น อัลเรส น้องของเอลยาแน่ ๆ”

   “พี่ข้าเล่าเรื่องแบบนั้นให้เจ้าฟังด้วย? ให้ตายสิ ไม่ระวังตัวเอาซะเลย” เจ้าของชื่ออัลเรสบ่นออกมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด แต่ก็บอกระดับความหวงและห่วงที่เจ้าตัวมีต่อพี่สาวได้หลายส่วน วาลเซอิคได้แต่ขำอยู่ในใจเพราะไม่ผิดจากที่เอลยาเคยพูดเอาไว้เลย ทั้งที่ตอนแรกเขาคิดว่าหญิงสาวแค่พูดเกินจริงไปเท่านั้น

   “ข้าแค่เข้ามาเอาลูกสุนัขพวกนี้ เดี๋ยวก็จะไปแล้ว” เขาว่าพลางหันกลับไปหิ้วกรงขึ้นมาถือ

   “รีบ ๆ กลับไปเลย เดี๋ยวเอลยาจะต้องไปทำงานแล้ว” อัลเรสออกปากไล่อย่างไม่สนใจมารยาท แต่วาลเซอิคก็ยังได้ยินอีกฝ่ายบ่นอุบอิบกับตัวเองต่อว่า “เมื่อไหร่จะเลิกทำงานประเภทนั้นนะ”

   ตอนที่วาลเซอิคเดินเข้ามาถึงกลางบ้าน เอลยาก็เดินออกมาจากห้องพอดี ตอนนี้เครื่องแต่งกายของเธอเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด กลายเป็นชุดที่ค่อนข้างเปิดเผยเนื้อหนังและเน้นสัดส่วนมากขึ้นให้เข้ากับลักษณะงาน แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ยังไม่ลืมผ้าคลุมไหล่สำหรับปกปิดบางส่วนของร่างกายที่พ้นร่มผ้าออกมา เมื่อเอลยาเดินเข้ามาใกล้ น้ำหอมมีราคาก็โชยเข้าจมูก

   “พอข้าไปแล้วเจ้าก็พาแอนน์กับอเลนเข้านอนด้วยล่ะ” เธอกล่าวกับอัลเรสซึ่งตอนนี้เหมือนกลายเป็นผู้ดูแลบ้านกลาย ๆ หลังจากพ่อกับแม่พากันจากไปด้วยโรคติดต่อเมื่อหลายปีก่อน

   “ไม่ต้องบอกข้าก็รู้อยู่แล้วน่า” อัลเรสมุ่นคิ้ว “เจ้าเองก็ระวังตัวด้วย ระยะนี้ยิ่งมีแต่เรื่องแปลก ๆ อยู่”

   “เรื่องแปลก ๆ ?” วาลเซอิคอดไม่ได้ที่จะสอดปากขึ้นมา

   ในตอนแรกอัลเรสก็ดูจะไม่พอใจที่วาลเซอิคอยู่ ๆ ก็ทำตัวมีตัวตนในบ้านนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็คิดว่าอีกฝ่ายควรจะรู้เรื่องนี้เอาไว้ด้วย

   “เจ้ามา ๆ ไป ๆ ไม่รู้ก็ไม่แปลก แต่ช่วงหลัง ๆ นี่น่ะมีข่าวว่ามีคนถูกสัตว์ป่าขย้ำเอาบ่อยขึ้น แถมแต่ละศพก็ไม่ได้น่าดูซะด้วย ไม่รู้ว่ามีเสือหรือหมาป่าหลุดมาจากไหน” อัลเรสว่าแล้วหันไปมองพี่สาวตัวเองอีกครั้ง “เจ้าอย่าไปไหนมาไหนในที่ปลอดคนก็แล้วกัน แต่....ในที่คนเยอะก็ไม่ดี” ชายหนุ่มดูจะสับสนไม่รู้ว่าควรให้พี่สาวตนเองอยู่ในจุดไหน เพราะที่ไม่มีคนก็อันตราย ที่ที่มีคนมากก็อันตรายจากคนอยู่ดี

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่4 [14/11/12]
«ตอบ #48 เมื่อ14-11-2012 16:24:07 »

   “น่าแปลก”

   “หืม?” เอลยาและอัลเรสหันมามองวาลเซอิคพร้อมกัน

   “ก็...หากมีสัตว์ป่าอาละวาด ทำไมจึงไม่มีใครคิดจะจัดการอะไร ไม่ใช่ว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นหรอกหรือ?” เด็กหนุ่มตั้งข้อสังเกต เพราะหากเป็นเขาเมื่อมีคนใกล้ชิดถูกทำร้ายเขาคงไม่อยู่เฉยและตามล่าคนที่ทำแน่ แต่ดูเหมือนพวกคนในหมู่บ้านจะไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย

   “เกิดมาได้ 4-5 ปีแล้วต่างหาก ตอนแรกก็ห่าง ๆ เลยไม่มีใครสังเกต แต่ปีสองปีที่แล้วมันเริ่มจะถี่ขึ้นจนสังเกตได้” เอลยาว่าพลางถอนหายใจ “แต่ถึงจะถี่รายวันก็ไม่มีใครสนใจหรอก”

   “ก็แหงสิ พวกคนในเมืองจะมาสนใจอะไรแถวนี้” อัลเรสพูดพลางพยักเพยิดไปทางหนึ่ง ซึ่งวาลเซอิคก็เข้าใจได้ในทันที

   เขตด้านหลังของหมู่บ้านนั้นเรียกว่าเป็นสถานที่ที่ผู้คนส่วนใหญ่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็ว่าได้ เพราะเป็นแหล่งของอาชีพที่ไม่โสภาทั้งหลายซึ่งจะเปิดบริการเฉพาะเวลากลางคืน ซึ่งอาชญากรรมก็มีเกิดขึ้นรายวันเป็นปกติวิสัย ถึงจะมีการตายเกิดขึ้นก็ไม่มีใครนึกแปลกใจอะไร เผลอ ๆ จะไม่คิดสนใจเลยด้วยซ้ำ คงเพราะเหตุนั้นกระมัง เขาจึงไม่รู้สึกถึงสัญญาณความระแวดระวังจากคนในหมู่บ้านเลย เพราะทุกคนต่างมองว่าเป็นเรื่องไกลตัวที่ไม่เกี่ยวกับตนเอง ตราบใดที่เรื่องนี้ยังไม่ข้ามพ้นเขตของหอระฆังมา....ก็จะไม่มีใครนึกตื่นตัวกับมัน

   “เช่นนั้นข้าไปส่งก็แล้วกัน” วาลเซอิคอาสา เพราะอย่างไรเขาก็ไม่ได้เร่งรีบเท่าไหร่นัก

   “รบกวนเจ้าเปล่า ๆ เดี๋ยวอาของเจ้าจะเป็นห่วง” เอลยารีบปฏิเสธ “ข้าเดินเข้าออกแถวนี้บ่อยไป แล้วช่วงนี้คนก็กำลังมากด้วย แต่หากข้าไปช้ากว่านี้คนเดินเข้าออกจะเริ่มซาแล้ว”

   “รีบ ๆ ไปเถอะน่า คุยแบบนี้เดี๋ยวก็มืดเอาจริง ๆ” อัลเรสโบกมือไล่ด้วยท่าทางรำคาญ เอลยาจึงต้องรีบบอกลาทั้งเสียงหัวเราะแล้วเดินออกมาจากบ้าน ถึงอย่างนั้นวาลเซอิคกังถือกรงสุนัขเดินตามหลังมาไม่ห่าง
   “เจ้านี่ก็มีมุมดื้อดึงอยู่นะ” เอลยาแซวพลางยิ้มน้อย ๆ

   “ใคร ๆ ก็ว่าอย่างนั้น ข้ายังดื้อกว่านี้ได้อีกนะ” วาลเซอิคพูดไปก็พยายามถือกรงสุนัขให้นิ่งที่สุดเท่าที่ทำได้ เพราะเกรงลูกสุนัขตัวน้อย ๆ จะเวียนหัวตายเสียก่อนได้เลี้ยง

   ในที่สุดวาลเซอิคก็พาเอลยามาส่งถึงร้านจนได้ และท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงทุกขณะ เขาเอ่ยลาหญิงสาวที่ตนเองพามาส่งถึงที่เรียบร้อยแล้วเดินทางกลับปราสาท แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้จึงเดินไปทางหอระฆังและปีนขึ้นไปด้านบน แต่การถือกรงใหญ่ ๆ ปีนบันไดดูจะไม่ใช่เรื่องน่าพิสมัย เจ้าตัวจึงวางแอบกรงไว้ข้างล่างแล้วปีนขึ้นไปด้านบนที่เห็นช่องเปิดขนาดพอที่คน ๆ หนึ่งจะลอดได้

   เงาของหอระฆังทอดตัวนิ่งอยู่ใต้แสงจันทร์ ทำให้ภายในมืดมิดแทบจะไร้แสง ถึงอย่างนั้นวาลเซอิคที่คุ้นเคยกับความมืดในปราสาทก็ไม่เห็นว่ามันเป็นอุปสรรคแต่อย่างใด

   เขาผลิยิ้มให้กับร่างเงาร่างหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่หลังเสาค้ำเพื่ออาศัยเงามืดให้กลืนตนเองหายไป แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาวาลเซอิคที่ฝึกฝนล่าสัตว์ในความมืดอยู่เป็นประจำได้

   “ท่านซ่อนยังไงก็ไม่พ้นข้าหรอก” เขาพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ

   “ข้าก็ไม่ได้คิดจะซ่อน” เซเอลว่าโดยไม่ขยับตัวออกจากจุดเดิม วาลเซอิคจึงเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาและเลิกผ้าคลุมศีรษะออก เรือนผมสีเงินที่คุ้นตาสะท้อนแสงจันทร์เป็นประกาย

   “เพราะท่านชอบออกมาอย่างนี้บ่อย ๆ สินะ ถึงมีคนเล่าลือว่าเคยเห็นผู้ต้องสาปอยู่เป็นระยะ”

   “ก็ใช่ว่าข้าชอบปรากฏตัวให้มนุษย์เห็น” ชายหนุ่มมุ่นคิ้ว “แต่พวกเขาก็อยากรู้อยากเห็นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อพบเห็นข้าโดยบังเอิญก็เอาไปเล่าลือกันเสียน่ากลัว”

   “ไม่ใช่ว่าระยะหลังท่านแอบตามออกมาดูแลข้าหรอกหรือ?” วาลเซอิคหัวเราะขณะพูดเช่นนั้น เพราะหากออกมาเดินเล่นตามปกติ ทำไมจึงไม่บอกเขาว่าจะออกมาแล้วจะได้เข้าหมู่บ้านด้วยกัน “เพราะข่าวลือแปลก ๆ นั่นหรือเปล่า? ที่ว่ามีสัตว์ป่าออกมาทำร้ายคน?”

   “เจ้าได้ข่าวด้วยหรือ?”

   “วันนี้น้องชายของเอลยาเพิ่งจะบอกกับข้า แต่ทำไมท่านถึงรู้ได้ล่ะ?”

   เซเอลเงียบไปครู่หนึ่งพลางเบือนหน้าออกไปมองด้านนอกหอระฆัง สายตาของเขาจับจ้องไปยังเขตที่เริ่มจะครึกครื้นด้วยเสียงดนตรีและแสงไฟ

   “กลับกันเถอะ” แต่แล้วเจ้าตัวก็ตัดบทเปลี่ยนเรื่องเสียอย่างนั้น เหมือนกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่อยากจะนำมาสนทนาในเวลาอย่างนี้ วาลเซอิคเองก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการเปลี่ยนประเด็นครั้งนี้เพราะเขาไม่ได้เอะใจสงสัยในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากนัก ตัวเขาเองค่อนข้างเห็นด้วยกับอัลเรสที่ว่ามีสัตว์ป่าเข้ามาป้วนเปี้ยน และแถวละแวกที่เกิดเรื่องก็มีคนรวมตัวกันมากในเวลากลางคืน พ้องกับวิถีชีวิตของสัตว์ล่าเนื้อบางชนิดที่มักจะออกมาหากินเมื่อถึงเวลากลางคืนเท่านั้น

   วาลเซอิคผละจากเซเอลมาปีนบันไดลงไปรับลูกสุนัขที่ตนเองทิ้งไว้ข้างล่าง โดยมีเซเอลยืนรออยู่ข้างบน

   แต่ทว่า เมื่อวาลเซอิคลงมาเกือบถึงพื้นนั้น เขากลับได้ยินเสียงขู่เล็ก ๆ สองเสียงของลูกสุนัขสองตัว เด็กหนุ่มรู้สึกแปลกใจจึงมองลงไปข้างล่างพลางคิดว่าอาจจะมีสัตว์เจ้าถิ่นมายุ่งแถวกรง แต่สิ่งที่เขาเห็นนั้นกลับผิดจากที่คิดไปไกลโข เพราะมันดูเหมือนเงาคนในผ้าคลุมที่ปกปิดร่างกายมิดชิดกำลังทำอะไรบางอย่างกับกรงสุนัขมากกว่า

   “นั่นใครน่ะ!”

   ลูกสุนัขทั้งสองเป็นพันธุ์ดีที่มีราคาแพง วาลเซอิคเกรงว่าจะเป็นขโมยจึงร้องตะโกนออกไปแล้วรีบกระโจนพรวดเดียวถึงพื้น แต่เพราะจุดที่กระโจนลงมานั้นยังค่อนข้างสูง ทำให้เขาต้องตั้งหลักครู่หนึ่งถึงจะสามารถทรงตัวขึ้นมาพร้อมก้าวต่อได้ ซึ่งเมื่อเงยหน้าขึ้นมา เขาก็เห็นเพียงชายผ้าคลุมปลิวผ่านทางออกของหอระฆังไปเสียแล้ว แต่อย่างน้อยเสียงเห่าและขู่ของลูกสุนัขทั้งสองก็ทำให้เขามั่นใจได้ว่าพวกมันไม่ถูกขโมยไป

   เซเอลพาตนเองตามลงมาจากด้านบนอย่างไม่ยากเย็น

   “เกิดอะไรขึ้น?” เขาเอ่ยถามเพราะได้ยินเสียงตะโกนของอีกฝ่าย

   “แค่ขโมยล่ะมั้ง?” วาลเซอิคไหวไหล่แล้วเดินไปหากรงที่เขาวางหลบไว้ เด็กหนุ่มมุ่นคิ้วเมื่อเห็นประตูกรงมีร่องรอยเหมือนถูกงัดแต่โชคดีที่ไม่เปิดออกมา

   ถ้าคิดจะขโมยจริงทำไมถึงไม่อุ้มกรงไปเลย?

   ลูกสุนัขทั้งสองดูเสียขวัญ พวกมันถอยไปติดกรงด้านหลังและแยกเขี้ยวขู่อยู่ตลอดเวลาแม้เมื่อเขาพยายามปลอบให้พวกมันสงบ

   เซเอลรู้สึกได้ในทันทีว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ เพราะสัตว์นั้นจะมีสัญชาตญาณบางอย่างอยู่ โดยพวกมันจะแสดงความหวาดกลัวอย่างนี้ต่อหน้าผู้ล่าเท่านั้น นั่นแสดงว่าพวกมันรู้สึกถึงภัยคุกคามต่อตนเองเมื่อบางสิ่งที่วาลเซอิคไล่ไปนั้นเข้ามาใกล้

   ฝ่ายวาลเซอิคที่ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงได้แต่หิ้วกรงด้านบนเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองโดนพวกมันข่วนเข้าแล้วหันมาหาเซเอล

   “น่าจะไม่มีอะไรแล้ว พวกมันปลอดภัยดี” เขายิ้มกว้างแล้วมองลงไปที่กรง

   “ข้าก็หวังอย่างนั้น เพราะเจ้าคงเสียผู้ช่วยในอนาคตหากพวกมันถูกขโมยไป” เซเอลพูดเหมือนคล้อยตามความเห็นของวาลเซอิคว่าคนในชุดคลุมนั้นเป็นแค่โจรขโมยสุนัขธรรมดา แต่จมูกของเขากลับกระสากลิ่นคาวเลือดจนน่าแปลกใจ เป็นกลิ่นคาวที่ตกค้างจากการมาเยือนของใครบางคน แต่ก็บางเบาจนแทบจะจับเค้าไม่ได้หากไม่เพ่งพินิจอย่างถี่ถ้วน ซึ่งอาจเป็นเพราะเหตุนั้นวาลเซอิคจึงไม่รู้สึกอะไร

   เซเอลหยุดคิดเรื่องนี้ไม่ได้แม้เมื่อพวกเขากลับเข้ามาในป่า ชายหนุ่มจึงไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียวตลอดทาง ท่าทางนั้นทำให้วาลเซอิคอดสงสัยไม่ได้

   “ท่านดูกังวล?”

   “ก็ไม่เชิง ข้าคงจะคิดมากเกินไป”

   “เรื่องโจรขโมยสุนัขน่ะหรือ? ข้าเองก็สงสัยเหมือนกันว่าหากจะขโมยก็น่าจะหิ้วไปทั้งกรงได้ ไม่น่าจะพยายามเปิดขนาดนี้” วางเซอิคลองพูดออกมาแม้ใจจริงแล้วเขาจะไม่ได้ติดใจกับเรื่องนี้มากมายถึงขนาดนั้น แต่เมื่อพูดแล้วเขาก็มีข้อสงสัยเพิ่มอีกเรื่อง “แล้วไม่รู้ว่าใช้อะไรงัดด้วยสิ กลอนของกรงก็เป็นแบบล็อคธรรมดาแท้ ๆ”

   เซเอลเหลือบสายตามองเด็กหนุ่มเล็กน้อย

   “คนบ้ากระมัง” เขาสรุปในที่สุดเพื่อตัดจบเรื่องนี้ เพราะบางสิ่งบางอย่างภายในใจเขารู้สึกว่ามันอาจจะเกี่ยวพันกับการตายอย่างต่อเนื่องของมนุษย์ในหมู่บ้าน และเขาไม่อยากให้วาลเซอิคพาตัวเองเข้าไปยุ่งกับเรื่องอันตรายแบบนี้ เพราะอย่างไรวาลเซอิคก็ยังเป็นพียงแค่มนุษย์คนหนึ่ง

   หากว่า...

   สิ่งนั้นเป็น....

   ถึงแม้มันจะผ่านมานานแสนนานแล้วที่เขาไม่ได้พบเจอเลย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางมีอยู่ได้

   และเขาก็เคยเห็นมาก่อน...

   ความคลุ้มคลั่งและจิตวิญญาณที่โดนกลืนกินนั้น...

   เซเอลเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ในใจโดยไม่ได้พูดออกมาให้เด็กหนุ่มฟัง แต่สีหน้ากังวลใจอย่างที่น้อยครั้งจะปรากฏให้เห็นก็ทำให้วาลเซอิคจับสังเกตถึงความผิดปกติได้ หากไม่ใช่เรื่องใหญ่มีหรือที่เซเอลจะแสดงสีหน้าแบบนี้ออกมา แต่จะว่าไปแล้ว ระยะหลัง ๆ นี้เซเอลก็เหมือนจะคิดอะไรเงียบ ๆ คนเดียวบ่อยครั้ง มีบางสิ่งบางอย่างที่รบกวนใจอีกฝ่ายอยู่แต่กลับไม่เคยพูดออกมาเลย

   ท่ามกลางความเงียบและเสียงของความคิด ลูกสุนัขทั้งสองที่อยู่ในกรงก็สงบลงจากความกลัวแล้วและพากันขดตัวหลับซุกอยู่ด้วยกัน

   มีเพียงเสียงฝีเท้าที่ค่อย ๆ เปลี่ยนจากเสียงการย่ำพื้นดินเป็นพื้นหินของปราสาท เส้นทางทอดไปยังประตูบานใหญ่ที่ใช้เข้าออกจนเป็นปกติ แต่ถึงอย่างนั้นระยะหลังนี้มันก็เริ่มจะส่งเสียงครวญครางออกมาเหมือนบานประตูเริ่มฝืดและมีสนิมเกาะ แม้จะเป็นเพียงเสียงเบา ๆ แต่วาลเซอิคก็รู้สึกแปลกใจ เพราะเมื่อเขามาแรก ๆ นั้นปราสาทหลังนี้ดูเรียบร้อยสะอาดสะอ้านราวกับได้รับการดูแลอย่างดีในทุก ๆ วัน

   เขาคิดไปเองหรือเปล่านะ ที่รู้สึกว่าปราสาทหลังนี้กำลังเก่าโทรมลง...

TBC

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่4 [14/11/12]
«ตอบ #49 เมื่อ14-11-2012 16:55:03 »

ง่า
มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกันนะ
อยากรู้จัง
ขอบคุณที่มาต่อให้นะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่4 [14/11/12]
« ตอบ #49 เมื่อ: 14-11-2012 16:55:03 »





ออฟไลน์ Ali$a฿eth

  • [จิ้น]ตนการ
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-3
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่4 [14/11/12]
«ตอบ #50 เมื่อ14-11-2012 17:16:36 »

ชวนลุ้นขึ้นจริง วาลเซอิ อ้อนขึ้นมาเยอะเลย อร๊าย><

ออฟไลน์ AiiSoul

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่4 [14/11/12]
«ตอบ #51 เมื่อ14-11-2012 18:47:59 »

สนุกมากๆเลยค่ะ ><
เนื้อเรื่องดูลึกลับ น่าสนใจ น่าติดตามเป็นอย่างมาก

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่4 [14/11/12]
«ตอบ #52 เมื่อ14-11-2012 20:23:00 »

แนะไปหอมอีก

ออฟไลน์ AGALIGO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-4
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่4 [14/11/12]
«ตอบ #53 เมื่อ15-11-2012 14:46:45 »


BE  CAREFUL

+ PED  JAA


ออฟไลน์ pharm

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่4 [14/11/12]
«ตอบ #54 เมื่อ16-11-2012 00:57:20 »

 :-[ ใครจะเป็นเมะ เคะ นี่  :o8:

สนุกจัง  o13

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่5 [16/11/12]
«ตอบ #55 เมื่อ16-11-2012 21:09:12 »

บทที่ 5 สายใยผูกพัน


   แรกทีเดียวที่นำลูกสุนัขสองตัวเข้ามาในบ้าน อาร์วิน่าถึงกับบิดริมฝีปากและแสดงอาการต่อต้านอย่างออกหน้าออกตา ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครฟังเสียงของเธอเพราะทั้งคัลดิชและคัลมาร์ต่างก็เห็นด้วยกับวาลเซอิคที่ควรจะเลี้ยงพวกมันไว้ช่วยล่าสัตว์

   “ถ้าพวกมันมาทำชุดข้าขาดล่ะก็ ข้าจะเอาไปปล่อยแน่” อาร์วิน่าประกาศก่อนจะกระแทกส้นเท้าตึงตังออกไป

   “นางไม่ชอบสุนัขหรือ?” วาลเซอิคกระซิบถาม

   “ใครว่า นางชอบพวกมันจะตายไป” คัลดิชโบกมือเหมือนจะส่งสัญญาณว่าอย่าไปสนอกสนใจมากเลย

   “แล้วทำไมนางจะต้องอารมณ์เสียขนาดนั้นด้วย?” เด็กหนุ่มยังคงไม่เข้าใจ แม้อาร์วิน่าจะเป็นคนฉุนเฉียวแทบตลอดเวลาจนขาสงสัยว่าไม่เหนื่อยบ้างหรือยังไง แต่หากเป็นสิ่งที่ชอบก็น่าจะดีใจไม่ใช่หรือ? แต่ท่าทางที่หญิงสาวแสดงออกน่าจะห่างไกลจากคำว่าชอบไปโข

   “มันก็อธิบายยากอยู่นะ” คัลมาร์ไหวไหล่ขณะอุ้มลูกสุนัขตัวหนึ่งขึ้นมาเกาขนเล่น “สมัยก่อนเมื่อนานมาแล้วพวกเราก็เคยเลี้ยงสุนัข พวกมันซื่อสัตย์และภักดี แต่เมื่อไม่อาจหาคู่ผสมพันธุ์ได้พวกมันก็ค่อย ๆ ลดจำนวนลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งตัวสุดท้ายตายจากไป เมื่อยิ่งรักมาก การสูญเสียก็ยิ่งเจ็บปวด อาร์วิน่าคือคนที่เสียใจกับเรื่องนั้นมากที่สุด นางไม่ออกมาจากห้องเลยตลอดหนึ่งอาทิตย์”

   วาลเซอิครับฟังคำอธิบายด้วยความเข้าใจเพียงครึ่งเดียว เพราะเขาไม่เคยสูญเสียสิ่งที่ทำให้เกิดความรู้สึกลึกล้ำถึงเพียงนั้น แต่เขาก็รู้สึกสงสารอาร์วิน่าขึ้นมา

   “พวกเจ้าเอาพวกมันไปเข้ากรงก่อนเถอะ” เซเอลโบกมือให้คนรับใช้ทั้งสอง คัลดิชและคัลมาร์โค้งรับคำสั่งก่อนจะพากันอุ้มลูกสุนัขออกไปจากห้อง

   วาลเซอิคขยับเข้าไปใกล้เซเอลที่นั่งอยู่ข้างหน้าต่าง อีกฝ่ายดูไม่ยินดียินร้ายนักกับสิ่งที่คัลมาร์เล่า แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวจับจ้องออกไปยังจุดหนึ่งข้างนอกนั่นอย่างมีความหมาย

   “ท่านกำลังมองอะไรอยู่?”

   “สิ่งที่ข้าเคยรัก”

   “เคยรัก?” เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว เคยรักนั้นหมายถึงตอนนี้ไม่รักแล้วอย่างนั้นหรือ? เขาคิดขณะมองตามออกไป ซึ่งข้างนอกก็มีแต่พื้นหินที่ปูยาวออกไป และต้นไม้ที่เหี่ยวแห้งแต่ก็ยังไม่ร่วงโรยราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างฉุดยื้อชีวิตที่โรยราของมันเอาไว้ให้ยืนอยู่บนขอบเหวของความตาย

   เขารู้สึกว่า...พวกมันกำลังเหนื่อยอ่อน

   ใบไม้ใบหนึ่งร่วงลงมาจากกิ่ง....

   สายตาของเซเอลก็กำลังมองไปยังปลายทางของใบไม้ใบนั้นเช่นกัน

   “ข้าเคยมีสุนัขตัวหนึ่ง ชื่ออุลด์ มันเติบโตมากับข้า เหมือนกับเป็นเพื่อนคนหนึ่งของข้า” เขาเริ่มเล่าถึงอดีตที่เขาไม่ได้นึกถึงมานานแล้ว “แต่ช่วงชีวิตของข้ากับมันต่างกันมากเกินไป ตัวข้า...ไม่เปลี่ยนแปลง แต่มันกลับค่อย ๆ แก่ชราลง จากที่เคยป้วนเปี้ยนรอบตัวข้าทั้งกลางวันกลางคืน จนถึงวันหนึ่งมันก็เดินแทบจะไม่ไหว ได้แต่นอนซุกอยู่ที่เท้าของข้าเวลาที่ข้านั่งลงอ่านหนังสือ และขึ้นไปนอนที่ปลายเท้าข้าบนเตียงเวลาเข้านอน แต่หลังจากนั้นแม้แต่ปีนขึ้นเตียงมันยังทำไม่ได้ อาหารก็กินได้น้อยลงและต้องเป็นเนื้อบดหรืออาหารเหลวเท่านั้น และจนกระทั่งในที่สุด....เมื่อร่างกายของมันทนไม่ไหวอีกต่อไป...มันก็ไม่เคยตื่นขึ้นมาทักทายข้าอีกเลย”

   สรรพเสียงเงียบสงัดลงอย่างกะทันหัน ดวงตาของเซเอลที่จับจ้องไปยังพื้นดินไหวระริก ใบไม้ที่ปลิดปลิวลงมาจากต้นยังคงนอนนิ่งอยู่ตรงนั้น และข้างใต้...ก็มีร่างของสิ่งที่เขาเคยรักนอนอยู่ บางทีตอนนี้แม้แต่ซากก็คงไม่เหลือ มีแต่เพียงโครงกระดูกของสัตว์ตัวหนึ่งเท่านั้นที่ยังอยู่ที่นั่น

   ชายหนุ่มถอนหายใจแล้วหลับตาลง ทันใดนั้นร่างของเขาก็ถูกแขนข้างหนึ่งดึงเข้าไปกอดแนบ ริมฝีปากอุ่นประทับลงบนหน้าผากของเขาอย่างอ่อนโยน

   “ข้ายังอยู่ตรงนี้นะ”

   เซเอลยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นโดยไม่ได้พูดอะไร

   คำพูดของวาลเซอิคเป็นเพียงการปลอมประโลมที่เขารู้ดีแก่ใจว่ามันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น เพราะวันหนึ่งเด็กคนนี้ก็จะค่อย ๆ แก่ชราลง ในที่สุดจุดจบก็จะไม่แตกต่างกับอุลด์ หรือ....เธอคนนั้น...ซึ่งต่างก็ทิ้งเขาเอาไว้เพียงลำพังในความมืดมิดชั่วนิรันดร์

   วาลเซอิคได้แต่จ้องมองใบหน้าสงบนิ่งที่แอบแฝงความเศร้าอันลึกล้ำนั้น ราวกับว่าตัวเขาไม่อาจแทรกผ่านเข้าไปในกำแพงบาง ๆ ที่อีกฝ่ายตั้งเอาไว้ได้เลย

   “เซเอล...ข้าน่ะ.....” ขณะที่พูดเช่นนั้น เด็กหนุ่มก็เลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้

   ลมหายใจอุ่นเป่ารดลงมาเรียกให้เซเอลเลื่อนสายตากลับมามองคนตรงหน้าและได้เห็นดวงตาสีเขียวที่มีประกายความคาดหวังอยู่ภายใน ทั้งที่ดูคล้าย ๆ กันแต่ก็ให้ความรู้สึกแตกต่าง เธอคนนั้นมักจะมองเขาด้วยดวงตาอันสดใสราวกับว่าทุกหนแห่งมีแต่แสงอาทิตย์ส่องสว่าง ตัวเขาที่ไม่รู้จักแสงอันอบอุ่นนั้นมานานแสนนานได้สัมผัสมันอีกครั้งก็เพราะเธอ หากเพียงได้พบเธออีกครั้ง สัมผัสเธออีกครั้ง...

   เขาจะยอมแลกทุกสิ่งทุกอย่าง....

   ริมฝีปากแตะสัมผัสอย่างนุ่มนวล เซเอลหลุบสายตาลงปล่อยให้ความอุ่นของร่างกายอีกฝ่ายซึมซาบเข้ามาอย่างช้า ๆ

   “...เซเอล...”

   เสียงทุ้มต่ำที่แตกต่างจากภาพในจินตนาการเรียกให้ชายหนุ่มรู้สึกตัว

   เขาลืมตาขึ้นมองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าสับสนชั่วขณะก่อนจะเบี่ยงหน้าหลบริมฝีปากที่อ้อยอิ่งอยู่บนริมฝีปากตนเอง

   ท่าทางที่บ่งบอกถึงการปฏิเสธตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับการสมยอมเมื่อนาทีก่อนหน้านี้

   วาลเซอิคขบริมฝีปากตนเองอย่างอดกลั้น

   ในบางครั้งมันก็เหมือนกับว่าเซเอลรู้สึกพิเศษกับเขา ถึงได้มองดูเขาอยู่เสมอ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เข้าใกล้มากเกินไป เขาก็จะรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่ขวางกั้นพวกเขาทั้งสองเอาไว้

   “เซเอล ท่านเคยกลัวที่จะเสียข้าไปบ้างหรือเปล่า?”

   คำถามนั้นทำให้เซเอลต้องหันกลับมา

   “เหมือนกับอุลด์ที่คลอเคลียท่านอยู่เสมอ หากวันหนึ่งที่ข้าไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว ท่านจะยังคงรำลึกถึงข้าด้วยสีหน้าแบบนั้นไหม?” วาลเซอิคเอ่ยถามพลางยิ้มฝืน ๆ แค่มองก็รู้ว่าเจ้าตัวกำลังคาดหวังคำตอบแบบไหน แต่วาลเซอิคไม่ใช่สุนัข เซเอลไม่รู้ว่าตนเองควรจะตอบคำถามนี้แบบใดจึงจะเหมาะสม

   “ไร้สาระ เจ้าจะ....”

   “ข้าเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ผู้ต้องสาป เรื่องนี้ข้ารู้ด้วยตัวเองมาตั้งนานแล้ว” ทั้งความแตกต่างระหว่างเขาและคนอื่น ๆ ในปราสาท ทั้งการเปลี่ยนแปลงที่เขามีแต่คนอื่น ๆ ไม่มี เหมือนกับว่ามีเพียงเขาคนเดียวที่เวลายังคงเดินไปข้างหน้าแต่คนอื่น ๆ เวลาหยุดนิ่งอยู่กับที่ แม้จะโง่เง่าแค่ไหนแต่เรื่องแค่นี้น่าจะรู้สึกได้ไม่ยาก “วันหนึ่งข้าเองก็ต้องตายเหมือนกัน บางทีที่ท่านไม่ยอมเล่าเรื่องพ่อแม่ข้าให้ฟังก็คงเพราะพวกเขา....”

   “หยุดได้แล้ว” น้ำเสียงเฉียบขาดดุดันเปล่งออกมาขัดจังหวะการตั้งข้อสงสัยสารพัดของวาลเซอิคที่ตอนนี้มันเริ่มจะลุกลามเป็นเรื่องอื่น

   เซเอลขืนตัวออกจากอ้อมแขนของอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเย็นชา

   “ออกไป”

   ....

   วาลเซอิคยืนมองเซเอลอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง แต่เมื่อรู้ว่าตนเองไม่สามารถพูดอะไรได้อีก จึงทำได้เพียงยอมเดินออกไปจากห้องแต่โดยดี

   เซเอลทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้พลางยกมือขึ้นกุมใบหน้าตนเอง

   เด็กคนนั้นไม่ใช่ตัวแทนของใคร...เขาพยายามคิดอย่างนั้นหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่ว่าจะห้ามตัวเองอย่างไรก็ยังคงอดคิดไม่ได้ว่าวาลเซอิคช่างเหมือนเธอคนนั้นเสียเหลือเกิน แค่เพียงสายตาที่วาลเซอิคมองกลับมายังเขานั้นแฝงนัยบางอย่างไว้ ต่างกับดวงตาซื่อตรงของเธอที่เขาเคยรัก

   แต่ถึงอย่างนั้น....เขาก็ยังอดคล้อยตามไม่ได้.....

   เขาใจอ่อนเกินไปหรือเปล่า?

------------------------------->

   คัลดิชและคัลมาร์พาลูกสุนัขสองตัวเข้าไปอยู่ในกรงกว้างขวางผิดกับขนาดของผู้อาศัยอย่างสิ้นเชิง เพราะในสมัยก่อนที่นี่เลี้ยงไว้หลายตัวทำให้กรงต้องกว้างพอที่พวกมันจะอยู่ร่วมกันได้และมีพื้นที่พอให้เดินเล่นเพื่อที่พวกมันจะไม่เครียดมากเกินไป แต่เมื่อสุนัขตัวสุดท้ายตายลง กรงก็ถูกปล่อยทิ้งไว้ว่าง ๆ ไม่ได้นำมาใช้งานอย่างอื่น แต่ถึงอย่างนั้น ‘ปราสาท’ ก็ยังดูแลรักษากรงไว้อย่างดี ไม่มีอะไรแตกต่างจากที่เคยใช้งานครั้งสุดท้ายเลยแม้แต่น้อย ทำให้ทั้งสองไม่ต้องทำความสะอาดกรงเพื่อรับน้องใหม่

   ลูกสุนัขทั้งสองที่ยังไม่มีชื่อเมื่อหลุดจากมือได้ก็พากันวิ่งไปมุมกรงด้านในสุดทันที เป็นเหมือนสัญชาตญาณการป้องกันตัวของพวกมันจากคนแปลกหน้าและแปลกถิ่น ซึ่งสำหรับลูกสุนัขทั้งสองแล้ว ทุกคนในปราสาทหลังนี้คงจะไม่ต่างกับเจ้าถิ่นตัวใหญ่ที่ไม่รู้เจตนาว่าดีหรือร้าย

   “เชื่องยากแบบนี้จะเลี้ยงไหวหรือ?” คัลมาร์เท้าเอวพลางถอนหายใจ

   “น่าจะบอกว่าขี้ขลาดแบบนี้จะใช้งานได้จริงหรือ?” คัลดิชแก้คำให้แล้วมองไปยังมุมกรงที่เจ้าตัวเล็กสองตัวขดเข้าหากันจนกลมปุ๊กลุก ถึงแม้ว่ากรงจะมืดแต่สำหรับสายตาของพวกเขา ความมืดไม่ได้ช่วยให้ร่างเล็ก ๆ สองร่างนั้นหายไปจากสายตาเลย

   “อย่างน้อยก็คงจะหย่านมแล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องอาหารการกิน”

   “มีปัญหาคือพวกเราต้องทำงานมากขึ้นเพื่อเลี้ยงพวกมันจนกว่าจะใช้งานได้น่ะสิ”

   “อะไรกัน เจ้าไม่คิดว่าเหมือนตอนเลี้ยงวาลเซอิคหรอกหรือ?” คัลมาร์พูดแล้วก็หัวเราะออกมา เพราะวาลเซอิคยังเด็ก คัลดิชก็เคยบ่นแบบนี้ออกมาเหมือนกัน แต่สุดท้ายแล้วเจ้าตัวก็แค่บ่นไปอย่างนั้น

   “ก็ใกล้เคียงอยู่ ดีก็แต่เจ้าพวกนี้โตไวกว่ามนุษย์ อีกไม่นานก็เอามาฝึกได้แล้ว” คัลดิชพูดจบก็คิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง “แล้วใครจะพาพวกมันไปเดินเล่นกัน? สัตว์พวกนี้ถ้าไม่เจอแสงแดดเลยมีหวังเฉาตายกันพอดี วาลเซอิคน่ะนายท่านเป็นคนพาไปแรก ๆ ให้คุ้นทางแล้วค่อยปล่อยให้ออกไปเดินเล่นเองก็จริง แต่เจ้าตัวเล็กพวกนี้นายท่านคงไม่ทำถึงขนาดนั้น ส่วนพวกเราเองก็....”

   ฝาแฝดทั้งสองเงียบไป เพราะพวกเขาต่างก็สัมผัสแสงอาทิตย์ไม่ได้จึงต้องอยู่แต่ในความมืด เรื่องพาสัตว์ออกไปวิ่งเล่นกลางแสงแดดนั้นลืมไปได้เลย

   “ข้าจัดการเอง” วาลเซอิคได้ยินบทสนทนาพอดีจึงโผล่หน้าเข้ามาในกรง “ข้าไม่รบกวนพวกเจ้าหรอกไม่ต้องห่วง ข้าตกลงกับเซเอลแต่แรกแล้วด้วย” เขาหัวเราะแล้วเดินเข้ามาสมทบในกรงที่สูงพอที่จะยืดเต็มตัวได้

   “ถ้าเจ้าจะจัดการก็ตามใจ แต่เจ้าจะล่ามพวกมันยังไง?”

   เพราะที่นี่ไม่ได้เลี้ยงสุนัขมานานแล้ว ทั้งปลอกคอและโซ่ล่ามก็ทิ้งไปหมดเพราะอาร์วิน่าไม่อยากเก็บไว้ให้ชอกช้ำใจ คัลดิชจึงยังคงอดสงสัยข้อนี้ไม่ได้ ซ้ำปลอกคอยังต้องเปลี่ยนตามขนาดตัวไปเรื่อย ๆ อย่างน้อยก็จนกว่าพวกมันจะคุ้นชินกับที่นี่และมั่นใจว่าจะไม่หนีไปไหนตอนเผลอ

   ระหว่างที่พวกเขากำลังคิดเรื่องนี้กันไม่ตก ก็มีสายโซ่และปลอกคอขนาดเล็กโยนเข้ามาในกรงและตกลงที่ปลายเท้าพอดี

   ทั้งสามมองสิ่งที่นอนนิ่งที่ปลายเท้าก่อนมองออกไปที่ต้นทาง

   อาร์วิน่ายืนกอดอกมองกลับมาด้วยสีหน้าไม่พอใจเช่นเดิม

   “ข้าบังเอิญเจอในกล่องเก็บของเก่า ใช้แก้ขัดไปก่อนก็แล้วกัน” เธอว่าพลางสะบัดหน้าไปทางอื่น กระนั้นลอนผมที่ดูยุ่งเล็กน้อยของเธอก็บ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวตั้งอกตั้งใจค้นหาของชิ้นนี้มากแค่ไหน ซึ่งในตอนที่ทิ้งอุปกรณ์เกี่ยวกับสุนัขไปนั้น อาร์วิน่าคงจะทำใจไม่ได้แล้วแอบเก็บเอาไว้จึงมีเธอคนเดียวที่รู้ว่าในปราสาทยังมีของแบบนี้อยู่ด้วย และเป็นเหตุผลที่รีบกระแทกเท้าปึงปังออกไปจากห้องก่อนนั่นเอง

   วาลเซอิคกลั้นหัวเราะจนตัวสั่นกับอาการปากไม่ตรงกับใจของพี่สาวปากร้ายใจดีคนนี้ ก่อนก้มลงไปเก็บปลอกคอและโซ่ล่ามขึ้นมา

   “เช่นนั้นข้าขอยืมใช้ไปก่อนเจ้าคงไม่ว่านะ”

   “ตามสบายเถอะ ยังไงก็จะทิ้งอยู่แล้ว แค่มันมาหลงอยู่ในกล่องเก็บของเท่านั้นแหละ” อาร์วิน่าพ่นลมหายใจพรืดแล้วเดินมายืนที่หน้าประตูกรง “เอ้า รีบ ๆ ไปสวมเสียสิ จะได้ไปทำอย่างอื่นกันเสียที หรือพวกเจ้าจะเฝ้ากรงกันแบบนี้จนกว่าพวกมันจะคิดว่าพวกเจ้าเป็นแม่ใหม่กัน”

   “เจ้าก็พูดเกินไป” คัลมาร์หัวเราะแล้วหันไปส่งสัญญาณกับคัลดิชให้ช่วยกันจับลูกสุนัขสองตัวไม่ให้วิ่งหนี
   ฝาแฝดสองคนเดินเข้าไปหาเจ้าตัวเล็กสองตัวที่หูหางตั้งทันทีที่รู้สึกถึงการถูกคุกคาม พวกมันเห่าด้วยเสียงเล็ก ๆ และพยายามจะวิ่งหนี แต่มีหรือจะว่องไวเท่าคนที่ต้องจับสัตว์เล็กสัตว์น้อยมาดื่มกินเลือดเกือบทุกวัน แค่ขยับตัวไม่กี่ก้าว พวกเขาก็จับพวกมันขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนอย่างง่ายดาย และเพราะเขี้ยวเล็บยังไม่คมนัก กอปรกับพวกเขาสวมเสื้อแขนยาวและเนื้อผ้าค่อนข้างหนา การกัดข่วนจึงไม่มีผลสักเท่าไหร่

   “ไม่เป็นไรนะ แค่เดี๋ยวเดียวก็เสร็จแล้ว” วาลเซอิคค่อย ๆ เข้าไปสวมปลอกคอทีละตัวพลางปลอบโยนพวกมันไปด้วยแม้รู้ว่าพวกมันฟังไม่ออกก็ตาม

   พอสวมปลอกคอเรียบร้อยแล้ว คัลดิชและคัลมาร์ก็ปล่อยลูกสุนัขทั้งสองเป็นอิสระ ซึ่งพวกมันก็ไปซุกมุมกรงเหมือนเดิม

   “ออกไปกันเถอะ พวกมันจะได้สำรวจบ้านใหม่” คัลมาร์รุนหลังอีกสองคนออกไปด้วยกันแล้วจัดการปิดกรงเรียบร้อย

   “ถ้าอย่างนั้นข้าขอไปพักก่อนก็แล้วกัน พวกเจ้าจะทำอะไรก็ตามสบาย” พอเริ่มใกล้เช้า ร่างกายของผู้ต้องสาปก็จะเตือนว่าถึงเวลาเข้านอนซึ่งผิดปกติมนุษย์มนาเป็นอย่างมาก แต่พวกเขาก็เคยชินกับมันจนไม่รู้สึกแปลกใจ ซ้ำในอาณาบริเวณปราสาทแห่งนี้ก็ไม่เคยมีแสงอาทิตย์สาดส่องลงมาอยู่แล้ว จะกลางวันหรือกลางคืนก็ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ คัลดิชเป็นคนแรกที่ขอแยกวงไปพักผ่อน เจ้าตัวชูแขนขึ้นสูงแล้วหาวหวอดขณะเดินจากไป คัลมาร์จึงหันมาบอกลาบ้างแล้วเดินไปทางเดียวกันกับฝาแฝดของตน

   “งั้นข้าก็....”

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่5 [16/11/12]
«ตอบ #56 เมื่อ16-11-2012 21:12:01 »

   “เดี๋ยวก่อน”

   ก่อนที่อาร์วิน่าจะได้บอกลาบ้าง เจ้าตัวก็ถูกดึงแขนเอาไว้โดยวาลเซอิคและโดยไม่พูดพล่ามทำเพลง วาลเซอิคก็ลากหญิงสาวไปที่มุมหนึ่งข้างปราสาทราวกับว่ากลัวใครเห็นเข้า ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่แปลกประหลาดมากเพราะในปราสาทนี้ก็มีแต่พวกเขา 5 คน และแต่ละคนก็ไม่ได้มีนิสัยอยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่น

   เมื่อมาถึงมุมที่ดูอับสายตาที่สุด วาลเซอิคก็ยอมปล่อยแขน

   “อะไรของเจ้ากันน่ะ?” อาร์วิน่ามุ่นคิ้วถาม

   “ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้า” เด็กหนุ่มกระซิบ

   “มีอะไรก็ว่ามาสิ มาอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ แบบนี้ข้าจะเข้าใจเจ้าได้ยังไง” หญิงสาวเริ่มติดจะรำคาญ นาฬิการ่างกายของเธอกำลังบอกให้ไปนอนได้แล้ว แต่กลับต้องมายืนฟังเด็กคนหนึ่งกระมิดกระเมี้ยนปิด ๆ บัง ๆ

   “....เซเอล....เคยมีคนรักหรือเปล่า?”

   อาร์วิน่ามุ่นคิ้วเข้าหากันมากกว่าเดิม

   “อยู่ ๆ เจ้าถามอะไรน่ะ?”

   “ข้าก็แค่อยากรู้...ว่าเซเอลเคยมีคนรักมาก่อนหรือเปล่า”

   “ทำไมเจ้าถึงไม่ถามนายท่านเอาเอง”

   “....ข้าไม่คิดว่าเซเอลจะยอมตอบ” วาลเซอิคเดาได้เลยว่าฝ่ายนั้นจะต้องเบือนหน้าหนีเขาและบอกว่าเขาพูดเรื่องไร้สาระอีกแน่ เพราะเมื่อเขาถามถึงเรื่องของเซเอลครั้งใด เจ้าตัวจะหลบเลี่ยงทุกครั้ง เหมือนกับว่าไม่อยากให้เขาเข้าใกล้ตัวตนไปมากกว่านี้

   ทำไมกัน?

   เขาไม่เคยเข้าใจเลย ทั้งที่ตัวเขาเองอยากจะอยู่ใกล้ ๆ อยากจะฟังเรื่องราว และเข้าใจเซเอลมากกว่านี้ อยากจะแทรกเข้าไปในช่องว่างอันว้าเหว่นั้น และ....ให้ฝ่ายนั้นหันมามองเขาที่เป็นตัวตนของเขาจริง ๆ บ้าง...

   “ฟังนะวาลเซอิค เจ้าคงรู้ว่าพวกเราอายุ....ยืนกว่ามนุษย์ทั่ว ๆ ไป การอยู่ด้วยกันนานวันเข้าทำให้พวกเราต่างก็ต้องการความเป็นส่วนตัวที่มากขึ้น” อาร์วิน่ากลอกตาครั้งหนึ่งเหมือนกำลังคิดว่าต่อไปควรจะพูดอย่างไร “พวกเราจึงไม่คิดจะก้าวก่ายความคิดหรือเรื่องราวส่วนตัวของกันและกัน ถึงนายท่านจะเป็นเจ้าของปราสาทแต่ก็อย่างที่เจ้าเห็นว่าเขาไม่ได้มีสิทธิอะไรกับชีวิตพวกเรามากนัก”

   “อย่างนั้นหรือ?” วาลเซอิคถอนหายใจ

   หญิงสาวมองเด็กในปกครองพลางหรี่ตาลง

   “วาลเซอิค หรือว่าเจ้า.....”

   “ข้าทำไมหรือ?”

   เมื่อถูกถามสวนกลับมาในทันที อาร์วิน่าก็ชะงักเล็กน้อยและคิดทบทวนในใจว่าตนเองควรพูดออกไปดีหรือไม่ แต่แล้วเธอก็ตัดสินใจที่จะเงียบไว้ เพราะบางทีมันอาจจะเป็นแค่เรื่องที่เธอคิดมากไปเอง

   “ช่างเถอะ ข้าไปนอนก่อนล่ะ” เธอตัดบทแล้วเดินจากไป

   วาลเซอิคได้แต่มองตามแผ่นหลังหญิงสาวและเลื่อนสายตาไปทางหน้าต่างห้องห้องหนึ่งในปราสาท จากตรงนี้เขามองไม่เห็นเลยว่าข้างในนั้นมีใครอยู่หรือไม่ แต่เซเอลก็คงจะยังคงอยู่ในห้องนั้นเพียงลำพังตามเคย หรือไม่ก็คงจะกลับห้องนอนไปแล้ว....

   เด็กหนุ่มส่ายศีรษะเพื่อสลัดความรู้สึกหม่นหมองทิ้งไปแล้วเดินกลับห้องของตนเอง

-------------------------->

   “เอลยา เจ้าจะกลับแล้วหรือ?” หญิงสาวผู้เป็นแม่เล้าเอ่ยถามเมื่อเห็นเอลยาลงมาจากข้างบนและกำลังขยับผ้าคลุมไหล่ให้เรียบร้อย

   “ข้าคิดว่าจะกลับไปพักผ่อนเร็วหน่อย แม่มีอะไรให้ข้าช่วยหรือคะ?”

   “ก็ไม่มีหรอก ข้างล่างนี่เดี๋ยวพวกเด็ก ๆ เก็บกันเองได้” แม่เล้าโบกไม้โบกมือ “เจ้ากลับตอนนี้ก็ระวังแล้วกัน เดี๋ยวจะโดนสัตว์ป่าทำร้ายเอา”

   “ตอนนี้คงไม่มีอะไรนักหรอก พวกผู้ชายกำลังทยอยกลับบ้านกลับช่องกันก่อนภรรยาตื่นน่ะค่ะ” เอลยาหัวเราะคิกคัก “ข้าเองก็ต้องกลับก่อนพวกเด็ก ๆ ตื่นด้วย เดี๋ยวพวกเขาจะอดถามไม่ได้ว่าพี่สาวไปไหนมา ถึงตอนนั้นข้าคงต้องหาเรื่องโกหกไปอีก”

   เพราะอาชีพของเธอไม่ใช่เรื่องที่น่าโพนทะนาหรือยกย่องสรรเสริญ เธอจึงไม่อยากให้น้องสาวและน้องชายที่ยังเล็กอยู่ต้องรับรู้เรื่องเหล่านี้ มีเพียงอัลเรสคนเดียวที่รู้ว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ ซึ่งแม้เจ้าตัวจะไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่มีอำนาจคัดค้านเพราะน้องยังดูแลตัวเองไม่ได้และรายได้ของอัลเรสที่ไปรับจ้างทำงานให้คนในตลาดก็ไม่เพียงพอที่จะดูแลคนสี่คนในบ้านหลังเดียว

   เอลยาได้แต่หวังว่าน้องทั้งสองจะโตพอที่จะดูแลตัวเองในเร็ววัน เพื่อที่เธอจะได้เลิกอาชีพนี้และกลับไปรับจ้างทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ในบ้านก็พอ

   ถึงอย่างไรเธอก็ไม่คิดว่าตัวเองจะปิดบังกับน้องสาวและน้องชายได้นานอยู่แล้ว เพราะแขกที่เข้ามาก็เป็นคนในหมู่บ้านเสียส่วนใหญ่ ที่พวกเขาไม่พูดอะไรก็เพราะเกรงใจอัลเรสเท่านั้น

   “ถ้าอย่างนั้นก็ดูแลตัวเองดี ๆ แล้วกัน เจ้าเป็นหน้าเป็นตาของที่นี่นะ” แม่เล้าหยอกเย้าแล้วหันไปสั่งงานเด็ก ๆ ในร้านต่อ

   เอลยาเดินออกมาข้างนอกพลางยกผ้าคลุมขึ้นคลุมศีรษะ แสงอาทิตย์ยังไม่พ้นขอบฟ้าทำให้บรรยากาศยังคงสลัวราง มีแสงมีส้มทองกระพริบอยู่ที่ปลายฟ้าด้านตะวันออก แต่เหนือศีรษะดวงจันทร์ยังปรากฏกายในรูปวงเสี้ยวสีขาวเคียงคู่กับดวงดาวที่เปล่งประกายเพียงดวงเดียวในยามเช้า

   สายลมพัดวูบมาทำให้หญิงสาวดึงผ้าคลุมตัวให้มิดชิดขึ้น

   ตอนนี้ผู้คนดูบางตา มีผู้ชายบางคนกำลังออกมาจากร้านรวงรอบข้าง

   หญิงสาวเดินตามกลุ่มคนนั้นไปพลางมองท้องฟ้าที่มีแสงเพียงเรืองเรื่อ อาจเพราะเธอทำงานแบบนี้กระมัง ท้องฟ้ายามเช้าจึงเปรียบเสมือนรางวัลของความเหนื่อยยาก ทุก ๆ วันเมื่อเลิกงาน เธอจะได้รับการทักทายด้วยแสงสีอันน่าอัศจรรย์ใจ แต่ก็ใช่จะเป็นแบบนี้ทุกฤดูกาล เพราะในฤดูหนาวท้องฟ้าจะสว่างช้ากว่าฤดูอื่น ๆ ทำให้เมื่อเลิกงานท้องฟ้าก็ยังคงมืดมิดเหมือนยามราตรี

   ในขณะที่กำลังเดินไปตามทางเรื่อย ๆ นั้น พลันสายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นร่างหนึ่งในผ้าคลุมยืนแอบอยู่มุมร้านร้านหนึ่งโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น

   ร่างนั้นดูลึกลับและให้บรรยากาศเหมือนเป็นสิ่งที่ไม่น่าพิสมัย แต่กลับมีความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างอวลอยู่ในอก เรียกให้หญิงสาวเดินเข้าไปหา

   เอลยาหยุดเดินและปล่อยให้ผู้คนที่เหนื่อยอ่อนผ่านตนเองไป สายตาของเธอจับจ้องไปยังร่างนั้นอย่างแน่วนิ่ง พยายามนึกอยู่ในใจว่าเหตุใดเธอจึงคิดว่าคน ๆ นั้นน่าจะเป็นคนที่เธอรู้จัก เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนไหวพลิ้วออกมาจากผ้าคลุมศีรษะ รูปร่างภายในผ้าสีขะมุกขะมอมนั้นดูเล็กและบอบบาง รวมถึงส่วนสูงที่ไม่มากนัก จึงพอคาดเดาได้ว่าคงจะเป็นผู้หญิง

   ในที่สุดเธอจึงค่อย ๆ สาวเท้าเข้าไปหาร่างนั้น ทว่าก้าวไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ร่างภายในผ้าคลุมก็หันมามองเธอทำให้เอลยาเผลอชะงักจังหวะ

   และแค่เพียงวินาทีเดียวเท่านั้น ร่างนั้นก็หมุนตัวหลบเร้นเข้าไปในเงามืดระหว่างกำแพงร้านที่เป็นซอกเล็ก ๆ พอให้คนลอดผ่านได้เพียงคนเดียว

   เอลยาสะดุ้งรู้สึกตัวรีบก้าวเท้าไล่ตามไป แต่เมื่อไปถึงซอกนั้น เธอก็เห็นแต่เพียงความมืด....

   ซอกนี้ไม่ได้ลึกมากนัก เพราะอีกด้านหนึ่งติดกับกำแพงด้านหลังของร้านฝั่งตรงข้าม ถึงจะมืดแค่ไหนแค่ไม่นานเมื่อสายตาคุ้นชินก็สามารถมองเข้าไปจนสุดทางได้ โดยส่วนใหญ่ที่นี่จะมีคนเมาแอบมานอนบ้าง หรือไม่ก็ทิ้งขยะทำให้เจ้าของร้านต้องคอยดูแลอยู่เสมอ ซึ่งวันนี้ก็ไม่ต่างจากวันอื่น ๆ เพราะด้านในมีขวดแก้วถูกโยนทิ้งไว้อย่างไม่ใส่ใจรวมถึงเศษแก้วแตก ๆ ประปราย แต่ถึงอย่างนั้น เธอกลับไม่พบร่างเงาประหลาดนั้นเลย

   หนีไปทางอื่น?

   นั่นย่อมเป็นไปได้ยาก เพราะร้านสองร้านที่ขนาบซอกนี้มีความสูงสองชั้น ส่วนร้านด้านหลังสูงกว่าเล็กน้อย อีกทั้งยังเป็นกำแพงเรียบ ๆ ไม่มีจุดให้ปีนป่ายขึ้นไปด้านบน

   ไม่สิ...ถึงจะมี แต่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ จะสามารถทำเช่นนั้นได้หรือ?

   ระยะทางแค่เพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้นจากจุดที่เธอยืนอยู่มาจนถึงตรงนี้ ไม่มีทางเลยที่จะหนีพ้นสายตาไปได้ แต่ไม่ว่าเอลยาจะสำรวจที่มุมไหน เธอก็ไม่เห็นว่าจะมีคนหลบซ่อนอยู่เลย

   ตาฝาด?

   เอลยาคิดพลางนวดหว่างคิ้วตัวเอง

   บางทีวันนี้เธออาจจะเหนื่อยจากงานมากเกินไปกอปรกับนอนผิดเวลามนุษย์ปกติมาหลายปี ร่างกายจึงเริ่มเล่นตลกกระมัง?

   ในตอนที่หญิงสาวสรุปกับตนเองว่ามันอาจจะเป็นเพียงภาพลวงตาที่สมองสร้างขึ้นเพราะเห็นซอกมืด ๆ นั้นเอง สายตาของเธอกลับเห็นบางสิ่งบางอย่างที่ดูเหมือนจะไม่ใช่ขยะทั่ว ๆ ไป

   แสงอาทิตย์รำไรที่ส่องลงมาบนพื้นสะท้อนบางสิ่งบางอย่างที่นอนสงบนิ่งอยู่ตรงปลายเท้าของเธอ มันส่องประกายแวววาวราวกับเรียกร้องให้สัมผัส และด้วยใจสงสัย เอลยาจึงก้มลงไปเก็บมันขึ้นมา ก่อนจะพบว่ามันคือสร้อยเส้นหนึ่งที่ทำจากทองคำและจี้เล็ก ๆ ซึ่งทำจากวัสดุเดียวกัน บนจี้มีสัญลักษณ์เหมือนตราตระกูลที่ประกอบด้วยดวงจันทร์เสี้ยวกับนกที่มีหางยาวดูแปลกตา เป็นตราตระกูลที่เธอไม่เคยผ่านมามาก่อนเลยในชีวิต อีกทั้งเครื่องประทับที่ทำจากทองคำนั้นก็หาได้ยากในหมู่บ้านอย่างนี้ เธอจึงคิดว่ามันอาจจะไม่ใช่ทองแท้ก็เป็นได้ แต่ตราที่ปรากฏบนจี้ก็ประณีตเกินกว่าจะเป็นของที่ทำขึ้นมาเล่น ๆ

   หญิงสาวพลิกไปด้านหลัง และพบกับภาษาโบราณที่เธออ่านไม่ออก แม้จะมีความคล้ายคลึงกับภาษาที่ใช้กันอยู่แต่รูปแบบการเขียนและขนาดอักษรที่เล็กมากก็ยากต่อการทำความเข้าใจ

   เป็นของที่ใครแถวนี้ทำตกไว้?

   ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะสิ่งนี้เป็นเครื่องประดับของหญิงสูงศักดิ์ ซึ่งในสถานที่แบบนี้คงไม่มีผู้หญิงที่น่าจะเป็นเจ้าของสร้อยเส้นนี้มาเดินอยู่ได้

   หรือจะเป็นของร่างเงาประหลาดนั้น?

   หากว่าเป็นภาพลวงตาก็ไม่น่าจะทำอะไรตกไว้ได้ไม่ใช่หรือ?

   ซึ่งหากสร้อยเส้นนี้เป็นของหญิงสาวในผ้าคลุมคนนั้น ก็หมายความว่าสิ่งที่เธอเห็นไม่ใช่ภาพหลอกที่สมองสร้างขึ้น แต่มีใครบางคนเคยยืนอยู่ ณ จุดนี้จริง ๆ และได้หายตัวไปแล้ว

   ฟังดูอาจจะแปลก...แต่นั่นคือสิ่งเดียวที่เอลยาอนุมานได้ และเพราะไม่รู้ว่าจะหาความจริงอย่างไร เอลยาจึงตัดสินใจเก็บสร้อยเส้นนั้นไว้กับตัวไปก่อน หากมันเป็นของสำคัญ หญิงสาวที่แปลกประหลาดคนนั้นคงจะมาหาเธอเพื่อขอมันคืนไปอย่างแน่นอน

   “เอลยา”

   ระหว่างที่เธอกำลังจะหมุนตัวออกมานั้น ก็มีเสียงหนึ่งเรียกชื่อของเธอ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองและเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังสาวเท้าเข้ามาหาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

   “อัลเรส เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” น้องชายของเธอนั่นเอง เอลยาได้แต่มองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจเพราะร้อยวันพันปีอัลเรสไม่เคยย่างเท้าเข้ามาในเขตนี้เลย

   “ก็มารับเจ้าน่ะสิ ข้าบอกแล้วว่าให้ระวังตัวไม่ใช่หรือไง? แล้วเจ้าคิดจะยืนตรงนี้จนถึงเมื่อไหร่?” อัลเรสดุพี่สาวตนเองด้วยสีหน้าถมึงทึง แต่เอลยากลับหัวเราะออกมา

   “ข้าขอโทษอัลเรส เรากลับกันเถอะ” ในตอนแรกเอลยาคิดว่าตนเองควรจะเล่าเรื่องที่ประสบเมื่อครู่ให้อัลเรสฟังหรือไม่ แต่เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของอีกฝ่ายแล้วเธอก็ไม่อยากจะเพิ่มความกังวลให้เขาอีก เพราะหากเธอเล่า อัลเรสคงเรียกร้องจะเอาสร้อยไปเก็บไว้เองและมาสังเกตการณ์สืบหาตัวหญิงสาวปริศนาคนนั้นเป็นแน่ เอลยาจึงตัดสินใจที่จะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับเพียงคนเดียวโดยหวังว่าเธอจะมีโอกาสได้คืนสร้อยเส้นนี้ให้กับเจ้าของผู้ลึกลับคนนั้น

TBC

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่5 [16/11/12]
«ตอบ #57 เมื่อ17-11-2012 01:02:34 »

ดูหนังหลายเรื่อง ที่ตัวร้ายต้องการจะมีชีวิตป็นอมตะ พออ่านตอนนี้แล้วเศร้านะ กับเวลาของตัวเองที่หยุดนิ่ง แต่ของคนที่รักกลับไหลไปเรื่อยๆ  :o12: สงสารทุกคนเลย
ย่อหน้าสุดท้ายนึกว่าเอลยาจะเจอสัตว์ร้ายทำร้ายซะแล้ว โชคดีๆๆ (ชอบอัลเรสแฮะ น่ารักดี หวงห่วงพี่สาว ขอบทเพิ่มได้มั๊ยเนี่ย :-[ )

อ่านมาตั้งแต่ตอนแรก นึกว่าเซเอลจะกินเด็ก ที่ไหนได้ท่าทางจะโดนเด็กกินแทนแล้วล่ะนี่ 5555

รอตอนหน้าจ้าตัวเอง  :กอด1:

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่5 [16/11/12]
«ตอบ #58 เมื่อ17-11-2012 10:01:22 »

เห็นด้วยกับความเห็นข้างบน
อิอิ

ออฟไลน์ AGALIGO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-4
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่5 [16/11/12]
«ตอบ #59 เมื่อ17-11-2012 13:01:31 »


WHO ' S  THAT  GIRL  ???

+  PED  JAA


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด