ปฏิญญารัตติกาล บทส่งท้าย [28/01/13]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ปฏิญญารัตติกาล บทส่งท้าย [28/01/13]  (อ่าน 96350 ครั้ง)

ออฟไลน์ pharm

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่5 [16/11/12]
«ตอบ #60 เมื่อ17-11-2012 19:43:23 »

ผู้หญิงคนนั้นมีอะไรเกี่ยวข้องกับวาลเซอิครึป่าวนี่

ยังไงก็อย่าพรากวาลเซอิคไปละกัน

แล้วเรื่องที่ปราสาทดูเก่าลงอีก จะเกี่ยวกับอายุขัยที่จะหมดลงรึป่าวนี่

โอ๊ยมีแต่เรื่องให้งง

ออฟไลน์ Ali$a฿eth

  • [จิ้น]ตนการ
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-3
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่5 [16/11/12]
«ตอบ #61 เมื่อ17-11-2012 22:51:14 »

มีตัวละครลึกลับมาและ

เห้นด้วยกับรีบน(โน่น)

สนุกมากๆลยคะ รอตอนต่อไป

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่6 [23/11/12]
«ตอบ #62 เมื่อ23-11-2012 14:00:26 »

ตอนที่ 6 เพียงฉากหนึ่งในความคิดคำนึง


   กริ๊ง..

   เสียงกระจ่างใสของวัตถุชิ้นเล็กน้ำหนักเบากระทบบนพื้นเรียกให้ชายหนุ่มหันไปมองด้วยความสนเท่ห์ใจ เนื่องจากตนไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน ถึงอย่างนั้นมันกลับตกลงมาจากเสื้อผ้าที่เตรียมซักของพี่สาวซึ่งตอนนี้กำลังนอนพักอยู่ข้างบน

   หรือว่าจะเป็นของขวัญจากแขก?

   อัลเรสคิดพลางก้มลงเก็บเครื่องประดับชิ้นนั้นขึ้นมา

   เอลยาค่อนข้างจะเป็นที่นิยมชมชอบของแขกที่มีอันจะกิน หลาย ๆ ครั้งเธอจึงได้รับเครื่องประดับสวยงามเป็นของขวัญ แต่เอลยาก็ไม่เคยเก็บไว้กับตัวเลย ทุกครั้งที่ได้มาเธอจะนำมาหยิบยื่นให้เขาเพื่อนำไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินมาดูแลเรื่องในบ้าน กระนั้นมีเพียงของชิ้นนี้ที่เอลยาลืมทิ้งไว้ในเสื้อผ้าโดยไม่ได้บอกให้เขารู้ ซ้ำยังเป็นของที่ดูมีราคาค่างวดที่สุดเท่าที่เคยได้รับมา

   หรือว่าจะได้รับจากคนสำคัญ?

   ตัวเขาเองก็ไม่คิดจะก้าวก่ายเรื่องของพี่สาว แต่อย่างไรเอลยาก็เป็นผู้หญิงซึ่งทำให้เขาอดห่วงไม่ได้ ซ้ำการงานของฝ่ายนั้นก็เสี่ยงอันตรายอยู่มาก มีหรือที่ใจเขาจะสงบ

   อัลเรสถอนหายใจแล้ววางเครื่องประดับชิ้นนั้นไว้บนโต๊ะ ก่อนเก็บเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ถูกถอดไว้ในถังไปเตรียมซัก ทุก ๆ วันเขาจะต้องทำงานบ้านก่อนแล้วจึงจะออกไปทำงานได้ และนายจ้างของเขาก็เข้าใจจุดนี้จึงไม่มีปัญหาอะไรหากเขาจะไปสายเล็กน้อย

   เครื่องประดับสีทองแวววาวสะท้อนแสงแดดที่ส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่างเป็นประกายสวยงามแปลกตาอย่างน่าประหลาด ตราสัญลักษณ์แบบนูนต่ำบนจี้ที่ถูกทำขึ้นอย่างประณีตมองคล้ายจะมีชีวิตชีวาขึ้นมา ทว่าสุดท้ายแล้วมันก็เป็นเพียงเครื่องประดับชิ้นหนึ่งซึ่งยังคงนอนนิ่งอยู่บนโต๊ะไม้เก่า ๆ เฝ้ารอให้ใครบางคนมาหยิบมันไปสวมใส่ หรือไม่...มันก็คงกำลังเฝ้ารอเจ้าของของมันมารับคืนไป...

---------------------------->

   ถึงแม้ภายนอกจะเป็นยามเช้าอันสดใส ทว่าภายในอาณาเขตของผู้ต้องสาปก็ยังคงปกคลุมด้วยเมฆหมอกสีเทาทะมึน กระนั้นผู้ที่อาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ทุกคนล้วนแต่คุ้นชินกับความมืดมิดทุกชั่วยามเพราะความสว่างไม่เคยมีความสำคัญต่อพวกเขา ในทางกลับกัน มันเป็นโทษเสียมากกว่า ด้วยเหตุนั้นร่างกายของผู้ต้องสาปจึงหลับนอนกันในยามกลางวันและตื่นในยามกลางคืน

   แต่สำหรับมนุษย์แล้ว....แสงสว่างยังคงมีความจำเป็นต่อชีวิต และนาฬิกาของร่างกายก็ทำงานของมันอย่างเที่ยงตรง

   วาลเซอิคตื่นขึ้นมาในช่วงเวลาหนึ่งที่ตนเองไม่รู้ว่าเป็นเวลาเท่าใดแล้วเพราะท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่างไม่เคยบอกเวลากับเขา และนาฬิกาของปราสาทก็ไม่เคยเดินไปจากเวลาเดิมของมัน สิ่งเดียวที่เขารู้ก็คือเขาเป็นคนเดียวที่ตื่นอยู่ในเวลานี้อย่างเคย

   หลังจากกินอาหารมื้อแรกของวันเรียบร้อย เขาก็เดินไปที่กรงสุนัขและพบว่าข้างในนั้นมีอาหารอยู่เรียบร้อยแล้วโดยไม่รู้ว่าใครนำมาให้ตอนไหน บางครั้งเขาก็อดสงสัยไม่ได้ว่าปราสาทหลังนี้มีใครที่เขาไม่รู้จักอยู่หรือไม่ แต่สุดท้ายเขาก็ปล่อยให้มันเป็นข้อสงสัยต่อไปจนในที่สุดเขาก็คุ้นชินกับมันจนเหมือนเป็นเรื่องปกติที่อะไร ๆ จะกลับเป็นเหมือนเดิมเมื่อคล้อยหลังไปไม่นาน หรือมีอาหารโผล่ออกมาในเวลาที่หิวโหย ขอเพียงมีวัตถุดิบเพียงพอปราสาทหลังนี้ก็สามารถเนรมิตสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตได้ อาจเรียกอย่างง่าย ๆ ว่าปราสาทสารพัดนึก แต่กระนั้นเขากลับรู้สึกว่าปราสาทหลังนี้กำลังเหนื่อยล้าลงทุกขณะ

   วาลเซอิคส่ายศีรษะเมื่อคิดเช่นนั้น

   ปราสาทจะเหนื่อยล้าได้ยังไงกัน? แต่หากไม่คิดแบบนี้เขาก็หาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมปราสาทจึงเริ่มเก่าลง แม้แต่กรงสุนัขก็มีสนิมเกาะอยู่เล็กน้อย

   ลูกสุนัขสองตัวดูมีความสุขกับเนื้อเพราะกำลังหิวได้ที่ หางเล็ก ๆ กวัดแกว่งไปมาขณะโน้มไปแทะทึ้งเนื้อสัตว์ด้วยฟันที่ยังไม่คมมากนัก

   เมื่อพวกมันอิ่มกันดีและดูร่าเริงพร้อมออกกำลังแล้ว วาลเซอิคก็คว้าสายจูงที่แขวนอยู่มุมกรงแล้วเปิดประตูเดินเข้าไปข้างในกรง แรกทีเดียว ลูกสุนัขทั้งสองก็ตกใจกลัวผู้บุกรุก แต่เมื่อวาลเซอิคไม่ได้แสดงท่าทางคุกคามและใช้เวลาเฝ้ารอจนพวกมันเลิกระแวง การจับสวมสายจูงจึงไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรง

   “เอาล่ะ ถึงฟ้าจะยังไม่สว่างแต่พวกเจ้าคงรู้ว่าถึงเวลาออกกำลังแล้ว” เขาพูดกับลูกสุนัขทั้งสองที่ดูจะไม่ได้เข้าใจสิ่งที่เขาพูดแม้แต่น้อย พวกมันกลิ้งไปมาและกัดสายจูงเหมือนลับเขี้ยวไปในตัว

   วาลเซอิคก้มลงไปจับพวกมันขึ้นมาอุ้มไว้ในแขน แน่นอนว่าเขาได้รับการประท้วงเป็นการดิ้นรนเพื่อลงไปหาพื้น แต่เด็กหนุ่มก็ไม่นึกสนใจ แต่เดินออกมาข้างนอกแล้วจึงวางพวกมันลงก่อนหันไปปิดกรง ไม่ทันไรเจ้าลูกสุนัขทั้งสองก็ออกลายด้วยการวิ่งนำไปก่อน แต่เพราะติดสายจูงพวกมันจึงได้แต่วิ่งวนไปรอบ ๆ ตัวเขาเท่านั้น ลูกสุนัขตัวกลมป้อมออกอาการหงุดหงิดที่ถูกบังคับแต่เมื่อวาลเซอิคยอมเดินตาม พวกมันก็ส่ายหางระริกระรี้อย่างยินดีและวิ่งกันออกไปโดยที่ไม่รู้ทิศทาง

   “มาทางนี้สิพวกเจ้า นั่นมันหลังปราสาทถึงจะเดินไปก็ไม่เจออะไรหรอก” เท่าที่วาลเซอิคจำได้ ด้านหลังปราสาทบรรยากาศไม่ต่างกับนิยายสยองขวัญที่มีต้นไม้แห้งเหี่ยวหงิกงอเรียงรายกันเหมือนกับว่ามันเคยเป็นสวนสีเขียวที่สวยงามแต่ตอนนี้เหลือเพียงความแห้งผากไร้ชีวิตชีวา แต่น่าแปลกที่น้ำพุหินที่ตั้งในสวนนั้นยังมีน้ำไหลเอื่อย ๆ ออกมาจากตาด้านบนและไหลลงมายังฐานรองก่อนจะลับหายไปข้างใต้นั้น

   เด็กหนุ่มลากจูงลูกสุนัขแสนซนทั้งสองออกมาจนถึงด้านหน้าปราสาทที่มีประตูเหล็กสูงใหญ่ตั้งอยู่ ประตูบานนี้ไม่เคยปิดเลยสักครั้ง ราวกับการบอกว่าไม่เคยคิดจะกักขังใครไว้ที่นี่ แต่ทุกคนก็ไม่เคยคิดที่จะออกไปจากที่นี่เช่นกัน บนบานประตูมีไม้เลื้อยแห้ง ๆ เกาะเกี่ยวอยู่ พวกมันก็เช่นเดียวกับต้นไม้อื่น ๆ ในปราสาทที่อยู่ระหว่างความเป็นและความตาย คล้ายจะไร้ชีวิตแต่ก็ไม่สิ้นสลาย

   เมื่อนึกไปแล้ว วาลเซอิคก็นึกถึงใบไม้ที่ร่วงหล่นเมื่อคืนนี้...

   ทำไมใบไม้จึงได้ร่วงจากต้นทั้งที่ไม่เคยร่วงมาก่อน...เพราะปราสาทหลังนี้หรือ?

   ในช่วงเวลานั้น สายตาของเซเอลที่มองออกมาฉายแววของความอาลัย จะใช่แค่เพียงคิดถึงสุนัขตัวโปรดแน่หรือ? หรือว่ามีความว่างเปล่าอันลึกล้ำแอบแฝงเอาไว้ด้วย?

   แม้วาลเซอิคจะตกในภวังค์ แต่ความซุกซนของสองลูกสุนัขก็ไม่ยอมให้เวลาเขาเท่าไหร่นัก พวกมันช่วยกันดึงสายจูงจนเด็กหนุ่มรู้สึกตัว

   “รู้แล้ว ๆ รอเดี๋ยวสิ” เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ นึกอยู่ว่าทำไมลูกสุนัขที่ได้ซุกซนได้เพียงนี้ ตอนแรกที่เขาเห็นคิดว่าพวกมันจะเรียบร้อยเสียอีก นี่หากไม่มีสายจูงรั้งเอาไว้ พวกมันคงเตลิดไปไหนต่อไหนแล้ว

   แต่เมื่อเขาเดินตามลูกสุนัขออกมาได้เพียงไม่กี่ก้าว เด็กหนุ่มก็ต้องหยุดชะงัก เพราะเบื้องหน้าของเขามีใครบางคนยืนอยู่....

   “เซเอล?”

   ถึงบางครั้งเขาจะเห็นเซเอลตื่นขึ้นมาในเวลาที่คนอื่น ๆ ยังไม่ตื่นก็ตาม แต่เขาก็ไม่คิดว่าจะได้เจออีกฝ่ายออกมายืนข้างนอกปราสาทอย่างนี้

   เซเอลเลื่อนนัยน์ตาสีเลือดมองลูกสุนัขทั้งสองก่อนจะมองคนที่ขานชื่อตนออกมา

   “ข้าคิดว่าเจ้าจะออกมาเร็วกว่านี้เสียอีก”

   .....?

   วาลเซอิคไม่ได้อยากจะนึกเข้าข้างตัวเอง แต่คำพูดนั้นเหมือนกำลังสื่อเป็นนัย ๆ ว่าอีกฝ่ายมายืนรอเขาอยู่ตรงนี้นานแล้ว

   “เจ้าสองตัวนี้เพิ่งจะอิ่มข้าก็เลย....” เพราะพฤติกรรมที่เขาคาดคิดไม่ถึง ทำให้วาลเซอิคพูดไม่ออกชั่วขณะ และระหว่างที่เว้นช่วงคำไปนั้น เซเอลก็พยักหน้ารับว่าเข้าใจโดยที่ไม่จำเป็นต้องอธิบายต่อ

   “เจ้ายังไม่ได้ตั้งชื่อหรือ?”

   “ข้ายังไม่ได้คิดเลย” เด็กหนุ่มไหวไหล่ “ตอนแรกข้าคิดว่าจะลองถามความเห็นของคัลดิชกับคัลมาร์ แต่พวกเขาก็ยังไม่ตื่นกัน”

   “ไม่มีชื่ออยู่ในใจหรอกหรือ?” เซเอลกล่าวถามแล้วหมุนตัวเดินนำไปด้านหน้าเพื่อให้อีกฝ่ายเดินตาม แต่สิ่งที่วิ่งขึ้นมาเทียบเขากลับเป็นสิ่งมีชีวิตตัวกลม ๆ สองตัวที่อยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็น พวกมันวิ่งเข้ามาดม ๆ ชายเสื้อคลุมตัวยาวของเขาไปพลางวิ่งไปพลางด้วยขาสั้น ๆ ทั้งสี่ ซึ่งทำให้เขาอดคิดถึงพวกที่เคยเลี้ยงดูมาไม่ได้ ครั้งหนึ่งพวกมันก็เคยตัวเล็กแค่นี้แล้วก็เติบใหญ่ขึ้นและจากไปทีละรุ่นเป็นวัฏจักร

   หากไม่ใช่เพราะวาลเซอิคอยากเลี้ยงหนักหนา เขาคงไม่คิดจะเลี้ยงอีก

   “เซราฟ กับ วอเรน” วาลเซอิคลองพูดสองชื่อที่อยู่ในใจออกมา

   เซเอลมุ่นคิ้วเล็กน้อย

   “เจ้าอ่านนิยายในห้องหนังสือหรือ?” ที่เขาถามเช่นนี้เพราะสองชื่อที่อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นมานั้นคุ้นหูและสะดุดใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากมันคือตัวเอกสองพี่น้องจากหนังสือนิยายผจญภัยเล่มโปรดของเขาซึ่งเขาเคยบอกวาลเซอิคเพียงครั้งเดียวว่าเขาชอบเล่มนี้เป็นพิเศษ

   เด็กหนุ่มเกาท้ายทอยพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม

   “ท่านไม่ชอบหรือ?”

   “ข้าก็ไม่ได้นึกขัดข้องกับการเลือกของเจ้า ข้าแค่สงสัยว่าทำไมเจ้าถึงเลือกสองชื่อนี้ก็เท่านั้น” เซเอลโคลงศีรษะ “คงไม่ใช่ว่าบังเอิญ....”

   “ข้าอยากให้ท่านรู้สึกดีกับพวกมัน”

   คำตอบของวาลเซอิคค่อนข้างจะเกินความคาดหมายของผู้ถาม

   เด็กหนุ่มพาตนเองเดินขึ้นมาเทียบข้างและมองเสี้ยวหน้าของเซเอลก่อนพูดต่อ

   “ท่านเคยผ่านประสบการณ์การสูญเสียสิ่งที่รักไป การที่ข้าพาพวกมันมาคงทำให้ท่านรู้สึกไม่ดีนัก ข้าจึงคิดว่ามันอาจจะดี....หากว่าท่านสามารถเปิดใจให้พวกมันได้ ในฐานะสองพี่น้องที่กำลังจะพากันไปผจญภัยในดินแดนที่ลึกลับซับซ้อน และสร้างเรื่องราวใหม่ ๆ ที่น่าตื่นเต้นรอบ ๆ ตัวท่าน และมีความทรงจำเกิดขึ้นมากมายก่อนที่นิยายเรื่องนี้จะเดินทางถึงจุดจบ”

   นัยน์ตาสีเลือดหลุบลงต่ำขณะฟังเสียงทุ้มกระซิบข้างหู

   “เจ้ายังจำได้หรือไม่ เมื่อครั้งที่เจ้ายังเด็ก ข้าก็เคยพาเจ้าออกมาเดินเล่นแบบนี้”

   “แน่นอน ข้าจำได้” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเบี่ยงประเด็น วาลเซอิคก็ใจฝ่อไปนิดหน่อย “ที่นี่น่ากลัวสำหรับข้าเมื่อตอนนั้น แต่เพราะท่านจับมือข้าอยู่ตลอด.....ข้าจึง....” ว่าแล้วเขาก็ขยับมือไปหาอีกฝ่าย แต่ก็สัมผัสได้เพียงชุดคลุมสีหม่นเท่านั้น

   “การผจญภัยในดินแดนที่ลึกลับของเจ้าคงเริ่มตั้งแต่ตอนนั้น” เซเอลเอี้ยวหน้ามองเด็กหนุ่มข้างตัว “เจ้าสนุกกับมันหรือไม่?”

   วาลเซอิคเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะโคลงศีรษะคิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่เด็กคนโต ซึ่งหากนับแล้วก็กินเวลาหลายปีดีดักที่เขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของปราสาทแห่งนี้ ในตอนแรกนั้น เขาไม่เคยรู้สึกผิดปกติอะไรกับความเป็นอยู่ของผู้ต้องสาปเพราะความไม่รู้เดียงสา แต่เมื่อเขาโตขึ้นเรื่อย ๆ เขาก็เริ่มสังเกตว่าคนรอบตัวเขาและทุก ๆ อย่างไม่มีความเปลี่ยนแปลง เขาคิดว่าเป็นตัวเขาเองที่ผิดปกติจากคนอื่น ๆ ทว่าเมื่อเซเอลพาเขาไปรู้จักโลกภายนอก ได้รู้จักมนุษย์ที่เหมือนกับตนเองเขาจึงได้รู้ว่าความจริงแล้วผู้ต้องสาปต่างหากที่ผิดแปลกออกไป

   แต่ทุกสิ่งอย่างนั้นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกไม่ดีกับผู้ต้องสาปเลยแม้แต่น้อย แม้ในใจจะมีความสงสัยในหลาย ๆ อย่างแต่เพราะอยู่ด้วยกันมานานปีเขาจึงพอทำความเข้าใจได้ในมุมมองของมนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งในอนาคตเขาเองก็จะโรยราลงไปเช่นเดียวกับมนุษย์ทุกคน

   การผจญภัยของเขามีจุดเริ่มต้นนับแต่วันที่เซเอลนำเขามายังสถานที่แห่งนี้ มองเห็นโลกที่แตกต่าง และใช้ชีวิตแบบนั้นไปพร้อม ๆ กับการเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง

   และเขาก็รู้ว่ามันจะต้องจบลงในสักวัน....

   เหมือนนิยายเรื่องหนึ่งที่อยู่บนชั้นหนังสือ แค่เริ่มเรื่องและจบเรื่อง ถ่ายทอดเรื่องราวอันน่าประทับใจและควรค่าแก่การจดจำให้กับผู้อ่าน เฝ้ารอ...จนกว่าคน ๆ นั้นจะคิดถึงและหยิบขึ้นมาเปิดอีกครั้ง...
   เซเอลจะเปิดอ่านเรื่องของเขาบ่อยๆ หรือเปล่านะ?

   “แล้วท่านสนุกหรือเปล่า?”

   “ทำไมเจ้าถึงย้อนกลับมาถามข้า?”

   วาลเซอิคหัวเราะออกมา

   “ก็ถ้าข้าเป็นตัวละครในนิยายที่กำลังผจญภัย ท่านก็เป็นคนอ่านเรื่องของเขาไม่ใช่หรือ?” รอยยิ้มของเด็กหนุ่มกว้างขึ้น “ถ้าเรื่องของข้าไม่ทำให้ท่านเบื่อ ในอนาคตท่านอาจจะปัดฝุ่นเรื่องของข้าอยู่บ่อย ๆ ก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นก็เหมือนเราอยู่ด้วยกันตลอดเวลาเลยใช่หรือเปล่า?”

   เรียวคิ้วสีเงินมุ่นเข้าหากัน

   “เจ้าก็พูดจาเลื่อนเปื้อนไปเรื่อย” ถึงแม้เซเอลจะพูดแบบนั้น แต่วาลเซอิคก็รู้สึกว่าเขาเห็นริ้วแดงจาง ๆ บนแก้ม บางทีอีกฝ่ายคงจะเขินอยู่กระมัง เพราะเหมือนว่านอกจากเขาแล้วจะไม่เคยมีเด็กในปราสาทหลังนี้มาก่อนเลย พอเขาพูดแบบนี้จึงเหมือนเด็กตัวน้อย ๆ ที่กำลังอ้อนผู้ใหญ่ที่สนิทสนมกัน แต่เซเอลจะรู้หรือไม่...ว่าเขาเองอยากจะมีสถานะที่มากกว่าเด็กในปกครอง....

   “ถ้าอย่างนั้น....เรื่องชื่อของเจ้าสองตัวนี้ล่ะ?” เมื่อประเด็นเก่าติดขัด วาลเซอิคก็หวนกลับมาหัวข้อเดิมที่ค้างกันเอาไว้ “ถ้าสองชื่อนั้นไม่ดี....”

   “ข้าไม่ได้ว่าอะไร หากเจ้าอยากตั้งแบบนั้นก็ตั้งไปเถอะ”

   วาลเซอิคขยับเข้าไปอ้อนอีกฝ่ายพลางกอดเอวทั้งที่มือหนึ่งถือสายจูงอยู่

   “ข้าไม่อยากให้ท่านไม่สบายใจนะเซเอล”

   “ข้าไม่ใช่ไม่สบายใจ เพียงแต่คำพูดของเจ้าทำให้ข้านึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้” เซเอลกล่าวพลางดึงฮูดให้คลุมปิดมาถึงดวงตา “เจ้าเองก็เหมือนกับพวกมัน สักวันหนึ่งเจ้าเองก็ต้องจากข้าไป ข้าจึงไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่ที่ปล่อยให้เจ้าเข้ามาใกล้ชิดถึงขนาดนี้”

   เซเอลรู้ดีว่าการเปรียบเทียบชีวิตประหนึ่งนิยายเป็นเพียงคำพูดสวยหรูเพื่อปลอบใจ เพราะชีวิตนั้นไม่มีสิ่งใดให้จับต้องได้เหมือนอย่างนิยาย และเป็นจริงมากกว่านิยาย เมื่อผ่านช่วงเวลาเหล่านี้ไป สิ่งที่เหลืออยู่คือความคิดคำนึงและความทรงจำที่เลือนรางลงในทุก ๆ วัน แต่ความรู้สึกยังคงตกค้างอยู่ข้างใน ถึงแม้วันหนึ่งเขาอาจจะจดจำสิ่งเหล่านี้ไม่ได้แต่สิ่งที่เคยรู้สึกนั้นจะกลายเป็นตะกอนที่นอนนิ่งรอพื้นน้ำไหวกระเพื่อมอีกครั้ง

   “ข้ากำลังถูกไล่เป็นนัย ๆ หรือเปล่า?”

   ทันทีที่วาลเซอิคถามเช่นนั้น เซเอลก็มีสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาครู่หนึ่ง

   “หากเจ้าจะคิดเช่นนั้นข้าคงพูดอะไรไม่ได้” ว่าจบ เซเอลก็ผละจากมือวาลเซอิคและเดินเร็ว ๆ นำหน้าไปหลายก้าว

   “เดี๋ยวสิ ท่านโกรธข้าทำไมน่ะ ข้าแค่พูดเล่นเท่านั้นเอง” วาลเซอิครีบรุดเข้าไปดึงอีกฝ่ายไว้

   “เพราะเจ้าทำตัวแปลกในระยะหลัง ๆ น่ะสิ” คำตอบของอีกฝ่ายทำให้วาลเซอิคกระพริบตาปริบ ๆ “ทั้งที่ชอบเข้ามาออดอ้อนข้า และบางครั้งก็ทำท่าเหมือนข้าไม่เอาใจใส่เจ้า ข้าดูแลเจ้าบกพร่องตรงไหนกัน?”

   “...ข้าสิต้องเป็นฝ่ายถามแบบนั้น” วาลเซอิคแกล้งทำหน้ามุ่ยก่อนถือโอกาสรวบเซเอลเข้ามากอดทั้งตัว เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเดินหนีไปดื้อ ๆ “จำไม่ได้หรือ เมื่อคืนนี้ท่านเพิ่งจะไล่ข้าออกมาจากห้อง ข้ากลัวว่าท่านจะยังโกรธข้าอยู่และข้าอาจจะพูดผิดหูท่านก็ได้”

   “ข้าไม่ได้......” เซเอลกำลังจะปฏิเสธว่าตนเองไม่ได้ทำร้ายจิตใจขนาดนั้น แต่เมื่อคิดดี ๆ แล้ว เมื่อคืนเขาก็ไล่วาลเซอิคออกมาจากห้องจริง ๆ แต่นั่นก็เพราะ...เขารู้สึกว่าวาลเซอิคกำลังล้ำเส้นที่เขาวางเอาไว้ “....ก็ได้ ข้าไล่เจ้าออกจากห้อง แต่ข้าไม่ได้โกรธเกลียดเจ้า”

   “จริงหรือ?”

   “ช้าจะโกหกเจ้าไปทำไม” เซเอลตอบพลางเสหลบดวงตาที่มีประกายระริกระรี้ของเด็กหนุ่ม “พาเด็ก ๆ ของเจ้าไปเดินเล่นต่อได้แล้ว”

   วาลเซอิคยิ้มกว้างแล้วลักหอมแก้มเซเอลไปฟอดใหญ่ก่อนจะรีบปล่อยมือแล้วผละออกมายิ้มเผล่เมื่อเซเอลหันกลับมามองด้วยสีหน้าเหมือนกำลังดุเด็กที่เล่นพิเรนทร์ ถึงอย่างนั้นเซเอลก็ไม่ได้ออกปากต่อว่าอะไร แค่ยกมือแตะแก้มตนเองด้วยท่าทางเหมือนกำลังกระดากอายอยู่เล็กน้อยแล้วหันกลับไปเดินต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้ท่าทีของเซเอลจะยังคงเว้นระยะห่างจากเขา แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่รังเกียจที่เขาเข้าหาแบบนี้ วาลเซอิคก็รู้สึกว่าตัวเองพอจะมีความหวังอยู่บ้างไม่มากก็น้อย

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่6 [23/11/12]
«ตอบ #63 เมื่อ23-11-2012 14:02:21 »

   ลูกสุนัขทั้งสองยังคงมีความสุขในแบบของมันเองโดยไม่ได้รู้สึกอะไรกับบรรยากาศข้างหลัง

   แสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านยอดไม้ตกลงบนพื้นเป็นจุด ๆ กลายเป็นของเล่นใหม่ของเซราฟและวอเรนซึ่งพยายามตะปบจุดแสงเหล่านั้นที่ไม่มีตัวตน

   มองไปแล้ว จะเหมือนเขาหรือเปล่านะ? ที่พยายามเอื้อมคว้าบางสิ่งบางอย่างที่รู้ดีว่าไม่มีวันจับต้องได้ แต่ขอเพียงได้มองเห็นและพยายามเอื้อมไปหาก็มีความสุขแล้ว

   ไม่สิ...เขารู้ดีว่าตัวเองมีความโลภมากกว่านั้น...

   หากเขาเป็นลูกสุนัขสองตัวนั้น เขาคงจะคาดหวังให้จุดแสงเล็ก ๆ บนพื้นขยับเต้นไปตามเขาบ้าง

   เซเอล...ท่านจะเปิดใจให้ข้าได้บ้างหรือเปล่า...

-------------------------->

   เอลยาตื่นขึ้นมาในตอนบ่ายแก่ เธอเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมเครื่องประดับไว้ในชุดที่สวมใส่เมื่อคืนจึงรีบรุดลงมาดูข้างล่างก่อนพบว่าเสื้อผ้าถูกนำไปซักตากเสียแล้ว อัลเรสจะต้องเห็นแน่ ๆ ว่าเธอซุกซ่อนอะไรเอาไว้ ก่อนออกไปทำงานเธอเดาได้เลยว่าพ่อน้องชายสุดหวงจะต้องมาถามเกี่ยวกับมัน

   กริ๊ง...

   เสียงของโลหะน้ำหนักเบากระทบพื้นดังขึ้นตอนที่หญิงสาวกำลังหันซ้ายหันขวามองหาว่าอัลเรสวางเครื่องประดับชิ้นนั้นไว้ที่ไหน

   “อเลนอย่ายึดไว้คนเดียวสิ แอนน์ก็อยากลองบ้างนี่นา”

   เอลยาหันไปตามเสียง และเห็นน้องชายน้องสาวของเธอกำลังแย่งยื้อบางสิ่งกันอยู่บนพื้น และเมื่อเธอเพ่งมองดี ๆ แล้ว ก็พบว่ามันคือของที่เธอกำลังหาอยู่นั่นเอง ซ้ำแอนน์กำลังดึงยื้อส่วนสายสร้อยที่บอบบางกับอเลนอยู่เสียด้วย หญิงสาวรีบปรี่เข้าไปหาน้องทั้งสองทันที

   “แอนน์ อเลน ปล่อยของนั่นทั้งคู่เลยนะ” เธอทรุดตัวลงนั่งบนพื้นกับเด็ก ๆ แล้วจับมือทั้งคู่ไว้ ก่อนใครคนหนึ่งจะออกแรงดึงจนสายสร้อยขาดออกจากกัน

   “แต่ว่าอเลนแย่งของแอนน์ไปนี่” เด็กหญิงตัวน้อยร้องประท้วงด้วยสีหน้าเหมือนกำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ที่ปลายหางตามีหยดน้ำปริ่ม ๆ อยู่จนดูน่าสงสาร

   “เปล่านะ แอนน์จะเอาไปเล่นคนเดียวต่างหาก” เด็กชายแก้ต่างให้ตนเองบ้างด้วยหน้าตาบึ้งตึงไม่ยอมความ ทำให้เอลยาต้องถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ การเลี้ยงเด็กเล็ก ๆ สองคนที่วัยไล่เลี่ยกันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด ถึงอย่างนั้นอัลเรสที่ดูอารมณ์ร้อนกลับสามารถเลี้ยงดูน้องทั้งสองได้อย่างดีในช่วงหลายปีที่เธอแทบไม่มีเวลาเพราะอาชีพการงาน มาตอนนี้อัลเรสก็เริ่มออกไปหางานทำเพื่อค้ำจุนรายจ่ายในบ้าน เธอจึงต้องตื่นมาดูแลน้อง ๆ บ้างและได้รู้ว่าแม้น้องทั้งสองจะเติบโตขึ้นแต่ก็ยังเอาแต่เล่นกันบ้างทะเลาะกันบ้างเหมือนเดิม

   “พวกเจ้านี่นะ ของนี่ไม่ว่าใครก็เล่นไม่ได้ทั้งนั้น เอาคืนมาให้ข้าได้แล้ว” เอลยาแบมือรอเด็กทั้งสองยอมคืนของให้แก่เธอ

   แอนน์ขบริมฝีปากแล้วยอมตัดใจปล่อยมือจากของที่ถูกใจในที่สุด ส่วนอเลนทำตัวดื้อแพ่งในนาทีแรก แต่เมื่อเอลยายื่นมือหาก็ยอมวางคืนแต่โดยดี

   “ดีมาก ทีนี้พวกเจ้าไปเปิดประตูหน่อยสิว่าใครมาหา” เพราะได้ยินเสียงคนเคาะประตูอยู่หน้าบ้าน เอลยาจึงใช้มันเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเด็ก ๆ ซึ่งทั้งสองก็แข่งกันวิ่งไปให้ถึงประตูแล้วเขย่งเปิดให้แขก

   “เอลยาอยู่ไหม?” วาลเซอิคยื่นหน้าเข้ามาในบ้านแล้วเอ่ยถามเด็กทั้งสองด้วยรอยยิ้มกว้าง

   “วาลเซอิค เจ้ามาบ่อยแบบนี้อาเจ้าไม่ต่อว่าเอาหรือ?” เอลยาเอ่ยถามเมื่อเห็นแขกผู้มาเยือน เธอหยิบเสื้อคลุมมาคลุมตัวขณะเดินออกมาหาเพราะเพิ่งนึกได้ว่าตนเองยังไม่ได้ผลัดเปลี่ยนชุดนอน

   “ถ้าข้าไม่มาสิจะโดนต่อว่า” เด็กหนุ่มทำวางมาดเป็นทางการ “เพราะข้าต้องเอาของตอบแทนมาให้เจ้าแทนการขอบคุณ อาของข้าชอบพวกมันมากทีเดียว” เขายื่นเนื้อสัตว์ที่เพิ่งล่าได้ในวันนี้ให้โดยอ้างชื่อเซเอลไปในตัว ทั้งที่ความจริงแล้วเซเอลรู้แค่เพียงว่าวาลเซอิคอยากจะนำของมาตอบแทนแก่คนที่หาลูกสุนัขมาให้ และเพียงออกคำอนุญาตโดยไม่ได้เป็นคนต้นคิดเรื่องนี้

   “คงไม่ใช่แค่นั้นกระมัง?” เอลยาเลิกคิ้วมองเด็กหนุ่มที่ก้าวเข้ามาในบ้านของเธอพร้อมเนื้อสัตว์ที่เป็นของฝาก หญิงสาวรับของนั้นยื่นให้กับอเลนและแอนน์ “พวกเอาไปไว้ในครัวก่อนนะ พออัลเรสกลับมาก็บอกให้พี่เขาปรุงเป็นอาหารเย็น”

   “ข้าไม่ได้คิดเรื่องงานของเจ้าหรอกนะ” วาลเซอิครีบโบกมือแก้ตัว เพราะจริง ๆ แล้วระยะหลังเขาแทบจะไม่ได้มีความสัมพันธ์กับเอลยาบนเตียงเลย เมื่อพบกันแต่ละครั้งก็เหมือนจะเป็นการพูดคุยเรื่องต่าง ๆ กันมากกว่า มีเพียงบางครั้งเท่านั้นที่จะมีความสัมพันธ์ทางกายเกิดขึ้น

   “ข้ารู้แล้วน่า” เอลยาหัวเราะ “มานั่งก่อนสิ วันนี้ข้ามีเวลาเยอะเพราะตื่นเร็วกว่าปกติ”

   เมื่อได้รับคำเชิญ วาลเซอิคก็เดินไปนั่งที่โต๊ะ

   “ถ้าอัลเรสกลับมาเขาจะต้องบ่นเรื่องเจ้าเป็นหมีกินผึ้งอีกแน่” แก้วน้ำใบหนึ่งถูกวางลงตรงหน้าก่อนเอลยาจะนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามแล้วยิ้มหวาน “แต่เอาเถอะ เจ้าเองก็เหมือนน้องชายข้าคนหนึ่ง แล้ววัยเจ้าก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว จะมีเรื่องเดือดร้อนใจก็ไม่แปลก”

   “เจ้าพูดเรื่องอะไรกันน่ะ” วาลเซอิคหัวเราะ

   “แหม...จะอะไรเสียอีก แค่มองก็รู้แล้ว จริง ๆ ข้าก็พอมองเจ้าออกนานแล้วล่ะนะ แต่ข้ารอเจ้าพูดเองไม่ไหวน่ะสิ” หญิงสาวโคลงศีรษะ “สาวที่เจ้าหลงรักไม่ชายตามองเจ้าหรือ?”

   !!!

    วาลเซอิคสำลักน้ำทันที ต้องใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าอาการกระอักไอหลังจากสำลักจะหายไป ซึ่งระหว่างนั้นเอลยาก็หัวเราะออกมาเหมือนสมใจที่คาดเดาได้ถูกต้อง เพราะหากเดาผิดวาลเซอิคคงไม่ตกอกตกใจออกอาการถึงขนาดนี้ อย่างว่า....ผู้หญิงมักมีสัญชาตญาณด้านนี้มากเป็นพิเศษ

   “ว่าอย่างไร ข้าเดาถูกใช่หรือไม่” รอยยิ้มบนเรียวปากหญิงสาวผลิกว้างออก “ข้าไม่ถามเจ้าหรอกว่านางเป็นใครมาจากไหน แต่เห็นท่าทางเจ้าเหมือนคนเตรียมใจผิดหวังเลยออกมาเที่ยวข้างนอกย้อมใจตัวเองแบบนี้แล้วข้าก็อดสงสารเจ้าไม่ได้ บางทีข้าน่าจะช่วยแนะนำเจ้าได้นะ”

   ....

   “เจ้ามองออกถึงขนาดนั้นเลยหรือ?” วาลเซอิคไม่คิดจะแก้ต่างเรื่องเพศของคนที่เขามีใจให้ ปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดแบบนี้ต่อไปดีกว่า

   “ก็ไม่ได้มองยากถึงขนาดนั้นนี่นา เจ้าชอบมาเที่ยวเขตกลางคืนอยู่บ่อย ๆ ทั้งที่ไม่ได้ติดพันหญิงคนไหน กับข้าเจ้าก็แค่มองเป็นพี่สาวคนหนึ่ง ดังนั้นเหตุผลเดียวที่เดาได้ก็คือ เจ้าคงจะมีความหลงใหลในตัวหญิงสาวสักนางแต่เจ้าเข้าใกล้ไม่ได้ก็เลยต้องทำอะไรบางอย่างให้ตัวเองลืมความรู้สึกห่างเหิน” เอลยาไหวไหล่พลางชี้แจ้งเสมือนตนเองเป็นกูรูด้านหัวใจชายหญิง

   เด็กหนุ่มฟังแล้วขำอยู่ในคอ

   “แต่เจ้าตัวไม่เห็นรู้เลย”

   จะว่าน่าน้อยใจก็คงได้ เพราะเซเอลไม่มีทีท่าจะรู้เลยว่าเขารู้สึกยังไงกับตัวเอง การกระทำของเขาไม่ว่าในเวลาไหนก็คงเหมือนเด็กตัวเล็ก ๆ ที่คอยเรียกร้องความรักความเอาใจใส่จากผู้ใหญ่อยู่ร่ำไป สำหรับเซเอลแล้วเขาคงจะไม่มีวันเป็นผู้ใหญ่พอไปจนตลอดชีวิตนั่นแหละ...

   “เจ้าไม่ได้แสดงออกหรือเปล่า? หรือว่า....”

   “หรือว่า?”

   เอลยาดูอิดออดอยู่เล็กน้อยก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วกระซิบ

   “นางจะมีคนที่รักอยู่แล้ว?”

   “เป็นไปไม่ได้หรอก” วาลเซอิครีบตอบทันควัน ไม่ใช่เพราะเขาร้อนตัวไม่อยากให้ข้อสันนิษฐานเป็นจริง ไม่สิ...ส่วนหนึ่งในใจของเขาก็ไม่อยากให้ข้อสันนิษฐานนี้เป็นจริง แต่เหตุผลที่เขาตอบได้ในทันทีเพราะตลอดเวลาที่อยู่กับเซเอลมาเขาไม่เคยเห็นอีกฝ่ายข้องแวะกับหญิงสาว...หรือชายหนุ่มคนไหน กระทั่งเข้าใกล้มนุษย์ยังไม่เคยมี ในฐานะผู้ต้องสาปและรูปลักษณ์ที่โดดเด่นเป็นที่จดจำง่ายทำให้เซเอลเคร่งครัดกับการซุกซ่อนตัวตนมากกว่าใคร คนที่รู้จักกันดีถึงขั้นมีความรู้สึกพิเศษต่อกันได้มีเพียงเขา คัลดิช คัลมาร์ และอาร์วิน่าเท่านั้น ซึ่งสามคนนอกจากเขาก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกพิเศษใด ๆ กับเซเอลเลยนอกจากความเป็นนายและบ่าวที่มีสถานะใกล้เคียงกันมากเท่านั้น

   แต่....มันก็มีความเป็นไปได้...

   วาลเซอิคนึกแย้งตัวเองขึ้นมาในใจ

   เซเอลมักจะเข้ามาในหมู่บ้านบ่อย ๆ ด้วยเหตุผลที่เขาไม่เข้าใจ ส่วนหนึ่งคงเพราะห่วงเขาแต่ก่อนที่เขาจะมาอยู่ด้วย เซเอลก็เข้าออกหมู่บ้านนี้และถูกมนุษย์เห็นบ้างจนกลายเป็นข่าวลือมาแล้ว ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางเป็นไปได้ไม่ใช่หรือที่เซเอลจะหลงรักหญิงสาวสักคนที่บังเอิญผ่านสายตาแล้วต้องใจ....

   เอลยาเห็นคู่สนทนาเงียบไปก็พอเข้าใจว่าเริ่มลังเลกับคำตอบของตนเองขึ้นมา เธอเองก็ไม่แปลกใจนักเพราะการที่คน ๆ หนึ่งจะรักชอบใคร บางครั้งก็ไม่มีเหตุผลที่สามารถอธิบายได้ เธอเองก็เจอมามากที่คนทำอาชีพเดียวกับเธอหลงชอบแขกที่มาพักด้วยเพียงชั่วข้ามคืน หรือกระทั่งแขกที่หลงรักหญิงงามเมืองอย่างไม่ลืมหูลืมตาก็มี ดังนั้นจึงไม่มีทางเลยที่วาลเซอิคจะมั่นใจได้ว่าคนที่ตนเองมีใจให้นั้นจะไม่ได้มีใจให้ใครอื่น นอกจากว่าเธอคนนั้นจะเป็นนกในกรงทองที่ไม่เคยพบเจอผู้คนมาก่อนเลย

   “เฮ้อ....” อยู่ ๆ วาลเซอิคก็ถอนหายใจออกมาแล้วฟุบหน้ากับโต๊ะ “อาจจะเป็นอย่างเจ้าว่าก็ได้” เขายอมแพ้ต่อความกังวลในใจในที่สุด

   “เช่นนั้นก็ต้องเป็นคนที่เจ้าไม่รู้จัก” เพราะหากรู้จักกันก็คงต้องเห็นท่าทีที่ผิดสังเกตบ้าง เอลยาคิดในใจเช่นนั้น “ข้าได้ยินว่าชนชั้นสูงมีงานสังคมบ่อยครั้ง ก็ไม่แปลกหากนางจะได้พบเจอใครหลาย ๆ คนที่เจ้าไม่เคยพบมาก่อน หรืออาจจะเป็นการพบกันอย่างลับ ๆ ก็ได้”

   เซเอลไม่มีงานสังคมหรอก...

   วาลเซอิคเถียงอยู่ในใจ ถึงอย่างนั้นเซเอลก็มีช่องทางที่จะได้พบเห็นคนอื่นมากมายเสียยิ่งกว่างานสังคมเสียอีก คิดไปแล้วก็นึกอยากให้ประตูปราสาทหลังนั้นปิดตายเสียจริง...เขาจะได้มั่นใจได้ว่าเซเอลจะไม่ได้พบเจอใครอย่างที่เขาคิดไว้ในตอนแรก

   “ข้าว่าเจ้าน่าจะลองถามนางดูนะ วาลเซอิค หากนางอิดออดไม่ตอบคำก็แปลว่านางมีอะไรบางอย่างอยู่ในใจแน่นอน” เอลยายืดอกอย่างมาดมั่นในคำแนะนำของตนเอง “เอาล่ะ ข้าไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนดีกว่า พออัลเรสกลับมาข้าจะได้ออกไปตอนฟ้ายังสว่าง” หญิงสาวว่าแล้วก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ซึ่งตอนนั้นเอง เครื่องประดับชิ้นเล็กที่เธอถือติดมือเพราะชุดนอนไม่มีกระเป๋าก็ร่วงหล่นลงพื้นโดยไม่ได้ตั้งใจ

   วาลเซอิคที่เห็นอีกฝ่ายทำของตกก็ก้มลงไปเก็บขึ้นมาให้ แต่รูปนูนบนจี้ก็ทำให้เขาชะงักไปชั่วครู่

   ดวงจันทร์....กับนกที่ดูแปลกตา....

   สัญลักษณ์แบบนี้เขาเคยเห็นที่ไหนมาก่อน....

   “มีอะไรหรือ?” เอลยาเอ่ยถามเมื่อเห็นวาลเซอิคจ้องสร้อยคอเส้นนั้นเขม็ง “หรือว่าเจ้ารู้จักเจ้าของ?”
   ที่จริงแล้ว เอลยาตั้งใจจะถามว่าวาลเซอิครู้จักหญิงสาวที่เป็นเจ้าของสร้อยเส้นนี้หรือไม่ แต่วาลเซอิคกลับตีความเป็นว่าตนเองรู้จักเจ้าของตราผู้นำสร้อยนี้มามอบให้เธอหรือไม่

   “ไม่หรอก ข้าแค่รู้สึกว่าแปลกตาดี” เขาส่งสร้อยคืนพลางยิ้มกลบเกลื่อนอาการเมื่อครู่ ซึ่งเอลยาก็ไม่คิดติดใจสงสัยอะไร เธอรับสร้อยคืนมาแล้วเดินขึ้นห้องไปโดยมีวาลเซอิคมองตามแผ่นหลังไม่วางตา เพราะตราบนจี้นั้นคุ้นตาเขาอย่างไม่น่าเชื่อ....

   จันทร์เสี้ยวและนกจากต่างถิ่น

   เพราะมันคือตราประจำตระกูลลาห์โคเวีย ซึ่งไม่อาจจะพบเจอได้แล้วในทุกวันนี้

   ตราประจำตระกูลของเซเอล....

   ซึ่งอยู่ในมือของเอลยา....

TBC

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่6 [23/11/12]
«ตอบ #64 เมื่อ23-11-2012 14:20:42 »

ง่ะ
แล้วมันมาอยู่กับเอลยาได้ยังไงกันล่ะเนี่ย

ออฟไลน์ pharm

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่6 [23/11/12]
«ตอบ #65 เมื่อ23-11-2012 23:33:12 »

แงว สงกะสัยเชเอลจะรักแม่ของเวลเซอิคแน่เลย

แต่เวลเซอิคก็เป็นลูกที่หน้าเหมือนแม่สินะ เลยไม่รู้ว่ารักแบบคนรักรึป่าว

ผู้หญิงที่เอาสร้อยมาทิ้งไว้เป็นศัตรูของเซเอลรึป่าวนะ    :z3:

งง มาต่อเร็วๆน้าา  :z13:

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่6 [23/11/12]
«ตอบ #66 เมื่อ24-11-2012 00:17:31 »

แสดงว่าผู้หญิงคนนั้นเกี่ยวข้องกับเซเอลสินะ - -
ว่าแต่ ตอนนี้ก็น่ารักอีกแล้ว >< บรรยายถึงน้องหมาได้น่าเลี้ยงมากเลยค่ะ
ชอบเวลาวาลเซอิคกับเซเอลอยู่ด้วยกัน อืมมมมม อยู่มาน๊านนาน แต่เซเอลก็ใสซื่อเหมือนกันนะ ขณะที่น้องวาลเซอิคก็ดูจะเจนโลกกว่านะ 555
ชอบบรรยากาศแบบนี้ ^________^ รอตอนหน้าจ้า

ออฟไลน์ pooinfinity

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +140/-3
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่6 [23/11/12]
«ตอบ #67 เมื่อ24-11-2012 00:36:15 »

ผู้หญิงคนที่ทำสร้อยตกไว้จะเกี่ยวกะไรกับเซเอลป่าวเนี่ย

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่6 [23/11/12]
«ตอบ #68 เมื่อ24-11-2012 08:14:11 »

รู้สึกว่าเรื่องนี้จะซับซ้อนขึ้นนะ รักข้างเดียวก็ทรมานแบบนี้แหละ แต่ก็ดีกว่าได้ครอบครองแต่ไม่ได้ใจเขาละนะ

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่6 [23/11/12]
«ตอบ #69 เมื่อ24-11-2012 13:17:11 »

ลืมบอกไป...ถ้าใครอ่านตอนนี้แล้วรู้สึกว่าเนื้อเรื่องมันกระโดดข้ามฉาก ลองกลับไปอ่านตอนที่ 5 ดูนะคะ เพราะตอนโพสต์เซียร์ลืมเปลี่ยนหัวกระทู้ อาจจะมีบางคนไม่รู้ว่าเซียร์อัพแล้วเลยอ่านข้ามตอนมา :'D

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่6 [23/11/12]
« ตอบ #69 เมื่อ: 24-11-2012 13:17:11 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ YounIn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-8
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่6 [23/11/12]
«ตอบ #70 เมื่อ24-11-2012 15:07:55 »

ขออย่าให้ เอลยาตายนะ

วาลเซอิก ก็แอบน่าสงสาร รัก แต่ อีกฝ่ายกลับ เห็นเป็นภาพซ้อนอีก

ต่อๆ

ออฟไลน์ YounIn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-8
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่6 [23/11/12]
«ตอบ #71 เมื่อ24-11-2012 16:06:43 »

ผู้หญิงคนนั้น เป็น ใคร??

ต่อๆๆๆ

ListeL

  • บุคคลทั่วไป
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่6 [23/11/12]
«ตอบ #72 เมื่อ24-11-2012 20:23:52 »

ชอบอ่ะ-.,-
น้องวาลนี่เป็นรุกรึ0.0
เรานึกว่าคุณเซเอลจะเป็นรุกซะอีก 55
แต่ใครจะเป็นอะไรยังไงก็ได้ยังไงเราก็อ่านเหมือนเดิม ตั้งแต่เราอ่านมาเราว่าคุณเซเอลชอบมี๊ของน้องวาลซึ่งกำลังเอามี๊ของน้องวาลมาซ้อนทับน้องวาลจนต้องหวั่นไหวไปบ่อยๆถึงบ่อยมาก  แต่ก็อยากให้คุณเซเอลมองน้องวาลอย่างที่น้องวาลเป็นได้เร็วๆ-.- 

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่6 [23/11/12]
«ตอบ #73 เมื่อ24-11-2012 23:57:54 »

เมื่อไหร่เซเอลจะรู้ถึความรู้สึกซักที :z3:

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่6 [23/11/12]
«ตอบ #74 เมื่อ25-11-2012 15:43:38 »

ชอบอ่ะ
มีเรื่องใหม่ให้แปลกใจอีกแล้ว

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่6 [23/11/12]
«ตอบ #75 เมื่อ29-11-2012 21:49:11 »

ตอนที่ 7 รอยยิ้มในแสงจันทร์


   ตรารูปดวงจันทร์และนกหางยาวจากต่างถิ่นประดับอยู่บนประตูเหล็กหน้าปราสาท เพราะมันไม่เคยปิดทำให้ตราถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ถึงอย่างนั้นวาลเซอิคก็รู้จักตรานี้เป็นอย่างดีจนแม้จะเห็นเพียงอย่างละครึ่งก็รู้ได้ว่าเป็นตราแบบใด เพราะนอกจากบนประตูบานนี้แล้ว ตรานี้ยังมีประดับอยู่ทั่วปราสาท ทั้งประตูทางเข้าตัวปราสาท เฟอร์นิเจอร์บางชิ้น และเครื่องแต่งกายของเซเอล

   ทั้งที่เป็นตราประจำตระกูลซึ่งกลายเป็นผู้ต้องสาป และไม่น่าจะหาพบได้จากที่อื่นใดอีกแล้ว กลับมีมนุษย์คนหนึ่งที่ถือครองสิ่งซึ่งมีตรานี้ประทับอยู่....

   จะให้เขาคิดเป็นอื่นได้ยังไง?

   “ทำอะไรอยู่?” เสียงถามดังมาจากด้านหลัง วาลเซอิคจึงหันไปมองโดยรู้ได้จากเสียงทันทีว่าเป็นใคร

   “ท่านออกไปข้างนอกมาหรือ?” เขาเลิกคิ้วท่าทางแปลกใจที่เห็นเซเอลไม่ได้อยู่ในปราสาท

   “นิดหน่อย” เซเอลไม่ได้ปฏิเสธ

   “ในหมู่บ้าน?”

   ชายหนุ่มเริ่มมุ่นคิ้ว

   “อยู่ ๆ ทำไมเจ้าอยากซอกแซกเรื่องของข้าขึ้นมา” เขารู้สึกว่าระยะหลัง ๆ นี้ วาลเซอิคคล้ายจะมีความสนใจกับเรื่องส่วนตัวของเขามากขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่นั้น แต่เหมือนจะพยายามแทรกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องส่วนตัวของเขาจึงอยากรู้อยู่เสมอว่าเขาทำอะไรเมื่อไหร่

   “เปล่านี่ หากท่านไม่อยากตอบข้าก็.....” วาลเซอิคเว้นช่วงจังหวะก่อนเลี่ยงสายตาไปทางอื่น แต่เจ้าตัวคงไม่รู้ว่าตอนนี้ตนเองกำลังตีสีหน้าไม่พอใจอยู่ ซ้ำมันยังชัดเจนเสียจนไม่จำเป็นต้องมองตาก็รู้ถึงความรู้สึกด้านลบที่แผ่ออกมาอย่างเจือจางนั้น

   เซเอลพรูลมหายใจออกมา

   “ข้าออกไปที่หมู่บ้าน แต่ข้าเห็นว่าเจ้าไปเยี่ยมเพื่อนข้าจึงไม่ได้ไปทักทาย” เซเอลเข้าใจว่าวาลเซอิคคงไม่พอใจที่เขาเข้าไปที่หมู่บ้านโดยไม่ยอมบอกกล่าวและไม่แวะไปหา

   “ท่านปรากฏตัวต่อหน้ามนุษย์ไม่ได้อยู่แล้ว” เด็กหนุ่มไหวไหล่และคิดว่าตนเองช่างงี่เง่าจึงมาทำท่าปั่นปึ่งใส่อีกฝ่ายอยู่อย่างนี้ แต่พอคิดถึงสร้อยของเอลยาเขาก็อดหงุดหงิดใจไม่ได้ เรื่องนี้เซเอลไม่คิดจะบอกเขาบ้างเลยหรือ? อย่างน้อย.....ก็ให้เขารู้ว่ามีคนที่รู้สึกพิเศษอยู่แล้ว...เขาจะได้....

   “ก็ไม่เชิง ข้าแค่พยายามจะไม่เปิดเผยตัวตน”

   “แล้ว....ท่านเคยเปิดเผยตัวตนให้มนุษย์คนใดรู้หรือไม่?”

   เซเอลหยุดคิดไปเล็กน้อยเพื่อคิดถึงช่วงที่ผ่านมาในชีวิต

   “เท่าที่เราจำได้ก็มีอยู่ 5 คน....” เขาเว้นช่วงไปครู่หนึ่ง “...เฉพาะที่เราจงใจ ส่วนที่พบเห็นเราโดยบังเอิญนั้นเราคงไม่รู้จะนับอย่างไร”

   “แล้ว....ท่านเคยมอบของส่วนตัวให้ 1 ใน 5 นั้นหรือไม่ ไม่สิ ไม่รวมข้าน่ะ” วาลเซอิคลองเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามเมื่อมีช่องให้ตนเองพอถามได้ แต่เซเอลเม้มปากเล็กน้อยเหมือนไม่ใคร่อยากจะตอบคำถามนี้ กระนั้นเมื่อชั่งใจอยู่นานเขาก็ยอมตอบออกมาอย่างกำกวม

   “หากจำไม่ผิด ก็คงเคย”

   “อ......” เมื่อคิดจะถามว่าเป็นอะไร วาลเซอิคก็กลืนคำพูดลงคอไปโดยหลุดออกมาครึ่งพยางค์ “....ท่านคงจะมีความรู้สึกดี ๆ กับเขามากทีเดียวถึงยอมให้ของส่วนตัวแบบนั้น” เพราะโดยปกติแล้วเซเอลจะไม่ค่อยหยิบยื่นสิ่งของให้ใครโดยง่าย นอกจากเงินทองที่มีมากมายในปราสาท เซเอลก็ไม่เคยนำของสิ่งอื่นออกมาให้เขาเลย กระทั่งให้เห็นก็ยังไม่เคย เขาจึงไม่รู้เลยว่าเซเอลมีสิ่งของแบบใดติดตัวบ้างนอกจากเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ทุกวันนี้และหนังสือมากมายในห้องหนังสือของเจ้าตัว

   ดวงตาสีเลือดกลอกเลี่ยงไปด้านข้าง

   “....เข้าข้างในเถอะ” เซเอลกล่าวก่อนเดินผ่านวาลเซอิคเข้าไปในเขตปราสาท ทำให้วาลเซอิคไม่สามารถไถ่ถามเอาความจริงต่อได้ กระนั้นเขาก็สรุปได้ในใจแล้วว่า...เซเอลได้เคยมอบของส่วนตัวชิ้นหนึ่งให้กับคนที่ตนเองมีใจให้อย่างแน่นอน แต่กลับหลบเลี่ยงไม่ยอมบอกเขา....ก็เท่านั้น...

--------------------->

   ยามค่ำคืนคืนนี้ จันทร์เต็มดวงลอยเด่นบนผืนฟ้ากว้างสีเข้ม ทำให้ทั่วทุกแห่งสว่างไสวกว่าคืนก่อน ๆ กระนั้นแสงจันทร์ก็ยังไม่อาจสู้แสงไฟจากชุมชนราตรีได้ ผู้คนเดินกันขวักไขว่ ดูมีจำนวนมากกว่าทุก ๆ คืนและคึกคักยิ่งกว่าคืนไหน ๆ ดังที่ว่ากันว่าแสงจันทร์มีผลต่ออารมณ์ของผู้คน ด้วยเหตุนั้นกระมัง ในคืนจันทร์เต็มดวงจึงมักเกิดเรื่อยพิเศษ ๆ อยู่บ่อยครั้ง ทั้งในด้านดีและไม่ดี

   เอลยาออกมายืนส่งแขกตามปกติเมื่อแขกใช้บริการเสร็จแล้วและกำลังจะกลับ แขกในคืนนี้ของเธอแค่เพียงต้องการความสำราญใจจึงมาพูดคุยและแตะต้องเนื้อตัวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หญิงสาวจึงลงมาอยู่ข้างล่างเพื่อเฝ้ารอแขกคนต่อไปของเธอ

   “วันนี้แขกกลับเร็ว แปลว่าเขาไม่เห็นเสน่ห์ของเจ้าหรือเปล่านะ” ระหว่างที่เธอกำลังจะกลับเข้าร้านนั้น ก็มีชายหนุ่มปากมอมคนหนึ่งเอ่ยหยอกเย้าตามประสาผู้ชาย

   หญิงสาวหันกลับมายิ้มให้พลางปรายตายั่วเย้า

   “แล้วเจ้าเห็นเสน่ห์ของข้าหรือเปล่าล่ะ?”

   เมื่อเห็นหญิงงามเมืองผู้เป็นที่นิยมอันดับต้น ๆ ของหมู่บ้านสนใจทำท่าตน เจ้าหนุ่มก็ได้ใจทำผิวปากหวือแล้วเอ่ยเล่นลิ้น

   “สงสัยจะหลบในเพราะข้าไม่ค่อยจะเห็นสักเท่าไหร่”

   พร้อมกับคำกล่าวนั้น ทั้งหญิงชายรอบ ๆ ที่ได้ยินก็พากันหัวเราะเฮฮา แม้จะเป็นคำพูดที่ดูไร้มารยาทสำหรับคนเพิ่งเคยพบหน้ากัน ทว่าสำหรับหญิงที่ทำอาชีพเช่นนี้คงยากที่จะได้รับการให้เกียรติจากผู้คนทั่วไป จึงมักจะได้พบการใช้วาจาจาบจ้วงล่วงเกินจนเกินงามหลาย ๆ ครั้ง บางคนก็ตอบโต้กลับไปทันทีด้วยอารมณ์ บางคนก็เดินหนีไปดื้อ ๆ แต่เอลยาที่ทำงานอย่างนี้มาหลายปีมีวิธีที่ดีกว่านั้น

   เธอยิ้มตอบด้วยดวงตาเป็นประกายนึกสนุก และแย้มริมฝีปากเคลือบสีชาดตอบกลับไปอย่างนิ่มนวล
   “เช่นนั้นเสน่ห์ของข้าคงไม่ต้องรสนิยมของเจ้า เพราะแขกของข้าล้วนแต่รสนิยมสูงกันทั้งนั้น”

   โดนตอกกลับมาอย่างนี้เจ้าหนุ่มก็ถึงกับสะอึก พาให้คนรอบข้างหัวเราะขึ้นมาอีกครั้งแต่ครั้งนี้ตัวเขาเองกลายเป็นตัวตลก ไม่ใช่หญิงสาวที่ตนเองเผลอปากแซวในตอนแรก

   การเห็นท่าทางที่หงอลงถนัดตาของอีกฝ่ายทำให้เอลยารู้ว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ยังอ่อนเดียงสาเพิ่งจะเคยหัดจีบสาว แค่นี้คงพอหอมปากหอมคอแล้ว เธอจึงเลิกให้ความสนใจ ทว่าก่อนที่เธอจะหันกลับเข้าไปในร้านนั้นเอง หางตาของเธอก็สะดุดกับร่างหนึ่งในชุดคลุมยาวจึงรีบหันไปมอง

   ร่างในชุดคลุมนั้นปกปิดตั้งแต่ศีรษะจนเกือบถึงปลายเท้า ท่าทางการเดินอย่างช้า ๆ นั้นดูไม่เข้ากับสถานที่สักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่มีใครสนใจร่างนั้นเลยแม้แต่น้อย เพราะในสถานที่แบบนี้ จะมีคนแปลก ๆ เดินไปเดินมาก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร

   แต่สิ่งนั้นกลับเรียกความสนใจจากเธอได้....

   เพราะหญิงสาวจำได้ดี ถึงร่างเงาอันแปลกตาซึ่งทิ้งสิ่งของชิ้นหนึ่งไว้ก่อนหายตัวไป

   เอลยาหยุดปลายเท้าตนเองและหมุนตัวกลับออกมาข้างนอกอีกครั้ง สร้างความแปลกใจให้กับคนที่สนทนกันอยู่หน้าร้านแต่เธอก็ไม่นึกสนใจ กลับก้าวเดินผ่านทุกคนออกไปโดยไม่ตอบคำถามที่มีคนถามว่าเธอจะไปที่ไหน แต่หันกลับมาบอกกับสาวรุ่นน้องคนหนึ่งว่า

   “ข้าจะหาพบคนรู้จักสักครู่ เดี๋ยวข้ากลับมา”

   เมื่อสาวรุ่นน้องรับคำ เอลยาก็เดินออกไปด้วยท่าทางรีบเร่ง เพราะร่างในผ้าคลุมนั้นเกือบจะลับสายตาของเธอและหายไปในฝูงชนแล้ว

   ในตอนแรกเธอคิดจะเรียกอีกฝ่ายไว้ แต่เพราะไม่รู้ชื่อ และท่าทางฝ่ายนั้นไม่น่าจะได้ยิน หญิงสาวจึงสาวเท้าตามไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ถึงตัว กระนั้นก็น่าแปลก การเดินตามผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งมันยากเย็นถึงขนาดนี้เชียวหรือ ทั้งที่เธอเองก็มั่นใจว่าตัวเองขายาวและเป็นคนเดินเร็ว แม้มีคนขวางทางบ้างแต่เธอก็เพิ่มความเร็วเท่าที่ทำได้แล้วโดยไม่ออกวิ่ง แต่ร่างนั้นที่นำหน้าเธออยู่กลับไม่ได้ร่นระยะเข้ามาเลย กลับกัน ร่างนั้นคล้ายกับถูกฝูงชนผลักดันให้ห่างออกไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่ได้ลดหรือเพิ่มความเร็วแม้แต่น้อย

   เพราะคิดแต่ว่าอยากจะคืนของให้ เพราะบางทีฝ่ายนั้นคงตามหาของอยู่จึงได้เดินไปข้างหน้าไม่หยุดอย่างนั้น เธอจึงไม่ทันรู้สึกถึงความผิดปกติเหล่านี้

   พอรู้ตัวอีกครั้ง ผู้คนก็ซาลง และไม่มีร้านรวงที่เปิดไฟสว่างไสวแล้ว เอลยามองไปรอบตัวพบว่าตอนนี้ตนเองออกมาท้ายถึงหมู่บ้านซึ่งมีแนวป่าอยู่ไม่ไกล

   คน ๆ นั้นจะออกมาที่นี่จริง ๆ หรือ?

   บางทีอาจจะคลาดกันในหมู่คนก็เป็นได้

   ป่าด้านหน้านั้นมีสัตว์ป่าอยู่มาก โดยเฉพาะเวลากลางคืนซึ่งเป็นเวลาออกล่านั้นยิ่งไม่ควรที่จะเหยียบย่างเข้าไป เวลานี้ข่าวการถูกสัตว์ทำร้ายแถว ๆ นี้ก็เริ่มหนาหู เอลยาจึงคิดว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะเดินเข้าไปในป่า นั่นหมายความว่ายังคงวนเวียนอยู่ในเขตที่เธอเพิ่งผ่านมา

   เธอหันหลังกลับเพื่อเข้าไปหาดูในหมู่บ้านดี ๆ อีกครั้ง ทว่ากลับต้องชะงักพร้อมเบิกตากว้างด้วยความตกใจจนเกือบกรีดร้องออกมา

   ร่างที่เธอตามหาอยู่นั้น มายืนอยู่ข้างหลังเธอตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบได้!

   หัวใจของเธอเต้นเป็นรัวกลอง เหงื่อพรั่งพรูออกมาจนเย็บเยียบไปทั่วร่าง ก่อนที่หญิงสาวจะสงบจิตใจได้และตั้งสติเห็นว่าอีกฝ่ายเพียงยืนนิ่ง ๆ และเงียบจนน่าแปลกเท่านั้น

   ร่างในผ้าคลุมตัวเล็กกว่าเธอเพียงเล็กน้อย ทำให้ยิ่งมั่นใจว่าต้องเป็นผู้หญิงอย่างแน่นอน ฝ่ายนั้นยืนก้มหน้านิ่งทำให้ผ้าคลุมศีรษะปิดลงมาไม่สามารถมองเห็นใบหน้าได้ แต่ปอยผมสีน้ำตาลอ่อนก็ร่วงหล่นออกมานอกผ้าคลุม เอลยาจึงแน่ใจได้ว่าคน ๆ นี้คือคนเดียวกับที่ทำของตกไว้

   “อ....เอ่อ......” เอลยาเริ่มเปล่งเสียงออกมา แต่เธอพบว่าเสียงตนเองแหบแห้งจึงกลืนน้ำลายและกระแอมครั้งหนึ่งก่อนพูดต่อ “คือว่า...เจ้าทำของตกเอาไว้ใช่หรือเปล่า? บางทีเจ้าคงตามหามันอยู่ นี่ไง ไม่ต้องห่วงข้าไม่เรียกร้องอะไรตอบแทนหรอก เจ้าเอาคืนไปเถอะ” ว่าพลาง เธอก็ดึงสร้อยสีทองออกมาจากเสื้อ สีของมันสะท้อนแวววาวกับแสงจันทร์เต็มดวง

   ร่างนั้นยกมือขึ้นมา ทำให้เอลยาได้เห็นเรียวแขนผอมเล็กขาวเนียน

   เอลยายื่นสร้อยส่งไปให้

   มือข้างนั้นยื่นเข้ามาใกล้...ทว่ากลับไม่ได้รับสร้อยจากเธอ...

   มือขาวซีดแตะลงบนแขนก่อนขยับเปลี่ยนหมุนเป็นการคว้าจับ มือของเธอคนนั้นเย็นเฉียบอย่างน่าใจหายและขาวเสียจนน่ากลัว

   “เจ้าอุ่นเหลือเกิน....” ร่างนั้นเปล่งเสียงออกมา เสียงที่แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน “...ช่างอบอุ่น....เหมือนคน ๆ นั้นของข้า....”

   “เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน...นี่ เจ้าเมาหรือเป.....อึก....!” ในตอนแรกเอลยาคิดว่าอีกฝ่ายคงไปดื่มมาจากร้านไหนสักร้านจนเมามาย ทว่าเรี่ยงแรงที่ฝ่ายนั้นเกร็งกำลงบนแขนของเธอไม่ใช่น้อยเลย ไม่ใช่ทั้งแรงของคนเมาจนไร้สติและไม่น่าจะใช่แรงของผู้หญิงเจ้าของแขนที่บอบบางนี้

   “พวกเขาอยู่ที่ไหน.....คืนพวกเขามาให้ข้าเถอะ....” เสียงแหบแผ่วของหญิงสาวลึกลับกึ่งเว้าวอนกึ่งคาดคั้น พร้อมกันนั้นก็เคลื่อนกายเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้นจนเอลยาต้องขยับถอยหลัง แต่เพราะมือที่จับยึด ทำให้ไม่อาจก้าวไปไกล ๆ ได้ แรงที่ดึงแขนของเธอไว้ มากมายเสียยิ่งกว่าเวลาพวกแขกที่มานอนกับเธออารมณ์ไม่ดีเสียอีก

   “เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน ข้าไม่รู้เรื่องคนที่เจ้าหาอยู่เลยนะ” หญิงสาวเริ่มหวาดกลัวขึ้นมา หากเป็นคนเมาก็ว่าไปอย่าง แต่เธอคนนี้อาจจะเสียสติก็เป็นได้ คนบ้าที่ควบคุมตัวเองไม่ได้นั้นอันตรายพอ ๆ กับสัตว์ร้าย เพราะอาจจะทำอะไรขึ้นมาก็ได้

   เดี๋ยวสิ....

   พอ ๆ กับสัตว์ร้าย?

   ถ้าอย่างนั้นจะเป็นไปได้หรือเปล่า....ที่เธอคนนี้จะเป็นคนฆ่าคนอื่น ๆ ที่ตายอย่างเป็นปริศนา?

   พอคิดแบบนั้นเอลยาก็หน้าซีดทันที เพราะนั่นหมายความว่าเธอกำลังจะกลายเป็นเหยื่อคนต่อไป แต่ว่า...มนุษย์ธรรมดาจะฉีกกระชากร่างกายของคนอื่นเหมือนสัตว์ป่าได้ยังไงกัน ในเมื่อมนุษย์นั้นไม่ได้มีกรงเล็บและเขี้ยวที่แข็งแรงเหมือนกับสัตว์ล่าเนื้อ...

   “โอ๊ย!”

   ทันใดที่ความสงสัยเกิดขึ้น แขนของเธอที่ถูกจับยึดก็เจ็บแปลบเหมือนถูกของมีคมจิกลงไป เอลยาเขม้นมองไปยังจุดนั้นก่อนจะเผลอกลั้นหายใจ

   ปลายนิ้วเรียวสวย...มีเล็บงอกยาวออกมา ทั้งที่มันน่าจะเป็นเรื่องปกติของผู้หญิงทั่วไปที่ไว้เล็บ แต่เล็บนั้นกลับแหลมคมผิดปกติและกำลังจิกลงบนเนื้อของเธอ

   “หยุดนะ! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!” เอลยาสะบัดแขนอย่างแรง แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น มือข้างนั้นยิ่งจับยึดแน่นก่อนมืออีกข้างจะพุ่งเข้าจับที่คอของเธอและดันทั้งร่างให้ล้มลงบนพื้นหญ้าชื้นน้ำค้าง

   สะโพกที่ถูกกระแทกเจ็บแปลบแต่หญิงสาวไม่อาจพลิกหนีหรือทรงตัวลุกขึ้นได้ เพราะร่างในผ้าคลุมนั้นตามขึ้นมากดคร่อมบนร่างกายของเธอ มือข้างหนึ่งถูกตรึงไว้บนพื้น ส่วนอีกข้างกำลังพยายามดึงมือที่กุมคอของเธออยู่ก็เรี่ยวแรงกลับสู้อีกฝ่ายไม่ได้เลย

   “พวกเจ้าพรากพวกเขาไปจากข้า.......” เสียงงึมงำเหมือนการกล่าวโทษโดยที่ผู้ฟังไม่ทันจะได้รู้เรื่องราว กระนั้นผู้กล่าวโทษก็ตัดสินความผิดของเธอไปเรียบร้อยแล้ว “....ข้าจะ....พรากชีวิตเจ้าไปเช่นกัน....” ทันใดที่เอ่ยคำนั้น ริมฝีปากที่เพิ่งหยุดคำพูดไปก็อ้ากว้างขึ้น ทำให้เอลยาเห็นเขี้ยวคมเต็มสองตา

   ความคิดของเธอก่อนนี้ถูกต้องทุกประการ

   เธอคนนี้....คือคนที่เป็นสัตว์ร้าย.....!!

   “.......!!!!” เอลยาตกใจกลัวจนร้องไม่ออก ถึงจะพยายามหวีดเสียงอย่างไรทุกอย่างก็อยู่แต่เพียงในคอ ได้แต่มองใบหน้าของอีกฝ่ายที่เลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ปอยผมสีน้ำตาลตกลงละบนหน้าของเธอกระนั้นก็ยังเห็นเขี้ยวขาวน่ากลัวอย่างชัดเจน

   หญิงสาวปิดตาแน่น ก่อนกลั้นใจรวบรวมพลังทั้งหมดที่มีเปล่งเสียงร้องออกมา

   “ปล่อยข้านะ!!!”

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่7 [29/11/12]
«ตอบ #76 เมื่อ29-11-2012 21:49:30 »

   และ....มันก็คล้ายจะได้ผล เพราะอีกฝ่ายชะงักไปอย่างทันที

   หญิงสาวในผ้าคลุมนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่เขี้ยวจะฝังลงบนคอระหงและผละออกเพียงเล็กน้อยโดยไม่ได้ลุกออกไปหรือปล่อยมือที่ตรึงพื้นเอาไว้

   เอลยาไม่รู้สึกว่าตนถูกทำร้ายจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมอง และพบว่าอีกฝ่ายกำลังก้มลงมองไปยังจุดขึ้น เพราะไม่เห็นสายตาจึงไม่รู้ว่ามองไปที่ใด แต่มือที่กุมลำคอของเธอนั้นได้คลายออกและเลื่อนลงไปยังหน้าท้องก่อนแตะและลูบช้า ๆ อย่างอ่อนโยน

   “....เจ้าอยู่ที่นี่เองหรือ....” น้ำเสียงแผ่วเบานั้นเจือความปิติยินดีอยู่อย่างเจือจาง “ดูสิ...เด็กคนนั้นกลับมาหาข้า” ว่าแล้ว หญิงประหลาดก็เงยหน้าขึ้นและยื่นเข้ามาใกล้

   เป็นครั้งแรกที่เอลยาได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย...

   เธอเป็นหญิงสาวอายุน้อยที่ดวงตาเลื่อนลอยคล้ายมองบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ห่างไกล และนัยน์ตาคู่นั้น...เป็นสีแดงเลือด...

   นั่นไม่ใช่สิ่งเดียวที่ทำให้เอลยาตกใจ เพราะใบหน้านั้นคุ้นตาเธอเหลือเกิน

   ใช่แล้ว....ครั้งหนึ่งเธอเคยรู้จักเจ้าของใบหน้านี้

   ในความทรงจำอันพร่ามัว ปรากฏภาพของหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเคยสนิทสนมกันเมื่อยังเด็ก ทั้งที่ในบรรยากาศซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิตไม่น่าจะคิดเรื่องแบบนั้นออกมาได้ แต่คงเพราะคาบเกี่ยวอยู่ระหว่างความเป็นและความตายทำให้ความทรงจำถูกกระตุ้นขึ้นอย่างง่ายดาย

   “....เขาเป็นของข้า” เธอคนนั้นกล่าวต่อไปก่อนยิ้มกว้าง “ดังนั้น.......”

   อา....เจ้าคือ..........

---------------------------->

   ในวันต่อมา ก็มีข่าวกระจายไปทั่วเกี่ยวกับการหายตัวไปอย่างเป็นปริศนาของเอลยา แน่นอนว่าทุก ๆ คนรู้จักเธอดีด้วยเป็นหญิงงามของหมู่บ้าน ใคร ๆ ก็อยากไปใช้บริการ แค่ได้พูดคุยด้วยก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดี การหายไปของเธอจึงกลายเป็นข่าวใหญ่ในเวลาเพียงครึ่งวัน

   คนที่รู้เรื่องนี้เป็นคนแรกเป็นใครไปไม่ได้นอกจากอัลเรส น้องชายซึ่งตื่นขึ้นมาในตอนเช้าและพบว่าพี่สาวของตนยังไม่กลับมาที่บ้าน

   เขาดูแลจัดการน้อง ๆ ทั้งสองอย่างรวดเร็วก่อนจะออกจากบ้านเพื่อมายังเขตนี้ที่คนแทบไม่หลงเหลืออยู่แล้ว เหลือแต่เพียงแขกที่ค้างคืน เหล่าหญิงสาวที่เพิ่งเลิกงาน รวมถึงร้านรวงที่กำลังทำความสะอาดเก็บข้าวเก็บของ อัลเรสเข้าไปหาในร้านที่เอลยาทำงานก่อน แต่กลับได้รับคำตอบกลับมาว่า

   “เห็นออกไปกลางดึกแล้วก็ไม่กลับมาเลย ข้าเองก็ห่วงอยู่เหมือนกัน”

   หญิงเจ้าของร้านถอนหายใจด้วยความหงุดหงิดระคนเป็นห่วง เบอร์หนึ่งของร้านหายตัวไปทำให้เธอต้องแก้ตัวกับแขกเป็นพัลวัน คิดว่าหากกลับมาจะต่อว่าเสียให้เข็ด แต่แล้วเอลยากลับไม่ได้กลับมาที่ร้านอีกเลยจนกระทั่งเวลานี้ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวหายไปที่ไหน ครั้นคิดว่าคงจะเหนื่อยกลับบ้านไปก่อนก็ช่วยให้ความห่วงน้อยลง แต่อัลเรสกลับบอกว่าเอลยาไม่ได้กลับบ้านเลย ทำให้เธอร้อนอกร้อนใจขึ้นมาอีกครั้ง

   “กำลังหาพี่เอลยาอยู่หรือคะ?” ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังเคร่งเครียดนั้น หญิงสาวอายุน้อยก็เอ่ยถามขึ้น ดูจากท่าทางแล้วคงกำลังจะกลับบ้าน

   “เจ้ารู้หรือเปล่าว่าอยู่ไหน?” แม่เล้าหันมาถามทันที

   “ตอนเห็นพี่ครั้งสุดท้าย บอกว่าจะไปหาคนรู้จักแล้วก็เดินไปทางท้ายหมู่บ้านน่ะค่ะ” หญิงสาวตอบ และโดยไม่ฟังคำอธิบายใด ๆ ต่อ อัลเรสก็พุ่งตัวออกไปจากร้านอย่างรวดเร็ว

   เขาเดินผ่านเขตที่กำลังจะร้างคนในยามเช้าโดยไม่สนใจคนที่เดินสวนตัวเองไป ซึ่งในเวลานี้ก็ไม่มีใครสนใจเขาเช่นกันเพราะต่างคนต่างก็แยกย้ายกลับบ้านด้วยความอ่อนเพลีย กระนั้นท่าทางการเดินจ้ำอ้าวและหน้าถมึงทึงก็ทำให้บางคนนึกผิดแปลกอยู่

   อัลเรสสอดส่ายสายตาเข้าทุกซอกมุมเพื่อตามหาคนที่น่าจะเป็นพี่สาวของตนเอง แต่ก็ไม่พบใครที่เหมือนเธอเลย จนกระทั่งเขาเดินออกมาถึงท้ายหมู่บ้าน...

   ไม่มีใครอยู่...

   ไม่ใช่เรื่องแปลก...เพราะบริเวณนี้ปกติก็ไม่ค่อยจะมีคนอยู่แล้ว เอลยาเล่าว่านาน ๆ ครั้งจะมีแขกนิสัยพิลึกชวนสาว ๆ ออกมาพลอดรักกันบ้าง แต่โดยปกติก็จะไม่มีคนเดินผ่าน อัลเรสมองไปรอบ ๆ เผื่อว่าเอลยาจะเป็นหนึ่งในกรณีที่ว่า ซึ่งเขายินดีให้เป็นแบบนั้นมากกว่าหายไปอย่างไร้ร่องรอย

   แต่โชคก็ไม่เข้าข้าง รอบบริเวณเงียบกริบไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิต

   พลันนั้นที่สายตาของเขาถูกบางสิ่งบางอย่างสะท้อนแสงอาทิตย์เข้ามาที่ดวงตา ประกายแสงแวววาวจากโลหะชิ้นเล็ก ๆ ที่อยู่กลางพงหญ้ารก หากไม่สะท้อนแสงแล้วคงไม่มีใครทันสังเกตเห็น

   อัลเรสสาวเท้าเข้าไปหาต้นกำเนิดแสงสะท้อน และเขาก็พบว่ามันคือสร้อยคอของผู้หญิงเส้นหนึ่งจึงก้มลงไปเก็บมันขึ้นมา ซึ่งสิ่งที่เขาเห็นทำให้เจ้าตัวต้องมุ่นคิ้วด้วยความเคร่งเครียด

   สร้อยทองเจ้าปัญหาที่เอลยานำกลับมาเมื่อวานนี้....

   เมื่อมันตกอยู่ที่นี่ก็แปลว่า....

   “เอลยา!” อัลเรสตะโกนออกไปแล้วมองไปรอบตัวอีกครั้งอย่างร้อนใจ แต่สิ่งที่ตอบรับกลับมามีเพียงสายลมวูบหนึ่งและความเงียบ เขาตะโกนอีกครั้ง ผลตอบรับก็ยังคงเหมือนเดิม

   อัลเรสหันกลับไปยังหมู่บ้าน และออกปากถามเรื่องพี่สาวของตนเองกับทุกคนที่พบเห็น แต่ก็ไม่ได้เรื่องราวมากนักเพราะบางคนก็ไม่อยากให้ความร่วมมือด้วยอยู่ต่อหน้าภรรยา แต่บางคนก็บอกเขาว่าเห็นเอลยาแวบ ๆ เหมือนเดินตามใครบางคนไปท้ายหมู่บ้าน ซึ่งตรงกับที่หญิงสาวในร้านบอก นั่นแปลว่าเอลยาไปหาใครบางคนที่ท้ายหมู่บ้านแล้วไม่ได้กลับมาอีกเลย

   อย่างไรก็ตาม การสอบถามไปทั่วของอัลเรสก็ทำให้ทั้งหมู่บ้านรู้ว่าเอลยาหายตัวไป และข่าวนี้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว

   นับเป็นเรื่องแปลก เพราะไม่เคยมีใครหายตัวไปอย่างปริศนามาก่อน มีก็เพียงถูกฆ่าตายอย่างไร้สาเหตุ กรณีของเอลยาจึงทำให้คนทั้งหมู่บ้านหันมาสนใจเรื่องนี้ แต่...ความสนใจเพียงอย่างเดียวไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น เพราะไม่มีใครเลยที่จะมีเบาะแสชี้นำ อีกทั้งสร้อยที่อัลเรสพบก็ไม่มีใครเคยพบเห็นตราแบบนี้มาก่อน ทำให้การตามหาเอลยาต้องพบกับทางตันโดยที่ยังไม่ได้เริ่มต้นเสียด้วยซ้ำ

   “ในป่านั้นต้องมีอะไรอยู่แน่ ข้ามั่นใจ” อัลเรสว่า ถึงแม้ผืนป่าจะเป็นที่ทำมาหากินของเกือบทุกคนในหมู่บ้าน แต่ก็ยังไม่เคยมีใครเข้าไปลึกมากพอ อาณาบริเวณที่รกชัฏของป่าจึงเปรียบเสมือนดินแดนลับแลสำหรับพวกเขา แต่อัลเรสกลับยกเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะบางทีเอลยาอาจจะถูกลากเข้าป่าไปก็ได้

   “พูดบ้า ๆ น่า พวกเราก็เข้าป่ากันทุกวัน วันนี้พวกที่ไปล่าสัตว์ตอนเช้าก็ไม่เจออะไรเลยแม้แต่เศษผ้าสักชิ้น” พวกเขาอ้างเช่นนั้นและไม่สนใจจะเข้าไปหาในผืนป่ากว้างใหญ่อันลึกลับนั่น ส่วนหนึ่งคงเพราะตำนานที่เล่าขานกันมาแต่เก่าก่อนว่ามีผู้ต้องสาปอาศัยอยู่ในป่า แม้ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่ความหวาดกลัวต่อสิ่งที่ไม่รู้จักก็เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ปุถุชน พวกเขาตีความตำนานนี้ว่าในป่าลึกนั้นเป็นเขตแดนอันตรายไม่สมควรจะรุกล้ำเข้าไป จึงไม่มีใครอยากจะขัดขืนคำเตือนนั้น

   อัลเรสต้องพบกับความผิดหวังเมื่อไม่มีใครยอมให้ความร่วมมือ และค้นหากันแค่เพียงรอบ ๆ หมู่บ้านและชายป่าใกล้ ๆ

   “พี่เอลยาไปไหนเหรอคะ?” แอนน์ถามกับเขาเมื่อกลับมาถึงบ้าน

   “พี่ก็ไม่รู้” อัลเรสถอนหายใจแล้วนั่งลงลูบศีรษะน้องสาว

   “คนอื่น ๆ พูดกันว่าพี่เอลยาหายตัวไป จริงหรือเปล่า?” อเลนที่โตกว่าแอนน์และมีความคิดความอ่านมากกว่าเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง

   “พี่เอลยาหายตัวไป? หายไปไหนเหรอคะ? พี่เอลยาเล่นซ่อนแอบอยู่เหรอ?” เพราะแอนน์ยังเด็กและไม่รู้เดียงสา คำถามของเธอจึงออกมาอย่างใสซื่อ

   “อย่าพูดบ้า ๆ นะ พี่ไม่ใช่เด็กอย่างเธอเสียหน่อย!” อเลนตะคอกแล้วหยิกน้องสาวอย่างแรง ทำให้แอนน์ร้องไห้ออกมาเพราะถูกทำร้าย

   “หยุดเดี๋ยวนี้! พี่บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าลงไม้ลงมือกับน้องน่ะ!” ทั้งที่เครียดเรื่องเอลยาอยู่ แต่น้องทั้งสองก็ยังหาเรื่องทะเลาะกันไม่หยุดหย่อน โดยเฉพาะอเลนที่มักลงไม้ลงมือกับแอนน์เป็นประจำเพราะคิดว่าน้องได้รับความเอาใจใส่มากกว่า

   “พี่ก็เข้าข้างแอนน์เสมอนั่นแหละ” อเลนโดนตะคอกเข้าก็ตีหน้าปั้งปึ่ง

   “อเลน! ....”

   ก๊อก ๆ

   อัลเรสตั้งท่าจะต่อว่าอีกคำรบก็หยุดชะงักกระทะหันเพราะเสียงเคาะประตู เขารีบวางแอนน์ลงกับพื้นและผลุนผลันออกไปหน้าบ้านด้วยคิดว่าคงจะมีคนเจอเอลยาแล้ว แต่เมื่อเปิดประตูออกไปเขาก็ต้องอารมณ์ขุ่นมัวยิ่งกว่าเดิมกับผู้มาเยือนที่ไม่สมควรต่อเวลาเป็นอย่างยิ่ง

   “ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ?” วาลเซอิคเลิกคิ้วมองอีกฝ่ายงง ๆ

   “เจ้านี่มันไม่รู้เรื่องอะไรซะบ้างเลยนะ ตอนนี้ไม่มีใครมีอารมณ์อยากคุยกับเจ้าหรอก รีบกลับไปเลยไปเจ้าลูกแหง่” ปกติอัลเรสก็ไม่ใคร่ชอบหน้าวาลเซอิคอยู่แล้ว เพราะมาเทียวไล้เทียวขื่อกับพี่สาวตนเองบ่อยครั้ง ยิ่งมาเจอกันตอนอารมณ์ไม่ดี เจ้าตัวก็ยิ่งเดือดกว่าเดิมและออกปากไล่โดยไม่สนใจใด ๆ ทั้งสิ้น แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้รู้เห็นต่อการหายตัวไปของเอลยาเลยก็ตาม

   “อยู่ ๆ เจ้ามาโกรธเคืองอะไรข้าน่ะ?” วาลเซอิคมุ่นคิ้วงงงวย “แล้วเอลยาไม่อยู่หรือ? นี่ยังหัววันไม่น่าจะออกไปทำงานนี่?”

   “นางหายตัวไป!” ชายหนุ่มตวัดเสียงอย่างขุ่นเคือง “เข้าใจหรือยัง ทีนี้ก็รีบ ๆ ไสหัวออกไปจากบ้านข้าได้แล้ว! ไม่อย่างนั้นข้าไล่เจ้าออกไปเอง!”

   เมื่ออัลเรสบอกเหตุผลออกมา วาลเซอิคก็เข้าใจถึงเหตุผลที่เจ้าตัวอารมณ์เสียถึงขนาดนี้ แต่ข่าวนี้ก็ทำให้เขาตกตะลึงเช่นกันจนไม่ได้สนใจระดับอารมณ์ของอีกฝ่ายสักนิด

   “เอลยาหายตัวไป? ได้ยังไง? เมื่อไหร่?” เพราะเขานับถือเอลยาเหมือนเป็นพี่สาวคนหนึ่ง หากเกิดอะไรขึ้นกับหญิงสาวเขาย่อมอยู่เฉยไม่ได้อยู่แล้ว ซ้ำระยะนี้ก็ลือกันว่าการตายปริศนาเกิดถี่ขึ้นเรื่อย ๆ จนเอลยาต้องออกไปทำงานเร็วกว่าเดิมเพื่อจะได้ถึงร้านก่อนค่ำมืด และได้ยินจากเอลยาว่าอัลเรสไปรับก็เบาใจลง แต่แล้ววันนี้อัลเรสกลับบอกเขาว่าเอลยาหายตัวไป....

   ได้ยังไงกัน?

   “ข้าจะไปรู้ได้ยังไง ตอนเช้าก็ไม่เจอตัวแล้ว” อัลเรสขยี้ผมตัวเองอย่างหงุดหงิดใจ “บอกกันแต่ว่าออกไปจากร้านกลางดึก ไปทางท้ายหมู่บ้าน แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย”

   “ท้ายหมู่บ้าน?” วาลเซอิคมุ่นคิ้ว “นั่นมันก็เป็นชายป่าไม่ใช่หรือ?”

   “ก็ใช่น่ะสิ”

   “แล้วทำไมถึงไม่รวบรวมคนลองเข้าไปหาดู? บางที.....” เด็กหนุ่มกลืนคำพูดในแง่ร้ายลงคอไป “ข้าคิดว่าน่าจะลองดู อาจจะพบอะไรบ้าง”

   “เหอะ! เจ้ามาจากไหนข้าไม่รู้หรอกนะ เข้าคนลึกลับเดี๋ยวไปเดี๋ยวมาแบบเจ้าคงไม่รู้ล่ะสิว่าคนในหมู่บ้านน่ะ กลัวป่าผืนนั้นกันจนตัวสั่น” อัลเรสอดประชดออกมาไม่ได้ ทั้งที่เป็นผู้ชายตัวใหญ่ ๆ เรี่ยวแรงไม่น้อยกันทั้งนั้น แต่กลับกลัวที่จะเข้าไปในป่าลึกกัน

   วาลเซอิคนึกถึงเรื่องที่เอลยาเคยเล่าขึ้นมา...

   ผู้ต้องสาปซึ่งอาศัยอยู่ใจกลางป่า ซึ่งทำให้มนุษย์ลุกขึ้นต่อต้านและแยกกันต่างคนต่างอยู่ในที่สุด

   เป็นเรื่องเล่าที่นานแสนนานจนเขาจำแทบไม่ได้แล้ว เพราะในตอนนั้นเขาเป็นเด็กคนหนึ่งซึ่งกำลังตื่นตาตื่นใจกับแสงสีในถิ่นราตรี อีกทั้งเขาอาศัยอยู่กับผู้ต้องสาปที่ว่าแต่คนเหล่านั้นกลับไม่เคยสนใจจะตอบคำถามเกี่ยวกับตัวตนของพวกตนเองเลย ตัวเขาเองก็ไม่อยากให้เซเอลไม่พอใจกับการเซ้าซี้ ในที่สุด เขาเองก็ทำเป็นลืมเรื่องเหล่านี้ไปเพราะรู้ว่าเซเอลและคนอื่น ๆ ไม่อยากพูดถึง

   ตำนานนั้นยังคงสร้างความกลัวให้กับผู้คน แม้จะไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่เพราะตำนานกอปรกับอำนาจของเซเอลทำให้ปราสาทแห่งนั้นยังคงสงบสุขไม่โดยมนุษย์รุกราน

   แต่ทำไมมนุษย์ถึงกลัวผู้ต้องสาปกันนะ?

   เพราะ...ผู้ต้องสาปดื่มกินเลือดของมนุษย์เป็นอาหาร...

   หากคิดแบบนั้นก็เข้าทีไม่ใช่หรือ? แม้ในตอนนี้ผู้ต้องสาปจะหลีกเลี่ยงการโจมตีมนุษย์ด้วยการดื่มกินเลือดของสัตว์ แต่หากไม่ได้ทำอย่างนั้นทุกคนล่ะ?

   เซเอลเองก็มักจะเข้ามาในหมู่บ้านบ่อย ๆ ...

   อีกทั้งยังมีคนถูกฆ่าตายถี่ขึ้น...

   และเอลยาซึ่งไม่ได้ถูกฆ่าแต่หายตัวไปเฉย ๆ คือคนที่เซเอลพึงพอใจ....

   เหมือนกับจิ๊กซอว์ที่ประกอบกันอย่างพอดิบพอดี หัวใจของวาลเซอิคสั่นระรัว เขาไม่อยากจะกล่าวโทษเซเอลแต่ก็ยากที่จะคิดเป็นอื่น

   “เฮ้ เจ้าเป็นอะไรไป” อัลเรสเรียกแล้วโบกมือไปมาตรงหน้าเมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งไปนาน

   “เปล่า ไม่มีอะไร....แล้ว...มีเบาะแสอะไรบ้างหรือเปล่า?” วาลเซอิคพยายามตั้งสติกับปัญหาที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่แสดงพิรุธให้เห็น

   “จะว่าไป...ข้าเจอไอ้นี่ตกอยู่ตรงที่มีคนเห็นเอลยาครั้งสุดท้าย” พร้อมกับที่พูดเช่นนั้น สร้อยที่ดูคุ้นตาก็ถูกดึงออกมาจากกระเป๋ากางเกงของอัลเรส ดวงตาของวาลเซอิคเบิกกว้างชั่ววินาทีพร้อมแววตาที่สื่อความคิดว่าตนเองรู้อะไรบางอย่างออกมา และมันไม่ได้รอดพ้นสายตาของอัลเรส...เพราะเจ้าตัวเองก็สงสัยในตัววาลเซอิคอยู่ไม่น้อยว่าอาจจะรู้เรื่องเหล่านี้บ้างก็เป็นได้ “เจ้ารู้อะไรหรือไง?” เขาลองหยั่งเชิงถาม เพราะเชื่อว่าวาลเซอิคต้องแสดงพิรุธออกมาอีกอย่างแน่นอน

   “ไม่...ข้าไม่รู้อะไรเลย” วาลเซอิคปฎิเสธ “ยังไง...ข้าจะลองถามคนรู้จักของข้าให้ บางทีเขาน่าจะรู้มากกว่าข้า” เมื่อเห็นท่าไม่ดี เขาจึงรีบปลีกตัวออกมาด้วยการบอกลาและจากไปอย่างรวดเร็ว

   แต่อัลเรสมั่นใจแล้วว่าวาลเซอิคมีส่วนในเรื่องนี้ไม่มากก็น้อย และนั่น...ก็คือเบาะแสเพื่อที่จะตามหาตัวพี่สาวของเขา

TBC

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่7 [29/11/12]
«ตอบ #77 เมื่อ29-11-2012 22:10:49 »

หึงออกนอกหน้ามากอ่ะวาลเซอิค 55
ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ทำไมทำร้ายเอลยา แล้วเอามือจับท้องเอลยา หรือว่าเอลยาจะท้อง???
อ่านไปอ่านมาเนื้อเรื่องก็พันกันไปพันกันมา  รอตอนหน้านะคะ ^^

ออฟไลน์ ตัวเลข

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่7 [29/11/12]
«ตอบ #78 เมื่อ29-11-2012 22:13:30 »

ไม่รู้ว่าเอลย่าจะเป็นอะไรไปหรือเปล่านะ :monkeysad:

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่7 [29/11/12]
«ตอบ #79 เมื่อ29-11-2012 22:16:38 »

อ้าววววว
ไหงงั้น
วาเซอิคเข้าใจผิดไปเองหรือเปล่า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่7 [29/11/12]
« ตอบ #79 เมื่อ: 29-11-2012 22:16:38 »





countryside_69

  • บุคคลทั่วไป
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่7 [29/11/12]
«ตอบ #80 เมื่อ29-11-2012 22:37:11 »

ตื่นเต้นดีจัง o13

ออฟไลน์ Ali$a฿eth

  • [จิ้น]ตนการ
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-3
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่7 [29/11/12]
«ตอบ #81 เมื่อ29-11-2012 23:02:15 »

อ่านจบแล้วอุทานเบา
อ้าว
[/size]

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่8 [4/12/12]
«ตอบ #82 เมื่อ04-12-2012 18:52:29 »

ตอนที่ 8 ผู้บุกรุก


   วาลเซอิคคือคนที่ลึกลับสำหรับเขา

   วาลเซอิคไม่ได้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้

   วาลเซอิคมักจะเดินทางมาบ่อยครั้งแต่ก็เน้นเจาะจงเฉพาะตอนเย็นหรือค่ำ

   หลังจากปรากฏตัวแล้ว วาลเซอิคก็จะออกจากหมู่บ้านไป ไม่ว่าเวลานั้นจะเป็นย่ำรุ่งหรือกลางดึกเจ้าตัวก็จะเดินออกไปราวกับเป็นเวลาปกติที่ไม่มีสิ่งใดน่ากังวล

   วาลเซอิคจะปรากฏตัวพร้อมเสื้อผ้ามีราคาและเงินทองราวกับเป็นขุนนางร่ำรวย แต่กลับไม่เคยเห็นเจ้าตัวมีรถม้าหรือกระทั่งม้าส่วนตัว ผู้ติดตามก็ไม่เคยเจอแม้แต่ครั้งเดียว

   วาลเซอิค...คือคนที่อยู่ ๆ ก็มีตัวตนขึ้นมาโดยไม่มีปี่ขลุ่ย

   .....แน่หรือ?

   ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกแบบนั้นไปเสียทั้งหมด...เหมือนกับว่าช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตที่ผ่านมาเขาเคยรู้จักเด็กชื่อนี้มาก่อนแล้ว

   วาลเซอิค...ไม่ใช่ชื่อที่ได้ยินจากคน ๆ นี้เป็นครั้งแรกหรอกหรือ? ถ้าอย่างนั้นทำไมเขาถึงได้ลืมเด็กคนนั้นไปได้? แล้วจะบังเอิญเกินไปหรือเปล่าที่มีคนชื่อเดียวกันโผล่ออกมาทั้งที่ไม่ใช่ชื่อโหลหรือมีความหมาย ซ้ำอายุของเด็กคนนั้นตอนนี้คงไม่ต่างจากวาลเซอิคคนนี้มานัก

   วาลเซอิคคือปริศนา...ที่อาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านก็เป็นได้

   แต่เรื่องนี้ใครจะเชื่อ มันเป็นเพียงข้อสันนิษฐานเลื่อนลอยที่เกิดจากลางสังหรณ์ของเขาเอง

   และเหตุที่เขายิ่งรู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติเกี่ยวกับวาลเซอิคมากขึ้น ก็เพราะหลังจากอีกฝ่ายมาพบเขาก็แสดงพิรุธบางอย่างออกมาก่อนจะรีบจากไป ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะแอบตามออกไปอย่างเงียบ ๆ เพื่อดูว่าเจ้าตัวคิดจะไปที่ใด แต่สิ่งที่เขาพบนั้นแปลกประหลาดอย่างเหลือเชื่อ เพราะวาลเซอิคเดินออกไปที่ชายป่า ที่นั่นไม่มีบ้านคนอยู่ มีแต่กระท่อมของพวกที่ล่าสัตว์หรือหาของป่าเท่านั้น ไม่มีม้าหรือรถม้า ไม่มีคนรออยู่ วาลเซอิคหยุดยืนครู่หนึ่ง มองซ้ายขวาเหมือนหาอะไรบางอย่าง ก่อนที่จะเดินเข้าป่าไป

   แน่นอนว่าเขาไม่ได้หยุดแค่นั้น เขาตามอีกฝ่ายเข้าไปในป่า แต่น่าแปลกที่วาลเซอิคไม่หยุดเดินเลย และท่าทางการเดินเหมือนคุ้นเคยที่ทางในป่าเป็นอย่างดี และจนกระทั่งมาถึงเขตรกชัฏซึ่งไม่มีใครมาหักร้างถางพก ไม่มีทางเกวียน มีแต่ต้นไม้และหญ้าชื้นแฉะ วาลเซอิคก็เดินหายเข้าไปในความมืดของผืนป่านั้น...

   สถานที่ซึ่งไม่มีใครกล้าเหยียบย่าง....

   สถานที่ซึ่งมนุษย์ทุกคนต่างหวาดกลัว...

   สถานที่...ซึ่งถูกสาปให้ตกอยู่ในความมืดมิดและโดดเดี่ยว...

   ตำนานนั้นอาจเป็นแค่เรื่องเล่าที่ไร้สาระ แต่นับเป็นเวลาสามร้อยปีแล้วที่ไม่มีใครกล้าฝ่าฝืนคำเตือนของเรื่องเล่าเก่าแก่นั้น แต่วาลเซอิคกลับเดินเข้าไปในสถานที่นั้นโดยไร้ความหวาดหวั่น มนุษย์ปกติธรรมดาที่ไหนจะกล้าเดินเข้าป่าพกรกเรื้อเพียงลำพังโดยไม่พกพาของมีคมและไม่มีท่าทางการระแวดระวังภัย

   มีทางเดียวที่เป็นไปได้คือ....เจ้าตัวอาศัยอยู่ที่นั่น

   แปลว่าในแดนต้องสาปมีคนอาศัยอยู่หรือ?

   ไม่ใช่แค่คนธรรมดา...แต่เป็นผู้มีอันจะกินด้วย ไม่อย่างนั้นมีหรือจะมีเงินทองมาป้อนที่พี่สาวเขาเรื่อย ๆ ซ้ำเครื่องแต่งกายก็ไม่เหมือนชาวบ้านธรรมดาสักนิด

   เรื่องนี้...เขาคงต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองเสียแล้ว...

--------------------->

   วาลเซอิคกำลังเดินวนไปวนมาในห้องหนังสือ เขามารอเซเอลที่นี่ตั้งแต่เมื่อคืนแต่เซเอลก็ไม่อยู่ จนกระทั่งถึงตอนเช้าที่ทุกคนหลับนอนกันหมดเขาก็ออกไปล่าสัตว์และพาเซราฟกับวอเรนไปเดินเล่น จนเย็นย่ำเขาจึงกลับมาที่ปราสาทอีกครั้งซึ่งทุกคนตื่นกันหมดแล้ว เขาก็ยังคงไม่พบเซเอล เกิดอะไรขึ้น? เซเอลหายไปไหนในเวลาอย่างนี้? เซเอลกับปราสาทหลังนี้เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน มีหรือที่อีกฝ่ายจะทิ้งปราสาทแล้วหายตัวไปดื้อ ๆ อย่างนี้ คนอื่น ๆ ก็ดูเหมือนจะไม่รู้ว่าเจ้าตัวหายไปไหน

   “เจ้าน่าจะไปนอนพักนะ เดี๋ยวนายท่านกลับมาข้าค่อยไปปลุกก็ได้” อาร์วิน่าเห็นวาลเซอิคอดตาหลับขับตานอนรอเซเอลก็นึกสงสัยอยู่ในใจว่าเจ้าตัวมีธุระสำคัญอะไร โดยปกติแล้ววาลเซอิคก็ดูสนิทกับเซเอลมากกว่าพวกเธอเสียอีก ไม่น่าจะมีเรื่องรีบเร่งขนาดนี้ได้

   “ข้ายังไม่ง่วง...” ความคิดต่าง ๆ รบกวนใจของเขาจนนอนไม่หลับ

   “แล้วไม่ออกไปกับคัลดิชคัลมาร์หรือไง? สองคนนั้นบอกว่าระยะนี้เจ้าดูเครียด ๆ ชวนไปหาอะไรทำในป่าก็ไม่ไป” หญิงสาวมุ่นคิ้วพลางเท้าเอว “ข้าก็เห็นด้วยกับพวกเขานะ เจ้าน่ะระยะนี้ทำตัวแปลก ๆ หรือเปล่า จะไปสนิทสนมกับพวกมนุษย์ข้าก็ไม่มีปัญหาหรอก แต่ปัญหาของพวกมนุษย์ ผู้ต้องสาปอย่างพวกเราคงช่วยเจ้าไม่ได้มาก ถึงอย่างนั้นถ้าเจ้าพูดออกมาอาจจะแนะนำได้นิดหน่อย ว่าไงล่ะ?”

   วาลเซอิคมองอาร์วิน่าที่เสนอตัวช่วยด้วยท่าทางของพี่สาวสุดเฮี้ยบตามปกติของเจ้าตัวก่อนถอนหายใจแล้วยิ้มให้

   “ไม่ใช่เรื่องอะไรเกี่ยวกับมนุษย์หรอก”

   “งั้นก็เรื่องเกี่ยวกับพวกเรา?” การที่วาลเซอิคจะสงสัยอะไรเกี่ยวกับเรื่องของผู้ต้องสาปไม่ใช่เรื่องผิดแปลก เพราะยิ่งวัน ความแตกต่างระหว่างพวกเขาก็ยิ่งมากขึ้นจนกลายเป็นช่องว่างที่ยากจะก้าวข้ามไปได้ ถึงอย่างนั้นทุกคนก็แค่ทำเป็นมองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้และดำเนินชีวิตไปตามปกติ

   แต่อาร์วิน่าก็ไม่คิดว่าวาลเซอิคจำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องของพวกเขา ส่วนที่เจ้าตัวควรรู้ ก็น่าจะรู้ไปหมดแล้วตลอดช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน

   วาลเซอิคมีท่าทางลำบากใจอยู่นิดหน่อยก่อนจะพูดออกมา

   “ที่หมู่บ้านพูดกันถึงตำนานผู้ต้องสาป...ข้าก็คิดว่าเป็นพวกเจ้าแน่นอน และ....เล่ากันว่าผู้ต้องสาปไม่กินเลือดมนุษย์เพราะข้อตกลงเพื่อที่ต่างคนจะได้ต่างอยู่อย่างสงบ” อาร์วิน่าเงียบฟังสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามพูดโดยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมาเป็นพิเศษ “ถึงเรื่องพวกนั้นจะเป็นเรื่องเล่า แต่พวกเจ้าก็ไม่ดื่มกินเลือดมนุษย์กันจริง ๆ แสดงว่ามันน่าจะมีส่วนที่เป็นเรื่องจริงอยู่ไม่มากก็น้อย”

   “ก็ราว ๆ นั้น” อาร์วิน่าไม่ได้ปฏิเสธแต่ก็ไม่ตอบรับ

   “แล้วจะเป็นไปได้หรือเปล่า...ที่พวกเจ้าจะ...”

   “หมายถึงพวกข้าคนหนึ่งจะแหกกฎตามนิยายของพวกมนุษย์ไปไล่ดูดเลือดคนในหมู่บ้านหรือเปล่าน่ะหรือ?” หญิงสาวเลิกคิ้วพลางส่งเสียง ‘เหอะ’ ในคอ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าสงสัยใครกัน ในปราสาทนี้ไม่มีคนที่เจ้าไม่รู้จักอยู่หรอก” เธอว่าแล้วก็ผายมือออกให้วาลเซอิคลองพูดสิ่งที่ตัวเองคาดเดาเอาไว้ออกมา

   “ข้า...” แต่วาลเซอิคกลับไม่กล้าพูด เขาเริ่มต้น และเงียบไป...

   “นายท่านใช่หรือเปล่า?”

   นัยน์ตาสีเขียวเลื่อนหลบอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

   อาร์วิน่าพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอกแล้วส่ายศีรษะ

   “หากเจ้าสงสัยข้าหรือเจ้าแฝดสองคนนั้นยังจะเข้าเค้าเสียกว่า เพราะนายท่านคือผู้ที่เป็นไปได้น้อยที่สุด” เธอว่าด้วยสีหน้าจริงจัง

   วาลเซอิคมุ่นคิ้ว

   “เจ้าหมายความว่ายังไงกัน?”

   อาร์วิน่าถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

   “เจ้าอยู่กับพวกเรามาก็นานแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ยังมีแต่ความสงสัยไม่สิ้นสุด ตอนเจ้าเด็ก ๆ เจ้าเคยตั้งคำถามกับนายท่านว่าอะไรเจ้าจำได้หรือเปล่า?” เธอเว้นช่วงแล้วมองวาลเซอิคซึ่งกำลังพยายามนึกถึงตนเองในวัยเด็ก แต่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนั้น เด็กอายุเพียงสิบสามปีคงลืมมันไปแล้ว เธอจึงกล่าวต่อ “เจ้าถามว่า วันหนึ่งนายท่านจะดื่มกินเลือดของเจ้าด้วยหรือไม่”

   “ตอนนั้นเอง...” วาลเซอิคนึกขึ้นมาได้ในที่สุด

   “นายท่านตอบเจ้าว่า ถึงจะอยากดื่มเลือดของเจ้าก็แตะต้องไม่ได้”

   “ใช่ ข้าจำได้แล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะดื่มของคนอื่นไม่ได้”

   “....เปล่า นายท่านหมายความอย่างนั้น” อาร์วิน่าจ้องมองวาลเซอิคด้วยสีหน้าจริงจัง “นายท่านคือผู้ต้องสาปคนเดียวในปราสาทหลังนี้ ที่ถึงแม้จะหิวกระหายเลือดของมนุษย์มากแค่ไหนก็ไม่อาจแตะต้องได้ ตราบใดที่เขายัง....” อยู่ ๆ อาร์วิน่าก็หยุดพูดไปเพราะรู้สึกว่าตนเองพูดเกินความจำเป็นไปแล้ว

   วาลเซอิคมุ่นคิ้ว

   “ตราบใดที่?”

   “ข้าไม่แน่ใจว่านายท่านพร้อมจะให้เจ้ารับฟังเรื่องนี้หรือยัง”

   อย่างที่อาร์วิน่าเคยบอกไว้ ผู้ต้องสาปในปราสาทนี้ต่างก็ต้องการความเป็นส่วนตัวเพื่อให้มีพื้นที่เก็บเรื่องของตนเองเอาไว้อย่างเงียบ ๆ ดังนั้นจึงไม่มีใครสอดปากเข้ามาพูดเรื่องของคนอื่นมากเกินความจำเป็น ไม่ว่าจะรู้จริงหรือไม่ และนั่นเป็นเสมือนเส้นบาง ๆ ที่ทำให้พวกเขาอยู่ด้วยกันได้อย่างปกติสุขโดยไม่ก้าวก่ายกันและกัน ต่างคนต่างก็มีพื้นที่ที่จะเก็บเรื่องราวเบื้องหลังของตนเองเอาไว้และไม่มีใครสนใจเข้าไปขุดคุ้ย แต่เส้นบาง ๆ นั้นเริ่มถูกสั่นคลอนเมื่อวาลเซอิคต้องการคำตอบสำหรับข้อสงสัยในใจของตัวเอง

   สำหรับมนุษย์แล้วคงเป็นเรื่องยากที่จะไม่ตั้งคำถาม...

   “ข้าคงต้องถามเอาจากเซเอลเอง” วาลเซอิคสรุปออกมา เพราะอาร์วิน่าไม่น่าจะยอมพูดอะไรมากกว่านี้ แต่ในตอนที่เขาตัดใจคิดจะกลับไปรอที่ห้องนอนนั้นเอง สายตาอาร์วิน่าก็มองออกไปที่หน้าต่างด้วยแววตาแข็งกร้าวอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน “เกิดอะไรขึ้น?”

   “ผู้บุกรุก” เธอตอบเพียงสั้น ๆ ก่อนสาวเท้าไปยังหน้าต่างและเปิดมันออก ก่อนที่วาลเซอิคจะถามต่อ อาร์วิน่าก็พุ่งตัวออกไปนอกหน้าต่างเสียแล้ว

   เด็กหนุ่มวิ่งไปที่หน้าต่าง และเห็นหญิงสาวในชุดสีแดงลงไปยืนอยู่บนพื้นด้านหน้าปราสาท และในวินาทีต่อมา เธอก็พุ่งตัวเข้าป่าไปด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ

   แม้ผู้ต้องสาปจะมีหลายสิ่งหลายอย่างแตกต่างกับมนุษย์ ทั้งกำลังกาย ความเร็ว และอายุขัย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่วาลเซอิคได้เห็นพฤติกรรมที่แสดงออกถึงขีดจำกัดที่เหนือมนุษย์อย่างชัดเจนถึงขนาดนี้ ด้วยปกติแล้ว ทั้งอาร์วิน่า คัลดิช คัลมาร์ และเซเอลจะพยายามใช้ชีวิตปกติไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไปให้มากที่สุดต่อหน้าเขา หากผู้ต้องสาปทุกคนมีความสามารถที่เหนือมนุษย์ถึงขนาดนี้แล้ว...การฉีกกระชากร่างเนื้อจะยากสักแค่ไหนกัน...

   ไม่สิ นี่ไม่ใช่เวลาคิดเรื่องแบบนั้น...

   อาร์วิน่าบอกว่ามีผู้บุกรุก...แปลว่ามีคนเข้ามาในเขตของผู้ต้องสาปหรือ?

   ท่าทางของอาร์วิน่าตอนพุ่งออกไปนั้นไม่ได้มีวี่แววของการรอมชอมหรือการเจรจาแม้แต่น้อย อีกทั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยมีมนุษย์รุกล้ำเข้ามาในอาณาเขต มนุษย์ที่บุกรุกเข้ามาจะต้องพบเจอการตอบโต้แบบไหนกัน เมื่อคิดถึงผลที่ตามมาแล้วเขาเองก็คงอยู่เฉยอย่างนี้ไม่ได้

   วาลเซอิครีบร้อนวิ่งลงไปข้างล่างและออกประตูปราสาท และด้วยความรีบร้อนนั้นทำให้เขาไม่ทันสังเกตความผิดปกติบางอย่าง....ประตูของปราสาทที่ส่งเสียงครางตอนขยับ รอยแตกร้าวเล็ก ๆ บนบานประตู และสนิมที่เริ่มเกาะกินประตูหน้า...

------------------------>

   “ดูเหมือนวันนี้จะมีสัตว์แปลก ๆ หลงเข้ามานะ” เงาร่างหนึ่งบนต้นไม้กล่าวพลางจับจ้องไปยังสิ่งมีชีวิตซึ่งค่อย ๆ ย่างก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง ในมือข้างหนึ่งถือคบไฟ อีกข้างถือมีดพร้าถางพง สายตาสอดส่ายไปรอบข้างอย่างระแวงต่อสถานที่ที่ตนไม่คุ้นเคย “เจ้าว่าเลือดของมันจะอร่อยหรือไม่คัลมาร์?”

   “เป็นสัตว์ที่คุ้นตาไม่ใช่น้อย แค่คิดกลิ่นเลือดก็กระสาเข้าจมูกแล้ว” คัลมาร์ตอบกลับพลางหัวเราะหยอกล้อกับแฝดของตนเอง เพียงแต่คงไม่ใช่เรื่องตลกนักสำหรับผู้เป็นหัวข้อสนทนา

   “ร่างกายใหญ่โตแบบนั้น เลือดคงไหลเวียนเต็มทั้งร่าง” คัลดิชเลียริมฝีปาก นานแสนนานแล้วที่พวกเขาไม่ได้ดื่มกินเลือดของมนุษย์ด้วยเซเอลได้ทำสัญญาแลกเปลี่ยนถ้อยคำกับมนุษย์คนหนึ่ง แม้ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับคำสัญญานั้น แต่เพราะเซเอลเป็นเจ้าของปราสาท พวกเขาซึ่งอยู่ในฐานะต่ำกว่าจึงต้องยินยอมละเว้นสิ่งที่เจ้าอาณาเขตไม่ปรารถนาไปด้วย ทำให้พวกเขาไม่ได้ลิ้มรสเลือดอันหอมหวานอีกเลย

   ถึงอย่างนั้น...การที่มีผู้เหยียบย่างรุกล้ำเข้ามาพวกเขาย่อมมีสิทธิจัดการอย่างไรก็ได้...

   เพราะแต่เดิมมันก็เป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะจัดการมนุษย์ที่บุกรุกอาณาเขตอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?

   “เช่นนั้นพวกเราควรจะลงไปต้อนรับเสียหน่อย ว่าไหม?” และโดยไม่ต้องรอคำตอบ ทั้งคัลดิชและคัลมาร์ก็ทิ้งตัวลงจากต้นไม้ซึ่งใช้ซุกซ่อนตัวตนอยู่ถึงเมื่อครู่ และยืดตัวยืนขวางทางชายหนุ่มร่างสูงซึ่งกำลังมุ่งหน้าแหวกทางเข้าใกล้เขตของปราสาทมากขึ้นเรื่อย ๆ

   แน่นอนว่าการปรากฏตัวอย่างกะทันหันสร้างความตกตะลึงให้แก่ผู้มาเยือนเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มรีบตั้งสติยกคบไฟและมีดจ่อมาข้างหน้าในท่าพร้อมตอบโต้ ในใจนึกสงสัยไปต่าง ๆ นานาว่าสองคนตรงนี้เป็นใคร โผล่ออกมาจากไหน และมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แต่คำถามทั้งหมดนั้นก็อยู่แค่เพียงในความคิด ไม่ได้ออกมาจากปากแต่อย่างใด ทำให้ชายหนุ่มปริศนาทั้งสองยังคงยิ้มกลับมาให้อย่างเงียบงัน

   แต่ไม่รู้ว่าทำไม...เขาจึงรู้สึกเหมือนตนเองกำลังถูกจ้องมองด้วยสายตาของนักล่าที่จับจ้องเหยื่อซึ่งไร้ทางสู้ และความนิ่งเงียบนั้นคงจะเป็นการสังเกตปฏิกิริยาของเขา

   “....พวกเจ้าเป็นใคร....” เขาสูดหายใจลึก ระงับความตื่นตระหนกและตีสีหน้าเคร่งเครียดปกปิดความหวาดหวั่นที่บังเกิดขึ้น เสียงของเขามีวี่แววสั่นเครือเล็กน้อย เหงื่อเย็นเยียบผุดออกมาจนรู้สึกชื้น บางที...มันอาจจะเป็นคำเตือนว่าเขาไม่ควรเผชิญหน้ากับสิ่งนี้....ทั้งที่มองภายนอกก็เป็นผู้ชายรูปร่างผอมบางธรรมดาแท้ ๆ แต่สายตาของพวกนั้นกลับทำให้รู้สึกเหมือนมีบางสิ่งไต่ขึ้นมาตามแผ่นหลัง ซ้ำดวงตาสีแดงราวกับเลือดนั่น....หรือว่า....สองคนนี้จะเป็นสิ่งที่เรียกกันว่าผู้ต้องสาป...

   เรื่องนั้นมันควรจะเป็นแค่เรื่องเล่าไม่ใช่หรือ?

   แค่เรื่องเล่าปรัมปราของคนเก่าคนแก่เท่านั้น...

   ฝาแฝดสองคนมองหน้ากันพลางกลอกตา เหมือนกำลังคิดว่าตนเองจำเป็นต้องตอบคำถามนั้นหรือไม่

   “ผู้ล่าไม่จำเป็นต้องขานนามกับเหยื่อกระมัง?” คัลดิชเอ่ยขึ้นมา

   ผู้ล่า?

   เหยื่อ?

   ชายหนุ่มกลืนน้ำลายหนืดลงคอ เหยื่อที่พูดออกมานั้นหมายถึงเขาไม่ผิดแน่ ถ้าหากสองคนนี้คือผู้ต้องสาปที่ว่ามาจริง ๆ เลือดมนุษย์ก็คืออาหารชั้นเยี่ยม

   เดี๋ยวสิ เลือดมนุษย์หรือ?

   หากผู้ต้องสาปมีตัวตนอยู่จริงแล้ว...เหตุการณ์การตายในหมู่บ้านอาจจะมาจากคนพวกนี้ก็เป็นได้...

   สมองของเขาประมวลผลออกมาอย่างรวดเร็ว เขาตามวาลเซอิคเข้ามาในป่านี้โดยคิดว่าอาจจะมีสถานที่ที่ตนเองไม่รู้จักอยู่ ทว่ากลับเจอผู้ชายสองคนที่คล้ายจะไม่ใช่มนุษย์ปุถุชนซึ่งสอดคล้องกับการตายอย่างปริศนาของผู้คนในหมู่บ้านตลอดช่วงที่ผ่าน คนเหล่านั้นต่างถูกฉีกกระชากร่างกายอย่างน่าสยดสยองราวกับเขี้ยวและกรงเล็บของสัตว์ป่า แต่กลับไม่มีใครเคยเห็นแม้แต่เงาของสัตว์ป่าที่ว่านั่น แล้วเขาจะคิดเป็นอื่นได้ยังไงกัน?

   วาลเซอิค...คือเหยื่อล่อของผู้ต้องสาปที่หลบเร้นกายเหล่านี้!

   “บัดซบ” ชายหนุ่มกัดฟันกรอด “ไอ้ลูกหมานั่น....”

   “ดูเหมือนเขาจะไม่ได้สนใจพวกเราเลยนะ” คัลมาร์พูดกับแฝดของตนเอง

   “อาจจะกลัวจนสติแตกไปแล้วก็ได้ เลือดคนบ้าจะแตกต่างจากคนปกติแค่ไหนข้าก็ไม่รู้ด้วยสิ” คัลดิชไหวไหล่ก่อนจะเห็นบางสิ่งจากหางตาและดีดตัวหลบไปด้านหลัง มีดพร้าสำหรับถางกอหญ้าวาดผ่านหน้าเขาและคัลมาร์อย่างฉิวเฉียดเส้นยาแดงผ่าแปด และยังไม่ทันจะตั้งตัวได้ติด มีดเล่มนั้นก็ถูกเงื้อขึ้นอีกครั้ง คัลดิชเห็นว่ามันกำลังจะสับลงมาทางตน จึงยกขาเตะบริเวณข้อมืออีกฝ่ายทันที

   แรงปะทะที่เกินกว่าผู้ชายรูปร่างเล็กคนหนึ่งจะทำได้ ทำให้ชายหนุ่มปล่อยมีดหลุดมือไปและทรุดลงกุมข้อมือตนเอง

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่8 [4/12/12]
«ตอบ #83 เมื่อ04-12-2012 18:53:12 »

   นี่มันเรี่ยวแรงอะไรกัน...

   “ให้ตายสิ เป็นเหยื่อที่ใช้เขี้ยวเล็บอย่างขาดสติจริง ๆ”

   “คำก็เหยื่อสองคำก็เหยื่อ...ข้าไม่ใช่เหยื่อของพวกเจ้า!” ชายหนุ่มตะโกนตอบโต้ทันที “พี่สาวของข้าอยู่ที่ไหน เอลยาอยู่ไหน!”

   “เจ้าต่างหากที่อย่ามาพูดอะไรพล่อย ๆ” แม้อีกฝ่ายจะตะโกนเสียงกร้าวดูน่ากลัวสำหรับมนุษย์ทั่วไป แต่ผู้ต้องสาปอย่างพวกเขากลับฟังแล้วคล้ายเสียงคำรามของสัตว์ป่าที่ไร้ทางสู้เสียมากกว่า คัลดิชแสดงสีหน้าเบื่อหน่ายออกมาเมื่อเห็นว่าเหยื่อของตนกำลังพูดเรื่องที่พวกเขาไม่เข้าใจ “เจ้าจะมาตามหาใครไม่ใช่เรื่องของพวกเรา แต่ในเมื่อเจ้ารุกล้ำเข้ามาในเขตของเราแล้วเจ้าก็คือเหยื่อ เรื่องมันก็มีแค่นั้น”

   อัลเรสตวัดสายตาขึ้นจ้องมองผู้ที่ตอบโต้ตนด้วยสายตาโกรธแค้น เขาปักใจเชื่ออย่างเต็มอกว่าคนพวกนี้ต้องเป็นคนที่ลักพาตัวพี่สาวของตนเองอย่างแน่นอน

   “พวกเจ้ากำลังทำผิดข้อตกลงอยู่นะ” เขาพูดขึ้นโดยพยายามนึกถึงเรื่องเล่าที่พูดต่อ ๆ กันมาอย่างไร้มูล แต่คนพวกนี้ก็ไม่เหมือนสิ่งที่มีตัวตนจริงอยู่แล้วแต่กลับมายืนต่อหน้าเขาได้ ดังนั้นเรื่องเล่านั่นก็น่าจะเป็นความจริงอยู่บ้าง “พวกเจ้าดื่มเลือดมนุษย์ทั้งที่ให้สัตว์สาบานว่าจะไม่ทำ แต่พวกเจ้ากลับมาฆ่าคนในหมู่บ้านของเราซ้ำยังพาตัวพี่สาวข้าไปอีก อยากให้เกิดการต่อสู้อีกหรือไง!”

   เมื่ออัลเรสพูดออกมาแบบนั้นแทนที่สองแฝดจะออกอาการตกตะลึงหรือสำนึกผิด กลับทำหน้าเหรอหราเหมือนอีกฝ่ายกำลังพูดภาษาที่ตนไม่รู้จัก

   “ข้าไม่เห็นเคยได้ยินเรื่องพรรค์นั้น” คัลมาร์พูดกับคัลดิชซึ่งกำลังตีสีหน้าแบบเดียวกัน

   “ข้าก็ด้วย พวกมนุษย์เคยลุกฮือขึ้นต่อต้านเราตอนไหนกัน?” คัลดิชมุ่นคิ้วเหมือนพยายามทบทวนความทรงจำตนเอง

   “...ว่ายังไงนะ?” อัลเรสเบิกตากว้าง นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?

   “ดูเหมือนพวกมนุษย์จะมีเรื่องเล่าน่าสนุกอยู่น่ะสิ” เสียงหญิงสาวดังขึ้นจากเงามืดใต้พงไม้ ก่อนร่างที่ห่มคลุมด้วยอาภรณ์สีแดงจะก้าวออกมาและหยุดยืนโดยเว้นระยะห่างจากอัลเรสเล็กน้อยแล้วยกสองมือขึ้นกอดอก “ว่ากันว่าเหล่าผู้ต้องสาปถูกลุกขึ้นต่อต้านจนต้องออกมาทำข้อสัญญากับมนุษย์ว่าจะไม่ดื่มกินเลือดของมนุษย์อีกต่อไป ซึ่งข้าเองก็เพิ่งเคยได้ยินจากวาลเซอิควันนี้”

   ใช่ เขาเองก็ได้ยินมาอย่างนั้น แต่ปฏิกิริยาของสามคนที่ล้อมรอบเขาอยู่นี้ไม่ได้บ่งบอกเลยว่าเรื่องเล่านั้นมีมูลความจริงอยู่

   เสียงหัวเราะของแฝดชายสองคนเรียกให้ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง

   “พวกเขาคิดอะไรตลก ๆ มาเล่าสู่กันฟังได้เสมอเลยนะ”

   “พวกเราน่ะหรือจะถูกต่อต้านจนต้องทำข้อตกลงกับมนุษย์?”

   “เป็นพวกมนุษย์เองแท้ ๆ ที่ถูกความหวาดกลัวครอบงำจนจับจิตที่ต้องตกอยู่ภายใต้เงามืดที่ไร้แสงตะวันและดินแดนที่ต้องสาป ถึงได้พากันถอยหนีออกไปจนกลายเป็นป่ารกแบบนี้”

   “พวกเราจึงได้ยื่นข้อเสนอว่าหากจะออกไปจากดินแดนนี้ย่อมทำได้ แต่พวกเขาจะไม่สามารถเหยียบย่างกลับมาได้อีก เพราะดินแดนนี้จะเป็นของผู้ต้องสาปโดยสมบูรณ์”

   เดี๋ยวสิ...นั่นมันกลับตาลปัตรกับเรื่องที่เคยได้ยินได้ฟังมาเลยไม่ใช่หรือ!?

   “ถ้าอย่างนั้นทำไมก่อนหน้านี้ถึงได้...”

   “เพราะพวกเราไม่จำเป็นต้องฆ่ามนุษย์เพื่อดื่มเลือดน่ะสิ มนุษย์มีเลือดมากมายไหลเวียนทั่วร่าง เราดื่มแค่พอแก้กระหาย และใช้เล่ห์กลเล็กน้อยในการหลอกล่อให้มนุษย์พวกนั้นไม่ทันเอะใจเกี่ยวกับตัวตนของพวกเรา เพราะอย่างนั้นพวกเจ้าจึงมีแต่ตำนานเรื่องเล่าแต่ไม่เคยมีใครพิสูจน์ได้ว่าผู้ต้องสาปมีอยู่จริง” อาร์วิน่าเฉลยพลางไหวไหล่ “แต่ก็มีเหตุผลบางอย่างทำให้พวกเราเลิกดื่มเลือดมนุษย์ไปอย่างถาวร ซึ่งเจ้าไม่มีความจำเป็นต้องรู้”

   “อย่ามาพูดบ้า ๆ ในหมู่บ้านข้ามีคนตายไปเท่าไหร่แล้ว!”

   “เจ้าต่างหากที่กำลังพูดบ้า ๆ อย่าเอาเรื่องของพวกเจ้ามาโยนเป็นความผิดพวกเราเสียหมดสิ หรือมนุษย์คิดทำอย่างอื่นไม่เป็นนอกจากโยนความผิดให้คนอื่น?” คัลดิชเริ่มรำคาญกับการต่อปากต่อคำ “แต่เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ถึงอาร์วิน่าจะเพิ่งบอกว่าพวกเราไม่จำเป็นต้องฆ่ามนุษย์ แต่การรุกล้ำเข้ามาในอาณาเขตนี้ก็ยังมีโทษถึงตายอยู่ดี เพราะฉะนั้นถึงเจ้าจะรู้อะไรไปมากกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์”

   “พวกเจ้าแก้ตัวแบบนั้นทั้งที่เอามนุษย์คนหนึ่งมาเป็นพวกแล้วสั่งให้ไปล่อเหยื่อมาให้น่ะหรือ!?” อัลเรสหยิบคบไฟที่ตนเองทิ้งบนพื้นขึ้นมาแล้วลุกยืนตั้งท่าจ่อคบไฟไปด้านหน้าเพื่อปกป้องตัวเอง คนพวกนี้อยู่แต่ในความมืด แปลว่าดวงตาน่าจะไม่ถูกกับแสง ซึ่งเขาก็คิดถูกเมื่อเห็นผู้ต้องสาปพากันหรี่ตาลงกับแสงไฟ

   “นั่นเจ้ากำลังพูดถึงวาลเซอิคอยู่หรือเปล่า?” อาร์วิน่าเลิกคิ้ว “เจ้าเด็กนั่นไม่ได้ฉลาดขนาดเอามาใช้เป็นเหยื่อล่อใครได้หรอก”

   “ข้าไม่เชื่อ! ถ้าอย่างนั้นเอลยาจะหายไปเฉย ๆ ได้ยังไง เขามาหาพี่สาวข้าแทบทุกวัน!” อัลเรสยังคงยืนยันความมั่นใจของตนเอง “เจ้านั่นอยู่ไหน ให้มันออกมาหาข้าเดี๋ยวนี้!”

   “เขา...”

   “ข้าอยู่นี่....” โดยที่ไม่มีใครทันคาดคิด เจ้าของชื่อก็ขานตอบพร้อมเสียงหอบหายใจจากการวิ่งสุดแรงตามหลังอาร์วิน่ามา ทั้งที่เจ้าตัววิ่งเต็มความเร็วที่ทำได้แล้วแต่แผ่นหลังของอาร์วิน่าก็ยังไกลออกไปเรื่อย ๆ จนเกือบจะคลาดกัน โชคดีที่เขาตามมาถูกทาง “อัลเรส เจ้าต้องออกไปจากที่นี่นะ”

   “อย่ามาสั่งข้า! เอลยาอยู่ที่ไหน!” เมื่อวาลเซอิคโผล่มา ความประหวั่นที่บังเกิดจากผู้ต้องสาปก็มลายหายไปสิ้นเพราะความห่วงที่มีต่อพี่สาวซึ่งไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร

   “ข้าไม่รู้! และข้าก็ห่วงนางไม่ต่างกับเจ้า แต่ตอนนี้เจ้าต้องกลับออกไป ไม่เห็นหรือยังไงว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของมนุษย์ทั่ว ๆ ไปน่ะ!” วาลเซอิคก้าวเข้าไปหาอัลเรส ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้คัลดิช คัลมาร์ และอาร์วิน่าพุ่งเข้าจู่โจมอัลเรสได้ แต่เจ้าตัวกลับมองเห็นการปกป้องของเขาเป็นการคุกคาม คบไฟวาดมาข้างหน้าจ่อห่างจากเขาเพียงฟุตเดียวเท่านั้น “เจ้าไม่รู้ตัวหรอกหรือว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหน...”

   วาลเซอิคพูดยังไม่ทันขาดคำ เงาร่างหนึ่งก็ปรากฏเบื้องหลังอัลเรสอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย กรงเล็บคมตวัดลงอย่างรวดเร็วทำให้วาลเซอิคต้องรีบตัดสินใจปัดคบไฟออกจากตรงหน้าตัวเองและดึงให้อัลเรสเสียหลักถลามาข้างหน้า กรงเล็บจึงเพียงถากแผ่นหลังกว้างเป็นรอยยาวเรียกหยดเลือดให้ผุดออกมาเป็นบางจุดเท่านั้น

   เจ้าของกรงเล็บก้มลงมองผลงานด้วยความขัดใจ

   “เจ้าคิดจะทำอะไรวาลเซอิค” คัลมาร์เอ่ยถามพลางเลียเลือดสีแดงที่ติดอยู่เล็กน้อยบนปลายเล็บ

   “อัลเรสเป็นเพื่อนข้า เจ้าจะฆ่าเขาไม่ได้” วาลเซอิคตอบโดยไม่ลังเล

   “อย่ามาทำเป็นคนดีหน่อยเลย เจ้าก็ไม่ต่างจากพวกนี้หรอก!” ถึงจะรู้ว่าตนถูกช่วยชีวิตไว้แต่อารมณ์ก็ไม่ได้ทำให้มีเหตุผลมากขึ้น เขาปัดมือวาลเซอิคออก แม้แผลบนหลังจะทำให้รู้สึกเจ็บแต่จะให้ยอมนอนนิ่งเป็นอาหารจานโปรด...ไม่มีวันเสียล่ะ!

   “เจ้าอย่าเพิ่งทะเลาะกับข้าตอนนี้ได้ไหม!” วาลเซอิคหันไปโต้ตอบ

   “ข้าก็ว่าพวกเจ้าไม่ควรทะเลาะกันตอนนี้ เพราะพวกเจ้ามีสอง เรามีสาม ซ้ำกำลังพวกเราก็ได้เปรียบ ไม่คิดหรือว่าการเอาแต่ตะโกนแบบนั้นรังแต่จะลดทอนกำลังตัวเอง” ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่คัลมาร์มายืนอยู่ข้างพวกเขาทั้งสองพลางพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มประหนึ่งกำลังเล่นเกมกับเด็ก ๆ “แต่ว่านะวาลเซอิค ถึงเจ้าจะเป็นเด็กคนโปรดของพวกเราก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้รับการออมมือเมื่ออยู่ในการต่อสู้” กล่าวจบกรงเล็บก็พุ่งมายังเจ้าของชื่อแต่กลับไม่ไร้ความปรานีอย่างที่เจ้าตัวว่า เพราะมันเล็งไปที่แขนไม่ใช่ลำคอหรือหัวใจ แม้วาลเซอิคจะเอี้ยวตัวหลบทันเพราะได้รับการเตือนแต่ต้นแขนขวาก็ปรากฏรอยเลือดที่แผ่ตัวออกบนรอยขาดของเสื้อ กระนั้นก็ใช่ว่ามีการโจมตีเพียงครั้งเดียว อาร์วิน่าเข้าประชิดด้านหลังซึ่งอัลเรสระวังอยู่ ดาบเล่มงามตวัดลงตัดคบไฟที่ทำจากไม้ซึ่งอัลเรสยกขึ้นป้องกันตัวเองขาดเป็นสองท่อน

   นี่คือสิ่งหนึ่งที่วาลเซอิคไม่รู้เกี่ยวกับอาร์วิน่า....ว่าเธอคือนักดาบชั้นยอด ซึ่งเพราะเกิดเป็นหญิงจึงไม่ได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ถึงอย่างนั้นหน้าที่ของเธอก็คือการควบคุมดูแลการบุกรุกอาณาเขต จึงไม่มีข้อกังขาใด ๆ เกี่ยวกับฝีมือของเธอแม้แต่น้อย

   “ปีศาจชัด ๆ” อัลเรสคำรามในคอพลางมองคบไฟที่หักเป็นสองท่อนบนพื้น มนุษย์ธรรมดาที่ไหนจะฟันขาดเป็นรอยเรียบกริบได้แบบนี้

   “ข้าถึงบอกให้หนีไปแต่แรกไง” วาลเซอิคดุใส่โดยไม่ได้หันไปมอง เพราะตรงหน้าเขามีคัลดิชและคัลมาร์ยืนอยู่ สองคนนี้เองถึงจะมือเปล่าก็ใช่ว่าจะจัดการโดยง่าย

   “อย่ามาสอนข้านะ!”

   “นี่เจ้ายังจะ.....ก้มลง!” ก่อนจะได้เถียงกันต่อ วาลเซอิคก็รีบตะโกนเตือนแล้วดึงอัลเรสให้โน้มตัวลงต่ำ ขาข้างหนึ่งเตะวาดผ่านศีรษะไปเพียงปลายเส้นผม ท่าทางแบบนี้เห็นจะแย่ เพราะเขาสองคนจะชนะหนึ่งในนี้เพียงคนเดียวก็ยากจะเป็นไปได้แล้ว แต่นี่มีถึงสาม เมื่อคิดสรตะแล้ววาลเซอิคก็ออกแรงฉุดแขนอัลเรสให้เลี่ยงออกมาด้านหนึ่งเพื่อเปิดทางหนีให้ตัวเองและอัลเรส แต่คัลมาร์ก็ดักรออยู่แล้ว ถึงคัลดิชจะหมุนตัวกลับมาไม่ทันคัลมาร์ก็ทำหน้าที่แทนได้อย่างดี ทั้งสองมีการประสานการเคลื่อนไหวที่สมบูรณ์แบบไร้ช่องว่าง

   คัลมาร์จงใจปล่อยให้วาลเซอิคผ่านตัวเองไปและเล็งอัลเรสซึ่งตามหลังมา

   กรงเล็บตวัดไปยังทรวงอกทำให้อัลเรสรีบกลั้นหายใจเบรกตนเองอย่างกะทันหันก่อนที่มันจะมาถึงตัว เสื้อของชายหนุ่มฉีกขาดเป็นแนว และปลายเล็บของคัลมาร์ยังเกี่ยวเอากระเป๋าเสื้อขาดไปด้วย ทำให้มีของสิ่งหนึ่งปรากฏออกมาจากรอยขาดและเกี่ยวติดกรงเล็บไปตกอยู่ในจุดซึ่งห่างออกไปไม่มาก

   ของสิ่งนั้นทำให้ทุกการเคลื่อนไหวหยุดนิ่ง...

   เครื่องประดับสีทองนั้น....หยุดทุกสายตาที่จับจ้องไปที่มัน

   ของสิ่งนั้นพวกเขารู้จักเป็นอย่างดี แต่...

   “ทำไมมันถึงอยู่กับเจ้าได้” คัลดิชเป็นคนแรกที่เอ่ยถาม เขาหมุนตัวกลับมาและลดสายตาลงมองอัลเรส รังสีกดดันที่แผ่ออกมาทำให้รอบข้างคล้ายถูกปกคลุมด้วยบางสิ่งที่หนักอึ้ง ดวงตาสีแดงเลือดเปล่งประกายอย่างน่าขนลุกไม่มีวี่แววการละเล่นหลงเหลืออยู่เลย

   “...นั่นเป็นของของพี่สาวข้า” อัลเรสรู้สึกคล้ายหายใจลำบาก สิ่งที่กดทับบนตัวเขาอย่างกะทันหันนั้นเป็นบรรยากาศที่อึดอัดและพาให้รู้สึกคลื่นเหียน

   “อย่ามาพูดจาโง่ ๆ ชาวบ้านอย่างเจ้าจะมีของมีค่าแบบนั้นได้ยังไง” คัลดิชยกเท้าขึ้นเหยียบลงบนบ่ากว้างและทิ้งน้ำหนักวูบพาให้อัลเรสเสียหลักล้มลงไปนอนบนพื้น “ข้าจะถามอีกครั้ง ของสิ่งนั้นมาอยู่กับเจ้าได้ยังไง หากเจ้าไม่ตอบความจริงข้าจะฉีกเจ้าเป็นชิ้น ๆ เสียตรงนี้”

   “....ข้า...พูดเรื่องจริง จะไม่เชื่อก็ตามใจเจ้า แต่พี่สาวของข้าได้มาแต่ไม่เคยบอกข้าเลยว่าได้มาจากไหน” อัลเรสจับข้อเท้าอีกฝ่ายและพยายามดึงออกจากบ่าตนเองแต่ก็ไร้ผล “เป็นสัตว์เลี้ยงของเจ้าไม่ใช่หรือไง...ที่เป็นคนให้กับพี่สาวของข้าน่ะ!”

   ทั้งคัลดิช คัลมาร์ และอาร์วิน่าต่างพากันหันมองวาลเซอิคเป็นตาเดียว ก่อนทั้งสามจะส่ายศีรษะ เพราะต่างก็รู้ว่าวาลเซอิคไม่มีทางทำเช่นนั้นได้

   สร้อยคอเส้นนั้น...คือสมบัติที่เจ้าตระกูลลาห์โคเวียคนสุดท้ายมอบให้แก่หญิงสาวคนหนึ่ง และหญิงสาวคนนั้น...ไม่ได้อยู่บนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว...

   คัลดิชยกเท้าออกจากบ่ากว้างพลางเพ่งมองไปยังสร้อยคอเจ้าปัญหานั้นด้วยสายตาที่มีความหมาย แต่แล้วในกรอบสายตาของเขาก็ปรากฏมือข้างหนึ่งเอื้อมลงไปเก็บสร้อยเส้นนั้นขึ้นมา

   เซเอล...

   “ผู้บุกรุกคนเดียวทำให้พวกเจ้าตึงมือถึงขนาดนี้เลยหรือ?” ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีเงินยวงเอ่ยถามพลางเลื่อนสายตามองแต่ละคน

   “เซเอล...อัลเรสแค่ต้องการตามหาพี่สาวของเขาเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจจะบุกรุกที่ของท่าน” วาลเซอิครีบแก้ต่างให้ทันที

   “จะด้วยเหตุผลใดบุกรุกก็คือบุกรุก จัดการให้เรียบร้อย ข้าไม่ชอบเรื่องวุ่นวาย” เซเอลทำราวกับว่ากำลังสั่งให้คนหนึ่งเดินไปหยิบของชิ้นหนึ่งไปทิ้งเท่านั้น เขาก้าวผ่านกลุ่มคนที่ยืนรวมกันอยู่ไปทางปราสาทโดยไม่ได้ให้ความสนใจใด ๆ อีก แต่เมื่อผ่านมาได้ไม่กี่ก้าว เสื้อคลุมของเขาก็ถูกดึงรั้งเอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง
   “...ได้โปรด...”

   นานมาแล้วที่วาลเซอิคไม่ได้พูดคำนี้ออกมา เพราะไม่ว่าเขาจะร้องขอสิ่งใดเซเอลก็มอบให้เสมอ น้อยครั้งที่จะขัดใจ หรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องจริงจังถึงขนาดต้องพูดคำนี้ออกมา

   เซเอลเหลือบตามองสายตาอ้อนวอนของเด็กหนุ่มที่ตนเลี้ยงดูมา

   ทำไม....เขาถึงต้องใจอ่อนอยู่เรื่อย...

   “หากเขาไม่แพร่งพรายเรื่องที่พบเจอในวันนี้ ข้าจะทำเป็นมองไม่เห็นก็แล้วกัน”

   “อะไรนะ?” คัลดิช คัลมาร์ และอาร์วิน่าร้องถามพร้อมกัน แต่เซเอลไม่ได้ให้ความสนใจที่จะตอบคำถาม เขาหันไปทางอัลเรสและมองดูด้วยดวงตาไร้ความรู้สึก

   “หากวันใดที่เจ้าเล่าถึงเรื่องที่เจ้าพบที่นี่ ไม่ว่าด้วยปากของเจ้า มือของเจ้า หรือท่าทางของเจ้า เจ้าจะไม่มีโอกาสได้เห็นดวงตะวันอีกต่อไป”

   วาลเซอิคส่งสัญญาณให้อัลเรสตอบรับ เจ้าตัวจึงพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ ถึงอย่างนั้นอัลเรสก็ไม่ได้มีเป้าหมายในการสืบหาความจริงเกี่ยวกับผู้ต้องสาปแต่ต้น แค่ต้องการตามหาเอลยาเท่านั้น

   “พาเขาออกไปได้แล้ว”

   “เดี๋ยวสิ! แล้วเอลยา....”

   “ไม่มีมนุษย์คนอื่นนอกจากวาลเซอิคอยู่ที่นี่ เห็นทีเจ้าต้องไปตามหาที่อื่นแล้ว” คัลมาร์พูดแล้วดึงให้อัลเรสยืนขึ้น “เจ้าควรรีบตามข้ามาก่อนนายท่านจะเปลี่ยนใจ” พร้อมกับที่คัลมาร์ว่าเช่นนั้น คัลดิชก็เดินขึ้นมาขนาบข้างเป็นการบังคับให้ตามไปกลาย ๆ อัลเรสจึงต้องยินยอมอย่างช่วยไม่ได้ เพราะเขาประจักษ์แล้วว่าตนเองไม่มีกำลังมากพอจะต่อต้านคนเหล่านี้ได้เลย

   เซเอลหมุนตัวกลับไปยังทางเดิมของตนเอง แต่ไม่ได้ก้าวเดิน...เขาก้มลงมองสร้อยคอบนมือ

   การที่สร้อยคอเส้นนี้ปรากฏขึ้น....ก็หมายความว่า....

   “คัลดิช” เขาเอ่ยเรียกหนึ่งในฝาแฝด “เมื่อเจ้ากลับมา เรามีเรื่องต้องคุยกัน” ว่าจบ เซเอลก็เดินจากไปโดยไม่รอการตอบรับ วาลเซอิคมองตามแผ่นหลังนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งสงสัย ทั้งคลางแคลงใจ และเหนือสิ่งอื่นใด...เขารู้สึกว่าเจ้าของแผ่นหลังนั้นกำลังออกห่างเขามากขึ้นทุกที....

TBC

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่8 [4/12/12]
«ตอบ #84 เมื่อ04-12-2012 19:05:22 »

โอ
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันนี่
วุ่นวายไปหมดเลย

ออฟไลน์ pooinfinity

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +140/-3
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่8 [4/12/12]
«ตอบ #85 เมื่อ04-12-2012 20:46:09 »

ผู้หญิงเป็นตัวก่อชนวนอะไรๆทุกครั้งเลยยย

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่8 [4/12/12]
«ตอบ #86 เมื่อ04-12-2012 21:19:59 »

แลดูเรื่องจะยุ่งเหยิง

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่8 [4/12/12]
«ตอบ #87 เมื่อ04-12-2012 23:46:05 »

งงอ่า =[]=! สร้อยมาอยู่กับผู้สาวคนนั้นได้อย่างไร
ตอนนี้น้องวาลเท่มากมาย ^^ เซเอลก็ยังใจอ่อนเหมือนเดิม
รอตอนหน้าจ้า o13

ออฟไลน์ phakajira

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่8 [4/12/12]
«ตอบ #88 เมื่อ05-12-2012 09:04:20 »

สนุกมากกกกก.  พี่แต่งเก่งมากๆเลย >.<. ชอบทุกตัวละครมากๆ.  มีมิติทุกคนน. รอต่อไป สู้ๆนะคะ

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่8 [4/12/12]
«ตอบ #89 เมื่อ05-12-2012 09:15:38 »

ซับซ้อนจัง อ่านแล้วปวดหัวนิดๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด