ปฏิญญารัตติกาล บทส่งท้าย [28/01/13]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ปฏิญญารัตติกาล บทส่งท้าย [28/01/13]  (อ่าน 96354 ครั้ง)

ออฟไลน์ pharm

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่8 [4/12/12]
«ตอบ #90 เมื่อ05-12-2012 12:46:29 »

อ๊ากๆๆ   :z3:

มาต่อเร็วๆนะ รออยู่ๆ :L2:

แล้วเอลยาหายไปไหนนี่ไปอยู่กับผีหรอ ที่บอกว่าลูบท้องเอลยาท้องแล้วหรอ

ใครกันหรือวาลเซอิค  :3125: ไม่เดาละรอตอนต่อไปดีกว่า

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่9 [9/12/12]
«ตอบ #91 เมื่อ09-12-2012 16:14:01 »

ตอนที่ 9 วันวานที่ผ่านพ้น


   กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว นานแสนนาน....จนไม่มีใครจดจำได้ เคยมีดินแดนแห่งหนึ่งซึ่งถูกปกครองโดยขุนนางเจ้าที่ดินผู้มั่งคั่ง ภรรยาผู้งดงาม และบุตรชายผู้เป็นที่รัก บริวารแวดล้อมล้วนแต่จงรักภักดี ผืนดินแห่งนี้อุดมสมบูรณ์มีผลผลิตมากมายแทบตลอดทั้งปี พวกเขามีทุกสิ่งอย่างที่ใจปรารถนาไม่เคยขาดตกบกพร่อง มีชีวิต...ราวกับนิยายที่เปิดฉากด้วยรอยยิ้ม

   จนกระทั่งวันหนึ่ง...เงามืดก็เข้าครอบคลุมทุกความสุขที่เคยมี

   เมื่อหญิงสาวผู้เป็นที่รักของทุกคนล้มป่วยลงด้วยโรคที่ไม่มีทางรักษา

   ขุนนางเจ้าของที่ดินตกอยู่ในความทุกข์เศร้า เช่นเดียวกับทุก ๆ คนซึ่งรับรู้ข่าวนี้ มันแพร่กระจายไปจากคนในปราสาทจนถึงคนงานในที่ดิน ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีเสียงหัวเราะ เงาของความเศร้าเกาะกุมอยู่ในอกและฟุ้งกระจายในบรรยากาศ นายหญิงผู้อ่อนโยนกำลังก้าวเข้าใกล้ความตายเข้าไปทุกขณะโดยไม่มีทางช่วยเหลือเยียวยาได้ ทำได้เพียงบรรเทาความเจ็บปวดไปเรื่อย ๆ เท่านั้น

   นับแต่นั้น ขุนนางเจ้าที่ดินก็เปลี่ยนไป...

   เขาเก็บตัวหมกมุ่นกับบางสิ่งบางอย่าง มีเพียงที่ปรึกษาใกล้ชิดและหมอยาเท่านั้นที่เข้าพบได้ บรรยากาศในปราสาทเริ่มไม่ชอบมาพากล แต่สถานการณ์ก็ดำเนินไปเช่นนั้นจากเดือนเป็นปี ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง นายหญิงยังคงอาการหนักขึ้นเรื่อย ๆ และขุนนางผู้นั้นก็ยังคงเก็บตัวเงียบในปราสาท

   สิ่งผิดปกติเริ่มปรากฏเค้าลางขึ้น...

   ปราสาทประกาศรับสมัครคนทำงาน ทำให้คนงานในไร่และนอกกำแพงที่หวังจะมีชีวิตที่ดีขึ้นพากันก้าวเข้าสู่ปราสาทนั้นพร้อมความฝันอันสวยงาม

   แต่ไม่มีใครส่งข่าวคราวกลับมาอีกเลย...

   กระนั้นก็ไม่มีใครนึกสนใจ เพราะหลังจากนายหญิงล้มป่วยลง ปราสาทก็คล้ายกับจะตัดขาดจากโลกภายนอกอยู่แล้ว

   คงไม่มีใครรู้ว่าภายในปราสาทแห่งนั้น ขุนนางเจ้าของที่ดินค้นพบตัวยาบางอย่างจากการศึกษาศาสตร์มากมายเพื่อรักษาอาการของภรรยาแสนรัก เขาจึงได้ลงมือทดลองยาหลายขนานด้วยความช่วยเหลือจากหมอยาและนักคิดค้นของปราสาท

   ยามากมาย...แต่ละมื้อ...แต่ละวัน ล่วงผ่านลำคออันแห้งผากของนายหญิงซึ่งบัดนี้แทบจะไม่หลงเหลือความงดงามสดใสอย่างที่เคยเป็น ราวกับดอกไม้เหี่ยวแห้งที่ใกล้โรยรา แม้จะรดน้ำลงไปเท่าใดก็ไม่อาจช่วยให้กลีบดอกเหล่านั้นฟื้นกลับมาเบ่งบานได้อีก กระนั้นขุนนางเจ้าของที่ดินก็คาดหวังว่าสักวันหนึ่ง...สักตัวยาหนึ่งจะได้ผล และภรรยาของตนจะหายดีดังเดิม

   บุตรชายซึ่งโตพอจะเข้าใจเรื่องต่าง ๆ แล้วได้แต่มองดูบิดาซึ่งปล่อยตัวเองให้จมลงไปกับความโง่เขลาเพราะปรารถนาจะยื้อชีวิตที่ใกล้จะหลุดลอยเอาไว้

   แม้ว่า...จะเห็นหลายชีวิตต้องถูกสังเวยเพื่อตัวยาหลายขนานนั้น เขาก็ได้แต่มองดูด้วยไม่อาจทำสิ่งใดได้

   บางทีเสี้ยวหนึ่งในใจของเขา....ก็คงปรารถนาเช่นเดียวกับผู้เป็นบิดา บิดเบี้ยว...และถูกครอบงำด้วยความต้องการที่ไม่อาจเป็นจริง

   ผู้คนจากภายนอกหลั่งไหลเข้ามา และค่อย ๆ หายตัวไปทีละคน...ทีละคน

   กลิ่นอายของจิตใจที่ผิดเพี้ยนโชยคลุ้งไปทั่วปราสาทซึ่งเคยสงบสวยงาม

   เหตุการณ์ดำเนินไปอย่างนั้นอยู่นานโดยต่างคนต่างก็เฝ้ามองในจุดของตนเอง

   ซากศพถมกองในหลุมดินที่ขุดไว้จนลึก คล้ายหลุมฝังขยะมากกว่าหลุมศพ....

   อีกาบินวนอยู่เหนือปราสาทให้รู้สึกวังเวง สรรพสีสันจางหายไปจากปราสาทแห่งนี้จนหมดสิ้น และเริ่มมีข่าวลือแปลกประหลาดแพร่ออกไปภายนอก ซึ่งก็ไม่น่าแปลก...คนหายตัวไปมากมายขนาดนี้แล้ว หากไม่สังเกตเลยจะน่าประหลาดใจเสียกว่า

   แต่ข่าวลือก็ไม่ได้ทำให้สิ่งใดเปลี่ยนแปลง ยังคงมีคนเดินทางเข้ามาในปราสาทคนแล้วคนเล่า รวมถึง...สิ่งนั้น...ซึ่งทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปตลอดกาล...

-------------------------->

   เซเอลทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง ไม่ได้จับจ้องที่จุดใด แค่เพียงทอดสายตาออกไปอย่างไร้จุดหมาย ปลายนิ้วของเขาลูบคลึงจี้สีทองซึ่งร้อยอยู่กับสายสร้อยเส้นเล็ก รอยนูนทำให้รู้สึกสะดุดเวลาที่ลูบผ่านไป แต่มันกลับไม่อาจเรียกสติที่หลุดลอยของเซเอลคืนมาได้

   “เจ้าทำอะไรอยู่ตรงนี้?” เสียงหญิงสาวคนหนึ่งทำให้เด็กหนุ่มผู้เฝ้ามองภาพนั้นสะดุ้งและหันกลับมา

   “เซเอลไม่ยอมให้ข้าเข้าไปในนั้น” วาลเซอิคตอบแล้วถอนหายใจ “ข้าไม่รู้ว่าทำไม....ข้าไม่รู้อะไรเลย แต่เขาเองก็ไม่ต้องการบอกอะไรข้าเช่นกัน”

   อาร์วิน่าหรี่ตามองเด็กหนุ่มก่อนจะเลื่อนไปทางประตูซึ่งเปิดแง้มอยู่เล็กน้อย เธอคิดว่าตัวเองเข้าใจว่าทำไมเซเอลจึงไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ คงจะเป็น....ภาพในอดีตที่ซ้อนทับปัจจุบัน การสูญเสียคนที่รักและไม่อาจยุดยื้อเอาไว้ได้ การต้องเผชิญกับเหตุการณ์แบบนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้หัวใจค่อย ๆ ผุพังอย่างไร้ทางเยียวยา การไม่พูดถึงมันและลืมเลือนมันเสียอาจจะเป็นทางที่ดีที่สุดสำหรับเซเอล...และพวกเขาทุกคนที่ล้วนแต่เคยพานพบประสบการณ์เช่นนั้น ตลอดช่วงชีวิตอันยาวนาน...หัวใจของพวกเขาถูกกัดกินจนแตกสลาย....

   “เจ้าเองก็สงสัยนายท่านเรื่องผู้หญิงที่มนุษย์คนนั้นตามหาใช่หรือเปล่า?”

   วาลเซอิคสะดุ้ง ก่อนจะพยักหน้ารับ

   “สร้อยนั่นมีตราของตระกูลลาห์โคเวีย จะให้ข้าคิดอะไรได้อีก”

   “นั่นสินะ เรื่องนั้นข้าเองก็สงสัยเหมือนกัน” หญิงสาวกลอกตา “แต่ข้าไม่ได้สงสัยในประเด็นเดียวกับเจ้าหรอก วาลเซอิค เพราะสร้อยเส้นนั้นไม่เคยกลับมาหานายท่านเลยนับแต่เขาให้มันกับคน ๆ หนึ่งไป เมื่อมันปรากฏขึ้นอีกครั้ง...ข้าเองก็ยังนึกเหตุผลที่เหมาะสมไม่ออก”

   “เคยให้กับ...คน ๆ หนึ่ง?”

   ใครกัน?

   แล้วคน ๆ นั้นเกี่ยวข้องกับเอลยายังไง? เกี่ยวข้องกับเซเอลยังไง?

   “ตอนนี้มีคนเดียวที่รู้คำตอบนั้นกระมัง...” พร้อมกับที่กล่าวเช่นนั้น อาร์วิน่าก็เลื่อนสายตาไปยังทางเดินซึ่งปรากฏร่างของคัลดิชที่กำลังก้าวเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ สีหน้าของเจ้าตัวไม่สู้ดีนัก เหมือนกับมีความไม่พึงพอใจฉาบอยู่กับความกังวล และโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา คัลดิชก็เลี้ยวเข้าห้องก่อนปิดประตูเหมือนกับว่าไม่ต้องการให้คนนอกคนใดรู้เรื่องที่พวกเขาจะสนทนากันต่อจากนี้ไป

   คัลดิชรู้อะไรบางอย่างหรือ?

   จะว่าไป...ตอนที่สร้อยนี้หลุดจากกระเป๋าเสื้อของอัลเรส คัลดิชเป็นคนที่มีปฏิกิริยามากที่สุดและชัดเจนที่สุด เจ้าตัวดูเหมือนจะมีความขุ่นเคืองต่อบางสิ่งบางอย่างที่เกี่ยวกับสร้อยเส้นนี้

   แล้วเซเอลล่ะ? รู้สึกยังไงเมื่อมันปรากฏขึ้น...

   ความเงียบเฉยและเย็นชานั้นเป็นสัญญาณว่ามีบางสิ่งบางอย่างกระทบลงบนจิตใจของอีกฝ่าย

   ทางเดียวที่เขาจะรู้ได้....คงเป็นการเฝ้ารอ...อยู่ตรงนี้

--------------------------------->

   ประตูถูกหับปิดลง ร่างโปร่งที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างก็ยังคงนิ่งไม่ไหวติง

   คัลดิชสาวเท้าเข้าไปใกล้ และยืนนิ่งรอจนกระทั่งเซเอลเอ่ยขึ้นโดยไม่หันกลับมา

   “เจ้าบอกข้าว่านางตายแล้ว”

   คัลดิชตอบกลับด้วยความเงียบ ดวงตาสีแดงกลอกไปทางหนึ่ง

   “เจ้าบอกข้าว่านางตายแล้ว คัลดิช และข้าก็เชื่อเจ้า” เซเอลหมุนตัวกลับมาหา ดวงตาคู่นั้นทอประกายแข็งกร้าว “ของชิ้นนี้เป็นของขวัญที่ข้ามอบให้นางเพียงผู้เดียว หากนางตายไปแล้วมันจะปรากฏออกมาได้ยังไง หรือข้าเป็นแค่คนโง่เขลาที่ถูกเจ้าตบตามาโดยตลอด”

   “....นางตายแล้ว” ชายหนุ่มยืนยันคำเดิม เหมือนที่เคยพูดไว้เมื่อ 18 ปีที่แล้ว

   ทันใดนั้นก็บังเกิดลมกระแทกบานหน้าต่างเปิดอ้าและปะทะกับบรรยากาศภายในห้องเกิดเป็นสายลมรุนแรงหมุนวนอยู่ครู่หนึ่งก่อนสลายตัวไป เซเอลยืนนิ่ง ดวงตาสีเลือดเปล่งประกายเรืองรองในความมืด

   “ข้าให้โอกาสเจ้าตอบอีกครั้ง คัลดิช ในวันนั้น...นางได้ตายในกองเพลิงหรือไม่?”

   กับคำถามนั้น คัลดิชกลับผุดรอยยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มเย้ยหยันประสมกับสังเวชใจ

   “ไม่ใช่....ในฐานะมนุษย์”

   ปึง!

   ฝ่ามือกระแทกลงบนโต๊ะก่อให้เกิดเสียงสั้น ๆ แต่ก้องกังวาน

   “เกิดอะไรขึ้น บอกข้ามาให้หมด” น้ำเสียงของเซเอลไม่ได้สุขุมเยือกเย็นอย่างเคย

   คัลดิชเห็นว่าถึงขั้นนี้แล้วจะปิดบังไปก็เปล่าประโยชน์ จึงได้แต่ถอนหายใจและนึกย้อนกลับไปในวันนั้น...วันที่สงบเหมือนอย่างทุก ๆ วัน

   ทว่า....ในวันอันสงบเงียบนั้น ทิศหนึ่งของป่ากลับมีควันไฟพวยพุ่งขึ้นมาเป็นหมอกครึ้มหนาราวกับเกิดไฟป่า มันคงจะไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรหากที่บริเวณนั้นไม่ใช่จุดที่มีบ้านหลังหนึ่งตั้งอยู่ บ้าน...ที่ถูกสร้างขึ้นสำหรับครอบครัวเล็ก ๆ ครอบครัวหนึ่ง ผู้ชาย ผู้หญิง และลูกซึ่งเพิ่งจะเกิดได้ไม่นาน

   พวกเขาเร่งรุดไปยังบ้านหลังนั้น แต่กลับพบว่าไฟได้แผดเผาไปทั่วทุกแห่งและไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตใด ๆ เซเอลออกคำสั่งให้เขา คัลมาร์ และอาร์วิน่าแยกย้ายกันไปตามหารอบบริเวณ

   คงเป็นโชคร้ายของเขาเองที่ไปถูกทิศ....

   สถานที่ที่เขาไปถึงและพบว่าผิดสังเกตคือกระท่อมหลังหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นอย่างลวก ๆ ตรงชายป่า มนุษย์ที่เข้าป่าล่าสัตว์บางครั้งจะมาแวะพักที่นี่ แต่ไม่ใช่...กลุ่มมนุษย์แบบนี้...

   กลุ่มคนจำนวนมากมุงกันนอกกระท่อม และข้างในก็มีแสงไฟลอดออกมาจากร่องระหว่างซี่ไม้ที่หดตัวไปตามกาลเวลา เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้ คนเหล่านั้นก็ตัดสินว่าเขาเป็นศัตรูทันทีด้วยการก้าวเข้ามาพร้อมอาวุธ คงหมายปิดปากเขาอยู่กระมัง? น่าเสียดายที่เลือกคู่ต่อสู้ผิดคน แค่ออกกำลังเล็กน้อย มนุษย์ที่อาวุธพร้อมมือก็ล้มลงไปราวกับใบไม้ร่วง ไม่มีใครแม้สักคนเดียวที่ขวางทางเขาเอาไว้ได้

   เสียงเอะอะข้างนอกคงจะดังเข้าไปถึงข้างใน จึงมีคนถืออาวุธออกมาอีก แต่คราวนี้บางคนสวมเสื้อผ้าไม่ค่อยจะเรียบร้อยนัก

   เขาเองไม่ได้นึกใส่ใจในตอนแรก แค่เพียงจัดการมนุษย์ที่บังอาจหันดาบมาทางเขาเท่านั้น ใช้เวลาเพียงไม่นานเขาก็ไปถึงประตูกระท่อมที่เปิดอ้า และทันทีที่มองเข้าไปข้างใน เขาก็ได้เห็นร่างของชายคนหนึ่งนอนจมกองเลือดอยู่ ไม่ต้องเดาก็รู้ได้โดยทันทีว่าร่างนั้นสิ้นลมหายใจไปนานแล้ว แต่ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่าคืออีกมุมหนึ่ง หญิงสาว...ที่ดูคุ้นตานอนราบอยู่ และบนร่างนั้นมีผู้ชายร่างเปลือยเปล่าทาบทับ รอบข้างมีผู้ชายอีกหลายคนที่อยู่ในสภาพเดียวกัน พวกเขาต่างไม่ได้อยู่ในสภาพที่พร้อมยกดาบขึ้นสู้แม้แต่น้อย

   ตัวเขาไม่ได้นึกสนใจคนพวกนี้ที่พากันถอยไปที่ผนังเพราะเห็นสิ่งที่เขาทำเอาไว้ข้างนอก คนเหล่านั้นคงรู้ได้โดนสัญชาตญาณว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาและไม่ควรต่อกร

   ก็ถือว่ายังมีสมองอยู่บ้าง...

   ผู้ชายที่ทาบทับบนร่างของหญิงสาวถอยออกมาทั้งที่ยังไม่เสร็จสมอารมณ์หมาย ในสายตาของเขาแล้วมันช่างน่าสมเพชเสียจริง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดว่าคนเหล่านี้จะรอดชีวิตไปได้นาน เพราะหญิงสาวที่พวกเขาทำร้ายนั้นมีความหมายมากกว่าที่คิดเอาไว้ แต่อย่างไรมันก็ไม่ใช่ธุระของเขา หน้าที่ของเขามีเพียงการตามหาผู้หญิงคนนี้....ที่นายท่านมอบความรู้สึกพิเศษให้ กับสามีของเธอ....ซึ่งตอนนี้นอนจมกองเลือดอยู่อีกฝากหนึ่ง

   แล้วเขาควรทำยังไง?

   มันช่างน่ารำคาญใจเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ก่อนอื่นควรจะนำหญิงสาวกลับไปก่อนกระมัง? ซึ่งเขาคิดและทำตามนั้น ด้วยการเดินไปหาร่างบอบบางซึ่งนอนแน่นิ่งไร้อาภรณ์ปกปิด ดวงตาคู่นั้นเลื่อนลอยไร้สติ

   ไม่น่าแปลก...

   การที่ต้องสูญเสียทั้งลูกและสามี อีกทั้งยังถูกย่ำยีอย่างนี้ ใครเล่าจะคงสติเอาไว้ได้

   ในช่วงที่เขากำลังจะก้มลงไปพยุงร่างนั้นขึ้นมา ก็มีดาบเล่มหนึ่งวาดลงจากเหนือศีรษะ ในจังหวะที่เขาหันกลับมาเพื่อป้องกันตัวนั้นเอง กลับเกิดเหตุการณ์ที่เขาไม่ทันได้คาดหมาย

   หญิงสาวที่ควรจะสูญสิ้นสติสัมปชัญญะกลับลุกพรวดขึ้นมา คว้าแขนของเขาไว้ก่อนขย้ำฟันลงบนหลังมือ!

   เขี้ยวทื่อ ๆ ของมนุษย์คงไม่น่ากลัวนัก หากว่ามันไม่ได้ขย้ำลงมาสุดแรงเกิดอย่างไร้สติอย่างนี้ เนื้อส่วนหนึ่งถูกกระชากออกพร้อมเลือดสีแดงสดที่พุ่งออกมา ทุกสรรพสิ่งหยุดความเคลื่อนไหว ทุกสายตามองมาด้วยความตกตะลึงแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังอดตกใจไม่ได้

   เธอดื่มกินเลือดของเขาราวกับสัตว์ป่าโดยที่เขาไม่อาจห้ามได้ทัน

   และทันใดนั้น...ร่างกายของเธอก็เกิดการเปลี่ยนแปลง เธอทรุดฮวบลงไปบนพื้นราวกับว่าเรี่ยวแรงทั้งหมดถูกสูบหายไปอย่างกะทันหัน ลมหายใจหอบถี่กระชั้นอย่างทรมาน ภายในร่างกายของเธอคงกำลังเจ็บปวดทุรนทุรายเหมือนถูกทิ่มแทงและฉีกกระชาก ทำไมเขาถึงรู้น่ะหรือ....

   ...เพราะว่าเขา....เคยผ่านมันมาก่อนน่ะสิ

   ในตอนที่ร่างกายที่เคยเป็นเยี่ยงมนุษย์ทั่วไป....ได้เปลี่ยนกลายเป็นร่างกายของปีศาจที่มีเลือดเนื้อ...

   หญิงสาวแน่นิ่งไปอีกครั้ง ไม่ไหวติง ไม่มีสัญญาณของชีวิต

   คงเพราะทุกอย่างนิ่งสงบเกินไป กลุ่มมนุษย์เดนตายนั้นจึงเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งด้วยการตวัดดาบเข้าใส่เขา และเพราะเขายังตะลึงกับเรื่องเมื่อครู่จึงปัดป้องด้วยการหลบฉากไปอีกทางหนึ่ง เปิดโอกาสให้คนเหล่านั้นบุกเข้าใกล้ตัวหญิงสาวที่แน่นิ่งไปนั้น ทว่า....พวกนั้นคงไม่รู้ว่าคิดผิด

   เพราะทันใดที่มือข้างหนึ่งเอื้อมไปแตะบนร่างนั้น ดวงตาที่ปิดลงก็เปิดขึ้นอีกครั้งพร้อมประกายสีแดงราวกับสีเลือด

   และหลังจากนั้น....ระบำโลหิตก็บังเกิดขึ้น....

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่9 [9/12/12]
«ตอบ #92 เมื่อ09-12-2012 16:14:49 »

   เพียงไม่กี่นาที ผู้ชายนับสิบที่ออกันอยู่ในกระท่อมก็เหลือเพียงร่างไร้วิญญาณ คบไฟที่ถูกวางพิงไว้ข้างผนังล้มลงมาตั้งแต่เมื่อใดไม่อาจรู้ได้ และเปลวไฟนั้นก็เริ่มลามแผดเผาไปตามแนวของไม้ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ภาพของหญิงสาวที่แสยะยิ้มด้วยดวงตาเลื่อนลอยท่ามกลางเปลวเพลิงและเลือดที่สาดกระเซ็นยังติดตรึงในความทรงจำของเขา ก่อนที่เธอจะพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาตามออกมา เธอก็หายไปกับความมืดเสียแล้ว

   กระท่อมหลังนั้นถูกไฟลามเลียและพังทลายลงพร้อมกับซากศพที่อยู่ภายในนั้น เขาไม่เห็นว่าตนเองจะทำอะไรได้อีกจึงได้แต่โยนศพทั้งหมดเข้ากองไฟและกลับไปหาเซเอล

   บาดแผลของเขาสมานตัวอย่างรวดเร็ว จึงไม่มีใครนึกสงสัยในสิ่งที่เขาพูด...ที่ว่าเขาไปช้าเกิน และเธอคนนั้นได้ตายในกองไฟไปแล้ว อีกทั้งเธอคนนั้นไม่ได้รับการสอนสั่งให้มีชีวิตในฐานะผู้ต้องสาป อีกไม่นานเธอก็คงตายไปเองไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เขาจึงไม่เคยคิดว่าเรื่องจะแดงขึ้นมา

   จนกระทั่งในวันนี้...

   ทันใดที่เขาเล่าจบ กรงเล็บข้างหนึ่งก็พุ่งเข้าที่คอของเขาก่อนออกแรงบีบจนแน่น ดวงตาสีแดงเลือดเปล่งประกายโทสะออกมาอย่างชัดแจ้ง

   “ทำไมเจ้า....ถึงไม่บอกความจริงกับข้า!” เซเอลเค้นเสียงตะคอกอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

   “...เพื่ออะไรกันล่ะ?” คัลดิชย้อนถามราวกับว่าตนเองไม่ได้ทำสิ่งใดผิด “เพื่อให้ท่านออกตามหานางและใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขเหมือนในนิยายประโลมโลกน่ะหรือ?”

   “อย่ามายอกย้อนข้านะ”

   “ท่านจะสละอีกเท่าไหร่เพื่อความรักไร้ค่านั่น!” คัลดิชขึ้นเสียงพร้อมตวัดมือปัดแขนเซเอลออกไป “นางไม่ได้มองท่านเสียด้วยซ้ำ แล้วคิดดูสิว่าท่านเสียอะไรไป ท่านสละพลังอำนาจ ความเป็นอมตะ การดื่มกินเลือดมนุษย์ก็เพื่อนาง จนถึงตอนนี้ท่านเหลืออะไรอยู่บ้าง? อีกอย่าง ที่มันเป็นแบบนี้ก็เพราะความผิดของท่าน เพราะท่านเคยบอกกับนางว่าเลือดของเราคือเครื่องมือที่นำคำสาปไปสู่ชีวิตอื่นได้! แล้วเมื่อพบกันอีกครั้งท่านจะทำยังไง? พยายามเข้าไปในหัวใจของนางที่เสียสติไปแล้วน่ะหรือ?”

   “ข้าช่วยนางได้” เซเอลตอบในทันที

   “ยังไงล่ะ? อีกไม่นานท่านก็จะ.....” แม้จะอยากพูดแต่เขาก็เบรกตัวเองเอาไว้แล้วกลืนคำเหล่านั้นลงคอไป “...ท่านคิดว่าตัวเองมีเวลาเหลืออีกเท่าไหร่ มองดูปราสาทหลังนี้สิ ท่านน่าจะได้สติได้แล้ว!”

   กับคำพูดนี้ เซเอลไม่อาจตอบโต้อะไรได้ ปราสาทหลังนี้กำลังทรุดโทรมลง...แน่นอนว่าสรรพสิ่งไม่อาจอยู่ยืนยง ทว่าไม่ใช่ผู้ต้องสาปเช่นพวกเขา ปราสาทหลังนี้...อยู่ได้ด้วยพลังอำนาจของเขา แต่ตอนนี้มันกำลังสะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอและโรยรา...

   “ข้าไม่เห็นด้วยตั้งแต่ท่านรับเด็กคนนั้นมาเลี้ยงแล้ว ถึงจะเป็นลูกของนางก็ใช่ว่าท่านจำเป็นต้องรับผิดชอบ แต่เหตุผลที่ท่านนำเขามาเลี้ยง...ก็เพราะเขาคือตัวแทนของนาง...”

   “คัล....”

   “ข้าคือตัวแทนของใคร?”

   เสียงของบุคคลที่สามซึ่งไม่ควรมีอยู่แทรกระหว่างบทสนทนาของทั้งสอง เซเอลและคัลดิชตวัดสายตาไปยังประตูก่อนพบว่าวาลเซอิคยืนอยู่ที่นั่น

   “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ข้าจำได้ว่าไม่ได้อนุญาตให้เจ้าเข้ามาที่นี่” เซเอลตอบปัดและพูดเหมือนพยายามจะกันอีกฝ่ายออกจากบทสนทนาตรงหน้า

   “พวกท่านกำลังพูดเรื่องของข้าอยู่....หรือไม่จริง?” วาลเซอิคกวาดสายตาไปทางคัลดิชซึ่งกำลังตีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกก่อนจะกวาดกลับมาทางเซเอล “เรื่องราวของข้าที่ท่านปิดบังมาโดยตลอด ทำไมกัน? ข้าเคยเชื่อว่าท่านมีเหตุผลถึงได้ไม่เคยถามเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ตอนนี้ข้าไม่เข้าใจท่านเลยสักนิด ท่านไม่แยแสมนุษย์ ท่านไม่สนใจด้วยซ้ำหากว่าอัลเรสจะถูกฆ่าที่นั่น แล้วทำไมถึงมีเพียงข้าที่ท่านรับมาอุ้มชู?”

   ไม่ใช่อาหาร...

   ไม่ใช่สัตว์เลี้ยง...

   แต่เลี้ยงดูเฉกเช่นที่มนุษย์ทั่วไปเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งเท่าที่พวกเขาจะทำได้

   ทำไม...จึงต้องทำถึงขนาดนั้นเพื่อเด็กคนหนึ่งที่สูญเสียพ่อแม่ของตนเองไปโดยไม่ทราบสาเหตุ เพราะเขากำพร้าหรือ? หรือเพราะข้าโชคร้าย แต่ในโลกนี้ก็มีคนที่โชคร้ายกว่าเขาอยู่มากมาย คนที่สูญเสียพ่อแม่ สูญสิ้นญาติมิตร ไร้ซึ่งผู้ปกป้องคุ้มครอง

   หรือเพราะเขา...เหมือนกับใครบางคน...

   “ท่านควรจะพูดความจริงได้แล้วกระมัง ไม่คิดหรือว่าท่านได้แบกความลับนั้นไว้นานเกินไปแล้ว” อาร์วิน่าก้าวมายืนข้างวาลเซอิค “อย่างน้อยตอนนี้ท่านก็ได้รู้ความจริงเกี่ยวกับหญิงคนนั้น ไม่คิดหรือว่าวาลเซอิคควรได้รู้ความจริงเกี่ยวกับครอบครัวของเขาด้วย”

   “ครอบครัวข้า?” วาลเซอิคมุ่นคิ้วมองอาร์วิน่าสลับกับเซเอลด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม

   ชายหนุ่มผมเงินถอนหายใจ น้อยครั้งที่จะได้เห็นกริยาเช่นนี้ปรากฏออกมา เป็นท่าทางของความเหนื่อยใจและกังวลจนสังเกตได้

   “พวกเจ้าออกไปให้หมด” เขาออกคำสั่ง “ยกเว้นเจ้า วาลเซอิค”

   คัลดิชไม่ได้เสียเวลาลังเลกับคำสั่งเลย เขาสบตาอาร์วิน่าและเดินออกไปเป็นคนแรกตามด้วยหญิงสาวที่ตามเข้ามาสมทบตอนหลัง

   แค่ไม่ถึงนาที ภายในห้องก็เหลือแค่เซเอล วาลเซอิค และบานประตูที่ปิดสนิท

   เสียงฝีเท้าของบุคคลทั้งสองห่างออกไปเรื่อย ๆ แน่นอน...เช่นที่อาร์วิน่าเคยบอก ในปราสาทหลังนี้ไม่มีใครอยากจะก้าวก่ายเรื่องของผู้อื่น และไม่มีใครอยากให้ผู้อื่นมาก้าวก่ายเรื่องของตนเอง

   เซเอลโบกมือวูบ หน้าต่างที่ถูกลมภายนอกกระแทกเปิดก็หับปิดลง เขาหมุนตัวเดินไปยังเก้าอี้ที่ใช้นั่งเป็นประจำก่อนทิ้งตัวนั่งและใช้สีหน้าครุ่นคิดกับตนเอง วาลเซอิคได้แต่มองอยู่เงียบ ๆ เพื่อเฝ้ารอให้อีกฝ่ายพูดอะไรบางอย่างออกมา เขาไม่ต้องการเป็นฝ่ายเริ่ม เพราะความสงสัยต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่อัดแน่นในตัวของเขาคงจะพรั่งพรูออกมาไม่ต่างกับน้ำหลากเป็นแน่

   “บางครั้ง ข้าก็ชอบไปเดินในหมู่บ้านอย่างที่เจ้ารู้ สมัยก่อนพวกเรายังดื่มกินเลือดมนุษย์เป็นอาหารหลักจึงมักจะเข้าไปที่นั่นเป็นประจำโดยไม่ให้ใครสังเกตเห็น แต่ถึงอย่างนั้นรูปลักษณ์ของข้าก็ดูโดดเด่นจนยากจะปิดบังตัวตนได้ตลอดเวลา และหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเป็นหนึ่งในหลาย ๆ คนที่พบเห็นข้าโดยบังเอิญนั้น....นางมีชื่อว่า ริเรีย” ในขณะที่เอ่ยชื่อนั้นออกมา สายตาของเซเอลก็ทอประกายอย่างอ่อนโยน “นางไม่ใช่คนสวยจนสะดุดตา แต่ถึงอย่างนั้นข้ากลับติดใจนางเป็นพิเศษ”

   ไม่ว่าในยุคสมัยของเขาหรือตอนนี้ ภาพที่ไม่แตกต่างกันเลยก็คือภาพของผู้หญิงในอุดมคติซึ่งต้องสวยงามราวกับดอกไม้ เรียบร้อยและนอบน้อม แต่ริเรียกลับไม่ใช่เช่นนั้น เธอเป็นคนที่จัดว่าน่ามองแต่ไม่ถึงกับสวยงามไปทุกกริยา แม้จะมีอุปนิสัยเรียบร้อยแต่ก็ไม่ใช่คนที่ยอมอยู่ภายใต้คำสั่งของใคร เธอฉลาดและรักอิสระ ด้วยเหตุนั้นจึงมักพบเธอมีปากเสียงกับพ่อแม่เรื่องชีวิตของเธอเองอยู่เสมอ แม้ว่าไม่เคยเรียนหนังสือเป็นกิจจะลักษณะแต่ริเรียก็รักการอ่าน เธอมักจะแอบไปขอเรียนกับผู้นำทางจิตวิญญาณของหมู่บ้าน และทำงานเพื่อหาเงินมาซื้อหนังสือเก็บไว้ ทำให้เธอมีความคิดความอ่านมากกว่าหญิงสาวคนอื่น ๆ

   เรื่องนี้ทำให้พ่อแม่ของเธอไม่พอใจนักเพราะผู้หญิงที่รู้มากเกินไปมักไม่ต้องตาผู้ชาย พวกเขามองว่าผู้หญิงเหล่านี้จะไม่อยู่ในโอวาทและเป็นอุปสรรคต่อการเป็นเสาหลักของบ้านของพวกเขา

   ทว่าในสายตาของเซเอล...เธอมีความแตกต่างนี้เป็นเสน่ห์ที่ไม่อาจละสายตา

   เมื่อเธอมีปากเสียงกับผู้ชายในหมู่บ้าน การพูดจาของเธอมักจะเป็นเหตุเป็นผลและถ่ายทอดออกไปด้วยความมั่นใจทำให้ไม่มีใครสามารถโน้มน้าวให้เธอเป็นอย่างที่พวกเขาต้องการได้

   “ข้ามักจะมองดูนางอยู่ห่าง ๆ โดยไม่ได้เข้าไปใกล้ ถึงอย่างนั้นนางก็รับรู้ได้ถึงการมีตัวตนของข้า เพราะนางมักจะมองออกมานอกหน้าต่างในตอนกลางคืนและทิ้งจดหมายเอาไว้ด้านนอกก่อนเข้านอน วพกเราจึงเริ่มติดต่อกันด้วยจดหมายและประโยคสั้น ๆ ตั้งแต่ตอนนั้น”

   ทีละฉบับ ทีละข้อความ ที่พวกเขาถ่ายทอดให้แก่กันและกันเสมือนการเชื่อมสายโซ่เล็ก ๆ ทีละข้อ เมื่อรู้ตัวอีกครั้ง เซเอลก็พบว่าตนเองกำลังเฝ้ารอจดหมายของรีเรียอย่างใจจดใจจ่อในทุก ๆ วัน

   “จนกระทั่งวันหนึ่ง...ก็มีชายอีกคนปรากฏตัวขึ้น” เซเอลหรี่ตาลงแต่ไม่ได้มีวี่แววความไม่พอใจ “เขาโซซัดโซเซมาที่ป่าของข้า เนื้อตัวมีแต่บาดแผลและความอิดโรย ในสายตาของข้าเขาคืออาหารที่มาป้อนถึงปาก แต่ข้ากลับไม่สามารถดื่มเลือดของเขาได้ เพราะข้ารู้สึก...ถึงบางสิ่งที่คุ้นเคย”

   “บางสิ่งที่คุ้นเคย?” วาลเซอิคทวนคำในคอ

   “เจ้าอาจจะไม่รู้แต่โดยระบบขุนนางมักจะมีการแต่งงานทางการเมืองบ่อยครั้ง ครอบครัวข้าเองก็อยู่ในวังวนนั้น ใช่...เขาคือญาติห่าง ๆ ของข้า ถึงแม้จะผ่านมาหลายชั่วอายุคนและข้าไม่เคยรู้จักเขาหรือต้นตระกูลของเขามาก่อน แต่สายเลือดของลาห์โคเวียก็ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขา” ดวงตาสีเลือดกลอกไปนอกหน้าต่าง ที่ซึ่งมีแต่ความมืดและความแห้งแล้งโรยรา “อย่างไรข้าก็ไม่อาจปล่อยให้เขาตายไปตามยะถากรรมได้ จึงได้พาเขาไปที่บ้านของนาง...เพื่อให้นางช่วยดูแลรักษาเขาจนกว่าจะหายดี”

   แต่ชายหญิงเมื่ออยู่ใต้ชายคาเดียวกัน ใกล้ชิดกัน ก็ย่อมมีใจปฏิพัทธ์ต่อกัน

   คนทั้งสองมีใจให้กันโดยที่ไม่มีใครทันได้สังเกต แม้กระทั่งจดหมายที่ริเรียเขียนถึงเซเอลก็มีชายหนุ่มคนนั้นเป็นหัวข้อด้วยในทุกฉบับ ซ้ำยังมีจดหมายของชายหนุ่มแนบแถมมาด้วยราวกับเป็นของคู่กันที่ไม่อาจแยกจากกันได้ ในตอนนั้น เขารู้สึก...หงุดหงิดอยู่ในใจแต่ก็ละเลยความรู้สึกเหล่านั้นไป

   “อย่างที่เจ้าน่าจะเดาได้ พวกเขาตกหลุมรักกันและกัน แต่เรื่องก็ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คิด เพราะแท้จริงแล้วชายคนนั้นหนีจากภัยการเมืองมายังที่แห่งนี้และมีคนตามล่าตัวเขาอยู่ เมื่อริเรียรู้ความจริงจึงตัดสินใจหนีออกจากบ้านพร้อมเขาเพื่อให้พ่อแม่ไม่ต้องเข้ามาพัวพันด้วย ข้าได้ให้ที่อยู่แก่พวกเขา เป็นบ้านพักร้างในป่าซึ่งอยู่ก้ำกึ่งเส้นเขตแดนของข้า ในตอนนั้น....นางก็ได้ตั้งครรภ์แล้ว”

   หญิงสาวแสนจะยินดีเมื่อพบว่าตนเองมีอีกชีวิตถือกำเนิดขึ้นในร่างกาย แต่อันตรายก็ย่างกรายเข้ามาเช่นกัน

   “นางได้ยื่นข้อเสนอกับข้า....”

   ข้อเสนอซึ่งเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขา แต่เขากลับยินดีที่ได้รับโอกาสนั้น

   โอกาส....ที่จะยืนเคียงข้างเธอคนนั้นภายใต้แสงตะวันอันสดใส อย่างน้อยให้เธอจดจำเขาเอาไว้ในแบบของมนุษย์คนหนึ่งซึ่งพร้อมจะปกป้องเธอเสมอไป

   “เพื่อที่ข้าจะมีชีวิตในแสงสว่างได้ นางจะมอบถ้อยคำซึ่งล้างคำสาปส่วนหนึ่งของข้าเพื่อแลกกับการปกป้องนางและครอบครัวของนาง แต่ข้าจะไม่อาจดื่มกินเลือดมนุษย์ได้อีก” และนั่น...ทำให้เซเอลต่างจากผู้ต้องสาปคนอื่น ๆ “บางทีนางอาจจะรู้ถ้อยคำนั้นมาจากหนังสือสักเล่มเพราะข้าไม่เคยบอกนางเลย แต่ตั้งแต่นั้นข้าก็ทำตามคำสัญญา ข้าดูแลปกป้องเขตแดนของข้าไปพร้อม ๆ กับที่อยู่ของนาง”

   ทว่า...ความสุขก็อยู่ไม่ยืนยง...

   เซเอลที่ได้รับการล้างคำสาปบางส่วนออกไปนั้นต้องพบกับการแลกเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่คือพลังอำนาจและอายุขัย เขาอ่อนแอลง...และสัมผัสไม่เฉียบคมอย่างเคย

   “แต่ข้าพลาด”

   ในวันนั้น...เขาพลาด....

   “ข้าไม่อาจปกป้องนางและชายคนรักได้ ตอนที่ข้าไปถึง บ้านหลังนั้นกำลังถูกไฟครอกจนเกือบจะถล่มลงมา ไม่มีใครอยู่ที่นั่นเลยแม้แต่คนเดียว แต่ตอนนั้นเอง...ที่ข้าได้ยินเสียงร้องของเด็กคนหนึ่ง...” เซเอลเหลือบสายตากลับมามองเด็กหนุ่มตรงหน้า “เด็กคนนั้น...ซึ่งเป็นลูกของนาง....และเขา”

TBC

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่9 [9/12/12]
«ตอบ #93 เมื่อ09-12-2012 16:26:33 »

ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง
น่าสงสารจังนะ
แล้วแบบนี้จะทำยังไงกันต่อไปล่ะ

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่9 [9/12/12]
«ตอบ #94 เมื่อ09-12-2012 21:23:45 »

สุดท้ายวาลเซอิคก็รู้ความจริงแบบไม่ได้ตั้งใจจนได้ -*-
สงสารเซเอลอ่า เสียสละมากมาย หรือว่าจะเป็นเพราะความแสดงออกไม่เก่งทำให้ผู้สาวนางนั้นโดนผู้ชายคนอื่นคว้าไป T-T
เรื่องอดีตนี่ช่างมาม่า โดยเฉพาะริเรียที่ท่าทางจะโดนหนักที่สุด แล้วตอนนี้กลับมาต้องการจะทำอะไรกันแน่

รอตอนต่อไปนะ

ออฟไลน์ phakajira

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่9 [9/12/12]
«ตอบ #95 เมื่อ10-12-2012 22:08:29 »

เนื้อเรื่องเข้มข้นมาก  สู้ๆนคะ รออ่าน :P

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่10 [10/12/12]
«ตอบ #96 เมื่อ10-12-2012 22:40:15 »

ตอนที่ 10 เงาลวงตา


   ‘เจ้าปรารถนาพลังอำนาจใช่หรือไม่?’

   ‘พลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ที่เจ้าเอื้อมไม่ถึง’

   มันคือข้อเสนออันหวานหอมรัญจวนใจจนยากจะปฏิเสธ

   สิ่งนั้น...ที่เข้ามาในปราสาทพร้อมชาวบ้านที่คาดหวังการงานที่มั่นคง ได้หยิบยื่นของขวัญให้แก่เจ้าของปราสาทผู้กำลังตกอยู่ในห้วงของความทุกข์ระทม สิ่งนั้นซึ่งไม่มีที่มาและที่ไป เพียงแค่ย่างก้าวเข้ามาในสถานที่แห่งนี้และปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าขุนนางเจ้าของที่ดิน

   นายหญิงผู้อ่อนแรงจนบัดนี้แทบจะไร้ซึ่งสัญญาณของชีวิตนอนหลับอยู่บนเตียง ร่างกายที่เคยสวยงามกลับผ่ายผอมราวกับกิ่งไม้แห้ง ใบหน้างดงามซูบตอบลึกโหล ผ่านมากว่าปีแล้วที่มีความพยายามใช้ทุกวิถีทางเพื่อพยุงชีวิตอันบอบบางนี้ให้ถึงที่สุด ทว่าในใจของทุกคนรู้ดีว่ามันเป็นแค่ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ที่ไม่อาจเป็นจริงไปได้ และเงาของความตายได้คืบคลานเข้ามาในทุกขณะ

   สิ่งนั้นที่ปรากฏตัวขึ้นในช่วงเวลาอย่างนี้ มีภาพลักษณ์ราวกับมัจจุราชผู้ใจดีที่พร้อมจะมอบโอกาสในการมีชีวิตให้อีกครั้ง

   ด้วยพลังอำนาจที่จะได้มานั้น พวกเขาจะมีชีวิตอันเป็นอมตะไม่รู้แก่และตาย กาลเวลาของพวกเขาจะหยุดนิ่งรวมถึงปราสาทหลังนี้ซึ่งจะเกี่ยวพันกับพลังของผู้เป็นเจ้าเหนืออาณาเขต

   ไม่รู้แก่ไม่รู้ตาย...

   แม้แต่มนุษย์ปุถุชนที่ไม่ป่วยไข้ก็ยังปรารถนาพรข้อนี้

   ขุนนางผู้ไร้ซึ่งหนทางจะฉุดยื้อชีวิตหญิงสาวผู้เป็นที่รักจึงได้ตอบตกลงในทันที แม้ไม่รู้ว่าจำเป็นจริงหรือไม่ หรือต้องแลกด้วยอะไร เขาก็พร้อมยินยอมทุกอย่าง ขอเพียงสามารถทำให้ภรรยาผู้เป็นดังดวงใจของเขาได้กลับมายืนอยู่เคียงข้างดังเดิม

   พลันนั้นก็บังเกิดลมกรรโชกรุนแรงและเสียงหัวเราะน่าพรั่นพรึงของสิ่งนั้นที่แปรเปลี่ยนจากรูปกายประดุจมนุษย์ปุถุชนกลายเป็นร่างในผ้าคลุมดำที่แผ่สยายออกราวกับปีกพญายม ก่อนจะแตกกระจายออกกลายเป็นนกสีดำสนิทนับร้อยนับพันบินกรูออกไปทางหน้าต่างที่ถูกลมกระแทกเปิดออกพร้อมเสียงหัวเราะที่ค่อย ๆ จางหายไปทีละน้อยแต่ยังทิ้งคำพูดสุดท้ายเอาไว้ก่อนจากลา

   ‘พรที่เจ้าปรารถนาจะเริ่มขึ้นเมื่อชีวิตของนางสิ้นสุดลง’

   และแล้ว....ความหวังที่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาจนเป็นแสงสว่างจุดเล็ก ๆ ก็ดับวูบหายไปในพริบตา....

----------------------->

   เซเอลและวาลเซอิคมองหน้ากันผ่านความเงียบงัน

   เด็กที่เคยพบในกองไฟคนนั้น คือลูกของริเรียและชายหนุ่มคนรัก เด็กน้อยซึ่งถูกอุ้มชูดูแลแทนคำสัญญาที่ไม่อาจรักษาเอาไว้ได้

   “ข้าคือเด็กคนนั้น....” วาลเซอิคเปล่งเสียงแหบพร่า ในคอของเขาแห้งผาก

   “ใช่ นั่นแหละคือครอบครัวของเจ้า ซึ่งข้า...ปกป้องไว้ไม่ได้” เซเอลหลับตาลงแล้วเอนพิงพนักเก้าอี้ “หากเจ้าจะโกรธแค้นข้า ข้าก็จะไม่นึกโทษเจ้าเลย”

   แต่ว่า...เรื่องที่ริเรียกลายเป็นผู้ต้องสาปไปนั้น...เขาจะโทษใครได้....

   ในห้วงความคิดของเขามีเสียงฝีเท้าแว่วใกล้เข้ามาทีละก้าว และหยุดลงตรงหน้า วาลเซอิคคิดจะทำอะไรหรือ? จะใช้กำลังกับเขาเพราะความโกรธ หรือจะต่อว่าด่าทอ ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน เซเอลก็รู้ดีว่าตนเองสมควรจะได้รับทั้งสิ้น เขาจึงหลับตานิ่งอยู่อย่างนั้นและไม่ได้นึกตอบโต้ ทว่าร่างที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขากลับหยุดนิ่งอย่างนั้นและเท้าแขนคร่อมลงโดยยันไว้กับพนักด้านหลัง

   “ถ้าอย่างนั้น ข้าคือใครกัน?”

   เซเอลเปิดเปลือกตาขึ้นด้วยความสงสัย

   “ข้าไม่ได้บอกเจ้าไปแล้วหรือว่าเจ้าคือ....”

   “ในสายตาของท่าน” วาลเซอิคพูดขัดขึ้นมาแล้วจ้องมองเซเอลด้วยสายตาที่แฝงความหมายบางอย่างเอาไว้ ทั้งผิดหวังและเจ็บปวด “ในสายตาท่าน ข้าเป็นใคร เป็นข้าหรือว่าแม่ของข้า”

   ดวงตาสีแดงเลื่อนหลบไปทางหนึ่งและหรี่ลงเล็กน้อย

   ถึงอยากจะพูดว่าเขาไม่ได้มองวาลเซอิคเป็นตัวแทนของใครก็ไม่อาจพูดได้เต็มปาก เพราะแม้จะอยากปฏิเสธมากแค่ไหน เขาก็รู้ตัวเองดีว่าความพยายามที่จะมองเด็กหนุ่มคนนี้โดยไม่มีภาพเงาของริเรียมาซ้อนทับนั้นเป็นเรื่องที่แสนยากเย็น

   และเขา...ก็ไม่เคยทำสำเร็จ

   ทุกครั้งที่มองดูวาลเซอิค เขามักจะอดมองหาส่วนที่คล้ายคลึงกับหญิงสาวคนนั้นไม่ได้ โดยเฉพาะดวงตาสีเขียวสดใสนั้นที่ถอดแบบมาจากผู้เป็นแม่อย่างไม่ผิดเพี้ยน ราวกับว่าริเรียยังคงมีตัวตนอยู่เบื้องหน้าเขาและแอบแฝงอยู่ภายในร่างของวาลเซอิค เพราะอย่างนั้นหรือเปล่า...เขาจึงมักใจอ่อนกับอีกฝ่าย และโดนโน้มน้าวใจได้ง่ายเพียงแค่ถูกโอบกอดและจ้องมองด้วยดวงตาคู่นั้น

   ในสายตาของวาลเซอิคมีความรู้สึกอันลึกล้ำ ผิดจากริเรียที่มองมายังเขาด้วยสายตาของหญิงสาวที่มองเพื่อนต่างเพศของตนเอง เป็นสายตาแบบที่เขาคาดหวังให้ริเรียมองเขามาตลอด เพราะเหตุนั้น เขาจึงได้โอนอ่อนตามไปอย่างช่วยไม่ได้....

   เซเอลไม่สามารถตอบคำถามของวาลเซอิคอย่างตรงไปตรงมาได้ เขาจึงได้แต่จมอยู่ในห้วงความคิดของตนเองและให้ความเงียบดำรงอยู่แทนคำตอบ

   “....เข้าใจแล้ว....” อยู่ ๆ เสียงแผ่วเบาของวาลเซอิคก็ทำให้บรรยากาศที่เงียบงันเกิดการสั่นไหวเป็นคลื่นเล็ก ๆ ที่แผ่ออกทีละน้อย “ข้าไม่ได้เป็นอะไรสำหรับท่านเลย นอกจากกระจกที่สะท้อนภาพแม่ของข้าเท่านั้น ในสายตาของท่าน ข้าไม่เคยมีตัวตน...”

   “วาล....”

   “ทั้งที่ข้าอยู่ตรงนี้” เด็กหนุ่มละมือข้างหนึ่งจากพนักเก้าอี้มาจับคางเซเอลให้หันกลับมามองตนตรง ๆ “มองข้าสิเซเอล ให้ข้าได้มีตัวตนของตัวเองในสายตาของท่านบ้าง!”

   “เจ้าพูดจาเลอะเทอะใหญ่แล้วนะวาลเซอิค ตอนนี้เจ้าควรจะคิดว่าแม่ของเจ้าอยู่ที่ไหนมากกว่า” เซเอลหลบเลี่ยงด้วยการเอ่ยอ้างถึงริเรียซึ่งยังเป็นปริศนาว่าหายตัวไปไหนหลังจากนั้น จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่อาจทราบได้ แต่นับเป็นข้ออ้างที่ผิดพลาดสำหรับเวลานี้ที่วาลเซอิคกำลังเรียกร้องตัวตนให้กับตนเอง การกล่าวถึงริเรียว่ามีความสำคัญมากกว่าเปรียบเสมือนการปฏิเสธอีกฝ่ายอย่างสิ้นเชิง

   วาลเซอิคกัดฟันอย่างขมขื่น

   “แต่ตอนนี้ข้าอยู่ที่นี่ อยู่ตรงหน้าท่าน!” กล่าวจบ วาลเซอิคก็ไม่ทิ้งจังหวะให้เซเอลพูดอะไรต่ออีก เขากระชากอีกฝ่ายให้เอนเข้าหาตัวก่อนประกบริมฝีปากจูบเม้มอย่างรุนแรง เซเอลที่ไม่ทันได้ตั้งตัวจึงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงด้วยไม่คิดว่าวาลเซอิคจะทำเรื่องแบบนี้ได้

   เซเอลพยายามจะเบี่ยงใบหน้าตนเองหนี ทว่ากลับถูกยึดตรึงเอาไว้ด้วยเรี่ยวแรงที่มากกว่า

   “ทำไมถึงไม่ตอบโต้ข้าล่ะเซเอล? พลังอำนาจของท่านคงสามารถฆ่าข้าได้ในชั่ววินาที” วาลเซอิคกระซิบขณะยังคลอเคลียริมฝีปากที่เย็นชืด ดวงตาสีเขียวสดจ้องสบกับดวงตาสีเลือดที่ฉายแววตื่นตระหนกอยู่ข้างใน “หรือว่า...เพราะท่านทำไม่ได้กันแน่”

   ใช่...เขาได้ยินการสนทนาทั้งหมดนั่น และถ้าเขาคาดเดาไม่ผิด สิ่งที่ทำให้เซเอลสามารถเดินกลางแสงแดดได้นั้นทำให้พลังลดน้อยถอยลงไปด้วย

   นั่นหมายความว่า...ตอนนี้เซเอลไม่ต่างจากคนปกติอย่างเขาเลย และเมื่อเทียบรูปกายกันแล้ว...

   “ตอนนี้ข้าตัวใหญ่กว่าท่าน มีพละกำลังมากกว่าท่าน” พร้อมกับที่พูดเช่นนั้น วาลเซอิคก็กดเซเอลลงกับเก้าอี้และกระชากผ้าพันคออีกฝ่ายออก “แล้วท่านจะขัดขืนข้ายังไง?”

   หากจะให้ขัดขืน....ก็ใช่จะไม่มีทางทำได้....

   แม้พลังของเขาจะน้อยลง แต่ก็ยังสามารถบงการปราสาทหลังนี้ได้ กระนั้นเขากลับไม่กล้าพอที่จะทำเช่นนั้น...ไม่กล้าที่จะผลักไสวาลเซอิคอีกครั้งในภาวะอารมณ์เช่นนี้...

   เสื้อนอกถูกกระชากออกพร้อมกับตัวเสื้อด้านใน ทำให้ผิวกายขาวซีดสัมผัสอากาศเย็นยะเยือกอันเป็นปกติของปราสาทหลังนี้ที่ดวงอาทิตย์ไม่สาดส่อง

   “หยุดนะ วาลเซอิค” เซเอลยกมือขึ้นผลักอกกว้างโดยไม่ได้ออกแรงดันออก

   “ไม่ ข้าจะไม่หยุดอีกแล้ว” วาลเซอิคปฏิเสธก่อนดึงมืออีกฝ่ายตรึงไว้เหนือศีรษะ “ต่อจากนี้ไปข้าจะทำตามใจของข้าบ้าง” ฝ่ามือกร้านไล้ไปบนผิวเนื้อขาวที่เย็นเยียบ เซเอลสะดุ้งน้อย ๆ เมื่อปลายนิ้วสะกิดไปบนยอดอกก่อนเลื่อนต่ำลงไปยังหน้าท้องแบนราบที่สะท้อนขึ้นลงอย่างช้า ๆ ปลายลิ้นอุ่นลากไปบนคอก่อนขบเม้มปลายคาง ในตอนแรกเซเอลคิดว่าหากปล่อยให้ทำตามใจอีกเดี๋ยววาลเซอิคคงเลิกไปเอง ทว่าเขาก็คิดผิดอีกครั้งเมื่อรู้สึกว่ากางเกงของตนถูกปลดออก ตอนนั้นเองเขาจึงมีปฏิกิริยาขึ้น

   ชายหนุ่มใช้มือข้างที่ว่างยื้อข้อมืออีกฝ่ายไว้ด้วยสีหน้าตกตื่น

   “อย่า...อื้อ!!!” แค่เปล่งเสียงห้ามออกมาไม่ถึงคำดี ริมฝีปากร้อนก็ประกบลงมาอีกครั้งเพราะไม่ต้องการจะได้ยินคำปฏิเสธ และเมื่อเซเอลเริ่มพยายามดิ้นรนหนีจากมือของเขา วาลเซอิคก็บีบกำข้อมืออย่างแรงจนอีกฝ่ายนิ่วหน้า มือของเซเอลที่ยังเป็นอิสระถูกรวบขึ้นไปตรึงไว้เช่นกันทำให้หมดทางหนีโดยสิ้นเชิง

   กางเกงถูกดึงรูดออกไปแม้เซเอลจะพยายามหยุดยื้อเอาไว้ด้วยขาทั้งสองข้าง ทว่าเรี่ยงแรงของวาลเซอิคที่ใกล้จะโตเต็มวัยก็มากกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้

   ท่อนล่างที่เปลือยเปล่าถูกกอบกุมด้วยฝ่ามืออุ่นตัดกับอากาศเย็นโดยรอบ มันปลุกความปรารถนาในร่างกายของเขาที่ไม่ได้รับการปลดปล่อยมานานแสนนาน

   “หยุดนะ...วาลเซอิค....” เซเอลเค้นเสียงจากในคออย่างยากลำบาก ร่างกายของเขากำลังถูกปลดเปลื้องอย่างชำนิชำนาญและตัวเขาไม่อาจขัดขืนมันได้ เลือดฝาดที่มีอยู่ไม่มากพากันเคลื่อนสู่ใบหน้าจนเกิดริ้วแดงของความสะเทิ้นอายและแผ่ซ่านไปทั่วร่าง เพียงแค่ถูกสัมผัสสัดส่วนอันอ่อนไหว เซเอลก็อับอายจนไม่กล้ามองหน้า แต่วาลเซอิคใช่จะยอมหยุดเพียงแค่นั้น

   !!!

   ทั้งร่างของเซเอลสะดุ้งเฮือกเมื่อปลายนิ้วของเด็กหนุ่มผละจากความตื่นตัวของเขาลงไปยังปากทางอ่อนนุ่มและเสือกเข้าไปในร่างโดยไม่ผ่อนปรน

   “....วาล....หยุด.....” ความเจ็บแล่นผวาขึ้นมาจากเบื้องล่างผสานกับริ้วรอยของอารมณ์หวามไหวซึ่งถูกปลุกปั่นเอาไว้ก่อนหน้า แต่คำพูดของเขาแทบจะไร้ความหมาย เพราะวาลเซอิคไม่ได้นึกสนใจแม้แต่น้อย เมื่อเขาร้องห้าม การรุกรานก็ยิ่งลึกล้ำขึ้นและรุนแรงขึ้น สิ่งที่เคลื่อนไหวภายในร่างกายของเขาปลุกกระตุ้นให้ใจสั่นไหวไปกับรสโลกีย์ที่เคยละทิ้งไปพร้อมกับความเป็นมนุษย์ในอดีต

   ลมหายใจอุ่นเป่ารดลงบนใบหน้า วาลเซอิคป้อนรสจูบให้แก่เขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งบดขยี้และขบเม้มราวกับกำลังลงโทษด้วยความพิศวาส

   ลงโทษ...ในข้อหาอะไรกัน...

   กลีบปากถูกบดเบียดจนแดงช้ำแต่ก็ยังไม่สาแก่ใจ วาลเซอิคกวาดปลายลิ้นไปในโพรงปาก เก็บเกี่ยวลมหายใจหอบแผ่วที่เจือกระแสการต่อต้านไว้อย่างเบาบาง

   จนกระทั่งในที่สุดวาลเซอิคก็ผละออกและปล่อยเซเอลเป็นอิสระ

   มันคงจะจบลงแล้ว...

   อารมณ์ที่ยังคั่งค้างพาให้ชายหนุ่มไม่กล้าขยับตัว เขาแค่เพียงพยายามพยุงตัวเองในท่ากึ่งนั่งด้วยเรียวขาที่สั่นเทา วาลเซอิคยืนมองอยู่ชั่วครู่ด้วยสายตาเยือกเย็นผิดกับการกระทำเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง เด็กหนุ่มโน้มตัวลงเล็กน้อยโดยที่เซเอลไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร และไม่ทันได้เอ่ยปากถาม แขนแกร่งทั้งสองข้างก็ช้อนใต้ขาของเขาก่อนยกขึ้นสูงเปิดทางให้วาลเซอิคเห็นผลงานที่ตนเองทำไว้

   “....อย่า....” เพราะรู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น เซเอลจึงร้องห้ามเสียงแผ่ว

   วาลเซอิคเคลื่อนกายเข้ามาอยู่ระหว่างขาทั้งสองที่เปิดอ้า พรมจูบลงบนต้นขาขาวเนียนจนเป็นรอยแดง และโดยที่ไม่ฟังคำ เขาก็ฝังกายตนเองเข้าสู่ร่างโปร่งซึ่งไม่อาจใช้กำลังต่อต้านเขาได้

   เสียงครางต่ำเปล่งจากลำคอพร้อมกับจังหวะที่ถูกโอบล้อมด้วยเนื้อนุ่มที่บีบรัดจนแน่น

   เซเอลปิดเปลือกตาลงเพื่อหลบหนีจากสิ่งที่ตนกำลังเผชิญ ทว่ากลับถูกกระตุ้นอย่างรุนแรงจนต้องสะดุ้งผวา

   “มองข้าสิเซเอล” วาลเซอิคคำรามเสียงต่ำกึ่งบังคับกึ่งอ้อนวอน “มองข้าสิ....ข้าที่อยู่ตรงหน้าท่านตอนนี้ไม่ใช่ผู้หญิงที่ท่านหลงรัก....”

   ได้โปรด....มองตัวตนของข้า....

   ไม่ใช่ภาพลวงตาที่ท่านสร้างขึ้น....

   เซเอลกลอกนัยน์ตาขึ้นมองใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยการเรียกร้องหาการตอบสนอง ดวงตาคู่นั้นทำให้หัวใจที่ถูกแช่แข็งสั่นสะท้าน และความหวั่นไหวนั้นดึงให้เขาหลบสายตาอีกครั้ง

   วาลเซอิคขบริมฝีปากก่อนจะดึงตัวออกและอุ้มเซเอลไปที่บานหน้าต่าง เขาผลักเซเอลให้พยุงตัวกับวงกบก่อนเข้าซ้อนด้านหลัง

   “จำได้หรือเปล่า....ที่ข้าเคยขอจูบท่านตรงนี้....”

   ....

   เซเอลพยักหน้าช้า ๆ

   “ตอนนี้ข้าจะรักท่านที่นี่” เด็กหนุ่มกล่าวก่อนจะเคลื่อนกายสู่ภายในผนังอ่อนนุ่มบอบบางโดยไม่มีคำเตือนใด ๆ เซเอลเปล่งเสียงคล้ายพยายามปฏิเสธแต่ก็กลับกลายเป็นการกลั้นเสียงร้องไว้ในคอทั้งอย่างนั้น ร่างกายของเขาถูกป้อนความปรารถนาอันรุนแรงซ้ำแล้วซ้ำอีก พร้อมกับถูกโอบรัดด้วยอ้อมแขนแข็งแรงของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ไม่ใช่ท่อนแขนบอบบางของหญิงสาวอย่างที่เขาเคยจินตนาการ อารมณ์ที่ไม่ต่างกับลมพายุของวาลเซอิคห่างไกลจากคำว่าหวานละมุนรัญจวนใจไปไกลโข กระนั้นกลับปลุกปั่นเขาจนแทบคลุ้มคลั่ง เงาสะท้อนของวาลเซอิคบนกระจกหน้าต่างจ้องมองมายังเขาและเขาก็จ้องตอบ....แค่เพียงภาพเงาที่กำลังประสานสายตา แต่ก็ถ่ายทอดความรู้สึกอันลึกซึ้งออกมาอย่างชัดเจนและหนักแน่น

   อย่ามองข้าแบบนั้น....

   เพราะข้า.....จะ....

   .....

   ....อย่ารัก...ข้า.....

----------------------------->

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่10 [10/12/12]
«ตอบ #97 เมื่อ10-12-2012 22:40:42 »

   ความมืดทอดกายอย่างเงียบสงบในราตรี มีเพียงเสียงลมหายใจที่บ่งบอกว่าที่นี่มีสิ่งมีชีวิตอยู่

   วาลเซอิคพิงหลังกับกำแพงเย็นเยียบ ทอดสายตาออกไปในความมืดที่ปกคลุมอยู่รอบห้อง ข้างกายมีร่างหนึ่งนอนตะแคงอยู่อย่างเงียบ ๆ ท่อนบนห่มด้วยเสื้อสีขาวบาง ท่อนล่างเปลือยเปล่าเผยเห็นผิวเนื้อขาวที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบราคะ เสมือนการละเลงความโสมมลงบนผืนผ้าสีขาวสะอาด

   เขาไม่ได้กำลังถามว่าตัวเองทำอะไรลงไป...

   ไม่ได้กำลังคิดว่าตัวเองจะทำอะไรต่อไป...

   ก่อนที่จะลงมือทำเรื่องนี้ เขาได้คิดคำนวณทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้แล้ว และมันไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย มันก็แค่...การฝากคำพูดที่เขาไม่เคยพูดออกไปเท่านั้น....

   “เซเอล...ข้า....”

   “....ข้าหนื่อยแล้ว...” เซเอลพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบา แต่เพราะความเงียบจึงสามารถได้ยินได้อย่างชัดเจน วาลเซอิคมองแผ่นหลังที่ดูบอบบางสิ้นไร้เรี่ยวแรงด้วยสายตาอาวรณ์ เขายังจำได้ว่าในสมัยเด็กเขาเคยได้แต่เดินตามแผ่นหลังนี้โดยคิดว่ามันช่างกว้างใหญ่และอบอุ่น เป็นดังหลักพึ่งพิงซึ่งไม่มีสิ่งใดทดแทนได้ ในป่าลึกที่มืดมิด แผ่นหลังนี้คือสิ่งที่นำทางเขาไปสู่ปราสาทและรูปแบบชีวิตที่ผิดแผกจากมนุษย์ปุถุชน กระนั้นเขาก็ยังก้าวตามต่อไป ไขว่คว้าหาอย่างสุดเอื้อมโดยหวังว่าสักวันหนึ่งจะสามารถเอื้อมสัมผัสได้ด้วยมือคู่นี้

   ไหล่ของเซเอลไหล่สะท้านน้อย ๆ เมื่อมือใหญ่วางลงบนต้นแขนและกุมไว้นิ่ง ความอุ่นถ่ายทอดออกมาและซึมซาบสู่ร่างกายเย็นชืด

   ...รัก...

   เป็นคำที่เขาทำได้เพียงพูดกับตัวเองในใจ

   วาลเซอิคจัดแต่งเครื่องแต่งกายตนเองอย่างลวก ๆ ก่อนลุกขึ้นและหยิบเสื้อนอกของเซเอลมาคลุมให้กับเจ้าของอีกชั้น จากนั้นจึงอุ้มอีกฝ่ายขึ้นและพาเดินออกไปข้างนอก

   ตอนนี้บนระเบียงทางเดินของปราสาทไม่มีวี่แววใครแม้สักคนเดียว ซึ่งเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเขาทั้งคู่ เพราะถึงแม้จะไม่มีใครถาม แต่สายตาที่จ้องมองมาอย่างมีความหมายก็ยังเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...สำหรับเซเอล

   ห้องนอนของเซเอลอยู่อีกฝากหนึ่งของปราสาท เขาไม่เคยได้ไปที่นั่นแต่ก็รู้ว่าตั้งอยู่ทิศไหน

   บนส่วนนี้คงจะเป็นห้องพักของขุนนางและญาติ ๆ แต่ละห้องไม่มีวี่แววของผู้คน ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจมากนัก เพียงแต่เขาสงสัยว่าเซเอลอาศัยอยู่ในบริเวณที่โดดเดี่ยวถึงขนาดนี้เชียวหรือ เพียงแค่เดินผ่านก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ว่างเปล่าและเย็นเยียบ การต้องเผชิญกับความอ้างว้างในทุก ๆ วันอย่างนี้...เซเอลยังทนอยู่ได้อย่างไร

   “ห้องของข้าอยู่สุดทางเดินนั่น” เซเอลพูดขึ้นแล้วปิดปากเงียบอีกครั้ง

   เด็กหนุ่มก้าวไว ๆ ไปถึงประตูบานที่ว่า เมื่อเปิดเข้าไป เขาก็พบห้องนอนกว้างที่ถูกจัดแต่งไว้อย่างดี เครื่องเรือนแต่ละชิ้นบ่งบอกถึงมูลค่าที่มากกว่าในห้องของเขาหลายเท่า แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีแต่ความเงียบงัน สิ่งที่ลอยอวลอยู่ภายในห้องนี้เป็นบรรยากาศแปลกประหลาดยากจะบรรยายออกมาได้ ทั้งลึกลับและยากจะเข้าถึง ราวกับจ้องมองฉากหนึ่งในหนังสือภาพขาวดำที่ไร้ชีวิตชีวา

   ร่างโปร่งถูกวางลงบนเตียงหลังกว้าง เตียงนุ่มยุบตัวลงโอบรับร่างนั้นเช่นที่เคยเป็นมาหลายร้อยปี

   เมื่อศีรษะวางลงถึงหมอน เซเอลก็หลับตาลงช้า ๆ ลมหายใจทอดยาวสม่ำเสมอ วาลเซอิคเห็นดังนั้นจึงดึงเสื้อนอกและเสื้อขาวข้างในออกมาก่อนนำผ้าห่มมาคลุมให้แทน จากนั้นเขาก็มองอีกฝ่ายอยู่อย่างเงียบ ๆ และยาวนาน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใดจึงเริ่มขยับตัวอีกครั้งโดยหมุนตัวและก้าวออกไปจากห้องโดยไม่ได้ทิ้งคำพูดใด ๆ ให้แก่ร่างซึ่งหลับใหลบนเตียงนั้น

   วาลเซอิคกลับไปที่ห้องของตนเอง เก็บข้าวของใส่ในเป้ใบหนึ่งเท่าที่จำเป็น ในระห่างที่เขาง่วนอยู่กับการเก็บของนั้น ก็มีใครบางคนนั่งลงบนเตียงโดยที่เขาไม่ทันรู้ตัว จนกระทั่งคน ๆ นั้นกระแอมขึ้น เขาจึงได้รู้ว่าตนเองไม่ได้อยู่ในห้องเพียงลำพัง

   “อย่าหาว่าข้าสอดรู้เลยนะ แต่เจ้าจะรีบร้อนไปไหนหรือ?” คัลมาร์นั่นเอง เจ้าตัวนั่งเท้าคางมองเขาจากบนเตียงอย่างสบายอารมณ์ รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้ายังเหมือนพี่ชายใจดีคนเดิม ราวกับว่าเรื่องขัดหูขัดตาที่เขาทำไปเมื่อตอนช่วงเย็นนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน “ที่นี่เรามีเรื่องขัดแย้งกันเป็นปกติ แค่การที่เจ้าทำให้ข้าอดของหวานไม่ได้แปลว่าเจ้าต้องหนีไปไหนหรอกนะ”

   ดวงตาสีเขียวเลื่อนหลุบลงบนพื้น

   “ถึงไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดข้าก็ต้องไปอยู่ดี” วาลเซอิคยัดเสื้อลงไปในเป้

   “อยากเล่าไหม?”

   ความเงียบของเด็กหนุ่มแทนคำตอบว่าไม่ หรือไม่ก็เป็นท่าทางลังเลว่าจะเล่าหรือไม่เล่าดีกว่ากัน

   “หรือเกี่ยวกับเรื่องที่คัลดิชรู้?”

   “เจ้าก็รู้หรือ?” ประเด็นนี้ทำให้วาลเซอิคพูดออกมาอีกครั้ง เขาเงยหน้ามองคัลมาร์ที่กำลังกลอกตาคิดว่าตนเองควรตอบอย่างไร

   “ก็ไม่เชิง เจ้าก็รู้ว่าข้ากับเขาเป็นฝาแฝดกัน เมื่อเทียบกับรูปแบบความสัมพันธ์ทั้งหมดที่สิ่งมีชีวิตรู้จัก ก็นับว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดที่สุด ดังนั้นถึงเขาจะไม่พูดออกมา ข้าก็รู้ว่าเขาปิดบังอะไรบางอย่าง ท่าทางของเขาบ่งบอกว่าเกี่ยวกับเรื่องของริเรีย แม่ของเจ้า” ชายหนุ่มโคลงศีรษะเล็กน้อย “เจ้าคงจำไม่ได้แต่ช่วงแรกที่เจ้ามาอยู่ที่นี่ เขาเป็นคนที่ไม่พอใจมากที่สุด แต่อาร์วิน่าแสดงออกมากกว่าเจ้าจึงคิดว่านางไม่ชอบเจ้า ถึงอย่างนั้นพอเจ้ามาอยู่ไม่นานเขาก็ไม่ได้แสดงพิรุธอะไรอีก”

   “แล้วเจ้าคิดยังไง?”

   “หืม?” คัลมาร์เลิกคิ้วเมื่อถูกถามความคิดเห็นที่ไม่รู้ว่าจะตอบในแง่ไหน

   “คัลดิชบอกว่า...เซเอลมองข้าเป็นตัวแทนของร....ของแม่มาตลอด” วาลเซอิคถอนหายใจเฮือกทำให้ผู้ฟังเข้าใจได้ในทันทีว่าเด็กคนนี้กำลังกลัดกลุ้มใจเรื่องใด

   “ถ้าถามข้า ข้ามองว่ามันไม่ได้มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ” ชายหนุ่มลูบคางแล้วกลอกตาขึ้นมองด้านบน “สำหรับผู้ต้องสาปแบบพวกเรา ความรักเป็นเรื่องห่างไกลตัวมากเกินไป การที่นายท่านรู้สึกพิเศษกับแม่ของเจ้าอาจจะเป็นความรักหรือความชื่นชมประทับใจก็ได้ทั้งนั้น เพียงแต่ว่าคนที่อยู่ข้างเขาตลอดช่วงหลายปีมานี้คือเจ้าไม่ใช่นาง ดังนั้นหากพูดถึงความผูกพัน นายท่านย่อมผูกพันกับเจ้ามากกว่า การที่เขามองเจ้าโดยมีเงาภาพของริเรียทับอยู่อาจเป็นเพียงเสี้ยวความทรงจำที่เห็นได้ผ่านเจ้า แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเจ้าจะกลายเป็นนางได้ ซึ่งเขาก็รู้ดี”

   น้อยครั้งที่จะมีใครได้ยินคัลมาร์แสดงความคิดเห็นออกมาในแง่นี้ เพราะโดยปกติคัลดิชและคัลมาร์จะทำตัวเหมือนเด็กวัยรุ่นไม่รู้จักโตเสียมากกว่า ในขณะที่อาร์วิน่าจะมีความเป็นผู้ใหญ่มากที่สุด กระนั้นในความเป็นจริงแล้วทุกคนในปราสาทนี้ต่างก็ผ่านโลกมานานนับศตวรรษ จึงไม่น่าแปลกหากจะมีความคิดเห็นในมุมกว้างและเผื่อเลือกความเป็นไปได้ไว้หลายเส้นทาง

   “ถ้าเป็นแบบที่เจ้าว่าก็คงดี” วาลเซอิคยิ้มบางก่อนรูดเชือกปิดปากเป้แล้วเหวี่ยงขึ้นหลัง “นาน ๆ ครั้งข้าได้คุยกับเจ้าแบบนี้ก็ดีนะ”

   สีหน้าคัลมาร์แสดงให้เห็นความแปลกใจที่วาลเซอิคยังคงยืนยันที่จะไปจากที่นี่

   “เจ้ามีเรื่องกลุ้มใจมากกว่านั้นหรือ?”

   เด็กหนุ่มหัวเราะ

   “บางทีข้าคงเพิ่งรู้สึกตัวว่า...มนุษย์ก็ควรอยู่กับมนุษย์ด้วยกัน”

   แม้มันจะดูเหมือนข้ออ้างมากกว่าเหตุผลที่แท้จริง แต่คัลมาร์ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ เขาพยักหน้าน้อย ๆ แล้วยิ้มกว้าง

   “ว่าง ๆ อย่าลืมกลับมาเยี่ยมเยียนก็แล้วกัน”

   หลังจากร่ำลาคัลมาร์แล้วเขาก็เดินออกมาจากห้องและพบอาร์วิน่ายืนอยู่ข้างนอก หญิงสาวแค่ยืมมองเงียบ ๆ โดยไม่ได้พูดอะไรเขาจึงแค่หัวเราะเก้อ ๆ แล้วเดินผ่านมา

   ด้านนอกปราสาทยังคงมืดมิดอย่างเคย ต้นไม้แห้งโบกกิ่งลู่กับลมราวกับกำลังโบกมือให้เขา แต่ก่อนที่จะได้เดินออกไปนั้นเสียงเห่าของลูกสุนัขสองตัวเรียกให้เด็กหนุ่มต้องหยุดเท้าและหมุนตัวไปยังกรงสุนัขซึ่งตอนนี้กลายเป็นที่พำนักของเซราฟและวอเรนอย่างถาวร

   “ไง...ข้าลืมลาพวกเจ้าเลยนะ”

   วาลเซอิคนั่งยอง ๆ ลงหน้ากรง มองลูกสุนัขสองตัวที่วิ่งดุ๊กดิ๊กมาเกาะกรงเห่าแสดงความยินดีที่ได้พบเขา ดูเหมือนพวกมันเริ่มคุ้นชินกับปราสาทหลังนี้แล้ว และคุ้นเคยกับผู้คนมากขึ้น

   “หลังจากนี้พวกเจ้าคงต้องอ้อนคนอื่นแทนแล้วล่ะ ส่วนข้าคงต้องไปทำธุระนานเลย” วาลเซอิคยื่นมือผ่านลูกกรงเข้าไปลูบหัวทีละตัว

   คงจะไม่มีใครให้เขาลาแล้วกระมัง?

   เด็กหนุ่มคิดเช่นนั้นขณะมองขึ้นไปยังห้องหนังสือของเซเอลที่เจ้าตัวมักจะมองผ่านหน้าต่างลงมา เพียงแต่ในวันนี้เขารู้ว่าเซเอลไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว เพียงชั่ววินาทีที่สายตาของวาลเซอิคเปลี่ยนจากความอาลัยกลายเป็นสายตาของคนที่ตัดสินใจอย่างหนักแน่นที่จะทำบางอย่าง

   ใช่....เขามีสิ่งที่ต้องทำ...

   เขาจึงต้องไปจากที่นี่ ไม่ใช่เพื่อหนีจากใครหรือความรู้สึกของตัวเอง เพราะสิ่งที่เขามีให้เซเอลนั้นเขาไม่คิดที่จะถอยแม้สักก้าว แต่ว่า...เพราะยังมีสิ่งที่คั่นกลางระหว่างพวกเขาทั้งสองอยู่ มันคือกำแพงสูงใหญ่ที่เขาจะต้องหาทางข้ามมันไปให้ได้

   สิ่งนั้นก็คือ...การมีอยู่ของหญิงสาวที่ชื่อริเรีย

   เขาต้องไปเพื่อพิสูจน์ว่าแม่ของเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และหากยังอยู่...เซเอลจะยังคงปรารถนาให้เขาอยู่เคียงข้างอีกหรือไม่...

   นอกจากนี้...ยังมีเรื่องการหายตัวไปของเอลยา บางทีอาจจะไม่ใช่ฝีมือสัตว์ป่า เพราะสัตว์ป่าย่อมไม่ลักพาตัวคน และคนก็ไม่สามารถฉีกกระชากร่างกายของมนุษย์อย่างน่าสยดสยองอย่างนั้นได้ ถ้าอย่างนั้นก็เหลือข้อสันนิษฐานเดียว นั่นคือ...อาจเป็นฝีมือของผู้ต้องสาปที่พวกเซเอลไม่รู้จัก หากเลือดของผู้ต้องสาปสามารถสืบทอดคำสาปได้จริงอย่างที่คัลดิชว่า ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีผู้ต้องสาปอื่นนอกจากคนในปราสาทนี้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น เอลยาก็อาจตกอยู่ในอันตราย...

--------------------------->

   “เขาไปแล้ว” ร่างเงาหนึ่งมองเด็กหนุ่มเดินออกจากบริเวณปราสาทจากบนหน้าต่าง ก่อนจะหันกลับมามองอีกคนหนึ่งด้านในซึ่งนั่งเอนอยู่บนเตียง “ท่านคงไม่ได้เรียกข้ามาที่นี่เพราะอยากสะสางปัญหาหรอกนะ เพราะข้าก็พูดทุกอย่างไปหมดแล้ว”

   “ไม่มีประโยชน์ที่จะทำอย่างนั้น อีกอย่าง ข้าเป็นคนอนุโลมกับพวกเจ้าเองว่าการอาศัยในปราสาทนี้ไม่จำเป็นต้องบอกทุกอย่างกับข้า” นั่นเพราะในฐานะผู้ต้องสาป ฐานันดรศักดิ์เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง พวกเขาจึงอยู่ร่วมกันในฐานะผู้ร่วมอาศัยโดยมีเขาเป็นเจ้าของบ้านเท่านั้น และเจ้าของบ้าน...ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าไปแทรกแซงความลับของลูกบ้าน

   เขาไม่คิดว่าวันหนึ่งจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น....

   ดังนั้นก็ถือว่าเป็นความผิดของเขาส่วนหนึ่ง

   คัลดิชหรี่ตาลงด้วยความสงสัย

   “ท่านคาดเดาเอาไว้หรือเปล่าว่าวันหนึ่งวาลเซอิคจะจากไป”

   “เรื่องนั้นพวกเราต่างคาดการณ์ไว้เหมือน ๆ กัน หรือเจ้าจะปฏิเสธ?”

   เรื่องนี้คัลดิชไม่สามารถเถียงได้ เพราะเป็นจริงอย่างที่เซเอลว่า พวกเขาทุกคนต่างรู้ว่าตนเองไม่มีความเหมาะสมที่จะเลี้ยงดูลูกมนุษย์เลยสักนิด อาจจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่สมควรทำเช่นนั้นเสียด้วยซ้ำ ดังนั้น...หากวันหนึ่งวาลเซอิคจะจากไปเพื่ออยู่ร่วมกับมนุษย์ที่เหมือน ๆ กันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร

   “ถ้าอย่างนั้นท่านเรียกข้ามาที่นี่เพื่อให้ติดตามดูแลเขา?”

   เซเอลส่ายศีรษะ

   “จริงอยู่ว่าข้ายังคงเป็นห่วงเขา แต่ถึงอย่างนั้น....มันก็เป็นทางเลือกของเขาเอง ข้าไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายได้ การส่งเจ้าไปจับตาดูรังแต่จะทำให้เขาเกลียดชังพวกเรามากขึ้น”

   คัลดิชกลอกตาเล็กน้อยด้วยท่าทางไม่เห็นด้วย ท่าทางของวาลเซอิคบ่งบอกชัดเจนถึงขนาดนั้นว่ามีความผูกพันกับเซเอลมากเพียงใด ทำไมเจ้าตัวถึงยังหลอกตัวเองว่าเด็กคนนั้นจากไปเพราะความรังเกียจ หรือเพราะเจ้าตัวกลัวที่จะคาดหวัง?

   “บอกธุระของท่านมาตามตรงดีกว่า” เพราะเขาไม่อยากจะปล่อยให้เรื่องวกไปวนมามากเกินไป จึงตัดสินใจถามตรงเข้าประเด็น

   “ข้ายังสงสัยเรื่องการตายกับการหายตัวไปของมนุษย์พวกนั้น”

   “นั่นไม่ใช่เรื่องของเราไม่ใช่หรือ?”

   “ไม่แน่นัก...เพราะบางทีอาจจะเป็นฝีมือของผู้ต้องสาปก็เป็นได้” ถึงจะเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน แต่สายตาของเซเอลบ่งบอกว่าเจ้าตัวมั่นใจค่อนข้างมากกับข้อสันนิษฐานนี้ “เจ้าอาจจะคิดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ข้ารู้สึกได้ว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น ดังนั้นนี่คืองานของเจ้าคัลดิช เจ้าจงไปติดตามจับตาดูมนุษย์ที่ชื่ออัลเรส หากพี่สาวของเขาเป็นคนเดียวที่ถูกพาตัวไปแสดงว่านางคือกุญแจสำคัญที่จะนำเราไปสู่บทสรุป”

TBC

ออฟไลน์ phakajira

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่10 [10/12/12]
«ตอบ #98 เมื่อ11-12-2012 00:07:33 »

โธ่  วาล  เห้อออ สงสารใครดี พี่แต่งเก่งมากจริงๆ  สุ้ๆนะคะ

ออฟไลน์ pharm

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่10 [10/12/12]
«ตอบ #99 เมื่อ11-12-2012 00:46:54 »

อ๊ากดีใจๆ มาต่อแล้ว จริงๆนั่งรอทั้งวันแต่มันไม่เห็นอ่ะ  :L2:

แล้วคนอื่นไม่ได้ยินเสียงรึไงปราสาทเงียบขนาดนั้นหรือที่เซเอลปิดหน้าต่างนี่กันเสียงด้วยหว่า :z3:

วาลออกเดินทางไปตามหาแม่ละ 55 ยังกะหนังเดอะลอดไปทำลายแหวน (คิดได้นะ)






CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่10 [10/12/12]
« ตอบ #99 เมื่อ: 11-12-2012 00:46:54 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่10 [10/12/12]
«ตอบ #100 เมื่อ11-12-2012 08:27:29 »

อะนะ กำลังเข้มข้นเลย

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่11 [15/12/12]
«ตอบ #101 เมื่อ15-12-2012 20:06:02 »

ตอนที่ 11 ลำนำแห่งราตรี


   ในที่สุด...หนทางที่จะเยียวยาหญิงสาวผู้ตกอยู่ในห้วงของความเป็นความตายก็หมดไปอย่างสิ้นเชิง แม้จะสังเวยชีวิตผู้คนไปมากมายเพียงใดอาการของเธอก็ไม่ดีขึ้น มีแต่จะทรุดลงทุก ๆ วัน และด้านนอกของปราสาทนั้น ความสงสัยของผู้คนต่อการหายตัวไปของญาติมิตรของเขาได้ก่อตัวใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นความหวาดระแวง กลิ่นของความตายโชยออกมาจากภายในกำแพงจนยากจะปิดบังต่อไปได้

   ความกดดันเริ่มทบทวีทั้งภายในและภายนอกกำแพง

   คนงานหยุดทำงานของตนเองในไร่นาเพื่อประท้วงให้ขุนนางเจ้าของที่ดินเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับครอบครัวของพวกเขา ผู้คนมาชุมนุมนอกประตูทุก ๆ วัน ร้องตะโกนและสาปแช่งเมื่อไม่มีใครแม้สักคนเดียวที่ออกมาให้ความกระจ่างเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา

   แต่ความโกรธนั้นก็ไม่อาจส่งไปถึงขุนนางผู้ตกเป็นเป้าหมายได้ เขาตกอยู่ในความเศร้าโศกและสิ้นหวังจนถึงขีดสุด แม้กระทั่งยอมขายวิญญาณให้แก่ปีศาจเขาก็ไม่อาจจะได้ภรรยาที่รักคืนมา ทำได้เพียงเฝ้ามองเธอจากไปอย่างเงียบงันอย่างนี้

   แม้ว่าเขาจะช่วยเหลือเธอไม่ได้เลย แต่เมื่อเธอตื่นขึ้นจากการหลับใหลก็มักจะยิ้มให้แก่เขา แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ในแต่ละวัน แค่เพียงไม่กี่นาทีก่อนเธอจะสิ้นเรี่ยวแรงและหลับไปอีกครั้ง แต่มันก็เป็นประดุจแสงเทียนริบหรี่ที่ส่องให้เขายังคงมีกำลังใจว่าเธอผู้เป็นที่รักของเขายังมีชีวิตอยู่ ทำให้เขายังหวนนึกถึงเสียงหัวเราะอันสดใสในวันวานภายใต้แสงอาทิตย์อันอบอุ่น ที่มีเขา เธอ และบุตรชาย รวมถึงธารกำนัลทั้งหลายที่อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขไม่เคยนึกทุกข์ร้อนใด ๆ กับอนาคต

   เมื่อเธอบีบมือของเขาด้วยมืออันอ่อนแรงของเธอ แหวนวงเกลี้ยงบนนิ้วเรียวที่แห้งจนเหมือนกิ่งไม้กระตุ้นให้เขาคิดถึงคำสัญญาว่าจะปกป้องดูแลเธอไปจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ

   และจนถึงวันนี้เขาก็ไม่เคยผิดสัญญา เขายังคงปกป้องดูแลเธอแม้ว่าเธอใกล้สิ้นลม

   ทำไม...เขาถึงไม่นึกถึงมันมาก่อนหน้านี้นะ...

   ทำไมเขาจึงหลงลืมช่วงเวลาแห่งความสุขและเอาแต่จมอยู่ในความทุกข์และความบ้าคลั่งเพราะกลัวที่จะสูญเสียสิ่งเดียวที่เป็นที่รักไป

   และในเวลานี้เขาก็ไม่มีที่ให้ถอยกลับไปอีกแล้ว...

   กลอนประตูหน้าที่ทำจากโลหะถูกพังออก ทหารยามไม่อาจต้านคลื่นความโกรธแค้นของผู้คนได้อีกต่อไป พวกเขาเข้ามาพร้อมจอบ เสียม คราด และทุกอย่างที่แรงงานธรรมดาในไร่นาจะสามารถหามาได้ เสียงร้องตะโกนแว่วดังขึ้นมาถึงห้องนอนที่นายหญิงของปราสาทพักผ่อน

   ‘นั่นเสียงอะไรกัน?’ เธอตื่นขึ้นและเอ่ยถามด้วยเสียงอันแผ่วเบาแหบแห้ง

   ‘ไม่มีอะไร แค่เสียงนกร้องในยามเช้าเหมือนทุก ๆ วัน’ ขุนนางตอบภรรยาของตนพลางยิ้ม หูตาของเธอพร่าเลือนฝ้าฟาง เสียงตะโกนสาปแช่งเหล่านั้นคงไม่ต่างกับเสียงนกน้อยร้องระงมรับแสงอาทิตย์ยามเช้า

   ‘นั่นสินะ...ข้าไม่ได้ยินเสียงนกร้องมานานแล้ว ยามเช้าวันนี้ช่างสดใสเหลือเกิน....’

   และเป็นยามเช้าที่แสนมืดมน ท้องฟ้าภายนอกยังไม่มีแสงอาทิตย์ มีเพียงแสงสว่างรำไรจับอยู่บนขอบฟ้าด้านทิศตะวันออก ทั้งที่ควรจะเป็นยามเช้าที่สวยงามเหมือนในทุก ๆ วัน แต่ในวันนี้เขากลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเช้านี้จะไม่เหมือนวันอื่น ๆ และจะไม่มีวันเหมือนอีกต่อไป

   ลมหายใจของหญิงสาวแผ่วเบาและอ่อนระโหย ชีวิตของเธอกำลังจะสิ้นสุดลงในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ทั้งเธอและเขารู้สึกถึงมันได้

   ความตาย...ที่คืบคลานเข้ามา

   ชาวบ้านที่บุกถึงภายในกำแพงปราสาทได้ค้นพบหลุมฝังศพที่ส่งกลิ่นเหม็นเน่าโชยไปทั่วบริเวณ ความโกรธได้แปรเปลี่ยนเป็นความคั่งแค้น พวกเขาทุบทำลายทุกอย่างที่สามารถทำได้ รูปปั้นหิน น้ำพุ และเครื่องประดับสวน ทุกอย่างกลายเป็นเป้าหมายแม้กระทั่งคนรับใช้และยามที่อยู่ภายในบริเวณนั้น ความวุ่นวายก่อขึ้นจากจุดเล็ก ๆ กลายเป็นการจลาจล คนรับใช้ต่างหนีเข้าปราสาทและปิดประตูเพื่อกันชาวบ้านที่คลุ้มคลั่งไว้ภายนอก ทหารยามที่พยายามผลักดันชาวบ้านออกไปก็ถูกรุมทำร้ายจนต้องทิ้งอาวุธและวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน

   ที่สุดแล้วประตูก็แพ้พ่ายต่อกำลังคน คลื่นฝูงชนโถมทะลักเข้าสู่โถงหน้าพร้อมอาวุธครบมือ

   อำนาจการปกครองและสายใยระหว่างขุนนางกับประชาชนได้ขาดสะบั้น

   บุตรชายเจ้าของปราสาทเห็นการดังนั้นจึงเตรียมหาทางหนีทีไล่ด้วยการรวบรวมคนที่ไว้ใจได้ไว้ข้างกายก่อนรุดไปยังห้องที่ผู้เป็นมารดาพำนักอยู่

   เมื่อเขาเปิดประตูเข้าไป เขาก็ได้เห็น....บิดาของตนเองกำลังนั่งก้มหน้าเหนือร่างไร้วิญญาณของหญิงผู้เป็นดังดวงใจ

   และแล้ว ขุนนางผู้นั้นก็ลุกขึ้นยืนโดยอุ้มร่างผอมแห้งของภรรยาขึ้นมาด้วยแขนทั้งสองอย่างทะนุถนอม
   ยิ้ม....ให้แก่บุตรชาย

   รอยยิ้มที่บ่งบอกความหมายมากมายเกินคณานับ ทั้งคำขอโทษ ความปิติยินดี ความเศร้าโศก ความสุข และ...การจากลา

   ‘เราไปดูพระอาทิตย์ยามเช้าด้วยกันอีกครั้งเถอะนะ’

   นั่นเป็นคำสุดท้ายก่อนที่ขุนนางผู้นั้นจะเดินไปที่หน้าต่าง บุตรชายทำได้เพียงเอื้อมมือออกไปทั้งที่รู้ว่าไม่มีทางเอื้อมถึงเมื่อร่างทั้งสองพากันร่วงหล่นสู่พื้นเบื้องล่าง...

   ‘ดูนั่นสิที่รักของข้า...นั่นคือดวงอาทิตย์ของเจ้า....’

   ในวินาทีอันยาวนานนั้น ดวงอาทิตย์ก็เปล่งแสงเรืองรองจากขอบฟ้าพาให้แสงสว่างอาบไปทั่วทั้งบริเวณ ภาพอันสวยงาม บริสุทธิ์ ปราศจากสิ่งใดเจือปนปรากฏต่อสายตาทุกคน เป็นยามเช้าที่สวยงามเกินคำบรรยาย ราวกับของขวัญชิ้นสุดท้ายจากความเมตตาของสรวงสวรรค์แด่ผู้ที่ต้องคำสาปและต้องตกอยู่ในความมืดไปชั่วนิรันดร์ และทันใดที่แสงอาทิตย์สาดส่องมาถึงร่างทั้งสองที่ร่วงหล่นลงมา ก็บังเกิดเปลวไฟขึ้นแผดเผาร่างนั้นจนค่อย ๆ แตกสลายกลายเป็นฝุ่นผงก่อนจะตกถึงพื้นดิน

   ประหนึ่งฝุ่นทรายที่ไร้ค่า....เพียงแค่แตกสลายและปลิวลอยไปกับสายลมเย็นยะเยือก...

   ภาพอันน่าตกตะลึงเกิดขึ้นเพียงชั่วเสี้ยวนาทีแต่เหมือนกับการหยุดเวลาไว้ชั่วกัลป์ จากฟากฟ้าทิศตะวันออก เมฆใหญ่หนาทึบลอยเข้าบดบังดวงอาทิตย์ราวกับเกิดอาเพศ เสียงฟ้าครั่นครืนดังสนั่น เกิดฟ้าแลบแปลบปลาบลงมาเหนือยอดปราสาท และเหล่าผู้คนในปราสาทก็เกิดอาการที่ผิดปกติ พวกเขาล้มลง หอบหายใจและกรีดร้องด้วยความทรมาน ความผิดปกติเหล่านั้นคือสัญญาณเตือนให้ชาวบ้านผู้บุกรุกพากันถอยหนีออกไปด้วยความหวาดกลัว และจนกระทั่งในที่สุด...ปราสาทแห่งนั้นก็ตกอยู่ในความมืดมิด

   นับจากเวลานั้น....กาลเวลาที่ไร้จุดจบของผู้ต้องสาปก็ได้เริ่มต้นขึ้น

   และไม่เคยมีแสงอาทิตย์สาดส่องลงมายังปราสาทหลังนั้นอีกเลย....

   ....วิญญาณของพวกเขาต้องถูกจองจำในร่างกายของปีศาจไปชั่วนิรันดร์....

-------------------------->

   เส้นทางมืดมิดที่ทอดยาวออกไปเบื้องหน้าเป็นเส้นทางที่เขาใช้สัญจรอยู่เป็นประจำเมื่อต้องการออกไปจากป่า ซึ่งตามเส้นทางนี้มันจะนำไปสู่ชายป่าใกล้ทางเข้าออกของหมู่บ้าน

   วาลเซอิคจดจำมันได้ดี เขาเดินตามเซเอลเข้าออกที่นี่ในช่วงแรก และต่อ ๆ มาเขาก็ใช้มันเดินทางด้วยตัวเองเพียงลำพัง ความมืดของผืนป่าเหมือนกับเพื่อนที่อยู่ข้างกายเขา ความเงียบสงัดของผืนป่าคือสิ่งที่เขาคุ้นเคย ทว่า...เมื่อเขานึกย้อนกลับไป เขาก็จำได้อย่างเลือนรางถึงเส้นทางอีกเส้นหนึ่งซึ่งทอดไปสู่อีกสถานที่หนึ่งซึ่งเขาไม่เคยได้กลับไปเยี่ยมเยียนเลยนับแต่เข้าเป็นส่วนหนึ่งของปราสาท

   เส้นทางนั้นในความทรงจำของเขาทั้งน่าหวาดกลัวและยาวไกล

   ในสมัยเด็กเขาคิดว่าเป็นเส้นทางเดียวกัน เพราะไม่ว่าทิศทางใดก็มีแต่ความมืดและต้นไม้หนาทึบ ทว่าเมื่อเขาโตขึ้นและรู้จักที่นี่มากขึ้น เขาพบว่าผืนป่าแห่งนี้กว้างใหญ่และมีหลานส่วนอยู่นอกอาณาเขตของผู้ต้องสาป เพียงแต่มนุษย์ไม่รู้จึงไม่กล้าบุกรุก

   เช่นบ้านของพ่อแม่เขาที่เซเอลเล่าให้ฟังก็เป็นส่วนหนึ่ง...

   แต่บ้านหลังนั้นมอดไหม้ไปแล้ว...

   ถ้าอย่างนั้นบ้านที่อยู่ในความทรงจำของเขานี้คืออะไรกัน? เขามีภาพเลืองรางในหัวถึงชายหญิงชราสองคนที่คอยดูแลเขาภายในบ้านหลังเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านแต่ใกล้กับชายป่า จำได้ว่าตนเองไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้ป่ามากเกินไปและไม่เคยพาเพื่อนมาที่บ้านได้

   หากอยู่นอกเขตป่าก็หมายความว่าอยู่นอกอาณาเขตของเซเอลแน่นอน

   และโดยที่ไม่ได้คิดถึงเหตุผลใด ๆ มากกว่านั้น วาลเซอิคก็เริ่มออกเดินไปบนเส้นทางมืดมิดที่ชื้นแฉะ เขาไม่มีเหตุผลใดพิเศษที่จะตามหาสถานที่ในความทรงจำ เพียงแค่....เขาอยากจะรู้ว่าตนเองยังมีที่อื่นให้สามารถพักพิงได้ในโลกภายนอกนั่น เพราะนอกจากปราสาทหลังนี้แล้วเขาไม่สามารถจะไปที่ใดได้อีก การพบสถานที่ของตนเองอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาสามารถดึงตัวเองออกมาจากโลกของเซเอลได้ก็เป็นได้

   ทีละก้าว ความทรงจำเก่า ๆ ก็ย้อนกลับมาทีละน้อย

   ช่วงเวลานั้นที่เขาเดินตามหลังเซเอลต้อย ๆ โดยที่อีกฝ่ายไม่หันกลับมามองเขาเลย ในตอนนั้นเซเอลคือคนที่แสนเย็นชาและน่ากลัว เมื่อไหร่กันนะที่เขาเริ่มรู้สึกอยู่ใกล้ฝ่ายนั้น ตอนที่ฝันถึงครั้งแรกหรือเปล่า....ที่เขาฝันถึงเรือนร่างขาวซีดในความมืด ทอดกายบนผ้าปูเตียงสีเข้ม เชิญชวนให้เขาสัมผัสและโอบกอด หรือว่าจะเป็นก่อนหน้านั้น...ที่เขารู้สึกว่าเซเอลมีเสน่ห์ลึกลับอย่างน่าประหลาด จึงได้เริ่มปรารถนา...

   วาลเซอิคยกมือปิดปากตัวเองแล้วหน้าแดงวาบ

   ใช่สิ เขาทำเรื่องแบบนั้นลงไปจริง ๆ แล้วเมื่อครู่ หากพูดตรง ๆ คือเขารู้สึกยินดีปรีดาจนห้ามตัวเองไม่ได้ที่ได้ครอบครองร่างนั้น แต่ก็ยังปวดใจอยู่ลึก ๆ ที่รู้ว่าอย่างไรสำหรับเซเอล เขาก็ยังคงเป็นเด็กคนหนึ่งที่วิ่งไล่ตามแผ่นหลังของตนเองอยู่วันยันค่ำ

   เซเอลจะเกลียดเขามากไหมนะ?

   ถ้าหากได้พบกันอีกครั้ง เซเอลจะรังเกียจเขาหรือเปล่า...

   ในตอนนั้นเขาอาจจะกลับไปพร้อมกับแม่ เซเอลอาจจะมีความสุขที่ได้พบหญิงคนรัก ส่วนเขาอาจจะกลายเป็นแค่คนนอกก็ได้ เพราะตัดสินใจว่าจะตามหาแม่ของตนเอง จึงได้มีความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมา ทั้งหึงหวงและอยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ อย่างน้อยครั้งหนึ่งก็ขอให้เซเอลมองเขาในฐานะผู้ชายคนหนึ่งบ้าง....

   แต่ถ้าไม่พบแม่ของเขา....หรือเธอตายไปแล้ว เขาจะทำยังไงนะ?

   เขาไม่ได้คิดเผื่อจุดนี้ไว้เสียด้วย

   แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็คงพยายามเอาชนะใจเซเอลให้ได้เหมือนเดิม ดังนั้นตอนนี้มีแต่เขาต้องเดินหน้าไปพิสูจน์เอาความจริงเท่านั้น เมื่อทุกอย่างกระจ่างแล้ว เซเอลก็จะได้ไม่มีข้ออ้างเดินหนีเขาไปได้อีก

   วาลเซอิคคิดไปขณะเดินอกมาตามทางที่ตนเองไม่เคยคุ้นแต่พอจะจำได้บ้างว่าควรจะไปในทิศทางใด และเมื่อรู่ตัวอีกครั้ง เขาก็พบว่าตนเองมายืนอยู่ในบริเวณว่างโล่งตรงชายป่า ข้างหน้านั้นมีบ้านไม้หลังเล็กอยู่หลังหนึ่งที่ทับซ้อนอย่างพอดิบพอดีกับภาพในความทรงจำอันห่างไกล

   รอบ ๆ บ้านเงียบสนิทเหมือนไม่มีคนอยู่ เด็กหนุ่มพาตัวเองเข้าไปใกล้บ้านหลังนั้น ไม่มีแสงไฟจากข้างในแม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลากลางคืน คาดเดาได้สองอย่างคือ...บ้านหลงนี้ร้างคนอาศัย หรือไม่ก็คงเข้านอนกันหมดแล้ว แต่ไม่ว่าข้อไหนเขาก็ต้องลองพิสูจน์ด้วยตัวเองอยู่ดี วาลเซอิคจึงเดินไปที่ประตูและลองแตะดู

   ไม่มีฝุ่น...

   บานประตูไม้ยังใหม่เหมือนเพิ่งจะเปลี่ยนไปในเร็ว ๆ นี้ ซ้ำยังไม่มีคราบฝุ่นจับ แสดงว่าบ้านหลังนี้ยังมีคนอาศัยอยู่อย่างแน่นอน

   ถ้าอย่างนั้น...ก็คงเข้านอนกันหมด...

   เขาคงไม่ควรจะรบกวนเจ้าของบ้านในเวลานี้ วาลเซอิคถอนหายใจแล้วเดินถอยหลังออกมา แต่เขาก็ต้องชะงักเท้าเมื่อรู้สึกเย็นวูบบนสันหลัง ด้วยสัญชาตญาณป้องกันตัว เด็กหนุ่มรีบหมุนตัวไปเผชิญหน้ากับบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ข้างหลังของตนเองทันที

   ร่างที่อยู่ตรงนั้น....คือร่างในผ้าคลุมที่ยาวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

   ถ้าเขาจำไม่ผิด....เขาเคยเห็นมาก่อน

   เป็นคน ๆ เดียวกับที่เขาเห็นตอนไปที่หอนาฬิกาแน่นอน เขามั่นใจในลางสังหรณ์ของตนเอง

   วาลเซอิคเลื่อนมือไปจับที่เอวของตนเอง ก่อนพบว่าเขาสะเพร่าเกินไปจนลืมพกพาอาวุธออกมาด้วย เขาตัดสินใจทิ้งเป้ลงบนพื้น อย่างน้อยจะได้ป้องกันตัวได้สะดวก

   แต่ในวินาทีที่เป้หล่นลงบนพื้นนั้น เขายังไม่ทันจะได้ตั้งการ์ด ร่างในผ้าคลุมก็พุ่งวูบเข้าใส่ด้วยเจตนาร้ายอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาสีแดงที่ซุกซ่อนใต้ผ้าคลุมเปล่งประกายกระหายเลือด อุ้งมือทั้งสองยื่นมาข้างหน้าและข่วนเข้ากับแขนของเขาที่ยกขึ้นป้องกันตัวอย่างฉิวเฉียด

   กลิ่นเลือดกำจายออกมา...

   มันได้กระตุ้นให้อีกฝ่ายยิ่งโจมตีรุนแรงด้วยเล็บคมที่ตะปบเข้ากับต้นแขน

   วาลเซอิคถูกดันชิดบานประตูโดยไม่มีทางหนี ครั้นจะเบี่ยงออกข้างก็คล้ายจะไม่สามารถหลบทันความเร็วระดับนี้ได้

   เขามีประสบการณ์การเผชิญหน้ากับผู้ต้องสาปมาแล้วสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อหัวค่ำที่ผ่านมา แม้คัลดิชและคัลมาร์จะจงใจออมมือให้เขาเล็กน้อยโดยพุ่งเป้าไปที่อัลเรส แต่มันก็ทำให้รู้ซึ่งถึงขีดจำกัดระหว่างร่างกายของมนุษย์และผู้ต้องสาปได้เป็นอย่างดี

   พลังกายแบบนี้ กรงเล็บแหลมคม และดวงตาสีเลือด คนตรงหน้าเขาคือผู้ต้องสาปอย่างแน่นอน

   ทั้งที่หลบเร้นจากสายตาเซเอลมาได้ตลอด ทำไมในเวลานี้เขาถึงพบอีกฝ่ายได้ง่ายดายนัก? และทำไมอีกฝ่ายจึงเข้าโจมตีเขาทั้งที่คราวก่อนหลบหนีไปเฉย ๆ ?

   หรือว่า....บ้านหลังนี้?

   บางทีผู้ต้องสาปตรงหน้าเขาอาจจะอาศัยอยู่ที่นี่ก็เป็นได้ เพื่อหลบซ่อนจากสายตาของมนุษย์และสายตาของเซเอล ที่นี่อยู่นอกอาณาเขตและไม่ได้อยู่ใกล้หมู่บ้านมากนัก แล้วที่นี่จะมีผู้ต้องสาปอื่นอยู่อีกหรือเปล่า? ไม่ใช่ว่าเขาพาตนเองมาเป็นอาหารโดยไม่รู้ตัวหรอกหรือ?

   “อึ่ก!” วาลเซอิคกลั้นเสียงร้องเมื่อบาดแผลบนต้นแขนของเขาเปิดกว้าง กรงเล็บคมถูกเงื้อขึ้นอีกครั้ง หมายจะเผด็จศึกเหยื่อในครั้งเดียว

   วาลเซอิคหลับตาลงคิดว่าตนเองอาจจะไม่รอดก็เป็นได้

   แต่แล้ว....อยู่ ๆ ผู้ต้องสาปก็หยุดชะงักการกระทำของตนเอง....

   .....

   เด็กหนุ่มที่เตรียมใจครึ่งหนึ่งว่าอาจจะไม่รอดจากสถานการณ์นี้ลืมตาขึ้นด้วยความสงสัย

   เกิดอะไรขึ้น?

   เมื่อเขาลืมตา สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าคือร่างนั้นที่คลุมผ้าสีหม่นไม่ได้เปลี่ยนแปลง ทว่า....ใบหน้าที่กระหายเลือดเมื่อครู่กลับแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าของหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังมองเขาด้วยสายตาตกตะลึงก่อนที่ริมฝีปากจะค่อย ๆ แย้มรอยยิ้ม และมือที่กางกรงเล็บก็ลดลงมาสวมกอดเขา วาลเซอิคงงงันกับเหตุการณ์ที่กลับตาลปัตรอย่างกะทันหัน ได้แต่ปล่อยให้ตนเองถูกอีกฝ่ายกอดนิ่งอย่างนั้น

   อะไร? ทำไม?

   เขาได้แต่ถามตัวเองในใจขณะที่หญิงสาวซบใบหน้าลงกับอกของเขาราวกับเป็นคนรักกัน

   “เจ้ากลับมาแล้ว....วาเลซ”

   .....วาเลซ?

---------------------------->

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่11 [15/12/12]
«ตอบ #102 เมื่อ15-12-2012 20:06:20 »

   ถึงแม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องจำเป็นก็ตาม แต่คัลดิชก็ยังสงสัยว่าเหตุใดเซเอลจึงต้องให้เขาไปคอยติดตามจับตาดูมนุษย์ที่ชื่ออัลเรสด้วย และหลังจากรับคำสั่งแล้ว ชายหนุ่มก็กลับมาที่ห้องของตัวเองพร้อมกับความสงสัย เพราะหากคิดจะสืบดูเรื่องผู้ต้องสาปอื่นจริง ๆ แล้ว แค่คอยไปเฝ้าตรงที่เกิดเหตุบ่อย ๆ น่าจะเข้าท่าเสียกว่า ไม่เห็นมีความจำเป็นที่จะต้องไปคลุกคลีกับมนุษย์เพื่อเฝ้ารอคำตอบที่ไม่รู้ว่ามีจริงหรือไม่สักนิด

   เรื่องที่ผู้เคราะห์ร้ายคือพี่สาวของมนุษย์คนนั้นก็เป็นเหตุผลที่เข้าที แต่สาเหตุที่หายตัวไป อาจจะเป็นไปได้ว่าถูกพาไปกินที่อื่นก็เป็นได้ไม่ใช่หรือ?

   แล้วยังเรื่องผู้ต้องสาปคนอื่นนอกจากพวกเขาอีก...

   นอกจากพวกเขาแล้ว คนที่เป็นไปได้ก็คงจะเหลือแค่....ริเรีย

   เพราะเธอกลายเป็นผู้ต้องสาปไปด้วยเลือดของเขาเอง แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีทางเป็นไปได้ที่เธอจะแพร่คำสาปออกไป

   ช่างเป็นผู้หญิงที่นำความเดือดร้อนมาให้จริง ๆ ...

   คัลดิชพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด ทั้งที่ความจริงแล้วข้างนอกนั่นจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่เกี่ยวกับพวกเขาแท้ ๆ การที่พวกเขารวมตัวกันที่ปราสาทนี้ก็เพราะที่นี่คือดินแดนที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อผู้ต้องสาปที่ถูกปฏิเสธจากโลกนี้เท่านั้น มันคืออาณาเขตที่พวกเขาต้องปกป้องดูแล ส่วนมนุษย์ข้างนอกนั่น....ที่ปฏิเสธการมีอยู่ของพวกเขาและเลือกจะจากที่นี่ไปอย่างถาวรเพราะหวาดกลัวต่อสิ่งที่ตนเองไม่รู้จัก ทำไมพวกเขาจะต้องไปเป็นเดือดเป็นร้อนด้วย และถึงข้างนอกจะมีผู้ต้องสาปคนอื่น มันก็เป็นทางเลือกของคน ๆ นั้นเองที่จะอยู่ในหมู่มนุษย์และออกล่าในฐานะนักล่าตามที่คำสาปกำหนดมา เขาไม่เข้าใจเลยว่าเซเอลกำลังคิดอะไรอยู่

   เป็นห่วงวาลเซอิค....หรือตัดใจจากริเรียไม่ได้...

   ถ้าหากเขาไม่พูดออกไปว่าริเรียไม่ได้ตายในวันนั้น เซเอลจะออกคำสั่งแบบนี้กับเขาอยู่หรือเปล่า? แล้วจะปล่อยให้วาลเซอิคจากไปแบบนี้หรือเปล่า?

   เจ้าเด็กนั่นก็ช่างน่าสงสารจริง ๆ ...

   “เจ้าถอนหายใจจนเสียงออกไปถึงข้างนอกแล้วนะ” คัลมาร์เปิดประตูพร้อมโผล่หน้าเข้ามา “นายท่านเป็นยังไงบ้าง? แปลกนะที่เรียกเจ้าไปหาที่ห้อง”

   “ก็ยังสบายดี พวกเราไม่ป่วยไข้กันอยู่แล้วเจ้าก็น่าจะรู้”

   “ก็ใช่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าวาลเซอิคจากไปแล้ว” ชายหนุ่มผู้เป็นฝาแฝดถือวิสาสะเข้ามาในห้องและเดินผ่านไปที่หน้าต่าง

   “ข้ารู้ นายท่านก็ด้วย” คัลดิชไหวไหล่ “เจ้าว่าเขาจะกลับมาหรือไม่?”

   “ก็อาจจะ ความจริงข้าก็รู้สึกมานานแล้วว่าวาลเซอิคเหมือนจะรู้สึกพิเศษกับนายท่านอยู่ แต่อาร์วิน่าก็บอกข้าเสมอว่าข้าแค่คิดไปเอง” คัลมาร์รู้สึกขบขันหญิงสาวที่เหมือนจะรู้อยู่แก่ใจแต่ก็ยังปฏิเสธเพราะคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ ถึงอย่างนั้นตอนนี้อาร์วิน่าคงปฏิเสธไม่ลงอีกต่อไปแล้ว “ดังนั้นข้าจึงคิดว่า หากเขามีความหวังเขาก็คงจะกลับมา แต่เรื่องของแม่ก็กวนใจเขาอยู่”

   “บางทีช่วงเวลาหลังจากนี้อาจจะเริ่มน่าเบื่อก็เป็นได้” ชายหนุ่มถอนหายใจพลางมองไปยังแผ่นหลังของฝาแฝดและผ่านออกไปนอกหน้าต่างสู่ความเวิ้งว้างอันมืดมิด ชีวิตของพวกเขาตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา ซ้ำ ๆ เดิม ๆ อยู่กับการดื่มกินเลือดของผู้อื่น มองดูกาลเวลาที่เคลื่อนคล้อยผ่านไปโดยที่ตนเองไม่ได้อยู่ในกระแสกาลนั้น ไม่มีสิ่งใดพิเศษเกิดขึ้นในชีวิตของพวกเขามานานแล้ว จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อมีเด็กชายตัวน้อยเดินทางมายังสถานที่นี้ ทำให้กิจวัตรประจำวันของพวกเขาเปลี่ยนไปไม่เคยซ้ำซากจำเจ

   มนุษย์....เปลี่ยนแปลงไปในทุก ๆ วัน

   ต่างกับพวกเขาที่ไม่เคยแปรเปลี่ยนไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา...กระทั่งจิตวิญญาณ

   เด็กคนนั้นทำให้เกิดสีสันในความมืดมิด เป็นช่วงเวลากว่าทศวรรษที่ช่วยทดแทนความว่างเปล่าที่ดำเนินมาแสนนาน

   วาลเซอิคอาจจะไม่รู้ตัวก็เป็นได้ ว่าสำหรับพวกเขาแล้ว เจ้าตัวเป็นเสมือนดวงไฟเล็ก ๆ ในความมืดที่ทำให้พวกเขาได้รู้สึกถึงการมีชีวิตอยู่อีกครั้ง บางทีนี่คงเป็นความรู้สึกของเซเอลเมื่อได้พบกับริเรียกระมัง? เพราะอย่างนั้นจึงได้หลงรักหญิงสาวคนนั้นที่ตนเองไม่มีวันได้ครอบครอง

   ต่างกันเพียงสำหรับพวกเขาแล้ววาลเซอิคเป็นเสมือนน้องชาย

   แล้วสำหรับเซเอล วาลเซอิคเป็นเพียงตัวแทนของริเรียเท่านั้นเองหรือ?

   “เจ้านี่ใจดีผิดกับภายนอกนะคัลดิช” คัลมาร์กล่าวขึ้นพลางหัวเราะเมื่อเห็นฝาแฝดของตนเองกำลังเหม่อลอยออกไปไกล กระนั้นเขาก็คาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่

   “อย่าเดาใจข้าตามใจชอบสิ” บางครั้งการเป็นฝาแฝดที่ใกล้ชิดเกินไปก็น่ารำคาญนิดหน่อย เพราะคัลมาร์ไม่เคยเดาใจเขาพลาดเหมือนกับที่เขาไม่เคยเดาเจ้าตัวพลาด

   “ไหน ๆ เจ้าก็ต้องออกไปจากป่าอยู่แล้ว พวกเราไปเดินเล่นกันสักหน่อยดีหรือไม่?”

   “การเดินเล่นของเจ้าไม่ใช่เรื่องปกติแน่” ถึงปากจะว่าอย่างนั้น คัลดิชก็ยอมลุกขึ้นและเดินตามไปที่หน้าต่าง “อาร์วิน่าล่ะ?”

   “นางไม่ค่อยชอบสถานที่ที่เราจะไปสักเท่าไหร่” คัลมาร์โคลงศีรษะแล้วกระโดดลงจากหน้าต่างไปก่อน

   ทั้งสองมุ่งหน้าออกจากป่าไปทางย่านเริงรมย์ของหมู่บ้าน แน่นอนว่าเป็นบริเวณเดียวในตอนนี้ที่คึกคักมีชีวิตชีวา พวกเขาจึงไม่ได้เข้าไปข้างใน เพียงแค่เดินวนด้านนอกไปจนถึงด้านหลังและหยุดอยู่บริเวณที่ต่อกับชายป่า สถานที่เดียวกับที่อัลเรสพบสร้อยคอของริเรีย

   “คิดยังไงถึงพาข้ามาที่นี่? หรือเจ้าคิดว่าจะพบศพหญิงมนุษย์คนนั้น?”

   คัลมาร์ยิ้มน้อย ๆ แล้วมองไปรอบตัว

   “เจ้าคิดว่าทำไมถึงมีการตายแต่ที่แบบนี้?”

   “ตอนพวกเรามาล่าก็มาในที่แบบนี้ไม่ใช่หรือไง ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน” คัลดิชมุ่นคิ้ว เพราะย่านเริงรมย์เป็นสถานที่ซึ่งมนุษย์พลุกพล่านในช่วงกลางคืน พวกเขาสามารถแฝงตัวเข้าไปในหมู่มนุษย์ที่กำลังเมามายและรื่นเริงกับแสงสีโดยง่าย แค่เพียงหลอกล่อสักคนไปทำให้หมดสติและดื่มกินเลือดจนพออิ่ม คนเหล่านั้นแทบจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เรียกว่าเป็นวิธีที่ง่ายดาย สะดวก และปลอดภัยกว่าการไปล่อลวงมนุษย์ที่กำลังหลับใหลออกมาจากบ้านเป็นไหน ๆ

   “แต่หากมีผู้ต้องสาปที่อยู่ภายนอกตอนนี้ ก็ต้องเป็นพวกรุ่นหลัง ๆ ที่ไม่ได้รับคำสาปโดยตรงแบบพวกเรา แปลว่าพวกเขาไม่เคยถูกสอนเรื่องการล่ามาก่อน เจ้าคิดว่าจะเป็นไปได้หรือที่พวกเขาลองผิดลองถูกได้อย่างแนบเนียนไม่มีข่าวคราวเรื่องการอาละวาดของปีศาจดูดเลือดเลยตลอดเวลาที่ผ่านมา”

   ข้อสันนิษฐานของคัลมาร์ก็มีเหตุผล

   “ก็ยังไม่ได้ฟันธงว่าเป็นผู้ต้องสาป เพียงแค่นายท่านค่อนข้างมั่นใจเท่านั้น”

   “ไม่หรอก นายท่านเดาถูกแล้ว หากเป็นสัตว์ป่าแม้จะต้องการเก็บเหยื่อไว้ยังไงเขี้ยวเล็บของพวกมันก็ทำให้เกิดบาดแผล แต่แถวนี้ไม่มีกลิ่นเลือดเลยสักนิด”

   ก็จริง...

   คัลดิชตอบในใจ

   “แล้วเจ้าคิดยังไงถึงพาข้ามาคุยเรื่องนี้ที่นี่ หรือว่าเจ้าอยากเล่นเกมนักสืบ?”

   “เปล่าหรอก เพียงแต่ข้าอยากถามเจ้า”

   “ถาม?” คัลดิชมุ่นคิ้ว นาน ๆ ครั้งพวกเขาจึงจะพูดคำนี้ออกมาเพราะโดยส่วนใหญ่จะเดาความคิดอีกฝ่ายไว้อยู่แล้วจึงไม่มีความจำเป็นต้องถามอะไรอีก

   “เจ้าคิดว่านี่คือฝีมือของริเรียใช่หรือเปล่า?”

   อะไรกัน....ก็เดาเอาไว้อยู่แล้วนี่

   แน่นอนว่าคัลมาร์พูดถูกอย่างเคย แต่จะให้เดาเป็นคนอื่นได้หรือ แม้เขาจะพยายามคิดว่าริเรียอาจแพร่คำสาปออกไป แต่ในความเป็นจริงแล้วมันเป็นเรื่องยากมากที่มนุษย์จะคิดอยากดื่มเลือดของคนอื่น อย่างกรณีของริเรียนั้นมันคือความคลุ้มคลั่งและจนตรอก ซึ่งหากไม่ได้อยู่ในสถานการณ์นั้น เขาก็ไม่คิดว่าอยู่ ๆ เธอจะอยากเปลี่ยนตัวเองให้เป็นอย่างพวกเขา

   “หากนางยังไม่ตายก็คงใช่” เขาตัดสินใจตอบแบ่งรับแบ่งสู้ ใจจริงแล้วเขาไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น เพราะวี่แววความยุ่งยากมักโผล่ขึ้นมาในหัวเขาพร้อมกับชื่อของเธอทุกครั้งไป...

   “เช่นนั้นข้าจะลองสมมติอะไรบางอย่างขึ้นมาสักหน่อยก็แล้วกัน” คัลมาร์มุ่นคิ้วขณะเดินวนไปรอบ ๆ “ก่อนหน้านี้ แม้ว่าริเรียจะเปลี่ยนไปด้วยเลือดของเจ้า แต่กลับไม่มีข่าวเรื่องปีศาจในหมู่บ้าน หรือกระทั่งมนุษย์ที่ตายอย่าปริศนา แล้วนางที่คลุ้มคลั่งไปแล้วคงไม่มีทางกลับมาเป็นปกติได้ ดังนั้นนางไม่น่ามีสติมากพอจะหลบซ่อนอย่างพวกเรา ทำได้เพียงทำตามสัญชาตญาณเท่านั้น”

   “ใช่ ข้าเองก็คิดอย่างนั้น บางทีที่ไม่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นในหมู่มนุษย์คนเพราะนางแฝงตัวในป่านอกเขตของนายท่านและกินเลือดของสัตว์ก็เป็นได้”

   “หรือไม่ก็มีคนช่วยเหลือ”

   สายตาของคัลดิชฉายแววคลางแคลงใจออกมา

   “ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก” เขาส่ายหัวทันทีเมื่อลองคิดตริตรองแล้ว “มนุษย์ขี้ขลาดเกินกว่าจะยอมช่วยเหลือพวกเรายกเว้นว่าจะเกี่ยวพันถึงชีวิต อย่างเช่นข้าขู่ว่าหากไม่ช่วยเหลือข้า จะสังหารคนที่พวกมันรักให้หมด แต่เจ้าคิดหรือว่าริเรียจะทำเช่นนั้นได้?”

   “เรื่องนั้นพักเอาไว้ก่อนเถอะ ถึงเถียงกันไปก็คงไม่ได้บทสรุป” คัลมาร์โบกไม้โบกมือ “จุดที่ข้าสงสัยคือทำไมนางจึงหายไปนานกว่าจะกลับมาอีกครั้งเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ระหว่างนั้นนางหายไปไหน? และทำไมจึงปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งและเลือกที่นี่เป็นลานล่า”

   ข้อสงสัยของคัลมาร์นั้น หากสามารถไขออกได้ทุก ๆ อย่างคงกระจ่างขึ้น แต่ใครเล่าจะรู้คำตอบนี้นอกจากตัวริเรียเอง...

   และหากว่าสิ่งที่ก่อความวุ่นวายตอนนี้คือริเรีย....เธอที่ซุกซ่อนตัวมาตลอดจะปรากฏตัวออกมาเพื่ออะไร และเกี่ยวกับวาลเซอิคหรือไม่....

   บางที่นั่นอาจจะเป็นคำตอบที่เซเอลต้องการจริง ๆ ก็เป็นได้...

TBC

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่11 [15/12/12]
«ตอบ #103 เมื่อ15-12-2012 21:35:42 »

วาลเซอิคเจอแม่แล้วสินะ
แล้วแบบนี้มันจะเป็นยังไงต่อล่ะเนี่ย

ออฟไลน์ ตัวเลข

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่11 [15/12/12]
«ตอบ #104 เมื่อ15-12-2012 22:13:14 »

ข้อสงสัยของคัลมาร์น่าคิดนะ มันน่าสงสัยจริงๆ

ออฟไลน์ phakajira

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่11 [15/12/12]
«ตอบ #105 เมื่อ16-12-2012 01:27:05 »

ปวดหัวแทน วาล 555

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่11 [15/12/12]
«ตอบ #106 เมื่อ16-12-2012 13:36:41 »

ตอนที่ 10 บางทีเราก็ชอบอ่านฉากจึ๊กๆๆอ่ะนะ แต่ตอนนี้เป็นฉากที่อ่านแล้วปวดหัวใจสุดๆ สงสารทั้งเซเอล ทั้งวาลเซอิคอ่ะ เรารู้สึกว่ารักแรกอ่ะ ลืมไม่ลงอยู่แล้ว ยิ่งมีน้องวาลที่คล้ายกับคนที่เคยรักมาอยู่ข้างๆ ก็อาจจะตีกันผสมปนเปกันไป (แต่ไงๆก็ไม่ใช่คนเดียวกันอยู่แล้ว) ส่วนน้องวาลก็ยังวัยสะรุ่นเด็กน้อย อารมณ์ก็เป็นไปตามประสา น้องวาลเองก็เจ็บ ส่วนเซเอลก็ดูจะจำยอมแบบไม่มีทางเลือกอ่ะ มันเลยหน่วงได้ซะขนาดนี้  :o12:
ตอนที่ 11 ริเรียอาจจะเห็นภาพสามีซ้อนทับกับลูกชายตัวเองก็ได้นะ แต่สิ่งที่คัลมาร์สงสัยอ่ะ ถ้าไขกระจ่างได้ ทุดอย่างก็เฉลยหมด ประเด็นคืออ่านตอนนี้แล้วยังเดาไม่ได้นี่สิ มันถึงค้างคา  :sad4: แล้วเอลยาไปไหนเนี่ย ริเรียก็อยู่นี่แล้ว อย่าเป็นอะไรนะๆๆๆ

รอตอนหน้าค่า

ออฟไลน์ pharm

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่11 [15/12/12]
«ตอบ #107 เมื่อ16-12-2012 16:23:40 »

 :L2:

 :L2:

 :L2:

ออฟไลน์ threetanz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 766
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่11 [15/12/12]
«ตอบ #108 เมื่อ16-12-2012 19:05:41 »

สวัสดีค่ะคุณนักเขียน

มาติดตาม และติดใจอ่านครั้งแรก

อ่านตอนแรกๆ พูดได้คำเดียวว่างงมากๆ ค่ะ

แต่พออ่านไป อ่านไป ทีนี้กลายเป็นหยุดไม่อยู่ 55

มาต่อไปไวไวนะคะ

ติดตามๆ

ออฟไลน์ RUMINA

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่11 [15/12/12]
«ตอบ #109 เมื่อ16-12-2012 20:51:22 »

โอ้ น่าติดตามมากเลยค่ะ^^

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่11 [15/12/12]
« ตอบ #109 เมื่อ: 16-12-2012 20:51:22 »





ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่11 [15/12/12]
«ตอบ #110 เมื่อ16-12-2012 23:11:47 »

ปวดหัว ซับช้อนจังน๊า เฮ้อ เดาไม่ถูกเลย

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่11 [15/12/12]
«ตอบ #111 เมื่อ16-12-2012 23:12:01 »

ปวดหัว ซับช้อนจังน๊า เฮ้อ เดาไม่ถูกเลย

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่12 [17/12/12]
«ตอบ #112 เมื่อ17-12-2012 19:33:32 »

ตอนที่ 12 ผู้มาเยือนที่ไม่คาดฝัน


   “แหม ตายจริง หลานคงตกใจแย่เลยสินะที่อยู่ ๆ ก็เจอเรื่องแบบนี้” หญิงชราท่าทางใจดียิ้มแย้มขณะยกอาหารมาให้เขา กลิ่นซุปร้อน ๆ โชยแตะจมูก เด็กหนุ่มกวาดสายตาไปรอบตัวและรู้สึกคุ้นเคยกับสถานที่นี้พร้อม ๆ กับความแปลกตาแปลกใจ ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมจากสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานถึงกลายเป็นแบบนี้ได้นั้น คงต้องย้อนกลับไปราว ๆ ชั่วโมงหนึ่ง

   จากที่เขากำลังถูกโจมตีด้วยแรงอาฆาตมาดร้าย อยู่ ๆ หญิงสาวในชุดคลุมก็โผเข้ากอดเขาก่อนเรียกชื่อของคน ๆ หนึ่งออกมา

   “วาเลซ”

   วาเลซ?

   “เดี๋ยวก่อน...ข้าไม่ใช่....” เขาพยายามจะอธิบายว่าตนเองไม่ใช่คนที่อีกฝ่ายกำลังพูดถึง ทว่าเสียงของเขาก็เหมือนถูกละเลย หญิงสาวเลื่อนมือขึ้นสัมผัสใบหน้าด้วยสายตาห่วงหาอาทร ภายในดวงตาสีแดงเลื่อนลอยนั้นปรากฏประกายแห่งความห่วงใยและคิดคำนึง

   ถ้าอย่างนั้นวาเลซคือใครกัน? คนรักของเธออย่างนั้นหรือ?

   และคน ๆ นั้นอาจจะมีใบหน้าเหมือนกับเขา?

   บางทีนั่นอาจจะเป็นเหตุผลเดียวที่เธอไม่คิดจะฆ่าเขาแล้วก็เป็นได้ ดังนั้นเพื่อยื้อชีวิตตนเองเอาไว้ เขาจึงตัดสินใจที่จะปล่อยให้หญิงสาวทำตามความต้องการจนกว่าจะคิดออกว่าตนเองจะใช้หนทางใดออกไปจากสถานการณ์ตรงหน้านี้ได้บ้าง

   แต่แล้ว หูของเขาก็แว่วเสียงปลดกลอนประตูจากด้านใน

   คนในบ้านตื่นแล้วหรือ?

   ในสภาพนี้เขาไม่อาจขยับตัวหันมองอะไรได้เลยนอกจากพยายามเงี่ยหูฟังบทสนทนาที่ไม่ได้ศัพท์ด้านหลังประตูไม้บานนี้

   และโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ประตูไม้ก็ถูกดึงเปิดออกทำให้ทั้งเขาและหญิงสาวคนดังกล่าวเซถลา ตัวเขาถูกน้ำหนักผลักให้หงายหลังล้มตึงลงไปบนพื้นโดยมีเธอทับอยู่ด้านบน

   สายตาของเขากวาดมองขึ้นไป และพบกับใบหน้าตกตื่นของหญิงชายชราสองคน ในมือของพวกเขาถือมีดและขวานอยู่ ซึ่งคงพร้อมสับลงมาบนร่างเขาหากว่าไม่มีหญิงสาวอีกคนนอนทับอยู่

   “พ่อคะ แม่คะ วาเลซกลับมาแล้ว” ผู้ต้องสาปเงยหน้าขึ้นและพูดกับเจ้าของบ้านผู้ชราคู่นั้น

   สายตาสองคู่ต่างฉายแววคลางแคลงและหันมองเขาอย่างพิจารณา แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้คิดแบบที่หญิงสาวกล่าว เพียงแต่คำพูดของเธอก็ทำให้พวกเขายอมลดอาวุธลงในที่สุด แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจไม่ใช่เรื่องนั้น...แต่เป็นการที่ผู้ต้องสาปคนนี้เรียกทั้งสองว่าพ่อแม่ต่างหาก มันหมายความว่ายังไงกัน? ผู้ต้องสาปมีพ่อแม่เป็นมนุษย์อย่างนั้นหรือ? นั่นแปลว่าเธอคนนี้ไม่ได้เป็นผู้ต้องสาปมาแต่แรก เพียงแต่...ได้รับคำสาปผ่านทางสายเลือดของผู้ต้องสาปคนอื่นเท่านั้น และคนที่มีโอกาสที่จะเป็นเช่นนั้นได้....

   “ลุกขึ้นก่อนเถอะริเรีย เขาตกใจจะแย่แล้วเห็นไหม?” ชายชรากล่าวกับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและค่อย ๆ พยุงเธอขึ้น

   แต่...ชื่อของเธอนั้นสะดุดหูของเขา...

   ริเรีย....

   จริง ๆ สินะ...

   ผู้หญิงคนนี้คือแม่ของเขา!?

   ชายชราเจ้าของบ้านจูงบุตรสายไปให้ภรรยาดูแลส่วนตนเองก็เดินกลับมาที่เขาซึ่งกำลังพยุงตัวเองขึ้นจากพื้น สายตาเคลือบแคลงที่ส่งมายังเขานั้นบ่งบอกได้ดีว่าตัวเขาไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย

   “แกเป็นใคร” พร้อมกับคำถาม ขวานเล็กก็ถูกยื่นมาตรงหน้า หากเขาพูดจามีพิรุธ แทนที่จะตายเพราะผู้ต้องสาปอาจกลายเป็นถูกฆ่าโดยมนุษย์ธรรมดาก็เป็นได้...

   แต่เขาจะตอบยังไงได้ล่ะ?

   แค่คนผ่านมาหรือ? หรือว่าคนที่เพิ่งออกมาจากป่าจึงไม่มีที่ไป?

   มันจะยิ่งดูน่าสงสัยกว่าเดิมเสียมากกว่า....

   “...ข้าชื่อวาลเซอิค” เขาตัดสินใจตอบแค่เพียงชื่อ ทว่าชื่อของเขากลับมีอิทธิพลมากกว่าที่คิดเพราะทั้งชายชราและหญิงชราที่ยืนห่างออกไปต่างแสดงสีหน้าตกตะลึงระคนอัศจรรย์ใจออกมา โดยเฉพาะชายชราที่ยื่นหน้าเข้ามาพินิจพิจารณาใบหน้าของเขาอย่างขะมักเขม้น

   “วาลเซอิคจริง ๆ น่ะหรือ?”

   สองคนนี้รู้จักเขาด้วยหรือ?

   และใช่...เขารู้ในเวลาต่อมาว่าทั้งสองรู้จักเขา เพียงแต่ไม่ใช่ในแบบที่เขาคาดคิด เพราะในตอนแรกเขาคิดว่าทั้งสองรู้จักเขาในฐานะลูกชายที่ตายในกองเพลิงของริเรีย ทว่าทั้งสองกลับไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้นเลย ความสัมพันธ์ของเขากับผู้ชราทั้งสองความจริงแล้วคือเด็กกำพร้าที่ถูกนำมาฝากเลี้ยงกับผู้ปกครองจำเป็น....

   เมื่อ 13 ปีก่อน...คนเหล่านี้คือตาและยายบุญธรรมของเขา....

   พวกเขา...คือคนที่แสนเลือนรางในความทรงจำวัยเด็กนั้นเอง...

   และทำให้ตอนนี้เขากลายเป็นแขกสำคัญของบ้านหลังนี้ และทั้งที่ยังกลางดึกกลางดื่น หญิงชราก็ยังไปทำซุปมาให้เขาด้วยความอารี

   “หลานหายไปไหนมาเสียนาน ไปอยู่กับ.....คนพวกนั้นสุขสบายดีหรือเปล่า?”

   คนพวกนั้นคงหมายถึงพวกเซเอล...

   สำหรับคุณยายผู้ชรา หลานชายที่โดนพาตัวไปโดยผู้ต้องสาปก็เสมือนคนที่ตายไปแล้ว เพราะอย่างไรก็ต้องกลายเป็นอาหาร การที่พบว่าวาลเซอิคโตขึ้นถึงขนาดนี้นับว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดใจอย่างเหนือความคาดหมาย แต่เธอก็ยังไม่อยากจะยอมรับว่าผู้ต้องสาปเหล่านั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่รู้จักคำว่าความรักและความเมตตา บางทีมันอาจจะเป็นความโชคดีของวาลเซอิคเอง...

   “พวกเขาก็....เลี้ยงดูข้าอย่างดี มีอาหารให้กินทุกวันและยังสอนข้าเรื่องต่าง ๆ ด้วย” วาลเซอิคตอบไปตามความจริงก่อนตัดซุปขึ้นชิม ซุปของยายแม้จะไม่อร่อยล้ำเหมือนอาหารที่ปราสาท แต่ก็ให้ความรู้สึกคุ้นเคยและคิดถึงวันเก่า ๆ ที่เขาลืมเลือนไปแล้ว

   “...ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว” หญิงชรายกมือทาบอกแล้วถอนหายใจ

   “แล้ว เอ่อ....ริเรีย....”

   วาลเซอิคไม่ได้เปิดเผยออกไปว่าตนเองอาจจะมีความเกี่ยวข้องแบบใดกับลูกสาวคนเดียวของคุณตาและคุณยาย แต่หากว่าริเรียคนนี้คือแม่ของเขาจริง ๆ ซึ่งมีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นเช่นนั้น เขากับตาและยายคู่นี้ก็เป็นครอบครัวเดียวกันจริง ๆ

   หรือว่านั่นจะเป็นเหตุผล...ที่เซเอลนำเขามาให้ทั้งสองเลี้ยงดูในวัยเด็ก...

   เพื่อให้เขาได้อยู่กับครอบครัวที่แท้จริง....

   “วาเลซ อย่านั่งนิ่งอย่างนั้นสิคะ” เสียงของริเรียทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งน้อย ๆ และเพิ่งนึกได้ว่าอีกฝ่ายนั่งอยู่ข้างตัวเขานี้เอง หญิงสาวยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยนและเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก นอกจากดวงตาสีแดงเลือดนั้นแล้ว...สิ่งอื่น ๆ ของเธอก็ไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไป กระนั้นเขากลับรู้สึกถึงสัมผัสของนักล่าจากตัวเธอ อาจเป็นเพราะเขาคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ต้องสาปมาตลอดชีวิตจึงรู้สึกถึงมันได้ชัดเจนกว่าคนอื่นก็เป็นได้

   นั่นแปลว่า....ริเรีย...อาจจะเป็นคนที่ฆ่าคนในหมู่บ้านและลักพาตัวเอลยา....

   ไม่....เขาไม่ควรคิดแบบนั้น...

   บางทีอาจจะมีผู้ต้องสาปคนอื่นอยู่ก็เป็นได้ เขาไม่ควรจะด่วนสรุป ก่อนอื่นเขาคงต้องทำให้ตนเองมั่นใจก่อนว่าเธอคนนี้คือริเรีย แม่ของเขาจริง ๆ

   แต่เขาจะทำยังไงดีนะ....

------------------------>

   เช้าแล้วหรือ....

   อัลเรสยกมือขึ้นป้องแสงที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง แม้จะเป็นเพียงแสงอ่อนเรื่อของยามเช้าแต่ก็ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นเพราะเขานอนพักผ่อนไม่พอในคืนที่ผ่านมานั้นเอง

   เขาถูกผู้ต้องสาปสองคนหิ้วมาส่งถึงบ้าน และไม่ทันจะได้พูดอะไรทั้งสองก็หายตัวไปเสียแล้ว

   ถึงอย่างนั้นสิ่งที่เขาพบเห็นเมื่อคืนที่ผ่านมาก็รบกวนใจเสียจนนอนหลับเต็มตา แค่ปิดเปลือกตาลง ดวงตาสีแดงเลือดก็ตามมาหลอกหลอน และเมื่อจมดิ่งสู่ห้วงนิทรา ภาพของพี่สาวที่ถูกฉีกกระชากจนเลือดไหลนองเปรอะไปทั่วก็ปรากฏในความฝันจนต้องสะดุ้งตื่นพร้อมหัวใจที่สั่นระรัวด้วยความหวาดกลัว

   บางทีนั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่คนแก่คนเฒ่าหวาดกลัวต่อตำนานที่แทบไม่มีมูล เมื่อเขาได้เผชิญหน้ากับผู้ต้องสาปเขาจึงเข้าใจ

   สิ่งมีชีวิตแบบนั้นไม่อาจเรียกว่ามนุษย์ได้อีกแล้ว เป็นได้เพียงปีศาจ....ที่มีรูปกายเหมือนมนุษย์ พละกำลังมหาศาล อำนาจการควบคุม ร่างกายที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นผู้ล่าที่สมบูรณ์แบบ ราวกับเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อเป็นจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารแทนที่มนุษย์

   เมื่อคิดว่าวาลเซอิค มนุษย์ที่อยู่ร่วมกับผู้ต้องสาปมาวนเวียนกับพี่สาวเขานานหลายปี เขาก็รู้สึกคลื่นไส้จนต้องฝืนลุกขึ้นจากเตียงเพื่อสลัดภาพที่ติดตรึงในความทรงจำออกไป ความกลัวที่เกาะกุมเขาเมื่อเผชิญหน้ากับความตายนั้นได้ฝังภาพชั่วนาทีเหล่านั้นลงในสมองเขาจนยากจะขจัดให้หายไป แต่บางที...เมื่อเขาได้สัมผัสชีวิตปกติในยามเช้าเหมือนทุก ๆ วัน มันอาจจะเยี่ยวยาได้บ้าง...

   อัลเรสเดินออกมาจากห้องอย่างอิดโรย ผ่านห้องของเอลยาไปทางห้องของน้องทั้งสองคน

   ภารกิจยามเช้าของเขาคือการปลุกน้อง ๆ ขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัว ทำงานบ้านและออกไปรับจ้างทำงานให้คนในหมู่บ้าน

   เด็กทั้งสองนอนอุตุอย่างมีความสุข ไม่รู้เลยว่าคืนที่ผ่านมานั้นเกิดสิ่งใดขึ้นกับพี่ชายของตนเอง อัลเรสรู้สึกอิจฉาเด็ก ๆ ขึ้นมา เพราะสมัยเขายังเด็ก เขาเองก็มีชีวิตอยู่ในโลกอันสวยงาม ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับโลกภายนอกที่วุ่นวายไปกับกระแสชีวิตของพวกผู้ใหญ่ที่ต้องรับผิดชอบชีวิตคนในบ้านของตน

   “ตื่นได้แล้วอเลน แอนน์” เขาเขย่าตัวปลุกน้องทั้งสองพร้อมเดินไปเลิกม่านออกให้แสงยามเช้าส่องเข้ามาในห้อง เด็ก ๆ ที่ได้ยินเสียงปลุกก็พากันลุกขึ้นโดยไม่ร้องงอแง

   “พี่อัลเรสคะ เมื่อคืนมีคุณเทวดามาหาแอนน์กับอเลนด้วยค่ะ”

   “หา?” อยู่ๆ น้องสาวก็พูดอะไรประหลาดขึ้นมา

   คุณเทวดา?

   “ใช่คุณเทวดาที่ไหนกัน เป็นเทพผู้พิทักษ์ต่างหาก” อเลนแย้ง

   “ต้องเป็นคุณเทวดาสิ ก็เข้ามาทางหน้าต่างแสดงว่าบินได้ด้วยนี่นา แถมยังใจดีมาก ๆ ด้วย” เด็กหญิงตัวน้อยยืนยันในความคิดของตนเองขณะพับผ้าห่ม

   “เทพผู้พิทักษ์ต่างหากที่บินได้ ที่ใจดีเพราะมีหน้าที่ปกป้องเด็ก ๆ ไงล่ะ” เด็กชายเถียงกับน้องสาวอย่างไม่มีใครยอมใคร ส่วนอัสเรสทำได้เพียงฟังบทสนทนาเหล่านั้นโดยไม่เข้าใจว่าทั้งสองพยายามจะสื่ออะไร และเมื่อคืนนี้ทั้งสองบังเอิญฝันเรื่องเดียวกันหรือ?

   “เลิกพูดเรื่องไร้สาระกันได้แล้ว ไป ๆ ไปอาบน้ำอาบท่า” อัลเรสตัดสินใจคั่นการถกเถียงที่หาสาระไม่ได้แล้วพาน้องทั้งสองลงไปข้างล่าง

   ส่วนล่างของบ้านจะเป็นห้องนั่งเล่น ห้องครัว และห้องน้ำ โดยประตูหลังที่เดินออกไปแปลงสวนครัวได้จะอยู่ถัดจากห้องครัว ก่อนขึ้นนอนประตูหน้าต่างทั้งหมดจะถูกลงกลอนเพื่อป้องกันขโมยและสัตว์ที่ไม่พึงประสงค์ ทำให้ด้านล่างมืดสนิทไม่มีแสงลอดผ่านเข้ามาจนกว่าจะเปิดหน้าต่าง แต่ทั้งที่มืดถึงขนาดนี้ หูของอัลเรสกลับแว่วเสียงการสนทนาของบุคคลสองคนจากด้านล่าง

   เดี๋ยวก่อน...

   บ้านหลังนี้มีแค่เอลยา เขา อเลน และแอนน์ พ่อกับแม่ต่างเสียชีวิตไปแล้ว เอลยาก็หายตัวไป แอนน์กับอเลนอยู่ข้างหลังเขาด้านบนบันได ถ้าอย่างนั้น....ใครกันที่อยู่ข้างล่างนั่น?

   อัลเรสหันไปบอกให้น้องทั้งสองเงียบ ส่วนตนเองที่หาอาวุธป้องกันตัวไม่ได้ก็ค่อย ๆ ก้าวลงจากบันไดทีละขั้นอย่างช้า ๆ จากที่ฟังเสียง สองคนนั้นอยู่ในห้องนั่งเล่นไม่ผิดแน่ และกำลังพูดคุยกันอย่างสบายใจไม่ได้สังเกตถึงการเคลื่อนไหวจากบันไดแม้แต่น้อย

   ชายหนุ่มพยายามหรี่ตามให้ชินกับความมืด ทำให้เห็นร่างสองร่างที่นั่งหันหลังให้เขาอยู่ตรงโต๊ะอาหาร

   ทั้งสองไม่ได้ระวังตัวเลยสักนิด...

   ขโมยงั้นหรือ?   

   บางทีสองคนนี้คงจะเข้ามาทางประตูไม่ได้จึงปีนห้องอเลนและแอนน์ หลอกเด็ก ๆ ว่าเป็นเทวดาหรือเทพอะไรก็ตามทีแล้วก็เข้ามาในบ้าน ถ้าอย่างนั้นก็น่าแปลกใจ ทำไมจึงไม่ฆ่าปิดปากเด็ก หรือหยิบจับของที่ต้องการแล้วออกไป รอจนเขาตื่นแบบนี้เป็นขโมยประสาอะไรกัน...

   แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่มีอะไรจะต้องกลัวในตัวมนุษย์ด้วยกันอีกแล้ว กะอีแค่คนไม่มีเขี้ยวเล็บ...ลองได้ยืนอยู่เบื้องหน้าผู้ต้องสาปสักครั้ง คนพวกนี้ก็หมดความน่ากลัวไปโดยปริยาย

   อย่างมากก็ทำให้เขาเจ็บตัวได้เท่านั้นแหละ!

   พอคิดได้เช่นนั้น อัลเรสก็พุ่งตัวไปยังขโมยคนหนึ่งเพื่อความได้เปรียบ อย่างน้อยก็ล้มได้หนึ่งคนและทำให้อีกคนไม่มีสติพอตอบโต้เขาด้วยความตกใจ

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่12 [17/12/12]
«ตอบ #113 เมื่อ17-12-2012 19:33:49 »

   ทว่า...

   ตุบ!

   แค่เสียงสั้น ๆ จากร่างสูงใหญ่ที่ล้มกระแทกพื้น อัลเรสรู้สึกเหมือนตนเองถูกเรี่ยวแรงเพียงเล็กน้อยพลิกร่างของเขาให้ลงมากองในท่านอนหงาย

   เกิดอะไรขึ้น!?

   “ระวังหน่อยสิ พื้นมันลื่นรู้หรือเปล่า?”

   “ยังทะเล่อทะล่าพุ่งใส่เหมือนเดิม คนอย่างเจ้ารอดชีวิตมาจนป่านนี้ได้ยังไงกันนะ?”

   อัลเรสมองขึ้นไป เห็นสองเงาร่างที่กำลังนั่งจิบชาอย่างสบายอารมณ์ แต่เงาทั้งสองนั้นเมื่อมองใกล้ ๆ ก็รู้สึกคุ้นตาจนน่าขนลุก

   “พ...พวกเจ้า.....!!”

   “คุณเทวดา!”

   “คุณเทพพิทักษ์!”

   สองเสียงเล็ก ๆ กลบเสียงของอัลเรสไปสิ้น เด็กน้อยทั้งสองวิ่งเข้าไปหาคุณเทวดาหรือคุณเทพผู้พิทักษ์ของตนเองอย่างร่าเริงและตื่นเต้น

   “อย่ามาแตะน้องข้านะเจ้าพวกปีศาจ!” อัลเรสลุกขึ้นมาอุ้มน้อง ๆ ถอยออกห่างทันที และยังจงใจถอยไปทางหน้าต่างเพราะแสงสว่างไล่คนพวกนี้ไปได้แน่ แต่เมื่อมือของเขาสัมผัสบานหน้าต่าง มือเล็ก ๆ ของแอนน์ก็ต้านดันปิดเอาไว้ไม่ให้เปิดออก

   “ไม่ได้นะคะ! คุณเทวดาบอกว่าถ้ามีแสงสว่างคุณเทวดาจะกลายเป็นละอองแสงกลับไปบนท้องฟ้า แอนน์ยังไม่อยากให้คุณเทวดาจากไปนี่คะ”

   อะไรนะ!?

   นี่เจ้าพวกนี้หลอกต้มน้อง ๆ ของเขาหรือ!?

   “ถ้าอยากให้พวกข้าอยู่นาน ๆ พวกเจ้าก็ต้องระวังอย่าให้พวกข้าโดนแสงนะ” คัลมาร์กล่าวกับเด็ก ๆ ที่รับคำอย่างพร้อมเพรียง

   “แต่พี่ชายของพวกเจ้าไม่อยากต้อนรับพวกเรานี่สิ” คัลดิชโคลงหัว

   “พี่อัลเรสจะไล่คุณเทพพิทักษ์ไปไม่ได้นะ”

   “ใช่ค่ะ แอนน์ยากเล่นกับคุณเทวดาอีกเยอะ ๆ”

   “แต่เจ้าพวกนี้มันไม่ใช่....!”

   “อย่าทำลายความฝันเด็ก ๆ เลยน่า คุณพี่ชาย” ก่อนที่อัลเรสจะได้พูดความจริงออกมา คัลดิชก็ชิงพุ่งตัวเข้าไปและปิดปากอีกฝ่ายเสียก่อน เขายกนิ้วจุ๊ย์ปากราวกับกำลังพูดเรื่องล้อเล่น แต่สายตาบ่งบอกว่าหากพลั้งปากออกมา เขาจะไม่รับรองความปลอดภัยในชีวิต ซึ่งนั่นอาจหมายรวมถึงชีวิตของอเลนและแอนน์ที่ได้รับรู้ความจริงด้วย อัลเรสจะยอมเอาชีวิตน้อง ๆ มาเสี่ยงเพื่อเปิดเผยความจริงหรือ?

   “ยังไงก็ต้องมาอยู่ด้วยกันชั่วคราว พวกเราน่าจะมาตกลงอะไรกันนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่คิดอย่างนั้นหรือ? คุณพี่อัลเรส” คัลมาร์เข้ามาเสริมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

   “...อยู่ด้วยกัน?”

   หมายถึง...สองคนนี้จะมาอยู่กับเขา!?

   ในบ้านเดียวกัน!?

   “อ้อ ข้าไม่ได้แนะนำตัวสินะ ข้าคัลมาร์ และนี่คัลดิช” คัลมาร์ผายมือไปทางแฝดตนเอง “ความจริงแล้วคนที่จะมาอยู่กับเจ้าคือคัลดิชคนเดียว ส่วนข้าจะแวะมาหาบ้างเป็นบางที” เพราะการที่คัลดิชจะเดินไปทางกลับระหว่างปราสาทและที่นี่บ่อย ๆ อาจไม่สะดวกนักเพราะต้องคอยกำกับและสืบสาวเรื่องจากอัลเรสที่สามารถออกไปสอบถามเรื่องราวจากชาวบ้านได้โดยสะดวก เขาจึงตัดสินใจเป็นคนทำหน้าที่นี้เสียเอง พูดง่าย ๆ คือรับหน้าที่ผู้ส่งสารระหว่างเซเอลและคัลดิชที่อยู่คนละสถานที่กัน

   “ข้าไม่ได้อยากรู้ชื่อพวกเจ้า” อัลเรสตัดไมตรี เขาไม่ต้องการจะเป็นเพื่อนกับปีศาจพวกนี้ที่ใช้น้อง ๆ ของเขาเป็นเครื่องมือ

   “แต่เจ้าก็รู้ไปแล้ว มาถึงเรื่องที่เราจะตกลงกันดีกว่า” คัลดิชแสยะยิ้มก่อนเหลือสายตามองเด็กทั้งสองเป็นสัญญาณว่าไม่ต้องการให้สองคนนี้ได้ยิน

   “พวกเจ้า ไปอาบน้ำกันก่อน ข้าจะคุยกับ....คุณเทพเทวดาของพวกเจ้านิดหน่อย” ชายหนุ่มต้องยอมโอนอ่อนผ่อนตามข้อเสนอของผู้ต้องสาปที่รุกล้ำบ้านของเขา อเลนและแอนน์ปั้นสีหน้าไม่พอใจที่ถูกกันออก แต่ก็ยอมพากันไปอาบน้ำแต่โดยดี “จะเอายังไงก็ว่ามา แต่อย่ามาแตะน้องของข้า ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน”

   คำขู่ของอัลเรสเป็นเสมือนลมปากสำหรับพวกเขา แต่คัลดิชและคัลมาร์ก็ไม่ได้สนใจจะทำอะไรเด็ก ๆ อยู่แล้วจึงปล่อยให้อีกฝ่ายพูดไปตามใจอยาก

   “เจ้าอาจจะไม่รู้ว่าถึงพวกเราจะดื่มเลือดมนุษย์เป็นอาหาร แต่จริง ๆ พวกเราก็ไม่ได้แตะต้องมันมานานแล้วด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่ว่า....” คัลมาร์เว้นจังหวะเล็กน้อย

   “แต่ไหน ๆ งานนี้ก็ไม่ใช่งานประจำของพวกข้า แต่เป็นคำสั่งพิเศษที่ให้มาช่วยเหลือเรื่องพี่สาวของเจ้า ดังนั้นพวกเราจึงต้องการสิ่งตอบแทนเล็ก ๆ น้อย ๆ” คัลดิชพูดต่อ คำสั่งของเซเอลทำให้เขาต้องลงมาอยู่กับมนุษย์ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่พึงปรารถนาสักเท่าไหร่ จะให้ทำงานฟรี ๆ มันก็กระไรอยู่ นอกจากนี้ การที่เขาจะดื่มเลือดของเจ้าหนุ่มตรงหน้าเป็นอาหารก็ไม่ใช่เรื่องข้ามหน้าข้ามตาเซเอลแต่อย่างใด เพราะถือเป็นค่าตอบแทนการทำงานซึ่งพวกเขาตกลงกับเหยื่อโดยตรง และเขาก็เปรยเรื่องนี้กับเซเอลแต่ต้นแล้ว อีกฝ่ายตอบกลับมาเพียงว่า หากมนุษย์คนนี้อนุญาตก็ให้ทำตามใจได้ซึ่งมันก็สมเหตุสมผลดี

   “ค่าตอบแทนที่ข้าต้องจ่ายอย่างนั้นหรือ?” อัลเรสมุ่นคิ้วเคร่งเครียด

   พวกเขาไม่มีความจำเป็นจะต้องแจกแจงให้ฟังว่าอีกฝ่ายมีสิทธิที่จะปฏิเสธได้

   ดังนั้น ปล่อยให้คิดแบบนั้นก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องเจรจาให้เปลืองเปล่า

   “ไม่ต้องห่วง คำเล่าลือของพวกมนุษย์ไม่เป็นจริงทั้งหมดหรอก ข้อแรก พวกเราไม่มีความจำเป็นต้องฆ่ามนุษย์เพียงเพราะอยากดื่มเลือด และข้อสอง พวกเราไม่จำเป็นต้องดื่มเลือดของเจ้าทุกวัน เพราะจริง ๆ แล้วพวกเราดื่มเลือดของสัตว์แทนได้” คัลมาร์ช่วยแจงความเป็นจริงให้อีกฝ่ายคลายกังวล “สำหรับเลือดของเจ้า แค่สัปดาห์ละครั้งหรือสองครั้งเพื่อดับความกระหาย ไม่ได้มากมายเลยไม่ใช่หรือ?”

   “อย่างไรคัลมาร์ก็ต้องเทียวไปเทียวมาบ่อย ๆ และวาลเซอิคก็ไม่อยู่แล้ว อาจจะมีของติดไม้ติดมือเป็นสัตว์ป่าเล็ก ๆ ให้น้องของเจ้าได้อื่มท้องฟรี  ๆ ด้วย ไม่คิดว่าคุ้มค่าหรือไง?”

   ถึงแม้วาลเซอิคจะไม่อยู่แต่พวกเขาก็ยังอาศัยเลือดของสัตว์ดำรงชีพ ไม่ว่าจะสัตว์ใหญ่หรือเล็กเมื่อล่าได้พวกเขาก็ต้องการแค่เลือด และการล่าโดยพยายามไม่เอาชีวิตสัตว์ตัวนั้น ๆ ก็เป็นเรื่องยุ่งยากเพราะสัตว์ใช่จะหลอกล่อได้แบบมนุษย์ น้อยครั้งที่จะหลีกเลี่ยงการฆ่าได้ สมัยก่อนพวกเขาจึงจำต้องทิ้งซากเอาไว้ให้เป็นอาหารสัตว์อื่นไป จนเมื่อวาลเซอิคมาพวกเขาจึงมีวิธีทำให้ซากสัตว์เหล่านั้นไม่สูญเปล่า และตอนนี้ก็ยังสามารถนำมาต่อรองกับอัลเรสได้ด้วย เพราะสำหรับมนุษย์แล้ว จะเป็นเนื้อ หนัง ขน หรือเขี้ยวเล็บของสัตว์ก็ล้วนแต่มีค่าราคา สิ่งที่มนุษย์ไม่ต้องการก็คือเลือดของพวกมัน ซึ่งตรงข้ามกับพวกเขาจึงถือว่าผลประโยชน์ไม่ขัดแย้งกัน

   อัลเรสนิ่งคิดไป เขาเองก็ไม่ใช่คนมั่งมี ต้องเหนื่อยสายตัวแทบขาดกว่าจะได้เงินพอซื้อขนมปังมาเลี้ยงครอบครัวสักก้อน เมื่อขาดเอลยาไปการเงินก็ยิ่งฝืดเคือง อย่างน้อย...หากสองคนนี้เอื้อเฟื้ออย่างปากว่า น้อง ๆ ของเขาคงจะได้กินอยู่อย่างอิ่มท้องจนกว่าเอลยาจะกลับมา

   ถึงอย่างนั้น...

   “ข้าจะไม่กลายเป็นแบบพวกเจ้าใช่ไหม?”

   นั่นคือสิ่งที่เขากลัว เขาไม่อยากจะกลายเป็นปีศาจแบบนั้น...

   คิลดิชและคัลมาร์หรี่ตาลงก่อนมองหน้ากัน

   “ไม่ต้องห่วง คำสาปนี้สืบทอดด้วยเลือดของพวกเรา ไม่เกี่ยวกับเลือดของเจ้า” คัลดิชเป็นคนตอบ “ตราบใดที่เจ้าไม่เผลอสัมผัสสัมผัสเลือดของเราก็ไม่มีปัญหา”

   ได้ยินดังนั้น อัลเรสก็ค่อยวางใจได้

   “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลง พวกเจ้าอย่าผิดสัญญาก็แล้วกัน เรื่อง...พี่สาวของข้าด้วย”

   อย่างไรนั่นก็เป็นประเด็นหลักที่คัลดิชถูกสั่งให้มาที่นี่ เขาย่อมไม่มีทางละเลยมันไปได้ ผู้ต้องสาปทั้งสองพยักหน้ารับโดยไม่ต้องคิดมาก เพราะหากคิดดี ๆ แล้วสิ่งที่เขาแลกเปลี่ยนกับคนเหล่านี้ก็เป็นเพียงผลพลอยได้ ส่วนเลือดของอัลเรสนั้นนับว่าเป็นค่าตอบแทนที่ยิ่งกว่าคุ้มสำหรับพวกเขาที่ต้องทนกดสัญชาตญาณของตนเองตลอดช่วงเวลาที่เลี้ยงดูวาลเซอิคมา เพียงแค่คิดถึงเลือดสีแดงสดจากร่างกายของมนุษย์ ความหิวกระหายก็ตีขึ้นมาจากภายในส่วนลึกของความปรารถนา

   จะเลิศรสสักเพียงใดกันนะ...

   รสเลือดที่ไม่ได้ลิ้มลองมาแสนนานนั้น...

   ความกระหายที่สื่อออกมาทางสายตาทำให้อัลเรสเผลอถอยหลัง นึกหวาดหวั่นในใจว่าตนเองจะถูกขย้ำเสียตรงนี้หรือไม่ แต่คัลดิชและคัลมาร์กลับพากันหันหลังกลับไปนั่งที่และจิบชาที่ชงกันเองต่อ นับเป็นปฏิกิริยาที่ผิดความคาดหมายของชายหนุ่มไปไกล

   คนพวกนี้....กำลังอดทนอยู่หรือ?

------------------->

   เสียงของความเงียบเป็นอย่างไร....เธอก็เพิ่งเคยรู้จักในวันนี้ มันเงียบ....และสงัด มีเพียงกระแสของอากาศไหลผ่านไปอย่างบางเบา แสงสว่างลอดผ่านเข้ามาเพียงเล็กน้อย เสียงนกร้องในตอนเช้าห่างไกลออกไปจนแทบไม่ได้ยิน ช่องเล็ก ๆ ที่เป็นทางเข้าของแสงนั้นเป็นเสมือนสิ่งเดียวที่เชื่อมต่อเธอกับโลกภายนอก ถึงอย่างนั้น แม้แต่จะยื่นมือออกไปเพื่อสัมผัสความอบอุ่นของแสงอาทิตย์ก็ยังทำไม่ได้

   ความชื้นของยามราตรียังคงตกค้างอยู่ภายในห้องแคบ ๆ ที่ไม่มีใครอยู่เลยเว้นแต่เธอเพียงคนเดียว แม้แต่สัตว์เล็ก ๆ อย่างหนูก็ยังไม่มี...

   ทำไม...เธอถึงต้องมาอยู่ที่นี่...

   มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่...

   หญิงสาวกอดตนเองอยู่ในมุมมืด ทุกอย่างรอบตัวช่างน่ากลัวจนไม่รู้จะทำอย่างไร การถูกขังอยู่ในห้องมืด แคบ และเงียบงันอย่างนี้ ทำให้ทุก ๆ วินาทีที่ผ่านไปช่างยาวนาน ความเหงาและเปล่าเปลี่ยว ไม่มีใครแม้สักคนอยู่เคียงข้าง ไม่มีใครเลยที่จะปลอบโยนให้คลายจากความกลัวที่เกาะกุมในทุกค่ำคืน...

   เสียงกลอนจากภายนอกเป็นเสมือนสัญญาณของเวลา

   หญิงสาวเงยหน้าขึ้นและมองไปทางประตูที่มีอยู่เพียงบานเดียว เป็นประตูเล็ก ๆ เตี้ย ๆ ที่ต้องก้มศีรษะจึงสามารถลอดผ่านเข้ามาได้

   เมื่อประตูไม้บานนั้นแง้มเปิดออก ก็มีร่างของผู้ชายคนหนึ่งผ่านเข้ามา ในมือของชายคนนั้นมีถาดอาหารอยู่ ซึ่งบรรจุซุป ขนมปัง และเนื้อสัตว์ปรุงสุก เป็นอาหารที่ดีเกินกว่าจะเป็นของสำหรับนักโทษหรือคนที่ถูกลักพาตัว นอกจากนี้ยังมีถังบรรจุน้ำสำหรับทำความสะอาดร่างกายด้วย

   “กินซะ” เสียงแหบพร่าของวัยเปล่งคล้ายเป็นคำสั่ง ก่อนจะวางถาดอาหารลงตรงหน้า “และนี่ น้ำสะอาด อีกเดี๋ยวจะมีคนเอาชุดมาให้เปลี่ยน”

   “ข้าไม่ต้องการของพวกนี้ ได้โปรด ปล่อยข้าไปเถอะ”

   คนที่ถูกลักพาตัวทุกคนมักจะพูดเช่นนั้น และแน่นอนว่า...มันไม่เคยได้ผล

   ผู้ชายคนนั้นเดินออกไปโดยไม่พูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว ประตูถูกปิดลงอีกครั้งและลงกลอนจากด้านนอก ดูเหมือนจะเป็นกิจวัตรที่ดำเนินไปอย่างเป็นปกติ แค่เพียงเข้ามาในเวลาอาหารเพื่อทำให้หญิงสาวอิ่มท้องและมีชีวิตอยู่ได้อย่างสบาย ทั้งน้ำและเสื้อผ้าก็เตรียมให้พร้อมสรรพ ขาดเพียงสิ่งเดียว....เธอไม่สามารถอ้อนวอนขออิสรภาพได้ ไม่อาจก้าวออกไปจากห้องนี้ได้แม้แต่ก้าวเดียว

   นี่มันเรื่องอะไรกัน...

   ทำไมกัน...

   คำถามเหล่านั้นมลายหายไปกับความเงียบงัน มันไม่เคยได้รับคำตอบกลับมา...

TBC

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่12 [17/12/12]
«ตอบ #114 เมื่อ17-12-2012 19:49:49 »

อ้าว
แล้วนี่เอลยาโดนจับตัวมาทำอะไรกันเนี่ย

ออฟไลน์ phakajira

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่12 [17/12/12]
«ตอบ #115 เมื่อ17-12-2012 21:22:35 »

รอติดตามแบบ งงๆ 555

ออฟไลน์ ตัวเลข

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่12 [17/12/12]
«ตอบ #116 เมื่อ17-12-2012 22:11:19 »

เอลย่าถูกขังไว้ที่ไหนหันนะ แล้วสองตายายมีส่วนรู้เห็นด้วยหรือเปล่าเนี่ย

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่12 [17/12/12]
«ตอบ #117 เมื่อ18-12-2012 00:22:43 »

อะนะ ชักจะวุ่นวาย อัสเรสแลกด้วยเลือดตั้งสองตน ตายก่อนได้เจอพี่สาวพอดี ส่วนพี่สาวโดนขังไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน เฮ้อหน่วง

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่12 [17/12/12]
«ตอบ #118 เมื่อ18-12-2012 00:22:57 »

อะนะ ชักจะวุ่นวาย อัสเรสแลกด้วยเลือดตั้งสองตน ตายก่อนได้เจอพี่สาวพอดี ส่วนพี่สาวโดนขังไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน เฮ้อหน่วง

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่12 [17/12/12]
«ตอบ #119 เมื่อ18-12-2012 18:11:09 »

สงสัยว่าทำไมเอลยาถึงโดนขัง หรือเป็นเพราะริเรียเคยเห็นวาลเซอิคอยู่กับเอลยา เลยหึงกันแน่หว่า? (เดาๆๆๆ)
แต่ซวยสุดๆเห็นจะไม่พ้นอัลเรสแล้วล่ะ เสียเลือดรายอาทิตย์ ซีดแหงๆ ต้องกินอาหารบำรุงเลือดด่วน 555
ส่วนวาลเซอิคเองตอนนี้ก็ตกกระไดพลอยโจนไปซะแล้ว แต่ดีใจจังที่คุณตาคุณยายยังอยุ่ ^^

รอตอนหน้านะค้า

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด