ปฏิญญารัตติกาล บทส่งท้าย [28/01/13]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ปฏิญญารัตติกาล บทส่งท้าย [28/01/13]  (อ่าน 96688 ครั้ง)

ออฟไลน์ pharm

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่12 [17/12/12]
«ตอบ #120 เมื่อ18-12-2012 22:48:28 »

ริเรีย ยังสาวอยู่หรอนึกว่าแก่แล้วซะอีก

แล้วคนแก่ที่จับเอลยาไปละใครกัน  แล้วจะเลี้ยงเอลยาไว้ทำไมนี่ ไม่ใช่ว่าท้องจิงๆนะ :z3:

อยากให้แฝดคู่กันจัง :-[ อิอิแต่ดูไม่ค่อยเห็นแววเลย :z3:

ออฟไลน์ ho-mo_mikiiz

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 61
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่12 [17/12/12]
«ตอบ #121 เมื่อ22-12-2012 06:56:36 »

ว้าวววว เค้าจึ้กกันแล้ววว :o8:
สงสารวาลเซอิคจัง เจอเรื่องริเรียเข้าไป นั่นก็แม่ นี่ก็เมีย เอิ้กๆ แต่ก็รักเซเอลนะ อึนๆ น่ารักอ่ะ :-[
แอบจิ้น อัลเรส คัลดิช คัลมาร์  :impress2:
มาต่อเวยๆนะ เค้ารออยู่  :z2:


ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่13 [26/12/12]
«ตอบ #122 เมื่อ26-12-2012 17:12:54 »

ตอนที่ 13 ตัวแทน


   เมื่อมาอาศัยอยู่กับสองตายาย วาลเซอิคก็ต้องปรับตัวมากกับการดำรงชีวิต เพราะแต่เดิมเขาไม่เคยต้องลงมือทำงานอะไรเลยนอกจากล่าสัตว์ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นการเล่นสนุกระหว่างเขากับสองฝาแฝด เพียงแค่นี้ก็มีอาหารดี ๆ กินสามเวลา มีเสื้อผ้าสวย ๆ สวมใส่ อยากเล่นสนุกก็มีเพื่อนเล่น เวลาอยากอ่านหนังสือก็มีให้อ่าน เรียกว่าชีวิตของเขาสมบูรณ์พร้อมสรรพในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง แต่เมื่อมาอยู่ที่นี่ ด้วยความที่ตาและยายต่างก็ชรามากแล้ว จะปล่อยให้ทำงานเลี้ยงดูเขาฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ ทั้งผ่าฟืน ทั้งเก็บพืชสวนครัว และช่วยยายทำงานบ้านระหว่างที่ตาออกไปทำงานในหมู่บ้าน ซึ่งตอนเด็ก ๆ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตาเปิดร้านขายของอยู่กับเพื่อน จนถึงตอนนี้กิจการก็ยังไปได้ดี ทั้งตาและยายผู้ชราจึงไม่ขัดสนเรื่องเงินทองมากนัก

   ส่วนริเรีย....ส่วนหนึ่งอาจเพราะเธอเป็นผู้ต้องสาปจึงไม่สามารถพึ่งพาได้มากนักในการดำรงชีวิต ทุก ๆ วันเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น หญิงสาวก็จะเข้าห้องนอนไปและไม่ออกมาเลยจนกระทั่งฟ้ามืดลงซึ่งสองตายายจะเตรียมเลือดเอาไว้ให้แล้ว เป็นเลือดจากสัตว์ที่ได้จากร้านขายเนื้อในหมู่บ้านบ้าง หรือจากสัตว์เล็ก ๆ ที่แอบเข้ามากินพืชผักในสวนบ้าง เป็นกิจวัตรของผู้ต้องสาปตามปกติ แต่วาลเซอิคก็รู้สึกได้ว่าริเรียไม่ได้มีความปกติตามแบบของผู้ต้องสาปเพียงอย่างเดียว เธอคล้ายกับ....คนที่ตกอยู่ในห้วงภวังค์ตลอดเวลา

   มันเป็นเรื่องที่น่าแปลกมาก....เพราะเธอไม่เหมือนคนเดิมที่เขาพบครั้งแรกเลยสักนิด สายตาของนักล่าที่กราดเกรี้ยวและกลิ่นอายของความตายยังคงติดตรึงในใจของเขา กระนั้นริเรียคนนี้กลับเอาแต่จ้องมองเขาด้วยดวงตาเสมือนอยู่ในความฝัน

   และสำหรับริเรียแล้ว เขาคือผู้ชายอีกคนหนึ่ง....

   บางทีเขาอาจจะใช้ภาพเงาของวาเลซในตัวเขาให้เป็นประโยชน์ได้ เพราะริเรียจะไม่ระแวงเขามากนัก ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติเพื่อไม่ให้ตาและยายของเขารู้สึกผิดสังเกตที่อยู่ ๆ เขาก็ยินยอมเป็นคนรักปลอมให้แก่หญิงสาว

   “จะว่าไป มองดี ๆ แล้วหลานก็คล้ายผู้ชายคนนั้นจริง ๆ” ตอนเตรียมอาหารค่ำอยู่ ๆ หญิงชราก็กล่าวขึ้นมาลอย ๆ วาลเซอิคที่กำลังเป็นลูกมือที่ดีจึงนิ่งฟังด้วยความสงสัย “ชื่อวาเลซใช่ไหม น่าจะใช่นะ ความจริงยายก็แทบจะลืมหน้าคนแบบนั้นไปแล้ว” น้ำเสียงช่วงหลังของเธอเจือด้วยความขุ่นเคืองใจ

   “ใครหรือ?”

   เมื่อวาลเซอิคถามออกไป หญิงชรากลับส่ายศีรษะ

   “ไม่ใช่คนสำคัญอะไรหรอก”

   “แต่เหมือนริเรียจะรู้จักเขา....”

   “ใช่...รู้จักดีด้วย วาเลซเป็นผู้ชายที่ดูไม่เอาอ่าวเอาเสียเลย ตอนที่มาที่นี่ครั้งแรก เขาบาดเจ็บและหมดสติอยู่หน้าบ้านของเรา คงจะถูกพวกโจรทำร้ายเอาล่ะมั้ง” ยายผู้ชราเริ่มเล่าทั้งที่ไม่อยากจะเล่า แต่บางครั้งเธอก็อยากระบายสิ่งที่อยู่ในใจออกมา “เขาว่าตัวเองไม่มีที่ไป ยายกับตาก็เลยให้เขาพักที่บ้านจนกว่าจะหาที่ทางได้ แต่ว่าเจ้าหนุ่มนั่นมือเท้าอ่อนปวกเปียกไปหมด หยิบจับทำงานอะไรก็ไม่เป็น ทั้งที่ตัวก็ใหญ่แรงก็เยอะแต่กลับจับมีดทำครัวเหมือนเด็กทารกหัดถือช้อน งานเดียวที่พอจะทำได้ดีก็มีแต่ผ่าฟืนกับแบกหามนั่นแหละมั้ง”

   แต่ละถ้อยคำที่ผู้เป็นยายต่อว่าต่อขานออกมาทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้งไปหลายเฮือก เพราะตอนนี้เขาเองก็กำลังจับมีดเหมือนเด็กทารกหัดถือช้อน และสิ่งที่ทำได้ดีก็มีแต่งานที่ต้องออกแรง หรือเพราะแบบนั้นเขาถึงดูเหมือนผู้ชายที่ชื่อวาเลซกันนะ?

   “แต่ทั้งที่ไม่เอาอ่าวแบบนั้นแต่ริเรียก็ตกหลุมรักเขาจนได้ ข้ากับตาน่ะเป็นกังวลมาตลอดว่าเจ้าหนุ่มนั่นจะทำมาหากินเลี้ยงลูกสาวของพวกเรายังไง”

   ดูเหมือนความกังวลของสองตายายก็เหมือนความกังวลของพ่อแม่ทั่ว ๆ ไป ที่กลัวลูกสาวที่ตนเองเลี้ยงดูฟูมฟักจะต้องตกระกำลำบากเมื่อพวกเขาไม่อยู่แล้ว ในสายตาของคนชราทั้งสอง ริเรียควรจะตบแต่งกับคนในหมู่บ้านมากกว่า เพราะมีชายหนุ่มหลายคนที่ขยันขันแข็งและนิสัยก็ไม่ได้ย่ำแย่มาเทียวไล้เทียวขื่อริเรียอยู่เรื่อย ๆ หากแต่งงานไปกับหนึ่งในคนเหล่านั้นอย่างน้อยก็ใกล้หูใกล้ตาและมีคนเลี้ยงดู

   วาลเซอิคตัดสินใจฟังอย่างเงียบ ๆ ต่อไปเพราะไม่อยากขัดจังหวะการย้อนความทรงจำของหญิงชราที่กำลังนึกถึงเรื่องเก่า ๆ ซึ่งผ่านมานานมากแล้ว

   “แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่ได้กีดกันอะไรมากมาย” เสียงถอนหายใจดังแผ่วหลังจบประโยค “ริเรียเป็นคนหัวดื้อ ข้ากับตาทะเลาะกับนางอยู่บ่อยครั้งเรื่องทัศนคติ พวกเราจึงรู้ว่าถึงจะพูดยังไงริเรียก็ต้องทำตามความคิดของตนเองอยู่ดี แต่...เรื่องแบบนั้นก็เกิดขึ้นจนได้” อยู่ ๆ เสียงของหญิงชราก็สั่นเครือ เธอยกมือขึ้นกุมหน้าและพยายามสูดหายใจลึก วาลเซอิคผละจากโต๊ะแล้วเดินเข้าไปกอดยายของตนเอง

   “ไม่เป็นไร...ยายไม่จำเป็นต้องเล่าให้ข้าฟังก็ได้”

   “ขอโทษนะ ยายไม่น่าพูดเรื่องแย่ ๆ ให้หลานฟังเลย” หญิงชราสูดหายใจอีกครั้งก่อนหันกลับไปหาเตา “ไปจัดโต๊ะเถอะ เดี๋ยวตากลับมาคงหิวพอดี”

   เด็กหนุ่มรับคำสั้น ๆ แล้วเดินออกไปจากห้องครัว ดูเหมือนการสนทนาครั้งนี้จะไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรมากมายนัก ซ้ำยังทำให้ยายของเขานึกถึงความทรงจำที่ไม่ดีอีกด้วย

   บางที...เขาคงไม่ควรขุดคุ้ยเรื่องของริเรียกระมัง?

   ถ้าเขาทำเป็นลืม  ๆ ไปเสียว่าหญิงสาวคนนั้นอาจจะเป็นแม่ของเขา และเชื่อที่คัลดิชบอกว่าแม่ที่แท้จริงของเขาอาจตายไปแล้ว มันอาจเป็นหนทางที่ดีกว่ากับทุก ๆ ฝ่ายก็ได้

   วาลเซอิควางจานลงบนโต๊ะ หลังจากมาอยู่ที่นี่ได้อาทิตย์หนึ่ง เขาก็เริ่มชินกับการจัดโต๊ะอาหารและการร่วมโต๊ะอาหารกับคนอื่น คนพวกนี้จะต้องแปลกใจแน่หากเขาบอกความจริงว่าสมัยเขาอยู่ในปราสาทของเซเอลมีเขาคนเดียวบนโต๊ะอาหารทุก ๆ มื้อ แต่ในอีกแง่พวกเขาอาจมองว่าเป็นเรื่องปกติก็ได้ เพราะริเรียเองก็ไม่เคยร่วมโต๊ะกับคนอื่น ๆ เหมือนกัน คงเป็นธรรมชาติของผู้ต้องสาปกระมัง พวกผู้ต้องสาปคงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรินเลือดใส่แก้วและนั่งจิบแทนเครื่องดื่มในวงสนทนา

   ระหว่างที่วางช้อนส้อม ยายผู้ชราก็ยกถ้วยซุปออกมาจากในครัว เป็นซุปมันฝรั่งกับแครอทและตามด้วยขนมปังกับเนื้อกระต่ายย่างแล่บาง คงเป็นเจ้ากระต่ายโชคร้ายที่เข้ามาในสวนเมื่อคืนแน่

   เมื่อจัดโต๊ะเสร็จเรียบร้อย เสียงประตูหน้าบ้านก็ดังขึ้น

   คุณตากลับมาตรงเวลาเสมอ

   วาลเซอิคออกไปรับข้าวของที่ชายชราถือติดมือกลับมา เจ้าตัวยิ้มให้เขาด้วยหน้าเคร่งขรึมอันเป็นเอกลักษณ์ก่อนจะเดินมานั่งที่โต๊ะอาหาร

   กิจวัตรยามเย็นที่แสนเป็นธรรมชาติแบบมนุษย์ธรรมดา...สิ่งที่วาลเซอิคไม่เคยได้สัมผัสเลยตลอดเวลาที่อยู่ในปราสาทหลังนั้น

   แต่กิจวัตรในวันนี้ก็มีสิ่งหนึ่งแปลกไปจากทุกวัน....ริเรียเดินออกมาจากห้องนอนและนั่งลงข้างวาลเซอิค เธอไม่ได้สนใจอาหารแม้กลิ่นของมันจะหอมกรุ่นแตะจมูก สิ่งที่เธอให้ความสนใจคือแก้วบรรจุเลือดสีคล้ำที่ถูกตั้งเอาไว้รอเธอเพียงคนเดียว ใช่...หญิงสาวไม่เคยออกมาร่วมมื้อค่ำ แม้แก้วบรรจุเลือดจะถูกตั้งเอาไว้ทุกวันแต่เธอจะตื่นมาดื่มต่อเมื่อทุกคนเสร็จสิ้นจากมื้ออาหารแล้ว

   ดูเหมือนวันนี้ริเรียจะตื่นเร็วกว่าปกติ....แต่หญิงสาวก็ไม่ได้แสดงอาการหงุดหงิดเหมือนคนที่นอนไม่พอ กลับกัน สีหน้าของเธอยังคงเหมือนตกอยู่ในภวังค์และไม่ได้ตื่นขึ้นมาในโลกแห่งความจริง

   การร่วมโต๊ะกับริเรียนับเป็นประสบการณ์ที่น่าอึดอัดไม่ใช่น้อย...

   วาลเซอิคเหลือบมองคนข้างตัวที่จิบเลือดจากแก้วอย่างเลื่อนลอย

   “อ้อนี่ หลานอยากไปเดินในหมู่บ้านบ้างไหม ไม่ได้ไปนานแล้วนี่นา” คงเพราะเห็นท่าทางความอึดอัดใจ หญิงชราจึงชวนคุยขึ้นมา “จำได้หรือเปล่า ตอนเด็ก ๆ หลานชอบไปเล่นในหมู่บ้านบ่อย ๆ ตามตาเขาไปทุกเช้าเลยแล้วก็เรียกร้องจะพาเพื่อนมาเล่นที่บ้านเราบ้าง”

   “คิดว่าจำได้นิดหน่อย...แต่ตอนนี้เพื่อน ๆ ข้าคงโตหมดแล้ว” วาลเซอิคหัวเราะ “อาจจะแต่งงานไปหมดแล้วด้วย ไม่น่าจะจำข้าได้หรอก” ใจหนึ่งเขาก็อยากจะรู้ว่าเพื่อนสมัยเด็กแต่ละคนเป็นอย่างไรบ้าง เพราะแม้เขาจะเดินผ่านหมู่บ้านในตอนค่ำเป็นบางครั้งแต่ก็ไม่ได้รู้สึกคุ้นตาคุ้นใจกับใครเป็นพิเศษเลย ชีวิตในวัยเด็กของเขาเป็นเรื่องที่ห่างไกลเกินไปจนไม่อาจย้อนความทรงจำได้ทั้งหมด แต่ถึงอย่างนั้นตัวเขาเองก็ไม่อยากจะเข้าไปเดินในหมู่บ้านบ่อยนัก เพราะแต่เดิมเขาเข้าไปท่องเที่ยวตามแบบเด็กหนุ่มเจ้าสำราญจากสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จัก หากเข้าออกบ่อยเกินไปจนทุกคนรู้ว่าเขาอาศัยอยู่ที่นี่ ภาพลักษณ์ที่เขาสร้างขึ้นอาจถูกขุดคุ้ยไปจนถึงเรื่องของเซเอลได้

   จริงอยู่ว่าคนในหมู่บ้านอาจไม่ได้คิดมากถึงขนาดนั้น...แต่กันเอาไว้ย่อมดีกว่า

   “จะว่าไปสมัยนั้นมีเจ้าหนุ่มที่เป็นหัวโจกด้วยนี่ ที่ตัวใหญ่ที่สุดแล้วก็คุมพวกเด็ก ๆ ในหมู่บ้านเสียอยู่หมัดนั่นน่ะ” ฝ่ายตาพูดขึ้นเมื่อนึกได้

   “อ้อ คนที่ทำให้วาลเซอิคมีแผลกลับมาเกือบทุกวันน่ะหรือ?”

   “ชื่ออัลเรสใช่หรือเปล่านะ?”

   อัลเรส?

   “หลานคงจำไม่ได้แล้วล่ะมั้ง” ยายว่าก่อนหัวเราะ “พวกเราเองก็ไม่ได้เจอนานแล้วนะ ป่านนี้คงมีลูกเต้าไปแล้ว จำได้ว่ามีพี่สาวชื่อเอลยาใช่ไหม? สมัยก่อนนี้เด็กที่ชื่อเอลยาน่ะติดริเรียแจเชียวล่ะ แต่พอครอบครัวนั้นย้ายไปอยู่ท้ายหมู่บ้านก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย เป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”

   ถึงจะเป็นเรื่องภายในหมู่บ้าน แต่หมู่บ้านก็มีขนาดหลายครัวเรือน การที่ชาวบ้านจะไม่ได้ติดตามความเป็นอยู่ของคนที่เคยรู้จักกันเลยก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ยิ่งตากับยายของเขาย้ายออกมาอยู่ถึงนอกเขตหมู่บ้านอย่างนี้ด้วยแล้ว การที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างในคงจะไม่น่าประหลาดใจนัก

   แต่....เด็กที่ชื่ออัลเรส มีพี่สาวชื่อเอลยา....

   จะมีความบังเอิญแบบนี้สักกี่คนกัน?

   นั่นแปลว่า...ริเรียคนนี้เคยรู้จักกับเอลยามาก่อน ถ้าอย่างนั้นจะเป็นไปได้ไหม....ถ้าหากว่าเอลยาจะพลาดท่าเพราะว่าเป็นคนรู้จักกัน....

   ถึงไม่อยากจะคิดในแง่ร้าย แต่วาลเซอิคก็อดคิดแบบนั้นขึ้นมาไม่ได้

   เขาเลื่อนสายตาไปมองหญิงสาวข้างตัวและบังเอิญว่าเธอหันมาพอดี ริเรียยิ้มให้เขาราวกับไม่ได้รู้เรื่องการสนทนาที่อยู่ต่อหน้าตนเองนี้เลย

   “อัลเรสนั่น...ข้าคิดว่าข้ารู้จัก” เด็กหนุ่มตัดสินใจพูดออกมา

   “หืม? จริงหรือ?” ทั้งตาและยายต่างก็แปลกใจ

   “จริง ๆ แล้วข้าได้ออกมาเดินในหมู่บ้านอยู่บ้าง แล้วข้าก็มีโอกาสได้พบกับเอลยาและอัลเรสแต่พวกเขาและข้าต่างก็จำเรื่องตอนเด็กไม่ได้แล้วก็เลยไม่รู้มาก่อนว่าเคยรู้จักกัน”

   “แล้วตอนนี้ยังสุขสบายกันดีอยู่หรือเปล่า?”

   วาลเซอิคจงใจเงียบไปครู่หนึ่ง

   “เอลยาหายตัวไป”

   หญิงชรายกมือทาบอก ส่วนชายชราทำหน้าเคร่งเครียด

   “ตายจริง...ในหมู่บ้านมีเรื่องอย่างนั้นด้วยหรือ?” ยายหันไปถามตาด้วยสีหน้าตกตื่น

   “ข้าเองก็ได้ยินข่าวลืออยู่เหมือนกันเรื่องที่มีคนตายแปลก ๆ ที่ด้านหลังนู่น แถมเมื่อไม่นานนี้ก็มีผู้หญิงหายตัวไป คือเอลยาเองหรอกหรือ” ตาส่ายศีรษะ

   “จนถึงตอนนี้อัลเรสน้องชายของนางก็ยัง...” วาลเซอิคพูดต่อยังไม่ทันจบประโยค มือเย็นเฉียบของริเรียก็เอื้อมมาแตะมือเขาทำให้เด็กหนุ่มต้องหันไปหาอีกฝ่ายด้วยความสงสัย หญิงสาวยิ้มตอบกลับมาด้วยดวงตาเลื่อนลอยอย่างเก่าและลุกขึ้น

   “ออกไปข้างนอกกันเถอะวาเลซ”

   “เอ๋ แต่ว่าข้า...”

   “ไปเถอะ” หญิงชราเอียงมากระซิบทำให้เขาต้องยอมลุกขึ้นอย่างช่วยไม่ได้อาหารที่ยังกินไม่หมดก็ต้องปล่อยไว้อย่างนั้นก่อน ความจริงเขาก็พอเดาได้ว่าทำไมจึงผู้เป็นยายจึงต้องบอกให้เขาทำตามความต้องการของบุตรสาว เพราะริเรียนั้นนอกจากจะดูเลื่อนลอยไร้สตินึกคิดอย่างคนปกติทั่วไปแล้ว เธอยังมีพฤติกรรมการเอาแต่ใจตัวที่เหมือนเด็ก ๆ เมื่ออยากทำอะไรยังไงก็จะทำอย่างทันที ถึงคนอื่นจะห้ามปรามก็เหมือนกับว่าเสียงเหล่านั้นไปไม่ถึงจิตใจของเธอเลยแม้แต่คำเดียว

   ริเรียจูงเขาออกมาถึงหน้าบ้าน ที่ซึ่งตอนนี้กลายเป็นเวลากลางคืนที่มีดวงจันทร์แหว่งเว้ากับดวงดาวเต็มท้องฟ้า ราตรีนี้งดงามจนยากจะละสายตา มันอาจเป็นเหตุผลที่ริเรียไม่อยากอุดอู้อยู่ข้างในก็เป็นได้

   หญิงสาวดูร่าเริงเมื่ออยู่ในที่กว้าง เธอเดินนำไปด้วยเท้าเปล่าเปลือย อ้าแขนออกราวกับต้องการโอบอุ้มท้องฟ้าทั้งผืนนั้นไว้ในอ้อมแขน

   “สวยหรือเปล่าวาเลซ” เธอเอ่ยถามขณะหมุนตัวช้า ๆ “ข้าชอบท้องฟ้าตอนกลางคืนแบบนี้ ทำให้คิดถึงคืนที่ข้าพบเจ้า”

   วาลเซอิคยิ้มบาง

   “ยังจำเรื่องสมัยก่อนได้หรือ?” เขารับสมอ้างไปตามน้ำ

   ริเรียหัวเราะคิก

   “ทำไมถึงคิดว่าข้าจำไม่ได้?”

   “ถ้าอย่างนั้น....เจ้าจำเรื่องที่เก่ากว่านั้นได้หรือเปล่า?” วาลเซอิคนั่งลงบนพื้นพลางมองหญิงสาวหมุนตัวเล่นไปเรื่อย ๆ

   “เรื่องไหนหรือ?”

   “เด็กหญิงที่เจ้าเคยรู้จัก”

   ริเรียหันมองเขาพลางเอียงคอสงสัย

   “เจ้าพบนางมาหรือ?”

   “ก็ประมาณนั้น” เด็กหนุ่มไหวไหล่ “ความจริงแล้วข้า....พบน้องชายของนาง เขาบอกว่านางหายตัวไป”

   “อ้อ” หญิงสาวรับคำสั้น ๆ แล้วเลิกใส่ใจเรื่องนั้นไปอย่างสิ้นเชิง ปฏิกิริยาของริเรียไม่ได้มีอะไรพิเศษ เหมือนกับว่าเธอไม่เคยรู้จักมักจี่คนที่เขาพูดถึงอยู่ด้วยซ้ำไป หรือไม่ก็อาจจะรู้จักแต่ไม่ใช่คนที่ใกล้ชิดถึงขนาดจะรู้สึกอะไรด้วยได้ แต่จากที่สองตายายเล่ามาพวกเธอน่าจะสนิทสนมกันพอสมควร
   กระนั้น...โดยสภาพจิตใจของริเรีย คงไม่น่าแปลกกระมัง...

   “แล้ว....เจ้ารู้จัก...เซเอลหรือเปล่า?”

   ครั้งนี้ริเรียหยุดชะงักและให้ความสนใจกับชื่อเป็นพิเศษ

   “เซเอลเป็นเพื่อนข้า เจ้าจำไม่ได้หรอกหรือ?” เธอหัวเราะเหมือนเขากำลังล้อเธอเล่นไปอย่างนั้น “เดี๋ยวเขาก็มา เดี๋ยวเขาก็ไป เป็นปกติอย่างนี้ทุกครั้ง เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” เขาคิดไปเองหรือเปล่านะ...ริเรียพูดเหมือนกับว่าเธอเพิ่งพบกับเซเอลเมื่อไม่นานมานี้และได้พบกันอยู่บ่อย ๆ ทั้งที่เซเอลเพิ่งรู้เมื่อไม่กี่วันก่อนว่าผู้หญิงที่ชื่อริเรียยังมีชีวิตอยู่ ความทรงจำของเธอ....บิดเบือนอย่างนั้นหรือ?

   อย่างไรก็ตาม...เขาก็ได้ข้อสรุปแล้วว่าริเรียคนนี้คือแม่ของเขาไม่ผิดแน่

   ถ้าอย่างนั้น...

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่13 [26/12/12]
«ตอบ #123 เมื่อ26-12-2012 17:13:16 »

   “เลิกพูดเรื่องนั้นเถอะ” ริเรียพูดขึ้นมาก่อนเดินมาหยุดยืนข้างตัวเขาแล้วยิ้มกว้าง “วาเลซ เจ้าอยากเจอลูกของเราหรือเปล่า?”

   ลูก!?

   หมายถึงตัวเขาหรือ?

   วาลเซอิคเลิกคิ้วด้วยความงุนงง ริเรียหมายถึงอะไรกัน? หมายถึงว่าเธอมีเด็กอีกคนงั้นหรือ? แต่วาเลซ...พ่อของเขาตายไปนานแล้ว และผู้ต้องสาปก็ไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้ไม่ใช่หรือ?

   “....ก็ดีสิ” คำตอบของคำถามในใจนั้นคงมีทางเดียวที่จะได้มา นั่นคือตอบรับคำเชิญชวนของหญิงสาวตรงหน้าที่เป็นต้นตอของความกังขาทั้งมวล

   ริเรียหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุขพลางก้มลงมาดึงมือของเขาเพื่อให้ลุกขึ้น

   แม้ใจจะนึกหวั่น วาลเซอิคก็ยอมที่จะทำตามความต้องการของหญิงสาวผู้เป็นแม่ ถึงแม้ว่าในใจของเธอ เขาจะไม่ได้อยู่ในฐานะลูกก็ตาม

   วาเลซ....พ่อที่เขาไม่มีโอกาสจะได้รู้จัก....

   พ่อผู้ได้ทิ้งลักษณ์ไว้ในตัวเขา และทำให้ริเรียสำคัญว่าเขาคือชายคนนั้น และตอนนี้....ราวกับว่าเธอกำลังพยายามทำให้ครอบครัวที่สูญเสียไปกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง ประกอบด้วยตัวเธอ...วาเลซ และเลือดเนื้อเชื้อไขของเธอกับสามีอันเป็นที่รัก

   อาจเป็นอดีตอันแสนสุขนั้นก็เป็นได้ ที่ทำให้เธอหลงติดอยู่ในความฝันและไม่ยอมที่จะตื่นขึ้นมาเพื่อยอมรับความจริงว่าเธอไม่เหลือใครอีกแล้ว

   ไม่สิ....เขายังอยู่ที่นี่...

   ถึงแม้ริเรียจะไม่ได้มองเขาในฐานะที่เขาเป็น แต่เขาซึ่งรู้ตัวดีในฐานะลูกก็ควรจะทำให้แม่ของตนมีความสุขไม่ใช่หรือ? แล้วก็ยังมี...เซเอล ที่พร้อมจะรักผู้หญิงที่ชื่อริเรีย ไม่ว่าเธอจะมีสภาพเป็นอย่างไร

   วาลเซอิครู้สึกว่าตนเองพ่ายแพ้แก่หญิงสาวคนนี้อย่างราบคาบ เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่อาจดูดายความทุกข์ทรมาณของเธอได้

   เอาเถอะ...ก็แค่เขากลายเป็นที่พึ่งทางใจแทนพ่อ และมีเด็กอีกคนมาแทนที่เขาเท่านั้นเอง

   วาลเซอิคพยายามปลอบใจตนเองอย่างนั้น

   ริเรียจูงมือเขาไปยังห้องเก็บของเล็ก ๆ ที่อยู่ด้านหลังของตัวบ้าน ความจริงแล้วจะนับเป็นส่วนหนึ่งของตัวบ้านก็ได้ เพราะผนังของบ้านและห้องเก็บของเชื่อมติดกันโดยห้องนี้ยื่นออกมาจากตัวบ้านเล็กน้อย หากเปิดประตูบานเล็กจากในบ้านก็จะเจอบันไดสองสามขั้นเพราะพื้นบ้านยกสูงจากพื้นดินในขณะที่พื้นของห้องเก็บอยู่ต่ำกว่า แต่เมื่อเปิดประตูจากฝั่งด้านนอกนี้เขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าพื้นของห้องเก็บของยกสูงขึ้นมาขั้นหนึ่งทั้งที่ปกติแล้วมันควรจะแนบสนิทกับพื้นดินพอดี

   “มาทางนี้สิ” ริเรียจูงมือเขาผ่านข้าวของที่แขวนระเกะระกะเข้าไปด้านใน ประตูเล็กที่เชื่อมกับตัวบ้านปรากฏอยู่ข้างหน้าแต่ริเรียกลับไม่ได้พาเขาไปที่นั่น

   เธอทรุดตัวลงที่จุดหนึ่งบนพื้น กวาดมืออยู่ครู่หนึ่งก็ตลบผ้าเก่า ๆ ออกไป

   น่าแปลก...ทั้งที่ในห้องเก็บของฝุ่นเยอะเป็นปกติ แต่ผ้าเก่าที่ถูกตลบนั้นกลับไม่มีฝุ่นฟุ้งขึ้นมาเลย

   หลังจากผ้าเก่าถูกตลบออกไปแล้ว วาลเซอิคก็เห็นห่วงโลหะขนาดพอมือจับอยู่บนพื้น ใกล้ ๆ กันนั้นมีรอยต่อระหว่างแผ่นไม้เป็นเส้นตรง ใครมาเห็นแบบนี้เข้าก็คงไม่ต้องคาดเดา เพราะลักษณะของมันบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นประตูบานหนึ่งซึ่งเอาไว้ลงไปใต้ดิน

   ที่นี่มีห้องใต้ดินด้วยหรือ?

   เหมือนว่าเขาจะไม่เคยรู้มาก่อน อาจจะเป็นเพราะในห้องเก็บของมีแต่ของอันตราย ตาจึงไม่ยอมให้เขาเข้ามาวิ่งเล่นในนี้ก็เป็นได้

   ห่วงมือจับถูกยกดึงอย่างง่ายดายด้วยเรี่ยวแรงของผู้ต้องสาป ประตูไม้ที่ปกติจะต้องออกแรงเพื่อยกมันขึ้นกลับถูกเปิดออกราวกับเป็นแผ่นไม้บาง ๆ

   ข้างใต้นั้นมืดสนิท ไม่มีแสงไฟแม้แต่น้อย แต่ริเรียก็นำทางด้วยการหย่อนขาลงไปที่บันไดและไต่ลงไปข้างล่าง วาลเซอิคจึงทำตามที่จุดเดียวกัน แต่เขาก็ต้องคอยระวังว่าขาตนเองจะก้าวพลาดเพราะข้างล่างนี้มืดถึงขนาดที่มือของเขาที่จับซี่บันไดอยู่ข้างหน้าตนเองก็ยังไม่อาจมองเห็นได้ กระนั้นมันกลับไม่เป็นปัญหาต่อสายตาของริเรียผู้ซึ่งความมืดได้กลายเป็นที่ที่น่าอยู่มากกว่าใต้แสงสว่าง

   เมื่อเท้าเหยียบถึงพื้น วาลเซอิคก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

   ริเรียกลับตัวครั้งหนึ่งและแตะมือบนบานประตูขนาดเล็ก ดูเหมือนมันจะถูกลงกลอนหญิงสาวจึงลดมือลงและขยับกลอนโดยไม่ต้องออกแรงแม้สักนิด และเมื่อประตูถูกเปิดออก....ข้างในนั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่าข้างนอกสักเท่าไหร่ เพราะยังคงมืดจนมองไม่เห็นสิ่งใดเช่นเดิม กระนั้นวาลเซอิคก็สังเกตเห็นช่องเล็ก ๆ ที่มีแสงจันทร์ลอดผ่านเข้ามาจากด้านนอกของห้องเก็บของ น่าเสียดายที่มันไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก

   ความเงียบของห้องใต้ดินทำให้เด็กหนุ่มได้ยินเสียงของเนื้อผ้าเสียดสีกันเมื่อใครบางคนที่มุมห้องขยับตัว เขาพยายามเขม่นมองไปยังจุดนั้นขณะที่ริเรียดึงมือเขาเข้าไปด้านใน

   หญิงสาวนั่งลงตรงหน้าร่างที่ถดตัวจนชิดกำแพง

   “ลูกจ๋า แม่พาคุณพ่อมาหาแล้วนะ” พร้อมกับคำพูดนั้น วาลเซอิคก็ได้ยินเสียงสูดหายใจเฮือกจากร่างเงาในความมืด เขาขยับเข้าไปใกล้หมายจะมองให้แน่ใจว่าเป็นใครและทำไมจึงมาอยู่ในห้องมืด ๆ แบบนี้ แต่ไม่ทันจะหย่อนตัวได้ท่าริเรียก็ดึงมือเขาเข้าไปหาร่างนั้น “ลองสัมผัสสิวาเลซ เจ้ารู้สึกหรือไม่?” วาลเซอิครู้สึกได้ว่ามือของตนเองถูกพาไปยังส่วนหน้าท้องของร่างนั้น มันอบอุ่น นุ่มนิ่ม และถูกปกคลุมด้วยผ้าเนื้อสาก เขาไม่ได้รู้สึกถึงอะไรเป็นพิเศษจากจุดที่ตนสัมผัสอยู่ แต่ถ้าร่างตรงหน้านี้เป็นผู้หญิง เธอก็อาจจะกำลังตั้งครรภ์....

   เดี๋ยวสิ....ผู้หญิงกำลังท้องทำไมถึงมาอยู่ในที่แบบนี้ได้?

   ที่ที่แม้แต่คนปกติยังไม่อยากจะอยู่....

   “.....ได้โปรด.....”

   เสียงสั่นเครือจากร่างตรงหน้าช่างคุ้นหูอย่างน่าประหลาดใจ....

   “เอลยา?”

   “....” ร่างนั้นชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงเขาเรียกชื่อก่อนขานตอบอย่างระมัดระวัง “...วาลเซอิค?”

   “เอลยา!? ทำไมเจ้าถึงได้....” ขณะที่วาลเซอิคตั้งใจจะคว้าตัวหญิงสาวที่ตนคิดว่าหายตัวไป มือเย็ยเฉียบก็กุมแน่นที่ข้อมือของเขาเตือนให้รู้ว่ายังมีอีกบุคคลหนึ่งอยู่ในห้องนี้ด้วย ดวงตาสีแดงของริเรียเปล่งแสงในความมืด เสมือนการตักเตือนว่าเขากำลังจะกระทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมและทำให้เธอไม่พอใจอย่างยิ่ง
   เด็กหนุ่มจำต้องลดมือลงและลูบบนไหล่บางของริเรีย

   “ริเรีย...เจ้าพาตัวนางมาที่นี่ทำไมกัน?”

   “นางจะนำลูกของเราคืนมาได้ เจ้าไม่ดีใจหรอกหรือ?”

   นำลูกคืนมา?

   วาลเซอิคมุ่นคิ้ว อย่าบอกนะว่าเอลยากำลังท้องอยู่จริง ๆ และริเรียเก็บตัวเธอเอาไว้เพราะต้องการลูกในท้องของเธอ!?

   เดี๋ยวสิ...ถ้าเอลยาอยู่ที่นี่....แปลว่าคนที่ลักพาตัวเอลยาและอาจจะเป็นคนที่ฆ่าคนในหมู่บ้านก็คือ....
   “ลงมาทำอะไรกัน!”

   !!!

   เสียงดุดันของชายชราที่ลงมาพร้อมกับแสงสว่างของตะเกียงพาให้วาลเซอิคสะดุ้งเฮือกพร้อมเหงื่อกาฬแตกพลั่กราวกับว่าตนเองหลงเข้าไปอยู่ในนิยายสยองขวัญสักเรื่องหนึ่ง เขาหันกลับไปและพบกับใบหน้าเคร่งขรึมดุดันของผู้เป็นตาซึ่งมองมายังเขาด้วยสีหน้าตกใจระคนกระอักกระอ่วนเหมือนเขาได้ทำลายกลอนที่ปิดกล่องแห่งความลับและเปิดเผยสิ่งซึ่งไม่ควรเปิดเผยออกมา

   “ขึ้นไปข้างบน” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างก่อนจะเดินเข้ามาดึงวาลเซอิคออกจากหญิงสาวผู้อ่อนแรงที่กำลังจ้องมองมาด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ

   “เดี๋ยว...วาลเซอิค อย่าทิ้งข้าไว้แบบนี้...” เอลยาคว้าจับแขนของที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวที่ตนมี

   เด็กหนุ่มทำได้เพียงบีบมือของเธอแน่นเพื่อเป็นสัญญาณอย่างเงียบ ๆ ว่าเขาจะไม่ทิ้งเธอไปอย่างแน่นอน แต่ว่าเขาไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ในสถานการณ์อย่างนี้ ริเรียและตากำลังมองเขาอยู่และเขาจำต้องจากไปอย่างเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้ทั้งสองเกิดความสงสัยในตัวเขา

   วาลเซอิคกลับขึ้นมาด้านบน รู้สึกถึงอากาศอันปลอดโปร่งอีกครั้งหลังจากที่ต้องลงไปอุดอู้ข้างล่างนั่น
   เอลยาอยู่ที่นั่นมากี่วันแล้ว....

   เธอคงจะอ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจแต่เขากลับช่วยอะไรเธอไม่ได้เลย

   ริเรียไม่ยอมละสายตาไปจากเขาและจับมือของเขาแน่น เธอคงรู้สึกได้ถึงปฏิกิริยาที่เขามีต่อเอลยา หากผลีผลามทำอะไรลงไป...ริเรียอาจจะฆ่าเอลยาก็ได้...

   แล้วเขาควรจะทำยังไงดี....

------------------------------->

   เสียงครึกครื้นของดนตรี การร่ายรำ และงานรื่นเริงดังอยู่รอบตัว แม้คืนนี้จะไม่ได้สว่างมากมายอะไรแต่แสงไฟจากร้านรวงก็ยังส่องสว่างเหมือนทุก ๆ คืน

   ชายหนุ่มสองคนเดินเคียงข้างกันไปบนถนนของเขตเริมรมย์ คนหนึ่งมองซ้ายขวาด้วยความสนอกสนใจ เพียงแต่สิ่งที่เขาสนใจนั้นไม่ใช่เรือนร่างของหญิงสาวหรือแสงสีสวยงาม แต่เป็นสิ่งที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของมนุษย์ทุกคนในที่นี้ ส่วนชายหนุ่มอีกคนหนึ่งกำลังปั้นหน้าหงิกงอเหมือนว่ากำลังถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่ตนเองไม่เต็มใจจะทำ กระนั้นก็ไม่อาจขัดความต้องการของอีกฝ่ายได้

   “เจ้ามาที่นี่ทำไมกัน?”

   “เพราะเจ้าเล่าให้พวกข้าฟังถึงประเด็นแปลก ๆ ที่เจ้าไม่ได้บอกเอาไว้เมื่อคราวก่อน” คัลดิชโคลงศีรษะ “เจ้าว่ามีคนเริ่มตายอย่างผิดแปลกเมื่อราว ๆ สิบปีที่แล้ว แต่มนุษย์อย่างพวกเจ้ากลับความรู้สึกช้าเกินกว่าจะนึกสังเกตและไพล่โทษว่าเป็นความผิดของสัตว์ป่าบ้าง ของพวกเราที่พวกเจ้าไม่รู้จักตัวตนบ้าง” ถ้อยคำของคัลดิชทำให้อัลเรสหน้าบอกบุญไม่รับยิ่งกว่าเดิม

   “ข้าบอกว่ามันไม่ได้เกิดบ่อยจนผิดปกติพวกจึงไม่ได้สนใจต่างหาก”

   “ถึงอย่างนั้นก็ตายอย่างผิดธรรมชาติ”

   “ก็อาจจะเป็นสัตว์ป่าก็ได้” อัลเรสพยายามแก้ต่างในคำพูดดูถูกดูแคลนของคู่สนทนา ถึงเขาจะคิดว่าพวกชาวบ้านงี่เง่าที่ไม่ยอมตื่นตัวกับเรื่องแบบนี้จริง ๆ แต่การถูกสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์มาต่อว่าเอาอย่างนี้ เขาเองก็รู้สึกไม่พอใจอยู่เหมือนกัน

   “ช่างเถอะ แล้วยังไงต่อ? เกิดเหตุแต่ในสถานที่แบบนี้เจ้าไม่คิดว่าแปลกบ้างหรือไงกัน?” คัลดิชมองไปยังสถานที่ซึ่งพลุกพล่านไปด้วยผู้คน จริงอยู่ว่าพวกเขาเองก็หากินที่นี่เพราะมีมนุษย์อยู่จำนวนมากและหลอกล่อง่าย ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่ได้คิดจะฆ่าใคร หากเป้าหมายคือการฆ่า มันน่าจะง่ายกว่าที่ลงมือในที่เงียบและปลอดคนอย่างในเขตที่อยู่อาศัยตอนกลางคืน

   “เพราะที่นี่เกิดอาชญากรรมบ่อยอยู่แล้วล่ะมั้ง” ในสายตาของอัลเรสกลับไม่รู้สึกผิดแปลก ที่นี่มีทั้งขโมย ขี้เมา โสเภณี แมงดา เรียกว่ามีแต่เรื่องไม่ดีไม่งาม เหตุตีกันก็มีอยู่บ่อยครั้ง เรียกได้ว่าถ้าจะเกิดอะไรร้ายแรงก็ไม่ใช่สิ่งที่เกินคำว่าปกติธรรมดา

   “แล้วทำไมพวกเจ้าถึงคิดว่าสัตว์ป่าจะออกมาหากินในถิ่นที่มนุษย์อยู่รวมกัน มีเสียงดัง และมีแต่แสงสว่างแบบนี้?”

   ถึงจะเป็นชาวบ้านทั่วไปก็ควรจะรู้เรื่องสามัญของสัตว์ป่าที่หากินตอนกลางคืนดี พวกมันจะออกล่าในความเงียบและซุกซ่อนในความมืด เน้นสัตว์ที่ล่าง่ายและไม่ระมัดระวังตัว ในขณะที่มนุษย์ที่นี่อยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ ส่งเสียงเอ็ดตะโร ตีขวดตีแก้วกันโป๊งเป๊ง ซ้ำยังจุดแสงสว่างไปตลอดแนวของถนน สัตว์ไม่มีคำว่าโง่หรือฉลาดแบบมนุษย์ พวกมันทำตามสัญชาตญาณและจะไม่ฝืนธรรมชาติตัวเอง

   ย่านเริงรมย์นี้....ไม่เหมาะแก่การล่ามากที่สุดสำหรับพวกมัน...

   “ถ้าเจ้าฉลาดนักทำไมถึงไม่บอกข้ามาเสียทีว่าพี่สาวข้าอยู่ที่ไหน?” ชายหนุ่มร่างสูงเริ่มหงุดหงิดที่อีกฝ่ายเอาแต่แสดงภูมิกับเขาแต่ไม่ยอมบอกอะไรที่เป็นประโยชน์เสียที

   “คงเป็นโชคร้ายของเจ้าที่นายท่านส่งข้ามาแทนที่จะเป็นคัลมาร์ ถึงบางทีข้าจะนึกอิจฉาแต่คัลมาร์ฉลาดกว่าข้าในเรื่องการแก้ปริศนาแบบนี้”

   อัลเรสกลอกตา เขาคาดหวังอะไรกับคนพวกนี้นะ...

   ในขณะที่อัลเรสคิดหงุดหงิดอยู่ในใจ คัลดิชกลับกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ เขายังคงนึกกังขาไม่หายว่าทำไมจึงต้องเป็นที่นี่ และระยะเวลานั้นเกี่ยวข้องกันหรือไม่ คนที่ตายไปแต่ละคนดูเหมือนจะไม่ได้เกี่ยวข้องกันและไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับอดีตของริเรียเลย และตัวริเรียเองก็ไม่เคยมาที่แบบนี้ก่อนที่จะเกิดเรื่องนั้นขึ้น ถ้าอย่างนั้นสิ่งใดกันที่พาเธอมาที่นี่และเริ่มออกล่ามนุษย์ที่ตัวเธอเองยังไม่รู้จัก

   “อัลเรส ได้ข่าวพี่สาวของเจ้าบ้างหรือไม่?” หูของเขาแว่วเสียงหญิงวัยกลางคนตะโกนจากร้านข้าง ๆ มายังทิศทางของพวกเขา อัลเรสหันไปหาต้นเสียงนั้นก่อนพบว่าเป็นเจ้าของร้านที่เอลยาทำงานอยู่นั่นเอง

   “ไม่เลย ข้ามาที่นี่หวังว่าจะได้เรื่องราวอะไรเพิ่มเติม”

   แม่เล้าพรูลมหายใจอย่างวิตก

   “ข้าหวังว่าเจ้าจะโชคดี” เธอว่าแล้วหันกลับไปรับแขกในร้านอีกครั้ง ครึ่งหนึ่งในใจเธอเชื่อว่าเอลยาอาจจะตายไปแล้วท่าทางของเธอจึงไม่แสดงถึงความคาดหวังอะไรมากนัก ผิดกับอัลเรสที่พอเห็นการตอบรับเช่นนั้นก็ขุ่นเคืองใจ เพราะมันเหมือนการบอกเขาเป็นนัย ๆ ว่าให้เลิกคาดหวังเสียที

   “อัลเรส นางสนิทกับพี่สาวเจ้ามากหรือ?”

   “ไม่เชิง นางเป็นเจ้าของร้าน”

   “ข้าไม่ได้ถามถึงเรื่องนั้น” คัลดิชกอดอกครุ่นคิด ผู้ต้องสาปอย่างพวกเขาจะมีประสาทสัมผัสที่เฉียบคม และบางสิ่งบางอย่างที่กรุ่นออกมาจากร่างกายของหญิงคนนั้นบ่งบอกเขาว่าเธอมีความใกล้ชิดกับพี่สาวของอัลเรส เพราะตัวอัลเรสเองก็มีสิ่งนั้นอยู่เช่นกัน มันติดอยู่บนร่างกาย บนเสื้อผ้าอาภรณ์ และอารมณ์การแสดงออกเมื่อกล่าวถึงบุคคลนั้นโดยที่มนุษย์ไม่รู้ตัว

   เดี๋ยวสิ....บางทีอาจจะเป็นสิ่งนี้ก็ได้!

   สิ่งที่ชักนำริเรียมายังสถานที่นี้!

TBC

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่13 [26/12/12]
«ตอบ #124 เมื่อ26-12-2012 18:50:05 »

ง่าา
ที่แท้คนจับตัวเอลยามาก็คือริเรีย
ทำแบบนี้ทำไมเนี่ย ดูน่ากลัวจัง

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่13 [26/12/12]
«ตอบ #125 เมื่อ26-12-2012 20:28:24 »

อะนะ กำลังจะคลี่คลายแล้ว

ออฟไลน์ Ali$a฿eth

  • [จิ้น]ตนการ
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-3
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่13 [26/12/12]
«ตอบ #126 เมื่อ26-12-2012 20:38:51 »

ซ่อนเงื่อนมากเกินไปแล้วววว

ออฟไลน์ ตัวเลข

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่13 [26/12/12]
«ตอบ #127 เมื่อ26-12-2012 22:03:49 »

ท่าทางตาจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดนะ ไม่รู้ว่ายายเป็นด้วยหรือเปล่า แต่ว่าเพื่อลูกสาวสุดที่รักยอมทำได้ทุกอย่างเลยเหรอ

ออฟไลน์ phakajira

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่13 [26/12/12]
«ตอบ #128 เมื่อ26-12-2012 22:17:29 »

เริ่มหลอน =_=

ออฟไลน์ pharm

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่13 [26/12/12]
«ตอบ #129 เมื่อ27-12-2012 00:42:13 »

มันคืออะไรนี่

เดาไม่ออกอ่ะ

มาต่อเร็วๆน้า o13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่13 [26/12/12]
« ตอบ #129 เมื่อ: 27-12-2012 00:42:13 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ AGALIGO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-4
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่13 [26/12/12]
«ตอบ #130 เมื่อ27-12-2012 15:00:05 »


อย่าบอกนะว่าเหมือนข่าวนั้นน่ะ

ที่ชายแก่จับตัวหญิงสาวไปข่มขืนแล้วขังไว้ในห้องใต้ดิน

แต่อันนั้นเป็นพ่อกับลูกสาวของตัวเองเลยนะ

+ เป็ดจ้า


ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่14 [4/01/13]
«ตอบ #131 เมื่อ04-01-2013 22:25:24 »

ตอนที่ 14 เธอผู้หลงทาง


   ถึงแม้ว่ายามเช้าจะย่างกรายมาถึง แต่บรรยากาศภายในบ้านก็ยังคงมืดมนและน่าอึดอัดราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างกดทับอยู่ตลอดเวลา วาลเซอิคนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารโดยมีสองตายายนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ทั้งสองมองมายังเขาด้วยสายตาที่มีความรู้สึกหลากหลาย ทั้งเศร้าสร้อย หวาดระแวง และไร้ทางออก ส่วนริเรียกลับเข้าไปนอนแล้วโดยที่ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรเป็นพิเศษ

   พวกเขาสามคนนั่งเผชิญหน้ากันโดยไม่มีแม้กระทั่งเครื่องดื่มให้จิบแก้กระหาย

   วาลเซอิคขยับตัวอย่างเมื่อยขบและทันใดนั้นเสียงสูดหายใจของสองผู้ชราก็ดังขึ้นจนรู้สึกได้ในห้องที่เงียบกริบไร้ซึ่งสรรพเสียง

   “โถ่ ไม่น่าเลย...ไม่น่าเลย....” อยู่ ๆ ยายก็รำพึงรำพันขึ้นมาอย่างแผ่วเบาก่อนซบใบหน้าลงกับฝ่ามือตนเอง “ถ้าเพียงแต่ไม่มีสิ่งเหล่านั้น...” เสียงของเธอเบาลงเรื่อย ๆ จนวาลเซอิคได้ยินไม่เป็นคำ และเมื่อเขาหันไปมองฝั่งตา ชายชราก็ก้มหน้าลงด้วยความกระอักกระอ่วนใจ

   “เธอ.....” เมื่อเขาเป็นฝ่ายเริ่มพูด ทั้งสองก็ตวัดสายตามองเขาเป็นจุดเดียวทำให้การเค้นคำพูดนั้นลำบากมากขึ้น “.....เธอที่อยู่ใต้ดิน...ทำไมถึง....” ทางที่ดี เขาไม่ควรจะบอกว่าตนเองรู้จักกับอีกฝ่าย เด็กหนุ่มตัดสินใจเช่นนั้นจึงทำราวกับว่าเอลยาเป็นคนไกลตัวเพื่อที่ตนเองจะไม่ถูกมองว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามกับคนในบ้านนี้ แม้ว่าเขาจะยังไม่เข้าใจการกระทำเหล่านี้สักนิดก็ตาม

   แต่เพื่อชีวิตของเอลยาเอง....

   และอาจจะหมายถึงชีวิตของเขาด้วย....

   “...หลังจากหลานไปจากที่นี่ไม่นาน....ริเรียก็ปรากฏตัวขึ้นที่บ้านของเรา...” ดูเหมือนสิ่งที่ชายชราพูดออกมาจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้อสงสัยของเขาแม้แต่น้อย แต่เด็กหนุ่มก็ยอมนิ่งฟังโดยไม่แย้ง “พวกเราจำเธอได้อย่างทันที เพราะริเรียไม่ได้แตกต่างจากวันที่หายตัวไปสักนิด นอกจาก...สภาพของเธอที่เหมือนกับสัตว์ปา เหมือนสัตว์ป่าที่กระหายเลือด...สายตาสีแดงฉานของเธอจับจ้องมายังพวกเรา ปากก็บ่นพึมพำแต่ว่าลูกน้อยของเธออยู่ที่ไหน ถึงเราจะไม่เข้าใจสิ่งที่เธอพูดเลยสักนิด แต่ว่า....เพราะความเป็นพ่อแม่พวกเราจึงรู้ได้ทันทีว่าเธอได้สูญเสียสิ่งสำคัญไปแล้ว สูญเสียกระทั่งความเป็นมนุษย์....”

   หลังจากเขา...จากที่นี่ไปอย่างนั้นหรือ?

   น่าจะเป็นเรื่องเมื่อสิบกว่าปีก่อน...

   หมายความว่าเซเอลพาตัวเขาไปทำให้คลาดกับแม่? มันคือความจงใจหรือบังเอิญกันแน่ในเมื่อเซเอลไม่รู้ว่าแม่ของเขายังมีชีวิตอยู่

   “มันน่าแปลกใจที่ริเรียไม่ทำร้ายพวกเรา เหมือนกับว่าเธอจดจำพวกเราได้ในสติที่เลอะเลือน แน่นอนว่าพวกเรากลัวเธอมากในช่วงแรก แต่ว่า....เพราะเธอเป็นลูก ถึงจะเป็นผู้ต้องสาปเราก็ปล่อยเธอไปไม่ได้”

   “แต่ริเรียไม่เคยทำร้ายใครนะ! เธอ...เธอเป็นเด็กดี เธอไม่มีทางทำร้ายใครแน่...” ระหว่างที่คุณตากำลังเล่าความ ยายก็แทรกขึ้นมาด้วยเสียงตะโกนที่สั่นเครือ เธอเริ่มสะอื้นและร้องไห้ออกมา

   วาลเซอิครู้สึกผิดที่ทำให้ทั้งสองต้องเป็นทุกข์ และต้องขุดคุ้ยความทุกข์เก่า ๆ ขึ้นมาตีกวนให้ผืนน้ำที่ใสสะอาดต้องขุ่นข้นด้วยตะกอนแห่งความเศร้าโศก แต่ถึงอย่างนั้น...การปล่อยให้สิ่งที่พบเห็นผ่านไปเฉย ๆ และทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นคงเป็นไปไม่ได้

   โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเอลย่ากำลังท้องอยู่จริง สภาพความเป็นอยู่ของเธอตอนนี้ถือว่าอันตรายอย่างมากทั้งกับสภาพจิตใจและร่างกาย

   “คุณยาย...ขึ้นไปพักก่อนไหมครับ?” แต่ถึงอย่างนั้น น้ำตาของหญิงชราที่อุ้มชูเขามาก็ทำให้ใจอ่อน เธอพยักหน้ารับและเดินขึ้นไปอย่างอ่อนแรง

   “คุณตา...ริเรีย...อยู่ที่นี่แบบไหนหรือ? ผู้ต้องสาปต้องกินเลือด...”

   “เคยได้ยินเรื่องถ้อยคำแห่งพันธะสัญญาหรือเปล่า....วาลเซอิค”

   เด็กหนุ่มส่ายศีรษะ เขาไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อนเลย หากมันเกี่ยวกับผู้ต้องสาปเขาก็น่าจะได้ยินจากเซเอลหรือพวกคัลดิชและคัลมาร์บ้าง

   “มันเป็นเรื่องเก่าแก่...ที่ริเรียบังเอิญอ่านพบในหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับตำนานของผู้ต้องสาป ถึงแม้จะเป็นยุคสมัยที่คิดว่ามันเป็นแค่นิทานแค่ริเรียกลับเชื่ออย่างเป็นจริงเป็นจังว่าสิ่งที่บันทึกอยู่นั้นเป็นความจริง ในหนังสือเล่มนั้นกล่าวถึงผู้ต้องสาปในแง่มุมที่เราไม่รู้จัก ผู้ต้องสาปที่ไม่สังหารมนุษย์ อาศัยในอาณาเขตซึ่งถูกสร้างขึ้นและปกคลุมด้วยท้องฟ้ามืดมิดตลอดกาล” น้ำเสียงของชายชราดูไม่เชื่อเรื่องนี้นัก มนุษย์ทุกคนต่างจินตนาการว่าผู้ต้องสาปเป็นอสุรกายที่น่าพรั่นพรึง เป็นผลผลิตของปีศาจ สัญลักษณ์ของความชั่วร้ายสุดพรรณนา บันทึกซึ่งกล่าวราวกับว่าผู้ต้องสาปก็เป็นสิ่งมีชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่งจึงไม่มีน้ำหนักในความคิดของใครนัก

   เรื่องนี้วาลเซอิคอยากจะถกเถียงแต่ก็จำต้องเงียบไว้เพราะไม่อยากดึงเรื่องให้ไกลเกินไปนัก

   “ในหนังสือเล่มนั้นมีบทหนึ่งกล่าวถึงถ้อยคำแห่งพันธะสัญญา คล้ายกับคาถาซึ่งมีไว้เพื่อช่วยเหลือเหล่าผู้ต้องสาป หากมนุษย์เป็นผู้กล่าวถ้อยคำนี้แก่ผู้ต้องสาปคนใด ผู้ต้องสาปคนนั้นจะได้รับโอกาสที่จะเดินภายใต้แสงตะวันอีกครั้ง แลกกับการห้ามดื่มกินเลือดมนุษย์อีกตลอดอายุขัย และพลังที่อ่อนแอลงตามกาลเวลา”

   ทำให้ผู้ต้องสาปเดินท่ามกลางแสงอาทิตย์ได้?

   หรือว่าเซเอลเองก็....

   “พวกเราไม่เคยเชื่อเรื่องนี้เลยจนกระทั่งหลานถูกพาตัวมาที่นี่โดยผู้ต้องสาปคนหนึ่ง เขามีดวงตาสีแดงฉานราวกับสีเลือด บรรยากาศที่ลึกลับเหมือนกับว่าพวกเรากำลังมองเข้าไปในความมืดมิดไร้ก้นบึ้ง มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาไม่เหมือนผู้ต้องสาปในตำนานก็คือ....เขาเดินกลางแสงแดดได้โดยไม่ถูกแผดเผา เขามอบเด็กคนหนึ่งให้แก่เรา ซึ่งก็คือเจ้า วาลเซอิค เจ้าคือมนุษย์คนเดียวที่ถูกเลี้ยงโดยผู้ต้องสาป”

   “แล้วเรื่องของริเรีย....?” ถึงแม้เรื่องของเขาจำสำคัญต่อความรู้สึก แต่อย่างไรวาลเซอิคก็ไม่อาจปล่อยให้ตนเองโอนเอนไปตามอารมณ์ได้

   “อา ใช่” เหมือนกับถูกดึงกลับสู่ความเป็นจริง ชายชราจึงหลุบตาลงต่ำอีกครั้ง “พวกเราได้ลองใช้มัน....ถ้อยคำแห่งพันธะสัญญานั้นกับริเรีย ทำให้เธอสามารถอยู่ได้อย่างมนุษย์ปกติตลอดหลายปี ฉันเองก็รู้จักกับเจ้าแก่ร้ายขายเนื้อมานานเลยขอเลือดมาทุกวันอ้างว่าจะเอามาให้ยายแกกินบำรุงร่างกาย แต่ถึงยังไงริเรียก็กลับไปในสังคมปกติไม่ได้พวกเราจึงอยู่ที่นี่โดยไม่ย้ายกลับไปในหมู่บ้าน แต่...”

   แต่?

   “เมื่อ 5 ปีก่อน มีบางอย่างผิดแปลกไป...อยู่ ๆ ริเรียก็ออกไปจากบ้านในตอนค่ำและเมื่อเธอกลับมาอีกครั้งพร้อมเลือดที่เลอะเต็มตัว เธอก็สัมผัสแสงอาทิตย์ไม่ได้อีกแล้ว” ดวงตาที่อ่อนล้าของชายชราฉายแววของความหวาดกลัวออกมาชั่วขณะหนึ่ง “พละกำลังของปีศาจ คำสาปของปีศาจ หวนกลับมาอีกครั้ง ริเรียไม่ต้องการถ้อยคำแห่งพันธะสัญญาอีก การล่าของเธอเหมือนการดับกระหาย แค่นาน ๆ ครั้ง แต่มันกลับค่อย ๆ ถี่ขึ้นเรื่อย ๆ จนพวกเราไม่สามารถทำอะไรได้...ในฐานะพ่อแม่แล้วพวกเราทำอะไรไม่ได้เลย....”

   วาลเซอิคมุ่นคิ้วเมื่อได้รับฟังเรื่องราวเหล่านั้น

   5 ปีก่อน....การออกล่านาน ๆ ครั้งแต่ค่อย ๆ เพิ่มความถี่มากขึ้นและมากขึ้น...

   นั่นมัน...พ้องกับการตายอย่างปริศนาของพวกคนในหมู่บ้านเลยไม่ใช่หรือ? ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่า....ริเรีย...แม่ของเขาเป็นฆาตกรจริง ๆ น่ะสิ!?

   เด็กหนุ่มยกมือขึ้นปิดปากด้วยความรู้สึกพะอืดพะอมในลำคอ เขาเผลอคิดขึ้นมาว่าเธอฆ่าคนเหล่านั้นด้วยสีหน้าแบบไหน....คงจะแย้มยิ้มอย่างไร้เดียงสาและฉีกกระชากร่างเนื้อเหมือนกับฉีกชิ้นขนมปัง ปล่อยให้เลือดสาดกระจายอาบทั่วร่างจนแดงฉาน เธอคงจะหัวเราะอย่างสนุกสนานเหมือนเด็กตัวเล็ก ๆ ซึ่งพบของเล่นที่ถูกใจ และเมื่ออิ่มหนำดีแล้ว....เธอก็ปล่อยให้ร่างนั้นนอนจมกองเลือดเหมือนตุ๊กตาพัง ๆ ตัวหนึ่ง....

   นั่นมัน.....น่าขยะแขยงเหลือเกิน.....

   เขาอดคิดแบบนั้นไม่ได้

   แม่ของเขา...มีชีวิตอยู่ด้วยการสังหารผู้คนมาตลอด 5 ปี ทำไม....ทำไมถึงเป็นแบบนั้น

   นั่นมันไม่เหมือนผู้หญิงที่เซเอลสามารถหลงรักได้เลยสักนิด...

   “นั่นแหละคือเหตุผลที่เราสร้างห้องใต้ดินขึ้นมา ยกมันให้สูงกว่าพื้นดินเพื่อให้มีช่องระบายอากาศ ริเรีย...ชอบอยู่ที่นั่นมากกว่าห้องอื่น ถึงแม้ภายหลังเราจะตอกปิดหน้าต่างในห้องหนึ่งให้เธอแต่เธอก็ยังชอบห้องใต้ดิน”

   “แล้วทำไม....ตอนนี้...” แต่ตอนนี้ริเรียไม่ได้อยู่ที่นั่น...เอลยาต่างหาก....

   “ริเรียพาผู้หญิงคนนั้นกลับมาเมื่อไม่กี่วันก่อน พร่ำเพ้อแต่ว่าลูกของเธออยู่ที่นั่น พวกเราพยาบาลเธอและคิดจะปล่อยตัวกลับไปแต่ว่า.....เมื่อเธอตื่นมาก็ลนลานพูดถึงเรื่องของริเรีย พวกเราจึงต้องขังเธอเอาไว้ไม่อย่างนั้นพวกในหมู่บ้านอาจจะฆ่าริเรียก็ได้” ถึงตอนนี้ดวงตาของชายชราแสดงความแน่วแน่ที่ไม่ต้องการให้เรื่องนั้นเกิดขึ้น เขาลุกจากเก้าอี้ และโน้มตัวข้ามโต๊ะคว้าแขนวาลเซอิคก่อนบีบแน่นด้วยแรงทั้งหมดที่มี “หลานต้องสัญญา....สัญญามาสิว่าจะไม่พูดเรื่องนี้ออกไป และจะไม่เข้าไปที่นั่นอีก!”

   วาลเซอิคเงยหน้ามองอีกฝ่าย ความคลุ้มคลั่งที่สัมผัสได้ผ่านบรรยากาศบ่งบอกวาลเซอิคว่าตอนนี้ชายชราตรงหน้าเขากำลังถูกครอบงำด้วยความรู้สึกผิดอันแรงกล้าและความรับผิดชอบในฐานะพ่อ ถึงแม้ศีลธรรมในฐานะมนุษย์จะกำลังต่อต้านแต่เพราะไม่อาจหักหลังลูกสาวของตนเองได้พวกเขาจึงได้จมอยู่ในปลักโคลน ทำได้แค่โอบกอดกันในขณะที่จมลงไปเรื่อย ๆ ไม่สามารถตะเกียกตะกายขึ้นมาโดยทิ้งริเรียไว้เบื้องหลังได้....

   คนเหล่านี้กำลังถูกครอบงำ....ด้วยจิตใจที่บิดเบี้ยว....

---------------------->

   ในขณะเดียวกันนั้นที่บ้านของอัลเรส...

   เจ้าตัวเองก็กำลังถูกครอบงำด้วยความสงสัยที่ต้องการคำตอบจนไม่อาจอยู่เฉยได้

   หลังจากที่เขาทักทายกับแม่เล้าเจ้าของร้านซึ่งเป็นเจ้านายของเอลยา คัลดิชก็แสดงท่าทีแปลก ๆ ออกมาเหมือนกับว่าคิดอะไรออกในที่สุด แต่จนแล้วจนรอดเจ้าตัวก็ไม่ยอมพูดอะไรแม้สักคำ และเมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็เผ่นขึ้นไปนอนเสียอย่างนั้น!

   ห้องนอนของอัลเรสกลายเป็นกรรมสิทธิ์ของคัลดิชในตอนกลางวัน เพราะเจ้าตัวใช้นอนแต่ตอนกลางคืน แต่ยังไงเจ้าของห้องก็ยังรู้สึกแปลกที่มีคนอื่นเข้ามานอนในห้องตัวเองอยู่ดี

   โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเวลาแบบนี้ที่ควรจะคุยกันให้รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมจึงทำตัวผิดแปลกและเก็บงำไว้คนเดียว ทั้งที่นี่เป็นเรื่องของพี่สาวของเขา!

   อัลเรสจัดการกับน้อง ๆ ด้วยความรวดเร็วกว่าวันอื่น ๆ และปล่อยให้เด็ก ๆ ออกไปเล่นนอกบ้านได้โดยไม่บังคับให้อยู่แต่ในระยะสายตาเหมือนทุก ๆ วัน

   “อเลน วันนี้เจ้าไปหาตาลุงแนซแล้วบอกเขาด้วยว่าข้าขอหยุดงานเพราะรู้สึกไม่ค่อยสบาย” ชายหนุ่มกำชับกับน้องชายซึ่งเป็นการเป็นงานกว่าน้องสาวที่ยังเด็กเกินไป “แล้วก็เอาเงินนี่ไปซื้อขนมกินกับน้องซะ ตอนกลางวันค่อยกลับมา ข้าจะทำอาหารเตรียมไว้ให้”

   อเลนรับเงินและคำสั่งโดยพยักหน้าตอบรับและดึงมือแอนน์ให้รีบวิ่งตามออกไปก่อนพี่ชายจะเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา เพราะระยะนี้เจ้าตัวอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ จนน้องตามกันไม่ทัน

   เมื่อส่งน้องออกไปนอกบ้านสำเร็จ คราวนี้ก็ถึงเวลารบกวนเวลาอันสงบสุขของเจ้าคนขี้เซาบ้าง เพราะหากน้อง ๆ อยู่คงไปเข้าข้างเจ้า....เทวดาผู้พิทักษ์จอมปลอมนั่นแน่

   ชายหนุ่มจัดการปิดประตูบ้านเรียบร้อยแล้วจ้ำอ้าวขึ้นไปบนห้องนอนซึ่งตอนนี้มีอีกบุคคลใช้หลับนอนอยู่

   เสียงเปิดประตูห้องไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายตื่น คัลดิชหลับอยู่บนเตียงในสภาพเหมือนคนตายไม่มีผิด ทั้งนิ่งสนิท...และมีลมหายใจอันแผ่วเบาจนแทบไม่รู้สึกถึง การนอนหลับแบบนี้จะเกิดขึ้นต่อเมื่อบุคคลนั้นเหนื่อยมากจนหลับสนิทไม่รู้ตัว หรือไม่...มันคงเป็นเรื่องสามัญของพวกผู้ต้องสาป...หรือมันจะเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ผู้ต้องสาปถูกมนุษย์ฆ่าเอาได้นะ? อัลเรสเกิดสงสัยขึ้นมาตงิด ๆ ก่อนส่ายศีรษะสลัดเรื่องไร้สาระออกไป

   “เฮ้! นี่เจ้า......!”

   หมับ!

   เมื่ออัลเรสเอ่ยเรียกและยื่นมือออกไปเท่านั้น ร่างที่นิ่งสนิทก็กลับยกมือขึ้นมาคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของเขาก่อนลืมตาสีเลือดขึ้นและจ้องมาด้วยความมาดร้ายชั่วขณะ ถึงอย่างนั้นไม่นานมันก็กลับเป็นปกติ...สายตาที่ง่วงซึมและโหยหาการนอนหลับ

   ดูท่าการนอนคงไม่ใช่จุดอ่อน....เพราะหากผู้ต้องสาปสามารถตื่นเต็มตาได้ทันทีที่รู้สึกถึงอันตราย มนุษย์ที่หาญกล้าเข้าไปรบกวนต่างหากที่จะตายเสียเอง...

   อัลเรสคิดเช่นนั้นเบ้หน้าเพราะข้อมือที่โดนบีบรู้สึกเจ็บขึ้นมา

   “....เจ้าไม่รู้จักคำว่ามารยาทบ้างหรือไง...” คัลดิชมุ่นคิ้วแล้วหลับตาลงอีกครั้ง การถูกรบกวนเวลานอนไม่ใช่เรื่องน่าพิสมัยเลยสำหรับผู้ต้องสาปแบบพวกเขาที่นาฬิการ่างกายตรงต่อเวลาเป็นอย่างยิ่ง

   “เจ้าสิไม่รู้จักมารยาท ปล่อยข้าได้แล้ว!” ชายหนุ่มทำเสียงข่มขู่ คัลดิชจึงยอมปล่อยมือในที่สุดและลดมือลงเพื่อนอนหลับต่อ ถึงอย่างนั้นความพยายามในการรบกวนเวลานอนของอัลเรสก็ไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายพักผ่อนต่อได้ เขาฉุดเจ้าตัวให้ลุกขึ้นนั่งโดยไม่ถามความต้องการแม้แต่น้อย คัลดิชที่ถูกรบกวนจึงเริ่มอารมณ์เสียแต่ก็เหนื่อยหน่ายเกินกว่าจะตอบโต้ จึงทำเพียงแต่หลับตามุ่นคิ้วและทำเป็นไม่สนใจไปเสียด้วยความหวังว่าอัลเรสอาจจะหมดความพยายามไปเองในไม่กี่นาที

   แต่เขาก็คิดผิดมหันต์....

   “นี่ เจ้าปีศาจ! ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ! ข้าต้องการคุยกับเจ้าได้ยินไหม!” อัลเรสเขย่าอีกฝ่ายด้วยเรี่ยวแรงที่ตัวเองมีโดยไม่ต้องกลัวว่าจะช้ำชอก ทั้งยังตะโกนจนลั่นห้องและทำให้คัลดิชรู้สึกว่าหูตนเองกำลังถูก
ประทุษร้ายจนใกล้แตกเป็นเสี่ยง ๆ

   “หุบปากได้แล้ว!” คัลดิชยกมือดันหน้าอัลเรสออกไปไกล ๆ ด้วยความรำคาญและหงุดหงิดอย่างที่สุด “รอตอนเย็นไม่ได้หรือไงกัน หรือเจ้าคิดจะตายวันตายพรุ่งเลยกลัวไม่ทันมีชีวิตอยู่รอข้าตื่น!”

   “เจ้าบ้านี่! ข้าบอกแล้วว่าถ้ารู้เรื่องเกี่ยวกับพี่สาวข้าเมื่อไหร่ก็ต้องบอกข้าด้วย เจ้าจะปิดบังไปเพื่ออะไรกัน!”

   “ข้าไม่ได้ปิดบัง แต่มันไม่ได้เกี่ยวกับพี่สาวเจ้า มันเกี่ยวกับวาลเซอิคต่างหาก” คัลดิชตอบก่อนออกแรงกระชากอัลเรสลงนอนบนเตียงส่วนตนเองตวัดตัวขึ้นคร่อมด้านบน “ความจริงข้าไม่อยากเสียพลังงานทำเรื่องแบบนี้กับเจ้าหรอกนะ แต่ในเมื่อเจ้ารบกวนไม่ยอมหยุด...”

   “น...นั่นเจ้าคิดจะทำอะไร...” อัลเรสมองขึ้นไปด้านบน เห็นดวงตาสีเลือดที่เปล่งประกายขึ้นมา อย่าบอกนะว่าเจ้านี่คิดจะสูบเลือดเขาจนหมดตัว!

   “ก็แค่...คล้ายๆสิ่งที่เรียกว่าเวทมนตร์นิดหน่อย พวกข้าใช้ตอนล่าเห...” เสียงของคัลดิชที่ได้ยินผ่านหูของอัลเรสค่อย ๆ แผ่วเบาลงเรื่อย ๆ เหมือนกับมีหมอกหนาบดบังสติสัมปชัญญะทำให้ทุกอย่างเลือนรางและพร่ามัว และเพียงไม่นาน ประสาทสัมผัสทุกอย่างก็ถูกปิดกั้น เขาไม่ได้ยินเสียง มองไม่เห็น และไม่รู้สึกใด ๆ ในที่สุด....เขาก็จมลงสู่ห้วงนิทรา...อย่างจำใจ

   ชายหนุ่มผู้ต้องสาปถอนหายใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายหมดสติไปแล้ว มันเป็นเสมือนการสะกดจิตอย่างหนึ่งซึ่งพวกเขาใช้เมื่อล่อเหยื่อออกมายังที่ปลอดคนได้แล้ว มันทำให้เหยื่อจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อตื่น ซึ่งช่วยให้การมีอยู่ของพวกเขายังคงเป็นความลับดำมืด ถึงอย่างนั้น เมื่อพวกเขาเลิกดื่มเลือดมนุษย์ ความสามารถนี้ก็ไร้ประโยชน์จนไม่ได้ใช้งานอีก แต่คัลดิชก็พบว่ามันยังคงใช้ได้ดีเพราะอัลเรสหลับไปในเวลาเพียงไม่นาน กระนั้นการใช้ความสามารถแบบนี้ในช่วงเวลาเช่นนี้ก็เป็นการฝืนร่างกายตัวเองใช่เล่น...

   ง่วงจริง ๆ ให้ตายสิ...

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่14 [4/01/13]
«ตอบ #132 เมื่อ04-01-2013 22:25:53 »

   คัลดิชไม่ได้สนใจจะขยับตัวอีก เขาทิ้งตัวเองลงนอนทับบนร่างของอัลเรสทั้งอย่างนั้นและหลับไปอย่างรวดเร็วโดยคิดว่าเมื่อคัลมาร์มาถึงในคืนนี้คงจะปลุกเขาเอง

   น่าเสียดายที่ความหวังจะนอนหลับอย่างสงบของเจ้าตัวไม่สัมฤทธิ์ผล เมื่อเด็ก ๆ กลับมาในตอนกลางวันพร้อมพกความหิวโซมาเต็มท้องแต่พี่ชายก็ยังไม่ได้ทำอาหารเตรียมไว้ให้ ทั้งอเลนและแอนน์จึงถือวิสาสะบุกห้องของพี่ชายเพื่อเรียกร้องให้ปากท้องของตนเอง

   “พี่อัลเรส! ตื่นเร็วเข้า พี่ลืมอาหารของพวกเรานะ!” เสียงเล็กแหลมของอเลนเสียดแทงรูหูของคัลดิชเป็นอย่างยิ่ง และการขยับตัวของอัลเรสก็รบกวนการนอนของเขาเช่นเดียวกัน

   “พี่คะ แอนน์หิวแล้ว คุณเทวดาปล่อยพี่เถอะนะคะ” เด็กสาวตัวน้อยหันมาเขย่าตัวเขาที่พยายามจะไม่สนเสียงเจื้อยแจ้วเหล่านั้น และเพราการคะยั้นคะยอจากน้อง  ๆ ทำให้อัลเรสตื่นขึ้นและพบว่าตนเองอยู่ในสภาพที่ชวนเข้าใจผิดอย่างมากจึงโวยวายเสียงดังลั่นจนเหมือนห้องใกล้ถล่ม

   “นี่เจ้าคิดจะทำอะไรข้าเนี่ย! ลุกออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะเจ้าบ้า!” เสียงเอ็ดตะโรของอัลเรสเหมือนเสียงกัมปนาทของภูเขาไฟตอนระเบิดไม่มีผิด นอกจากนี้ฝ่ายนั้นยังโยนเขาออกจากตัวแล้วตกลงบนเตียงดังอั่ก ดัลดิชคว้าหมอนได้ก็กดลงบนศีรษะปิดหูปิดตาจากการรับรู้สภาพแวดล้อมทั้งหมดทั้งมวลทันที

   แต่น่าเสียดาย...ที่อีกสามคนในห้องไม่ได้ให้ความร่วมมือด้วยเลย

   อเลนและแอนน์แข่งกันเรียกร้องอาหารเหมือนลูกนกกำลังอ้าปากร้องหาพ่อแม่ที่จะคาบอาหารมาป้อนถึงรัง ส่วนคนที่ทำหน้าที่เป็นพ่อแม่ก็กำลังอาละวาดกับเรื่องไม่เป็นเรื่องและสบถก่นด่าอย่างจับใจความไม่ได้ คัลดิชปวดหัวจนแทบระเบิด เส้นเลือดในขมับของเขาเต้นตุบ ๆ เป็นจังหวะรัวแรง หากไม่ติดว่าตอนนี้เป็นตอนกลางวันเขาคงจะกระโจนออกหน้าต่างไปหาที่สงบ แต่ตอนนี้เขาต้องอดทน....และอดทนจนกว่าครอบครัวหรรษาสามคนนี้จะพากันออกไปจากห้องเพื่อที่ความเงียบจะกลับมาเยือนอีกครั้ง

   “พี่ ผมหิวนะ!”


   “พี่คะ ทำอะไรกับคุณเทวดาคะ?”

   “ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นแหละ! เลิกโวยวายได้แล้วน่า!”

   .....

   ในที่สุดความอดทนของคัลดิชก็ขาดผึง เขาลุกพรวดก่อนโยนหมอนลงพื้น

   “ออกไปให้หมดเดี๋ยวนี้....” ดวงตาสีแดงวาวโรจน์ด้วยโทสะผสมกับความง่วงที่ไม่อาจได้รับการตอบสนอง น้ำเสียงเย็นเยียบแอบแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายของความมาดร้ายพุ่งตรงไปยังทั้งสามที่ยังทู่ซี้รบกวนเขามานานสองนาน การกระทำนั้นทำให้ทั้งหมดชะงักและมองหน้ากัน ทันใดนั้น ก่อนที่แอนน์จะอ้าปากถามอะไรต่ออีก อัลเรสก็รีบปิดปากน้องสาวและกระเตงน้องชายเผ่นออกไปอย่างรวดเร็ว เพราะท่าทีของคัลดิชตอนนี้ชักเริ่มจะมั่นใจไม่ได้ว่าเจ้าตัวจะทำตามสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายเด็ก ๆ ได้หรือไม่

   ไอ้พวกบ้า...

   คัลดิชสบถในใจก่อนเอนทิ้งตัวลงบนเตียงอีกครั้ง มนุษย์พวกนี้น่ารำคาญกว่าสมัยที่วาลเซอิคไปอยู่ที่ปราสาทแรก ๆ เสียอีก

   คืนนี้....รอคืนนี้ก่อนเถอะ เขาจะเอาประเด็นที่ค้นพบให้คัลมาร์ไปรายงาน และจะได้ไปจากบ้านหลังนี้เสียที ไม่อย่างนั้น....เขาจะได้จับพวกนี้กินหมดแน่ ๆ

-------------------------------->

   และในที่สุดยามค่ำก็มาถึง อาร์วิน่าตื่นขึ้นในห้องของตนเองเหมือนเช่นเคย เธอมองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากความมืดมิดอนธการชั่วนิรันดร์ หญิงสาวลุกขึ้น อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า และตรงไปยังห้องหนังสือของเซเอล...

   นับแต่วาลเซอิคจากไป ชายหนุ่มผู้เป็นนายแห่งปราสาทก็เก็บตัวอยู่แต่ที่นั่น นอกจากเวลานอนแล้วเจ้าตัวก็ไม่เคยย่างก้าวออกมาเลย

   “นั่นเจ้ากำลังจะไปไหนน่ะคัลมาร์” เธอพบชายหนุ่มผู้ถูกแยกจากฝาแฝดตนเองโดยบังเอิญที่ทางเดินในปราสาท ดูเหมือนเจ้าตัวกำลังจะออกไปข้างนอกจึงสวมเสื้อคลุมและหมวกพร้อมพกดาบเล่มหนึ่ง และเมื่อฝ่ายนั้นได้ยินเสียงของเธอก็หันมายิ้มให้อย่างเป็นกันเอง

   “ข้ากำลังจะไปหาคัลดิช แต่คิดว่าไม่นานก็คงจะกลับ”

   “ไปหาคัลดิชหรือไปหาเลือดของมนุษย์กันแน่” อาร์วิน่ากอดอกและมองอย่างรู้ทัน คัลมาร์หัวเราะออกมานิดหน่อยโดยไม่ตอบอะไร

   “วันนี้อาจมีข่าวดีก็ได้” เขาว่าอย่างนั้นก่อนเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

   หญิงสาวผมแดงส่ายศีรษะระอาใจ ฝาแฝดคู่นี้เหมือนกันจริง ๆ เรื่องที่ชอบจุ้นจ้านไม่เป็นเรื่อง ความจริงเรื่องนี้คัลมาร์ไม่จำเป็นต้องเข้าไปเกี่ยวเลย เพราะที่เซเอลสั่งให้คัลดิชฝืนใจไปทำสิ่งที่ไม่ชอบนั้นก็เหมือนการลงโทษที่เจ้าตัวปิดบังเรื่องสำคัญ ถือว่าเป็นการลงโทษเบา ๆ เสียด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับความโกรธของเซเอลเมื่อรับรู้ความจริง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น...คงเป็นเพราะวาลเซอิคส่วนหนึ่ง...

   วาลเซอิค...

   เด็กคนนั้นเริ่มมีอิทธิพลกับคนอื่น ๆ ตอนไหนกันนะ?

   เธอคิดไปพลางก็สาวเท้าไปถึงห้องที่ต้องการ เมื่อยกมือขึ้นเคาะประตูห้องเพียงสองครั้งก็ได้ยินเสียงอนุญาตจากข้างในจึงเปิดเข้าไป

   เซเอลนั่งอยู่ในห้องหนังสือดังที่คาด ชุดน้ำชาถูกจัดเตรียมไว้ข้างตัวตามปกติ ในมือของชายหนุ่มมีหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับการผจญภัยของสองพี่น้องที่ชื่อเซราฟและวอเรน ได้ยินมาว่าเป็นหนังสือเล่มโปรดของเซเอลแต่เพราะเธอไม่เคยอ่านจึงไม่รู้เนื้อหาข้างใน กระนั้นสิ่งที่น่าแปลกใจยิ่งกว่าไม่ใช่หนังสือเล่มนั้นแต่เป็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็กที่นอนหมอบที่เท้าของเซเอล ลูกสุนัขสองตัวที่วาลเซอิคนำกลับมาด้วย...ตั้งแต่เมื่อไหร่นะที่เซเอลนึกเอ็นดูพวกมันทั้งที่เจ้าตัวไม่ยอมแสดงความสนิทชิดเชื้อสิ่งมีชีวิตอื่นมานานแล้ว

   อาร์วิน่ากวาดสายตาไปทางหนึ่ง และพบว่าบนโต๊ะใกล้ตัวเซเอลนั้นยังคงวางสร้อยเส้นนั้นเอาไว้ สร้อยที่เคยมอบให้กับหญิงสาวที่ตนหลงรัก....

   “เจ้ามีอะไรหรือเปล่า?” เมื่อเห็นว่าอาร์วิน่าเอาแต่เงียบ เซเอลจึงเอ่ยปากถามโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากหนังสือในมือ

   “ท่านอยู่แต่ที่นี่มานานเท่าไหร่แล้ว”

   “มันไม่ใช่ธุระของเจ้า”

   “ท่านจำได้หรือเปล่าว่าในตอนที่ท่านคิดว่าริเรียตายไปแล้ว ท่านเองก็เอาแต่หมกตัวในห้องแบบนี้เหมือนกัน” อาร์วิน่าเตือนถึงเรื่องเก่า ๆ และเดินเข้ามาใกล้ “แต่วาลเซอิคยังไม่ตาย...”

   “ริเรียก็ด้วย”

   “แต่นางไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว”

   “และนั่นคือความผิดพลาดของข้า” คำตอบของเซเอลทำให้อาร์วิน่ามุ่นคิ้วก่อนจะถอนหายใจเฮือก

   “ในตอนนี้สิ่งที่เกาะกุมใจท่านมีแต่ความรู้สึกผิดต่อนางเท่านั้นไม่ใช่หรือ? ตัวตนของหญิงที่ท่านรักได้ตายจากไปแล้วพร้อมกับความรักของท่าน เพราะหาก...ท่านยังคงมีเยื่อใยต่อนาง...เป็นนายท่านคนเดิมเมื่อวันนั้น ท่านคงออกไปตามหานางด้วยตัวเองแล้ว หรือข้าพูดอะไรผิดไป?”

   นั่นสินะ...

   เซเอลหลุบตาลงเล็กน้อย

   อาจจะเป็นอย่างที่อาร์วิน่าว่า หากเป็นเขาในวันเก่าก่อนเขาคงจะออกไปจากปราสาทและตามหาเธอเพื่อจะได้จับมือเธอที่หลงทางให้กลับมาเป็นคนเดิม ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนใด....เขาก็คงจะตามไปอย่างไม่ลังเล ทว่า...ตอนนี้เขากลับทำเช่นนั้นไม่ได้ ริเรียเหลือเพียงเงาที่ติดอยู่ในความทรงจำ เป็นบาดแผลที่ตกสะเก็ด ยังคงเจ็บ....แต่ไม่ปวดร้าวเมื่อคิดถึง แต่เพราะเขาเป็นคนที่ทำให้เธอต้องอยู่ต่อไปอย่างทุกข์ทรมาน มันจึงกลายเป็นตราบาปที่ติดตรึงเสียยิ่งกว่าบาดแผลที่เกิดจากความรู้สึกรัก

   เขาอยาก...จะชดใช้....

   อย่างน้อยเพื่อให้เธอได้หลับตาลงอย่างสงบเสียที....

   แล้วทำไมเขาถึงยังคงอยู่ที่นี่...ปราสาทนี้....เขาเฝ้ารออะไรอยู่กันแน่....

   อาจจะเป็น...การกลับมาของใครบางคน...

   “อาร์วิน่า....” เซเอลเอ่ยชื่อหญิงสาวโดยที่ดวงตายังคงจับจ้องบนหน้าหนังสือหน้าเดิม...หน้าที่เขาไม่ได้พลิกมันไปไหนเลย แต่เพียงเปิดขึ้นมาและจ้องมองอยู่อย่างนั้น “ในฐานะที่เจ้าเป็นหญิง เจ้าอาจจะเข้าใจเรื่องนี้ดีกว่าข้าก็ได้ เจ้าคิดจะแนะนำข้ายังไง?”

   “ท่านน่าจะ....ซื่อตรงกับตัวเองบ้าง เราไม่ได้อยู่ในยุคสมัยที่ท่านเป็นขุนนางผู้ทรงเกียรติอีกแล้ว ไม่มีใครสนใจหรอกว่าท่านจะแสดงออกยังไง บรรทัดฐานที่ผูกมัดว่าผู้สูงศักดิ์ควรปฏิบัติตัวเช่นไรไม่สามารถกักขังท่านไว้ได้อีกแล้ว ท่านไม่คิดอย่างนั้นหรือ?”

   ผู้สูงศักดิ์ต้องประพฤติตัวเป็นตัวอย่างแก่ผู้น้อย...ต้องสงวนท่าที...ต้องให้เกียรติ...เป็นสุภาพบุรุษ...รู้จักบทบาทฐานะของตนเอง...วางตัวอย่างเหมาะสมในทุกสถานะ...เป็นบุคคลที่สมบูรณ์แบบ มันคือสายโซ่ที่ทำให้เซเอลไม่สามารถก้าวเข้าไปหาริเรียได้นอกเหนือจากเหตุผลว่าตนเองเป็นผู้ต้องสาป นอกจากจะไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์ได้แล้ว...ยังไม่สามารถผูกพันกับหญิงสามัญชนได้อีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเธอรับรักชายอีกคนหนึ่ง...ตนเองก็ต้องยอมรับอย่างสุภาพบุรุษว่าเป็นผู้แพ้และสงวนความรู้สึกของตนเองไว้แต่เพียงภายใน

   เซเอลวางหนังสือลงและลุกเดินไปที่หน้าต่าง เขาไขว้แขนไว้ด้านหลังพลางมองออกไปด้านนอก

   “ท่านจะทำยังไงหากผู้ต้องสาปข้างนอกนั้นคือริเรียจริง ๆ” อาร์วิน่าเพียงแค่ถามเพื่อให้เซเอลคิดเท่านั้น โดยไม่คาดหวังว่าตนเองจะได้คำตอบใด ๆ กลับมา ทว่า...

   “ข้าคิดเอาไว้แล้ว”

   .....?

   นั่นเป็นคำตอบที่เหนือความคาดหมายไปมากโข ก่อนหน้านี้เซเอลยังไม่มั่นใจอยู่เลยไม่ใช่หรือว่านั่นคือริเรียจริงหรือไม่ และการให้คัลดิชออกไปจากที่นี่ก็เพื่อหาคำตอบนั้นไม่ใช่หรือ?

   “เจ้ารู้หรือเปล่าว่าทำไมข้าจึงตัดสินใจพาวาลเซอิคมาที่นี่”

   “เพราะท่านไม่ต้องการให้เขาใกล้ชิดมนุษย์คนอื่น? หรือไม่ท่านก็กลัวว่าเขาจะตกอยู่ในอันตรายและท่านช่วยเหลือไม่ได้”

   เซเอลมองลงไปข้างล่าง จุดที่ต้นไม้ต้นนั้นยืนอยู่อย่างอ่อนแรง

   “ข้ารู้สึกมาโดยตลอด....ว่ามีบางสิ่งติดตามเขาอยู่ ข้ารู้สึก....แต่ไม่อาจจับสัมผัสได้ว่าเป็นใครเพราะข้าอ่อนแอลงทุกวัน จนกระทั่งข้าพาเขามาที่นี่ สิ่งที่ติดตามเขาก็หายไป และเมื่อเขากลับไปในหมู่บ้านอีกครั้ง...เพื่อฆ่าเวลาตามประสามนุษย์วัยหนุ่มสิ่งนั้นก็กลับมาในความรู้สึกของข้า เมื่อข้าติดตามเขาออกไปในทุก ๆ คืนที่เขาเข้าหมู่บ้าน ข้ารู้สึกได้...และยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ แต่เพราะข้าเชื่อมาโดยตลอดว่าริเรียตายไปแล้วข้าจึงไม่ได้เอะใจ จนกระทั่งคัลดิชบอกข้า...ว่านางยังมีชีวิตอยู่”

   “ถ้าอย่างนั้นทำไมท่านถึง....”

   “ข้าส่งคัลดิชออกไปเพื่อที่ข้าจะได้แน่ใจ....ว่านางไม่ได้จากไปไหนและเฝ้ารอวาลเซอิคอยู่ที่นั่น...ในหมู่บ้านแห่งนั้นซึ่งเป็นลานล่าของนาง”

   “แล้วจากนั้นล่ะ?” อาร์วิน่าคาดเดา

   “ตอนนี้คัลดิชยังไม่รู้สึกถึงตัวตนของริเรีย แปลว่านางอาจจะไม่ได้ปักหลักในหมู่บ้านนั้น แต่ก็ไม่ใช่ในป่าซึ่งเป็นอาณาเขตของข้าเช่นกัน” เซเอลหมุนตัวกลับมาอีกครั้ง “อาร์วิน่า ข้าต้องการความแน่ใจบางอย่าง ดังนั้นนี่คือคำสั่งจากข้า....” ชายหนุ่มกล่าวถึงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งทั้งเขาและอาร์วิน่าต่างรู้จัก เธอค่อนข้างแปลกใจในตอนแรกก่อนจะรับคำสั่งและจากไปอย่างรวดเร็วราวกับสายลม

   บางที...เมื่ออาร์วิน่าและคัลมาร์กลับมาที่นี่ อาจถึงเวลาที่เขาต้องตัดสินใจลงมือทำในสิ่งที่คิดเอาไว้ วาลเซอิค...อาจจะไม่ยกโทษให้เขาก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าเด็กคนนั้นจะกลับมาหรือไม่ หรือว่า...จะกลับมาในตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า....

   เซเอลไล้มือไปบนกรอบหน้าต่างที่ปรากฏรอยแตกของเนื้อไม้ ข้างนอกนั่น...ใบไม้ที่ไม่ร่วงหล่นแม้แห้งกรอบก็เริ่มโรยลงบนพื้นดิน ด้วยการแลกเปลี่ยนกับช่วงเวลาสั้น ๆ ของแสงสว่างอันอบอุ่น ค่าตอบแทนของมันกำลังกวักมือเรียกเขาจากสถานที่อันแสนไกล

   น่าจะ...ซื่อตรงกับตนเองอย่างนั้นหรือ...

   เขาจะมีเวลาถึงขนาดนั้น....หรือเปล่านะ....

TBC




ขอโทษที่ช้านะคะ ช่วงปลายเดือนที่แล้ววุ่นวายมาก :'D

ออฟไลน์ Ali$a฿eth

  • [จิ้น]ตนการ
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-3
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่14 [4/01/13]
«ตอบ #133 เมื่อ05-01-2013 05:16:27 »

เม้นกันไม่ถูก อ่านไปรู้สึกสงสารวาลเซอิยังไงไม่รู้

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่14 [4/01/13]
«ตอบ #134 เมื่อ05-01-2013 11:46:17 »

เฮ้ออ
ต่างคนก็มีเหตุผลเป็นของตัวเอง
ไม่รู้ควรจะสงสารใครดี

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่14 [4/01/13]
«ตอบ #135 เมื่อ05-01-2013 15:55:55 »

น่าสงสารอะ

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่15 [6/01/13]
«ตอบ #136 เมื่อ06-01-2013 16:56:48 »

ตอนที่ 15 ยามเมฆหมอกเคลื่อนคล้อยผ่าน


   “ไงเด็ก ๆ ข้ามีของมาฝากด้วยนะ” คัลมาร์โผล่หน้าเข้ามาในบ้านโดยไม่ต้องรอคำอนุญาตจากใคร พร้อมคำทักทายและรอยยิ้มพิมพ์ใจที่ดึงให้เด็กทั้งสองวิ่งไปต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี ชายหนุ่มวางกระต่ายสองตัวลงบนโต๊ะแล้วอุ้มเด็กชายหญิงขึ้นมาในอ้อมแขนด้วยกำลังที่ดูไม่สมกับร่างกายเลยแม้แต่น้อย “วันนี้คุณเทวดาอีกคนไปไหนเสียล่ะ? พี่ชายของพวกเจ้าด้วย”

   “พี่ออกไปข้างนอกค่ะ ท่าทางโมโหมาก ๆ เลย” แอนน์รีบตอบก่อนตามประสาเด็กที่ชอบแย่งชิงการเป็นที่เอ็นดูรักใคร่

   “คุณเทพผู้พิทักษ์ยังนอนอยู่เลยครับ แถมไม่ยอมให้ใครเข้าไปรบกวนด้วย” อเลนพูดขึ้นมาบ้างก่อนที่น้องสาวตัวเองจะแย่งตอบเสียหมด

   “อย่างนั้นเอง เช่นนั้นเอาอย่างนี้ บังเอิญข้าพบลูกกระต่ายตัวหนึ่งบาดเจ็บอยู่เลยนำกลับมาด้วย” ว่าแล้วคัลมาร์ก็วางเด็ก ๆ ลงก่อนช้อนกระต่ายตัวเล็กกว่าฝ่ามือออกมาจากใต้อกเสื้อ “ทำไมพวกเจ้าไม่ไปหาอาบกับอาหารให้มันเสียหน่อย และหาที่นอนอุ่น ๆ ให้มันล่ะ?”

   ทั้งอเลนและแอนน์ไม่เคยได้รับอนุญาตให้เลี้ยงสัตว์มาก่อนจึงตื่นเต้นดีใจมากที่มีสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า

   “เบามือกับมันหน่อย มันยังอ่อนแอ” ชายหนุ่มหัวเราะเมื่อเห็นเด็ก  ๆ มองมันตาวาวเป็นประกาย เขาส่งลูกกระต่ายในมือให้อเลนประคองด้วยฝ่ามือทั้งสองข้าง “ไปกันได้แล้ว ข้าจะไปดูคุณเทวดาเสียหน่อย”

   เด็กทั้งสองรับคำก่อนพากันวิ่งไปทางด้านหลังบ้าน คัลมาร์ไหวไหล่นึกขำเด็กมนุษย์และอดคิดถึงสมัยวาลเซอิคยังเล็กไม่ได้ ถึงอย่างนั้นตอนนี้เด็กคนที่ว่าก็ตัวโตเหมือนกับหมีไปแล้ว ชายหนุ่มเลิกคิดเรื่องอดีตและเดินขึ้นไปหาฝาแฝดของตนเองที่ควรจะตื่นได้แล้ว

   “คัลดิช เจ้านอนท่าแปลกขึ้นหรือเปล่า?” ตอนเขาไปถึงห้องและเปิดเข้าไปเห็นอีกฝ่ายกำลังนอนคุดคู้เอาหมอนปิดศีรษะแล้วคลุมโปงจนมิดนั้น เขาก็เกือบจะขำพรวดออกมาแต่ก็รีบยังเอาไว้และเดินเข้าไปถามด้วยน้ำเสียงปกติของตนเอง

   “พูดมากจริง...” คัลดิชเปิดหมอนขึ้นมาด้วยสภาพเหมือนคนที่พักผ่อนไม่เพียงพอ แต่เจ้าตัวก็ยอมสลัดผ้าห่มและลุกขึ้นมานั่งพร้อมกับที่คัลมาร์หย่อนตัวลงข้าง ๆ “ช้าคิดว่า...บางทีข้าอาจจะรู้แล้วก็ได้ ว่าทำไมนางจึงเลือกที่นั่นเป็นลานล่า”

   “เร็วกว่าที่ข้าคิดเสียอีก เจ้าเจอนางหรือเหยื่อของนางโดยบังเอิญหรือ?” คัลมาร์เลิกคิ้ว

   “เปล่าเลย แต่ว่า....” คัลดิชมองไปรอบห้อง “จริงสิ เมื่อตอนกลางวันข้าถูกรบกวนจนนอนแทบไม่ได้”

   “มิน่าล่ะเจ้าถึงได้ดูเพลียนัก” ฝ่ายแฝดที่ได้นอนอย่างเพียงพอแล้วหัวเราะออกมาก่อนจะเงียบไปครู่หนึ่งและกวาดสายตาไปรอบตัวเหมือนกำลังจับสัมผัสบางสิ่งอยู่ “เจ้าโดนเด็ก ๆ รบกวนสินะ? น่าแปลก ปกติแล้วเด็กสองคนนั้นจะไม่มาที่ห้องนี้ไม่ใช่หรือ?” คัลมาร์ทักเพราะรู้สึกถึงกลิ่นอายอย่างบางเบาของเด็กสองคนที่ตนเพิ่งพบเมื่อครู่ปะปนอยู่กับกลิ่นอายของอัลเรสผู้เป็นเจ้าของ แต่ก็เจือจางจนแทบจับไม่ได้เพราะเป็นการมาเยือนเพียงครั้งเดียวและชั่วครู่เดียวเท่านั้น หากข้ามคืนนี้ไปก็คงไม่หลงเหลือหลักฐานใด ๆ แล้ว

   “จริง ๆ แล้วเจ้ามนุษย์ยักษ์ต่างหากที่รบกวนข้ามากที่สุด แต่ทำไมเจ้าถึงรู้ได้ล่ะว่าเด็กสองคนนั้นมาที่ห้องนี้ก่อนเจ้าจะมา”

   “ไม่เห็นแปลกไม่ใช่หรือ ก็....” ก่อนคัลมาร์จะตอบจบประโยคก็ชะงักไป และไม่นานก็หัวเราะออกมา “ว่ากันว่าดวงตาไม่เห็นสิ่งที่อยู่ปลายจมูกคงจะจริง”

   “เพราะมันเป็นธรรมชาติของพวกเราที่อยู่กับมันจนเหมือนส่วนหนึ่งของชีวิตจึงไม่ทันได้สังเกต” คัลดิชยกนิ้วแตะบนปลายจมูก มันอาจจะไม่ได้รู้สึกด้วยต่อมรับกลิ่นโดยตรงเพราะสัมผัสของพวกเขานั้นคล้ายสัตว์เสียมากกว่า จึงเรียกได้อีกอย่างว่าเป็นสัญชาตญาณ “ประสาทสัมผัสที่รู้สึกถึงกระทั่งรูปแบบอารมณ์ กลิ่นอายเฉพาะของผู้คน และที่นั่น....ก่อนหน้านี้มีกลิ่นอายของวาลเซอิคอยู่เต็มไปหมด ถึงตอนนี้จะจางหายไปแล้วก็ตาม แต่ตอนที่วาลเซอิคเข้าไปในที่นั่น....ริเรียก็ตามเขาไปเช่นกันและทำร้ายคนที่มีกลิ่นกายของเขาเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง....”

   คัลมาร์มองหน้าฝาแฝดตนเองอยู่ชั่วครู่ พลางสงสัยว่าเซเอลจะคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ ระยะนี้นายของพวกเขาทำตัวแปลกพอสมควร เหมือนจะสนใจแต่ก็ไม่ได้สนใจ เหมือนว่าฝ่ายนั้นกำลังเฝ้ารออะไรบางอย่างอยู่เสียมากกว่า คำตอบที่คัลดิชค้นพบ...จะใช่สิ่งที่เฝ้ารออยู่หรือไม่นะ?

   “แล้วอัลเรสไปไหนเสียล่ะ? ปกติพอตกค่ำก็จะกลับมายึดห้องคืนทุกครั้งนี่?”

   “เจ้ามนุษย์นั่นคิดว่าข้าปิดบังเรื่องเกี่ยวกับพี่สาวตัวเอง หลังจากออกจากห้องไปข้าก็ไม่รู้หรอกว่าเขาไปไหนอีก แต่ถ้าให้เดา ตอนนี้คงอยู่ในย่านเริงรมย์ล่ะมั้ง?”

   “ที่เขาคิดก็ไม่ได้ผิดนักไม่ใช่หรือ? พี่สาวของเขาก็เป็นหนึ่งในผู้เคราะห์ร้ายที่อาจเกี่ยวกับริเรีย เจ้าน่าจะบอกเขานะ” คัลมาร์แนะนำอย่างไม่จริงจังนัก

   “เสียเวลาเปล่า เป็นแค่มนุษย์ถึงจะรู้เรื่องพวกนี้ไปก็ทำอะไรไม่ได้ ประสาทสัมผัสก็ทื่อเสียขนาดนั้น นักล่ามาจ่อคมเขี้ยวอยู่ข้างคอยังไม่รู้สึกตัวเลย”

   “แปลว่าเจ้าจ่อคมเขี้ยวข้างคอเขาบ่อยงั้นสิ?”

   คัลดิชฟังแล้วพ่นลมหายใจพรืด

   “การอยู่ใกล้มนุษย์ตลอดเวลามันห้ามใจง่ายเสียที่ไหน” เขาพยายามจะไม่เข้าใกล้พวกเด็ก ๆ เพื่อรักษาสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายเด็กพวกนั้น แน่นอนว่ามันไม่ได้แตกต่างจากสมัยที่วาลเซอิคมาอยู่ที่ปราสาทใหม่ ๆ ที่พวกเขาต้องหักห้ามใจจะไม่ทำตามสัญชาตญาณ แต่สำหรับอัลเรสค่อนข้างต่างกัน เพราะถึงเขาจะพยายามอยู่ห่าง ๆ มนุษย์คนนั้น แต่เจ้านั่นก็ยังชอบมาตามเกาะเขาเหมือนกับปลิงตัวยักษ์เพราะกลัวเขาจะไปทำอะไรนอกสายตาเข้า แบบนี้มันจงใจยั่วให้ตบะแตกเพราะความกระหายชัด ๆ

   “เอาเถอะ ข้าเข้าใจ” คัลมาร์ยิ้มขำ “ข้าหวังว่าเจ้าจะได้กลับปราสาทเร็ว ๆ นี้”

   “ข้าก็ด้วย”

   “ถ้าอย่างนั้นข้าไปก่อนล่ะ บางทีถ้าโชคดี งานของเจ้าคงจบแค่นี้” หลังจากกล่าวลา  คัลมาร์ก็โผออกไปทางหน้าต่างทิ้งให้คัลดิชนั่งอยู่เพียงลำพัง

-------------------------------->

   ทางด้านอาร์วิน่าที่ถูกสั่งให้มุ่งตรงไปยังสถานที่อีกแห่งนั้น เธอมาถึงจุดหมายด้วยเวลาอันรวดเร็วและต้องรู้สึกประหลาดใจเมื่อพบว่าสถานที่ซึ่งควรถูกทิ้งให้ร้างกลับมีการปลูกพืชสวนและตกแต่งบ้านให้ดูใหม่ แปลว่ายังมีคนอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนั้นอย่างแน่นอน

   หญิงสาวหลบอยู่หลังแนวต้นไม้ที่ไกล ๆ จนไม่มีใครน่าจะทันสังเกต เพราะหากริเรียซ่อนตัวอยู่ที่นี่ การที่เธอเข้าไปใกล้เกินไปอาจทำให้อีกฝ่ายรู้ตัวได้ อย่างไรตอนนี้เธอคนนั้นก็กลายเป็นผู้ต้องสาปเหมือนพวกเขาไปแล้ว แม้จะเสียสติแต่ก็มีสัญชาตญาณเป็นเกราะป้องกันตัว หากเธอถูกพบเข้าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เสียเปล่า ๆ ซ้ำเรื่องนี้เซเอลก็ออกปากเองว่าจะจัดการด้วยตนเอง เธอไม่มีสิทธิไปก้าวก่าย ทำได้เพียงสังเกตการณ์เท่านั้น

   แต่ว่า....มองดูห่าง ๆ อย่างนี้ อีกฝ่ายจะปรากฏตัวออกมาให้เห็นหรือเปล่านะ...

   ในขณะที่คิดเช่นนั้น พลันประตูบ้านก็เปิดออก มีผู้ชายคนหนึ่งเดินออกมาจากประตูนั้นพร้อมกับเทียนเล่มหนึ่ง ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ต้องการให้ใครพลเห็นจึงได้ย่างออกมาด้วยวามระมัดระวัง แต่เดี๋ยวก่อน....รูปร่างนั้นคุ้นตาอยู่ไม่ใช่น้อยเลย....

   อาร์วิน่าเพ่งสายตาไปยังเป้าหมาย ยิ่งมองก็ยิ่งใช่....

   วาลเซอิค?

   เธอคิดว่าเด็กคนนี้จะไปไกลจากที่นี่แล้วเสียอีก ไปตามหาแม่ หรือไม่ก็ไปเริ่มต้นชีวิตของตนเอง แต่ทำไมจึงยังวนเวียนอยู่แถวนี้ ซ้ำยัง...ในบ้านหลังนี้....บ้านที่เซเอลให้ตาแก่ยายแก่สองคนมาอยู่เพื่อเลี้ยงดูในสมัยเด็ก จะเป็นเพราะมีคนมาอาศัยที่นี่แล้วบังเอิญวาลเซอิคมาพบจึงได้ขออาศัยด้วยชั่วคราว หรือวาลเซอิคคือคนที่พบบ้านหลังนี้ว่างอยู่จึงเข้าอาศัยโดยยึดเป็นบ้านของตนเองกันแน่?

   แต่หากอยู่คนเดียวก็ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนไม่ใช่หรือ?

   ท่าทางของวาลเซอิคที่เธอเห็นนั้นไม่ต่างกับคนที่กำลังเกรงว่าจะถูกพบตัว การใช้มือบังแสงเทียนให้ส่องแต่วงแคบ การโค้งตัวต่ำและค่อย ๆ ย่องอย่างช้า ๆ

   ทว่า...อยู่ ๆ เด็กหนุ่มคนนั้นก็สะดุ้งตัวตรงก่อนจะหันหลังกลับมาทางประตูบ้านที่ตนเพิ่งออกมา

   ที่ตรงนั้น....มีหญิงสาวคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น

   ริเรีย?

   อาร์วิน่าเบิกตากว้าง ริเรีย...อยู่ที่นี่จริง ๆ หรือ? ซ้ำยังอยู่กับวาลเซอิค เป็นสถานการณ์ที่เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะเกิดขึ้น คงเพราะก่อนหน้านี้ตัวเธอเองก็ยังไม่แน่ใจกระมัง ว่าริเรียจะยังคงมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ แต่หลักฐานที่อยู่ตรงหน้านั้นแน่นหนาเกินกว่าจะปฏิเสธ ถ้าอย่างนั้น...เรื่องที่ผู้หญิงคนนี้คือคนที่ฆ่าพวกมนุษย์ก็อาจจะเป็นความจริงด้วย วาลเซอิค...จะคิดแบบนั้นหรือเปล่านะ หรือเด็กคนนั้นจะไม่รู้จึงได้ยังอยู่ที่นี่และคิดว่าตัวเองได้พบแม่แล้วในที่สุด หรือว่า...จะหนีไปไม่ได้?

   เหตุที่อาร์วิน่าคิดข้อหลังขึ้นมานั้นเพราะท่าทางที่วาลเซอิคแสดงออกต่อหน้าริเรีย

   เขาดูหวั่นเกรงและพยายามต่อต้านเมื่อริเรียเดินเข้าไปใกล้

   ....

   หญิงสาวผมแดงมุ่นคิ้วทันทีเมื่อภาพที่เธอเห็นเปลี่ยนบรรยากาศไปอย่างกะทันหัน

   ริเรีย...เดินเข้าไปหาเด็กคนนั้นที่ทำท่าลับ ๆ ล่อ ๆ ในตอนแรกเหมือนวาลเซอิคจะพยายามหลีกเลี่ยงการสนทนาเสียด้วยซ้ำไป แต่เมื่อริเรียมาถึงตัว เจ้าเด็กคนนั้นกลับกอดอีกฝ่ายและลูบผมเหมือนกำลังปลอบโยน นั่นมัน....เป็นกิริยาที่ลูกแสดงต่อแม่แน่หรือ?

   เธออาจจะห่างไกลความเป็นมนุษย์มานานแล้ว แต่ว่าเท่าที่จำได้ ท่วงท่ากิริยาแบบนั้นน่าเป็นการแสดงออกของคนรักเสียมากกว่า...

   มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่....

   แต่อย่างไรก็ตาม...เธอก็รู้แน่แล้วว่าที่นี่คือที่อาศัยของริเรีย ที่ ๆ ริเรียซ่อนตัวจากสายตาของเซเอลมาโดยตลอด บางทีเธอคนนั้นคงรู้ว่าพลังของเซเอลกำลังอ่อนแอลงและไม่มีทางพบตนเองได้แม้จะอยู่ใกล้อาณาเขตเสียขนาดนี้ อาจจะเหมือนการหักหน้า...แต่ในอีกแง่หนึ่ง ริเรียอาจจะเพียงแค่ทำตามสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดเท่านั้น เพราะเธอไม่สามารถเข้าไปอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้ เข้าไปในป่าซึ่งเป็นที่ของเซเอลก็ไม่ได้ ที่นี่จึงเป็นสถานที่เดียวที่ริเรียจะอยู่ได้โดยไม่มีใครพบเห็น สถานที่ซึ่งมีกลิ่นอายของลูกชายอันเป็นที่รัก ที่ ๆ เธอเคยเฝ้าดูลูกชายตัวน้อยค่อย ๆ เจริญเติบโตขึ้นด้วยการอุ้มชูของบุคคลอื่น....

   หญิงสาวผละตัวจากแนวต้นไม้ที่ซ่อนกาย

   เธอเห็นมากพอแล้ว...และดูเหมือนวาลเซอิคจะไม่ได้อยู่ในสถานการณ์อันตรายถึงชีวิต ดังนั้นเธอเองก็ต้องทำตามหน้าที่ของตนเช่นกัน

   อาร์วิน่าค่อย ๆ ถอยห่างออกมาอย่างช้า ๆ เพื่อที่จะไม่มีใครบังเอิญสังเกตถึงการมีอยู่ของเธอ และค่อย ๆ กลืนร่างกายหายไปกับความมืดของยามราตรี

   นายท่านกำลังเฝ้ารอคำตอบของเธออยู่...

----------------------------->

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่15 [6/01/13]
«ตอบ #137 เมื่อ06-01-2013 16:57:14 »

   เอลยาจะเป็นยังไงบ้างนะ?

   วาลเซอิคอดเป็นห่วงไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อตกค่ำอากาศก็จะเย็นชื้น เอลยาอยู่ในห้องใต้ดินซึ่งมีแต่เสื้อผ้าเนื้อบางห่อหุ้มร่างกาย แต่ถึงอย่างนั้น...เขาก็คงจะออกไปหาเธออย่างเปิดเผยไม่ได้ เพราะตาของเขาดูจะหวาดระแวงในเรื่องนี้มาก เมื่อกลางวัน เขาถูกบังคับให้เอ่ยคำสัญญาว่าจะไม่พูดถึงเรื่องที่ตนเองรู้เกี่ยวกับริเรียและเอลยา รวมถึงไม่ลงไปที่ห้องใต้ดินด้วย

   ‘ผมจะ...ทำให้ดีที่สุด’

   เขาจำได้ว่าตนเองพูดไปอย่างนั้นเพื่อให้ชายชราเบาใจลง แต่ว่า....เอลยาจะไม่เป็นอะไรแน่หรือ? คุณตา...ไม่ได้บอกเลยสักคำว่าจะปล่อยเอลยาไปเมื่อไหร่ บางที....อาจจะขังเอาไว้อย่างนั้นตลอดชีวิตก็ได้ เพราะเอลยารู้เรื่องของริเรียแล้ว...

   บ้าจริง....

   วาลเซอิคนอนไม่หลับและเอาแต่พลิกไปมาบนเตียงอย่างร้อนใจ

   ไม่คิดเลยว่าการได้พบแม่จะนำไปสู่เรื่องที่เหนือความคาดหมายถึงขนาดนี้ ทั้งที่ตอนแรก...เขาแค่วางแผนเอาไว้ว่าเมื่อพบแม่ก็จะพากลับไปหาเซเอล...ก็เท่านั้น แค่อยากจะให้เซเอลมีความสุขและเห็นว่าเขาเองก็มีค่า และอย่างน้อย...เขาก็ได้พบกับครอบครัว แต่ว่า...ทุกอย่างก็ผิดแผนไปหมด แม่ของเขากลายเป็นลูกของตากับยายที่เลี้ยงเขามาซ้ำยังแอบซ่อนตัวอยู่ที่นี่นานมาแล้ว และ....เป็นฆาตกร...ฆาตกรที่ฆ่าพวกคนในหมู่บ้านอย่างเลือดเย็น แล้วยังลักพาตัวเอลยา มาที่นี่เพื่อ...

   เพื่ออะไรกันล่ะ...

   เอลยากำลังท้องอยู่จริง ๆ หรือ?

   ถ้าอย่างนั้นแม่ของเขาก็กำลังเข้าใจผิดว่าสิ่งที่อยู่ในท้องของเอลยาคือตัวเขาหรือเปล่า? คิดว่า...เด็กน้อยคนนั้นจะเกิดมาเป็นลูกของตนเองอีกครั้ง...ในครรภ์ของหญิงคนอื่น...

   ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เอลยายังมีชีวิตอยู่ ไม่ได้ถูกฆ่าเหมือนกับคนอื่น ๆ แต่นั่นก็หมายความว่าเอลยาจะมีชีวิตอยู่ได้จนถึงวันที่เด็กคนนั้นเกิด...หลังจากนั้นแม่ของเขาคงไม่เก็บเธอไว้อีกต่อไป และเอลยาก็จะถูกฆ่า....

   วาลเซอิคทึ้งผมตัวเองเมื่อคิดเรื่องเลวร้ายออกมา

   ไม่...เอลยายังมีทางรอดอยู่ เขาอยู่ที่นี่แล้วและต้องหาทางช่วยเธอให้ได้ เพราะเซเอลเคยพูดกับเขาครั้งหนึ่งว่า โชคชะตาเป็นเพียงเส้นทางมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งเรามีหน้าที่ที่จะต้องเลือกเดินไป และบนเส้นทางเหล่านั้น...มันจะมอบบททดสอบให้แก่เรา ตอนนี้เขาได้เลือกเดินมาที่นี่และมีทางเลือกว่าจะปล่อยไปเฉย ๆ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น หรือว่า...พยายามที่จะช่วยเอลยาออกมา และนั่นคือบททดสอบ...

   ดวงตาสีเขียวของเด็กหนุ่มมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงจันทร์คืนนี้หม่นมัวเหลือเพียงเสี้ยวเล็ก ๆ ที่กำลังจะถูกกลืนหายไป

   เอลยาที่ต้องตกอยู่ในความมืด....ต้องกลัวมากแน่ ๆ

   เพราะไม่อาจนิ่งดูดายต่อไปได้วาลเซอิคจึงตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงและคว้าเทียนเล่มหนึ่งออกมาจากลิ้นชักใกล้ ๆ เชิงเทียนวางอยู่ไม่ไกลมือนัก รวมถึงไม้ขีดจุดไฟด้วย

   วาลเซอิคเปิดตู้หยิบเอาผ้าห่มออกมา ความจริงแล้วมันถูกเตรียมไว้ให้เขาผลัดเผลี่ยนเมื่ออากาศเย็นลงกว่าปกติ แต่คืนนี้เอลยาคงต้องการมันมากกว่าเขา

   เมื่อทุกอย่างพร้อมในมือ วาลเซอิคก็ย่องออกจากห้องเพื่อไม่ให้ตากับยายได้ยินเสียงและตื่นขึ้นมา เขาลงไปข้างล่างซึ่งตอนนี้ไม่มีใครอยู่ ริเรียซึ่งกลายเป็นผู้ต้องสาปเมื่อตกค่ำมักจะออกไปเดินเล่นข้างนอกหลังจากกินเลือดที่ถูกเตรียมเป็นมื้อเย็นเรียบร้อย

   เด็กหนุ่มจุดเทียนอย่างระมัดระวังและหย่อนไม้ขีดลงในกระเป๋ากางเกงรวมถึงเศษไม้ขีดที่ใช้แล้วเพื่อไม่ให้เหลือเป็นหลักฐาน ก่อนจะค่อย ๆ ย่องออกมาจากบ้านด้วยความเงียบ ลมเย็นพัดวูบผ่านไปทำให้รู้สึกสะท้าน เขารีบยกมือป้องแสงเทียนด้วยเกรงว่ามันจะถูกพัดลม แต่ลมก็พัดเพียงวูบเดียวก่อนจะสงบอีกครั้ง ค่ำคืนนี้เงียบสนิทจนน่ากลัวแต่มันกลับทำให้เขานึกถึงบรรยากาศในปราสาทที่มักจะมืดมิดและเงียบงันแทบตลอดเวลา ไม่มีเสียงสิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกจากพวกเขาเท่านั้น

   เขาสลัดความคิดนั้นออกไปชั่วคราว การไปหาเอลยาสำคัญกว่า และต้องทำอย่างรวดเร็วก่อนที่ริเรียจะกลับมาจากการเดินเล่น

   ทว่า....

   “วาเลซ”

   วาลเซอิคสะดุ้งเฮือกก่อนยืดตัวตรงหันกลับไปมองต้นเสียงที่มาจากด้านหลังของตนเอง

   ริเรีย.....แม่!?

   “กำลังจะไปไหนหรือ?” ริเรียเอ่ยถามแล้วค่อย ๆ เดินเข้ามาหา เท้าของเธอเปลือยเปล่าเหมือนว่าเพิ่งออกมาจากบ้านเมื่อครู่นี้

   “ข้ากำลังจะ....เอ่อ.....แถว ๆ นี้.....” เด็กหนุ่มมองไปรอบตัว ไม่รู้ว่าจะหาข้ออ้างยังไงมาตอบได้ และริเรียก็กำลังสาวเท้าเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ เธอเหลือบสายตามองผ้าในมือของเขาและมองเทียนในมืออีกข้าง ดวงตาของเธอที่จ้องมองมา....บ่งบอกว่าเขาไม่อาจโกหกได้...

   “วาเลซ...เจ้าเกลียดข้าหรือ?”

   “เอ๋....ไม่ ไม่เลย ข้าไม่ได้เกลียด...”

   “ถ้าอย่างนั้น...ทำไมถึงถอยหนีข้า?”

   เพราะริเรียทักอย่างนั้นวาลเซอิคจึงเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองถอยหลังไปทีละน้อยตั้งแต่เมื่อครู่ อาจจะเป็นเพราะสิ่งที่ตาเล่าให้ฟัง...เขาจึงรู้สึกว่า...เขากลัว กลัวจนไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร เพราะถึงจะรู้สึกกลัว แต่ในใจของเขาก็ยังรู้สึกสงสารในชะตากรรมของผู้หญิงคนนี้ รวมถึงความผูกพันในฐานะลูก หนีไม่ได้...แต่ก็ไม่กล้าที่จะเข้าใกล้จนเกินควร เพราะอย่างนั้นมันจึงแสดงออกมาด้วยท่าทางจนริเรียรู้สึกผิดสังเกต

   “ข้าแค่....” ในเวลาอย่างนี้เขาควรจะพูดยังไงดีนะ....

   ในขณะที่เขากำลังคิดเช่นนั้น หญิงสาวก็ก้าวเข้ามาถึงตัวแล้ว

   วาลเซอิครู้สึกว่าถึงตนเองจะแก้ตัวอะไรไปก็เปล่าประโยชน์  มีแต่จะแสดงพิรุธมากขึ้นเท่านั้น เด็กหนุ่มจึงสูดหายใจเฮือกแล้วดึงริเรียเข้ามากอดในอ้อมแขน เท่าที่เขาสังเกตมา ริเรียจะมีความสุขเมื่ออยู่ใกล้เขา และได้สัมผัสกัน โดยปกติริเรียจะกอดเขาอยู่ฝ่ายเดียว ครั้งนี้จึงต้องสลับหน้าที่บ้างเพื่อที่หญิงสาวจะลืมเรื่องที่กำลังจับผิดเขาอยู่เมื่อครู่นี้ และดูเหมือนว่า...มันจะได้ผล

   ริเรียไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว และซบบนอกเขาอยู่เงียบ ๆ เมื่อเขาก้มลงไปมอง เขาก็เห็นว่าเธอกำลังหลับตาและยิ้มอย่างมีความสุข

   วาลเซอิคเม้มริมฝีปากเข้าหากัน...ในฐานะวาเลซของเขา สิ่งที่เขาทำอยู่นี้คงจะเป็นเสมือนการมอบความฝันที่ดีให้กับเธอกระมัง...

   แต่ว่า...เขาคงไม่สามารถเป็นแค่ความฝันให้กับริเรียไปเรื่อย ๆ แบบนี้ได้

   “ริเรีย...”

   “อะไรหรือ?”

   “ข้าอยาก...เห็นลูกของเราอีกสักครั้งได้ไหม?”

   หญิงสาวเงยหน้ามองเขาด้วยดวงตาว่างเปล่าก่อนยิ้มออกมา

   “ได้สิ” หลังจากตอบรับ ริเรียก็ผละจากอ้อมแขนและดึงมือวาลเซอิคไปทางด้านหลังทันที ท่าทางของเธอเหมือนกำลังดีใจและมีความสุขเป็นอย่างมาก วาลเซอิคได้แต่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่อีกฝ่ายไม่ได้เกิดสงสัยอะไรขึ้นมา ในตอนแรกเขาคิดว่าอยากจะไปโดยไม่ให้ริเรียรู้ แต่ในเมื่อเรื่องมันเป็นอย่างนี้ไปแล้วก็มีแต่จะต้องพาริเรียไปด้วยกันเท่านั้นเพื่อที่จะไม่เกิดปัญหาตามมาทีหลัง

   พวกเขามาที่ห้องเก็บของด้านหลังโดยมีเทียนเล่มเดียวนำทาง ริเรียดูเหมือนจะไม่ต้องอาศัยแสงสว่างเพราะดวงตาของเธอก็เหมือนดวงตาของพวกเซเอลที่มองเห็นชัดเจนในความมืดอย่างนี้

   ตอนที่ลงไปใต้ดิน ไม่มีเสียงอะไรอยู่ข้างล่างนั่นเลยจนกระทั่งพวกเขาเปิดประตูเข้าไป หูของวาลเซอิคก็แว่วเสียงลมหายใจของคน ๆ หนึ่ง ทำให้เขารู้สึกเบาใจได้ว่าเอลยายังอยู่ที่นี่ ไม่ได้ถูกกำจัดทิ้งไปหลังจากที่เขามาพบเข้า และแสงเทียนก็ส่องให้เห็นว่าเธอยังคงอยู่ดีแม้สีหน้าของเธอจะซีดเผือดด้วยความกลัวและผมเผ้าไม่ได้ถูกรวบเก็บอย่างสวยงามอย่างเคย

   เอลยามองมายังวาลเซอิคเช่นกัน ดวงตาของเธอฉายแววของความหวังขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง

   เด็กหนุ่มขยับเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวังพลางดูท่าทีของริเรียไปด้วย เขาลูบบนท้องของเธออย่างที่ริเรียเคยทำเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเขามาที่นี่เพื่อสิ่งที่อยู่ตรงนี้จริง ๆ ก่อนจะหยิบผ้าห่มที่นำมาด้วยขึ้นมาตลบคลุมลงไปบนร่างกายของเอลยาที่ซุกตัวด้วยความหนาว

   “ทำแบบนี้เด็กจะได้เกิดมาแข็งแรง ดีไหม?” เขาไม่ลืมหันไปถามริเรีย

   “นั่นสินะ ถ้าลูกเกิดมาไม่แข็งแรงคงจะแย่” หญิงสาวยิ้มให้เขาโดยไม่มีความรู้สึกขัดอกขัดใจหรือไม่พึงพอใจแอบแฝงอยู่แต่อย่างใด

   “แล้วอาหารของเธอล่ะ?”

   ริเรียทำท่าเหมือนคิดอะไรอยู่สักครู่หนึ่งก่อนเอ่ยตอบ

   “คุณพ่อกับคุณแม่เป็นคนเอามาให้ พวกเขาบอกว่าเป็นอาหารที่ดี เหมาะสมกับคนกำลังตั้งครรภ์”

   คำตอบที่ได้รับค่อนข้างน่าพอใจ วาลเซอิคจึงพยักหน้าและบีบมือเอลยาใต้ผ้าห่มแทนการให้สัญญาว่าจะหาทางช่วยเหลือ ซึ่งเอลยาก็บีบตอบกลับมาก่อนค่อย ๆ ปรือตาลงและหลับไปในที่สุด หลายคืนที่ผ่านมา เธอแทบจะข่มตาหลับไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง แต่อย่างน้อยตอนนี้...ตอนที่วาลเซอิคยังอยู่ที่นี่ เธอก็คงจะปลอดภัย เพราะเขาไม่ยอมปล่อยให้เธอเป็นอันตรายแน่นอน

   เมื่อเห็นว่าเอลยาหลับไปแล้ว วาลเซอิคจึงลุกขึ้นและหมุนตัวกลับมาหาแม่ของตน เขาจับมือเธอเพื่อให้ริเรียรู้สึกว่าเขาใส่ใจเธอมากกว่าอีกคนหนึ่ง

   “ข้าเริ่มง่วงแล้วสิ พวกเรากลับเข้าบ้านกันเถอะ”

   ริเรียยิ้มรับโดยไม่พูดอะไร...

   ในที่สุดภารกิจในการนำผ้าห่มไปให้เอลยาก็ลุล่วง วาลเซอิคปล่อยริเรียไว้ข้างล่างและทิ้งตัวลงนอนบนเตียงด้วยใจที่สบายขึ้นหนึ่งเปราะ

   จากการสอบถามริเรีย ดูเหมือนว่าตาและยายจะดูแลเอลยาอย่างดีกว่าที่คิดไว้ ทั้งให้อาหารที่ดีที่สุดและให้สามเวลา นำเสื้อผ้าไปให้ผลัดเปลี่ยนทุกวัน ทั้งยังมีน้ำให้อาบและทำธุระส่วนตัวเสมอ เรียกว่านอกจากอิสระแล้วเอลยาไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่องในด้านกายภาพเลยในตอนนี้

   กระนั้นจิตใจของเธอที่ต้องผจญกับความหวาดกลัวและการกักขังก็ทำให้ร่างกายของเธออ่อนแอลง เขาเห็นได้จากร่างกายที่ซูบผอมของเธอทั้งที่ผ่านมาเพียงไม่กี่วันนับจากพบกันครั้งสุดท้าย ใบหน้าของเอลยามีแต่ความอ่อนล้าและสิ้นหวัง

   อยู่ ๆ เขาก็คิดถึงเซเอลขึ้นมา...

   ในสถานการณ์นี้หากมีเซเอลอยู่ด้วยอาจจะทำอะไรได้มากกว่านี้ เพราะเซเอลมีกำลังมากกว่าเขา เป็นที่ยำเกรงและบุคลิกที่ทรงอำนาจ

   นอกจากนี้ยังมีอาร์วิน่า คับดิชและคัลมาร์เป็นผู้ช่วย สามคนนั้นมีฝีมือมากด้านการต่อสู้ ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ไม่เคยหวาดหวั่น

   แต่ว่า....การที่ทำอะไรไม่ได้แล้ววิ่งโร่กลับไปหาเซเอลแบบนั้น เขาเองก็จะเหมือนเด็กที่ไม่ยอมโตเสียที ทั้งที่ตัดสินใจออกมาเผชิญโลกด้วยตัวเองแล้ว จะให้ย้อนกลับไปขอความช่วยเหลือเหมือนครั้งเดิม ๆ ได้หรือ? กลับไปมือเปล่าซ้ำยังนำปัญหาไปให้....แบบนั้นคงไม่มีหน้าพบเซเอลอีกแน่

   แต่...ก็อยากพบเหลือเกิน...

   คนที่เคยเจอหน้ากันทุกวัน อยู่ด้วยกันทุกวัน อยู่ ๆ ก็ต้องห่างกันไปไกลและไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้พบอีกครั้ง ทั้งที่อยู่ใกล้กันเพียงแค่นี้แท้ ๆ แต่ก็ไปพบไม่ได้

   เซเอล...จะคิดถึงเขาบ้างไหมนะ?

-------------------------------------->

   อาร์วิน่าและคัลมาร์กลับมาถึงปราสาทแทบจะพร้อมกัน พวกเขาพบกันด้านหน้าก่อนที่จะถึงทางเข้า คัลมาร์มองอาร์วิน่าด้วยความสงสัยว่าอีกฝ่ายไปที่ใดมาแต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากถาม ชายหนุ่มละสายตาจากเพื่อนสาวก่อนมองขึ้นไปเหนือประตูบานใหญ่

   “เก่าลงอีกแล้วนะ...” เขาเปรยออกมา

   “อย่างกับว่าไม่มีคนบำรุมาเป็นร้อยปีได้ล่ะมั้ง” อาร์วิน่าตอบ

   “เจ้าว่าจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน....”

   หญิงสาวผมแดงมองเพื่อนตนเองก่อนจะเดินเข้าประตูไปก่อน

   “คงขึ้นกับนายท่านเองนั่นแหละ”

   จากประตูบานนั้น เหนือขึ้นไปมีหน้าต่างอีกบานหนึ่งซึ่งปรากฏภาพของชายหนุ่มเจ้าของปราสาททาบเงาอยู่กับบานกระจก สายตาของเขากำลังทอดออกไปไกล แน่นอนว่าการกลับมาของสองผู้รับใช้นั้นเขารับรู้แล้วซึ่งคำตอบคงจะไม่ไกลไปกว่าที่เขาคิดไว้นัก

   ริเรีย...

   พวกเรามาจบเรื่องนี้กันเถอะ...

TBC

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่15 [6/01/13]
«ตอบ #138 เมื่อ06-01-2013 17:27:48 »

นั่นสิ
อย่าให้มันคาราคาซังอยู่แบบนี้เลย

ออฟไลน์ threetanz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 766
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่15 [6/01/13]
«ตอบ #139 เมื่อ06-01-2013 19:28:47 »

ไม่จริงใช่ไหม

วาลเซอิค จะกลับไม่ทัน เซเอลเหรอออ

TTT___TTT

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่15 [6/01/13]
« ตอบ #139 เมื่อ: 06-01-2013 19:28:47 »





ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่15 [6/01/13]
«ตอบ #140 เมื่อ06-01-2013 20:48:17 »

ขอให้เรื่องจบลงด้วยดีนะ

ออฟไลน์ pharm

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่15 [6/01/13]
«ตอบ #141 เมื่อ06-01-2013 23:43:09 »

เซเวลใกล้ตายแล้วหรอ  ไม่น้า :sad4:

ริเรียทำยังไงกลับเป็นเหมือนเดิมล่ะ ทำให้เซเวลบ้างสิจะได้อยู่กะวาลเซอิคนานนาน


แล้วแม่เล้านั่นเกี่ยวอะไรด้ววยนี่  รอตอนต่อไปมาเฉลยดีกว่า :L1:

ออฟไลน์ phakajira

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่15 [6/01/13]
«ตอบ #142 เมื่อ07-01-2013 00:27:36 »

เศร้า

lovelymoo

  • บุคคลทั่วไป
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่15 [6/01/13]
«ตอบ #143 เมื่อ08-01-2013 22:37:04 »

เศร้าอ่า เซเอลอย่าเป็นอะไรนะ  :sad4:

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่15 [6/01/13]
«ตอบ #144 เมื่อ08-01-2013 23:00:15 »

สงสารทุกคนเลยอ่ะ T^T ทั้งเอลยา อัลเรส เซเอล วาลเซอิค คุณตาคุณยายด้วย
สงสัยว่าเอลยาท้องกับใคร วาลเซอิคเหรอ? แล้วเซเอลคิดจะกำจัดริเรียด้วยรึเปล่า (มีแววๆ)
หวังว่าจะไม่จบเศร้านะ เซเอลแลดูเวลาเหลือไม่มาก แต่ก็ดูเหนื่อยกับชีวิตพอสมควร อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ที่ร่างกายค่อยๆเสื่อม เพราะรู้สึกเหมือนเป็นมนุษย์มากขึ้น แต่ก่อนอื่นขอ Happy Living Together ก่อนน้า~

ปอลิง ฮาอัลเรสกับคัลดิช 555 ชอบเวลาอยู่ด้วยกันจัง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-01-2013 06:02:13 โดย ratnalin »

ออฟไลน์ G-NaF

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 820
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่15 [6/01/13]
«ตอบ #145 เมื่อ08-01-2013 23:32:29 »


ขอให้เซเอลไม่เป็นอะไรด้วยเถิดนะ

ออฟไลน์ Ali$a฿eth

  • [จิ้น]ตนการ
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-3
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่15 [6/01/13]
«ตอบ #146 เมื่อ09-01-2013 02:34:34 »

สงสารกันเป้นห่วงโซ่

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่16 [10/01/13]
«ตอบ #147 เมื่อ10-01-2013 22:06:45 »

ตอนที่ 16 ดังภาพฝันอันเลือนราง


   ดูเหมือนว่าริเรียจะไม่ได้บอกตากับยายเรื่องที่เขาลงไปหาเอลยามาเมื่อคืนนี้ เพราะเมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ทั้งสองก็ไม่ได้แสดงอาการที่ผิดแปลกแบบวันก่อนอีกแล้ว กลับกัน มันปกติสุขอย่างไม่น่าเชื่อราวกับว่าเรื่องทุกอย่าง...ทั้งที่เขารู้เรื่องของเอลยา และเรื่องที่ริเรียเป็นฆาตกรไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย ยายลุกขึ้นมาทำอาหาร ตาตื่นมาจัดของก่อนไปทำงาน ริเรยเข้านอนโดยไม่พูดอะไร และเมื่อเสร็จมื้ออาหารเช้า ตาก็ออกไปทำงานในหมู่บ้าน  ยายไปทำงานบ้านโดยมีเขาเป็นลูกมือ

   ทุกอย่าง....ปกติจนน่าใจหาย....

   ราวกับว่าทั้งหมดเป็นเพียงความฝัน แต่วาลเซอิครู้ดีว่ามันไม่ใช่ ภาพทุกอย่างที่ปรากฏตรงหน้าเขาชัดเจนและสัมผัสได้เกินกว่าจะเป็นแค่ความฝันเท่านั้น....

   “วาลเซอิค เหม่ออะไรอยู่น่ะ?” คงเพราะเขาจมจ่อมอยู่กับความคิดมากเกินไป ยายจึงเอ่ยทักด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยและเดินเข้ามาแตะหน้าผาก “ไม่สบายหรือเปล่า? เมื่อคืนค่อนข้างหนาวเสียด้วยสิ” น้ำเสียงและท่าทางนั้นออกมาจากใจจริงอย่างไม่ปิดบัง หญิงชราคนนี้ยังคงเป็นห่วงเขาในฐานะหลานโดยไม่ได้สนใจว่าเขาไปรู้ความลับอะไรเข้า หรือไม่...เธอก็คงทำเป็นไม่สนใจ...

   ตอนเช้าหลังมื้ออาหาร ตากับยายมักจะหายไปด้วยกันก่อนที่ตาจะออกไปทำงาน คงจะเอาอาหารไปให้เอลยาที่ห้องใต้ดิน ถ้าอย่างนั้นทั้งสองก็น่าจะเห็น....ผ้าห่มที่เขานำไปให้เอลยาแล้ว แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลย และนั่นทำให้เขารู้สึกเป็นกังวลมากกว่า

   “ข้ากำลังคิดว่า...จะออกไปหาสัตว์ใหญ่อื่น ๆ นอกจากกระต่าย กระรอกบ้าง ยายเคยกินเนื้อกวางหรือเปล่า อร่อยไม่ใช่น้อยเลย”

   เพราะไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร เขาจึงชวนคุยเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับความกังวลของตนเอง

   “สมัยที่ตาของหลานยังหนุ่ม ๆ น่ะ ก็ชอบเข้าป่าล่าสัตว์เหมือนกันนะ รู้หรือเปล่า แล้วก็มีของติดไม้ติดมือกลับมาทุกครั้งที่ล่าได้ด้วย” หญิงชราหัวเราะเมื่อคิดถึงสมัยที่ทั้งตนและสามียังแข็งแรง “แต่พออายุมากขึ้นอะไร ๆ มันก็ลำบาก ถ้าพวกเรามีลูกชายด้วยก็คงจะสบายกว่านี้ แต่พวกเราก็ไม่เสียใจหรอกนะที่มีริเรีย”

   หรือไม่...ก็มีหลานชายดูแล...

   ทั้งสองตอนเลี้ยงเขามาเคยคิดไหมนะว่าพอโตขึ้นจะฝากฝังตัวเองกับหลานคนนี้ มนุษย์ค่อย ๆ แก่ตัวลงทุกวันต่างจากผู้ต้องสาปที่คงเดิมอยู่ตลอดกาล ถ้าหากว่าเขาและริเรียไปอยู่กับเซเอล...ตากับยายก็ต้องอยู่เพียงลำพัง อีกไม่กี่ปีหลังจากนี้....ทั้งสองก็คงจะแทบขยับตัวไม่ไหวแล้ว...ถึงตอนนั้นใครล่ะจะมาดูแล บางทีมันอาจจะดีกว่าก็ได้ถ้าเขาจะพาริเรียกลับไปหาเซเอล และตัวเขาเป็นคนที่อยู่ที่นี่เอง

   แบบนั้น...เซเอลก็คงจะมีความสุขด้วย ฝ่ายนั้นคงไม่ถือสาอยู่แล้วว่าแม่ของเขาผ่านอะไรมาบ้าง และเคยฆ่าใครมาบ้าง

   เมื่อริเรียไปอยู่กับเซเอลแล้ว เอลยาก็จะปลอดภัยด้วย ไม่มีเหตุผลอะไรที่เอลยาต้องพูดถึงเรื่องนี้อีก และตากับยายก็จะปล่อยเธอไป

   ก็จะมีความสุข...ด้วยกันทุกฝ่ายสินะ...

   วาลเซอิคคิดเช่นนั้นด้วยความขมขื่นในใจลึก ๆ

   “ถ้าอยากจะเข้าป่าก็เอาเครื่องมือของตาไปด้วยสิ ไปมือเปล่าหลานคงล้มหมีไม่ได้หรอกนะจ๊ะ” เพราะวาลเซอิคเงียบไปและจมกับความคิดตนเองอีกครั้ง หญิงชราจึงชวนคุยต่อ

   “นั่นสินะครับ” วาลเซอิคหัวเราะแหะ ๆ “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไป.....”

   ห้องเก็บของ.....

   ก่อนที่เด็กหนุ่มจะทันได้พูดคำนั้นออกมา หญิงชราก็คว้ามือของเขาไว้แน่น

   “เดี๋ยวยายไปหยิบให้เองดีกว่าจ้ะ” เธอว่าอย่างนั้นก่อนเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนแล้วเดินผ่านวาลเซอิคไปทางหลังบ้าน

   เด็กหนุ่มมองตามหลังอีกฝ่ายไป และก่อนที่เธอจะลับตานั้นเขาก็ตะโกนเรียก

   “คุณยาย ถ้า...ถ้าเกิดว่า...” เมื่อหญิงชราหันมาเขาก็อึกอักไปชั่วขณะด้วยความไม่แน่ใจ “ถ้าเกิดว่าข้า...จะอยู่ที่นี่กับตายายตลอดไป....จะดีหรือเปล่า?”

   ความเงียบเกิดขึ้นชั่วครู่ระหว่างพวกเขา ก่อนที่หญิงชราและยิ้มกว้างจนตาหยี

   “ถ้าหลานอยากอยู่ พวกเราก็จะยินดีมากเลยจ้ะ” หลังกล่าวจบ เธอก็เดินลับตาไปเพื่อไปหยิบอุปกรณ์สำหรับเข้าป่ามาให้แก่หลานชาย

   แบบนี้ดีแล้วสินะ...

   วาลเซอิคถอนหายใจออกมาหลังจากพูดสิ่งที่เพิ่งคิดเพียงชั่วครู่ออกไป มันอาจจะเหมือนการคิดที่ไม่รอบคอบเพราะเขาแทบไม่เสียเวลาพิจารณามันเลย ถึงอย่างนั้นเมื่อคิดดี ๆ แล้ว เขาก็ยังคงคิดว่ามันคือหนทางที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่ายอยู่ดี

   เซเอลได้อยู่กับริเรีย...ซึ่งสักวันคงจะตื่นขึ้นเสียที....

   เอลยาได้กลับบ้านและมีชีวิตอยู่อย่างสงบ

   ตากับยายที่แก่ชราลงก็จะมีคนดูแล

   แล้วหลังจากนั้น.....หลังจากตากับยายจากไปแล้ว เขาจะเป็นยังไงต่อไปนะ คงจะได้พบกับผู้หญิงสักคนที่ทำให้เขาลืมเซเอลได้ แต่งงาน อยู่กินด้วยกัน และแก่ตายแบบมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง

   วาลเซอิครู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่ตนเองคิดเรื่องแบบนั้นออกมา เพราะช่วงที่อยู่กับเซเอลเขาไม่เคยพะวงเรื่องของอนาคตเลยแม้แต่ครั้งเดียว ราวกับว่ากาลเวลาของเขานั้นจะคงอยู่ตลอดไปเหมือนกับผู้ต้องสาปคนอื่น ๆ เพราะอย่างนั้นจึงไม่เคยนึกเสียดายเวลาที่ผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์ แต่ตอนนี้....เขาก็ตระหนักอย่างชัดเจนถึงความเป็นมนุษย์ที่จะต้องเริ่มคิดถึงช่วงชีวิตในอนาคตของตนเอง

   เด็กหนุ่มเงยหน้ามองท้องฟ้ากว้าง

   ช่วงเวลาแห่งความเยาว์วัยของเขา....ได้จบลงแล้วสินะ...

   เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า การก้าวเข้าสู่วัยของผู้ใหญ่จะทำให้รู้สึกเจ็บปวดถึงขนาดนี้....

------------------------------------>

   ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคิดมากเกินไปหรือเปล่า แต่ในวันนี้วาลเซอิครู้สึกเหนื่อยล้าและอยากพักผ่อนเร็วกว่าปกติ หลังกลับจากป่ามือเปล่าเพราะมัวแต่คิดเรื่อยเปื่อยจนไม่ได้ล่าอะไร เขาก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีโดยอาหารเย็นฝีมือคุณยายที่มีคุณตากลับมาร่วมโต๊ะเหมือนทุก ๆ วัน

   ริเรียตื่นขึ้นมาหลังจากที่เก็บโต๊ะอาหารแล้ว และเหลือแต่แก้วใส่เลือด

   “ตื่นแล้วหรือ?” วาลเซอิคเอ่ยทักหญิงสาวตามปกติ และเธอก็ยิ้มรับก่อนเดินไปหาแก้วใส่เลือดและยกจิบราวกับกำลังดื่มน้ำหวาน แต่เพราะรู้ว่าเป็นเลือด....เขาจึงอดรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่ได้ เพราะถึงแม้จะอยู่กับผู้ต้องสาปมานานปี แต่คนในปราสาทก็ไม่เคยดื่มเลือดให้เขาเห็นเลย แต่หลังจากมาอยู่ที่นี่เขาก็เห็นภาพเดิม ๆ ทุกวันก่อนนอน และพยายามทำใจให้ชินในสักวัน

   “เจ้าอยากไปเดินเล่นกับข้าหรือเปล่า?” หลังจากดื่มเลือดเสร็จ อยู่ ๆ ริเรียก็เดินเข้ามาเอ่ยชวนเขาทั้งที่ปกติไม่เคยทำ

   น่าเสียดายที่วาลเซอิคไม่มีอารมณ์ในวันนี้...

   “ขอโทษนะ ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายน่ะ” หลังตอบปัด เด็กหนุ่มคิดว่าตนจะได้เห็นสีหน้าผิดหวังของหญิงสาวผู้เป็นแม่ แต่เธอกลับไม่ได้ทีสีหน้าอย่างนั้น ริเรียเพียงแค่มองเขาด้วยความสงสัยและเลื่อนลอยเหมือนเดิมก่อนที่จะเอ่ยตอบด้วยเสียงแผ่วเบา

   “อย่างนั้นหรือ...”

   “แต่ว่า วันหลังข้าจะออกไปด้วย” เพราะไม่อยากให้ริเรียรู้สึกไม่ดีกับการปฏิเสธ เขาจึงสัญญาถึงอนาคตเป็นการทดแทน

   ทันใดนั้นเธอก็ยิ้มออกมา

   “สัญญานะ วาเลซ”

   “.....อืม....ข้าสัญญา....” อย่างไรทั้งเขาและริเรียก็จะต้องอยู่ที่นี่ด้วยกันอีกสักระยะหนึ่ง จะพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ คงมีสักวันที่จะได้ทำตามคำสัญญานั้น วาลเซอิคจึงไม่รู้สึกอะไรกับการออกปากรับคำ เพราะเขามั่นใจว่าตนเองสามารถทำได้แน่นอน

   เซเอลเคยพูดกับเขาว่า....คำสัญญาคือตราประทับ เป็นสิ่งที่เมื่อกล่าวแล้วก็จะต้องทำ และเขาก็จดจำคำนั้นขึ้นใจมาโดยตลอด

   ตอนนี้เขาก็สัญญากับริเรียแล้ว...ดังนั้นพรุ่งนี้คงต้องพยายามทำใจให้สบายและชวนเธอออกไปเดินเล่นยามค่ำคืนบ้างกระมัง

   พอส่งริเรียออกไปเรียบร้อย ก็ถึงเวลาได้พักผ่อน วาลเซอิคบอกราตรีสวัสดิ์ตากับยายที่จ้องมองมายังเขาด้วยสีหน้าแปลกใจระคนห่วงใยเพราะเขาไม่เคยขึ้นนอนก่อนทั้งสองมาก่อนเลย เมื่อคนทั้งสองเอ่ยปากถามไถ่เรื่องสุขภาพ วาลเซอิคก็บอกแค่ว่าตนเองรู้สึกเหนื่อยเท่านั้น โดยอ้างเรื่องที่เข้าไปในป่าแล้วหักโหมกว่าปกติทั้งที่ความจริงแล้วเขาแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย ใช้แรงเทียบกับตอนที่เล่นกับคัลดิชและคัลมาร์ไม่ได้ด้วยซ้ำไป แต่ตากับยายก็เชื่อคำของเขาและปล่อยให้ขึ้นนอนโดยไม่ถามอะไรอีก

   วาลเซอิคทิ้งตัวลงเตียงพลางถอนหายใจเฮือก

   คงเพราะไม่เคยจมอยู่กับความคิดหนักหน่วงมาก่อนกระมัง....จึงได้รู้สึกว่าการคิดอะไรล่วงหน้าไปไกลนั้นเป็นเรื่องที่เหนื่อยเสียยิ่งกว่าการออกกำลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมันไม่ใช่ความคิดที่ทำให้มีความสุข ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้ตนเองเหนื่อยใจมากขึ้นเรื่อย ๆ

   เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาอีกครั้งก่อนหลับตาลง และปล่อยให้กระแสความคิดไหลผ่านไปกับความเงียบ ถ้าหลับสักตื่นก็คงจะสบายใจขึ้นกระมัง

   แต่....การนอนหลับโดยมีเรื่องในหัวไม่ใช่เรื่องง่าย

   วาลเซอิคพลิกตัวด้วยความรู้สึกเหมือนที่นอนไม่สบายเหมือนปกติ หมอนก็ทำให้รำคาญ กระทั่งเส้นผมของตัวเองก็ยังรบกวนอารมณ์ได้ ครั้นถีบผ้าห่มออกไปก็หนาว พอห่มก็ไม่สบายตัว กระนั้นบางช่วงเวลาก็ยังเคลิ้ม ๆ อยู่บ้างแต่ก็หลับไม่สนิท และโดยที่ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้ว หูของเขาก็แว่วเสียงบานหน้าต่างเปิดออก สติที่ล่องลอยทำให้เขาไม่มั่นใจนักว่าเป็นความจริงหรือเพียงคิดไปเอง วาลเซอิคจึงยังคงหลับตาอยู่อย่างนั้นโดยไม่ได้ขยับตัวลุกขึ้นมองว่ามีใครเข้ามาจริงหรือไม่

   เสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาใกล้ แต่เด็กหนุ่มก็ยังไม่ได้นึกสนใจ เขายังหมกมุ่นอยู่กับความพยายามที่จะข่มตาหลับให้จงได้

   จนกระทั่งรู้สึกถึงมือเย็นที่ทาบบนแก้ม....วาลเซอิคจึงปรือตาขึ้นอย่างงุนงงกึ่งหลับกึ่งตื่น

   ความมืดและภาพเบลอ ๆ ตรงหน้าทำให้เขาต้องหรี่ตาลงเพื่อเพ่งมองอีกฝ่ายให้ชัด ร่างที่ยืนอยู่ข้างเตียงเขาสวมเสื้อคลุมยาวทำให้ไม่แน่ใจรูปร่างนัก เรือนผมสีอ่อนที่มองเห็นไม่ชัดเจนถูกผูกรวบไปด้านหลัง แสงจันทร์ที่สาดเข้ามาในห้องไม่มากพอที่จะตัดสินอะไรได้สักอย่างเดียว เพราะเสี้ยวของมันกำลังถูกกลืนหายไปเรื่อย ๆ ในแต่ละคืน กระนั้นในสติที่เลือนรางของเขาก็กำลังกระซิบบอกชื่อบุคคลหนึ่ง...

   เซเอล....

   วาลเซอิคเผลอแค่นยิ้มกับตนเอง

   เซเอลน่ะหรือจะมาหาเขา? ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก....

   “วาลเซอิค”

   กระนั้นเสียงเรียบอันเป็นเอกลักษณ์ก็ปลุกให้เจ้าของชื่อมีสติขึ้นมาอีกเล็กน้อย และพยายามลืมตาขึ้นมองคนที่อยู่ตรงหน้าด้วยสติทั้งหมดที่มี

   “เซเอล...ทำไม...?”

   “ข้าจะมาจะไปที่ไหนจำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยหรือ?”

   วาลเซอิครีบพยุงตัวลุกขึ้น แม้จะโงนเงนไปบ้างเพราะความง่วงแต่เขาก็ขึ้นมานั่งได้ในที่สุด ทว่าเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง คราวนี้กลับปรากฏภาพที่ไม่น่าเชื่อขึ้นมาแทนที่ เป็นภาพที่ทำให้เขาเริ่มไม่มั่นใจว่าตนเองตื่นอยู่หรือว่ากำลังนอนหลับลึกเสียจนไม่รู้ว่าฝันกันแน่

   เซเอลกำลังปลดผ้าคลุมตนเองออกไป และเมื่อผ้าคลุมไหลเลื่อนลงบนพื้นแล้ว เสื้อนอกก็ถูกดึงออกตามไปด้วย นั่นไม่ใช่วิสัยปกติ เซเอลเป็นคนมีระเบียบวินัยจนน่าอึดอัดในบางครั้ง ดังนั้นเสื้อคลุมจะไม่มีวันถูกถอดกองบนพื้นอย่างนี้เป็นอันขาด

   คงเพราะความเคยชินอะไรบางอย่าง วาลเซอิคจึงขยับตัวก้มลงไปเก็บเสื้อคลุมนั้น แต่เขาก็ถูกหยุดด้วยมือของเซเอลที่ยื่นมาจับบ่าไว้

   ตอนที่เขามองขึ้นไป....เซเอลกำลังจ้องตอบกลับมาด้วยดวงตาสีเลือดที่ไม่ได้แสดงความรู้สึกใดออกมาชัดเจน แต่มันได้ปลุกความหวังอันริบหรี่ในตัวของเขา ราวกับว่าบางสิ่งบางอย่างที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ ในดวงตาคู่นั้นกำลังพยายามสื่อสารถ้อยคำบางอย่างกับเขาอยู่....

   “นอนลงสิ” เหมือนว่าจะเป็นคำสั่ง....แต่ก็ไม่ใช่ เพราะเซเอลพูดเช่นนั้นพร้อมกับหลุบตาลงคล้ายไม่แน่ใจในสิ่งที่ตนเองเพิ่งพูดออกมา

   ท่าทางนั้นปรากฏอยู่เพียงชั่วครู่ ร่างโปร่งก็เคลื่อนมายังเตียงและกดให้เด็กหนุ่มนอนราบลงไปด้วยกำลังเพียงเล็กน้อย วาลเซอิคเอนตัวด้วยใจสนเท่ห์ สติของเขาเหมือนจะตื่นขึ้นมาหลายส่วนจนแทบไม่เหลือความง่วงงุนให้เห็น มีแต่เพียงความสงสัยและไม่อาจออกปากถามได้ ด้วยเกรงว่าเมื่อเอ่ยปากแล้วภาพตรงหน้านี้อาจจะมลายหายไปโดยไม่อาจหวนคืน

   ปลายนิ้วเย็นแตะบนใบหน้า ตามด้วยริมฝีปากที่เคล้าเคลียอย่างแผ่วเบา วาลเซอิคมองขึ้นไป เห็นดวงตาของเซเอลที่ซ่อนอยู่ใต้แพขนตายาวกำลังแสดงความสะเทิ้นอายออกมา เด็กหนุ่มยกมือขึ้นเกลี่ยปอยผมสีเงินที่ปรกลงมาก่อนลูบไปบนพวงแก้มและแนวสันกราม ไม่รู้ว่าเป็นธรรมชาติของผู้ต้องสาปหรือไม่ที่มักมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างน่าประหลาด แต่สำหรับเซเอล....วาลเซอิครู้สึกถึงมันอย่างชัดเจน และเขาก็ไม่อาจขัดขืนมันได้เลย จากวัยเด็กจนกระทั่งวันนี้...เขายังคงหลงอยู่ในบ่วงที่ไร้ทางออก

   ลมหายใจแผ่วเบาพรูจากปลายจมูกประสานกับลมหายใจของอีกคนหนึ่ง ก่อนที่ลมหายใจนั้นจะถูกดูดกลืนเป็นหนึ่งเดียวกันผ่านการจุมพิตที่ค่อย ๆ หนักหน่วงขึ้นทีละน้อย

   ทำไม...

   เกิดอะไรขึ้น...

   คำถามที่วนเวียนอยู่ในใจถูกกลบทับด้วยภาพที่เฝ้าฝันปรารถนามาตลอดชีวิต แม้มันจะเป็นเพียงภาพมายา...ก็ยังคงเต็มใจจะถูกลวงด้วยมายา....

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่16 [10/01/13]
«ตอบ #148 เมื่อ10-01-2013 22:07:08 »

   กระดุมถูกปลดออก เผยผิวเนื้อขาวซีดที่ชวนให้ทะนุถนอม ร่องรอยที่วาลเซอิคเคยฝากไว้เลือนหายไปหมดแล้ว แต่ก็ปรากฏขึ้นใหม่เมื่อเด็กหนุ่มพรมจูบลงไปทีละจุด

   เสื้อขาวเลื่อนไหลจากหัวไหล่ลงไปถึงข้อมือ เซเอลลังเลเล็กน้อยที่จะสลัดมันออกไปแต่เขาก็ไม่ต้องเสียเวลาพิจารณานานนักเมื่อวาลเซอิคเป็นคนดึงมันออกไปเอง

   ไม่บ่อยนักที่เซเอลต้องเปลือยกายต่อหน้าผู้อื่น อาการขัดเขินจึงปรากฏออกมาหลังจากที่เสื้อตัวสุดท้ายหลุดจากร่าง แต่เขาก็ถูกห่มคลุมอีกครั้งด้วยอ้อมแขนแข็งแรงที่มีไออุ่นของมนุษย์ เด็กหนุ่มโอบกอดอีกฝ่ายพร้อมทั้งดึงให้นอนราบลงไปบนเตียงแทนตนและป้อนรสจูบให้อีกครั้งอย่างดูดดื่ม เสื้อของวาลเซอิคถูกถอดออกโดยเจ้าของและลงไปกองบนพื้นเช่นเดียวกับอาภรณ์ชิ้นอื่น ๆ ที่ไม่มีประโยชน์ใด ๆ ในเวลานี้

   ผิวกายร้อนรุ่มเสียดสีจนทำให้ลืมความหนาวเย็นของราตรีไปอย่างสนิทใจ

   วาลเซอิคทอดสายตามองไป ก็เห็นริ้วแดงบนผิวแก้มของเซเอลซึ่งชวนให้น่าเอ็นดูจนใจสั่น เขาจูบบนริ้วแดงนั้นและเลื่อนมาบนปลายจมูกพร้อมกับการปลดอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายที่ปกปิดร่างกายของเซเอลจากการสัมผัสของเขา การรุกล้ำลงไปเบื้องล่างทำให้เจ้าของร่างต่อต้านขึ้นมา แม้ไม่ใช่การต่อต้านที่รุนแรงและบ่งบอกถึงการปฏิเสธ แต่วาลเซอิคก็ยังหยุดมือก่อนลูบไล้เรือนกายปลอบโยน

   ใช่...เขารู้ว่าครั้งก่อนนี้ไม่ใช่เรื่องน่าจดจำเอาเสียเลย...

   แต่ครั้งนี้เขาอยากจะให้เซเอลมีความสุขไปด้วยกัน เด็กหนุ่มจึงยอมระงับอารมณ์ของตนเองและปฏิบัติอย่างอ่อนโยนเท่าที่จะทำได้

   ในที่สุดร่างกายของเซเอลก็ผ่อนคลายลง ทำให้วาลเซอิคเริ่มขั้นตอนต่อไป

   การปลุกเร้าอย่างเอาใจใส่พาให้อารมณ์ค่อย ๆ ถูกพัดเตลิด ไม่นานเสียงครางแผ่วเบาก็เล็ดรอดจากริมฝีปากที่เพียรจะปิดกลั้นไว้ ภายในร่างกายของเซเอลกำลังตอดรัดเรียกร้องโดยที่เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจ แต่สิ่งที่วาลเซอิคสัมผัสได้ก็ซื่อตรงยิ่งกว่าคำพูดใด ๆ

   “เซเอล...ข้าต้องการท่าน....”

   ถ้อยคำบ่งบอกความปรารถนาที่ไม่อาจหักห้ามได้อีกต่อไป เสมือนการเปิดเผยความต้องการออกมาโดยไร้สิ่งใดแฝงเร้นปิดบัง และนั่นเรียกเลือดฝาดบางส่วนขึ้นมาระบายใบหน้าเซเอลจนกลายเป็นสีแดงเรื่อไปถึงใบหู วาลเซอิคไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้เห็นสีหน้าแบบนี้จากเซเอลผู้เย็นชา

   แต่การที่เซเอลไม่ปฏิเสธ....ก็เป็นการตอบรับ วาลเซอิคจึงไม่ลังเลอีกต่อไป เขาปลดเปลื้องร่างกายของเซเอลจนเปลือยเปล่าก่อนใช้ร่างกายของตนทาบทับบนเรือนกายขาวซีด และรุกล้ำเข้าไปภายในอย่างช้า ๆ โดยสังเกตอาการของอีกฝ่ายไปด้วย

   รอยจุมพิตที่ป้อนให้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดช่วงเวลาอันยาวนานที่กกกอดพาให้เคลิ้มฝันจนคล้ายล่องลอย เสียงครวญครางสะท้อนก้องอยู่ข้างใบหูยิ่งกระตุ้นให้อารมณ์โหมแรงไม่ต่างกับไฟที่ราดด้วยน้ำมันดินชั้นดี วาลเซอิคกดอรัดอ้อมแขนไม่ยอมปล่อยเซเอลเลยตลอดเวลาที่ร่างกายเชื่อมต่อถึงกัน ในส่วนลึกในใจของเขายังคงหวาดกลัวว่าหากปล่อยมือแล้วเซเอลก็จะจากไปอีกครั้ง จึงได้เอาแต่พร่ำเรียกชื่อของฝ่ายนั้นซ้ำไปซ้ำมาและครอบครองร่างกายนั้นด้วยอารมณ์หวงแหน

   เมื่อความร้อนรุ่มที่ถูกกักขังในร่างกายถูกปลดปล่อยออกมาจนหมดสิ้น วาลเซอิคก็คลายอ้อมแขนปล่อยให้เซเอลทิ้งตัวนอนบนเตียงด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน

   ปอยผมสีเงินแนบกับใบหน้าชื้นเหงื่อถูกไล้ออกไปอย่างเบามือ

   สายตาเซเอลที่มองตอบกลับมาเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เปลือกตาก็ปิดลงเสียก่อนทำให้วาลเซอิคยอมเอนตัวลงนอนด้วยกัน เขาขยับให้อีกฝ่ายนอนสบายบนเตียงแคบ ๆ และกอดเอาไว้เช่นนั้นตลอดคืน

   เขารู้สึกว่า...ตัวเองได้หลับไปเพียงไม่นาน ก็เกิดการเคลื่อนไหวจากคนข้างตัวจนต้องลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง

   เซเอลกำลังขยับลุกขึ้นอย่างเงียบ ๆ และพยายามจะไม่ให้การขยับของตนเองไปปลุกอีกคนหนึ่งเข้า

   “จะไปแล้วหรือ?” ใจของวาลเซอิครู้ดีว่าเซเอลไม่ได้มาที่นี่เพื่ออยู่กับเขา... แต่เหตุผลจะเป็นอะไรนั้นเขาก็ไม่ได้คิดเอาไว้

   “ข้ามีธุระต้องไปทำ” ชายหนุ่มแต่งตัวพลางตอบคำถามโดยไม่ได้หันมองอีกฝ่าย

   “.....อย่างนั้นเอง...” วาลเซอิคยอมรับว่าเขากำลังรู้สึกผิดหวัง แต่ก็ไม่สามารถแสดงความเอาแต่ใจออกมาได้ “แล้ว....เราจะได้พบกันอีกหรือเปล่า?”

   “บางที อาจจะ...” เซเอลตลบเสื้อนอกขึ้นคลุมแล้วก้มลงหยิบเสื้อคลุมยาวขึ้นมา

   ยิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายใกล้จะไป วาลเซอิคก็ยิ่งใจไม่ดี เขาลุกขึ้นคว้ามือเซเอลเอาไว้แล้วมองด้วยสายตาเหมือนเด็กที่กำลังจะถูกทิ้งขว้าง

   “ข้าไปที่ปราสาทได้ไหม?”

   ดวงตาสีเลือดเบือนสบเจ้าของคำถามครู่หนึ่งก่อนจะเลื่อนไปทางอื่น

   “มันจะดีกับเจ้ามากกว่าหากไม่กลับไปที่นั่นอีก” คำพูดของเซเอลเป็นมากกว่าการปฏิเสธ แต่เหมือนการห้ามอย่างเด็ดขาดไม่ให้เขากลับไป วาลเซอิคได้แต่ก้มหน้าลงด้วยความสับสน ไม่เข้าใจอีกฝ่ายว่าทำไมจึงมาที่นี่ มาหาเขา...เหมือนให้ความหวังแล้วก็จากไปโดยไม่เหลืออะไรทิ้งไว้เลย แม้แต่เศษเสี้ยวของความคาดหวังเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยังไม่ยอมให้เขาเก็บเอาไว้

   เซเอลดึงมือตนเองออกจากการครอบครองของวาลเซอิค แต่กลับถูกจับแน่นขึ้นอย่างกะทันหัน

   “มีอะไรอีกหรือ?”

   เด็กหนุ่มเม้มปากอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา

   “ริเรีย....ก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน”

   แบบนี้ดีแล้วสินะ....เซเอลคงแค่อยากให้เขาตัดใจได้จึงทำสิ่งที่เขาต้องการ ดังนั้นมันคงจะดีแล้ว...ที่เขาจะมอบสิ่งที่เซเอลต้องการด้วยเหมือนกัน....

   “บางที....คงจะเดินเล่นอยู่แถว ๆ นี้ ถ้าท่านรออีกสักพักก็น่าจะพบกัน”

   “อืม...”

   เอ๋?

   วาลเซอิคเงยหน้ามองเซเอลที่ตอบรับเพียงสั้น ๆ และไม่มีอารมณ์ใดในน้ำเสียง ราวกับว่าเซเอลไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลยสักนิดเดียวหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่คาดเดาไว้อยู่แล้วจึงไม่แสดงความแปลกใจออกมา

   ในที่สุด เขาก็จำต้องปล่อยให้เซเอลดึงมือออกมาเพราะไม่สามารถหาอะไรมารั้งได้อีก แต่คงเป็นเพราะท่าทางผิดหวังอย่างรุนแรงของเขา เซเอลจึงเดินเข้ามาหาอีกครั้งก่อนก้มลงจูบบนหน้าผากและถอยห่างไปทางหน้าต่างที่ยังปิดสนิทอยู่

   “ลาก่อน”

   นั่นเป็นคำลา....ตลอดกาลหรือเปล่า?

   วาลเซอิคได้แต่คิดในใจโดยไม่ได้ถามออกไปเช่นเดียวกับคำถามอื่น ๆ ตลอดค่ำคืนนั้น

------------------------------>

   ดวงจันทร์เสี้ยวบางเหมือนเสี้ยวของคมดาบประดับบนฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงดาว ถึงแม้จะสวยงามแต่สำหรับคนที่ได้เห็นมันอยู่ตลอดช่วงหลายร้อยปีมันก็เป็นภาพเก่า ๆ ที่วนกลับมาในทุก ๆ เดือนจนไม่เหลืออะไรให้อัศจรรย์ใจไปมากกว่าที่เห็นได้อีก

   คัลดิชถอนหายใจเฮือกขณะมองภาพนั้น...

   หลังจากรายงานไปแล้ว คัลมาร์ก็หายไปเลยโดยไม่มีคำสั่งเรียกตัวกลับมาถึงเขา มันแปลว่านั่นยังไม่ใช่สิ่งที่เซเอลต้องการหรือเปล่านะ?

   ระหว่างที่กำลังขัดอกขัดใจอยู่นั้น ก็มีถ้วยใส่น้ำใบหนึ่งยื่นมาจากด้านหลัง ดัลดิชหันมองถ้วยน้ำที่ทำจากไม้ เนื้อสากเป็นวัสดุที่พวกชาวบ้านใช้ใส่เครื่องดื่มแต่ไม่ใช่สิ่งที่น่าพิสมัยสำหรับคนอย่างเขา เพราะนอกจากจะระคายปากตอนดื่มแล้ว ขนาดยังไม่เหมาะมืออีกต่างหาก ถึงอย่างนั้นเขาก็จำต้องใช้มันตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่เพราะฐานะของอัลเรสไม่ได้ดีถึงขนาดจะซื้อภาชนะทองเหลืองได้ และดูเหมือนว่า...แก้วใบนี้จะเป็นกรรมสิทธิ์ของเขาโดยถาวรเพราะใช้บรรจุเลือดจนล้างกลิ่นไม่ออก

   ชายหนุ่มหันไปรับจากมือของเจ้าของบ้านก่อนก้มมองของเหลวสีแดงคล้ำในนั้น

   วันนี้เขาไม่ได้ออกไปล่าตัวอะไรเป็นอาหาร ซ้ำคัลมาร์ก็ไม่ได้มาเยี่ยม แล้วอัลเรสเอาเลือดจากไหนมาให้เขาดื่มกันนะ?

   “ไม่ใช่เลือดของข้าหรอกน่า” อัลเรสรีบบอกแล้วนั่งลงข้าง ๆ “ไม่ใช่ของแอนน์กับอเลนด้วย”

   “แล้วเป็นน้ำมะเขือเทศหรือยังไงกัน”

   ชายหนุ่มร่างใหญ่หน้าหงิกใส่ทันที

   “ไก่ต่างหาก บ้านที่ข้าไปทำงานให้มาเป็นสินน้ำใจ”

   คัลดิชพยักหน้ารับแล้วดื่มเลือดเข้าไปโดยไม่อิดออด เลือดไก่ก็นับว่าแปลกลิ้นไปอีกแบบ เพราะปกติพวกเขาอาศัยหากินในป่า สัตว์เลี้ยงจำพวกหมู เป็ด ไก่ แมว หมา จึงไม่ได้อยู่ในลิสต์รายการอาหาร แต่ถึงอย่างนั้นเลือดมนุษย์ก็ยังอร่อยลิ้นกว่าอยู่ดี

   “วันนี้เจ้าซึมผิดปกตินะ กินอะไรผิดสำแดงเข้าไปหรือไง?” หลังจากคัลดิชดื่มเลือดเสร็จแล้ว อัลเรสก็รับถ้วยกลับมาพร้อมถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ใกล้เคียงกับความห่วงใยแม้แต่น้อย

   “ถ้าผิดสำแดงคงเป็นเรื่องที่เจ้าเอาเลือดมาให้ข้าเองมากกว่า” ปกติแล้วเขาจะเป็นคนออกไปหาหรือไม่คัลมาร์ก็นำมาให้ เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่อัลเรสเป็นคนนำเลือดมาถึงที่

   “เดี๋ยวก็ใส่ยาพิษให้กินจริง ๆ เสียหรอก” อัลเรสแยกเขี้ยวขู่

   “แล้วเจ้าเอาเด็กขึ้นนอนหมดแล้วหรือคุณพ่อลูกอ่อน?” เพราะอัลเรสเป็นคนอารมณ์ร้อนเวลาถูกหยอกเย้ามักจะโมโหหงุดหงิดและโวยวายออกมา ทำให้คัลดิชเริ่มติดนิสัยเสียที่จะเย้าอีกฝ่ายเมื่อมีเวลาว่างหรือตอนที่ตนเองอารมณ์ไม่ดี ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองมักทำให้เขารู้สึกสนุกสมใจ

   คงคล้าย ๆ กับการหยอกอาร์วิน่ากระมัง?

   คัลดิชคิดเปรียบเทียบคนตรงหน้าตนเองกับหญิงสาวที่เป็นเพื่อนกันมานาน

   “พวกนั้นนอนหมดแล้ว และข้าก็ไม่ใช่พ่อด้วย” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กอดอกพลางพ่นลมหายใจแรง

   “ถ้าอย่างนั้นเจ้าคงอยากได้ห้องคืนแล้ว” แต่ในบางครั้ง การเล่นสนุกก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นสักเท่าไหร่ คัลดิชลุกขึ้นเตรียมจะสงบศึกและออกไปจากห้องนอนที่ผลัดกันใช้คนละเวลามาหลายวัน อย่างไรถึงนั่งในห้องนี้ต่อก็ทำให้หดหู่เสียเปล่า ๆ ออกไปเดินรับลมข้างนอกคงทำให้เขาปลอดโปร่งขึ้น คัลดิชคิดว่าการที่รู้สึกเหนื่อยหน่ายนี้อาจจะเป็นเพราะการอุดอู้อยู่แต่ในบ้านหรือไม่ก็ออกไปโดยมีอัลเรสคอยคุมแจทุกฝีก้าว ทั้งที่แต่เดิมเขามักจะมีอิสระในการไปไหนมาไหนก็ได้ในอาณาเขตของเซเอล

   อัลเรสไม่ได้ห้ามปรามอะไร เพราะเจ้าตัวเองก็อยากจะพักอยู่ แต่เพราะถ้วยใส่เลือดที่หากวางทิ้งไว้จะเหม็นคาวไม่หายทำให้เขาต้องเดินออกมาด้วยกันเพื่อเอาถ้วยไปล้างให้เรียบร้อยเสียก่อน

   ทั้งสองเดินลงมาข้างล่างด้วยกันและกำลังจะแยกไปคนละทาง คัลดิชก็กลับมองไปยังประตูหน้านิ่งเหมือนสัมผัสบางอย่างข้างนอกนั้นได้

   “เป็นไปไม่ได้น่า...”

   “อะไรน่ะ? มีใครมาข้างนอกหรือไง?” อัลเรสถามเพราะเขาไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูเลยสักครั้งเดียว แต่เมื่อเขากำลังจะเดินไปดู คัลดิชก็ยกแขนกั้น

   “ข้าไปเองดีกว่า” หลังจากพูดออกไปเช่นนั้น เขาก็เดินไปที่ประตูก่อนเปิดออกจึงปรากฏให้เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่ด้านนอกวงกบ ซึ่งสวมชุดคลุมยาวอย่างขุนนางชั้นสูงและเรือนผมสีเงินแปลกตา แต่อัลเรสก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แตกต่างจากคนทั่วไปอย่างสิ้นเชิง และแตกต่างจากคัลดิชหรือคัลมาร์ด้วย หากจะให้อธิบาย...คงเป็นบรรยากาศที่สูงส่งสง่างามกระมัง?

   อัลเรสรู้สึกว่าตนเองคงไม่ควรถามอะไรออกไปจึงเดินเข้าไปข้างหลังเพื่อล้างถ้วยอย่างเงียบ ๆ

   “นายท่านมาทำอะไรที่นี่?” คัลดิชเอ่ยถามด้วยความสงสัย ไม่นึกว่าคนอย่างเซเอลจะมาหาถึงที่ แต่ท่าทางของเซเอลดูเหนื่อยล้าจนบอกไม่ถูก ซ้ำยัง.....กลิ่นของวาลเซอิค....

   “ข้าต้องมาแถวนี้อยู่แล้วจึงแวะมาพบเจ้าเลย” เซเอลกล่าวโดยไม่ได้ก้าวเข้าไปในบ้าน “ที่ผ่านมาเจ้าทำได้ดี และหากเจ้าต้องการ เจ้าจะกลับปราสาทตอนนี้เลยก็ได้ หรือเจ้าอยากได้เวลาเตรียมตัวก่อนข้าก็ไม่ว่าอะไร”

   อ้อ...เรื่องนี้เอง...

   ใจของคัลดิชแช่มชื่นขึ้น ในที่สุดเขาก็จะได้ไปจากสถานที่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นของมนุษย์ที่ยั่วให้น้ำลายสอนี่เสียที และไม่ต้องสู้รบปรบมือกับเสียงเอ็ดตะโรในตอนกลางวันด้วย

   “เดี๋ยวก่อน!” คัลดิชชะงักเพราะเสียงห้าม เขาหันไปก็พบอัลเรสกำลังมองมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ “เจ้ายังไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ตามที่ตกลงกันเจ้าต้องหาพี่สาวข้าให้พบก่อนไม่ใช่หรือไง? ตอนนี้เอลยายังไม่กลับมา เจ้าก็ห้ามไปจากที่นี่เด็ดขาด!” พร้อมกับที่พูดจบประโยค อัลเรสก็ก้าวฉับ ๆ เข้ามาคว้าแขนคัลดิชแน่นถึงจะรู้แก่ใจว่าหากอีกฝ่ายออกแรงสักหน่อยเขาก็ต้านไม่อยู่อยู่แล้ว

   “เดี๋ยวสิ นั่นข้า...”

   เซเอลหรี่ตาลงมองคัลดิชที่หันไปเถียงกับมนุษย์ร่างใหญ่ซึ่งตนเคยพบในป่า

   “เจ้าบอกเขาอย่างนั้นหรือ?”

   “นายท่าน ข้า....!”

   “ใช่! เจ้านี่บอกข้าว่าจะช่วยเรื่องพี่สาวของข้าแลกกับการดื่มเลือดของข้า!” อัลเรสตะโกนขัดโดยไม่สนใจมารยาท ในเมื่อคน ๆ นี้คิดจะผิดสัญญากับเขา เขาก็ต้องเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตัวเอง คิดว่าเขาต้องเสียเลือดไปกี่แก้วกันเพื่อเจ้าฝาแฝดปีศาจสองคนนี่น่ะ!

   “อ้อ....ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คงจะยังไปไม่ได้” เซเอลรับคำอย่างเยือกเย็นพลางหันไปมองคัลดิช “หากหญิงมนุษย์คนนั้นกลับมาเมื่อไหร่ เจ้าค่อยไปก็แล้วกัน” อย่างที่รู้กันทุกคนว่าเซเอลไม่เคยพูดอะไรพล่อย ๆ เพราะเป็นคนที่จริงจังกับคำพูดเป็นอย่างมาก ดังนั้น...การที่คัลดิชออกปากสัญญากับอัลเรสไป แม้ไม่ได้จริงจังแต่สำหรับเซเอลแล้วมันคือการให้คำสัญญา

   “แต่ว่าถ้าให้ข้าไปช่วย...” คัลดิชพยายามต่อรอง อย่างไรเขาก็มีประโยชน์ในหลาย ๆ ด้านที่นอกเหนือจากการนั่งเฝ้าพวกมนุษย์ไปวัน ๆ

   “ข้ามีอาร์วิน่าและคัลมาร์แล้ว เจ้าคอยดูทางนี้เถอะ” หลังจากเซเอลตัดสินใจแล้ว ใครก็คงทำให้เปลี่ยนใจได้ยาก ชายหนุ่มผินหลังจากไปหลังกล่าวจบ ทำให้คัลดิชกัดฟันกรอดและหันไปแยกเขี้ยวใส่เจ้าตัวการทันที

   “ข้าจะสูบเลือดเจ้าให้หมดตัว!”

   “ฝันไปเถอะ ข้าไม่ให้เจ้าหนีก่อนที่ข้าจะได้พบพี่สาวข้าแน่!”

   เสียงโวยวายของมนุษย์และผู้ต้องสาปดังลั่นมาถึงเซเอลที่เดินออกมาได้ไม่ไกลนัก เขาหันไปมองสองคนนั้นชั่วขณะก่อนจะพึมพำออกมา

   “ไม่นานนักหรอก...”

TBC

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่16 [10/01/13]
«ตอบ #149 เมื่อ10-01-2013 22:31:22 »

โอ้
เซเอลจะเป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย
น่าเป็นห่วงจัง

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด