Page 21 : สอน
ชีวิตเด็กฝึกงานที่คิดว่าจะหนักหนาสาหัสกลับตรงกันข้าม ทั้งๆ ที่วางแผนปรับปรุงตัวเองตั้งแต่เวลาตื่น เพราะหมายมั่นปั้นมือที่จะเรียนรู้จากการจับงานจริงแล้วแท้ๆ แต่สิ่งที่ปันได้พบเจอจริงๆ ก็มีแค่....
“พี่เอ้จะรับงานอะไรมา ดูหน่อยนะว่าเก็ตทำไม่ทัน แล้วก็ชอบเอามาตอนจะปิดเล่มทุกที” เสียงเพื่อนร่วมห้องตะโกนโวยวายใส่บก. เด็กหนุ่มร่างสูงก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ พลางกระซิบ
“พี่เก็ตให้ผมช่วยก็ได้นะฮะ พวกรีทัชภาพอะไรผมก็พอทำได้...”
แต่ดูเหมือนประโยคบอกเล่าของเด็กฝึกงานอย่างเขาจะลอยหายไปในช่องแอร์ พี่เก็ตกราฟิกประจำบริษัททำเหมือนเขาไม่มีตัวตน ถึงจะบ่นว่างานเยอะ แต่ก็ไม่เคยโยนอะไรมาให้เขาช่วย สามวันที่ผ่านมานี้ เขาเลยได้แต่นั่งอ่านนิตยสารเล่มเก่าๆ หรือไม่ก็ช่วยงานพี่ๆ คนอื่นๆ บ้างเล็กน้อยเท่านั้น ปันไม่อยากจะคิดอะไรมากมาย อาจเป็นเพราะช่วงนี้พี่เก็ตไม่ว่างพอที่จะสอนงาน การจะเอาอะไรมาให้เด็กใหม่อย่างเขาทำก็คงไม่ไว้วางใจ เพราะงานทุกชิ้นก็รีบจริงๆ นั่นแหละนะ...ถึงแม้จะพอเข้าใจในเหตุผล แต่การให้มานั่งเฉยๆ แบบนี้ทุกวันก็น่าเบื่อเกินไปนะ เฮ้อ!
“จะอยู่กี่วันนะเราน่ะ” กราฟิกแว่นทรงโตเอ่ยถามกับเด็กชายคนเดียวในห้อง ปันทำหน้าเลิ่กลั่กด้วยไม่คิดว่าอีกคนจะคุยด้วย
“ดะ..เดือน เดือนนึงครับ”
“แค่เนี้ย? จะทันได้เรียนรู้อะไร๊” น้ำเสียงติดจะดูแคลนนิดๆ ทำให้ปันต้องข่มใจตัวเองไม่ให้โมโห
“พอดีช่วงนี้ไม่มีเรียนแล้วน่ะครับ ระหว่างรอสอบก็เลยลองมาฝึกดู”
คนแก่กว่าเบ้ปาก ในขณะที่มือจัดการกับภาพในจอไม่หยุด “พี่เจอมาเยอะละ ไอ้พวกเด็กมาฝึกงานฆ่าเวลาเนี่ย สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรกลับไปหรอก คิดว่าจะทำเล่นๆ เท่ๆ น่ะ คิดผิดกันทั้งนั้น”
คนโดนดูถูกปิดนิตยสารในมือดังปัง! “ก็ถ้าพี่จะเมตตาช่วยสอนผมตั้งแต่ตอนนี้ ผมอาจจะได้อะไรกลับไปนอกจากการมานั่งเล่นๆ เท่ๆ ก็ได้นะครับ”
บรรยากาศในห้องเล็กๆ เริ่มมาคุ ต่างคนต่างเงียบไปหลายนาที จนคนอายุมากกว่าเป็นฝ่ายพูดก่อน “เช็กเมล์ด้วย”
“ครับ?” เด็กหนุ่มเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ แต่ไร้สัญญาณตอบกลับ จึงลองเข้าอีเมล์ดู ในอินบ็อกซ์มีเมล์ใหม่เข้ามาหนึ่งฉบับ
หัวเรื่อง : รีทัชนายแบบตามเหมาะสมเอาวันนี้ห้าโมงเย็น
เนื้อเรื่อง : -
ไฟล์แนบ : 2
ปันนั่งจ้องภาพนายแบบโชว์ซิกแพ็กใส่กางเกงเล่นเซิร์ฟเอวต่ำอย่างไม่เข้าใจ หัวเรื่องที่เขียนมาก็ไม่ได้บอกอะไรมากไปกว่านั้น แล้วไอ้ ‘ตามเหมาะสม’ นี่มันยังไง? เหมาะสมของพี่คือแบบไหน? หัวนมนายแบบต้องเป็นสีชมพูเลยมั้ย? และอีกหลายร้อยคำถามที่รู้ดีว่าเอ่ยออกไปก็คงไร้คำตอบ
เด็กฝึกงานน้องใหม่ขนเอานิตยสารเล่มเก่าๆ ที่เพิ่งดูจบมาเปิดใหม่อีกรอบ เปรียบเทียบงานที่ตีพิมพ์กับไฟล์ดิบตรงหน้าเพื่อหาความแตกต่าง สักพักจึงค่อยๆ จับแนวทางที่กราฟิกโต๊ะข้างๆ ทำไว้ได้ เก็ตเหลือบมองเด็กใหม่ด้วยปรายหางตา ก่อนจะหันกลับมาสนใจงานตัวเอง ไม่ยินดียินร้ายกับอาการกระตือรือร้นของคนโต๊ะข้างๆ เพราะคิดแต่เพียงว่า ไฟที่ยังแรงก็เพราะยังเป็นแค่การเริ่มต้น ถ้าลองได้ทำแบบนี้ไปทุกวัน พลังงานที่มีก็ไม่ต่างอะไรกับถ่านไฟฉายที่ใกล้จะหมด อ่อนแรง และไร้ค่า...
บ่ายแก่ๆ พนักงานทุกคนได้รับอีเมล์จากทางแอดมินของบริษัทเรื่องการแจ้งกำหนดการเอาท์ติ้งประจำปี โดยในปีนี้เกย์สเกลจะยกทีมไป ‘ตั้งแคมป์’ กัน ณ ชายหาดส่วนตัวแถวระยอง เป็นเวลา 3 วัน 2 คืน กลางเดือนหน้า
“ตั้งแคมป์?” สิปป์ขมวดคิ้วทันทีที่อ่านอีเมล์จบ
“พี่เอสคงอยากจะเป็นระพินทร์ ไพรวัลย์มั้ง อารมณ์เดินป่า ปิ้งไก่ไรงี้” พี่เป็ดออกความคิดเห็น
“ระพินทร์บ้าอะไรตั้งแคมป์ที่ทะเลฮะพี่เป็ด!” น้องจีโวยตาแก่ที่จับโยงนู่นนี่มั่วไปหมด “แล้วปิ้งไก่นั่นมันมีแต่ในหนังอาหลอง ช่องเจ็ดเท่านั้นแหละ ไปทะเลแบบนี้ต้องกุ้งสดๆ ปูตัวใหญ่ๆ อ๊ากกก”
“วันๆ คิดแต่เรื่องกิน ระวังเป็นไอ้อ้วนร้อยโลนะ ตัวยิ่งตันๆ อยู่ หึหึ” เซลส์นัมเบอร์วันขู่ขำๆ แต่คนโดนขู่ไม่ขำด้วย เพราะตั้งแต่คบกับพี่เป็ด น้องจีก็น้ำหนักพุ่งพรวดๆ แบบเป็ดมาฉุดก็ไม่อยู่ นี่ไม่รู้เลี้ยงคนหรือขุนหมู ไหนจะบุฟเฟต์อาทิตย์ละสองครั้ง และอีกสารพัดรายการที่ต้องกินในยามที่แวะไปทักทายคุณป้า แม่ของตาลุงนั่นอีก...แค่คิดก็อ้วนแล้ว!
พี่เป็ดเห็นคนตัวเล็กหน้ายู่ เลยบีบแก้มย้อยๆ ไปสองที คราวนี้คนโดนแกล้งโวยวายหนัก ทำเอาพี่ๆ พากันขำทั้งออฟฟิศ คู่นี้เหมือนทั้งรักทั้งแค้น มีเรื่องกัดกันได้ตลอดเวลา ไปๆ มาๆ ทะเลาะกันเป็นเด็กๆ ยิ่งกว่าเมตตากับสิปป์ศิลป์เสียอีก
“อะไร?” สิปป์ถามเสียงต่ำ เมื่อเห็นคนกำลังทำความสะอาดกล้องมองส่งสายตาหวาน
เมตตาเลิกคิ้วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ นับวันเขายิ่งเห็นว่าเพื่อนสนิทน่ารักขึ้นเรื่อยๆ ผิวขาวเหลืองที่เห็นจนชินตาดูเหมือนจะสว่างใสกว่าทุกที ตากลมโตนั่นก็เหมือนจะมีประกายสดใสจนอยากจะมองทั้งวัน เอ๊ะ...รอยบุ๋มจางๆ ข้างแก้มนี่ทำไมเขาเพิ่งเคยเห็น?
“จะมองอีกนานป่ะ” รอยยิ้มที่แอบมองเมื่อครู่หายวับไปกับตา ถูกแทนที่ด้วยเสียงโหดชวนขนหัวลุก
“มองนิดมองหน่อยทำเป็นหวง....” ตากล้องบ่นอุบอิบ ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่ายแบบไม่ทันให้ตั้งตัว “ถ้าตอนนี้ปล้ำได้ล่ะกูทำไปแล้ว!”
โป๊ก!!
เสียงวัตถุกระทบศีรษะที่ดังหลังพาร์ทิชั่นในส่วนของนักเขียนกับตากล้อง ทำเอาทุกสรรพเสียงหยุดนิ่ง พี่เป็ดกับน้องจีรีบเดินไปยังจุดเกิดเหตุ ก่อนจะพบตากล้องประจำออฟฟิศ นั่งกุมหัวตัวเองอยู่บนพื้น ไร้ร่องรอยของวัตถุที่ทำให้เกิดเสียง แต่เมื่อมองไปบนโต๊ะของนักเขียนก็พบแฟ้มพลาสติกอย่างหนาวางนิ่งจนน่าสงสัย
“พี่เมตเป็นไรอ่ะ” น้องจีส่งเสียงถามด้วยความเป็นห่วง ในขณะที่พี่เป็ดมองดูรูปการณ์แล้วพอจะเข้าใจอะไรได้ลางๆ
“อ่อ...เรื่องในครอบครัวเค้า เราอย่ายุ่งเลย” ว่าจบก็ลากไอ้ตัวเล็กออกจากที่เกิดเหตุ ท่ามกลางเสียงโอดโอยของเมตตา
น้องจีทำหน้าเลิ่กลั่ก ก่อนกระซิบถามคนข้างกาย “พี่เมตโดนไรอ่ะ แล้วเราจะไม่ไปดูหน่อยเหรอ นั่น...ร้องใหญ่เลย”
“หึหึ ไม่มีอะไรหรอก มันไม่ตายหรอก...มารยา” พี่เป็ดกระซิบตอบ อยากจะถือโอกาสหอมแก้มนิ่มนั่นสักทีเหมือนกัน แต่กลัวว่าสภาพตัวเองอาจเลวร้ายกว่าเมตตาหลายเท่า และมันคงดูน่าสมเพชไม่น้อยเลยทีเดียว
“ใจร้ายว่ะ” เมตตาโอดครวญ มือหนึ่งกุมศีรษะตัวเอง ที่ถูกฟาดด้วยแฟ้มเต็มแรง ส่วนอีกมือพยายามสะกิดคนใจร้ายที่นั่งนิ่งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว
หลังโดนคนเจ็บอ้อนสักพัก สิปป์ศิลป์ก็ใจอ่อน ยอมหันมาดูคนตัวโตที่นั่งหงอยคลำหัวตัวเองป้อยๆ มือเรียวเอื้อมมาจับผมของคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ก่อนจะค่อยๆ แหวกดูรอยแผลจากฝีมือตัวเอง เมื่อพบว่าแค่แดงนิดๆ และบวมหน่อยๆ แต่ไม่ถึงกับเลือดตกยางออกก็เบาใจ แต่สุดท้ายก็ยอมลุกไปหายามาทาให้อีกคนแต่โดยดี
“มา...ทายา” พอเรียกคนเจ็บให้เข้ามาหา พ่อคนสำออยเลยถือโอกาสซบลงกับตักของคนที่นั่งบนเก้าอี้แบบเนียนๆ แม้ในใจกลัวจะโดนซัดให้อีกแผล แต่งานนี้ด้านได้อายอด มีโอกาสซบต้องซบ อย่าให้เสียเที่ยว
มือเรียวแตะยาทาแก้ฟกซ้ำ ทาบางๆ ที่รอยแดงบนศีรษะของคนที่นอนนิ่งบนตัก เพราะรู้สึกผิดอยู่บ้าง เลยปล่อยให้จอมเนียนได้เนียนตามใจ เมื่อกี๊ที่เอาแฟ้มฟาดหัวไปก็เพราะไอ้ประโยคบ้าๆ นั่นหรอก ไม่คิดเลยว่าคนเงียบๆ อย่างเมตตาจะกล้าพูดอะไรแบบนี้ รู้ว่าล้อเล่น...แต่มันเขินนะเฮ่ย! เพราะกำลังคิดอะไรเพลินๆ สิปป์จึงไม่รู้ตัวว่ามือหนาของอภิมหาเจ้าแห่งความเนียนกำลังไต่ไปที่เอวและกำลังต่อสู้กับชายเสื้อยืดอย่างเอาเป็นเอาตาย
ปันที่กำลังเดินไปเข้าห้องน้ำ มองเห็นทุกช็อตตั้งแต่ซบหัว ทายา มาจนถึงเลิกเสื้อ!! เด็กตัวสูงถึงกับหน้าแดงแปร๊ด เกือบหลุดคำอุทานด้วยความตกใจ ดีที่ยั้งปากไว้ทัน และรีบเดินหลบฉากออกไปเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว หลังตั้งสติได้ เด็กหนุ่มจึงหยิบมือถือออกมา พร้อมตั้งสเตตัสระบายความในใจสั้นๆ
‘ชาย ฉะ กัน!! กู ช็อก มาก!!’
…………. Gayscale Magazine………….
ช่วงเวลายี่สิบนาทีสุดท้ายก่อนห้าโมงเย็นทำเอาปันเหงื่อตก งานที่ได้รับมอบหมายแบบไม่ค่อยจะเต็มใจให้กำลังสร้างความทุกข์ทรมานอย่างหนัก ผ่านไปครึ่งค่อนวันแล้ว เด็กหนุ่มเพิ่งจะ ‘รีดกางเกง’ นายแบบคนแรกเสร็จ จากเดิมที่คิดว่าแค่รีทัชหน้าในดูเนียนๆ ปรับแต่งส่วนเกินเล็กน้อย จากนั้นก็ปรับแสง เพิ่มคอนทราสต์อะไรก็ว่าไป แต่กลับกลายเป็นต้องมารับศึกหนัก เมื่อพี่เก็ตบอกว่าสั้นๆ ว่า ‘ทำกางเกงให้เรียบด้วย’
ก็ถ้าตอนนี้เปลี่ยนเมาส์ปากกาเป็นเตารีดได้ ไอ้ปันก็คงทำไปแล้วล่ะเว้ย!
“เสร็จหรือยัง ส่งให้มาให้ดูหน่อย” น้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ของคนร่วมห้องทำเอาเด็กฝึกงานมือสั่น ก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาที่หน้าจออย่างรวดเร็ว
“เห้ยพี่! เพิ่งสี่โมงห้าสิบเอง เหลืออีกสิบนาทีนะฮะ” คนโดนโกงเวลาบ่นอุบอิบ แต่เหมือนพูดไปก็สองไพเบี้ย เมื่อเจ้าของคำสั่งทำท่านิ่งเสียจนอยากตบด้วยตำลึงทอง เป็นอันว่าเด็กใหม่ต้องเซฟงานและแปลงไฟล์เป็น jpg โยนใส่เมล์กลับไปอย่างเซ็งๆ
“ทำเสร็จสมบูรณ์แค่ภาพแรกนะครับ อีกภาพยังไม่ได้รีทัชกางเกง” ...ซึ่งยับย่นประหนึ่งคอสตูมลาคลอด นี่พี่ถ่ายโฆษณากันทั้งๆ ที่เสื้อผ้าสภาพเหมือนคว้ามาจากโกดังได้ยังไงวะครับ?
กราฟิกแห่งเกย์สเกลดาวน์โหลดผลงานคนที่ร่ำร้องอยากทำงานออกมาดู ปันถือโอกาสชิ่งออกมาเดินรับลมด้านล่าง เพราะกดดันเกินจะนั่งนิ่งๆ เพื่อรอคำวิจารณ์ได้
“อ้าว ไปไหนล่ะ” นักเขียนที่ปันเพิ่งแอบนินทาในเฟซบุ๊กปรากฏตัวตรงหน้า พร้อมกาแฟเย็นสองแก้วในมือ คนถูกถามยิ้มแหยๆ เมื่อพาลคิดไปถึงฉากหวานติดเรทที่เห็นคาตาเมื่อตอนบ่าย
“มาเดินเล่นฮะ พอดีรอพี่เก็ตตรวจงาน” คนแก่กว่าเลิกคิ้วด้วยความสงสัย นี่ไปไงมาไงไอ้พี่เก็ตมันถึงยอมให้เด็กฝึกงานทำงานวะ ปกติมันหยิ่ง ขี้หวง และมั่นใจในฝีมือเกินขนาด จนเด็กๆ ที่มาเป็นผู้ช่วยมันเก็บของหนีตั้งแต่ยังไม่หมดวันด้วยซ้ำ
“เออ... ดีแล้ว เราก็คงได้ทริกดีๆ กลับไปเยอะเลยล่ะ” ถ้าทนนิสัยแย่ๆ ของพี่เก็ตได้อ่านะน้องเอ้ย
“ครับ แต่ดูเหมือนพี่เก็ตไม่ค่อยชอบผมอ่ะ” เด็กน้อยทำหน้าสลด สิปป์เลยตบไหล่เบาๆ ให้กำลังใจ
“มันไม่เคยชอบใครหรอก...” พอเห็นว่าประโยคดังกล่าวไม่ได้ทำให้คนฟังรู้สึกดีขึ้น นักเขียนเลยต้องรีบหย่อนประโยคตบท้ายเพื่อช่วยแก้สถานการณ์
“แต่มันอาจจะชอบปันก็ได้นะ”
ปันเข้าห้องมาอีกทีเมื่อรู้สึกว่าความกลัวในใจเริ่มลดลง พอนั่งประจำที่ ก็เห็นว่าผลงานตัวเองถูกปรินท์มาวางไว้บนโต๊ะ พร้อมรอยปากกาแดงวงจุดต่างๆ ไว้เต็มไปหมด ลายเส้นขยุกขยุยที่ไม่น่าเรียกว่าลายมือ เขียนบางอย่างที่น่าจะเป็นคอมเมนต์ไว้ยาวเหยียด แม้จะอ่านไม่ค่อยออก แต่คำสุดท้ายของหน้ากระดาษกลับเขียนตัวบรรจงไว้ว่า “ทำใหม่”
“ทำไมอ่ะพี่” คนโดนสั่งแก้งานร้องถามเสียงหลง รู้สึกหมดกำลังใจจนอยากจะไปแอบร้องไห้กอดมูมู่เงียบๆ เพียงลำพัง
“คอมเมนต์ไปตั้งเยอะ ก็อ่านสิ” กราฟิกรุ่นพี่ตอบคล้ายไม่ใส่ใจ
ปันชูกระดาษขึ้นมาแล้วพูดเสียงสั่น “ก็มันอ่านไม่ออกนี่”
เก็ตถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้สึกว่าเส้นเลือดในสมองมันพาลจะเต้นจังหวะแทงโก้จนต้องเอานิ้วนวดขมับเบาๆ คบเด็กสร้างบ้าน...ทำไม่ได้ก็พาล กูเกลียดเด็ก!
หลังปล่อยให้ความเงียบได้โปรยปรายเป็นเวลาหลายนาที เด็กฝึกงานน้องใหม่ก็ขยับเก้าอี้เข้ามาใกล้อีกคน แล้วกระแอมเบาๆ “อะแฮ่ม...อื้ม พี่อ่านคอมเมนต์ให้ผมฟังหน่อยสิ เดี๋ยวผมจะลองแก้ดู”
เก็ตเหลือบมองเด็กที่นั่งทำตาแป๋วอยู่ข้างๆ อย่างประหลาดใจ นึกว่าแม่งเก็บของกลับไปแล้วนะเนี่ย มันยังอยู่ทำอะไรอีกวะ?
“อะไร คิดว่าผมจะยอมแพ้เหรอ พี่คิดผิดแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า” อยู่ๆ ความสดใสก็กลับคืนสู่เด็กชายร่างสูง กราฟิกใหญ่ทำท่ารำคาญ พยายามนิ่งเฉยๆ แต่เสียงนกเสียงกาที่เว้าวอนอยู่ข้างกายก็เรียกร้องความสนใจกลับมาจนได้
“เออๆๆ เดี๋ยวจะบอกให้” ดวงตาภายใต้กรอบแว่นหนาตวัดมองหน้าระรี้ระริกของเด็กหนุ่มที่กระแซะเข้ามาหาแล้วก็ได้แต่ปลง ตกลงกูต้องสอนมันจริงๆ เหรอเนี่ย จะบอกมันดีมั้ยว่าไอ้ที่เขียนไปน่ะ เขียนมั่วๆ ทำตัวขยึกขยือ เขียนเนื้อเพลงไปเรื่อย ไม่คิดว่ามันจะสนใจ
เก็ตรับกระดาษมากางบนโต๊ะ ก่อนจะเริ่มชี้ทีละจุด “นี่...เห็นตรงนี้มั้ย แก้มนายแบบถูกเงาไม้บัง มันทำให้หน้าดำ”
เมื่อเห็นลูกศิษย์พยักหน้าหยึกๆ อาจารย์จำเป็นก็ร่ายต่อ “ต้องระวังเรื่องสีผิวนายแบบ ตรงไหนที่มันเห็นแตกต่างกันชัดๆ ไม่ว่าจะจากแสงแฟลช เงา หรือแสงอาทิตย์ ตรงรีทัชให้มันไล่ระดับกัน...”
“แล้วอันนี้สำคัญที่สุด” ปลายปากกาจิ้มไปที่กางเกงในภาพ “จำไว้ว่างานโฆษณา สีโปรดักส์ต้องไม่เปลี่ยน ฉะนั้นเวลาจะปรับสีหรือแสงแบร็กกราวน์ ต้องไดคัทตัวคนสร้างเลเยอร์ใหม่ แล้วปรับแต่งแต่แบร็กกราวน์เท่านั้น”
ปันช็อตโน้ตตามด้วยความรวดเร็ว เสียงพี่เก็ตยังพูดต่อไปเรื่อยๆ “แล้วก็ต้องดูพวกโลโก้บนโปรดักส์ด้วย อย่างภาพนี้แสงมันสาดเข้ามาทำให้สีโลโก้เปลี่ยน ต้องปรับให้สีเหมือนของจริง”
กราฟิกตัวจริงยังอธิบายเทคนิกและวิธีการต่างๆ อีกหลายข้อ ซึ่งปันก็จดตามทุกคำพูด อันไหนที่เป็นศัพท์แสงฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ก็หาจังหวะแทรกถามโดยไม่ปล่อยให้ตัวเองต้องสงสัยนาน จนหลักสูตรติวเข้มการรีทัชจบลง เด็กหนุ่มก็กล่าวขอบคุณผู้ให้ความรู้ แล้วหันกลับมาที่คอมฯ ตัวเอง
“ทำไรอ่ะ” คนที่ทำหน้าที่อาจารย์เอ่ยถาม
“อ้าว...ก็แก้งานไงพี่” ปันตอบพร้อมชูกระดาษช็อตโน้ตของตัวเอง
เก็ตหัวเราะในลำคอ ก่อนจะบอกความจริงกับน้องไป “งานนี้ส่งมะรืนนี้ มาทำพรุ่งนี้ก็ทัน”
พอเห็นเด็กที่โดนหลอกว่างานรีบทำตาโต กราฟิกพี่ใหญ่เลยปล่อยเสียงกร๊ากออกมาเต็มเสียง ตามด้วยเสียงโวยวายปนโล่งใจของเด็กใหม่ในห้อง ปันถึงกับถอนหายใจเมื่อรู้ว่างานนี้ไม่ได้รีบอย่างที่คิด เพราะถ้ามันต้องใช้วันนี้จริงๆ เขาก็ไม่รู้ว่าจะมีปัญญาแก้ทั้งหมดนี่ภายในวันนี้หรือเปล่า
“มึงได้ยินเหมือนกูมั้ยไอ้เมต” นักเขียนที่กำลังร่างจดหมายขอรีวิวร้านอาหารของเล่มหน้ากระซิบกับตากล้อง
เมตตาเงียบไม่ตอบ แต่หันกลับมาทำหน้าตกใจเหมือนได้ยินเสียงประหลาดจากต่างดาว “ไอ้พี่เก็ตมันหัวเราะเหรอวะมึง?”
“เออ!!” ตอบเสร็จสิปป์ศิลป์ก็รีบวิ่งไปแอบดูสถานการณ์ภายในห้องของกราฟิก เฮ่ย...พี่เก็ตมันกำลังหัวเราะจริงๆ หัวเราะแบบแววตาเป็นประกายด้วย
“โลกกำลังจะแตกป่าววะ” เมตตาทำหน้าสะพรึง
“เราควรจะทำไงอ่ะ” สิปป์ขอคำปรึกษาเพื่อนสนิทที่ยืนนิ่ง
เมตตาทำหน้าครุ่นคิด ก่อนจะบอกอย่างจริงจัง
“อย่างนี้มึงต้องไปค้างบ้านกูแล้ว เผื่อพรุ่งนี้จะต้องตาย กูจะได้ไม่เสียใจที่ตายพร้อมมึง” พูดจบก็เดินไปเก็บของอย่างเร่งรีบ ปล่อยให้คนฟังประมวลผลอยู่นานสองนาน
“กูว่าตรรกมึงแปลกๆ นะ?” สิปป์ขมวดคิ้ว
“มึงเชื่อกู กูได้ A ตรรกวิทยาตอนปี 1 นะ” พูดจบก็คว้าของเดินลงออฟฟิศไป โดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้ตอบรับหรือปฏิเสธ
“เออ...เพราะพี่เก็ตหัวเราะ กูเลยต้องไปค้างบ้านมึง เออ...สมเหตุสมผล เออ...ที่ไปนี่เพราะโลกอาจจะแตกหรอกนะ เออ...เออ...” นักเขียนบ่นพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะรีบปิดคอมฯ และเก็บของตามอีกคนลงไป
ปล่อยโลกอีกใบไว้ในห้องเล็กๆ ของคนสองคน... TBC.
คำเตือน : Talk ยาวมากกกก คนเขียนยังอยู่ดีค่ะ แม้จะเจอปิดเล่มรัวๆ มา 15 วัน
(//ปิดวันละหน้าสองหน้า วันต่อมารื้อเลย์เอาท์มาแก้ใหม่อีก T__T)
ว่าจะบอกกับคนอ่านนานแล้ว แต่ลืมทุกที
ถ้าคนอ่านท่านไหนพบเจอ
คำผิด สะกดผิด พิมพ์ตก เว้นวรรคไม่สวยงาม
รวมถึงเนื้อหาขัดแย้งกับตอนอื่นๆ หรือความไม่สมจริงบางประการ รบกวนคนอ่านช่วยแจ้งคนเขียนหน่อยนะคะ เพราะบางทีเราเขียนเอง อ่านเอง พรู๊ฟเอง
คำผิดบางคำอาจคลาดสายตาไปบ้าง และจากการที่นานๆ อัพที ทำให้กลัวว่าจะมีเนื้อเรื่องบางตอนแปลกๆ ไป
จะโพสต์ในคอมเมนต์ หรือส่งข้อความหลังไมค์มาก็ได้ค่ะ
ขอบคุณล่วงหน้าเลยนะคะ
Gayscale's inside!อยากเล่าเรื่องที่มาที่ไปของตัวละครให้ฟัง อ่านกันขำๆ เผื่อจะทำให้อินมากขึ้นนะคะ
จะบอกว่ามีตัวละครบางตัวที่เราแอบจิ๊กคาแรกเตอร์มาจากคนที่เราเจอในชีวิตจริง
คนแรกเลย ...
พี่เอสพี่เอสเป็นคาแรกเตอร์จากเจ้านาย(เก่า สมัยทำนิตยสารช่วงที่เขียนเรื่องนี้)
พี่เอสเป็นผู้ชายลั้นลา ที่ตอนทำงานจะโหดมาก แต่เวลาอื่นๆ พี่แกจะตลกเวอร์ๆ
ถึงจะอายุสี่สิบแล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมแก่ เวลาประชุมชอบแอบเล่นมือถือเป็นประจำ 555555
พี่เอสตัวจริงเป็นผู้บริหารที่เก่งมาก มีบริษัทของตัวเอง 5-6 ที่
เราเลยไม่ค่อยได้เจอพี่เอสตอนทำงาน นานๆ แกจะเข้ามาประชุมสักทีหนึ่ง
แต่โดยรวมแล้ว พี่เอสเป็นเจ้านายที่ดีมาก ทุกวันนี้ยังไปกินข้าวกะแกบ่อยๆ (แอบเก็บคาแรกเตอร์มาประจำ อิอิ)
คนที่สอง...
พี่เก็ตสารภาพเลยว่าถอดมาจากกราฟิกบริษัทเก่าเป๊ะๆ
ถ้าคนที่ทำงานด้วยกันมาอ่าน ต้องรู้แน่ว่าเอาจากคนไหน 555555
จริงๆ พี่เก็ตก็เป็นพวกเห็นแก่ตัวเหมือนในเรื่องนี่แหละ (อ้าว?)
เราทะเลาะกะพี่เก็ตตัวจริงเป็นประจำ เพราะหลายๆ ครั้งพี่แกก็งี่เง่าไร้สาระ
แต่ก็ถือว่าเป็นสีสันของชีวิตดี เหมาะกับการเอามาเป็นตัวละครมาก
ที่เอามาแบบเป๊ะๆ เลยมีแค่สองตัวนี้เท่านั้น คนอื่นๆ ก็ดัดแปลงกันไปค่ะ
ความลับบางอย่างระหว่างตัวละครกับตัวจริง- ชื่อบก.เอ้ เอามาจากชื่อของเพื่อนสนิทของบก.ตัวจริง
- บก. ตัวจริง เป็นผู้หญิงสี่สิบที่สวยมาก แต่บ้าๆ บอๆ คล้ายๆ พี่เอ้ในเรื่อง
- บก. ตัวจริง กับพี่เอสตัวจริง ไม่ได้เป็นพี่น้องกัน แต่เป็นเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาตั้งแต่เกิด
- ชื่อพี่เป็ด เอามาจากชื่อเพื่อนสนิทพี่เอส ที่บางทีก็แอบจิ้นไปเบาๆ เพราะสนิทกันเกิ๊น
- น้องจีในเรื่อง บุคลิกเหมือนเพื่อนที่ทำงานใหม่เรามาก มากจนเราสยอง (เพราะเราเขียนเรื่องนี้ก่อนย้ายที่ทำงาน!)
- น่าเสียดายที่เรายังไม่เจอพี่เป็ดในชีวิตจริง
- ร้านกาแฟ Conversation ในเรื่อง เราหยิบบรรยากาศของร้านชื่อ ก.เอ๋ย ก.กาแฟ กับร้านหนังสือชื่อ ก็องดิต มาเขียน (เราไม่ได้ค่าโฆษณาน๊า)
- ในชีวิตจริงเราไม่ได้ทำนิตยสารเกย์ 5555555
- ต้องขอโทษด้วยที่จะบอกว่า สิปป์ศิลป์และเมตตาไม่มีตัวตนจริงๆ

- แต่หลากหลายความรู้สึกของตัวละคร เคยเกิดขึ้นจริงกับเรา หรือไม่ก็คนแวดล้อมเรา
เอาไปเท่านี้ก่อน ถ้ามีอีกจะทยอยเล่าในตอนต่อๆ ไปนะคะ //ถ้ายังมีคนอ่าน
บ๊ายบายยยยย