The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]  (อ่าน 85236 ครั้ง)

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-12-2012 20:06:06 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
«ตอบ #1 เมื่อ29-10-2012 16:18:20 »

อ่านกระทู้แรกกันด้วย ชะนีเก้งกว้างทั้งหลาย อย่าสักแต่เลื่อนๆ ลงมาอ่านนิยายนะครับ โดยเฉพาะข้อ 5 สำคัญสำหรับเรื่องนี้มาก เพราะ...

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น สถานที่ บุคคล เหตุการณ์ ทุกอย่างจำลองขึ้นหมด ถึงจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ภาคใต้ แต่ทุกๆ อย่างนอกจากนั้นสมมติขึ้นทั้งสิ้น อยากให้อ่านเพื่อความเพลิดเพลินเท่านั้นนะครับ แต่หากใครจะตีความหรือรู้สึกสะท้อนใจไปกับตัวละครบ้าง ก็ไม่ว่ากัน แต่อย่าดราม่า นิยาย/เรื่องสั้น เรื่องนี้ ถูกถ่ายทอดด้วยเจตนาและทัศนคติที่ดีของผมที่หวังว่าประเทศไทยจะยอมรับและให้โอกาสทหารที่สูญเสียอวัยวะหรือได้รับบาดเจ็บจากการทำหน้าที่ปกป้องประเทศชาติได้อย่างนี้เท่านั้นเอง

เรื่องนี้จะมีธีมและอารมณ์ที่ต่างไปจากนิยายหรือเรื่องสั้นเรื่องอื่นๆ ของผมอย่างสิ้นเชิงนะครับ อาจจะไม่ถูกใจใครหลายๆ คนก็กดกากบาทออกไปได้นะครับ หาอะไรหวานๆ ที่เคยแต่งอ่านไว้ก็ได้ แต่เรื่องนี้ขอนำเสนออะไรที่ต่างออกไปนิดนึงแล้วกัน

เชิญครับ

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
«ตอบ #2 เมื่อ29-10-2012 16:24:00 »

โจ ชายหนุ่มอายุ 30 กว่าร่างกายกำยำ วางกาแฟลงบนโต๊ะทำงานและหยิบเอกสารขึ้นอ่าน เขากวาดสายตาไปบนกระดาษอย่างรวดเร็วเพื่อหาสิ่งที่ต้องการ เขาอ่านเอกสารนั้นอยู่ครู่สั้นๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างรู้สึกโล่งอกเมื่อพบว่าชายคนนี้เสียขาซ้ายเหนือเข่าขึ้นไปข้างเดียวเท่านั้น ที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายเสียทีเดียวเมื่อเทียบกับหลายๆ เคสที่เขาเคยเจอมาก่อนหน้านี้ โจหวังแค่ว่าเขาจะสามารถช่วยฟื้นฟูจิตใจ ร่างกาย และทำให้เด็กหนุ่มคนนี้รู้สึกเหมือนที่เขากำลังคิดอยู่ได้สักครึ่งก็ยังดี แต่ประสบการณ์ของเขาทำให้เขารู้มันคงไม่ใช่งานที่ง่ายนัก ถ้าหากว่าเด็กคนนี้ไม่ให้ความร่วมมือ

โจถอนหายใจยาวๆ เบาๆ อีกครั้ง แล้วหยิบถ้วยกาแฟขึ้นจิบต่อพร้อมกับอ่านประวัติของชายคนนี้ เขาเดินไปเดินมาในห้องอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยุดยืนอยู่ริมหน้าต่าง เหม่อมองออกไปข้างหน้า นึกถึงช่วงหนึ่งที่เขาเคยทำงานรับใช้ชาติเช่นเดียวกับเด็กคนนี้ เรื่องราวในอดีตฉายภาพกลับมาในหัวของเขาอย่างแจ่มชัด ช่วยทำให้เขาเข้าใจความรู้สึกของทหารหนุ่มคนนี้ได้ดีมากขึ้น

งานของโจเป็นสิ่งที่เขาทั้งรักและเกลียดพร้อมๆ กัน เขาเกลียดมัน โดยเฉพาะในช่วงแรกๆ ของผู้เข้ารับการบำบัดทุกคน แต่เขาก็รักและมีความสุขทุกครั้งที่ท้ายที่สุดแล้วเขาได้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ชีวิตของคนเหล่านั้นได้เกิดการเปลี่ยนแลงไปในทางที่ดีขึ้น
ถึงจะไม่ทุกคน แต่ก็ส่วนมาก

โจหมุนตัว เดินกลับมาวางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะ จากนั้นก็ดูนาฬิกาข้อมือ เขาเคาะปึกเอกสารลงบนโต๊ะ แล้วจึงถือมันเดินออกจากออฟฟิศของตัวเองไปตามทางเดิน พยาบาลหลายๆ คนยิ้มและทักทายเขา ร่างกายและบุคลิกของเขาทำให้คนที่เดินผ่านไปมาต้องหันมามองด้วยความชื่นชม โจเองก็มีมารยาทพอจะยิ้มตอบหรือพูดคุยทักทายกลับไปให้แก่คนเหล่านั้นบ้าง เขาเป็นคนอัธยาศัยดี อ่อนน้อม แต่ก็ระมัดระวังตัวเรื่องการใกล้ชิดกับคนอื่นๆ มากเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยมีความสัมพันธ์ทางกายกับนางพยาบาลคนหนึ่งที่นี่ ทำให้เขาตกเป็นหัวข้อนินทาไปจนทั่วทั้งตึกอยู่หลายวัน ถึงจะไม่ใช่นินทาในทางเสื่อมเสีย แต่ก็ทำให้เขาระมัดระวังตัวพอที่จะไม่ทำผิดพลาดแบบนั้นอีก นอกจากนั้นเขายังมีความลับบางอย่างที่ยังไม่พร้อมเปิดเผยให้เพื่อนร่วมงานรู้อีกด้วย... อย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่ในตอนนี้และไม่ใช่ทุกคนที่นี่

เขาเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าห้อง 221 เคาะประตูเบาๆ 2-3 ที ก่อนจะผลักประตูเข้าไป ผู้ชายคนที่นั่งอยู่บนเตียงหันมามองโจ เขารู้ได้ทันทีเลยว่าคนๆ นี้เป็นทหาร ไม่ใช่เพราะมันเขียนอยู่ในประวัติที่เขาเพิ่งอ่านหรือเพราะเขาทำงานกับคนเหล่านี้อยู่แล้ว แต่เป็นเพราะทรงผมที่ไถเกรียน และกล้ามเนื้อที่ดูแข็งแกร่งเป็นเอกลักษณ์ต่างหาก

“น้อง รติบดี รัตนธรรม ใช่มั้ย” โจอ่านชื่อของเขาบนกระดาษในมือ

“ระ-ติ-บอ-ดี ครับ ไม่ใช่ บะ-ดี” เขาแก้ จากนั้นก็ยกมือขึ้นไหว้ “สวัสดีครับ”

โจรับไหว้ “อ้อ ขอโทษทีครับ แต่ไม่ต้องไหว้ผมก็ได้ ไม่เป็นไร”

“ไม่ดีมั้งครับ”

โจเดินเข้าไปหาชายหนุ่ม และเมื่อได้มองดูชัดๆ เขาก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นว่านอกจากเด็กคนนี้จะหน้าตาดีแล้ว ผิวพรรณยังดีผิดกับทหารคนอื่นๆ อีกด้วย ถึงจะไม่ได้ขาวละเอียด เพราะการฝึกกลางแดด แต่ก็แลดูเรียบเนียนและไม่ดำไหม้เหมือนหลายๆ คน ดูน่าจะมีพื้นฐานครอบครัวที่ดีพอสมควร

“ผมชื่อวิวัฒน์นะครับ หรือจะเรียกว่าโจก็ได้” ผมลากเก้าอี้มานั่งลงข้างๆ เตียงที่เขานอนอยู่ “หลังจากวันนี้ไปผมจะเป็นคนดูแลคุณ รู้แล้วใช่มั้ย”

“พี่เป็นนักกายภาพบำบัดเหรอครับ”

“เปล่า”

เด็กหนุ่มนิ่วหน้า มองโจด้วยสายตาสงสัย “งั้นก็จิตแพทย์”

โจหัวเราะ “สีหน้าดูไม่ค่อยกระตือรือร้นเท่าไหร่เลยนะ แต่เปล่าหรอก ผมไม่ใช่ทั้งสองอย่างนั่นแหละ แต่เป็นเทรนเนอร์ของคุณ... จะว่าอย่างนั้นก็คงได้มั้ง เป็นผู้ดูแล คอยช่วยเหลือ และคอยประเมินพัฒนาการทางร่างกายของคุณเพื่อรายงานให้หมอทราบอีกทีน่ะ”

“ครับ”

“ชื่อเล่นอะไรล่ะ เราน่ะ”

“คิวครับ”

“โอเค คิว พร้อมรึยัง กินข้าวเช้าแล้วใช่มั้ย”

“ครับ”

“อาบน้ำเรียบร้อยแล้ว”

“ครับ”

“งั้นไปกันเถอะ” โจลุกขึ้นยืน

“ไปไหนครับ”

“ผมบอกแล้วไงว่าจะมาเป็นเทรนเนอร์เพื่อวัดสมรรถภาพทางร่างกายของคุณ เพราะงั้นคิดว่าผมจะพาไปที่ไหนล่ะ”

“ผมต้องใส่เสื้อรึเปล่า”

“ก็แล้วแต่ ถ้าไม่อายก็ไม่ต้องใส่ แต่ถึงยังไงเวลาคุณออกกำลังหน้ากระจก คุณก็ต้องถอดมันออกอยู่ดี เพื่อที่จะได้เห็นกล้ามเนื้อแต่ละส่วนอย่างชัดเจนว่ามันเป็นยังไงบ้าง”

คิวหยิบเสื้อที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมา จากนั้นก็มองไปยังรถเข็นสำหรับผู้ป่วยที่อยู่ตรงมุมห้องด้วยสีหน้าลังเล

“พยาบาลเคยสอนวิธีขึ้นเรถเข็นให้แล้วใช่มั้ย” โจถาม

“ใช่ครับ แต่มันอยู่ตรงนั้น และผมนั่งอยู่บนเตียงนี่”

“แล้วยังไง”

“ถ้าพี่ช่วยเข็นมันมาให้ผมนิดนึง ผมก็คงนั่งเองได้ไม่ยากน่ะครับ” คิวพูดเสียงแข็ง

“แต่น่าเสียดายที่ผมไม่ใช่พยาบาลหรือพี่เลี้ยงของคุณเนี่ยสิ” โจยืนไพล่หลัง “ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อทำให้เราใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น แต่มาเพื่อช่วยฝึกให้คุณใช้ชีวิตอยู่กับมันได้ง่ายขึ้นต่างหาก” เขาพยักเพยิดไปยังขาข้างที่หายไปของคิว “อ้อ อีกอย่าง เปลี่ยนกางเกงขายาวนั่นออกเป็นขาสั้นซะด้วย”

“ขาสั้นเหรอ” คิวเลิกคิ้วขึ้น สีหน้าตกใจ

“ใช่ ทำไมล่ะ”

คิวขมวดคิ้วและมองหน้าโจอย่างหงุดหงิด “ผมว่าพี่คงไม่เข้าใจเพราะพี่ไม่เคยขาขาดแบบผม แต่ผมยังไม่ค่อยสบายใจที่จะใส่ขาสั้นโชว์คนอื่นว่าผม ‘ไม่-มี-ขา’ อยู่ข้างนึงหรอกนะครับ”

โจยิ้มที่มุมปากให้กับคำพูดประชดประชันของชายหนุ่ม “และเราสองคนก็จะต้องช่วยกันทำให้คุณเปลี่ยนความคิดแบบนั้นให้ได้ด้วยกัน อีกอย่าง ใส่กางเกงขายาวไปมันก็ไม่ได้ช่วยทำให้คนอื่นดูไม่รู้ว่าขาข้างนั้นของคุณหายไปหรอกนะ ลองคิดดูแล้วจะรู้ว่ามันเป็นความจริง”

คิวพ่นลมหายใจออกทางจมูกอย่างไม่ค่อยพอใจ แต่ก็รู้ว่าโจพูดถูก

“มีกางเกงขาสั้นสำหรับใส่ออกกำลังหรืออะไรพวกนั้นรึเปล่า”

“มีครับ” คิวพยักหน้า

“งั้นก็เปลี่ยนซะ”

คิวมีสีหน้ายุ่งยากใจนิดหน่อยก่อนจะเขย่งตัวลงจากเตียงเพื่อยืนด้วยขาข้างขวา จากนั้นก็พยายามพยุงตัวและกระโดดขาเดียวไปยังตู้เสื้อผ้า “นี่ถ้าผมไม่เหลือขาเลยสักข้าง พี่คงจะอยากช่วยผมมากกว่านี้ล่ะมั้ง”

“ไม่เลย” โจหัวเราะในลำคอเบาๆ “ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่ได้มาอยู่ที่นี่เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่คุณ ที่จริงผมไม่ใช่คนใจร้ายใจดำนะ แต่คุณนั่นแหละที่จะต้องเคยชินกับมันได้แล้ว เพราะเราสองคนจะต้องทำงานด้วยกันอีกพักใหญ่เลยล่ะ”

“ครับ ผมเข้าใจแล้ว” คิวปิดประตูตู้ลง

“ดีมาก  เอ้าเปลี่ยนกางเกงได้แล้วล่ะ จะได้ไปกันสักที”

คิวกระโดดขาเดียวกลับมาที่เตียง จากนั้นก็เหลือบมองโจด้วยแววตาลังเล

“ไม่ต้องอายหรอกน่า ที่ค่ายไม่ได้แก้ผ้าอาบน้ำกับเพื่อนบ่อยๆ รึไง และผมเองก็เคยเป็นทหารเหมือนกันด้วย ผมรู้ว่ามันเป็นยังไง เปลี่ยนตรงนี้แหละ ยังไงเดี๋ยวหลังจากนี้ผมก็คงต้องเห็นคุณแก้ผ้าอีกบ่อยๆ อยู่ดี”

“ครับ” คิวยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก ก่อนจะถอดกางเกงขายาวที่ใส่อยู่ออก

เมื่อโจเห็นร่างกายของคิวที่เปลือยเปล่าและขนาดความเป็นชายของเด็กหนุ่มแล้วเขาก็ต้องอุทานออกมาเบาๆ ด้วยความตกใจ

“เฮ้ย! ไม่เบาเลยนี่หว่า” โจหัวเราะเบาๆ “แบบนี้ไม่เห็นจะมีอะไรน่าอายตรงไหน ดูท่าสาวๆ คงติดน่าดูสิท่า”

“แต่จะมีประโยชน์อะไรครับ ถ้าผมไม่มีโอกาสได้ใช้มันอีกน่ะ”

โจก้มหยิบกางเกงขายาวขึ้นจากพื้นในขณะที่คิวกำลังสวมกางเกงขาสั้น “แล้วทำไมถึงจะไม่ได้ใช้อีกล่ะ บอกผมมาซิ”

คิวถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย “ก็แล้วใครมันจะอยากมามีอะไรกับคนขาเดียวแบบผมล่ะครับ หึ ถ้าผมมีแฟนอยู่แล้วหรือแต่งงานไปแล้วก็คงว่าไปอย่าง... ไม่สิ ต่อให้มีแฟนอยู่แล้วมันก็ยังขอเลิกกับผมได้เลยด้วยซ้ำ ใครมันจะอยากมีแฟนเป็นคนพิการแบบนี้ล่ะครับ” เขาหยิบเสื้อยืดขึ้นจากเตียง กระโดดขาเดียวพาตัวเองไปยังรถเข็นที่มุมห้อง จากนั้นก็นั่งลงและวางเสื้อลงบนหน้าตัก

โจเดินไปวางมือลงบนที่จับของรถเข็น แต่คิวห้ามเอาไว้ก่อน

“ผมจัดการเองได้ครับ”

โจหัวเราะในลำคอเบาๆ ให้กับความดื้อเงียบและถือดีของเด็กคนนี้ “ผมรู้ว่าคุณทำได้ แต่ผมแค่อยากจะช่วย ผมเองก็ไม่ใช่คนใจดำอะไรขนาดนั้นหรอกนะ”

“ผมไม่เห็นว่าพี่เป็นแบบนั้นหรอกครับ ผมเข้าใจ”

“มาเถอะ”

โจเข็นรถเข็นพาคิวเดินไปตามทางเดิน ตรงไปจนสุดทาง ที่นั่นคือห้องออกกำลังสำหรับผู้สูญเสียอวัยวะเพื่อการฟื้นฟูกล้ามเนื้อและอวัยวะที่เหลืออยู่โดยเฉพาะ

“เราไม่ได้จะมาเล่นเครื่องพวกนั้นเหรอครับ” คิวถามพลางชี้ไปทางอุปกรณ์ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของห้อง

“พวกนั้นเอาไว้ทีหลัง หลังจากที่คุณได้ขาใหม่ก่อน”

“แล้วมันคือเมื่อไหร่ครับ”

“เรื่องนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะผมไม่ได้เป็นคนตัดสินใจ แต่เป็นคนที่จะรีพอร์ทกลับไปยังหมอ แล้วหมอประจำไข้ของคุณเค้าจะตัดสินใจอีกที ผมแค่มีหน้าที่เตรียมตัวคุณให้พร้อมสำหรับมันเท่านั้นแหละ” โจหมุนรถเข็นเข้าหาโต๊ะตัวเล็กที่มุมห้องและนั่งเผชิญหน้าเข้าหาคิว “โอเค อันดับแรก ผมขอพูดตรงๆ ก่อนเลยว่า ถ้าหากผมพูดหรือทำอะไรแข็งกระด้างไปบ้าง ผมก็อยากให้คุณเราเข้าใจว่ามันคือหน้าที่ของผมนะ”

“ผมเข้าใจครับ” คิวพยักหน้า

“ดีมาก อย่างที่บอกว่าผมเองก็เคยเป็นทหารเหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมเข้าใจระบบทุกอย่างดี แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ผมเป็นแค่พลเรือนธรรมดาที่ต้องรับมือและดูแลทหารที่ได้รับบาดเจ็บแบบคุณทุกๆ ปี เพราะฉะนั้นผมจะไม่ปฏิบัติกับคุณเหมือนผู้ป่วยธรรมดาทั่วไป แต่เป็นดั่งเช่นนายทหารที่ได้รับการฝึกมาแล้วเป็นอย่างดี เข้าใจนะ”

“ครับ” คิวตอบเสียงหนักแน่น

“ดี เอาล่ะ คราวนี้ลองบอกผมซิว่าเป้าหมายของคุณคืออะไร”

“เป้าหมายเหรอครับ” คิวขมวดคิ้วเข้าหากัน

“ใช่ เป้าหมายของการฟื้นฟู คุณมีสิ่งที่หวังหรือต้องการอะไรอยู่บ้าง”

“ผมไม่รู้ว่าเป้าหมายกับสิ่งที่คาดหวังมันเหมือนกันรึเปล่านะครับ แต่... ไม่รู้สิ ผมว่ามันคงเป็นไปไม่ได้มั้ง”

“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ที่นี่  เพราะคำๆ นั้นมีแต่จะทำให้คุณย่ำอยู่ที่นี่ด้วยขาข้างเดียวแบบนั้นตลอดไปเท่านั้น เอาล่ะ ลองว่ามาซิ”

คิวรู้สึกเจ็บแปลบนิดๆ เมื่อได้ยินคำว่า ‘ขาข้างเดียว’ เขากลืนน้ำลายแล้วมองโจด้วยดวงตามุ่งมั่น “ถ้าเป็นไปได้... ความฝันสูงสุดของผมคืออยากกลับไปรับใช้ชาติอีกครั้ง ทำหน้าที่ที่ผมได้รับมอบหมายมาให้สำเร็จซะก่อนครับ”

“คุณอยากกลับไปที่ภาคใต้อีกครั้งเหรอ”

“ถ้าเป็นไปได้นะครับ”

โจพยักหน้าอย่างครุ่นคิด ที่จริงเขาก็พอรู้เรื่องระเบียบการใหม่นี่อยู่แล้ว เพียงแต่เขาไม่คิดว่าจะได้ยินมันออกมาจากปากของใครจริงๆ เท่านั้นเอง

“มันคงเป็นไปไม่ได้ใช่มั้ย ผมรู้อยู่แล้ว...” คิวพูดอย่างยอมรับ พลางนึกถึงเรื่องราวของอดีตทหารหลายๆ คนที่ต้องสูญเสียทุกอย่างไปหมด ทั้งอาชีพและอนาคต เพราะกลายเป็นคนทุพพลภาพแบบเขาในตอนนี้

“ไม่ๆ ผมว่ามันก็ไม่แน่เสมอไป เรื่องพวกนั้นผมตัดสินใจเองไม่ได้ แต่ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ข้างบนต่างหาก แต่บอกตรงๆ จากประสบการณ์และความคิดของผมเองนะ คุณอาจจะไม่ได้ไปรบแนวหน้าเหมือนเดิม แต่อาจถูกส่งไปอยู่หน่วยอื่นแทน อันนี้ก็แล้วแต่อีก ถ้าหากว่าคุณมุ่งมั่นจริง คุณก็ต้องพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าคุณทำได้ โดยการเก็บเป้าหมายนั้นไว้ในใจ แล้วเริ่มสร้างเป้าหมายเล็กๆ ทีละอย่างเพื่อให้คุณค่อยๆ เดินขึ้นไปถึงตรงนั้นให้ได้ เข้าใจรึเปล่า”

“เป้าหมายเล็กๆ อย่างเช่นอะไรครับ”

“เช่นการทำให้คุณกลับไปเป็นคนอย่างที่คุณเคยเป็นไง”

คิวมองหน้าโจงงๆ “ผมไม่เข้าใจ”

“ไม่เห็นเข้าใจยากตรงไหน ผมเปิดอกพูดตรงๆ แบบลูกผู้ชายคุยกันเลยนะ เมื่อกี้ตอนอยู่ในห้อง คุณพูดว่าไม่คิดว่าใครจะมาเอาคนอย่างคุณเป็นแฟน หรือพูดง่ายๆ คือคงไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากนอนกับคุณอีก นั่นแหละ คือสิ่งหนึ่งที่คุณต้องเอาชนะมันให้ได้ อาจจะไม่ใช่สิ่งแรก แต่เราสองคนจะต้องช่วยกันทำให้คุณกลับมาเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองดังเดิมให้ได้”

“แต่...”

“ทหาร คุณน่ะ ยังหนุ่มยังแน่น เพิ่งจะ 20 ต้นๆ หน้าตาก็ดี หุ่นก็ดี แข็งแรงกำยำ แถมไอ้นั่นก็ใหญ่ใช่ย่อย ยังจะมีอะไรต้องกลัวอีกล่ะวะ”

คิวนิ่วหน้าแบบไม่ค่อยอยากเชื่อสิ่งที่เขาเพิ่งได้ยินเท่าไหร่นัก

“โอเค ถ้างั้นคุณอยากรู้มั้ยว่าเป้าหมายของผมคืออะไร” โจพูดต่อ

“เป้าหมายเรื่องผมน่ะเหรอครับ”

“ใช่แล้ว ก็แค่เรื่องง่ายๆ เอง ผมเดาว่าก่อนหน้าที่จะมาเป็นทหาร คุณคงมีสาวๆ ติดเยอะเลยสิท่า”

“ก็มีบ้างครับ”

“นั่นแหละ เป้าหมายของผม... ผมจะทำให้คุณกลับไปใส่ขาสั้น เดินข้างนอก และทำให้สาวๆ กลับมาสนใจเหมือนเมื่อก่อนให้ได้”

“ผม... ผมว่าผมไม่...” คิวขมวดคิ้วพลาวส่ายหน้า

“ไม่อะไร”

“ผมคงไม่กลับไปใส่ขาสั้นอีกแล้วครับ หมายถึงในที่สาธารณะหรืออะไรแบบนั้นน่ะครับ คือผม...”

“ทำไม”

คิวถอนหายใจ “ผมก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน ไม่รู้สิ แต่ที่อย่างนึงแน่ๆ คือขาของผมมันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว”

“ใช่น่ะสิ ก็ขาซ้ายหายไปครึ่งนึงแบบนั้นนี่”

“ไม่ใช่แค่นั้นครับ คือ ผมว่าสะโพกซ้ายของผมมันก็เล็กกว่าข้างขวาด้วย แล้วยังจะรอยแผลอีก ถ้าให้ใส่ขาสั้น มันคง...”

“เรื่องแผลอาจจะยาก แต่เรื่องกล้ามเนื้อของคุณน่ะ เราแก้ไขได้” โจพยักหน้าเบาๆ “ตอนทำสควอชอาจจะลำบากหน่อย แต่เราค่อยๆ ทำไปทีละอย่างได้ และผมเชื่อว่าคุณต้องทำได้ดีด้วย”

“สควอชด้วยขาข้างเดียวเนี่ยเหรอครับ” คิวตกใจ

“แน่นอน ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกนะจะบอกให้ คนสองขาทำสควอชด้วยขาข้างเดียวก็มีเยอะแยะ ทุกอย่างอยู่ที่การฝึกฝนทั้งนั้น ผมจะไม่ปฏิบัติกับคุณด้วยความเห็นใจเพราะคุณมีขาแค่ข้างเดียวหรอกนะ ก็อย่างที่ผมบอกนั่นแหละว่าคุณคงจะออกกำลังอื่นๆ ได้แบบปกติแทบทุกอย่าง ดังนั้นเราก็จะเริ่มต้นจากเรื่องเบสิคพวกนั้นเพื่อฝึกฝนและพัฒนากล้ามเนื้อขาข้างที่เหลืออยู่ของคุณซะก่อน” โจยิ้มให้กำลังใจ “อย่างเช่นวันนี้ เราจะเริ่มต้นกันที่การยกเวท ผมจะขอดูปฏิกิริยาของคุณ ดูทั้งกล้ามเนื้อแล้วก็ดูการปรับตัวของคุณด้วย แล้วจากนั้นก็จะวนเล่นอย่างอื่นจนครบ พอจบ ผมก็จะเซ็ทตารางสำหรับการออกกำลังของคุณขึ้น และผมก็จะไม่ยอมผ่อนปรนหรือใจอ่อนให้แก่คุณอย่างเด็ดขาดด้วย เข้าใจมั้ย”

“เข้าใจครับ”

“ดีมาก งั้นก็มาเริ่มกันได้เลย”

โจนำชายหนุ่มไปยังอุปกรณ์แรก จากนั้นก็เปลี่ยนไปยังอุปกรณ์ถัดไปเรื่อยๆ โดยที่คอยจดบันทึกอยู่ตลอด คิวหมุนล้อพารถเข็นมาถึงที่อุปกรณ์แรกด้วยตัวเอง แต่หลังจากที่เขาลุกออกจากรถเข็นแล้ว โจก็ดันรถออกไปที่อื่น เขาจึงต้องเขย่งก้าวกระโดดขาเดียวจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งเกือบทั่วทั้งห้อง

“ดูเหมือนคุณจะไม่ได้ห่างหายจากการใช้กล้ามเนื้อมากไปจนทำให้มันฝ่อลงไปนะ” โจพูดขึ้นในขณะที่ยืนมองดูคิวยกเวทบริหารกล้ามหน้าอก

พวกเขาเหลือฐานสควอชเป็นอย่างสุดท้าย คิวหันกลับมามองโจด้วยสีหน้าลังเลอีกครั้ง

“พี่จะให้ผมยกบาร์เบลไปด้วยแล้วลุกนั่งไปด้วยด้วยขาข้างเดียวแบบนี้จริงๆ เหรอ”

“ขาครึ่งต่างหาก” โจแก้ “และผมบอกแล้วไงว่าคนมีสองขาเค้าก็เล่นท่านี้ขาเดียวกันเยอะแยะไป หรือคุณจะให้ผมทำให้คุณดูก่อน”

“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่ไม่เคยเท่านั้นเอง”

“ลองวอร์มเบาๆ กับบาร์ดูก่อน แล้วค่อยๆ ปรับการทรงตัว” โจแนะนำ

คิวจัดการยกบาร์เบลออกจากที่วาง จากนั้นก็ค่อยๆ ย่อเข่าลง เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วจึงพยายามยืดตัวยืนขึ้น แต่เข่าของเขาเกิดทรุดลงเพราะรับน้ำหนักไม่ไหว ด้วยสัญชาติญาณ เขาจึงเผลอพยายามใช้ขาอีกข้างที่ไม่มีอยู่แล้วช่วยยันตัว ทำให้เขาเสียการทรงตัวและล้มลง โจรีบพุ่งตัวเข้าไปช่วยประคองเขาเอาไว้ทันที

“แม่งเอ๊ย!!” คิวสบถออกมาขณะพยายามกลับมานั่งยองๆ อยู่บนขาข้างเดียวอีกครั้ง “ขอโทษครับ”

“มันเป็นปฏิกิริยาปกติน่ะ สมองของคุณมันยังจำไม่ได้ว่าคุณไม่มีขาข้างนั้นอีกแล้ว”

“ผมขอลองอีกครั้ง” คิวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ รวบรวมสมาธิและกำลังไว้ที่ขาข้างที่ดีอยู่ แล้วจึงยืนขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เขายืนขึ้นได้จนสุดอย่างไม่มีปัญหา

“เห็นมั้ยล่ะ ถ้าจะทำก็ทำได้ คุณมีกำลังมากพอเหลือเฟืออยู่แล้ว แค่ต้องหาจุดสมดุลและพยายามทรงตัวให้อยู่เท่านั้นเอง”

“ลองเพิ่มน้ำหนักดูก็ได้ครับ”

โจยิ้มและทำตามที่คิวขอโดยการเพิ่มน้ำหนักอีกข้างละ 3 กิโล

“ผมยกได้หนักกว่านั้นนะ”

“เออๆ ผมรู้ว่าคุณทำได้ แต่ผมแค่อยากดูการทรงตัวของคุณมากกว่า ไม่ใช่จะจับคุณเล่นกล้ามหรือทดสอบพละกำลัง”

คิวทำท่าสควอชจำนวน 6 ครั้ง จากนั้นก็หยุดพัก โจจึงเพิ่มน้ำหนักลงไปอีก คิวลองทำแบบเดิมซ้ำอีก 6 ครั้ง โจพยักหน้าอย่างพอใจก่อนจะขีดฆ่ารายการสควอชซึ่งเป็นรายการสุดท้ายที่ต้องทำในวันนี้ทิ้ง จากนั้นก็เดินไปเลื่อนรถเข็นกลับมาให้คิว

“วันนี้เราคุยกันอยู่สองเรื่อง และผมก็อยากจะพูดใหม่อีกครั้งให้มันชัดเจน” โจพูดขึ้นในขณะที่พวกเขากำลังกลับไปยังห้องของคิว “เรื่องแรก คุณพูดถึงเรื่องไม่อยากใส่ขาสั้น ส่วนอีกเรื่องคือการมีแฟน หรือพูดง่ายๆ คือการมีอะไรกับผู้หญิงอีกครั้งนั่นแหละ ซึ่งทั้งสองอย่างนั้นคุณแสดงคำพูดและทัศนคติในเชิงลบออกมาทั้งนั้น ซึ่งผมไม่ยอมและจะไม่ทำงานร่วมกับคนที่มีความคิดในแง่ลบเด็ดขาด”

“ครับ”

“รู้อะไรมั้ย ความลับง่ายๆ ที่จะทำให้คุณกลับไปใส่ขาสั้นเดินนอกบ้านให้คนอื่นเห็นได้อีกครั้งอย่างมั่นใจและไม่ตกเป็นเป้าสายตาคนอื่นคืออะไร”

“ครับ”

“อย่าใส่ขาสั้นที่ยาวเลยเข่าไป ก็แค่นั้นแหละ”

คิวมองหน้าโจเหมือนไม่อยากเชื่อ

“ทำไม ไม่เชื่อรึไง คุณอาจจะคิดว่าแบบนั้นมันช่วยปกปิดได้ดีกว่า แต่ที่จริงแล้วมันมีแต่จะยิ่งทำให้คนเห็นว่าขาส่วนที่เลยเข่าขึ้นไปของคุณมันหายไปเท่านั้นแหละ นอกจากนั้นยังมีแต่จะทำให้คนอื่นมองคุณด้วยความสงสาร เห็นใจ หรืออาจจะสมเพชด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น ใส่ขาสั้นที่สั้นเลยแผลขึ้นไปอย่างมั่นใจไปเลย โชว์กล้ามเนื้อขาของคุณให้คนอื่นเห็นชัดๆ เวลาคนอื่นเค้ามองมาที่คุณ ก็จะได้เห็นแต่กล้ามขาแน่นๆ ที่ผ่านการออกกำลังมาอย่างดีเท่านั้น และแน่นอนว่าเค้าก็จะมองคุณด้วยความชื่นชมทันที โดยเฉพาะสาวๆ ที่ชอบผู้ชายแข็งแรงๆ น่ะ”

“ถ้าสั้นกว่าเข่าขึ้นมานี่มันจะไม่สั้นเกินไปเหรอครับ ผมว่ามันจะโป๊ไปหน่อยมั้ย”

“สำหรับผู้ชาย ไม่โป๊หรอก และที่สำคัญ แบบนี้สิดี คนอื่นจะได้เห็นแล้วสงสัยไงว่า ไอ้ก้อนตุงๆ ตรงหว่างขาของคุณนั่นน่ะ มันของจริงรึเปล่า” โจยักคิ้วพร้อมรอยยิ้มมุมปาก

คิวหัวเราะชอบใจกับคำตอบที่ได้ยิน “ผมไม่คิดว่าพี่จะพูดอะไรแบบนี้กับผมเลยนะ”

“เฮ้ย ผมไม่ได้พูดเพราะมันเป็นหน้าที่ แต่คิดซะว่าผมให้คำแนะนำในฐานะที่คุณเป็นน้องชายคนนึงก็คงได้มั้ง คุณน่ะมีดีติดตัวอยู่แล้ว พยาบาลที่นี่หลายๆ คนยังเคยแอบซุบซิบว่าคุณหน้าตาดี หรือแม้แต่นักข่าวที่เคยมาทำข่าวของคุณก็ยังพูดกันเลยว่าคุณหล่อขนาดไหน”

“จริงเหรอครับ” คิวหัวเราะ “พยาบาลคนไหนบอกว่าผมหล่อเหรอ บอกผมหน่อยสิ”

โจส่ายหน้า “แล้วผมจะบอกอะไรให้อย่าง อะไรบางอย่างที่นักบำบัด จิตแพทย์ หรือใครก็ตามอาจไม่เคยได้พูดกับคุณในตอนที่คุณเข้ามารับการรักษาเยียวยาร่างกายและจิตใจเมื่อก่อนหน้านี้ แต่ผมอยากให้คุณคิดนะว่าคุณโชคดีแค่ไหนแล้วที่ขาหายไปแค่ข้างเดียว ไม่ได้เอาไอ้น้องชายตัวโตนั่นหายไปด้วยน่ะ ถ้าระเบิดมันแรงกว่านี้หรือสูงกว่านี้อีกนิดเดียว สาวๆ หลายคนในประเทศนี้คงต้องร้องไห้เสียดายกันหนักแน่ๆ”

“ตกลงพี่จะไม่บอกผมจริงๆ เหรอว่าพยาบาลคนไหนที่ชอบผมน่ะ เอาสวยๆ นะ ป้าๆ แก่ๆ ไม่เอา” คิวยังคงหยอกเล่นอยู่

“ผมเป็นผู้ช่วยคุณนะ ไม่ใช่แมงดา” โจหัวเราะในลำคอเบาๆ รู้สึกดีที่เด็กหนุ่มเริ่มเปิดใจยอมรับเขามากขึ้น “ผมขอถามอะไรหน่อยสิ ทำไมคุณถึงอยากกลับไปเสี่ยงตาย กลับไปรบที่นั่นอีกครั้ง”

สีหน้าของคิวดูจริงจังขึ้นทันที “ไม่มีเหตุผลอะไรหรอกครับ ผมก็แค่อยากทำหน้าที่ของผมให้เสร็จเรียบร้อยแค่นั้นเอง ผมอยากรับใช้ชาติจนถึงที่สุด”

โจรู้สึกว่าคิวยังคงไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด แต่ก็ตัดสินใจไม่เซ้าซี้ต่อ “แบบนั้นก็ดี ผมดีใจนะที่กองทัพมีทหารรุ่นน้องไฟแรงแบบคุณอยู่น่ะ”

“ขอบคุณครับ”

“อ้อ และมีอีกเรื่องที่ผมต้องบอกคุณ หลังจากนี้ผมจะเป็นเจ้าของไข้และคอยประเมินพัฒนาการของคุณก็จริง แต่ว่าพรุ่งนี้เราจะมีอาสาสมัครคนหนึ่งมาคอยดูแลคุณเป็นหลักแทนผมนะ จะเรียกว่าเป็นคล้ายๆ พยาบาลส่วนตัว หรือผู้ช่วยในการออกกำลังอะไรแบบนั้นก็ได้มั้ง”

“ผู้หญิงหรือผู้ชายครับ”

“ผู้ชาย”

คิวนิ่วหน้า “แต่ผมไม่ต้องการใครมาดูแลผม ยิ่งผู้ช่วยออกกำลังยิ่งไม่จำเป็นเลย ผมนึกว่าพี่จะเป็นเทรนเนอร์ให้ผมซะอีก”

“ผมไม่ได้ว่างมาดูแลคุณคนเดียวทั้งวันนะ แล้วอีกอย่างถ้าไม่มีคนอยู่กับคุณเวลาออกกำลัง ใครจะเป็นคนคอยเปลี่ยนน้ำหนักที่เวท บาร์เบล  คอยดูแลไม่ให้เกิดอันตราย หรืออะไรพวกนั้นให้คุณ” โจอธิบาย “ส่วนเรื่องพยาบาลดูแลอะไรนั่นมันก็แค่หน้าที่รอง อย่าลืมว่าน้องมันเป็นแค่อาสาสมัครเท่านั้น ถ้ามีอะไรให้มันทำ มันก็ทำทุกอย่างนั่นแหละ เพื่อที่ชั่วโมงจะได้ครบ ไม่งั้นมันก็ไม่ผ่านวิชาเรียนที่มหาวิทยาลัย ส่วนผมก็ยังเป็นคนมาคอยดูแล และจัดตารางออกกำลังให้แก่คุณตามปกติเหมือนวันนี้นั่นแหละ”

“ไอ้วิชาที่พี่พูดถึงนั่นมันวิชาอะไรครับ”

“ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่เหมือนวิชานี้นักศึกษาจะต้องเป็นอาสาสมัครเพื่อช่วยเหลือสังคมน่ะ และน้องมันก็ลงสมัครมาที่นี่ ซึ่งผมว่าก็ดีแล้วล่ะ นอกจากเรื่องแรงบันดาลใจแล้ว คุณก็ถือซะว่าช่วยน้องมันเรียนไปด้วยในตัว”

“โอเคครับ ถ้าน้องมันจะทำให้ผมได้แรงบันดาลใจอะไรจากมันบ้างก็ลองดู” คิวยักไหล่ รู้สึกไม่ค่อยปลื้มกับความคิดนี้สักเท่าไหร่

“แต่หวังว่าน้องมันจะนิสัยโอเคและไม่วุ่นวายกับผมมากก็พอ”

“เรื่องนิสัย ผมว่าไม่น่ามีปัญหานะ แต่ไอ้เรื่องแรงบันดาลใจเนี่ย ผมว่าคุณนั่นแหละ ที่จะเป็นฝ่ายให้กำลังใจกับมัน”

“หมายความว่ายังไงครับ”

“เดี๋ยวเอาไว้คุณได้เจอน้องมันแล้วคุณก็คงรู้เองนั่นแหละ”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-06-2016 18:45:59 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
«ตอบ #3 เมื่อ29-10-2012 16:26:56 »

ใครอยากติดตามหรืออยากรู้ลิสต์นิยายเรื่องอื่นๆ ที่เคยเขียนไว้ เข้าไปเช็คได้ที่ https://www.facebook.com/ExecutionerNovel

และถ้าใครที่ไลค์อยู่แล้วสงสัยว่าทำไมไม่ค่อยเห็นอัพเดทจากผม ให้กดแอดเพจเพิ่มเป็น interest list ซะนะครับ เฟซมันปรับระบบ แรนด้อมฟีด ไม่ได้เห็นตลอดและเห็นทุกคนแล้ว ใครสงสัยว่าทำยังไงไปโพสถามในเพจหรือไปหาอ่านเอานะ ขี้เกียจอธิบาย 55555

โจ๊กกุ้ง

  • บุคคลทั่วไป
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
«ตอบ #4 เมื่อ29-10-2012 18:28:48 »

น่าสนใจมากๆเลยค่ะ ติดตามตอนต่อไป

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
«ตอบ #5 เมื่อ29-10-2012 19:36:58 »

เป็นเรื่องที่น่าติดตามมากเลยค่ะ ตัวเอกในเรื่องน่าจะเป็นแรงบันดาลใจ และเป็นกำลังใจให้กับคนอ่านค่ะ

ฺBieKung

  • บุคคลทั่วไป
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
«ตอบ #6 เมื่อ29-10-2012 23:29:59 »

อยากอ่านตอนต่อไปแล้วอ่าาาา พี่ต้นนนนนนนนนนน

เค้าคนนั้นคือใครรร???

มาลงตอนต่อไปเร็วๆนะค๊าบบบบบบบบบ ^^

  :z3: :z3: :z3: :z3:

ออฟไลน์ KaorPaor

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +140/-4
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
«ตอบ #7 เมื่อ30-10-2012 02:25:54 »

ตามมาอ่านแล้วค่่ะ

ท่าทางจะน่าสนุก สร้างกำลังใจให้ตัวเองด้วย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-10-2012 06:36:41 โดย KaorPaor »

Ramika

  • บุคคลทั่วไป
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
«ตอบ #8 เมื่อ30-10-2012 09:22:38 »

จิ้มไว้ก่อน แล้วค่อยอ่าน

ออฟไลน์ ppanudet

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 350
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
«ตอบ #9 เมื่อ30-10-2012 13:58:30 »

เป็นเรื่ิองที่แปลกไปจากเรื่องอื่น ผมชอบนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
« ตอบ #9 เมื่อ: 30-10-2012 13:58:30 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ BaoBao

  • Moderator
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +485/-2
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
«ตอบ #10 เมื่อ30-10-2012 14:00:06 »

 :oni1: ติดตาม

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
«ตอบ #11 เมื่อ30-10-2012 14:25:43 »

ชอบคุณเทรนเนอร์มาก
รออ่านต่อค่ะ

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
«ตอบ #12 เมื่อ30-10-2012 14:44:03 »

มาใหม่ๆ

ติดตามๆ

 :L2:

ออฟไลน์ runma

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 169
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
«ตอบ #13 เมื่อ30-10-2012 15:16:39 »

มาลงชื่ออ่านเรื่องใหม่ครับ

ตอนแรกผมลุ้นพี่โจกับคิว ดูว่าโจจะติดใจขนาดของคิวเหลือเกิน 555  :m12:
ชอบการดูแลและวิธีให้กำลังใจที่โจทำให้นะครับ คนพิการที่ไม่ได้เป็นแต่กำเนิด
ต้องใช้กำลังใจอย่างมากกับการที่ต้องยอมรับสภาพของตัวเองที่เปลี่ยนแปลงไป
แต่ตอนนี้ผมว่าน้องที่มาเป็นอาสาสมัครดูจะน่าสนใจกว่าแล้วครับ
 :a3:


ออฟไลน์ mankey

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
«ตอบ #14 เมื่อ30-10-2012 21:47:04 »

ชอบอ่ะพี่ต้นนน พล็อตแปลกดีอ่าาา อยากอ่านตอนต่อไปแล้ววว

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
«ตอบ #15 เมื่อ31-10-2012 20:54:47 »

ตอนที่ 1

ผมชื่อพิทักษ์กลไกล ชื่อเล่นชื่อ พลุ เรียนอยู่ปีสามที่มหาวิทยาลัยเอกชนขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ช่วงปิดเทอมนี้ ผมต้องมาทำงานเป็นอาสาสมัครที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในตำแหน่งที่ผมไม่เคยคิดอยากทำเลย นั่นคือการเป็นผู้ช่วยดูแลผู้ป่วยที่สูญเสียอวัยวะ เนื่องจากวิชาเลือกที่ผมลงกำหนดไว้ว่านักศึกษาทุกคนจะต้องทำงานเป็นอาสาสมัครตามจำนวนชั่วโมงที่มหาวิทยาลัยกำหนดเพื่อจะได้เกรด และที่ผมบอกว่าผมไม่อยากอาสาสมัครมาในตำแหน่งหน้าที่นี้ ไม่ใช่เพราะผมรังเกียจผู้ป่วยพิการหรืออะไร แต่ความคิดแรกที่ผมนึกถึงเมื่อรู้ว่าผมต้องทำอะไรคืออดีตและบาดแผลของตัวเองต่างหาก รวมทั้งผมยังไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถรับมือกับสภาพจิตใจของผู้ป่วยได้ดีสักเท่าไหร่ด้วย ดังนั้นผมจึงไม่ค่อยรู้สึกกระตือรือร้นที่จะมาทำงานมากนัก ซึ่งผมคิดว่าพี่โจ หัวหน้าของผมก็คงพอดูออกเหมือนกัน

ช่วง 2-3 วันแรกผมก็ได้เรียนรู้งานคร่าวๆ จากพี่โจ ได้พบกับผู้ป่วยบางคน และคอยช่วยพี่เขาเรื่องงานเอกสารต่างๆ ซึ่งก็ค่อนข้างน่าเบื่อพอสมควร แต่เมื่อวานพี่โจเพิ่งบอกผมอย่างกะทันหันว่าวันนี้ผมจะได้พบกับผู้ป่วยที่ผมจะต้องเป็นคนช่วยดูแลอย่างเต็มตัวเป็นครั้งแรก ตอนแรกผมก็ตกใจและรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อย แต่เมื่อผมได้ยินจากพี่โจว่าคนๆ นี้คือทหารที่ถูกระเบิดจากพวกผู้ก่อการร้ายจังหวัดชายแดนภาคใต้จนเสียขาไป ซึ่งเป็นคนที่เพิ่งเป็นข่าวไปเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ ทัศนคติที่ผมมีต่องานนี้ก็เปลี่ยนไปทันที แต่ความตื่นเต้นยังคงมีเท่าเดิม

ผมมาถึงที่โรงพยาบาลเวลาแปดโมงเช้าและเข้ารายงานตัวกับพี่โจตามปกติ เขายื่นเอกสารที่หนีบอยู่บนคลิปบอร์ดให้ผมอ่านและบอกให้ผมไปพบกับคนๆ นี้ตามหมายเลขห้องที่เขียนอยู่ได้เลย เพราะว่าเขาต้องไปประชุมในอีก 15 นาที จึงไม่มีเวลาไปส่งผม

ผมเดินไปตามทางเดินพร้อมกับกวาดสายตาอ่านประวัติของนายทหารหนุ่มคนนี้ไปด้วย เขาอายุมากกว่าผมแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น และเมื่อผมเปิดประตูห้องออกหลังจากเคาะบอกคนข้างใน ผมก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบกับชายหนุ่มหน้าตาดียิ่งกว่าในรูปอีกไม่รู้กี่เท่านอนเอนหลังอ่านหนังสืออยู่บนเตียง ผมคิดว่าผมมาผิดห้องจนต้องก้มลงดูหมายเลขห้องบนเอกสารและเงยหน้ากลับขึ้นไปดูกระดาษที่แปะอยู่บนประตูอีกครั้ง

“เอ่ออ... สวัสดีครับ พี่รติบดีใช่มั้ยครับ”

“เรียกว่าคิวก็ได้” เขาตอบพลางวางหนังสือลงข้างตัว

“ผมชื่อพลุครับ” ผมปิดประตูและเดินเข้าไปหาเขาที่เตียง

เขามองผมด้วยสายตาที่แลดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่นัก แต่บางทีผมอาจจะแค่คิดไปเองก็ได้ล่ะมั้ง

“เราต้องไปกันกี่โมง” เขาถามขึ้น

“เอ่ออ...” ผมพลิกดูตารางที่พี่โจให้ผมมา “สิบโมงครึ่งเราจะไปที่ยิมแล้วก็ออกกำลังตามตารางที่พี่โจให้ผมมา... มั้งครับ”

“มั้งเหรอ” เขานิ่วหน้า

“ก็ประมาณนั้นแหละครับ”

“แล้วระหว่างนี้ล่ะ”

ผมยักไหล่ “ไม่รู้สิ พี่อยากไปไหนหรือทำอะไรรึเปล่าล่ะ”

“ไม่ล่ะ” เขาตอบ

“งั้นเรามานั่งคุยกันก็แล้วกันเนอะ ดีมะ จะได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นอีกหน่อย” ผมลากเก้าอี้มานั่งลงข้างๆ เตียง พยายามจะทำตัวเป็นมิตรที่สุดเท่าที่จะทำได้

“พี่ขออ่านหนังสือดีกว่า” เขาหยิบหนังสือขึ้นมาถือไว้อีกครั้ง

“ก็แล้วแต่ครับ ผมไงก็ได้” ผมหยิบรีโมทที่วีที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงขึ้นมากดเปิดทีวี ก่อนจะหันไปมองหน้าเขาเป็นเชิงขออนุญาต

พี่คิวพยักหน้าให้ผมเบาๆ อย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก ผมแอบลอบถอนหายใจเบาๆ และอดคิดไม่ได้ว่าถึงพี่เขาจะหน้าตาดี แต่ดูเหมือนมนุษยสัมพันธ์จะไม่ได้ดีเหมือนหน้าแฮะ

เราสองคนนั่งกันอยู่เงียบๆ ครู่ใหญ่ ซึ่งในระหว่างนั้น ผมที่ดูทีวีอยู่ก็กดรีโมททีวีเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เจอโฆษณา

“นิสัยเสียนะเราเนี่ย เหมือนเด็กๆ ไม่มีผิด” จู่ๆ พี่คิวก็พูดขึ้น

“หึๆ ติดนิสัยมั้งครับ แต่ก็เป็นเฉพาะเวลาเบื่อๆ เท่านั้นแหละ”

“เบื่อแล้วมาทำอาสาสมัครแบบนี้ทำไม”

“ไม่ทำก็เรียนไม่จบน่ะสิ”

“อ้อ” เขาตอบสั้นๆ ก่อนจะกลับไปอ่านหนังสือต่อ

ผมลอบถอนหายใจเบาๆ อีกครั้งแล้ววางรีโมทลงข้างเตียง ผมนั่งดูข่าวช่วงเช้าอย่างไม่ได้สนใจรายละเอียดมากนัก จนกระทั่งนักข่าวเริ่มอ่านข่าวจับมือวางระเบิดที่ภาคใต้ได้อีกคนหนึ่ง ผมก็หันไปมองพี่คิวตามสัญชาติญาณทันที ซึ่งเขาเองก็กำลังสนใจรายละเอียดของข่าวอยู่พอดีด้วยเหมือนกัน แต่แทนที่เขาจะพูดหรือแสดงความคิดเห็นอะไรออกมา ผมกลับเห็นแต่สีหน้าที่เรียบเฉยและดวงตาที่แลดูเกือบจะว่างเปล่า มันดูเย็นชาเสียจนผมยังรู้สึกกลัว

พี่คิวเหลือบหันมามองทางผมและเห็นว่าผมกำลังมองดูเขาอยู่

“มีอะไร” เขาถาม

“เปล่าครับ” ผมส่ายหน้า

“ดีแล้ว” เขาทำท่าจะยกหนังสือขึ้นอ่านต่อ

“พี่โกรธมั้ย” ผมถามออกไป

เขานิ่งไปพักหนึ่ง “หมายถึงโกรธอะไร”

“ก็โกรธ... หรือเกลียดแค้น ไอ้คนที่ทำแบบนี้กับพี่น่ะ”

“ไม่หรอก แต่โกรธคนที่ทำแบบนี้กับประเทศของเรามากกว่า” เขาหันมามองหน้าผม “พี่โจบอกเราแล้วใช่มั้ยว่าจะต้องช่วยพี่เวลาออกกำลังกายน่ะ”

“ใช่ครับ บอกแล้ว” ผมพยักหน้า

“แล้วพอรู้เรื่องออกกำลังอะไรพวกนี้บ้างรึเปล่า... แต่เท่าที่ดูก็น่าจะรู้มั้ง ใช่มั้ย”

“รู้สิ ผมเองก็เข้าฟิตเนสประจำ และก่อนนี้ก็เคย... เป็นนักกีฬาด้วย”

“ดีแล้ว” เขาพยักหน้าเบาๆ “เราไปกันเลยได้มั้ยวะ ไม่อยากปล่อยเวลาผ่านไปเฉยๆ”

“ครับ ก็คงได้มั้ง ถ้าไม่มีคนใช้ห้องอยู่ก่อนนะ” ผมลุกขึ้นยืนและเดินไปเลื่อนรถเข็นมาเทียบที่ข้างเตียง

เขานิ่วหน้า “ทำแบบนี้มันจะดีเหรอ”

“เฮอะ อะไรครับ”

“เลื่อนรถเข็นมาให้แบบนี้น่ะ อย่างน้อยพี่โจก็ไม่ทำแน่ๆ เค้าไม่ได้บอกมารึไง”

“เปล่านี่ครับ งั้นผมเดาว่าผมคงไม่ต้องช่วยอุ้มหรือหิ้วปีกพี่ลงมานั่งที่รถด้วยใช่มั้ยล่ะ”

“ไม่ต้อง” เขาตอบเสียงตึงๆ พลางยกตัวเองลงมานั่งลงบนรถเข็น

เราสองคนเดิน/เคลื่อนรถเข็น ไปตามทางเดินด้วยกัน ก่อนหน้านี้ผมได้อ่านรายงานของพี่โจถึงเรื่องความกังวลของสายตาคนรอบข้างของพี่คิวมาแล้ว ดังนั้นผมจึงคอยสังเกตปฏิกิริยาที่คนอื่นๆ มีต่อเขา รวมทั้งปฏิกิริยาของเขาที่มีต่อสายตาของคนเหล่านั้นด้วย แต่เท่าที่ผมเห็น ดูเหมือนว่าทุกคนจะเป็นมิตรกับเราทั้งคู่ดี พวกเขาต่างก็ยิ้มแย้ม ทักทาย และไม่มีใครแม้แต่คิดจะชำเลืองมองดูขาข้างที่หายไปของเขาเลยสักนิดเดียว

“ผมไม่รู้ว่าพี่สังเกตรึเปล่า แต่ผมว่าไม่มีใครเค้าสนใจว่าพี่เป็นแบบนี้สักคนเดียวเลยนะ” ผมพูดขึ้นห้วนๆ นึกขึ้นได้ว่าพี่โจเองก็บอกผมมาแล้วว่าผมไม่ควรปฏิบัติกับคนๆ นี้อย่างอ่อนโยนหรือใจดีจนเกินไป

เขาเงยหน้าขึ้นมองผมด้วยแววตาและสีหน้าบึ้งตึง

“ทุกคนที่ทักทายเรา ไม่มีใครที่แม้แต่จะเหลือบไปมองขาพี่ด้วยซ้ำนะครับ”

เขาไม่ตอบอะไรผม บางทีผมอาจจะพูดเกินไปหน่อย หรืออาจจะใช้คำผิดไป ดังนั้นผมจึงตัดสินใจลองพยายามดูใหม่อีกครั้งด้วยหัวข้อคุยอื่น

“อ้อ ว่าแต่พี่มีอะไรอยากจะได้รึเปล่า เอาไว้ผมจะซื้อเข้ามาให้...”

เขาเงียบไปพักหนึ่ง “จริงๆ ก็มีอยู่อย่างที่อยากได้นะ”

“อะไรครับ”

“ก็... กางเกงในน่ะ ที่นี่แทบไม่มีเลย มีแต่บ็อกเซอร์ และตัวที่มีอยู่ก็ใส่ไม่ดีแล้ว อยากได้ผ้าที่มันดีๆ หน่อย”

“โอเค แล้วปกติพี่ใส่ไซส์อะไรล่ะ”

“L”

“แน่ใจนะ” ผมเลิกคิ้วขึ้น เพราะเท่าที่ดู ผมว่าเขาไม่น่าจะสูงเกิน 175 เซนติเมตร ด้วยซ้ำ ในขณะที่ผมสูงมากกว่าเขาอย่างน้อยก็ 10 เซนติเมตร แต่ก็ยังใส่กางเกงในไซส์เดียวกับเขาอย่างนั้นเหรอ

เขาทำหน้าบึ้งอีกครั้ง “ถ้าเอาผ้ายืดๆ มามันก็ใส่ได้ทั้งนั้นแหละ เอามาตามที่บอกเหอะน่ะ ขนาดกางเกงในมันวัดที่เอว และถึงเห็นแบบนี้แต่พี่ก็ไม่ได้เอวเล็กขนาดจะใส่ไซส์ M หรอกนะเว้ย”

“ครับๆ ขอโทษที แต่ผมก็ไม่ได้คิดไปถึงอย่างอื่นหรอกน่า”

การออกกำลังกายเป็นไปด้วยดี พี่คิวดูมุ่งมั่นมากกว่าที่ผมคิดเยอะ เพราะตอนแรก เมื่อเดาจากการพูดจาและท่าทางของเขาแล้ว ผมคิดว่าเขาอาจจะยังไม่ค่อยมีกำลังใจเท่าไหร่เสียอีก แต่ปรากฏว่าเขาสามารถออกกำลังตามตารางที่พี่โจให้มาได้อย่างครบถ้วนโดยไม่มีบ่นหรือแสดงสีหน้าท้อแท้เลยแม้แต่นิดเดียว

เมื่อเขาเหงื่อออกจนเสื้อที่ใส่อยู่เปียกชุ่มแล้ว เขาก็ถามผมว่าจะขอถอดเสื้อออกได้รึเปล่า เพราะพี่โจเคยพูดไว้ว่าเขาสามารถถอดเสื้อออกกำลังกายในห้องนี้ได้

“ถ้าพี่โจว่าได้ ก็คงได้แหละครับ” ผมยักไหล่

เขาชูแขนขึ้นและถอดเสื้อยืดออก เมื่อเห็นร่างกายของเขาแล้ว ลมหายใจของผมถึงกับขาดห้วงไปนิดหน่อยทันที ถึงผมจะพอดูรู้ว่าเขาหุ่นดีอยู่แล้ว แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับเมื่อได้เห็นร่างกายของเขาโดยปราศจากเสื้อที่คอยปกปิดอยู่อย่างตอนนี้ เขาดูตัวหนากว่าที่ผมคิดไว้มาก น่าจะเกิดจากการออกกำลังอย่างหนักมาตั้งแต่ก่อนเป็นทหารเสียอีกด้วยซ้ำ กล้ามอกของเขาเป็นลูก และกล้ามท้องก็เป็นลอนสวย ผมว่าเขาแทบจะเป็นนายแบบได้สบายๆ เลยนะเนี่ย

เขาออกกำลังต่ออีกครู่หนึ่งจนกระทั่งเสร็จครบทุกอย่าง จากนั้นก็หันไปมองยังห้องล็อคเกอร์และหันกลับมาหาผม “เฮ้ย พลุ ตรงนั้นมีห้องอาบน้ำอยู่ไม่ใช่เหรอ ดูเหมือนจะไม่มีคนใช้เลยรึเปล่า ถ้าเกิดเราบอกพี่โจว่าพี่จะขอใช้ที่นี่ด้วยได้มั้ย”

“ไม่รู้ดิพี่ คือก็ถามให้ได้นะ แต่มันยังใช้ได้เหรอ”

“ไม่รู้เหมือนกัน พี่จะไปรู้ได้ไงล่ะวะ”

“งั้นขอผมไปเช็คดูก่อนแล้วกัน” ผมเดินเข้าไปตรงห้องล็อคเกอร์ ลองเข้าไปในส่วนของห้องอาบน้ำที่มีอยู่แค่สองห้อง และเมื่อทดลองเปิดฝักบัวดู สายน้ำเย็นๆ ก็ไหลออกมา ถึงห้องอาบน้ำจะดูเก่าไปบ้าง แต่ก็แลดูสะอาดดี

“ใช้ได้นะ พี่อยากจะอาบน้ำเลยรึเปล่าล่ะ” ผมเดินกลับมาถามเขา

“ไม่ต้องขออนุญาตพี่โจก่อนรึไง”

“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวผมคุยให้ทีหลังเอง”

“สบู่ ผ้าเช็ดตัวอะไรก็ไม่มีนะ”

“ผมเห็นสบู่ก้อนอยู่ในห้องน้ำ ส่วนผ้าขนหนูในล็อคเกอร์มีอยู่แล้ว เยอะแยะไป เอามาแค่สองผืน คงไม่มีใครว่าหรอก แต่ผืนอาจจะเล็กหน่อยเท่านั้นเอง”

“สองผืนเหรอ เอามาทำไมสองผืน” เขาขมวดคิ้ว

“ผมปล่อยให้พี่อาบน้ำคนเดียวไม่ได้หรอกนะครับ”

“แต่ที่ห้องพี่ก็อาบคนเดียว”

“แต่ที่นี่ไม่มีปุ่มเรียกพยาบาลฉุกเฉินเหมือนในห้องผู้ป่วยนะ”

“แล้วเราจะไม่ได้แค่ยืนรออยู่ข้างนอกรึไง อยู่ดีๆ จะต้องมาอาบน้ำไปด้วยทำไม”

“ผมไม่ถือหรอก และต่อให้ยืนอยู่ข้างนอก ถ้าพี่เกิดล้มหรือเป็นอะไรไปขึ้นมา ผมก็ช่วยไม่ทันน่ะสิ และคราวนี้แหละจะเป็นเรื่องใหญ่แน่”

“โอเค ถ้างั้นก็ไป” เขาพยักหน้า จากนั้นก็กระโดดขาเดียวตรงไปยังห้องน้ำ ส่วนผมก็เดินตามเขาไปติดๆ

“พี่ถอดเสื้อผ้ารอเลยก็ได้ แต่อย่าเพิ่งเข้าไปในห้องน้ำจนกว่าผมจะบอกล่ะ ขอผมหยิบผ้าขนหนูก่อน” ผมเดินไปยังตะกร้าใส่ผ้าสะอาดและหยิบผ้าขนหนูสีขาวออกมาสามผืน ผืนหนึ่งสำหรับปูให้เขายืนบนพื้นห้องน้ำ ส่วนอีกสองผืนเป็นของเรา

เมื่อผมเดินเข้าไปในห้องน้ำ ผมแทบจะเผลอผงะไปเมื่อเห็นร่างกายเปลือยเปล่าของเขาที่ยืนรอผมอยู่ นอกจากร่างกายที่สมส่วนของเขาแล้ว ไอ้น้องชายของเขาก็ยังใหญ่กว่าของใครๆ ที่ผมเคยเห็นมาทั้งหมดอีกด้วย

“อะไร” เขาพูดขึ้น

“เออะ... เอ่อ ขอโทษทีพี่ ผมไม่ได้ตั้งใจ” ผมเขินจนแทบพูดไม่ถูก

“ช่างเถอะ ชินแล้ว” เขายักไหล่

“ชิน... ชินกับการที่คนเห็นไอ้นั่นของพี่น่ะเหรอ”

“ก็เป็นทหาร มันก็เห็นกันและกันแก้ผ้าตลอดนั่นแหละ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

ผมไม่กล้าจินตนาการตอนที่มันแข็งตัวเลย เพราะขนาดตอนปกติแบบนี้ เท่าที่วัดด้วยสายตา ผมว่าก็น่าจะราวๆ ห้านิ้วกว่าได้แล้วมั้ง

“ไม่หนักบ้างเหรอพี่ พกปืนใหญ่ติดตัวไปไหนมาไหนด้วยตลอดแบบนี้” ผมหัวเราะเบาๆ

“นั่นก็ชินแล้วเหมือนกัน”

“โห ไม่รู้พี่ชินกับมันได้ไงว่ะ พูดตรงๆ”

“ก็ต้องชินให้ได้เหมือนกับพยายามเคยชินที่เหลือขาข้างเดียวแบบนี้นี่แหละ”

“ผมขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย” ผมเกริ่นพร้อมกับเริ่มถอดเสื้อออก

“เรื่องอะไรล่ะ”

“พี่เสียขาข้างนั้นได้ยังไง”

“IED รู้จักรึเปล่า”

ผมพยักหน้าในขณะที่ตัวเองกำลังดึงกางเกงในลง ถึงผมจะค่อนข้างมั่นใจกับขนาดของตัวเองพอสมควร แต่ก็เทียบกับเขาไม่ได้เลยจนผมแอบรู้สึกอายขึ้นมานิดๆ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ผมก็เคยแก้ผ้าอาบน้ำกับเพื่อนผู้ชายมาหลายต่อหลายครั้งแล้วแท้ๆ

“ก็นั่นแหละ โดนตอนเข้าไปไล่ล่าพวกมันในป่าน่ะ” เขาตอบ “แล้วพอไปใกล้ฐานของพวกมัน มันก็จุดชนวนระเบิด ยังดีที่ไม่ได้โดนตรงๆ ไม่งั้นคงตายกันมากกว่านี้”

“แปลว่ามีทหารที่ตายเพราะระเบิดครั้งนี้ด้วยเหรอครับ”

“ตายสอง แต่บาดเจ็บหลายคน” เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูห่างไกล

“แล้วจับพวกมันได้บ้างรึเปล่า” ผมเดินเข้าไปตั้งใจจะช่วยพยุงเขาเข้าห้องน้ำ แต่เขาเอี้ยวตัวหนีและกระโดดขาเดียวเข้าไปในห้องน้ำด้วยตัวเอง

“โดนยิงตายไปหลายคนแล้ว และหลังจากนั้นก็โดนระเบิดตัวเองตายไปอีกคนตอนมันกำลังจะฝังระเบิดที่พุ่มไม้”

ผมเปิดฝักบัวก่อนจะหันไปหาเขา “โอเค แต่อยู่ในนี้ ห้ามพี่กระโดดขาเดียวอีกล่ะ มันลื่น ไม่เหมือนกับข้างนอก และผมก็ต้องอยู่ข้างๆ พี่ตลอดด้วย”

เขาพยักหน้า ผมจึงเขยิบตัวออกให้เขาได้เขยิบตัวมายืนอยู่ใต้ฝักบัวโดยมีผมยืนประกบอยู่ข้างๆ ในระยะที่สามารถคว้าตัวของเขาเอาไว้ได้ทุกเวลา แต่ผมไม่ได้สัมผัสร่างกายของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว

ผมสบโอกาสได้สำรวจร่างกายของเขาอย่างใกล้ชิด ในใจก็พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ตื่นเต้นจนเกินไปแล้วทำให้เขาจับได้ว่าผมเป็นเกย์ ผมไล่สายตามองเรือนร่างสมส่วนของเขาอย่างระมัดระวัง และเพิ่งสังเกตเห็นรอยแผลเป็นใหม่ๆ อยู่ที่สะโพก รวมทั้งสีข้างด้านขวาของเขาอีกด้วย

เขายืนอยู่ใต้กระแสน้ำอุ่นสักพัก ก่อนจะหมุนตัวเพื่อหันไปหยิบสบู่ก้อน แล้วจู่ๆ ก็เสียการทรงตัว ผมรีบเหยียดแขนออกไปช่วยพยุงเขาเอาไว้อย่างทันท่วงที

“เผลอจะใช้ขาข้างซ้ายอีกแล้ว ขอโทษที” เขาพูดอายๆ

“สมองมันยังไม่ชินมั้งครับ แต่ก็นี่แหละ ผมถึงจะปล่อยให้พี่อาบน้ำอยู่ในนี้คนเดียวไม่ได้” ผมพูดด้วยความตื่นเต้น ผิวหนังของเขาที่แนบชิดอยู่กับร่างกายของผมทำให้ใจของผมเต้นแรง กล้ามเนื้อของเขานั้นแข็งแกร่ง แต่ผิวหนังกลับเนียนนุ่มอย่างไม่น่าเชื่อ

“ปล่อยได้แล้วล่ะ พี่ยืนเองได้แล้ว”

“ค... ครับ ขอโทษที” ผมค่อยๆ ดันตัวเขาให้ยืนบนขาของตัวเอง

“ตอนปกติก็ไม่เคยคิดหรอก แต่พอมีขาเดียวแล้วถึงได้รู้สึกตัวว่าเวลามันต้องทั้งรับน้ำหนักและทำงานทุกอย่างโดยไม่มีขาอีกข้างคอยช่วยเนี่ย แม่งเมื่อยขนาดไหน”

“พี่อยากจะเอนพิงผมหรือให้ผมช่วยพยุงเพื่อผ่อนน้ำหนักบ้างรึเปล่า”

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวรีบๆ อาบให้เสร็จแล้วไปนั่งเช็ดตัวข้างนอกดีกว่า”

“ครั้งหน้าผมเอาเก้าอี้มาให้พี่นั่งในนี้ดีมั้ย”

“ไม่ต้อง ขาข้างนี้มันต้องฝึกและต้องเคยชินกับการทำงานหนักขึ้นอีกเท่าตัวไวๆ อย่างน้อยๆ ก็จนกว่าจะได้ขาเทียมนั่นแหละ”

เขาพูดพลางฟอกสบู่ไปพลาง ผมต้องพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะไม่มองเวลาที่เขาทำความสะอาดบริเวณส่วนนั้นของเขา

หลังจากที่เขาล้างสบู่เสร็จ ผมก็เดินตามติดเขาแบบห่างแค่ไม่กี่นิ้วออกจากห้องอาบน้ำ ผมยื่นผ้าเช็ดตัวให้เขา และยืนมองดูเขานั่งเช็ดตัวอยู่บนม้านั่งในขณะที่ผมเองก็กำลังเช็ดร่างกายให้แห้งอยู่เช่นเดียวกัน

เมื่อแต่งตัวเสร็จ เราสองคนก็กลับมาที่ห้องของเขา หลังจากที่เขาขึ้นไปนั่งบนเตียงเรียบร้อยแล้ว เขาก็เอนหลังลงบนหมอนและถอนหายใจออกมาเสียงดัง ดูท่าว่าเขาจะเหนื่อยกับการออกกำลังและการอาบน้ำเมื่อครู่อยู่ไม่น้อย

“คงเป็นเพราะเพิ่งออกกำลังมาเยอะมั้ง ก็เลยเหนื่อยขนาดนี้น่ะ”

เขาทำหน้าย่นและพ่นลมหายใจออกทางจมูกอย่างประชดประชัน “คงงั้นมั้ง”

“การรับความช่วยเหลือจากคนอื่นบ้างมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายหรอกนะพี่”

“ใช่ แต่พี่จะขอความช่วยเหลือจากคนอื่นก็ต่อเมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น”

ผมนั่งลงบนโซฟา “พี่หุ่นแบบนี้มาตั้งแต่ก่อนเป็นทหารใช่รึเปล่า หรือว่าหลังจากฝึก”

“ก่อนหน้านานแล้ว”

“ตั้งแต่มัธยมเหรอ”

“สมัยมัธยมยังผอมอยู่เลย ก่อนเข้ามหาวิทยาลัยแป๊บนึงนั่นแหละถึงเริ่มเล่นกล้าม เริ่มออกกำลังจริงจัง” เขาหันมาหาผม “แล้วเราล่ะ”

“ผมหุ่นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วล่ะ ก็สูงใหญ่กว่าเด็กวัยเดียวกันอะ แต่ส่วนมากจะเล่นบาสฯ ไม่ค่อยได้เข้าฟิตเนสอะไรหรอก นั่นเพิ่งเริ่มเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้เอง” ผมหันไปหยิบเอกสารที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมาจดอะไรลงไปนิดหน่อย จากนั้นก็ยืนขึ้น “เดี๋ยวผมมานะ ไปรายงานพี่โจเรื่องการออกกำลังเมื่อกี้นี้ก่อน”

หลังจากนั้นอีกไม่ถึง 10 นาที ผมก็นั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องทำงานของพี่โจ เขาถามถึงความรู้สึกของผมที่มีต่อพี่คิวเป็นอย่างแรก

“ก็ดีครับ ดื้อแล้วก็... ขวางโลกใช้ได้”

“ดื้อหรือว่ามุ่งมั่น”

“ผมว่ามันก็เหมือนกันมั้งครับ ในกรณีของพี่เค้าน่ะนะ” ผมยักไหล่

“แล้วไอ้คำว่า ‘ขวางโลก’ เนี่ย ไม่มีคำอื่นเลยรึไง”

ผมคิดอยู่ครู่หนึ่ง “จะให้ใช้คำว่าอะไรดีล่ะครับ ‘กวนตีน’ ได้รึเปล่า หรือ ‘อวดดี’ ฟังดูดีกว่า”

พี่โจหัวเราะเบาๆ ทันที “ผมว่าคุณสองคนมันก็พอกันทั้งคู่นั่นแหละ”

“ผมว่าผมไม่ได้นิสัยเหมือนเค้านะ แต่ก็ช่างเถอะครับ ก่อนที่ผมจะลืม ผมจะบอกว่าเมื่อกี้ผมให้เค้าอาบน้ำที่ห้องน้ำในยิมนะครับ แล้วเค้าก็ฝากผมขออนุญาตพี่สำหรับครั้งต่อๆ ไปด้วย”

พี่โจเลิกคิ้วขึ้น “เฮ้ย! ไม่ได้นะ ยังอันตรายเกินไป ยังไม่ใช่ตอนนี้”

“แต่เมื่อกี้ผมเข้าไปอาบกับเค้าด้วยนะ คอยดูอยู่ใกล้ๆ ตลอด”

“อ้อ ถ้างั้นก็แล้วไป แต่คราวหลังให้มาบอกผมก่อนทุกครั้ง เข้าใจรึเปล่า”

“ครับ ผมขอโทษครับ”

พี่โจไม่ได้ต่อว่าอะไรผมเรื่องห้องอาบน้ำ แล้วก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้นอีกเลย เราคุยกันถึงสิ่งที่ผมต้องปฏิบัติกับพี่คิวและหน้าที่ของผมที่ต้องทำในแต่ละวัน รวมทั้งเรื่องของตารางการออกกำลังกายของเขาในครั้งต่อๆ ไป

วันถัดมา พี่โจมาช่วยดูแลเขาออกกำลังคู่กับผม รวมทั้งครั้งถัดมาก็ด้วย แต่เขาอยู่กับเราแค่ครู่เดียวเท่านั้น เพราะต้องไปพบกับผู้ป่วยรายอื่น เมื่อเราออกกำลังกายเสร็จและกลับมาถึงห้องแล้ว พี่คิวก็ถามผมเรื่องกางเกงในว่าผมลืมไปแล้วหรือเปล่า

“ไม่ลืมหรอก เอ้า นี่” ผมหยิบกล่องกางเกงในออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้เขา

“กล่องนี้มันมีแค่ตัวเดียวนี่” เขาพลิกกล่องไปมา “และยี่ห้อนี้มันก็แพงไม่ใช่เหรอวะ”

“ไม่เป็นไรหรอก ขอให้พี่ชอบเถอะ และที่ผมซื้อมากล่องเดียวก่อนก็เพื่อจะให้พี่ดูว่าชอบเนื้อผ้าไลคราแบบนี้รึเปล่า รวมทั้งสี ทรง ขนาด อะไรพวกนั้นด้วย ถ้าเกิดว่าชอบ ก็จะได้ซื้อมาให้อีก”

“ขอบใจมาก”

“ไม่ต้องขอบใจผมหรอกครับ ลองสวมดูก่อนเหอะว่าพอดีรึเปล่า”

เขาแกะกล่องออกและหยิบมันขึ้นมาดู ท่าทางลังเล

“อะไร อย่าบอกนะว่าเขินผม ไม่กล้าเปลี่ยนให้ผมดูน่ะ ที่ค่ายไม่ได้แก้ผ้าเห็นกันหมดแล้วประจำหรอกรึไง”

เขาหันมามองผมด้วยดวงตาดุๆ “แต่ที่นี่มันโรงพยาบาลนะเว้ย ลองช่วยมองไปรอบๆ ซิว่ามันมีอะไรเหมือนค่ายทหารตรงไหน ห้องน้ำรึก็ไม่ใช่”

“อ้าว แล้วมีผมยืนอยู่คนเดียวมันน่าอายมากกว่ามีผู้ชายอีกนับสิบคนแก้ผ้าอยู่ด้วยกันเหรอ งั้นจะให้ผมไปตามผู้ชายมายืนห้อมล้อมพี่ให้เอามั้ย เผื่อจะทำให้พี่รู้สึกสบายใจขึ้น คุ้นเคยมากขึ้น”

“กวนส้นตีน” เขาพูดเบาๆ แต่เน้นๆ

ผมยักคิ้วกลับให้เขาเพราะตรงกันข้ามกับคำพูดเมื่อครู่ ผมเห็นว่าเขามีรอยยิ้มที่มุมปากนิดๆ ด้วย

เขาเขยิบตัวไปนั่งอยู่ขอบเตียงและถอดกางเกงขาสั้นที่ใส่อยู่ออก ผมเลื่อนผ้าม่านมาปิด แต่ก็ยืนอยู่ข้างในนั้นกับเขา เมื่อเขาถอดกางเกงออกไปแล้ว ผมก็เดินไปหยิบมันขึ้นจากพื้น ทำให้หน้าของผมอยู่ห่างจากร่างกายเปลือยเปล่าของเขาแค่ไม่กี่นิ้ว

“ดูใหญ่ดีเหมือนกันนะเนี่ย” ผมพูดขึ้น เขาจึงหรี่ตามองผมด้วยสีหน้าบึ้งตึงทันที “ผมหมายถึงต้นขาพี่น่ะ” ผมหัวเราะ

เขากระโดดลงจากเตียงและใส่กางเกงในที่ผมซื้อมาให้ ไอ้น้องชายของเขาถูกพับหัวลงตุงอยู่เต็มเป้ากางเกง เนื้อผ้าสีขาวบริสุทธิ์ถูกยืดออกแนบเข้ากับร่างกายของเขาพอดิบพอดี ทำให้เขาดูเซ็กซี่ยิ่งกว่าตอนไม่ใส่อะไรเลยเสียอีก

“อึดอัดมั้ยเนี่ย เล็กไปรึเปล่า” ผมถาม

“ไม่อะ พอดีเลย ใส่สบายดีด้วย” เขาก้มลงสำรวจตัวเองพร้อมเอี้ยวตัวไปมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับผม “ตอนนี้ขอบใจได้รึยัง”

“ตามสบายเลย” ผมยกมือทั้งสองข้างขึ้น

เขาหัวเราะเบาๆ “ขอบใจมาก ตัวเท่าไหร่วะ เดี๋ยวคืนเงินให้”

“ไม่ต้องหรอก ผมซื้อให้”

“เฮ้ย แต่...”

“จะเอาปะ ถ้าไม่งั้นผมไม่ซื้อมาแล้วนะ”

เขามีสีหน้าลังเล “โอเค งั้นติดไว้ก่อนแล้วกัน วันหลังจะใช้คืนให้”

ผมยักไหล่ และยืนมองดูเขาหยิบกางเกงขาสั้นที่ผมเพิ่งวางลงบนเตียงขึ้นมาสวม ในใจก็นึกอยากบอกให้เขาใส่กางเกงในตัวเดียวแบบนี้ไปตลอดทั้งวัน แต่ผมรู้ดีว่าถ้าหากผมพูดแบบนั้นออกไปล่ะก็ คงต้องโดนเขาด่าและทำหน้ารังเกียจใส่แน่นอน

“ค่อยสบายใจขึ้นหน่อย ไม่งั้นแม่งก็โตงเตงเกิน รู้สึกหวิวๆ มาหลายวันแล้ว” เขาพูดพลางยิ้มกว้างให้ผม เป็นรอยยิ้มแบบยิ้มจริงๆ เป็นครั้งแรก... และมันก็ทำให้ผมรู้สึกหวิวๆ ในใจด้วยเหมือนกัน

ออฟไลน์ KaorPaor

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +140/-4
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
«ตอบ #16 เมื่อ31-10-2012 22:11:44 »

จิ้มคุณต้น

ออฟไลน์ maru

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3553
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +162/-7
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
«ตอบ #17 เมื่อ01-11-2012 07:29:03 »

รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ IIMisssoMII

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-2
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
«ตอบ #18 เมื่อ01-11-2012 09:25:08 »

ชอบคะ เรื่องนี้ มาเเนวที่ไมเคยอ่านมาก่อน
น้องพลุนี่ คงเคย มีอาการบาดเจ็บที่ขาเเน่เลย
รอตอนต่อไปคะ บวกหนึ่งเลย

ออฟไลน์ BaoBao

  • Moderator
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +485/-2
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
«ตอบ #19 เมื่อ01-11-2012 13:59:19 »

 :oni1: คลื่นลมยังสงบ ทะเลกำลังสวยงาม

เอร๊ยยย....รอตอนต่อไปคร่า

ปล. เห็นด้วยกับพ่อหนุ่มบุรุษก.ภ.บ.บ บางครั้งยิ่งใส่เสื้อผ้า ยิ่งดูเซะกุซี่มากกว่า...ถอดจนเหี้ยน..( :z1: แค่บางอารมณ์ เหอเหอเหอ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
« ตอบ #19 เมื่อ: 01-11-2012 13:59:19 »





ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
«ตอบ #20 เมื่อ01-11-2012 15:03:12 »

พี่คิวนี่กำลังใจดีมาก ๆ เลย

White Sherbet

  • บุคคลทั่วไป
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
«ตอบ #21 เมื่อ01-11-2012 17:20:58 »

แนวนี้เพิ่งเคยอ่านเป็นเรื่องแรกเลยนะคะเนี่ย น่าสนใจๆๆ ^_^

รอตอนต่อไปนะคะ

ป.ล.อ่านตอนนี้แล้วอยากกินห่อหมกง่ะ ว่าแล้วก็วิ่งไปตลาดหน้าปากซอย..... :pigha2:  :haun4:

ออฟไลน์ Monkey D lufy

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +245/-4
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
«ตอบ #22 เมื่อ01-11-2012 17:26:30 »

ชอบๆค่ะ

รออ่านตอนต่อไปนะค่ะ

ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
«ตอบ #23 เมื่อ01-11-2012 18:01:57 »

ขอเข้ามาอ่านด้วยครับ

ออฟไลน์ patek

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
«ตอบ #24 เมื่อ02-11-2012 03:22:46 »

ขอบคุณมากคับที่มีนิยายให้อ่านตลอดชอบทุกเรื่องที่คุณต้นแต่งนะคับ มาต่ออีกนะคับและเป็นกำลังใจให้คนเขียนตลอดไปคับ

ออฟไลน์ runma

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 169
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
«ตอบ #25 เมื่อ02-11-2012 16:17:38 »

น้องพลุ มีแต่คนติดใจของ..ของคิวกันเนอะ หึหึหึ และพี่คิวก็เริ่มยิ้มได้แล้ว
พลุน่าจะเคยได้รับบาดเจ็บจนเล่นกีฬาไม่ได้แน่เลย  เดี๋ยวคงได้เป็นกำลังใจ
ให้กันไป ให้กันมา อืมมม  :impress2:

namtarn11

  • บุคคลทั่วไป
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
«ตอบ #26 เมื่อ02-11-2012 17:39:25 »

เขินอ่ะ ได้เห็นของคิว อร๊ายยยยยย

TimelessOne

  • บุคคลทั่วไป
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
«ตอบ #27 เมื่อ04-11-2012 02:06:47 »

พลุนี่เรียนวิศวะใช่ปะครับ ?
เห็นชื่อ พิทักษ์กลไกล 555

ออฟไลน์ mankey

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
«ตอบ #28 เมื่อ04-11-2012 09:27:47 »

อ๊ากกกกกกกก อ่านตอนนี้แล้วเขินอ่ะ ><

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
«ตอบ #29 เมื่อ04-11-2012 20:10:36 »

ตอนที่ 2

สองสัปดาห์ผ่านไป พี่คิวเริ่มที่จะเปิดใจและสนิทกับผมมากขึ้น เขาดูสบายใจที่จะพูดคุยกับผมมากกว่าในตอนแรกๆ รวมถึงเวลาอาบน้ำก็ด้วยเช่นกัน ที่จริงผมไม่จำเป็นต้องเข้าไปอยู่ในห้องอาบน้ำกับเขาตลอดเวลาอีกแล้ว แต่เพื่อความปลอดภัย ผมจึงยังจำเป็นต้องทำแบบนั้นอยู่ ซึ่งส่วนหนึ่งมันก็เป็นความต้องการของผมเอง ในใจลึกๆ ผมหวังว่าจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับเขามากขึ้น ได้มีอะไรกับเขา แต่มันก็ไม่เคยเกิดขึ้นเลย จนกระทั่งวันหนึ่ง โอกาสนั้นก็มาถึงโดยที่ผมไม่ได้ตั้งใจวางแผนให้เป็นอย่างนั้นแม้แต่นิดเดียว

เรากำลังอยู่ในห้องอาบน้ำหลังจากที่เขาออกกำลังกล้ามเนื้อขาตามโปรแกรมที่พี่โจออกแบบมาให้ และผมก็รู้ได้เลยว่ามันคงหนักมากสำหรับเขา เพราะผมไม่เคยเห็นพี่คิวดูเหนื่อยขนาดนั้นมาก่อน แต่ถึงอย่างไรก็ตาม จากโปรแกรมการฝึกฝนตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ทำให้ขาของเขาแข็งแรงขึ้น และส่งผลให้เขามั่นใจในตัวเองมากขึ้นด้วย เว้นแต่ความความมั่นใจในพละกำลังนั้นกลับทำให้เขาเคลื่อนไหวตัวมากเกินความจำเป็น จนทำให้เขาลื่นและเสียศูนย์จนเกือบล้มลงกระแทกพื้น โชคดีที่ผมรีบกระโดดเข้าไปคว้าตัวของเขาเอาไว้ได้ทัน ผมดันเขาเข้าไปจนติดกับผนังห้องน้ำ เพื่อให้เขาได้ทรงตัวอีกครั้ง

“ตัวพี่ยังลื่นสบู่อยู่เลย” ผมพูดในขณะที่แอ่นหน้าอกออก แต่แขนทั้งสองข้างยังคงกอดเอวเขาไว้แน่น ไอ้น้องชายของเราต่างก็เบียดเข้าหากันและกัน ในช่วงไม่กี่วินาทีแห่งความเป็นความตายนี้ ทำให้ใจของผมเต้นรัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ใบหน้าของเราห่างกันแค่ไม่กี่นิ้ว ส่วนไอ้น้องชายของผมก็ค่อยๆ พองตัวขึ้นทีละน้อยๆ แต่เขาก็ยังไม่มีท่าทีจะขัดขืน

“พี่ยืนเองได้แล้ว ปล่อยได้แล้ว” เขาพูดด้วยเสียงที่แหบพร่าและแลดูประหม่า

ผมยังคงไม่ปล่อยเขาออก ผมยังคงกอดเขาเอาไว้อย่างเดิม แต่คราวนี้ไม่ใช่เพื่อประคองร่างกายของเขาเอาไว้เหมือนเมื่อตอนแรกอีกแล้ว

“เฮ้ย... จะทำอะไรน่ะ ปล่อยได้แล้ว” เขาพูดย้ำอีกครั้งอย่างหวั่นๆ

ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรมันเข้าสิงผมถึงทำให้ผมรู้สึกกล้าขนาดนี้ และผมคิดว่าถ้าหากผมไม่ฉวยโอกาสนี้ไว้ล่ะก็ ผมคงจะต้องเสียดายไปตลอดชีวิตแน่ๆ

“อยู่เฉยๆ เถอะ ให้ผมช่วยเอง ผมรู้ว่าพี่ก็ต้องการระบายมันออกมาบ้างเหมือนกันนั่นแหละ...” ผมกระซิบเบาๆ จากนั้นก็คุกเข่าลง

“เฮ้ย! จะทำอะไรวะ!”

ผมใช้มือข้างหนึ่งล็อคสะโพกของเขาเอาไว้ ส่วนอีกข้างก็จับไอ้น้องชายของเขาขึ้นและค่อยๆ รูดมันขึ้นลงเบาๆ

“ปล่อย! ไอ้พลุ! พี่ไม่ทำอะไรแบบนี้นะเว้ย!” เขาวางมือลงบนหัวไหล่ทั้งสองข้างของผมและออกแรงดันออกในขณะที่พยายามพยุงตัวไม่ให้ล้มไปด้วย

ผมที่อยู่ในตำแหน่งได้เปรียบกว่าไม่สนคำทัดทานของเขา และจัดแจงใช้ปากครอบลงบนน้องชายของเขาทันที

“อึ๊กกก..ก!! แม่งงง!!” เขาครางออกมาเบาๆ แต่ก็ยังคงพยายามจะดันหัวของผมออกอยู่

ผมใช้มือข้างหนึ่งอ้อมไปจับก้นของเขาเอาไว้ และใช้ลิ้นตวัดไปตามท่อนลำที่ค่อยๆ แข็งตัวขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าเขาจะยังคงพยายามดิ้นรนให้ตัวเองหลุดเป็นอิสระอยู่ก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าไอ้น้องชายของเขาจะไม่ฟังคำสั่งของเขาอีกต่อไปแล้ว

ผมใช้ปากให้เขาอยู่อีกไม่กี่นาที การดิ้นรนของเขาก็ค่อยๆ ลดลง เสียงครางของเขาเริ่มถี่มากขึ้นเรื่อยๆ และไอ้น้องชายของเขาก็แข็งตัวจนสุด จนผมอมมันจนมิดด้ามไม่ได้อีกแล้ว เขายังคงบีบหัวไหล่ของผมแน่นและออกแรงดันผมออกอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งในที่สุดเขาก็คลายมือออกเปลี่ยนเป็นวางไว้บนบ่าผมเฉยๆ เสียงครางและสีหน้าของเขาบอกผมว่าเขาไม่สามารถต้านทานมันได้อีกต่อไป เขาค่อยๆ ขยับสะโพกเข้าออกเป็นจังหวะเบาๆ พร้อมกับส่งเสียงซี้ดปากและสบถด่าผมต่างๆ นานา

ผมรู้ว่าเขาต้องการสิ่งนี้เช่นเดียวกับผม หรืออาจจะมากกว่าผมด้วยซ้ำ ใครจะรู้ว่าเขาไม่ได้ช่วยตัวเองหรือมีใครทำแบบนี้ให้มานานขนาดไหนแล้ว และทันใดนั้นเอง ร่างกายเขาก็แข็งเกร็งขึ้นพร้อมกับนิ้วมือที่จิกลงบนหัวไหล่ของผมแน่น เขาหลั่งน้ำเข้าปากของผมปริมาณมหาศาลราวกับคลื่นยักษ์ เขาคำรามและสบถออกมาเสียงดังก่อนที่ร่างกายจะกระตุกแรงๆ อีก 2-3 ครั้ง ด้วยความตกใจและไม่เคยกลืนน้ำของใครมาก่อน ผมจึงรีบถอนปากออกและใช้มือชักให้เขาต่อแทน เขาฉีดน้ำที่เหลือเข้าใส่หน้าผมอีกหลายครั้ง ผมปล่อยให้น้ำรักของเขาที่ผมกลืนลงคอไม่ทันไหลย้อยออกมาจากมุมปาก ผมยังแปลกใจตัวเองเลยเมื่อพบว่าที่จริงรสชาติของมันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่นัก

พี่คิวหอบหายใจแรงและขาของเขาก็สั่นไหวราวกับจะล้มลงได้ทุกเมื่อ ผมจึงค่อยๆ ประคองร่างกายของเขาให้นั่งลงบนพื้นห้องน้ำ

“ผมประคองอยู่ พี่นั่งลงได้เลย ไม่ต้องเกร็ง”

เขานั่งชันเข่าขวาขึ้นและก้มหน้าลง ผมจึงหันไปล้างหน้าและบ้วนปากชำระคราบคาวออก จากนั้นก็หันกลับมานั่งยองๆ ลงตรงหน้าเขาอีกครั้ง

“ยืนไหวมั้ย ล้างตัวก่อนมั้ย ผมจะได้เอาฝักบัวมาล้า...”

“ไอ้ทุเรศเอ๊ย!” เขาพูดขัดขึ้นพลางพยายามชันตัวขึ้นยืนอีกครั้ง ผมยืนขึ้นและตั้งใจจะช่วยเขา แต่เขากลับผลักผมออกไปอย่างแรง “กูทำเองได้! มึงไม่ต้องมายุ่งกับกู!!”

ผมยืนมองเขาอยู่ใกล้ๆ พร้อมที่จะช่วยเขาได้ทุกเมื่อหากเขาล้มลงไปอีก เมื่อเขายืนขึ้นได้เองแล้ว เขาก็กระโดดขาเดียวพยุงตัวเองออกจากห้องน้ำและนั่งลงบนเก้าอี้ยาวเพื่อเช็ดตัว ผมเดินตามเขาไปติดๆ แต่ไม่ได้แตะต้องร่างกายของเขาอีกเลย หลังจากที่ผมทำมันลงไปแล้ว ผมถึงได้เพิ่งรู้สึกตัวว่าผมอาจจะตกอยู่ในปัญหาใหญ่แค่ไหน ถ้าหากเขาเอาเรื่องนี้ไปบอกกับพี่โจ ผมอาจจะโดนไล่ออกจากที่นี่ และนั่นก็หมายความว่าผมจะตกวิชาเลือกตัวนี้ไปโดยปริยาย ซ้ำร้ายกว่านั้น เขาอาจจะเอาเรื่องนี้ไปรายงานแก่ทางมหาวิทยาลัยของผมด้วย

“พี่คิว ผมขอโทษ ผมรู้ตัวว่าเมื่อกี้ผมทำเกินไปหน่อย แต่ผมไม่ได้ตั้...”

“อ๋อเหรอวะ!” เขาสวนกลับพลางมองหน้าผมด้วยสายตาเหยียดหยาม

“ผมไม่ได้ตั้งใจจะฉวยโอกาสจากพี่แบบนั้น” ผมพูดต่อจนจบ “แต่ผมไม่เสียใจที่ทำมันลงไปหรอกนะพี่ พี่เองก็รู้ดีเหอะว่าพี่ต้องการมันมากขนาดไหน และพี่เองก็ชอบด้วย”

เขาอ้าปากจะเถียงบางอย่างกลับมา แต่สุดท้ายก็หุบปากลงและส่งสายตาเกรี้ยวกราดมาให้ผมแทน

“ที่จริงผมก็อยากจะให้เป็นเรื่องที่เราสองคนยินยอมและอยากทำมันด้วยกันมากกว่า”

“มึงจะบ้ารึไง! ไม่มีทางหรอกเว้ย มันจะไม่เกิดขึ้นอีกแน่นอน!” เขาคำราม

ผมยักไหล่ “ใช่ ก็คงไม่เกิดขึ้นอีกหรอก ถ้าพี่ไม่ยอม แต่... ผมอยากขอพี่แค่อย่างเดียวคืออย่าเอาเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ไปบอกใคร อย่าบอกพี่โจ แต่ผมจะเป็นคนถอนตัวออกจากเคสของพี่และไปทำงานอย่างอื่นแทนเอง”

“เฮอะ!” เขาพ่นลมหายใจออกทางจมูก “กูจะกลับห้อง”

“ครับ”

ผมปล่อยให้เขาแต่งตัว แล้วจากนั้นก็พาเขากลับไปที่ห้อง พาเขากลับขึ้นไปนอนบนเตียง ดูแลให้เขารู้สึกสะดวกสบายที่สุด จากนั้นก็เตรียมตัวกลับบ้าน

“ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ผมจะยังได้เจอพี่อยู่รึเปล่า แต่ตอนเช้าผมจะไปหาพี่โจแล้วดูว่าจะเป็นยังไง”

เขาไม่ตอบ ไม่แม้แต่จะมองหน้าผมด้วยซ้ำ ผมเดินออกจากห้องของเขาพร้อมกับความคิดที่ว่าผมคงต้องเตรียมตัวเปลี่ยนงานหรือไม่ก็ทำเรื่องกับอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยขอเปลี่ยนสถานที่ฝึกงานใหม่เสียแล้ว

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด