ส่งท้าย
เสียงของลูกบาสกระทบกับพื้นอย่างเป็นจังหวะดังก้องไปทั่วทั้งโรงยิม เด็กหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งยืนย่อตัวพร้อมกับเลี้ยงลูกบาสอยู่ด้วยมือขวา เขาจับจ้องผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามอย่างระมัดระวัง ถึงจะรู้ดีว่าเขามีข้อได้เปรียบอีกฝ่ายอย่างมาก แต่เขาก็รู้ถึงความสามารถของคนๆ นี้อย่างดีด้วยเหมือนกัน ถึงจะเป็นแค่การซ้อม แต่เขาก็ไม่อยากแพ้
ชายหนุ่มหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ เขาเหลือบมองไปทางซ้ายมือของอีกฝ่ายเพื่อเป็นการหลอกล่อ แต่แล้วกลับรีบพุ่งตัวไปทิศตรงข้ามอย่างรวดเร็ว ชั่วเสี้ยววินาทีหนึ่ง เขาคิดว่าเขาคงจะหลบรุ่นพี่ที่เขาเคารพคนนี้พ้น แต่ด้วยความที่อีกฝ่ายมีร่างกายที่สูงและช่วงแขนที่ยาวกว่า บวกกับประสบการณ์และความรวดเร็วที่เขายังเทียบชั้นไม่ติด ทำให้ลูกบอลที่เขาครองเอาไว้ถูกปัดออก ฝ่ายตรงข้ามที่จัดการปัดลูกหลุดออกจากมือของชายหนุ่มได้แล้วรีบพุ่งตัวเข้าไปคว้าลูกด้วยก้าวยาวๆ แค่ไม่กี่ก้าว พลิกตัวหันกลับไปยังแป้นบาสพร้อมกับกระโดดลอยตัวสูงขึ้นจากพื้นแค่เพียงเล็กน้อย เขาปล่อยลูกบาสออกจากมือ และอีกไม่ถึงอึดใจถัดมา ลูกบาสก็ลอยผ่านอากาศและพุ่งลงห่วงไปโดยไม่กระทบกับขอบแป้นเลยแม้แต่นิดเดียว
“เฮ้ยยย อะไรว้าาา!!” ชายหนุ่มชูแขนทั้งสองขึ้นพร้อมกับโวยออกมาเบาๆ “พี่พลุแม่งชนะอีกแล้วอะ! แม่งงง!”
“มึงแม่งโคตรอ่อนอะ ไอ้ยิ่ว! ฮ่าๆๆ” เสียงแซวจากข้างสนามดังขึ้น
“หุบปากเลย ไอ้เชี่ยป๊อป มึงเองก็ยังไม่เคยเอาชนะพี่เค้าได้สักทีเหอะ!”
“สรุป พี่ชนะ 3-2 ลูก เพราะงั้นมึงต้องเลี้ยงไอติมพี่ตามสัญญานะ ไอ้ยิ่ว” พลุเดินเข้ามาตบบ่ารุ่นน้องของเขาเบาๆ
“ได้พี่ สัญญาเป็นสัญญาอยู่แล้ว” ยิ่วหันมายิ้มให้พลุก่อนจะหันกลับไปหาเพื่อนของตัวเอง “เฮ้ย ไปเหอะว่ะ กูต้องไปรับเจ๊กูอีก เดี๋ยวจะไม่ทัน”
“ไปดิ” ป๊อปลุกออกจากม้านั่งพร้อมกับกระเป๋าสะพายของตัวเองและเพื่อน
“งั้นพวกผมไปก่อนนะพี่ ขอบคุณมากนะครับพี่ที่มาซ้อมกับพวกผมอะ” ยิ่วยกมือไหว้พลุ
“เฮ้ย ไม่เป็นไร นานๆ ได้เล่นแบบนี้ทีก็ดีเหมือนกัน”
“นี่ขนาดพี่กระโดดไม่ค่อยได้นะ พวกผมสองคนยังไม่เคยเอาชนะพี่ได้สักที” ป๊อปเดินเข้ามาสมทบ
“พี่ก็เล่นได้แค่นี้อะว่ะ ให้เล่นทั้งสนามหรือกลับไปวิ่งแบบเมื่อก่อนก็ไม่ไหวเหมือนกัน” พลุยิ้มพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ
เด็กหนุ่มทั้งสองคนรู้ดีเกินกว่าที่จะพูดมากไปกว่านั้น พวกเขาจึงขอตัวรุ่นพี่กลับก่อน ทิ้งให้พลุยืนอยู่คนเดียวในโรงยิม เขาเดินไปหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดเหงื่อและนั่งลงบนม้านั่ง จากนั้นก็ก้มลงมองข้อเท้าของตัวเอง ที่จริงเขาก็เริ่มรู้สึกเจ็บที่แผลเก่าขึ้นมานิดๆ อยู่แล้วเหมือนกัน เกมเมื่อกี้ถ้าหากเขาไม่รู้ทันเจตนาของรุ่นน้องและปฏิกิริยาตอบสนองของเขาไม่ว่องไวพอ เขาก็คงจะแพ้ไปแล้ว ประสบการณ์จากการแข่งขันและการฝึกซ้อมมาหลายปีก่อนหน้านี้ยังไม่ได้ถึงกับเลือนหายไปเสียทีเดียว
พลุเริ่มกลับมาจับลูกบาสและวิ่งในสนามอีกครั้งหลังจากที่คิวกลับไปประจำการที่เดิม เขาค้นพบว่าสิ่งที่เขาขาดหายไปคืออะไร รวมทั้งยังพบอีกด้วยว่า ในขณะเดียวกันเขาก็มีบางสิ่งอยู่ในตัวเองแต่เขากลับพยายามไม่ใส่ใจมันมาตลอด การได้รู้จักกับคิว ทำให้เขาได้เรียนรู้หลายๆ อย่าง ทั้งความสำคัญของความฝัน ความสำคัญของชีวิต การเข้าใจและรู้จักตัวเอง และยังรวมไปถึงความรัก...
สี่เดือนแล้วนับตั้งแต่เขากับคิวแยกจากกัน แรกๆ เขาก็ยังได้ติดต่อกันอยู่บ้าง ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นการเขียนจดหมายจากเขาไปหาคิวเพียงฝ่ายเดียวเสียมากกว่า พลุชอบการเขียนจดหมายมากกว่าการเขียนอีเมลหรือติดต่อผ่านทางเฟซบุ๊คเยอะ เขารู้สึกว่ามันคือความทรงจำและความละเอียดอ่อนที่แสดงออกถึงความคิดคำนึงอย่างแท้จริง และที่สำคัญ คิวเองก็ไม่ค่อยจะอัพเดทอะไรในเฟซบุ๊คของตัวเองอยู่แล้ว
มีบางครั้งที่คิวจะโทรมาหาเขาบ้างเพื่อบอกเล่าชีวิตและเรื่องราวต่างๆ ให้เขาได้ฟังตามประสาของคนที่พูดบรรยายความรู้สึกอะไรไม่ค่อยเก่ง แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา เพียงพอแล้วเพื่อให้เขารู้ว่าคนที่เขารักยังคงสบายดี คิวได้กลับไปประจำที่กรมเดิม แต่ว่าทำงานอยู่ในฐานทัพ ไม่จำเป็นต้องออกไปรบกับพวกผู้ก่อการร้ายเหมือนแต่ก่อน ความเสี่ยงลดลงไปกว่าครึ่ง แต่พลุก็ยังคงสวดมนต์ภาวนาให้เขาปลอดภัยอยู่แทบทุกคืน เพราะบางครั้งคิวก็ยอมรับให้เขาฟังว่าเขายังคงต้องคอยหลบกระสุนของพวกโจรใต้เหล่านั้นอยู่ดี
ถึงแม้เขาสองคนจะไม่เคยคุยเรื่องคืนนั้นกันอีก และไม่เคยเอ่ยคำว่า ‘รัก’ ออกมาให้อีกฝ่ายได้ยินเลยสักครั้ง เพราะต่างคนก็ต่างไม่อยากผูกมัดอีกฝ่ายเอาไว้ แต่เขาก็ยังคงรักและยึดมั่นในความรักที่มีต่อคิว รวมทั้งยังรอคอยการกลับมาของเขาอยู่ตลอด แม้ว่ามันจะริบหรี่เพียงใดก็ตาม
เมื่อข้อเท้าเริ่มรู้สึกดีขึ้นแล้ว พลุก็ลุกขึ้นยืน เก็บของ และเดินออกจากโรงยิม เขามองดูเวลาในนาฬิกาข้อมือและเห็นว่าตัวเองเริ่มสายมากแล้ว เขามีนัดกับโจที่โรงพยาบาลเวลาหกโมงเย็น ซึ่งเขาตั้งใจไว้ว่าจะออกจากโรงยิมตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจึงรีบขับรถตรงไปยังโรงพยาบาลทันที และในขณะที่รถติดไฟแดงอยู่เขาก็โทรไปบอกโจว่าเขาอาจจะไปช้านิดหน่อย ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบกลับมาว่าเขาติดประชุมอยู่และอาจจะเลิกช้าหน่อยเหมือนกัน ให้พลุเข้าไปนั่งรอในออฟฟิศของเขาก่อนได้เลย
ก่อนหน้านี้โจโทรบอกเขาว่ามีธุระอยากคุยด้วย ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับหลักสูตรอบรมของทางโรงพยาบาล และผู้อำนวยการอยากจะเชิญพลุไปร่วมเป็นหนึ่งในผู้บรรยาย เพราะเห็นว่าเขาเป็นอาสาสมัครคนแรกและคนเดียว ที่ได้ร่วมงานกับทหารคนแรกของประเทศไทยที่สูญเสียอวัยวะจากสนามรบ แต่ได้รับการฟื้นฟูทั้งทางร่างกายและจิตใจเป็นอย่างดีจนสามารกลับไปประจำการได้อีกครั้ง
คิวนึกขำในใจทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะคนอื่นนอกจากพี่โจแล้วคงไม่รู้เลยว่าเขากับคิวได้ทำอะไรด้วยกันมาบ้าง และเขาก็ไม่คิดว่าวิธีการบำบัดผู้ป่วยของเขาที่เคยใช้กับคิวจะสามารถนำไปพูดบรรยายหรือสอนให้คนอื่นทำแบบเดียวกันได้เช่นกัน
เมื่อไปถึงโรงพยาบาล เขาก็เดินตรงไปที่ออฟฟิศของโจด้วยความคุ้นเคยทันที ถึงแม้เขาจะไม่ได้ทำงานที่นี่มาหลายเดือนแล้ว แต่เขาก็เคยกลับมาเยี่ยมเยียนโจอยู่บ้าง 2-3 ครั้ง พนักงานและพยาบาลหลายคนที่จำเขาได้ก็หยุดทักทายเขาอย่างเป็นมิตร เมื่อไปถึงหน้าห้องของโจ เขาก็เปิดประตูออกและเดินเข้าไปข้างในตามที่ถูกบอกไว้เลยทันที แต่เมื่อเขาเห็นว่ามีชายคนหนึ่งกำลังนั่งหันหลังให้เขาอยู่บนเก้าอี้ทำงานของโจ เขาก็ชะงักและรีบเอ่ยขอโทษออกมาทันที
“อ้าว ขอโทษทีครับพี่โจ ผมนึกว่าพี่ยังไม่ออกจากประชุม เลยเข้ามาโดยไม่ได้เคาะประตูก่อน” พลุปิดประตูลงและหยุดยืนอยู่กับที่ เขาสังเกตเห็นปลายแขนเสื้อของโจแล้วก็นึกเอะใจ
เก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ค่อยๆ หันมาทางเขา เผยให้เห็นว่าแท้จริงแล้วคนที่นั่งอยู่นั้นไม่ใช่อดีตหัวหน้าของเขา แต่เป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลารูปร่างกำยำในชุดลายพรางอันเป็นเอกลักษณ์ต่างหาก
“พี่คิว!!” พลุร้องเรียกชื่อของอีกฝ่ายออกมาพร้อมกับอ้าปากค้าง
“อะไร ดูทำหน้าเข้า กูเป็นคนนะเว้ย ไม่ใช่ผี ยังไม่ตาย ไม่ต้องตกใจขนาดนั้นก็ได้” คิวหัวเราะเบาๆ พร้อมกับยืนขึ้น
พลุคิดว่าเขาดูกำยำขึ้นกว่าเมื่อตอนที่อยู่ในโรงพยาบาลเสียอีก แต่ผิวของเขากลับดูขาวขึ้นเล็กน้อย รวมทั้งใบหน้ายังดูคมเข้มขึ้นกว่าเมื่อก่อนอีกด้วยซ้ำ หรือบางทีมันอาจจะเป็นแค่การจิตนาการไปเองของตัวเขาเองก็ได้ เวลาเพียงแค่สี่เดือนจะทำให้ใครสักคนเปลี่ยนไปขนาดนั้นได้อย่างไรกัน... ใช่ ‘แค่’ สี่เดือนเท่านั้นเอง
“พี่มาทำอะไรที่นี่ และ...และพี่มาได้ยังไงวะเฮ้ย” เขาพูดติดอ่าง
“กูคิดถึงมึง อยากกลับมาหามึง กูมาไม่ได้รึไง” คิวนิ่วหน้า “เราไม่ได้เจอกัน ‘ตั้ง’ สี่เดือนนะเว้ย”
ที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องย้ำคำๆ นั้นเป็นพิเศษหรอก เพราะสำหรับพลุแล้ว เวลาสี่เดือนมันยาวนานยิ่งกว่าสี่ปีเสียอีก
“แล้วทำไมพี่ไม่บอกผมก่อนว่าพี่จะมา!”
“บอกก็ไม่เซอร์ไพรส์อะดิวะ”
พลุยังคงอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก ความรู้สึกดีใจมันท่วมท้นจนเขาแทบอยากจะกระโดดกอดผู้ชายตรงหน้าให้รู้แล้วรู้รอด
“มึงจำได้มั้ยว่าตอนกูไป มึงให้กูเอาอะไรติดตัวไปด้วย...” คิวพูดพร้อมกับเดินตรงเข้ามาหาพลุด้วยท่าทางสุขุม
พลุพยักหน้าเบาๆ รู้สึกว่ามือกำลังสั่นน้อยๆ
“วันนี้กูกลับมาพร้อมกับคำตอบแล้วนะ” คิวยื่นมือออกมาหยิบแผ่นป้ายชื่อสีเงินที่ห้อยอยู่ที่คอของพลุขึ้นดู
“ค... คำตอบอะไร” พลุถามกลับด้วยหัวใจที่เต้นรัว
“มึงยังรักกูอยู่รึเปล่า”
“ห... เหออ”
ทหารหนุ่มขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยด้วยสีหน้าผิดหวังพร้อมกับปล่อยมือออกจากสร้อย “เออ... กูไม่น่าถามมึงแบบนั้นเลย กูขอโทษว่ะ ลืมๆ มันไปซะเหอะ”
“เฮ้ย เดี๋ยวๆๆ เมื่อกี้พี่ถามอะไรนะ”
“ช่างมันเหอะ กูผิดเองแหละที่ไม่ได้คุยกับมึงให้มากกว่านั้น กูเป็นคนที่ไม่ชัดเจนเอง จู่ๆ ก็มาพูดเรื่องนี้ มึงคงตกใจอะ”
“พี่คิว”
“มึงคงมีคนอื่นคุยด้วยแล้วใช่มั้ยล่ะ หน้าตาแบบมึงจะมีแฟนสักกี่คนก็คงไม่แปลก”
“เฮ้ย!! นี่พี่พล่ามอะไรของพี่วะเนี่ย!” พลุโพล่งขึ้นอย่างหมดความอดทนพร้อมกับคว้าไปที่ข้อมือของชายตรงหน้า “ผมรักพี่นะเว้ย! ไอ้เหี้ยเอ๊ยยย!! ตั้งสี่เดือนนะที่ผมรอพี่คนเดียวมาตลอด! แล้วจู่ๆ พี่มาเพ้อเจ้ออะไรของพี่เนี่ย! ผมรักพี่ ได้ยินรึเปล่า!”
คิวผงะไปเล็กน้อยด้วยความตกใจ จากนั้นก็ยิ้มออกมาพร้อมกับดึงตัวของอีกฝ่ายเขามากอดอย่างแนบแน่นราวกับพยายามจะหลอมรวมร่างกายของทั้งคู่ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
“กูคิดถึงมึงจริงๆ ว่ะ” คิวพูดในลำคอเบาๆ “กูขอโทษที่อาจดูเฉยชาไปบ้าง แต่กูติดภารกิจหลายอย่าง และกูก็ต้องการเวลาเพื่อหาคำตอบให้ตัวเองด้วย แต่ตอนนี้กูรู้แล้ว กูรู้แล้ว...”
“รู้ว่าอะไร” พลุถามพลางดันตัวออก เขามองลึกไปยังดวงตาของคิวอย่างคาดหวัง
“กูรักมึง” คิวตอบอย่างไม่ลังเล “กูรักมึง และอยากให้มึงเป็นผู้ชายคนแรกและคนเดียวของกูที่กูจะเรียกว่าคนรักว่ะ” เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง “กูมาหนนี้ กูมีของอย่างหนึ่งอยากจะให้มึงด้วย กูอยากให้มึงใส่มันนะ ไอ้พลุ...”
พลุยืนมองการเคลื่อนไหวของคิวแล้วตาโต เขาไม่เคยคิดเลยว่าคิวจะซื้อแหวนมาให้เขาด้วย เขาทั้งรู้สึกดีใจและรู้สึกผิดไปด้วยพร้อมๆ กัน เพราะเขายังไม่เคยคิดที่จะซื้อแหวนให้กับคิวมาก่อนเลย ก่อนหน้านี้เขายังเคยคิดว่าตัวเองจะต้องตัดใจแล้วด้วยซ้ำ แต่นี่จู่ๆ คิวก็กลับมา และกลับกำลังจะเป็นฝ่ายมอบแหวนให้แก่เขาก่อนเสียด้วยซ้ำ
“เฮ้ย! อย่าบอกนะว่านี่พี่ซื้อแหวนมาให้ผมด้วยน่ะ!”
“แหวนเหรอ แหวนอะไรวะ” คิวนิ่วหน้า จากนั้นก็หยิบของที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมาใส่มือของพลุ
พลุก้มลงมองดูซองพลาสติกในมือด้วยสีหน้างุนงง
“นี่มัน... ถุงยางไม่ใช่เหรอวะพี่”
“ก็ใช่ดิ หรือมึงจะไม่เอากู หรืออยากเอาสดก็คุยกันได้นะเว้ย แต่ที่แน่ๆ คือมึงต้องเอากูแน่นอนล่ะ” ทหารหนุ่มพูดพร้อมฉีกยิ้มกว้าง
พลุหัวเราะออกมาเสียงดังด้วยความชอบใจจากนั้นก็ดึงตัวของอีกฝ่ายเข้ามากอดและจูบปากอย่างดูดดื่ม
“กวนส้นตีน!!” พลุพูดพร้อมหัวเราะในลำคอเบาๆ หลังจากที่ทั้งคู่ถอนปากออกจากกันแล้ว
“กวนตีนแล้วอยากได้เป็นแฟนรึเปล่าล่ะ เฮอะ”
“อยากสิคร้าบบบ”
“ถ้าอยาก คืนนี้ก็ใส่ไอ้ที่อยู่ในมือนั่นซะก่อน ส่วนอะไรที่มันต้องใส่ในนิ้วนางข้างซ้ายเอาไว้ค่อยไปซื้อด้วยกันทีหลัง โอเคมั้ย”
“โอเคครับพ้ม!!”
คิวยกตัวพลุขึ้นจากพื้นแล้วทั้งสองคนก็จูบปากกันอีกครั้ง
...............................................