พอมาคึดถึงตรงนี้ผมก็อยากจะทึ้งหัวตัวเองแรงๆ อย่างคนที่ต้องการหาที่ระบาย ถึงผมจะเป็นพวกหวงของ หวงเพื่อน แต่ไม่เคยนึกหวงรอยยิ้มของใครมาก่อนจนถึงตอนนี้ แล้วความคิดของผมก็ถูกดึงกลับมายังปัจจุบันอีกครั้ง เมื่อรู้สึกว่ากระเป๋านักเรียนที่ถืออยู่กำลังถูกดึงออกจากมือ
“ไม่ต้องเลยมึง”
“มันเป็นหน้าที่ของกูอยู่แล้ว” ไอ้ดิวยังว่าต่อ ก่อนจะออกแรงดึงกระเป๋าที่ผมยังจับเอาไว้แน่น “มึงเองก็สบายด้วยไง”
ผมจ้องมองใบหน้าคนตรงหน้านิ่ง ส่วนคนที่ถูกมองก็ไม่ยอมละสายตาเช่นเดียวกัน ผมเม้มริมฝีปากเของตัวเอง เมื่อเห็นรอยยิ้มบางที่ถูกส่งมาให้ พร้อมกับหัวใจที่เริ่มเต้นแรงขึ้น
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่นึกใส่ใจกับอาการบ้าๆของตัวเอง นอกจากคิดว่าเกิดขึ้นแล้วสักพัก มันก็จะหายไปเอง แต่ในเวลานี้หลังจากได้อ่านหนังสือบ้าบอนั่น ผมก็รู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย ยิ่งอาการ ‘ หวงรอยยิ้ม‘ ที่เล่นงานผมอยู่ในตอนนี้ ผมก็ประสาทเสียเต็มทน ผมยังไม่อยากเข้าชมรมผู้ชายหัวใจสีม่วงอย่างที่ไอ้หนังสือนั่นบอก ไม่อยากจะเกี่ยวข้องด้วยแม้แต่ปลายเส้นผม
ผมยังอยากจะเป็นผู้ชายที่มีแฟนเป็นผู้หญิง... ถึงแม้ในเวลานี้ผมชักไม่แน่ใจตัวเองแล้วก็ตามที
“ไอ้ดิว มึงเลิกยุ่งกับกูได้แล้ว กูรำคาญ!” ผมตัดสินใจบอกด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ผมรู้ตัวดีว่า ขึนปล่อยให้มันมาวุ่นวายกับผมอยู่แบบนี้ มีหวังหนีไม่พ้นมือมันแน่ เพราะตอนนี้ผมก็เหมือนคนที่วิ่งวนไปวนมาอยู่ในอ่าง มองไปทางไหนก็ยังเห็นไอ้หน้ายิ้มที่ยืนมอง พร้อมกับรอยยิ้มที่สั่นหัวใจของผม
ไอ้ดิวมองผมก่อนจะเลิกคิ้วขึ้น แล้วปล่อยมือออกจากกระเป๋านักเรียนของผม แต่ดันไปจับแขนของผมเอาไว้มทน น้ำเสียงทุ้มแฝงแววสงสัย “แมลงปอเป็นอะไร”
“กูไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น” ผมบอกอย่างคนที่อารมณ์ไม่ดี ยิ่งมาเห็นสีหน้าหงอยลงที่แฝงแววกังวลแบบนั้น ผมก็รู้ดีว่าอีกไม่นานต้องใจอ่อนยอมมันอีกตามเคย ผมเลยตัดสินใจเบือนหน้าไปอื่นแทน พลางแกะมือของมันออก “แล้วมึงจะมาจับแขนกูทำไมวะ ปล่อยเว้ย!”
“มึงอารมณ์ไม่ดี” ไอ้ดิวบอกผม เหมือนคุณหมอที่บอกอาการคนไข้ ผมขมวดคิ้วใส่หน้ามัน
“ใช่ มึงรู้แล้วก็ไปห่างๆกูเลย”
“คนที่ทำให้มึงอารมณ์เสียคงไม่ใช่กูหรอกนะ” ไอ้ดิวพูดพลางถอนหายใจออกมา “หลายวันมานี้ดูมึงเมินกูยังไงก็ไม่รู้ โกรธอะไรอยู่หรือเปล่า”
“เปล่า” ผมตอบห้วน ผมคงเป็นพวกเก็บอาการตัวเองไม่เก่งสักเท่าไหร่
ไอ้ดิวปล่อยมือออกจากแขนของผม สายตาสีดำเข้มนั้นกำลังมองมาอย่างหาคำตอบ โดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าในตอนนี้จะเป็นอย่างไร แต่ผมในตอนนี้กำลังไม่เป็นตัวของตัวเอง
“กูจะไปโกรธอะไรมึง แค่อยากให้มึงเลิกยุ่งเรื่องของกูอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็พอ” ผมบอก บางทีถ้าผมตัดสินใจอะไรบางอย่างก็ควรทำอะไรให้มันเด็ดขาดเสียที จริงๆแล้วผมไม่ควรปล่อยให้เรื่องมันเลยตามเลยมาจนถึงตอนนี้เลยด้วยซ้ำ
“เมื่อก่อนไม่เห็นจะพูดแบบนี้” ไอ้ดิวหรี่ตามองผม ผมเองก็ชักสีหน้าใส่ “แมลงปอมึงมีอะไรบอกกูมาเลยดีกว่า”
ผมมองใบหน้าหล่อเหลาที่ไร้รอยยิ้มอย่างที่เคยเห็น สีหน้าจริงจังนั่น ทำให้ผมเผลอกลั้นหายใจของตัวเองไปชั่วขณะ ก็ดีเหมือนกัน ในเมื่อมันอยากให้ผมบอก ผมก็จะบอกออกไปก็ได้
“ตอนนี้กูหมดความอดทนแล้ว ไอ้ดิว! กูเบื่อเต็มทีกับเรื่องอะไรแบบนี้” ผมบอกไปอย่างชัดเจน ทั้งที่หัวใจยังเต้นไม่เป็นจังหวะ สายตาคมที่กำลังมองผมนิ่งไม่มีแววยิ้มนั้น ทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ต้องพูดในสิ่งที่ตัวเองต้องการ “มึงเลิกทำแบบนี้เถอะ กูไม่มีวันชอบมึงแบบนั้น เพราะกูไม่ได้ชอบผู้ชาย”
พอกันที.... ผมหวั่นไหวกับคนตรงหน้านี้มาพอแล้ว!
ผมไม่อยากจะรับรู้ความรู้สึกแบบนี้อีกต่อไปแล้ว ผมอยากกลับไปเป็นคนเดิมที่คอยแต่แอบมองผู้หญิงที่ตัวเองชอบ มีความสุขกับเพื่อนได้อย่างสนิทใจ แต่มาตอนนี้ผมกลับลืมเธอไปหมดแล้ว นอกจากไอ้ดิวจะพรากความเป็นตัวตนของผมไป พรากความสนิทอย่างเพื่อนของผมไป ยังพรากเอาความรู้สึกที่ผมเคยมีต่อคนๆหนึ่งไปอีกด้วย
“ขอโทษ” ไอ้ดิวพูดพลางถอนหายใจออกมา “ถ้ากูทำให้มึงโกรธอะไรมาก่อน ก็ขอโทษด้วยแล้วกัน”
“มึงจะขอโทษทำไม” ผมตวัดตามอง บ้าชะมัด! ขอให้ผมใจแข็งกับมันให้ถึงที่สุดด้วยเถอะ ผมบอกกับตัวเองพลางกำมือที่อยู่ข้างลำตัวแน่นขึ้น
“กูว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างแน่ที่ทำให้มึงระเบิดออกมาแบบนี้ กูไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่อยากจะขอโทษเอาไว้ก่อน” ไอ้ดิวว่า ก่อนจะยิ้มออกมา “จริงสิ วันนี้กูก็ทำขนมมาด้วยนะ วันนี้เป็นพุดดิ้ง” แล้วคนตรงหน้าก็หยิบขนมในถุงส่งมาให้
ผมมองไปยังถุงนั้น กอนจะมองเลยไปยังรอยยิ้มน้อยๆที่ผมเห็นจนชินตา ผมเป็นคนใจอ่อน ผมไม่ชอบเห็นใครต้องผิดหวัง แต่ที่แน่นอนที่สุดผมไม่อยากทำให้ตัวเองต้องเสียใจ ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่แน่ว่าวันนี้ผมอาจจะเคลียร์ปัญหาของคนตรงหน้านี้ให้จบลงก็ได้
“กูไม่อยากได้อะไรจากมึงทั้งนั้น”
ผมไม่รู้ว่าบริเวณที่เราสองคนยืนอยู่ตรงนี้ไร้ผู้คนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ความเงียบที่รู้สึกได้ยังไม่เท่ากับความกดดันบางอย่างที่ก่อตัวขึ้น ผมยังคงมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านิ่งด้วยจิตใจที่อ่อนไหว ผมแค่อยากจะยืนยันให้ไอ้ดิวมันแน่ใจว่า สิ่งที่ผมบอกออกไปคือสิ่งที่ผมต้องการจริงๆ
“ไม่เอาก็ไม่เป็นไร” ไอ้ดิวพูดขึ้น หลังจากเว้นช่องว่างให้กับความเงียบ รอยยิ้มที่เคยประดับอยู่เมื่อครู่จางลงแต่ก็ยังไม่หายไป “งั้นกลับกันเถอะ”
“กูบอกแล้วไงว่าไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น มึงก็ไม่ต้องไปส่งกูด้วย!” ผมบอกเสียงดังเวยความเย็นชา ก่อนจะเริ่มเดินอย่างไม่สนใจใครอีกคนที่ถูกทิ้งเอาไว้ ผมรู้ว่าเวลานี้เป็นช่วงที่เปราะบาง อดติดเหมือนกันไม่ได้ว่า ถ้าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นตือผมแล้วจะรู้สึกอย่างไร
ผมจะร้องไห้หรือเปล่า หรือจะโวยวาย บางทีผมอาจจะทำสิ่งที่ตัวเองถนัดที่สุดก็คือ หนี... หนีจากความจริง หนีจากสิ่งที่เป็นอยู่ หนีจากสภาพที่ยอรับไม่ได้
ผมก้าวเร็วขึ้นจนเหมือนกับวิ่ง โดยที่ไม่ได้หันกลับไปมองคนที่อยู่เบื้องหลังอีก ประตูโรงเรียนที่เปิดออก พร้อมกับเด็กนักเรียนที่ทยอยผ่านคือสิ่งที่สายตาของผมมองเห็น ในระยะอีกไม่กี่ก้าวที่จะผ่านจากเขตแดนของโรงเรียน แขนที่แกว่งไปตามแรงเดินก็ถูกยื้อเอาไว้ พร้อมกับผมที่หันกลับมองในทันที
“คุยกันหน่อย”
:|– ::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::: …
แม้อยากจะฝืนแรงไว้แต่ก็ทำไม่ได้เต็มที่ เพราะมีสายตาอีกหลายสิบคู่กำลังมองมา ผมพยายามสะบัดแขนที่ถูกจับไว้แน่นออก แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผล นอกจากความอายจะเริ่มเล่นงานผมอีกครั้ง ความไม่พอใจก็ปรากฏขึ้นมาด้วยเช่นกัน
ผมไม่ได้ร้องโวยวาย เพราะตอนนี้อยู่ที่หน้าโรงเรียน ไอ้ดิวเดินลากผมข้ามถนน ก่อนจะมาหยุดที่รถยนต์สีดำที่ผมเพิ่งโดยสารมาเมื่อเช้านี้ ไอ้ตัวดียังไม่ได้หันมามองผม เจ้าของรถกดปลดล็อค ก่อนจะเปิดประตูที่นั่งข้างคนขับออก แล้วโยนกระเป๋านักเรียนของตัวเองไปยังเบาะด้านหลัง
“แมลงปอเข้าไปนั่งก่อน”
“ไอ้ดิว กูบอกแล้วว่าจะกลับเอง” ผมพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ พอมาเห็นมันทำท่าใจเย็นแบบนี้ ผมยิ่งรู้สึกผิดจนตัวเองนึกโมโหขึ้นมา
ไอ้ดิวถอนหายใจ ก่อนจะดันร่างของผมเข้าไปอย่างไม่ได้นึกสนใจคำพูดของผมเลยแม้แต่น้อย ผมสบถขึ้นอย่างคนอารมณ์เสีย ครั้นจะเปิดประตูออกก็ยังไม่ไวพอกับไอ้ตัวดีที่เข้ามาในรถของตัวเองอย่างรวดเร็ว ก่อนที่มันจะสตาร์ทเครื่อง พร้อมกับความเย็นจากแอร์ที่เริ่มทำงาน
“มึงฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไงวะ!” ผมถามอย่างหงุดหงิด
“รู้เรื่อง”
“แล้วนี่คือสิ่งที่คนรู้เรื่องทำกันเหรอไงวะ!” ผมยังถามต่อ มันจะรู้ไหมว่าผมต้องใช้ความพยายามแค่ไหน ถึงจะพูดแบบนั้นออกไปได้ แต่สิ่งที่ไอ้ดิวทำในตอนนี้กำลังทำให้ความลำบากใจที่ผมต้องเจอผ่านไปแบบสูญเปล่า
ไอ้ดิวหันมามองหน้าผมอีกครั้ง น้ำเสียงทุ้มดังขึ้นด้วยโทนเสียงที่สงบ “กูเข้าใจ แต่ทำไม่ได้”
“อะไรของมึงวะที่ทำไม่ได้”
“แมลงปอมึงกำลังหนี” ไอ้ดิวไม่ได้ตอบคำถามของผม แต่กลับมาว่าผมแทน ผมมองมันอย่างหาเรื่องทันที
“หนีอะไร กูแค่อยากจะกลับบ้านเอง!”
“มึงกำลังหนีความจริงไง” ไอ้ดิวตอบกลับ “มึงไม่กล้ายอมรับ มึงไม่กล้าเผชิญหน้า มึงไม่กล้าเปิดใจ” ก่อนที่คนพูดจะเว้นจังหวะแล้วมองหน้าผมนิ่ง “แมลงปอมึงเลิกหนีกูได้แล้ว”
“พูดอะไรของมึง กูไม่ได้หนีอะไรทั้งนั้น กูแค่อยากให้มึงเลิกยุ่ง” ผมบอก ก่อนจะผ่อนสีหน้าของตัวเองลง “กูไม่ได้หมายความว่าจะเลิกคบกับมึงเป็นเพื่อน แต่อยากให้มึงเลิกคิดกับกูแบบนั้น”
“มึงเลิกพูดอะไรที่เป็นไปไม่ได้สักทีเถอะ มึงก็รู้ดีว่ากูชอบมึงมากแค่ไหน” ไอ้ดิวพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนจะจับมือของผมไว้
“นะ...นั่นก็เรื่องของมึง” ผมบอกด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่ไอ้ดิวบอกว่าชอบผม แล้วทำไมมึงต้องมาพูดอะไรแบบนี้ตอนนี้ด้วยวะ!
“มึงจะว่าอะไรกู หรือใช้ให้กูทำอะไรก็ได้” ไอ้ดิวพูดพลางจับมือผมแน่น นัยน์ตาคมสวยยังจ้องมองผมไม่ละสายตา “แต่อย่างเดียวที่อย่าบอกให้กูทำ คือ การเลิกยุ่งกับมึง เพราะกูทำไม่ได้” ก่อนที่มันจะเว้นวรรคแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หวานกว่าเดิม “ได้ไหมแมลงปอ”
ให้ตายเถอะ! ผมอยากจะกรีดร้องจนสุดเสียง เพื่อปลดปล่อยอะไรบางอย่างที่ตอนนี้แน่นขึ้นมาในอก ก่อนที่จะรับรู้ได้ถึงใบหน้าที่แดงซ่านของตัวเอง ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่อยากให้ความตั้งใจเดิมของตัวเองต้องเสียเปล่า มันอาจจะยากในช่วงแรกแต่สุดท้ายมันจะดีแน่ ผมเชื่อว่าอย่างนั้น
“เลิกยุ่งกับกู” ผมกลั้นใจพูดไปในที่สุด พลางจ้องหน้ามันเขม๊ง ทั้งที่ยังรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นระรัว ก่อนที่ผมจะผงะไปเล็กน้อยเมื่อเห็นใบหน้าของคู่สนทนาขยับเข้ามาใกล้ ผมเม้มริมฝีปากของตัวเองแน่น
“ให้โอกาสพูดใหม่” ไอ้ดิวพูดพลางจ้องผมแล้วเลิกคิ้วขึ้น ระยะห่างของใบหน้าที่ลดลง ทำให้ผมต้องถอยหนี กว่าจะรู้ว่าตัวเองกำลังจนมุมก็ตอนที่แผ่นหลังปะทะเข้ากับกระจกตรงประตู ผมขมวดคิ้ว มือทั้งสองของตัวเองกำลังถูกคนตรงหน้าจับไว้แน่น ก่อนที่ผมจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมือข้างหนึ่งของไอ้ดิวเท้าเข้ากับกระจกที่ผมพิงอยู่ ปลายจมูกและลมหายใจที่รินรดใส่กัน เพิ่มความร้อนของร่างกายและจิตใจของผมได้เป็นอย่างดี
ผมกำลังตกอยู่วงล้อมของมันโดยสมบูรณ์....
“ไอ้ดิว ถอยไปก่อน” ผมบอกพลางเบือนหน้าไปทางอื่น แต่จะหนีไปไหนได้ ในเมื่อตอนนี้ผมอยู่ในวงแขนของคนตรงหน้า ทำไมมึงต้องแย่งพื้นที่เล็กๆของกูด้วยวะ
“ถ้าไม่ถอนคำพูด กูจะไม่ไปไหนทั้งนั้น” ไอ้ดิวว่าย้ำ ผมเบิกตากว้างกว่าเดิม เมื่อตอนนี้รับรู้ถึงปลายจมูกที่ชนกัน ผมเผลอกลั้นลมหายใจของตัวเอง พลางนึกด่าอะไรก็ได้ที่ทำให้ผมต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้
“ไอ้ดิว เลิกยุ่งกับ...กู กูไม่ได้ชอบ...”
ไม่ทันที่ผมได้พูดจบประโยคดีด้วยซ้ำ ก่อนเสียงและคำพูดของผมจะหายไป เมื่อรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างที่สัมผัสตรงริมฝีปาก ทั้งที่ผมกำลังลืมตาแต่กลับมองไม่เห็นอะไรเลยสักอย่าง ดูเหมือนว่าการรับรู้ทั้งหมดของผมในตอนนี้จะไปรวมอยู่ตรงริมฝีปากที่รู้สึกได้ว่ากำลังถูกดูดเบาๆ
อย่าบอกนะว่า มันกำลังจูบผมอยู่!
ผมยังเป็นแค่หนุ่มน้อยที่ไม่เคยผ่านประสบการณ์รักมาก่อน ถึงอย่างนั้นจูบแรกที่ทุกคนให้ความสำคัญก็ควรจะมอบให้ใครสักคนที่เป็นคนพิเศษจริงๆ แถมผู้ชายอย่างผมก็ไม่เคยคาดคิดว่า จะได้มีสัมผัสที่แสนพิเศษแบบนั้นกับผู้ชายด้วยกันอีกด้วย
ผมไม่รู้ตัวว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น นอกจากความตกใจและความอายที่เล่นงานผมจนเหมือนจะเป็นไข้ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามือที่ถูกจับไว้ถูกปล่อยลงเมื่อไหร่ ก่อนทีสติของผมจะกลับมาพร้อมกับรู้สึกได้ถึงมืออุ่นที่กำลังจับแก้มของผมและปลายนิ้วหดเกร็งของตัวเอง
สายตาของผมจับภาพได้อีกครั้ง เมื่อสัมผ้สที่เบียดแน่นตรงริมฝีปากหายไป เหลือเพียงร่องรอยบางอย่างที่ทำให้ผมไม่กล้าขยับปากของตัวเอง ไอ้ดิวที่เดิมมีสีหน้าเรียบนิ่งกำลังแย้มรอยยิ้มสวยส่งมาให้จนผมตาพร่า ก่อนน้ำเสียงทุ้มจะดังขึ้นชิดใบหน้าของผม
“มึงก็ไม่ได้ปากแข็งนี่ ออกจะนุ่มนิ่มแล้วก็หวานซะขนาดนี้” คนตรงหน้าพูดขึ้น ก่อนจะใช้นิ้วโป้งไล้ไปตามแนวริมฝีปากที่ร้อนผ่าวของผมเบาๆ ดวงตาคมสวยสบมองผมนิ่งด้วยประกายที่อ่อนโยนขึ้น “ทำไมถึงไม่ยอมถอนคำพูดตัวเองล่ะ หีม?”
ไอ้เหี้ยดิว!!!
TBC :|– ::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::: …
Note :::มาตอนใหม่มาลงแล้วค่ะ คอนนี้ดิวกับแมลงปอก็จุ๊บุแบบที่บอกไปก่อนหน้านี้นั่นแหละค่ะ
ตอนนี้เหมือนแกล้งแมลงปอยังไงก็ไม่รู้
แบบว่า ให้ความหวังแล้วผลักคกเหว อะไรทำนองนี้ ฮ่าๆ

ตั้งใจว่าหนังสือที่แมลงปออ่าน จะช่วยกระตุ้นความรู้สึกอีกดา้นนึง แต่ว่าพอมานึกว่าตัวเองเป็นแมลงปอ เจอแบบนี้คงโมโหน่าดู
คนเขียนคิดว่า มันเป็นการสะท้อนนิสัยบางอย่างของคนทั่วไปที่คนเขียนเองก็เป็นค่ะ
เวลาที่เราต้องตัดสินใจอะไรบางอย่าง แน่นอนว่าเรามีคัวเลือกเอาไว้ในใจแล้ว แต่ก็ยังไม่กล้าเลือกเต็มที่เพราะยังมีตัวเลือกอีกอย่างที่น่าสนใจด้วยเช่นกัน สุดท้ายก็ต้องหาเครื่องมือบางอย่างมาช่วยตัดสินใจ ในทีนี้ก็เป็นหนังสือทายใจนี่แหละค่ะ
ถ้าถูกใจก็ดีไป แต่ถ้าได้ไม่ถูกใจเนี่ย สุดท้ายเราก็จะหันกลับมาเลือกเอาที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วอยู่ดี
พิมพ์ไปก็ตลกดีเหมือนกัน
ส่วนน้องดิวตอนนี้เขาก็มาแบบเนียนๆ พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส บวกกับการจับจุดอ่อนของแมลงปอให้ได้
งานนนี้แมลงปอไม่มีรอดค่ะ ฮ่าๆ

ไม่รู้ว่าจะเป็นไปอย่างที่ใครหลายคนแอบคิดไว้ไหม แต่ยังไงก็ช่วยติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ
ถ้ามีคำผิดตรงไหนก็ขออภัยด้วยค่ะ
บวกแทนคำขอบคุณ และสามารถแสดงความคิดเห้นได้เต็มที่เช่นเดิมค่ะ
ขอบคุณมากเลยค่ะ
ปล. ตอนหน้าก็จะค่อยๆหวานขึ้นแบบกรุ้มกริ่มจ้า อิอิ