บางทีโชคชะตาของผมในตอนนี้คงเข้าขั้นวิกฤต ไม่อย่างนั้นคงไม่เจอเรื่องน่าตกใจติดกันบ่อยขนาดนี้ บางทีถ้ามีเวลาว่าง ผมก็น่าจะไปทำบุญเก้าวัดเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคล อย่างน้อยก็คงทำให้ผมสบายใจขึ้น
เพราะคำพูดอุกอาจของรุ้งที่บอกไว้ หนำซ้ำเรื่องที่ไอ้ดิวก่อเอาไว้ก็ยังคาใจอยู่ ทำให้ผมที่กำลังสับสนกับตัวเองเลือกที่จะไม่สนใจวิชาที่ต้องเรียนตรงหน้า แต่หันกลับมานั่งทบทวนเรื่องราวของตัวเองเงียบๆอีกครั้ง
ผมเงยหน้ามองดูหน้าตอโทรทัศน์ที่กำลังบรรยายเรื่องความน่าจะเป็น ทำให้ผมนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา ผมหยิบสมุดโน้ตในกระเป๋าของตัวเอง ก่อนจะวาดวงกลมสี่วง พร้อมกับกำกับชื่อเอาไว้ เพื่อบ่งบอกความเป็นเจ้าของ ผมหมุนปากกาในมือครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มโยงความสัมพันธ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตอนนี้อีกครั้ง เหมือนที่เคยเห็นตามหนังสือละครที่บอกความสัมพันธ์ของตัวละคร ทันทีที่โครงสร้างของรูปแบบความวุ่นวายปรากฏขึ้นในสายตา ผมก็มาหยุดลงที่วงกลมที่มีชื่อของตัวเอง
เอายังไงดีวะ..
ดูเหมือนว่าต้นตอของปัญหาทั้งหมดในตอนนี้มันขึ้นอยู่กับผมแล้ว ทุกวงกลมมีลูกศรชี้ไปยังวงกลมอื่น เพื่อบ่งบอกลักษณะความสัมพันธ์ มีแต่วงกลมของผมคนเดียวเท่านั้นที่ไม่รู้ว่าจะโยงไปหาใคร
ถ้าโยงไปหาวงกลมของรุ้ง รูปแบบของโครงสร้างนี้จะไม่มีใครสมหวัง แต่ถ้าหันไปหาวงกลมของไอ้ดิว จะมีคนที่สมหวังหนึ่งคนกับอีกสองคนที่ต้องผิดหวัง แล้วถ้าหากผมหันไปหาวงกลมของพี่น็อต จะมีหนึ่งคนที่สมหวัง หนึ่งคนที่ผิดหวัง และอีกหนึ่งคนที่อาจจะสมหวังหรือผิดหวัง
แต่ประเด็นในตอนนี้คือ ผมไม่ได้ชอบพี่น็อตและเลิกชอบรุ้งแบบนั้นไปแล้ว ถึงจะรู้สึกสงสัยและไม่เข้าใจว่า ทำไมเธอถึงพูดกับผมแบบนั้นก่อนหน้านี้ก็ตามที ที่ร้ายยิ่งกว่านั้นคือ ผมกำลังหวั่นไหวกับไอ้ดิว
ผมลากปลายลูกศรไปยังวงกลมของไอ้ตัวดีอย่างไม่แน่ใจ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วปิดหน้าสมุดลงด้วยใจที่ไม่มั่นคง การลองวาดภาพออกมาแบบนี้ช่วยผมได้ไม่น้อย กลับกันมันก็ช่วยชี้ชัดถึงสถานการณ์ในตอนนี้ของผมได้ดีเช่นเดียวกัน
ผมมีแค่สองทางเลือกเท่านั้น...
หนึ่งคือเลือกที่จะไม่ยุ่งกับใครทั้งสิ้นพร้อมกับเอาตัวเองออกจากวงโคจรที่ไม่รู้จุดจบนี้ แน่นอนว่านั่นเป็นสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ แต่ดูเหมือนว่า สมาชิกผู้ร่วมชะตากรรมจะไม่ยอมให้ผมหนีออกไปจากวงล้อมนี้ได้ หรือสองคือต้องเลือกใครสักคน และแน่นอนว่าตัวเลือกที่ผมคิดไว้ในใจมีอยู่แล้ว เพราะมีอยู่ตัวเลือกเดียวเท่านั้น
ขึ้นอยู่กับผมแล้วว่า กล้าพอที่จะเลือกไหม....
ผมฟุบหน้าลงกับโต๊ะด้วยความคิดที่หนักอึ้ง เสียงบรรยายที่ดังขึ้นนั้นไม่ต่างจากคลื่นความถี่ต่ำที่ไม่สามารถเข้ามาแทรกแซงการทำงานของสมองในตอนนี้ได้ ผมหลับตาลงปล่อยให้ความมืดเข้าปกคลุมโสตประสาทในการมองเห็น
บางทีผมควรจะหาคนมาปรึกษา ใครสักคนที่ไว้ใจได้....
:|– ::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::: …
ผมตัดสินใจเดินออกจากห้องก่อนหมดเวลาเรียนสิบห้านาที นอกจากจะไม่อยากเรียนต่อเพราะไม่ได้เรียนมาตั้งแต่แรกแล้ว ผมยังหนีพี่น็อตที่อาจจะมาดักรอผมที่หน้าห้อง ผมเดินออกจากโรงเรียนกวดวิชาโดยไม่ได้หันไปสนใจใครทั้งนั้น ก่อนจะมาหยุดเดินอีกทีก็ตอนที่รับรู้ได้ถึงความเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่ทำงานอยู่ในห้างสรรพสินค้าแถวนั้น
ผมเดินไปยังร้านอาหารฟาสค์ฟู้ดชื่อดัง เพื่อหาอะไรทานรองท้องก่อนถึงเวลานัด ทว่ากินไปได้ไม่นานเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น ผมหยิบขึ้นมาดู ไม่ค่อยนึกแปลกใจนักกับชื่อเจ้าของปลายสายที่ติดต่อมา
‘พี่น็อต’
สงสัยพี่เขาคงรอผมมาครู่ใหญ่แล้ว แต่ยังไม่เจอเลยโทรมาหาแบบนี้ ผมปิดเสียงโทรศัพท์ก่อนจะปล่อยให้มันสั่นต่อไปอย่างไม่นึกสนใจอีก ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมที่จะคุยกับใครก็ตามที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาที่ผมยังแก้ไม่ตกตอนนี้
ผมกินแฮมเบอเกอร์อยู่คนเดียวพลางมองเด็กวัยรุ่นหลายคนที่เริ่มทยอยเข้ามาในร้าน เมื่อเป็นเวลาของมื้อกลางวันแล้ว ไม่นานโทรศัพท์มือถือของผมก็หยุดสั่น บ่งบอกความพยายามของพี่น็อตที่หมดลง ผมไม่แน่ใจว่าการทำแบบนี้จะทำให้รุ่นพี่คนดังคิดมากไปแล้วหรือเปล่า ก่อนที่ผมจะได้รับข้อความจากพี่น็อต ผมเปิดดูด้วยความสงสัย
‘ทำไมปอไม่รับสายครับ ถ้าเห็นข้อความนี้ยิงหาพี่หน่อยก็ยังดี พี่เป็นห่วงนะ
ผมถอนหายใจออกมา แล้วลุกจากโต๊ะที่จับจองมาพักใหญ่หลังจากกินเสร็จเรียบร้อย ผมเดินออกจากร้าน ก่อนจะรับรู้ได้ถึงแรงสั่นของอุปกรณ์สื่อสารเครื่องเล็กในกระเป๋ากางเกงอีกครั้ง ผมหยิบขึ้นมาดู เผื่อจะเป็นคนที่ผมกำลังรออยู่ ผมถอนหายใจออกมาแล้วเก็บมันลงไปอย่างเดิม เมื่อเห็นว่าเจ้าของปลายสายคนใหม่ ไม่ได้ทำให้ผมนึกอยากจะรับสักเท่าไหร่
อาจจะเป็นคนที่ผมไม่อยากคุยมากที่สุดในตอนนี้เลยก็ว่าได้...
ผมปล่อยให้ไอ้ดิวใช้ความพยายามต่อไปอย่างไม่นึกสนใจ ไอ้หน้ายิ้มไม่ได้โทรติดกันเป็นสิบๆสายในทีเดียวหรอกนะครับ แต่ไอ้ตัวดีมันเว้นจังหวะทุกๆห้านาทีในผมรำคาญเล่น บางทีก็ทิ้งสิบนาทีแต่ก็ยังไม่หยุดโทรมา ครั้นจะปิดเครื่องหนีไปเลยก็กลัวจะดูจงใจหนีมากเกินไป แถมถ้ามีใครติดต่อเรื่องด่วนขึ้นมาล่ะก็แย่แน่ครับ
เพราะการโทรหาแบบเว้นระยะของมัน มีหลายครั้งที่ผมนึกว่าคนอื่นโทรมา แต่พอหยิบขึ้นมาดูก็เห็นแต่ชื่อเดิมๆกับความพยายามเดิมๆ
เชิญมึงพยายามต่อไปเถอะ ไอ้บ้า!
ผมชักสีหน้าใส่โทรศัพท์มือถือของตัวเองแล้วเก็บลงไปอย่างเดิม นั่งรออยู่ไม่นาน ผมก็เห็นร่างของคนที่ผมกำลังรออยู่เดินตรงเข้ามา ดูเหมือนว่ายังเป็นคนตรงต่อเวลาเหมือนเดิม
“รอนานไหม”
“ไม่หรอก” ผมลุกขึ้น ก่อนจะยิ้มออกมาเล็นน้อย “ขอบใจว่ะโต้งที่มา”
“ไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรนี่” โต้งพูดอย่างไม่ใส้ใจ สายตาคมนิ่งที่เรียบสงบนั้นตวัดมองมาที่ผม ก่อนจะมองเลยไปทางอื่น “ไปหาที่นั่งคุยกันดีกว่า”
“อืม” ผมพบักหน้ารับ พร้อมกับหัวใจที่แห้งผาก เมื่อมีน้ำมาล่อเลี้ยงขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับมือที่เผลอกำโทรศัพท์มือถือที่ยังสั่นไม่หยุดในกระเป๋ากางเกง
:|– ::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::: …
ตอนนี้พวกเรากำลังอยู่ในร้านสเต็กครับ ตั้งใจว่าจะเลี้ยงโต้งเสียหน่อย แต่เพื่อนผู้อ่านยากคนนี้ก็ปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา แถมยังบ่นใส่ผมที่ใช้เงินไม่คิด ทั้งที่ยังหามาเองไม่ได้แท้ๆ
คงเพราะคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับผมในตอนนี้เริ่มทำงานเสริมแล้วล่ะมั้ง ถึงได้มองเห็นค่าของเงินที่แลกมากับหยาดเหงื่อว่ามันมีค่ามากแค่ไหน ผมที่ยังทำตัวเป็นแค่เด็กวัยรุ่นเที่ยวเล่นไปวันๆแบบนี้ก็รู้สึกละอายใจขึ้นมาไม่น้อย
ทั้งที่อายุเท่ากัน แต่ดูเหมือนว่าโต้งจะโตกว่าผมทั้งทางร่างกายและความคิด....
หลังจากสั่งเมนูกับพนักงานเสร็จ ใบหน้าดูดีของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าก็หันกลับมาสนใจผมอีกครั้ง ธรรมดาโต้งมักจะเล่นโทรศัพท์มือถือของตัวเอง หรือไม่ก็หยิบหนังสือการ์ตูนมาอ่านรอเวลาในสถานการณ์แบบนี้ มีน้อยครั้งนักที่เจ้าตัวจะสนใจคนอื่นเหมือนในตอนนี้
“แปลกใจเหมือนกันที่มึงโทรมา”
“คงไม่ถึงขั้นตกใจหรอกใช่ป่ะ” ผมหยอกกลับ คงเพราะเคยนั่งเรียนด้วยกันมาก่อน ทำให้ผมกับโต้งสนิทกันในระดับหนึ่ง
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก” โต้งบอก ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย “คงมีปัญหาที่ปรึกษาไอ้กี้ไม่ได้สินะ”
ผมไม่ได้แปลกใจกับประโยคที่ได้ยินเท่าไหร่ นึกเอาไว้แล้วว่า คนอย่างโต้งคงพอเดาอะไรได้บ้างแล้ว ตั้งแต่ที่ผมเริ่มโทรไปหา ในเมื่อเรื่องนี้ไอ้กี้มันไม่ได้เป็นกลาง ผมก็ต้องหันมาปรึกษาเพื่อนอีกคนที่น่าเชื่อถือกว่า
“คิดว่ามึงน่าจะเดาออกอยู่แล้ว” ผมบอก พร้อมกับหันไปหยิบแก้วน้ำที่พนักงานเดินมาเสิร์ฟให้
“อืม” โต้งพูดแค่นั้น ก่อนจะหยิบแก้วน้ำมาดูด ผมมองพลางเลิกคิ้วขึ้น เมื่อไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรออกมาอีก
“โต้ง กูกำลังสับสนว่ะ” ผมบอกความรู้สึกที่มีตอนนี้ไปตามตรง ถ้าคิดจะไว้ใจเพื่อขอคำปรึกษา ผมก็ควรเปิดใจบอกสิ่งที่คิดไว้ทั้งหมด
“เพราะเรื่องนี้เลยทำให้พักนี้ มึงดูซึมไปใช่ไหมวะ” โต้งพูดขึ้นพลางมองมาที่ผม
“มึงรู้สึกด้วยเหรอ” ผมถามอย่างแปลกใจ ไม่นึกว่าจะเป็นคนที่ดูออกง่ายแบบนั้น
“ทุกคนก็ดูออกกันหมดนั่นแหละ” โต้งบอก “ที่ไม่มีใครถามเพราะอยากให้มึงเล่าเองต่างหาก”
“ขอโทษว่ะ” ผมรู้สึกผิดจริงๆที่ทำให้เพื่อนต้องมาเป็นห่วงแบบนี้
“ไม่เป็นไรหรอก แต่กูสงสัยมากกว่า” โต้งหยุดพูด เมื่อเห็นพนักงานยกอาหารมาเสิร์ฟ ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ หลังจากอาหารที่สั่งไว้วางอยู่บนโต๊ะจนครบ โต้งก็พูดขึ้นอีกครั้ง “กูไม่แน่ใจหรอก แต่คงเป็นเรื่องความรักของมึงตอนนี้สินะ”
“ความรักอะไรเล่า คงเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบมากกว่าล่ะมั้ง” ผมบอกพร้อมกับยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆของโต้ง
“ถ้าอย่างนั้นคงวูบนานไปหน่อยแล้วว่ะ”
“กูก็ว่าอย่างนั้น” ผมบอกเสียงแผ่ว ก่อนจะใช้ส้อมเขี่ยสปาเกตตี้ครีมเห็ดที่สั่งไว้ไปมา “กูรู้สึกขัดแย้งในตัวเองยังไงก็ไม่รู้ว่ะ”
“หืม?”
“กูไม่แน่ใจเท่าไหร่ ยังไงดีล่ะ ” ผมนึกหาคำพูดไม่ออก ทั้งที่อยากจะบอกออกไปให้หมด ความรู้สึกอายดันมาทำงานขึ้นมาเสียก่อน ถึงจะบอกกับตัวเองว่าจะเล่าเรื่องทุกอย่างจนหมดเปลือก แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะมาเล่าเรื่องแบบนี้ให้ใครสักคนได้ฟัง
“ปอตอนนี้มึงคิดอะไรอยู่” จู่ๆ โต้งก็ถามมาแบบนั้น เพราะเห็นท่าทีอ้ำอึ้งของผมล่ะมั้ง
“กูกำลังนึกว่าจะบอกมึงยังไงดี คือ กูอายว่ะ” ผมบอกแล้วก้มหน้าลงไปมองจานอาหารตรงหน้าอย่างหาที่พึ่งพิง
“เรื่องไอ้ดิวใช่ไหม” โต้งเป็นฝ่านถามผมอีกครั้ง
“อืม คือว่า...” ผมเดาะลิ้นไปมาด้วยความหงุดหงิดตัวเอง เพราะความขี้ขลาดส่วนตัว ขนาดจะขอความช่วยเหลือยังทำได้แบบครึ่งๆกลางๆแบบนี้
“ไอ้ดิวมันชอบมึง” โต้งบอกอย่างชัดเจน ผมเงยหน้ามามองพลางเม้มริมฝีปากของตัวเองไว้ แน่นอนว่า ผมเองก็รับรู้เรื่องนั้น สัมผัสนุ่มร้อนในตอนนั้นยังงคงติดอยู่ที่ริมฝีปากของผมจางๆ
“กูรู้สึกว่ามันมีอืทธิพลกับกูมากเกินไปหน่อย” ผมบอก หลังจากที่นึกหาคำพูดมาได้สักพัก “พักนี้ไอ้ดิวมันเข้ามาสนิทกับกูมาก แล้วบางทีมันก็ทำให้กูอายจนทำอะไรไม่ค่อบถูก” ผมมองดูท่าทีคนฟังเล็กน้อย ก่อนจะเห็นโต้งพยักหน้ารับรู้
“เมื่ออาทิตย์ก่อน กูเห็นมันเดินควงผู้หญิงอยู่ในห้าง” ผมบอกอีกครั้ง พร้อมกับก้มลงเอาส้อมเขี่ยสปาเกตตี้ของตัวเอง “แล้วกูก็เริ่มหงุดหงิดที่เห็นแบบนั้น คือ จริงๆแล้วมันไม่ใช่เรื่องของกูสักหน่อย”
“อืม” โต้งตอบรับแค่นั้น ก่อนจะตักสเต็กที่หั่นไว้เป็นชิ้นพอดีคำเข้าปาก ผมมองดูท่าทีผู้ร่วมสนทนาครู่หนึ่ง เพราะท่าทีไม่แตกตื่นตกใจหรือเปล่าก็ไม่รู้ที่ทำให้ผมเริ่มกล้าพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“แล้วเมื่อวานนี้กูไปอ่านหนังสือเล่มนึง แล้วมันบอกว่ากูอาจจะเป็นพวกที่ชอบผู้ชายไปแล้ว” ผมพูดออกไปอย่างลังเล
“อย่างนั้นเหรอ”
“เมื่อเช้ากูเจอรุ้งด้วย แล้วเธอก็มาบอกว่าเมื่อไหร่กูจะไปจีบ” โต้งเลิกกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย ผมถอนหายใจออกมา “แต่ตอนนี้กูไม่ได้ชอบรุ้งแล้วว่ะโต้ง”
ผมข้ามเรื่องที่ไอ้ดิวมันมาขโมยจูบของผมไป เพราะคิดว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ควรมาเล่าให้ใครฟังเท่าไหร่ ก่อนที่ผมจะมองท่าทีที่เหมือนคิดอะไรบางอย่างของโต้งด้วยความกระวนแระวายเล็กน้อย เมื่อรู้สึกว่าคำพูดที่ดูวกไปวนมาจะเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว
“แล้วมึงคิดว่ายังไง”
“กูไม่รู้ว่ะ” ผมบอกไปตามตรงอย่างคนที่หมดแรง “กูไม่อยากเป็นแบบนี้เลย”
“แต่กูว่า มึงชอบไอ้ดิวไปแล้วว่ะปอ”
TBC :|– ::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::: …
Note :::ตอนนี้ขอเก็บดิวไปก่อนนะคะ แฮะๆ แล้วเอาโต้งขึ้นมานำแทน อิอิ
ตอนนี้ก็บรรยายความรู้สึกของแมลงปอในตอนนี้ รวมถึงเรื่องของรุ้งที่แอมลงปอ ลืมไปแล้ว ฮ่าๆ (ผู้หญิงลืมยากนะจ๊ะ ปอเอ๊ย)
ตอนนี้น่าจะมาถึงจุดเกือบสุดท้ายที่แมลบงปอจะใจแข็งแล้วค่ะ
ยังไงก็เอาใจช่วยกันต่อไปด้วยนะคะ
ถ้ามีคำพิมพ์ไปบ้างต้องขออภัยด้วยค่ะ สามารถแนะนำติชมได้เต็มที่เช่นเคย
ขอบวกแทนคำขอบคุณทุกความคิดเห็นนะคะ
ขอบคุณมาเลยค่ะ
ผล. ตอนหน้าน้องดิวจะรุกหนัก พร้อมกับความหวานระดับเลเวลอัพค่ะ
ติดตามกันด้วยนะคะ อิอิ
