● เล่ห์รักฤดูร้อน ●
ยกที่ 15 – กำราบ
“ผมจะเกรียนจนกว่าเขาจะเลิกคุกคามผม”
- คิมหันต์ วานิชตระการกูล -
"ผมจะคุกคามมันจนกว่าไอ้เด็กนั่นจะเลิกเกรียน”
- สามภพ พร้อมพิมาน -
“ผมจะขายหนังโป๊ ฝากบอกสองคนนั้นช่วยไปคุกคามและเกรียนกันไกล ๆ(ได้โปรด)”
- สมบูรณ์ พีระพฤกษ์ -
เมื่อครู่นี้คืออะไร?คิมหันต์ยกมือขึ้นกุมอกเสื้อ ส่งลมหายใจกระแทกกระทั้นจนแผ่นอกขยับขึ้นลงเป็นจังหวะหนักหน่วง ขณะที่ยืนพิงผนังกำแพงในโถงหน้าห้องน้ำเก่าของโรงเรียนซึ่งแทบไม่มีใครมาใช้งาน
เขาติดจะชอบสัมผัสเนื้อตัวผู้อื่น แต่ว่ากันตามจริงแล้วปกติก็เคยแต่ทำตัวเกาะแกะฝ่ายตรงข้ามและมักเป็นคนเริ่มก่อนเสมอ ซึ่งหมายความว่าเขาย่อมรู้และสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของตัวเองได้ การตกอยู่ในสถานะเป็นฝ่ายถูกกระทำด้วยการกระชากตัวเข้าไปแนบชิดกะทันหันขนาดนั้นเป็นสิ่งที่ต่างไปจากทุกครั้งอย่างสิ้นเชิง
เขาไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรหลังจากนั้น และรู้สึกไม่ปลอดภัยจากภาวะที่ตัวเองหมดความสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ ทั้งในส่วนของสิ่งรอบตัวและความสับสนอลหม่านอันเกิดขึ้นในตัวเขาเอง
ซึ่งอย่างหลังนั้นน่ากลัวกว่ามากทีเดียวเด็กหนุ่มไถลตัวทรุดลงนั่งยอง รู้สึกได้ถึงเม็ดเหงื่อซึ่งยังผุดพรายอยู่บนลำคอและแผ่นหลัง มือทั้งสองข้างยกขึ้นเสยผมอ่อนแรง รู้ตัวดีว่าครั้งนี้เสียศูนย์ไปมากทีเดียว หากไม่มือไวคว้ากระเป๋าสตางค์ของสามภพแล้วโยนไปทางอื่นจนเจ้าตัวต้องละจากเขาแล้ววิ่งตามไปเก็บก็ไม่รู้จะเอาตัวรอดมานั่งหอบอยู่ที่นี่ได้หรือเปล่า ที่โยนออกไปนั้นแม้คิดว่าไม่ไกลมากจนถึงกับหาไม่เจอ แต่เชื่อว่าสามภพต้องโกรธเป็นหมาบ้าระยะสุดท้ายแน่นอน
“...ไอ้บ้าเอ๊ย...” เขาพึมพำเสียงเบาหวิว ไม่แน่ใจนักว่าหมายถึงตัวเองหรือสามภพ
เหตุการณ์เมื่อครู่หลังจากใบหน้าแยกออกจากกันนั้นเป็นปฏิกิริยาที่ทำไปโดยไม่ทันได้ไตร่ตรองจริง ๆ ทั้งหมดราวกับเป็นรีเฟล็กซ์ของร่างกายซึ่งเกิดขึ้นเอง อยู่นอกเหนือความสามารถจะควบคุมในสถานการณ์คับขัน เขาอาจไม่ถนัดเรื่องต่อยตี แต่หากมีอะไรที่เข้ามาทำให้รู้สึกว่ากำลังไม่ปลอดภัยก็มักจะออกตัวใช้เล่ห์เหลี่ยมอะไรสักอย่างโจมตีใส่ฝ่ายตรงข้ามก่อนเสมอ อย่างน้อยก็ให้มากพอจะแน่ใจว่าสามารถเอาตัวรอดได้ ไม่นึกว่าพอเจอกับคนอย่างสามภพ ยิ่งพยายามต่อต้านกลับยิ่งกลายเป็นพัวพันยุ่งเหยิงมาได้ถึงเพียงนี้
มันผิดพลาดตั้งแต่ตรงไหนกัน?“เว้ยยยยยย! บัดซบ!”อัดอั้นจนเผลอตะโกนออกไป อย่างไรเสียที่นี่ก็ไม่มีคนอื่นอยู่แล้ว หากไม่ได้โวยออกมาเสียบ้างเห็นทีจะได้อกแตกตายพร้อมความวุ่นวายใจซึ่งสะสมมาเรื้อรัง ได้ส่งเสียงดังออกไปแล้วจึงค่อยยังชั่วขึ้นมาบ้าง
คิมหันต์ยืนหอบ กวาดสายตามองห้องน้ำทั้งห้าตรงหน้าคร่าว ๆ ประตูถูกแง้มไว้อยู่สี่บาน ส่วนอีกบานซึ่งเป็นของห้องในสุดนั้นปิดอยู่ซึ่งเดาว่า...
โครม!!เด็กหนุ่มแทบกระโจนไปชนอ่างล้างหน้า ความเชื่อแรกที่ว่าไม่มีใครอยู่ที่นี่เห็นทีต้องคิดใหม่ ใครสักคนอยู่หลังประตูบานสุดท้ายที่ปิดอยู่แน่นอน โชคดีที่เขายังไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้นให้คนอื่นได้ยิน ว่าแต่ที่อยู่ในห้องน้ำเก่าหยากไย่เกาะนั่นใครกัน
“เฮ่ย!” คำอุทานดังตามมาจากหลังบานประตู สุ้มเสียงบอกชัดว่านั่นเป็นการหลุดปากออกมามากกว่าจะทักทายเขา และคลื่นความถี่เสียงระดับนั้นก็ช่างฟังดูคุ้นหูเสียเหลือเกิน
ปิ่นหยก?เขายังไม่ปักใจเชื่อแม้ความรู้สึกบางอย่างจะกระซิบบอกว่าต้องเป็นปิ่นหยกแน่ ๆ แค่พยางค์เดียวที่ได้ยินยังไม่อาจยืนยันได้แน่ชัด ทว่าก็ไม่เสียหลายหากจะลองพิสูจน์
“ไอ้ปิ่น!?”
คิมหันต์ส่งเสียงเรียก หรี่ตาเพ่งมองบานประตูพร้อมกับเงี่ยหูฟังทุกสรรพเสียงที่อาจดังข้ามมาให้ได้ยินหลังจากเขาเอ่ยปากถาม ไม่รู้ว่าอุปาทานไปเองหรือเปล่าว่ามีเสียงกระซิบกระซาบซึ่งไม่ได้พูดกับเขาล่องลอยอยู่ในห้องนั้น
เด็กหนุ่มเหลียวมองโดยรอบไม่มีใครจึงย่อตัวลงอีกหน่อย ความสงสัยเอาชนะทุกสิ่งจนตัดสินใจทำเรื่องเสียมารยาทด้วยการส่องดูใต้ประตูห้องน้ำซึ่งมีช่องว่างสูงขึ้นจากพื้นขึ้นมาราวสิบห้าเซนติเมตร
ภาพที่เห็นคือถังขยะล้มกลิ้ง (เดาว่าจากเสียง
‘โครม!’ เมื่อครู่นี้) และรองเท้านักเรียนสีดำหนึ่งคู่อยู่ในนั้น
อยู่คนเดียว?“ไอ้ยาจกปิ่น!? ใช่แกหรือเปล่า?” ความพยายามครั้งที่สองถูกส่งไป ก่อนจะได้รับเสียงตอบรับมาในที่สุด
“อ..เออ! ฉันเอง”
คิมหันต์หรี่ตา ถ้อยคำเมื่อครู่เป็นเสียงปิ่นหยกแน่นอน แต่รองเท้าที่เขาเห็นจากช่องว่างใต้ประตูนั้นใหญ่เกินกว่าจะเป็นไซส์ของเพื่อนรัก ข้อนี้เขารู้ดีที่สุดเพราะทั้งขนาดเสื้อผ้าและรองเท้าของปิ่นหยกนั้นใกล้เคียงกับเขามาโดยตลอดตั้งแต่คบเป็นเพื่อนกัน
เด็กหนุ่มได้ยินคำกระซิบกระซาบฟังไม่ได้ศัพท์ปะปนกับเสียงลมหายใจซึ่งไม่ใช่ไอ้เพื่อนงก และเขารู้แล้วว่ารองเท้าคู่โตที่เห็นนั้นเป็นของใคร
ปิ่นหยกอาจเหยียบอยู่บนฝาโถส้วม ส่วนอีกคนซึ่งร่วมกระทำการลึกลับในห้องนั้นแทบไม่ต้องใช้ความสามารถอะไรสักอย่างในการเดาให้ถูกเลย
ไอ้คุณชายอาทิตย์! มิน่าพอลงจากเวทีประมูลถึงได้หายหัวกันไปทั้งคู่ เพื่อนขึ้นเวทีโดนเชือด(เปรียบเทียบน่ะ)จะมาดูใจหรือช่วยประมูลสู้สักหน่อยละไม่มี
แต่เอาเถอะ...จะแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็ได้ แกล้งให้อายบ่อย ๆ ก็ออกจะน่าสงสารไปนิด
“แกมาทำบ้าอะไรที่ห้องน้ำเก่าวะ” เขาร้องถามเสียงเรียบเหมือนคนไม่รู้เรื่อง แต่ครั้นจะไม่ถามเลยก็คงดูผิดวิสัยเกินไปอีก
“มา..ขี้” ไอ้เพื่อนเวรก็ช่างกล้าตอบมาได้ ขี้บ้าอะไรมุดหายเข้าไปสองคน “ห้องน้ำอื่นคนเยอะ”
มีเวลาให้เขาพยักหน้าหงึกหงักขอไปทีพลางบอกตัวเองให้พยายามเชื่อมันหน่อยอยู่ไม่นาน ปิ่นหยกก็ยิงคำถามที่ทำให้เขาเองกลับตกเป็นฝ่ายอ้ำอึ้งบ้าง
“แกเหอะ มาตะโกนด่าอะไรตรงนี้!?”
“...เปล่า” เด็กหนุ่มผมทองเอามือถูจมูกสองสามครั้งดับอารมณ์คุกรุ่น “อืม..แต่ควายปิ่นก็ไม่ได้โง่มากใช่ปะ บอกเปล่าก็คงไม่เชื่ออยู่ดีนั่นแหละ แบบหงุดหงิดนิดหน่อย”
“.....??”
“..ประมาณนั้น” เขาพูดเองเออเองเสร็จสรรพแล้วพยายามเปลี่ยนเรื่องแบบไม่เนียน แต่คิดว่า ณ จุดนี้ปิ่นหยกคงไม่ทันสังเกตเพราะน่าจะยุ่งกับธุระส่วนตัวบางอย่างของเจ้าตัวซึ่งเขาไม่อยากไปนึกถึง “เมื่อไหร่จะเสร็จ รีบ ๆ ออกมาดิ”
“ไปรอข้างนอกก่อนก็ได้” พูดได้แค่นั้นแล้วอีกฝ่ายก็เสียงขาดห้วงไป ไม่อยากคิดว่าเกิดอะไรขึ้นในพื้นที่สี่เหลี่ยมแคบ ๆ ซึ่งถูกกั้นไว้ด้วยประตูหนึ่งบาน
คิมหันต์ส่ายหน้า บอกตัวเองว่าอย่าไปนึกถึงแม้จะเดาได้อยู่แล้ว ความสัมพันธ์ในลักษณะคนรักระหว่างเพื่อนทั้งสองซึ่งเป็นผู้ชายด้วยกันกำลังทำเขาหัวหมุนไม่ทราบสาเหตุทั้งที่ปกติก็ไม่ได้คิดอะไรมากแท้ ๆ
“บ..แบบ...ท้องผูก” ปิ่นหยกพูดต่อเสียงกระท่อนกระแท่นในที่สุด แต่ได้อีกแค่นิดเดียวก็สะดุดลงอีก “...จะ...โอ๊ะ!”
“แกว่าอะไรนะ...?”
“เปล๊า! ท้องผูก จะนั่งนานว่ะ!” เพื่อนรักยังยืนยันเช่นเดิม “แกไปรอตรงเก้าอี้ข้างนอกก่อนก็ได้”
คิมหันต์กอดอก เอ่ยรับคำ “เออ งั้นออกไปรอข้างหน้านะ” ก่อนจะทำเสียงลากเท้าคล้ายเดินออกจากโถงหน้าห้องน้ำไปด้านนอกให้อีกฝ่ายเข้าใจเช่นนั้นแล้วย่องด้วยฝีเท้าเงียบเชียบกลับมายืนอยู่ที่เดิม ฟังสองคนในห้องน้ำสนทนาด้วยเสียงกระซิบแทรกกับเสียงเสื้อผ้าสวบสาบเพื่อให้แน่ใจอีกครั้งว่าไม่ได้เข้าใจผิดไปเอง
เดี๋ยวนะ...พอนึกขึ้นได้เด็กหนุ่มก็ยกมือขยี้ผมสีทองของตัวเองจนยุ่งเหยิง อุตส่าห์ว่าจะไม่สนใจแล้วเชียว..สับสนชีวิตบอกไม่ถูก ต้องจัดการอย่างไรกับนิสัยอยากรู้อยากเห็นของตัวเองดี
เขาย่องกลับไปรอด้านหน้าตามที่ปิ่นหยกบอกไว้ สำหรับวันนี้ควรพอเสียทีดีกว่า เวลาเพิ่งบ่ายแก่ งานโรงเรียนยังมีต่ออีกยาวไกลจนค่ำมืดแต่เขากลับรู้สึกใกล้หมดแรงเสียแล้ว คิดว่ารอทักทายปิ่นหยกสักหน่อยแล้วเอาเงินค่าแรง(ซึ่งไร้ประโยชน์สิ้นดี)ไปให้สมบูรณ์ ขนมอะไรที่ตั้งจะใจเลี้ยงค่อยเอาไว้วันหลังตอนมีอารมณ์ละกัน เสร็จธุระแล้วรีบชิ่งกลับบ้านก่อนคงจะเข้าท่า
ซึ่งหากทั้งหมดง่ายดายอย่างนั้นก็ดี.
.
.
.
.
ครู่ใหญ่กว่าปิ่นหยกจะเดินออกมาเพียงลำพัง
ถูกแล้ว...เพียงลำพัง เดาว่าอาทิตย์คงยังอยู่ในห้องน้ำนั่นเอง น่าจะถูกกำชับเอาไว้ว่าอย่าเพิ่งออกมา และคิมหันต์ก็ทำได้ดีทีเดียวสำหรับการตีหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราว
ปิ่นหยกพยายามชวนคุยเรื่องการประมูลขณะที่พวกเขาเดินออกมาตามทางระหว่างตึก ทำตาโตจนน่าตลกเมื่อคิมหันต์เฉลยว่าค่าตัวที่ได้นั้นตั้งหนึ่งหมื่นบาท ปากก็ร้องออกมาเสียลั่น แทบขยุ้มแขนเสื้อเขาขาดติดมือด้วยความทึ่ง
“สามสิบเปอร์เซ็นต์...แกก็ได้ส่วนแบ่งสามพัน” ประโยคนั้นซ่อนความงกไว้ไม่มิดเลย “โหคิม! ใครวะหน้าโง่แล้วยังใจป้ำขนาดนี้!?”
“หน้าโง่จริงแหละ ไอ้พี่ภพ” ดูเหมือนมวลความหงุดหงิดจะเริ่มขยายตัวขึ้นอีกครั้ง คิมหันต์โคลงศีรษะหงุดหงิดใจเมื่อภาพเหตุการณ์ย้อนขึ้นมาในหัวเป็นฉาก ๆ “แม่ง ซวยบรรลัย”
“พี่ภพ?”
“คนที่มาร้านเค้กเมื่อวันที่แกเสียตัวไง”
“เลว!” ปิ่นหยกร้องลั่น ใบหน้าขึ้นสีแดงจัดออกอาการลนลาน ความรักทำเพื่อนเขาบ้าไปแล้ว
“จริงสิ วันนั้นไอ้คุณชายจับแกซุกอยู่แต่ในห้องนี่หว่าเลยไม่เจอกัน”
เพี่อนรักถึงกับสำลักออกมาค่อกแค่ก “หยุดย้ำเรื่องนั้นได้แล้วเวรเอ๊ย! อิดออดอยู่นั่นแหละ ตกลงใครวะ เสี่ยฉิบหาย”
“น้องชายแฟนพี่อันนา”
“ดีออกมีเงินใช้" ปิ่นหยกทำหน้าเคลิบเคลิ้ม "อย่าลืมเลี้ยงข้าวฉันสักอาทิตย์”
“คนยิ่งเครียด ๆ ยังจะมาทำตะกละใส่อีกไอ้เพื่อนชั่ว”
“เครียดบ้าอะไร เขาไม่จับแกไปฆ่าหรอก”
“มันฆ่าแน่แหละ” คิมหันต์ถอนหายใจเฮือก ทั้งที่เขาอุตส่าห์โล่งใจตอนอันนาบอกว่ามาคนเดียวแล้วแท้ ๆ ไม่ได้เฉลียวใจสักนิดว่าตัวปัญหาจะตามมาทีหลัง “วันที่เจอกันครั้งแรกฉันปล่อยยางรถไอ้พี่นี่แบนแต๊ดแต๋ พวกโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงไปเลย” คิมหันต์กำลังจะเล่าต่อ แต่คิดอีกที ปิ่นหยกรู้แค่นี้ก็พอจะได้ไม่ต้องมาติดร่างแหไปด้วย ลำพังแค่รับมือกับอันนาก็น่าสงสารไอ้เพื่อนรักแย่แล้ว
“โอ้...” ปิ่นหยกทำปากจุ๊ ๆ ล้อเลียน ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวเอาเสียเลย “เกรียนว่ะคิม พี่สิสิรสั่งสอนมาให้เป็นเด็กดีไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ใช่เวลามาซ้ำเติมนะว้อย!”
“แบ่งมาให้สักพันห้าแล้วจะทั้งโอ๋ทั้งปลอบน้องคิมเลย”
“เพื่อนเฮงซวย!”
“น้องครีมครับ”พูดถึงหมา..หมาก็มาคิมหันต์ชาวาบไปทั้งตัว อยากก้าวถอยหลังแต่ขากลับไม่ยอมขยับเสียอย่างนั้น
"ไง?" เสียงทุ้มทักทายต่อ แต่ไม่ช่วยให้อะไรฟังดูดีขึ้นเลยสักนิด
“เชี่ย!” เขาอุทานออกมาเสียงสั่น เท้าซึ่งเคลื่อนไหวได้แล้วในที่สุดพาตัวเองถอยออกมาหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มเย็นเยียบของชายหนุ่มตรงหน้าช่างชวนสยองจนขนลุก
“เด็กเปรต! ปากหมานะเรา”
“คิม...คนนี้...?” ปิ่นหยกถามขึ้นไม่รู้อิโหน่อิเหน่
คิมหันต์เหลือบไปสบตาเพื่อนรัก ยังอุตส่าห์มีเรี่ยวแรงเหลือพยักพเยิดให้รู้ว่านี่แหละคนที่กำลังพูดถึง ก่อนจะหันไปพยายามทำใจดีสู้หมาส่งเสียงทักทายกลับพร้อมยักไหล่ไปด้วย คงมาดยียวนเช่นเคยแม้เริ่มใจตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ พิกล “ไงพี่ วิ่งหากระเป๋าตังค์เหนื่อยปะ?”
“ปากหมาแต่เสือกไวเป็นแมลงสาบ!”
สามภพคำรามลอดไรฟัน ย่างสามขุมเข้าไปใกล้แล้วคว้าคอเสื้ออีกฝ่ายขึ้นมาโดยไม่เปิดโอกาสให้ได้เคลื่อนกายหนี ด้วยรู้ดีว่าหากให้เวลาคิมหันต์ได้ตั้งหลักสักหน่อยอาจหมายถึงหายนะที่จะตามมาในภายหลัง ซึ่งเขาคิดว่าที่ผ่านมาก็ปล่อยอีกฝ่ายเล่นสนุกจนชักได้ใจเกินไปแล้ว
“มาด้วยกัน!” ออกแรงกระชากอีกเพียงนิดเดียวร่างโปร่งของคิมหันต์ก็ลอยหวือเข้าหาพร้อมกับเสียงโวยวายขาดห้วงจากอาการสำลัก
“เฮ่ย! ไม่ว่าง ไม่ไ—! เว้ยย! ทำไรวะ!”สามภพส่ายหน้า มือยังกำแน่นอยู่กับคอเสื้ออีกฝ่ายซึ่งพอเริ่มพูดได้ใหม่คราวนี้กลับหันไปขอความช่วยเหลือเด็กหนุ่มอีกคนด้านข้างแทน
“ไอ้ปิ่นช่วยหน่อยดิ๊!”“เอ่อ...เออ ๆ” เจ้าของชื่อสะดุ้ง ยืดหลังขึ้นตรงเป๊ะด้วยอาการประหม่าระคนตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า กระนั้นก็ดูพยายามเต็มที่จะช่วยเพื่อนตัวเองด้วยการไกล่เกลี่ยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “อ่า...พี่ครับปล่อยเถอะ มีอะไรค่อยพูดค่อยจา เจ็บตัวกันขึ้นมามันจะสิ้นเปลืองค่ารักษานะพี่”
“เป็นเพื่อนไอ้หัวทองนี่?”
ปิ่นหยกพยักหน้า พร้อมความหวังว่าสถานการณ์จะดีขึ้นสักนิด
“ปิ่นหยกสินะ?”
เด็กหนุ่มพยักหน้าอีกครั้ง เอื้อมมือไปช่วยดึงคิมหันต์ออกมาอย่างไร้ผล
“เรื่องนี้น้องสะใภ้พี่อันไม่เกี่ยว”
“ห๊ะ!?”
ปิ่นหยกเบิกตากว้าง ขณะที่คิมหันต์ดิ้นขลุกขลักซึ่งได้ผลดีพอกับการเอาไม้จิ้มฟันไปแซะกระบองเหล็ก ยังไม่ทันได้สั่งเสียกับเพื่อนรัก (ไม่สิ..เขายังตายไม่ได้ ใครจะดูแลไอ้ดุ๊กดิ๊ก) สามภพก็กระชากตัวเขาออกห่างจากตำแหน่งเดิมไปไกลด้วยข้อได้เปรียบทางด้านร่างกายอย่างน่าขัดใจ
"เจ้าเล่ห์ยังไง พอถึงเวลาแบบนี้แล้วทำอะไรได้ไหม?" ชายหนุ่มก้มลงไปเย้ยหยันคนที่ดิ้นขลุกขลักไร้ทางสู้ ความอดทนถูกใช้ไปแทบเกลี้ยงตั้งแต่ตอนวิ่งแทรกผู้คนแน่นขนัดไปเอากระเป๋าสตางค์ตัวเองซึ่งถูกไอ้เด็กมือไวตรงหน้าขว้างไปไกลเรียบร้อยแล้ว "อวดดี ปากเก่ง"
"ถ้าเทียบกับพี่" เด็กหนุ่มยิ้มพราย "ผมจะถือว่านั่นชม"
สามภพส่งสายตาเวทนา จนป่านนี้ยังไม่รู้จักเจียมอีก "ปากหมาอย่างนี้ พี่ไม่รู้แกโตขึ้นมาได้ไงโดยไม่ถูกกระทืบตายไปก่อน"
คิมหันต์แค่นหัวเราะ "แล้วคิดว่าผมไม่เคยโดนหรือ?"
ชายหนุ่มชะงัก พิศมองอีกฝ่ายนิ่งราวกับอยากจ้องให้ทะลุปรุโปร่งเพื่อจับผิดในความหมายของประโยคนั้น ก่อนจะพบว่าการค้นหาความจริงจากคิมหันต์บางทีก็เป็นความพยายามที่ไร้ประโยชน์ ไอ้เด็กนี่กลิ้งกลอกได้ร้ายกาจเกินไปจนไม่รู้ว่าแบบไหนเป็นตัวตนแท้จริงแล้ว
"เงียบไป!"สามภพหงุดหงิดจนกว่าจะต่อล้อต่อเถียงให้ประสาทเสียไปกว่าเดิมแทบทุกครั้งที่อีกฝ่ายเอ่ยปากพูด ขณะที่คิมหันต์ยังพยายามต่อต้านสุดตัวแม้จะถูกทั้งดึงทั้งลากมาจนเกือบถึงหน้าโรงเรียน ผู้คนพากันหันมาจ้องมองพวกเขาตลอดทาง เข่าสองข้างของเด็กหนุ่มถลอกปอกเปิกไปหมดด้วยทรุดลงไปล้มตั้งสองรอบแล้ว
“!!!”บ้าเอ๊ย! รอบที่สามคิมหันต์กัดฟัน เจ็บแปลบขึ้นมายิ่งกว่าสองครั้งก่อน รู้สึกได้ว่าหินหรืออะไรสักอย่างเอาปลายแหลมทิ่มเข้าไปในผิวเนื้อบริเวณเข่าซึ่งลงไปกระแทกโดนเข้า รู้อย่างนี้เลือกใส่กางเกงขายาวก็ดีหรอก
"เป็นอะไรไปครับน้องครีมผู้บอบบาง?" อีกฝ่ายก้มลงมอง เอ่ยเสียงเย็นพร้อมกับเลิกคิ้วเป็นเชิงท้าทาย
เด็กหนุ่มไม่ได้ร้องหรือแสดงอาการเจ็บปวดออกมาสักแอะ ทำเพียงแต่เงยหน้าขึ้นจ้องมองสามภพด้วยความขุ่นเคือง และชายหนุ่มก็ไม่ตอบอะไรกลับมาแม้แต่คำเดียวเช่นกัน ปล่อยบรรยากาศทะมึนยิ่งกว่าครั้งใดห้อมล้อมพวกเขาไว้จนน่าอึดอัด
มือใหญ่รวบคอเสื้อเขาแล้วดึงให้ลุกขึ้นอีกครั้ง คิมหันต์กลั้นใจ เม้มปากไว้แน่น ปล่อยแรงนั้นดึงเขาขึ้นมายืนบนขาตัวเอง จังหวะนั้นจึงได้มองเห็นเศษแก้วชิ้นใหญ่ซึ่งร่วงลงจากจุดที่ปักคาบนเข่าขึ้นมาด้วยตอนลุก ตามด้วยของเหลวสีแดงสดซึ่งไหลซึมตามลงมาจากปากแผลเป็นทางจนถึงข้อเท้า ย้อมเนื้อผ้าสีน้ำตาลอ่อนของถุงเท้าให้กลายเป็นรอยด่างดวง
“...คิม”
สามภพใจหายวาบ มือคลายแรงดึงลงโดยไม่รู้ตัว“เรียกทำไม”
สิ่งที่คิมหันต์เป็นเลิศที่สุดบางทีอาจเป็นการตีสีหน้ายียวน ต่อให้เลือดจะยังไหลพราก ๆ จากแผลก็ยังออกอาการน่าเตะได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง ซึ่งนั่นทำความรู้สึกใจหายของชายหนุ่มเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นระลึกได้ขึ้นมาทันทีว่าที่ผ่านมาโดนไอ้เด็กนี่ทำไว้แสบขนาดไหน วิ่งฝ่าผู้คนเป็นร้อยเข้าไปหากระเป๋าสตางค์ใบเท่าฝ่ามือซึ่งมีแต่ของสำคัญไม่ใช่เรื่องน่าสนุกเลย
เพราะฉะนั้นจะปล่อยให้เจ็บตัวสักหน่อยก็ช่างหัวปะไร “ชักช้า!” เขาเอ่ยเสียงเย็นชา ขมวดคอเสื้ออีกฝ่ายไว้ในมือเหมือนเมื่อครู่แล้วออกแรงดึง เร่งฝีเท้าเร็วขึ้นกว่าเก่าจนเด็กหนุ่มต้องกะโผลกกะเผลกตามจังหวะก้าวขาให้ทันอย่างทุลักทุเล
พวกเขามาหยุดอยู่หน้ารถวีออสสีบรอนซ์ทองคันเดิมซึ่งจอดอยู่ในมุมห่างไกลผู้คน และคิมหันต์ไม่ส่งเสียงอะไรออกมาสักคำ จากสีหน้าซึ่งลอบมองด้วยหางตาแล้วเดาไม่ถูกจริง ๆ ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เด็กนั่นจะคิดอะไรก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องสนใจอยู่ดี
อย่างน้อยสามภพก็บอกตัวเองว่าอย่างนั้นชายหนุ่มเปิดประตูรถฝั่งที่นั่งข้างคนขับ หันไปออกคำสั่งกับไอ้ตัวแสบซึ่งเงียบผิดปกติมาได้ครู่ใหญ่
“เข้าไป!”“....”
คิมหันต์ยืนนิ่ง ลงน้ำหนักบนขาข้างที่ไม่ได้เจ็บแต่ไม่ยอมขยับตัว ซึ่งนั่นเขาจะถือว่าเป็นการท้าทาย
มือใหญ่ตวัดขึ้นคว้าไหล่ของเด็กหนุ่มไว้มั่นแล้วจับเหวี่ยงต้านต่อแรงขืนให้เจ้าตัวเข้าไปนั่งอยู่ในนั้น รองเท้าผ้าใบข้างหนึ่งหลุดออกมาคว่ำอยู่บนพื้นดินขณะที่คิมหันต์พยายามเกร็งตัวสู้ เขาพ่นลมหายใจหงุดหงิดกับความดื้อด้านนั้นก่อนจะก้มลงเก็บมันขึ้นมา โยนเข้าไปไว้บนพื้นรถตรงหน้าเจ้าของรองเท้าซึ่งนั่งก้มหน้าก้มตาอยู่จึงได้สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง
“..คิมหันต์” ชายหนุ่มเผลอเอ่ยชื่ออีกฝ่ายซ้ำเสียงแหบแห้ง และไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าจะเรียกทำไม รองเท้าผ้าใบกลิ้งไปอยู่ข้างเท้าเจ้าของซึ่งเหลือเพียงถุงเท้าสั้นสีน้ำตาลอ่อนสวมคลุมไว้ และภาพที่เห็นทำเขาใจหายวาบอีกแล้ว
ถุงเท้านั้นถูกย้อมด้วยสีเลือดไปเกือบทั้งข้าง- หมดยกที่ 15 -
==========================
ใครกำราบใครก็ไม่รู้ =3=
* ต่อเร็วหน่อย แต่สั้นหน่อย และเนื้อหาบางส่วน(ส่วนใหญ่ของตอนนี้เลย)ก็เคยโผล่ในเรื่องนู้นแล้ว แงงงง ขอพูดถึงอีกทีในมุมมองของคนฝั่งนี้บ้าง ท่านใดอ่านจากสะดุดรักฯมาแล้วอย่าเพิ่งเบื่อนะคะ ถือว่าทบทวนความจำอีกที //แถเลือดซิบ
* ชอบมากเลยค่ะที่ได้เห็นคอมเม้นต์เรื่องมีทั้งคนชอบและหมั่นไส้คิมหันต์ คนแต่งอยากเขียนถึงเคะที่มันน่าตบกะโหลกอย่างนี้มานานแล้ว 5555 อาตี๋กิมจินี่นิสัยก็เด็ก เพราะกลัวโน่นนี่ขี้ระแวงเลยชอบออกตัวแรงไว้ก่อน ความจริงแล้วก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของความอ่อนแอ(ในความคิดเราค่ะ)
อย่างไรก็ตาม ฝากไว้เอ็นดูปนหมั่นไส้สักคนนะคะ ฮาา
* ขอบคุณไอเดียคำโปรยของสมบูรณ์จากในทวิตเตอร์ค่ะ 5555
* ตอนที่แล้ว มีคำถามว่าทำไมเฮียภพไม่ส่งใบขับขี่หรือบัตรนักศึกษาให้ณิชาดูแทนบัตรประชาชน...นั่นสิ...ทำไม สารภาพว่าคนเขียนลืมนึกค่ะ (แย่มาก ฮาาา) เพราะงั้นคนอ่านช่วยสมมติว่าพี่ภพก็ลืมนึกไปเหมือนกันทีนะคะ แบบว่าคิดถึงแต่เรื่องน้องอะไรงี้ XD
* รีบอัพเพราะเดี๋ยววันหยุดนี้ไม่ว่างค่ะ คงไม่ได้ปั่นต่อแน่นอน ไว้ค่อยเจอกันสัปดาห์หน้าวันไหนสักวัน(มั้ง?)
* รูปของแถมตอนนี้ยังไม่มีนะคะ แทบไม่ได้วาดเพิ่มเลยแงง
พบกันตอนหน้าค่ะ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน *กอดดดด*
