● เล่ห์รักฤดูร้อน ●
ยกที่ 28 – สัญญาหนึ่งปี
“......”
สีผิวบนหน้าคิมหันต์แดงจนชวนหัวเราะ
ทว่าสีระเรื่อของเลือดฝาดคงอยู่เพียงชั่วอึดใจ ก่อนจะค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติ ถือว่าเก็บอาการได้ค่อนข้างดีทีเดียว แต่การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพในชั่วขณะนั้นก็บ่งชี้ว่าโอกาสทำสำเร็จของเขามีค่อนข้างสูง ..หากนี่ไม่เรียกว่าเป็นการเข้าข้างตัวเองจนเกินไปนัก
“เพ้อแล้วเฮีย” เด็กหนุ่มโบกนิ้วชี้ไปมาตรงหน้าเขา ตั้งตัวได้ในที่สุดหลังจากเหวอไปครู่หนึ่ง “ผมไม่มีทางชอบพี่แบบนั้นหรอก”
“ไม่ลองจะรู้หรือ?”
“บางอย่างมันไม่ต้องลองก็ได้เปล่าวะ” คิมหันต์แค่นหัวเราะอย่างน่าเตะ “เหมือนอยากรู้ว่าตกหน้าผาแล้วจะตายไหมอะไรเงี้ย ไม่จำเป็นต้องโดดลงไปพิสูจน์”
สามภพส่ายหน้าน้อย ๆ ยกริมฝีปากเป็นเชิงเหยียดแบบที่เขารู้ว่าคงจะยั่วโมโหอีกฝ่ายได้ดีทีเดียว “กลัวหรือครับน้องครีม?”
“ไม่ได้กลัวว้อย!”
“...อ้อ” ชายหนุ่มลอบยิ้มกว้าง
จริงดังคาด คิมหันต์รีบสวนกลับทันควัน ชั่วขณะหนึ่งที่คิดไปว่าเดี๋ยวคงมีประโยคตอบรับด้วยความหน้ามืดตามมาแน่ ทว่าฝ่ายตรงข้ามกลับทำสิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายไปนิดหน่อย
“คิดว่าจะยั่วจนผมยอมเล่นเกมเพี้ยน ๆ ของพี่ได้ด้วยวิธีนี้ละสิ“
“….”
เหมือนจะโดนจับไต๋ได้เสียนี่“ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกรู้ไหม?”
ต้องยอมรับว่าถึงกับหน้าหงายไประดับหนึ่งแต่ยังเก็บอาการอยู่ ท่าทางคิมหันต์ภูมิอกภูมิใจเสียเหลือเกิน จะใช้ลูกเล่นมาล่อลวงสงสัยว่าคงล่มตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม แถมยังพูดต่อมาดมั่นเป็นการช่วยยืนยันความคิดเขาอีก
“ใครจะโง่ให้หลอกอย่างนั้นวะ”
สามภพหัวเราะออกมาแผ่วเบา ซึ่งเสียงแบบนั้นทำคนฟังขนลุกขึ้นมาอีกแล้ว รู้สึกได้ถึงบรรยากาศน่าสะพรึงอย่างประหลาด โดยเฉพาะเมื่อคนที่ขับรถอยู่ดี ๆ เกิดตบไฟเลี้ยว หักพวงมาลัยบังคับรถออกมาจอดข้างทางดื้อ ๆ
“เฮ่ย ๆ จอดทำไม!?”
ชายหนุ่มเหลือบมองด้วยหางตา ดูทำหน้าเหรอหรามาเชียว เด็กน้อยอะไรอย่างนี้
“นั่งดี ๆ”
เขาใส่เบรกมือ ปลดเข็มขัดนิรภัย โน้มตัวไปกระซิบเสียงแหบพร่าข้างหูอีกฝ่าย และชอบนักเวลาเจ้าตัวยิ่งเหวอหนักพร้อมกับหดคอหนี “อย่าดื้อ อย่ายั่วโมโห เพราะพี่ไม่รับประกันความปลอดภัย”
คิมหันต์ใจหายวาบ เอื้อมมือจะปลดล็อคเข็มขัดนิรภัยฝั่งตัวเองแต่โดนยึดแขนไว้ก่อน ได้แต่จ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างคาดโทษ แต่ก็จ้องได้ไม่นานอีก เมื่อไป ๆ มา ๆ กลับดูเหมือนว่าเป็นเขาเสียเองที่โดนคาดโทษด้วยตาดุ ๆ เหมือนหมาป่าจ่าฝูงเข้าให้ ว่าแต่ใครเป็นลูกน้องในฝูง...? ไม่ใช่เขาแน่ละ
“จะทำไรวะ!?”
“เรานั่นแหละจะทำอะไร?” ชายหนุ่มเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม กำข้อมือคิมหันต์ยกขึ้นมาห่างจากตัวล็อคเข็มขัดนิรภัยคล้ายต้องการแสดงหลักฐาน
“หนี”
ประกาศชัดมาเชียว สามภพกลอกตา ส่ายหน้าน้อย ๆ อย่างระอาใจ ริมถนนอย่างนี้ยังตั้งใจจะหนีไปไหนอีก “คิดว่าทำได้?”
คิมหันต์เหลือบมองออกไปนอกรถ จริงอย่างสามภพว่า พื้นที่ริมถนนมีเพียงความรกร้างว่างเปล่า ด้วยสภาพไม่มีเงินติดตัวสักบาทคงเหลือแต่วิธีโบกรถเผื่อจะมีใครยอมจอดรับ ทว่าเด็กหนุ่มยังอดไม่ไหวจะส่งเสียงท้าทายต่ออย่างไม่เจียม “พี่ก็ลองปล่อยผมดูก่อนดิ”
“หือ?”
เขายิ้มเจ้าเล่ห์ แม้ตอนนี้ในหัวออกจะกลวงโบ๋ พูดต่อมีเลศนัยเหมือนคิดแผนอะไรรอไว้อยู่แล้ว(แต่แน่นอนว่ามีที่ไหนกัน) “...แล้วจะรู้ว่าทำได้หรือเปล่า”
สามภพก้มมองอีกฝ่ายนั่งห่อไหล่จนเหลือตัวกระจึ๋งเพื่อพยายามหลบเขา ดูอย่างไรก็ไม่รอดยังมีหน้ามาทำปากเก่ง
“ไม่รู้สิ” ชายหนุ่มกรีดยิ้มเย็น หากไม่ติดว่าตัวเองร่างใหญ่ไปหน่อยก็จะปีนข้ามไปนั่งคร่อมบนเบาะด้านข้างแล้ว “..แต่บางอย่างไม่ต้องลองก็ได้เปล่าวะ“
คิมหันต์มุ่นคิ้ว โดนย้อนเข้าให้แล้วไง พยายามขยับห่างอีกนิดอย่างไร้ผล แต่ยังไม่วายแหย่ต่อ “ป๊อดนี่ กลัวผมหนีได้หรือไง?”
“อือ..กลัวมั้ง” เขามองอีกฝ่ายส่งสายตายียวนพร้อมกระตุกมุมปาก คุยกับไอ้เด็กเกรียนนี่ต้องใช้สมาธิหนักจริง ๆ คิดถูกแล้วที่จอดรถก่อน “เพราะพี่ขี้เกียจตามจับ”
“......”
“ตกลงว่าไง พนันกันไหม?”
เด็กหนุ่มเม้มปากแน่น ทำไมกลับมาเรื่องเดิมอีกแล้ว?
“อุตส่าห์เสนออะไรที่มีกฎมีเงื่อนไขให้ แต่ถ้าไม่ชอบ...” สามภพตีหน้ายิ้มกริ่ม ก้มลงมาทางเขาเกือบชิดจนเผลอหลับตาปี๋ ก่อนนึกได้ว่าจะทำกลัวอะไรนักหนา ทว่าสิ่งที่ได้ยินหลังจากนั้นก็...ค่อนข้าง...น่ากลัว? ไม่ใช่หรือ? ไม่เอาน่า...เฮียหมาบ้าก็ดีแต่ขู่
“สงสัยว่าคงต้องเปลี่ยนเป็นเล่นนอกกติกา” สามภพพูดแค่นั้นแล้วก็เงียบ จ้องมองท่าทีของอีกฝ่ายจากระยะประชิด ซึ่งก็ชิดเสียจนเห็นไม่ชัดด้วยใบหน้าออกจะใกล้กันไปหน่อย ไอ้เด็กแสบพยายามปั้นยิ้มสู้ แม้เขากลับรู้สึกเหมือนเจ้าตัวกำลังแยกเขี้ยวมากกว่า ขณะที่ยังพยายามดิ้นขลุกขลักให้ตัวเองหลุดจากมือเขาอย่างน่าสงสาร เรื่องเกรียนอาจจะสู้ไม่ไหว แต่พละกำลังเป็นสิ่งที่เขามั่นใจแบบไร้ข้อกังขาว่าไอ้ตี๋นี่แพ้ราบคาบ
“อย่ามาขู่ผมเลย กลัวแย่แล้วเฮีย”
มีการดัดเสียงล้อเลียน เรื่องกวนประสาทนี่แหละที่เขายกให้ ชายหนุ่มหัวเราะหึ ๆ เด็กเกรียนนี่เป็นประเภทไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาแท้ ๆ เลย
“แล้วใครว่าแค่ขู่กันล่ะ?”
“เฮ่ย!?”อุตส่าห์ตั้งใจว่าจะไม่ปีนข้ามเบาะนั่งแล้วเชียว“เล่นบ้าอะไรเนี่ย!?”
แต่ก็นั่นละ...คิมหันต์ทำเขาเอาแน่เอานอนกับเรื่องที่ตั้งใจไว้ไม่ค่อยได้นักหรอก
“อุ!”หัวโขกเพดานรถไปทีหนึ่งเพราะไม่ทันระวัง แถมตัวเขายังสูงเกินกว่าจะมานั่งคร่อมร่างอีกฝ่ายบนเบาะโดยไม่ต้องก้มคุดคู้เช่นนี้ได้ สามภพเหลือบมองคันโยกปรับพนักพิงเบาะด้านข้าง ก้มไปดึงมันขึ้นมาพร้อมกับผลักเบาะให้เอนลงไปอย่างรวดเร็วจนคนที่นั่งอยู่ร้องลั่น แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย ไม่ถึงกับออกท่าทางเหยียดแข้งขาได้เหมือนบนเตียง แต่ไม่เรียกว่าแย่นัก ทีนี้ก็ถึงเวลามาจัดการเรื่องอื่นต่อให้เสร็จ
“...เป็นอะไร?” เขาถามกลั้วหัวเราะ ไม่ได้ต้องการคำตอบ แค่อยากแกล้งให้แตกตื่นเล่นเป็นความสนุกส่วนตัวเท่านั้น
“...พ...พี่! ทำไรว—!"คิมหันต์ปากสั่น ตาเบิกค้าง เค้นออกมาแค่นั้นแล้วก็พูดอะไรต่อไม่ออก รีบเอื้อมไปตะครุบมือใหญ่ของอีกฝ่ายซึ่งวางนาบอยู่บนหน้าท้อง สอดเข้ามาใต้ขอบกางเกงเขาเกินครึ่งฝ่ามือแล้วนิ่งอยู่ที่เดิมคล้ายจะกดดันให้สติแตก
“ทีหลังอย่าใส่กางเกงหลวม”
“เชี่ย! ใช่ประเด็นที่ไหน!”
“งั้นลองบอกสิว่าประเด็นคืออะไร?”
คิมหันต์อ้าปากเตรียมปาฐกถาแบบถึงพริกถึงขิง ทว่าสามภพกลับชิงพูดตัดหน้า
“ด่าได้ แต่คิดให้ดีหน่อย เพราะเตือนไว้ก่อนว่าถ้าพี่เป็นเกย์...ก็เป็นรุกว่ะ”
ชายหนุ่มจ้องตาเขานิ่ง แค่สายตาก็กดดันจนแทบลืมภาษาคนไปแล้ว เด็กหนุ่มอยากเถียงใจจะขาดว่าไม่ต้องสมมติ
‘ถ้าเป็นเกย์’ แล้วมั้ง ในเมื่อเห็นกันชัดเจนออกปานนี้ แต่ความหมายแฝงบางอย่างในประโยคนั้นและแววตาคนพูดเล่นงานเขาเสียส่งเสียงไม่ออก เป็นรุกแล้วยังไง มาบอกทำไม หรืออยากให้เขารับ? มัวแต่อึ้งตัวแข็งทื่อจนอีกฝ่ายพูดต่อด้วยระยะห่างไม่ถึงครึ่งคืบจากปลายจมูกเขา
“..เพราะฉะนั้นถ้าทำตัวไม่น่ารัก วิธีลงโทษก็ตามสถานะ”
เฮียหมาบ้าหางโผล่แล้ว! “ไหนว่าไม่คิดงาบไง!?”
“นั่นสำหรับกรณีที่ทำตัวว่าง่าย”
เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายเอื๊อก จะทำบื้อไม่รู้เรื่องก็ใช่ที่ เขารู้สึกเหมือนสามภพจะพูดจริงทำจริง(โดยเฉพาะเรื่องพวกนี้) และเขาไม่ควรเสี่ยงอย่างยิ่ง พร้อมกับมือที่เลื่อนลึกเข้ามาอีกราวกับอยากช่วยสนับสนุนข้อสันนิษฐาน
“..พ..พี่...ปล่อยผมก่อน” คิมหันต์กลั้นใจ ผิวหน้าเปลี่ยนสีได้น้อง ๆ กิ้งก่า ส่งเสียงตะกุกตะกักพร้อมกับพยายามกระตุกมืออีกฝ่ายออกจากท้องเขา สภาพล่อแหลมเกินไปจนหัวใจจะวายอยู่แล้ว
“...”
“...เฮียภพสุดหล่อ ร...เรามาตกลงกันดี ๆ”
สามภพส่งเสียงคล้ายหัวเราะในลำคอ น่าสังเกตว่าพอเจอขู่อย่างนี้แล้วคิมหันต์ไปไม่รอดเอาจริง ๆ “พร้อมคุยแล้วหรือ?”
“ถ้าผมบอกไม่พร้อมแล้วพี่จะโอเคไหมล่ะ?”
“ดูเหมือนเรายังไม่ค่อยพร้อมนะ..” เขายิ้มเอ็นดู “พี่หมายถึงพร้อมคุย ไม่ใช่พร้อมกวนตีน”
อีกฝ่ายก้มหน้าก้มตาเถียงงุบงิบ “อันนั้นพร้อมตลอดอยู่แล้ว” น่าขำจนถึงกับหลุดหัวเราะ เพราะไอ้สีแดง ๆ บนแก้มก็ใช่ว่าจะจางลงตอนเจ้าตัวยืนยันอย่างว่า เกิดมาไม่เคยเจอเด็กที่ไหนมีความพยายามประกาศตัวว่าเป็นมนุษย์อ้อนอวัยวะเบื้องต่ำแม้ขณะเขินแทบแย่เช่นนี้มาก่อน
“จริงเลย เด็กอะไรวะ”
ไอ้ตัวแสบทำตาขวาง เอามือผลักอกเขาแล้วพยายามดันให้กลับไปนั่งที่เดิม มันเขี้ยวจนต้องเอามือขยี้ผมเสียยุ่งก่อนจะถอยออกมานั่งประจำตำแหน่งตัวเองทุลักทุเล ผู้ชายตัวใหญ่ ๆ มาปีนข้ามไปมาระหว่างเบาะรถไม่ใช่เรื่องสนุกเลยให้ตาย
“มาพนันกัน”
เขาเริ่มใหม่อีกครั้ง รู้สึกทำอะไรลดอายุตัวเองพิกล ยังไม่ออกรถเพราะขี้เกียจหาที่จอดอีกรอบหากมีอิดออดขึ้นมาอีก ประสบการณ์ตรงบอกเขาว่าคิมหันต์ดื้อและรู้มากเกินกว่าจะมาทำเนียนจีบด้วยวิธีปกติทั่วไป
เด็กหนุ่มพ่นลมออกจมูกท่าทีกึ่งขัดใจกึ่งโล่ง รีบปรับเบาะขึ้นใหม่ ยกมือจัดคอเสื้อให้เรียบร้อยอย่างวิตกจริตแม้ว่าเขาไม่เห็นได้ไปยุ่งกับแถวนั้นสักหน่อย เห็นท่าทางตัวเองอยู่ในสถานการณ์ดีขึ้นจึงบ่นออกมาแบบไม่เจียม “ผมมองไม่เห็นเลยว่าตัวเองได้ประโยชน์ตรงไหน”
“พี่เลี้ยงแกตั้งเยอะยังบอกว่าไม่ได้ประโยชน์อีก” เขาท้วง
“ถ้าเลี้ยงหวังฟันมันก็ต้อยเด็กเปล่าวะลุง!” อีกฝ่ายเถียงคอเป็นเอ็น “แถมแม่งเป็นผู้ชายอีก”
สามภพส่ายหน้า พูดซะเขากลายเป็นพวกโรคจิตไปเลย แถมไอ้คนอ้างว่าโดนต้อยก็มีเจตนาจ้องขูดรีดค่ากินอย่างกับกะให้เจ้ามือล่มจม แล้วอย่างนี้ยังมีหน้ามากล่าวหาเขาฝ่ายเดียวอีก
“งั้นก็รีบ ๆ โตเข้าสิครับเด็กน้อย”
“พูดอะไรน่าขนลุก” คิมหันต์ห่อไหล่ บ่นพึมพำพลางทำหน้าสยดสยอง “ผมยังไม่อยากรีบแก่”
“อายุห่างกันเท่าไหร่เอง”
“พี่เคยซิ่วด้วยไม่ใช่รึไง?”
“รู้?” ชายหนุ่มหันไปยิ้ม “สนใจเรื่องพี่เหมือนกันนี่”
คิมหันต์กัดปากตัวเอง จากนั้นก็เบือนหน้าไปทางอื่น เถียงเขากลับโดยไม่ยอมสบตาคู่สนทนา “ผมต้องรู้เรื่องศัตรูไว้บ้าง”
'นารึล มกโก คา มุน ดา มยอน ซารัง โด มคอิน แช มีแรโด มคอิน แช คอจิล ซู ออบนึนเด..'ในรถมีเพียงเสียงเพลงเกาหลีซึ่งสามภพแปลไม่ออกลอยอยู่ครู่ใหญ่ ได้แต่ปล่อยมันเติมเต็มในอากาศเช่นนั้นจนเวลาผ่านไปเกือบเล่นจบอีกเพลง สุดท้ายจึงถามเสียงเรียบด้วยท่าทีจริงจังกว่าเก่า
“สรุปว่าโอเค?”
“......”
“ไม่ตอบถือว่าตามนั้นนะ”
“พี่ควรชัดเจนกว่านี้” เด็กหนุ่มแทรกขึ้นก่อนเขาจะได้เออออไปเองเสียหมด
“หืม?”
คิมหันต์มองเขาด้วยสายตาเหมือนเห็นเป็นแมลงสาบเกาะโถส้วมสาธารณะ (ไอ้เด็กนี่ช่างทำอาการรังเกียจเจือรำคาญได้หลายระดับเสียจริง) ยกขากลับขึ้นมาไว้บนเบาะอีกครั้ง กอดเข่าตัวเองไว้แน่นเหมือนพร้อมเปลี่ยนตัวเองเป็นลูกบอลแล้วกลิ้งหนีหากเกิดอะไรไม่ชอบมาพากลขึ้น ก่อนจะชี้แจงเป็นฉาก ๆ
“อย่างเช่นควรมีกำหนดเวลาที่แน่นอน ไม่ใช่ใช้เวลาลามปามไปถึงชาติหน้า พี่ก็แก่แล้วปะ” ปากบ่นเจื้อยแจ้วแล้วยังเหน็บแนมไปเรื่อย เอนตัวออกห่างเท่าที่จะทำได้เมื่อเห็นเขาทำหน้าดุใส่ แต่แน่นอนว่ายังคงพล่ามต่อปราศจากอาการสะดุด “เงื่อนไขก็ไม่ชัดเจน พนันแล้วไง หมดเวลาแล้วผมไม่รู้สึกอะไรกับพี่ ทีนี้จะได้ค่าตอบแทนยังไงบ้าง”
ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก คำพูดนั้นดูมั่นใจเหลือเกินว่าตัวเองไม่มีทางชอบเขาแน่นอน “นี่ไม่คิดว่าตัวเองจะแพ้บ้างเลยหรือ?”
“ไม่”
เขาหัวเราะ เป็นจังหวะที่เสียงจากเครื่องเล่นเงียบลงพอดีในช่วงเปลี่ยนเพลง จึงได้ยินเพียงเสียง “หึ ๆ” ของตัวเองดังวังเวงแต่ชัดเจนในห้องโดยสาร
“มีอะไรน่าขำ!?”
สามภพโคลงศีรษะน้อย ๆ เลือกจะข้ามขั้นตอนต่อล้อต่อเถียงนี้ไป “แล้วอยากได้อะไรล่ะ?”
คิมหันต์หรี่ตา สีหน้าไม่ได้แสดงออกนัก แต่ในสมองกำลังครุ่นคิดอย่างหนักหน่วง นั่นสิ..อยากได้อะไรดี จะบอกว่าขอให้ไม่ต้องมายุ่งกับเขาอีกก็ดูไม่คุ้มเอาเสียเลย นั่นไม่ควรเอามาใช้เป็นเงื่อนไข แต่น่าจะเป็นสิทธิที่เขาควรได้รับอยู่แล้วต่างหาก
“คิดช้า งั้นฟังพี่” ชายหนุ่มรวบรัดตัดความแล้วจ้องเขาเขม็ง อ่านไม่ออกว่าอารมณ์ซึ่งฉายอยู่บนในหน้าคมคายนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ แต่คิมหันต์รู้สึกว่าจะเป็นเช่นไรก็คงไม่ใช่เรื่องเข้าท่าสำหรับเขานัก
“ระยะเวลาคือ...” สามภพพูดค้างไว้แล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง ท่าทางครุ่นคิดบอกชัดเจนว่าเจ้าตัวก็ไม่ได้เตรียมการมาก่อน อีกอึดใจผ่านไปโดยเขาไม่ได้ส่งเสียงขัดจังหวะ กว่าจะได้ยินข้อเสนอซึ่งฟังไม่เข้าหูเอาเสียเลย
“หนึ่งปี”“หนึ่งปีเชียวเรอะ!?” เสียงโวยตามมาติด ๆ ดังคาด
“หนึ่งปี ไม่มาก ไม่น้อย”
คิมหันต์แยกเขี้ยว เฮียเพี้ยนช่างบ้า..บ้าได้ไม่จบไม่สิ้น “พนันอะไรเป็นปี พี่บ้าไปแล้ว!”
คนฟังขมวดคิ้ว เมื่อกี้ละทำเป็นจ๋อย พอเขาเสนอหน่อยรีบค้านว่องไวมาเลย “เราก็บ้า ๆ บอ ๆ กันมาแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือ?”
“อย่าเหมาว่า
‘เรา’ สิ” คิมหันต์ยังเถียง ยกตำแหน่งฝ่ายค้านกิตติมศักดิ์ให้เลย “มีแต่พี่นั่นแหละบ้าอยู่คนเดียว” ว่าพลางปรายตาใส่ด้วยจริตน่าเตะตกรถ ถ้าไม่ติดว่าเตะหล่นลงไปแล้วต้องลำบากตามไปเก็บละก็นะ..
“โอเค พี่บ้าอยู่คนเดียว” เขาเลิกคิ้วอ่อนใจ ชูมือขึ้นน้อย ๆ ในท่ายอมแพ้แล้วพาเปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง “สรุปว่าจากนี้หนึ่งปี ยอมให้จีบดี ๆ อย่าเล่นตัวงี่เง่า”
“...เชี่ย” เด็กหนุ่มหลุดสบถเบา ๆ แล้วนั่งฟึดฟัด ยังเก็บอาการอยู่บ้าง ด้วยรู้ดีว่าหากทำโวยวายมากเกินระดับความอดทนของเฮียหมาบ้าอารมณ์แปรปรวน อาจมีอะไรน่ากลัวกว่าโดนถีบหล่นรถ(ซึ่งถ้าโดนอย่างนั้นเขาคงดีใจ) มีคนจ้องจะงาบตลอดเวลาไม่ใช่เรื่องเ่ข้าท่าเลย “ขนาดจะจีบยังเลือกจะสั่ง พี่เคยจีบคนจริง ๆ บ้างหรือเปล่า หรือที่ผ่านมาใช้วิธีกระดิกนิ้วเรียก”
“ประมาณนั้น”
ยังมีหน้ามายอมรับหน้าตาเฉยอีกด้วยแน่ะ!“ถุย! หล่อเลือกได้งั้นสิ”
“ใช่” สามภพยักไหล่ กลั้นยิ้มเต็มที่ จ้องหน้าอีกฝ่ายรอดูการเปลี่ยนแปลงบนนั้นตอนที่เขาพูดต่อ “ขนาดหมาน้อยยังชมอยู่ได้ว่าเฮียภพสุดหล่องั้นงี้”
“......”
คิมหันต์ทำแก้มแดงตาตี่เป็นแป๊ะยิ้มมาเชียว เดาว่าคงอยากตัดลิ้นตัวเองทิ้งแย่แล้ว
“แค่นี้เขินแล้วหรือ?” เขาเอานิ้วเขี่ยแก้มเด็กหนุ่มเป็นเชิงล้อ “ยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย”
"เพ้อเจ้อว่ะ!"
คิมหันต์ปัดมืออีกฝ่ายออก มันเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดสำหรับเขามากทีเดียวสำหรับสถานะผู้ถูกล้อเลียนซึ่งโดนยัดเยียดมาให้ ตอนอยู่กับปิ่นหยกเพื่อนรัก ตำแหน่งมนุษย์ขี้แกล้งที่ยั่วให้อีกฝ่ายหงุดหงิดหรือเขินม้วนต้วนเล่นเป็นเขามาตลอด และเขาก็นึกสงสัยอยู่เสมอว่าทำไมไอ้เพื่อนขี้งกจึงได้อ่อนนัก ต่อให้เถียงชนะคนทั้งโลก แต่พอมาอยู่กับคนใกล้ชิดอย่างเขา หรืออาทิตย์แฟนหนุ่ม (พูดว่า
‘แฟนหนุ่ม’ กับเพื่อนที่เป็นผู้ชายแล้วยังแอบขนลุกอยู่เล็ก ๆ) หรือแม้แต่กับแม่ของเจ้าตัว ปิ่นหยกก็มักจะไปไม่เป็นเสมอเหมือนว่าแพ้ทาง เพิ่งรู้ว่าพอตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้แล้วมันเถียงไม่ออกเอาจริง ๆ
“เอาละ ตามนั้น จะได้รีบกลับกัน เสียเวลาที่นี่นานเกินไปแล้ว”
สามภพพูดเองเออเองเสร็จสรรพ ประกาศเงื่อนไขที่เขาคาดว่าคงเพิ่งคิดได้สด ๆ ร้อน ๆ ออกมา เกิดเป็นพันธะสัญญาประหลาดซึ่งดูแล้วไม่เห็นน่าเอาตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวเลยสักนิด แต่พอตั้งใจจะอิดออดหรือออกอาการโหวกเหวกเรียกร้องความเป็นธรรม สายตาโรคจิตไปจนถึงท่าทางซึ่งดูพร้อมกระโจนใส่เขาก็ทำเอาความกล้าลาพักร้อนกันหมด และการถูกจับปล้ำในรถซึ่งจอดไว้ริมถนนกลางวันแสก ๆ โดยผู้ชายด้วยกัน ก็เป็นสิ่งรองสุดท้ายในโลกที่คิมหันต์อยากให้เกิดขึ้น (ส่วนสิ่งสุดท้ายคงเป็น.....ปั่มป๊ามในรถริมถนนกลางวันแสก ๆ กับผู้ชาย.....โดยวิธี...สมยอม.....ละมั้ง)
จะน่ากลัวเกินไปแล้ว อะไรก็ได้ช่วยหยุดความวิตกจริตนี้ทีเถอะ!“ภายในหนึ่งปีนี้ พี่คนเดียวมีสิทธิจีบแก”อะไรก็ได้ที่ว่าคือเสียงประกาศกร้าวของสามภพนี่เอง แต่ดูท่าว่าจะยิ่งชวนให้เสียสติหนักมากกว่าช่วยให้ดีขึ้น
“หนีได้ ถ้าคิดว่าจะรอด” ชายหนุ่มพูดต่อชัดถ้อยชัดคำ น้ำเสียงคุกคามจัดเต็มพาลจะทำขนลุกทั้งแขน “แต่ไม่รับรองผลลัพธ์”
“นั่นไม่เรียกเงื่อนไขเลยเว้ย!” เขาประท้วง แต่แน่นอนที่สุด...เฮียหมาบ้าสนที่ไหน
“ระหว่างหนึ่งปีนี้ห้ามคบใคร ห้ามไปจีบคนอื่น ห้ามยอมให้คนอื่นจีบ หยุดลวนลามใคร ๆ เรื่อยเปื่อย กับปิ่นหยกก็ไม่ได้ ถ้าทนไม่ไหวให้มาเกาะแกะพี่ได้คนเดียว”
“เฮ่ย ๆ ๆ” เด็กหนุ่มเริ่มโวย “นี่ไม่ใช่แล้วปะ! เจ๊ใหญ่ยังไม่เคยบังคับผมอย่างนี้เลย”
“หนึ่งปี!” สามภพหันมาทำเสียงดุ ไม่ได้ตอบคำถามเขาสักนิด แต่นัยน์ตาซึ่งจ้องเขม็งมาตรง ๆ มีอะไรบางอย่างอันทำให้ปากเขาซึ่งกำลังจะพะงาบเถียงก็ได้แต่พะงาบอยู่เช่นนั้นโดยไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา
“หนึ่งปี...จะทำให้ชอบ”
“....”
“ถ้าพี่ชนะ เราคบกัน”
ชายหนุ่มหยุดพูด เอื้อมมือมาคว้าข้อมือเขาขึ้นมา มัวแต่อึ้งจนไม่ทันได้หนีไปไหน และถึงจะหนีก็คิดว่าไม่น่ารอดหากประเมินจากสถิติการละเล่นไล่จับที่ผ่านมา ตาดุสีดำสนิทมองเขานิ่งจนไม่กล้ากระดิก นั่งแข็งทื่อจนลืมกระทั่งเรื่องที่เผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว
“....แล้วถ้าพี่แพ้ล่ะ”เขาตั้งสติกระซิบถาม ส่งแววตาท้าทายกลับไป สามภพคิดว่าตัวเองมั่นใจเรื่องนั้นคนเดียวหรือ...เข้าใจผิดแล้ว
“พี่จะเลิกยุ่งกับเรา”
“ไม่คุ้ม”
สามภพขมวดคิ้ว กระตุกมุมปาก นึกอยู่แล้วว่าคิมหันต์ต้องไม่พอใจเพียงแค่นั้นแน่ แต่มาถึงขนาดนี้แล้ว เขาเองก็จะไม่ถอยหลังกลับแน่นอนจึงได้ตัดสินใจยื่นข้อเสนอแบบเทหมดหน้าตัก “แล้วก็...”
“ก็?”
“ให้ขออะไรก็ได้อีกอย่าง”
ประกายวาววับบางอย่างแวบขึ้นในตาของเด็กหนุ่มผู้ฟัง รอยยิ้มถูกซ่อนไว้ใต้ริมฝีปากซึ่งเหยียดออกเป็นเส้นตรง “อะไรก็ได้หรือ?”
“ใช่..ไม่มีเงื่อนไข สิ่งของ การกระทำ อะไรก็ได้ แต่อย่าให้เดือดร้อนคนอื่น” สามภพยิ้มรับ ดึงข้อมือคิมหันต์ขึ้นมาใกล้ใบหน้าตัวเอง “ถ้ายังคิดไม่ออกจะมาบอกวันหลังก็ไม่ว่า”
“พี่พูดแล้วนะ”
“พูดแล้ว ไม่คืนคำ”
คิมหันต์แค่นหัวเราะในลำคอ แวบหนึ่งสามภพนึกเสียใจที่กล้าสัญญาอะไรอย่างนั้นเมื่อเห็นสายตาเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่าย แต่คิดอีกทีไม่มีอะไรต้องกังวลเลย เพราะเขารู้ว่าจะไม่แพ้
..ต้องไม่แพ้ “ได้" เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก "แต่ระหว่างนี้ผมก็มีเงื่อนไขเหมือนกัน”
“ว่ามา”
“ข้อแรกห้ามปล้ำ”สามภพหลุดหัวเราะพรืด สีหน้าคนพูดจริงจังจนเชื่อได้เลยว่าท่าทางจะหวาดระแวงเรื่องนี้มาตลอดถึงกับยกขึ้นมาไว้ข้อแรก “โอเค ไม่ปล้ำ” และเขาต่อในใจว่าทำอย่างอื่นไม่นับ
“ห้ามลวนลามผมด้วย”
“หืม?”
“ทำไมต้องทำหน้าประหลาดใจ” คิมหันต์ยักคิ้วทันเกม “คงไม่ใช่ว่าเพราะคิดจะทำอยู่แล้วหรอกใช่ไหม”
เจอข้อนี้เล่นเอาชายหนุ่มถึงกับนิ่งไปครู่หนึ่ง โดนคาดคั้นด้วยสายตาให้ต้องยอมพยักหน้าจนได้ในตอนท้าย “ได้..ได้สิ” เขาพยักหน้าซ้ำรัว ๆ คล้ายอยากเตือนตัวเอง “ไม่ลวนลาม” แต่ก็ขึ้นอยู่กับจะตีความว่า
‘ลวนลาม’ ที่ว่าเป็นความหมายแบบไหนล่ะนะ
เอาเถอะ..เรื่องนั้นไว้ค่อยว่ากันทีหลัง
“ข้อสอง หยุดเรียกว่าครีมได้แล้ว ชื่อนั้นไว้ให้เจ้ใหญ่กับเจ้สิเรียกพอ”
เขาแปลกใจนิดหน่อย ข้อเรียกร้องดูหยุมหยิมกว่าที่คิด กระนั้นก็ยอมตอบรับอย่างว่าง่าย “ได้”
“ข้อสาม อย่ารบกวนการเรียนของผม นี่ช่วงเตรียมสอบเข้ามหา’ลัย”
“เดี๋ยวช่วยติว”
“เสือก!”
เขาเกือบพุ่งเข้าไปฟัดสักทีข้อหาทำตัวปากหมาแล้ว แต่เสียงคิมหันต์ร้องโวยขึ้นก่อนตอนริมฝีปากอยู่ห่างจากพวงแก้มแดงระเรื่อนิดเดียว “กฎข้อหนึ่ง ห้ามลวนลาม!”
ชานหนุ่มชะงักอยู่ที่เดิม มีสายตาคิมหันต์จับจ้องกดดันทุกอิริยาบถ ยังไม่ขยับออกห่างจนเด็กหนุ่มย้ำอีกครั้งหนักแน่น
“ไม่งั้นก็ยกเลิก ไม่ต้องเล่นแม่งละ”
สามภพถอนหายใจเฮือก ถอยกลับมานั่งพิงเบาะของตัวเองเหมือนเดิม “ได้..ตามนั้น...หมดหรือยังเงื่อนไข”
“ยัง”
ชายหนุ่มเหลือบมอง อดไม่ได้จะส่ายหน้าเอือม ๆ “ว่ามา”
“ข้อสี่...ข้อสุดท้าย ไม่น่ามีอะไรแล้ว แต่แค่เผื่อไว้” คิมหันต์เม้มปาก สบตาเขาตรง ๆ ขณะพูดต่อช้าชัด “ไม่ว่าพี่อันจะสั่งอะไร ห้ามทำร้ายปิ่นหยก..ไม่ว่าในความหมายไหน”
เขาขมวดคิ้วแน่น ข้อนี้ดูประหลาดจนอดสงสัยไม่ได้ คิมหันต์จะอะไรนักหนากับเพื่อนคนนี้ “ทำไมต้องปิ่นหยก ๆ อยู่ตลอดเวลา ห่วงนักหรือ”
อีกฝ่ายยักไหล่ ทีท่าบอกชัดเจนว่าไม่คิดแจกแจงรายละเอียดในสิ่งที่เขาถาม “ใช่ ห่วงมัน”
“....”
คิมหันต์เชิดคางขึ้นน้อย ๆ พร้อมกับโปรยรอยยิ้มเยาะ “แต่ไม่ใช่แบบที่พี่คิดกับผมแน่”
“ก็ดี” สามภพรับคำ “หวังว่าคงยังไม่ลืมว่าระหว่างนี้ห้ามคบใครอื่นเข้าใจไหม?”
"เข้าใจ"
ข้อมือคิมหันต์ข้างหนึ่งยังอยู่ในมือเขา ชายหนุ่มยกมันขึ้นมา จรดริมฝีปากลงไปแผ่วเบาบนนั้น อีกฝ่ายเพียงแต่กระตุกข้อมือด้วยความตกใจเพียงครั้งหนึ่ง จากนั้นก็มองเขานิ่งงันโดยไม่ได้ขยับหนี
“และนับจากนี้หนึ่งปี พี่ก็ทำงี้ไม่ได้แล้วรู้รึเปล่า?”
“รู้”
สามภพยิ้มรับ ปล่อยมืออีกฝ่ายเป็นอิสระ เพิ่มความดังจากเครื่องเสียงซึ่งเล่นเพลงอยู่ให้มากขึ้นอีกนิด ก่อนจะหันกลับไปสนใจพวงมาลัยและกระปุกเกียร์ รถออกตัวจากตรงนั้นเงียบ ๆ โดยต่างฝ่ายต่างจมอยู่ในความคิดของตัวเอง แทบไม่ได้ปริปากพูดกันอีกเลยเกือบตลอดเส้นทาง มีเพียงเสียงเพลงเกาหลีดังวนไปวนมาในรถโดยที่คิมหันต์ก็ไม่ได้ฮัมตามอย่างเคย
ระยะเวลาหนึ่งปี กับเงื่อนไขธรรมดา ไม่มีอะไรซับซ้อน
คิมหันต์ห้ามคบคนอื่น ห้ามไปเกาะแกะกับใครอีก ส่วนสามภพห้ามปล้ำ ห้ามลวนลาม งดเรียกว่าครีม ไม่ให้รบกวนการเตรียมสอบ และห้ามทำร้ายปิ่นหยก
ครบหนึ่งปีเมื่อไร หากสามภพทำให้คิมหันต์ชอบตัวเองได้..ก็คบกัน แต่ถ้าไม่สำเร็จจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับอีกฝ่าย และทำอะไรก็ได้อีกอย่างตามที่ขอโดยไม่เดือดร้อนคนอื่น
"...."
ชายหนุ่มเหลือบดูวันที่จากนาฬิกาบนข้อมือซ้ายของตัวเอง ถือโอกาสลอบมองเลยไปยังคนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งผู้โดยสาร คิมหันต์ไม่ได้มองกลับมาและคงไม่รู้ตัว ทอดสายตาเหม่อออกไปนอกกระจกหน้าต่างเงียบ ๆ
'ไม่แพ้หรอก..ไม่มีทาง' นั่นเป็นสิ่งที่ทั้งสองคนคิดตรงกันวันอาทิตย์ที่สิบหกธันวาคม อากาศร้อนอบอ้าว กรมอุตุนิยมวิทยาเตือนไว้ว่าอาจมีฝนที่ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมในช่วงบ่ายถึงเย็น คำพยากรณ์อากาศเริ่มใกล้เคียงความจริงเมื่อรถวิ่งฉิวผ่านไปตามเส้นทางหลักใต้ท้องฟ้าสีเทาตุ่น ๆ เมฆขมุกขมัว ฝนจะตกก็ไม่ตก แดดรำไรเดี๋ยวมาเดี๋ยวหาย สภาพอากาศไม่เหมาะกับอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะนอน ตากผ้า อ่านหนังสือ ท่องเที่ยว หรือทำสัญญา
เงื่อนไขระหว่างพวกเขาเริ่มต้นขึ้นในวันแบบนั้น- หมดยกที่ 28 -
==============================
กลับมาแล้วค่าาาาา คิดถึงงง >3<
เป็นตอนที่บทสนทนาเยอะจริง ๆ เลยค่ะ 5555 เขียนเสร็จแล้วรู้สึกเลยว่า เฮ่!? นี่มันดูเหมือนเพิ่งเริ่มเรื่องเลยนี่นา
//แล้ว 27 ยกที่ผ่านมาคืออะไร ฮาาา
แอบอยากเขียนเรื่องเมื่อก่อนของคิมหันต์กับปิ่นหยกว่าไปไงมาไงถึงทั้งรักทั้งหวงตล๊อด ไม่ได้ฤกษ์ซะที รอจังหวะเหมาะ ๆ อยู่ แฮร่ ๆ
พบกันตอนหน้าค่ะ ^^
ปล.ตอนนี้ไม่มีรูปแถมนะคะ วาดไว้แค่นิดเดียว ไว้ค่อยรวบยอดลงวันหลังเนาะ

*กอดฟัดคนอ่าน*
