● เล่ห์รักฤดูร้อน ●
ยกที่ 33 – ผู้กระทำ ผู้ถูกกระทำ
รุ่งเช้าวันคริสต์มาส แน่นอนว่าไม่ได้มีของขวัญวางอยู่ปลายเตียงตอนตื่นเหมือนอย่างที่เห็นในภาพยนตร์ แม้เขาเคยหวังว่ามีบ้างก็คงดีไม่หยอก เจ้ใหญ่ช่างไม่รู้จักเซอร์ไพรส์บ้างเลย
ชีวิตประจำวันของเด็กหนุ่มยังเป็นเช่นเดิม ตื่นนอน อาบน้ำ แต่งตัว กินข้าว ไปโรงเรียน วนเวียนกลับเข้าสู่รูปแบบมาตรฐาน พิเศษหน่อยตรงวันนี้มีสอบเก็บคะแนน ซึ่งเขาออกจะมั่นใจในคำตอบของตัวเองบนกระดาษกว่ายิ่งทุกที ถึงกับเสียดายที่ก่อนเข้าห้องสอบไม่ได้ชวนเพื่อนสักคนมาพนันว่าใครได้คะแนนน้อยกว่าให้เลี้ยงข้าว
ทั้งหมดนี้หากจะว่ากันตามจริง อาจต้องขอบคุณมนุษย์หมาบ้าที่ปีนเข้าห้องเขาเมื่อคืน สามภพเป็นแขกผู้มาเยือนที่ไม่ดีนัก..ไม่ค่อยเข้าทางประตูบ้านปกติ แต่ก็เป็นรุ่นพี่และครูที่เยี่ยมทีเดียวหากจะพูดอย่างไร้ทิฐิ ซึ่งสำหรับคิมหันต์แล้วก็เป็นเรื่องค่อนข้างยากลำบาก
เด็กหนุ่มออกจากห้องสอบเร็วกว่าเวลา ซึ่งเขามักทำเช่นนั้นอยู่แล้วเพราะไม่รู้จะนั่งนานไปทำไม เพียงแต่คราวนี้ออกเร็วกว่าเก่าเข้าไปอีก สักคนที่สามของห้องได้ ต่างจากปิ่นหยกที่สอบกี่ครั้งก็ตรวจทานซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่าอาจารย์ผู้คุมสอบจะเรียกเก็บกระดาษคำตอบ ออกจากห้องเป็นคนท้าย ๆ อยู่เรื่อย และคะแนนก็ดีอยู่เสมอจนน่าหมั่นไส้
“ไง” เขาทักคนที่กำลังทำหน้ามู่ทู่หลังส่งกระดาษคำตอบ เพื่อนรักขี้งกดูเครียดและหัวยุ่งกว่าทุกทีนิดหน่อย แต่เชื่อเถอะว่าแม้จะเป็นอย่างนี้อยู่เรื่อย พอผลออกมาทีไรก็คะแนนสูงลิ่วตลอด ที่เครียดอยู่ประจำคงเพราะเป็นเด็กทุนที่ผลการเรียนเป็นสิ่งสำคัญ ดูแล้วจะประสาทแทน
"ทำหน้าเป็นตูด" คิมหันต์เดินไปตบไหล่อีกฝ่ายป้าบ ๆ “นี่ถ้า...”
เขายังพูดต่อไม่ทันจบ เพื่อนหนุ่มร่างสูงหน้ามึนที่สถาปนาตัวเองเป็นคุณแฟนของปิ่นหยกเรียบร้อยก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ เกาะหนึบอยู่กับคนตรงหน้าคล้ายจะทำหน้าที่ลวนลามแทนเขาอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง และให้ว่ากันตามจริงแล้ว คิมหันต์คิดว่าอาทิตย์หน้าหนากว่าเขาเยอะ
“ปิ่นหยกทำได้ไหม?”
“พอไหว”
“ข้อสี่เหมือนที่นายเคยสอนเด๊ะเลย”
จากนั้นก็มีแต่ถ้อยคำกะหนุงกะหนิง(ของอาทิตย์)จนคนฟังอย่างเขาจะบ้าตาย น้ำตาลในกระแสเลือดคล้ายกำลังพุ่งสูงปรี๊ดจากแค่มองสองคนนี้คุยกันกุ๊กกิ๊ก ก่อนปิ่นหยกจะเป็นฝ่ายยุติบทสนทนาชวนหวีดเพื่อเอ่ยปากถามเขาขึ้นมากลางวง
“เย็นนี้อย่าลืม”
“หืม” เขาเลิกคิ้วน้อย ๆ
“ฉลองไง! พี่เอมบอกฉลองคริสต์มาส” ปิ่นหยกอ้างถึงเจ้าของร้านเค้กที่ตัวเองทำงานอยู่แล้วฟาดต้นแขนเขาป้าบใหญ่ มือก็ยังหนักเช่นเคย “ที่ร้านอะ ก็ว่าบอกแล้วนะ”
“อ้อ”
คิมหันต์พยักหน้า เผลอทำหน้ายุ่งพร้อมกับเปิดดูข้อความแช็ตในมือถือตัวเองไปด้วย จ้องมองมันอยู่ครู่ใหญ่แล้วก็ขบริมฝีปากตัวเองไว้ไม่รู้ตัว
สามภพยังคงส่งอะไรเพี้ยน ๆ มาให้เช่นเคย (ช่างเป็นมนุษย์ที่ไม่มีเซ้นส์ด้านนี้เอาเลยจริง ๆ) แต่ที่ทำเขาลำบากใจนิดหน่อยคือบรรทัดสุดท้ายที่ถามว่าเย็นนี้ว่างหรือเปล่า จะมาหานั่นแหละ
“อย่าลืมมา” ปิ่นหยกย้ำกรอกหูอีกรอบตามด้วยโฆษณาชวนเชื่อ “ฟรีนะเว้ย! แล้วฝีมือพี่เอมอย่างงี้” พร้อมกับอาทิตย์ที่พยักหน้ารับหงึก ๆ เป็นเชิงสนับสนุน ทำตัวเหมือนเป็นคู่แต่งงานเชิญแขกมาเที่ยวบ้านไปได้
เด็กหนุ่มลังเลอีกพักหนึ่ง เกิดลำบากใจขึ้นมาอย่างไร้สาระ ทั้งที่ความจริงไม่เห็นต้องคิดมากเลย เขาต้องไปฉลองที่ร้านเค้กทานตะวันกับปิ่นหยกและพลพรรคเด็กหออยู่แล้ว แค่ตัวหนังสือไร้สาระจากสามภพไม่ใช่ประเด็นสักนิด แต่ไอ้การมายืนรีรอเลือกไม่ได้สักทางนี่ชวนให้รู้สึกแย่กับตัวเองเป็นบ้า
“คิม?”
อีกฝ่ายชะโงกหน้ามาทางเขาด้วยท่าทีไม่แน่ใจ ขนาดปิ่นหยกซึ่งเขาคิดว่าเป็นพวกบื้อจะแย่ก็ยังเหมือนจะจับความผิดปกติได้ นั่นฟังดูไม่ค่อยเข้าท่าแล้ว
“เดี๋ยวไป” เขาตอบรับ “กินกันกี่โมงล่ะ”
“ค่ำ ๆ แหละ” ปิ่นหยกถอยกลับไปที่เดิม พยักหน้าน้อย ๆ แต่คล้ายยังมีความค้างคาใจปรากฏอยู่ในสีหน้า แม้จะมีแขนของอาทิตย์คล้องรอบคอไว้ก็ยังลอบมองมาทางเขาเป็นระยะ “ปิดร้านก่อน มาสักทุ่มนึงก็ได้ หรือติดธุระอะไร?”
”...ไม่อะ”
อีกฝ่ายหรี่ตา และเขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่ปิ่นหยกมาทำท่าทางอยากรู้อยากเห็นใส่
“เปล่านี่”
คิมหันต์ย้ำอีกครั้งพร้อมกับยักไหล่ เก็บกระเป๋าเตรียมย้ายห้องเรียนวิชาอื่น แต่ยังไม่วายเหลือบมองโทรศัพท์ตัวเองอีกทีอย่างวิตกจริต
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
เขาผ่านชั่วโมงเรียนสุดท้ายของวันแบบวอกแวกบ่อยกว่าปกติในระดับหนึ่ง เอาแต่จด ๆ จ้อง ๆ กับโทรศัพท์มือถือบนตัก เกือบถูกอาจารย์จับได้ไปตั้งสองรอบอย่างไม่น่าให้อภัยตัวเอง
นี่มันบ้าจริงเชียว คนที่เอาแต่สั่ง ๆ ๆ ว่าเดี๋ยวจะมาเดี๋ยวจะไปไม่เห็นได้รับรู้อะไรด้วยแท้ ๆ แล้วทำไมถึงมีแต่เขาที่มัววุ่นวายอย่างกับเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ แค่บอกว่าไม่ว่าง ไม่ต้องมา เท่านั้นก็จบแล้ว
ที่หน้าชั้นเรียนอาจารย์เริ่มสั่งการบ้าน เพื่อนโต๊ะถัดไปกำลังก้มหน้าก้มตาจดตามมือเป็นระวิง ครู่หนึ่งเขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือมาวางบนโต๊ะเมื่ออาจารย์ทำท่าจะเก็บของเดินออกจากห้อง หน้านิ่วคิ้วขมวดขณะเปิดแช็ตขึ้นมาอีกครั้งด้วยความรู้สึกคาใจ การบ้านอะไรเดี๋ยวค่อยตามถามเพื่อนทีหลังแล้วกัน
‘ไม่ว่าง’ เขาพิมพ์ตอบกลับไปห้วน ๆ จากนั้นเพียงไม่กี่วินาทีก็ได้รับข้อความจากอีกฝ่าย ไวอย่างกับกำลังนั่งจ้องโทรศัพท์รออยู่ ณ อีกฝั่ง
‘ไปไหน’ เกือบตอบคำถามกลับไปแล้ว แต่เกิดนึกอะไรขึ้นมาได้กะทันหันทำให้นิ้วมือชะงักลงกลางคัน
คิมหันต์มุ่นคิ้วแทบเป็นปม ทำไมเขาต้องคอยรายงานสภาพชีวิตตัวเองให้อีกฝ่ายรู้ทุกการเคลื่อนไหวด้วย กับพี่สาวไล่ขึ้นไปจนถึงป๊ากับม้ายังไม่เห็นต้องถ่ายทอดสดละเอียดยิบอย่างนี้เลย พอย้อนกลับไปดูข้อความแช็ตที่คุยกันก่อนหน้าก็ยิ่งแปลกใจตัวเองไม่น้อยที่บอกโน่นบอกนี่ไปเสียหมด หากโดนหลอกถามพาสเวิร์ดของไวร์เลสที่บ้านอาจเผลอตอบไปแล้วก็ได้
เด็กหนุ่มโคลงศีรษะอยู่คนเดียว เพื่อนรอบตัวเริ่มเก็บของออกจากห้องเขาก็ยังจ้องโทรศัพท์นิ่ง เม้มปากแน่นแล้วรีบลบตัวหนังสือเดิมที่พิมพ์คำตอบไว้ได้ครึ่งประโยคทิ้ง ก่อนจะจิ้ม ๆ เป็นข้อความอย่างอื่นส่งไปแทน
‘ยุ่งไรด้วย :-P’ ก็ว่าจะถามห้วน ๆ แล้ว แต่อดไม่ได้จะใส่อีโมกวนประสาทตบท้ายสักหน่อย ไม่รู้ทำไมแต่เขาอยากให้มันออกมาทางตลกมากกว่าจะหยาบคายจริงจัง
มีตัวหนังสือว่า
read ขึ้นหน้าข้อความของเขาที่ส่งหาสามภพ แต่ครั้งนี้ไม่มีอะไรตอบกลับมาสักอย่าง เด็กหนุ่มนั่งรอจนหน้าจอดับไปต่อหน้าต่อตา กดดูอีกรอบก็ยังไร้การเคลื่อนไหว เงียบสนิทจนถึงกับย่นจมูกใส่อุปกรณ์สื่อสารไร้ชีวิตตรงหน้าด้วยความหมั่นไส้คนอีกฝั่งสุดฤทธิ์
“คุยด้วยก็ไม่ตอบนะ” คิมหันต์บ่นหงุงหงิง เริ่มพาลกับโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วตอนนี้ “นิสัย!”
โทรศัพท์สั่นรัว ๆ เหมือนจะเถียง ทำเขาตกใจเกือบปล่อยมันหลุดมือ จะว่าไปก็หลายรอบแล้ว สักวันอาจโดนวัสสานะหวีดใส่เพราะทำโทรศัพท์ที่เธออุตส่าห์ซื้อให้ตกพื้นพังก็เป็นได้
‘หมาบ้า’ ชื่อสายเรียกเข้าบนจอระบุไว้เช่นนั้น ขณะที่ตัวเครื่องยังสั่นวืด ๆ อยู่ในมือ แถมยังจะลามปามมาทำเขาใจสั่นหงึก ๆ ตามจังหวะสะเทือนของโทรศัพท์ไปด้วยเสียอีก
คิมหันต์เหลือบมองซ้ายขวาด้วยความหวาดระแวงเกินจำเป็น อย่างน้อยปิ่นหยกก็ไม่อยู่แถวนี้แล้ว ไอ้เพื่อนรักหน้าเงินที่เคยแช่งเขาให้มีแฟนเป็นผู้ชาย คงจะเป็นคนสุดท้ายในโลกที่เขาอยากให้รู้ว่าตัวเองกำลังถูกคุกคามจากภัยสีม่วงวิบวับในคราบชายเพี้ยนร่างใหญ่ เขากระแอมหนึ่งครั้งกับความว่างเปล่าในห้องเรียน วางฟอร์มเต็มที่แม้ไม่มีใครอยู่ด้วย ก่อนกดรับสายแล้วกรอกเสียงเรื่อยเปื่อยเหมือนไม่ได้ระทึกแทบแย่ก่อนหน้านี้
“ไงเฮียเพี้ยน?”
“จะไปไหน?”
เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจใส่โทรศัพท์ ไม่ได้มีเกริ่นอะไรมาก่อนเลย ใจคอโผล่มาถึงก็กะชนลูกเดียว นิสัยแบบนี้ถ้าไม่ได้หน้าตาช่วย จีบสาวอีกกี่ชาติก็คงไม่ติด
“ฉลองคริสต์มาส” เขาตอบไปตามตรง อารมณ์ล้อเล่นเหือดหายไปเกินครึ่งกับประโยคเมื่อครู่
“ที่ไหน? กับใคร?”
คิมหันต์รู้สึกเหมือนตัวเองมีป๊างอกขึ้นมาอีกคน เขายักยิ้มมุมปากกับตัวเอง พึมพำเสียงยียวนใส่โทรศัพท์ “ทายดิ”
“ร้านเค้ก กับปิ่นหยก”
ตอบมาอย่างไว อะไรมันจะง่ายดายขนาดนั้น “พี่ต้องหัดแกล้งโง่บ้างเซ่!”
คนที่ปลายสายหัวเราะเบา ๆ ได้ยินเสียงลมพ่นใส่ปนเนื้อเสียงแท้ของเจ้าตัวทำเขาหน้าร้อนขึ้นมาอย่างประหลาด พอไม่เห็นหน้าจึงได้ใส่ใจกับการฟังมากขึ้น และได้รู้ตามมาว่าเสียงพูดหรือหัวเราะของอีกฝ่ายฟังดู..เซ็กซี่...? หรืออะไรทำนองนั้น.. อย่างบอกไม่ถูก
บ้าฉิบ..ขนลุกชะมัด “เพราะงั้นพี่ไม่ต้องมาหรอก” เขารีบตัดบท กลัวปล่อยไว้นานเกินจะฟุ้งซ่านไปไกล “ไว้วันหลัง”
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง เขาคิดเอาเองว่าตอนนี้อีกฝ่ายคงกำลังพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะตามด้วยเสียงตอบรับว่า “ได้..วันหลัง”
แล้วสายก็ตัดไป
งอนหรือ? ไม่มั้ง คิมหันต์มองโทรศัพท์งง ๆ นี่ดูง่ายเหลือเชื่อ เขาจะเสียเวลาคิดอะไรเยอะแยะมาตั้งนานนะ บอกไปแต่แรกก็จบ
เย็นวันนั้นเขาขี่มอเตอร์ไซค์ออกจากโรงเรียน อารมณ์กึ่งโล่งกึ่งค้างคา จะลั้นลาก็ไม่เต็มที่เหมือนมีอะไรคอยหน่วง แต่พอถึงบ้านก็ตัดสินใจส่ายหน้าสลัดความกังวลใจทิ้งไปเสีย แวะเกาคางลูกชายขนทองตัวใหญ่อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหิ้วกระเป๋าหนังสือเดินเข้าบ้าน พี่สาวเขายังไม่กลับอีกแล้ว กว่าเธอจะถึงบ้านอาจตอนค่ำหน่อยอย่างทุกที เรื่องจะไปฉลองที่ร้านเค้กคงต้องโทรบอกเธอ แต่ก่อนนั้นควรจัดการเรื่องการบ้านให้เสร็จจะได้ปล่อยเนื้อปล่อยตัวเต็มที่ ไม่ต้องมีภาระค้างคากันทีหลัง
หลังจากโทรรายงานวัสสานะเสร็จเรื่องเวลาและสถานที่ (เผื่อเธอนึกอยากตามไปร่วมแจมกับพวกเขาหลังเลิกงาน) ก็ถึงเวลาเคลียร์เรื่องของตัวเองให้เสร็จก่อน เด็กหนุ่มมองนาฬิกาบนผนัง รื้อสมุดและหนังสือจากกระเป๋าอย่างใจเย็น เวลามีถมเถ แต่พอกำลังจะเริ่มลงมือทำก็เกิดนึกถึงคนที่ปีนขึ้นมานั่งสอนการบ้านเมื่อคืนเสียอย่างนั้น
ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอีกครั้ง เคาะนิ้วบนหน้าจอเบา ๆ เป็นจังหวะพร้อมกับฮัมเพลงอยู่ในลำคอ ครู่หนึ่งก็พิมพ์ข้อความแช็ตถึงสามภพด้วยคำถามสั้น ๆ
‘มาปะ?’ คิมหันต์จ้องมองแถวตัวอักษรที่เพิ่งกดส่งไปอย่างจิตหลุด จะเรียกกลับคืนตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว อารมณ์ชั่ววูบช่างเป็นอะไรที่น่ากลัวและยากรับมือ โดยเฉพาะช่วงหลังที่ดูจะเป็นบ่อยจนน่าปวดหัวกับตัวเอง
อีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไรกลับมาทั้งที่ข้อความถูกอ่านไปเรียบร้อย ซึ่งนั่นน่าผิดหวังนิดหน่อย แบบนี้ไม่สนุกเอาเสียเลย
เด็กหนุ่มทำหน้าเหม็นเบื่อกับกองหนังสือตรงหน้า บ่นงุบงิบไม่เป็นภาษา หลับหูหลับตาผลักโทรศัพท์มือถือออกไปห่าง ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่เป็นทำงานทำการกันแน่แล้ว
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
สามภพมองข้อความซึ่งเด้งขึ้นมาบนหน้าจอมือถือตัวเองด้วยความประหลาดใจ
‘มาปะ?’ ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ตรงข้ามกับริมฝีปากที่ขยับเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ เมื่ออ่านคำถามนั้นซ้ำอีกครั้ง บางที (หรืออาจจะหลาย ๆ ที) คิมหันต์ก็เป็นเด็กเข้าใจยากพอดู ทุกครั้งที่เข้าใกล้มักพยายามถอยหนี แต่พอเขาออกมาห่างหรือไม่โต้ตอบก็ชอบทำอะไรคล้ายเรียกร้องความสนใจอยู่เสมอ ช่างเอาแต่ใจอะไรอย่างนี้
เขาเอนหลังบนเก้าอี้แล้วยกเท้าขึ้นพาดไว้กับโต๊ะ ต้องสู้กับความรู้สึกอยากส่งข้อความสักอย่างตอบไปน่าดู แต่วันนี้ตั้งใจจะไม่พิมพ์อะไรกลับไปอีกสักพักใหญ่ ๆ ปล่อยเจ้าเด็กแสบให้กระวนกระวายเล่น (อย่างน้อยเขาก็หวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้น) แล้วค่อยรอดูดีกว่าว่าคิมหันต์จะวิ่งตามเขาอีกหรือเปล่า
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าทีเดียว เมื่อคนที่กระวนกระวายใจอย่างเห็นได้ชัดคล้ายว่าจะเป็นเขาเองมากกว่า หากใช้จำนวนครั้งที่หยิบมือถือขึ้นมานั่งจ้องเป็นตัวชี้วัด ไอ้ตี๋เกรียนชักมีอิทธิพลกับสภาพจิตใจเขามากเกินไปแล้ว อยู่ที่บ้านพี่สาวก็ดูหวงอย่างกับอะไรดี เมื่อไรจะรีบสอบให้ติดมาเรียนที่เดียวกันเสียที
ถึงจุดนี้เขาเชื่ออย่างเต็มเปี่ยมว่าคิมหันต์ทำได้แน่ ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าคาดหวังไว้เยอะยิ่งกว่าเจ้าตัวเสียอีก
เขานั่งทำงานที่ค้างอยู่แบบสมาธิหลุดเป็นช่วง ๆ เวลาเลยไปจนค่ำมืด คั่นด้วยการรับโทรศัพท์ฟังคำโหยหวนของสรัญเรื่องปัญหาส่งงานไม่ทันอีกพักหนึ่งจนรำคาญตัดสายทิ้งกลางอากาศ จากนั้นโทรศัพท์ก็เงียบสงบ คิมหันต์ไม่ได้เซ้าซี้อะไรมาอีก นั่นทำเอาผิดหวังเป็นบ้า
แต่ช่างเถอะ เขายักไหล่กับตัวเอง อย่างไรก็ตั้งใจจะไปหาอยู่แล้วนี่
สามทุ่มครึ่ง ชายหนุ่มดูภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนออกจากห้อง แกว่งกุญแจรถกับนิ้วมือพร้อมกับฮัมเพลงงึมงำในลำคอไปตลอดทาง น่าขำตรงที่มันเป็นทำนองเพลงเกาหลีอะไรสักอย่างที่คิมหันต์เคยเปิดกรอกหูเขา ทั้งที่จำเนื้อร้องไม่ได้ ฟังยังไม่ออกเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ออกมาเป็นเสียงสูงต่ำตามคีย์ที่เคยได้ยินมาเกือบสมบูรณ์
อากาศข้างนอกตอนกลางคืนค่อนข้างเย็นเนื่องจากเป็นเดือนธันวาคม อุณหภูมิเหมาะกับการนอนคุดคู้อยู่ในห้องมากกว่าก็ยังจะหาเรื่องใส่ตัวไม่จบไม่สิ้น บางทีสามภพก็ค่อนข้างหงุดหงิดตัวเองที่เป็นแบบนี้
ก่อนออกรถเขาหยิบมือถือขึ้นมาดูอีกครั้ง มันยังคงไร้การเคลื่อนไหวเช่นเคย แต่ครั้งนี้เขาตัดสินใจส่งสติกเกอร์รูปหมีไฟลุกเจ้าประจำไปให้คิมหันต์อย่างไร้ที่มาที่ไป แค่อยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะเปิดดูหรือเปล่า
เครื่องมือสื่อสารเงียบสนิท ปราศจากปฏิกิริยาตอบรับใดกลับมา คิมหันต์ยังไม่ได้เปิดอ่านเลยด้วยซ้ำ ในรถมีแต่ภาษาเกาหลีเป็นทำนองครึกครื้นจากแผ่นซีดีที่เปิดอยู่ ซึ่งเขาไม่เห็นชอบใจสักนิด ฟังก็ไม่รู้เรื่อง แต่ตอนนี้กลับฮัมตามได้เกือบหมดแล้ว
เขาส่ายหน้า เก็บมือถือเข้ากระเป๋า จากนั้นก็ออกรถพร้อมกับโยกตัวเป็นจังหวะ นึกกลัวตัวเองขึ้นมาว่าอีกหน่อยอาจโดนคิมหันต์ลากไปเป็นแฟนคลับนักร้องเกาหลีวงโปรดอีกคนก็เป็นได้
กว่าจะมาถึงที่หมายก็ปาเข้าไปสี่ทุ่มกว่า หน้าร้านเค้กทานตะวันซึ่งอยู่ชั้นล่างสุดของอาคารที่เปิดเป็นหอพักนั้นค่อนข้างเงียบทีเดียว มีร้านค้าอีกแค่ไม่กี่ร้านยังเปิดอยู่แถวนั้น เขาไม่รู้ว่าคิมหันต์ยังอยู่ที่นี่หรือกลับบ้านไปแล้ว กำลังคิดว่าจะลองโทรหา สายตาก็เหลือบไปเห็นร่างโปร่งคุ้นตาเดินแกว่ง ๆ ออกมาจากประตูหน้าร้านซึ่งนึกว่าปิดล็อคไปเรียบร้อย ผมสีทองสว่างเด่นชัด แม้มีแสงเพียงน้อยนิดจากเสาไฟไม่กี่ต้นหน้าอาคารก็ยังสะท้อนเป็นประกาย เขานึกชอบใจสีผมแบบนั้นของคิมหันต์มาได้พักใหญ่ แม้ตอนแรกจะค่อนไปทางหมั่นไส้มากกว่า มันเอื้อประโยชน์ในการตามหาตัวได้ง่าย ๆ เสียจริง ไม่ว่าจะยืนอยู่กลางฝูงชน ในแสงสว่าง หรือที่มืดก็คอยจะทิ่มเข้าตาอยู่เรื่อย
“คิม!”
เขาอ้าปากร้องเรียก แต่ดูเหมือนเจ้าของชื่อจะไม่ได้ยิน เห็นเงาตะคุ่มของเด็กหนุ่มซึ่งหิ้วถุงขนาดใหญ่ใบหนึ่งเดินออกมานอกร้าน จากนั้นก็ตุปัดตุเป๋ไปโยนมันไว้ตรงมุมด้านข้างร้าน ขากลับยังสะดุดหน้าประตูจนหมวกซานต้าหล่นจากศีรษะ ต้องก้มลงไปเก็บด้วยท่าทีเงอะงะจนน่าขัน จากนั้นก็กระโจนแผล็วหายลับเข้าไปข้างใน ถึงตอนนี้ลองเงี่ยหูฟังดี ๆ จึงได้ยินเสียงเฮฮาแว่วมา ท่าทางว่าคงกำลังสนุกกันเต็มที่อย่างไม่มีวี่แววจะเลิกง่าย ๆ
สามภพเดินตามไปหยุดอยู่หน้าร้าน ลองขยับประตูกระจกก็พบว่ามันถูกล็อคไว้แล้ว มีเพียงแสงไฟสลัวลอดออกมาจากทางเข้าซึ่งเชื่อมกับตัวร้านไปยังห้องด้านหลังซึ่งเปิดกว้างอยู่ คิมหันต์และเพื่อน ๆ คงฉลองกันอยู่ในนั้น
ชายหนุ่มถอนหายใจยาว เขย่าประตูอีกครั้งอย่างไร้ผล จะโทรหาคิมหันต์เรียกออกมาเปิดให้หน่อยก็รู้สึกเสียฟอร์มพิกล ได้แต่ยืนรออยู่ตรงนั้นท่ามกลางลมหนาวเหมือนเป็นพวกเร่ร่อนไร้ที่อยู่อาศัย อยู่ที่เดิมนานจนคล้ายขาเริ่มแข็งจึงเริ่มเดินวนไปวนมาหาอย่างอื่นทำ สำรวจตรงนั้นตรงนี้ไปเรื่อยเปื่อย ร้านค้าใกล้เคียงค่อย ๆ เก็บข้าวของปิดไปทีละร้านสองร้าน พร้อมกับที่เขาเริ่มตระหนักได้ถึงความเพี้ยนของตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง
ฟอร์มอะไรไม่เข้าเรื่อง โทรหาไอ้เด็กแสบนั่นเถอะ ก่อนจะเฉาตายอยู่ตรงนี้... สติด้านที่ยังปกติดีของเขาส่งเสียงกระซิบ
เขาถือสายรออยู่เพียงไม่นานก็มีเสียงตอบรับ เป็นถ้อยคำ “ฮาโหล?” ที่ฟังดูเหมือนคนพูดลิ้นคับปากอยู่นิดหน่อย ทั้งอู้อี้และมึนงงอย่างน่าประหลาดเมื่อรวมกับเสียงเฮฮาปาจิงโกะที่แทรกเข้ามาตลอดเวลา
“คิมหันต์”
คล้ายว่านี่จะกลายเป็นมุกเดิมของเขาที่ใช้ประจำไปแล้ว คิดอะไรไม่ออกก็เรียกชื่อไว้ก่อน
“งาย..เฮียเพี้ยนสุดหล่อ..” จากนั้นก็ตามด้วยเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊าก ซึ่งนั่นฟังดูไม่ค่อยปกติเลย
“ตอนนี้พี่อยู่ที่...”
เพลงจิงเกิลเบลล์แทรกขึ้นมาพาให้ปวดหัว เป็นเสียงคิมหันต์เจ้าเก่านั่นเอง สามภพค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าปาร์ตี้อะไรนี่ต้องมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์อยู่ด้วยเป็นแน่ เขายืนฟังอย่างอดทนจนอีกฝ่ายร้องจบอย่างทุลักทุเล จากนั้นก็หัวเราะใส่โทรศัพท์อีกครั้ง เสียงลมมาเต็มหูเขาเชียว ก่อนเจ้าตัวจะทวนคำเขาบอกให้รู้ว่ายังมีสติดีอยู่แม้จะเริ่มรั่วหนักกว่าปกติ
“อยู่ที่...?”
สามภพกลั้นหายใจ เกิดพูดไม่ออกขึ้นมาดื้อ ๆ ถึงตอนนี้อย่างไรก็คิดว่าเสียฟอร์มชะมัด ทั้งที่ตั้งใจจะปล่อยให้อีกฝ่ายกระวนกระวายดูบ้างแท้ ๆ ไหงกลายเป็นเขาที่แจ้นมาถึงที่อีกแล้ว
“ที่อะไร...เฮ่ยทางโน้นเงียบแป๊บดิ๊! พูดไม่รู้เรื่องว้า...”
จากตรงนั้นเริ่มฟังไม่รู้เรื่องแล้วว่าคุยกับเขาหรือกับคนอื่น และก่อนคิมหันต์จะครึ้มอกครึ้มใจจนแหกปากเพลงจิงเกิลเบลล์เวอร์ชั่นลิ้นแข็งให้เขาฟังอีกสักรอบ ชายหนุ่มก็ชิงตัดจบด้วยการตอบคำถามไม่ตรงกับความจริงเพื่อเป็นการรักษาหน้าของตัวเองไปก่อน เป็นการคิดมากเอาเองอย่างเสียเปล่าเพราะคิมหันต์ไม่ได้เอาเวลามาเอะใจสักนิดในตอนนั้น
“อยู่ที่คอนโดฯ”
แล้วสามภพก็กดวางสาย ยืนทอดถอนใจกับเศษใบไม้หน้าร้าน
กว่าคิมหันต์จะเดินโต๋เต๋ออกมาจากประตูบานเดิมอีกครั้งก็ปาเข้าไปใกล้เที่ยงคืน ซึ่งนั่นไม่น่าประหลาดเท่าตัวเขาที่ทนนั่ง ๆ ยืน ๆ รออยู่ไม่ยอมกลับบ้านกลับช่อง คิดเวลารวมตั้งแต่มาถึงจนตอนนี้แล้วปาเข้าไปตั้งชั่วโมงกว่า
เด็กหนุ่มบอกลาคนในร้านซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนอาลัยอาวรณ์เต็มแก่ ชื่อคนโน้นคนนี้ที่เขาไม่รู้จักหลุดจากปากเต็มไปหมด พี่เอม พี่แวว น้องอุ่น นั่นนู่นนี่ เดินพ้นประตูออกมาได้แล้วก็มาสะดุดที่เดิมด้วยท่าทางชวนให้คนมองส่ายหน้า กลับมาทรงตัวเป็นปกติได้ยังทำยืนเก๊กอยู่คนเดียวอีก
สามภพยืนพิงต้นเสาห่างไปไม่ไกลนัก มองคิมหันต์โยกตัวไปมาเหมือนยังอยู่ในอารมณ์ครึกครื้น ขาขยับไปได้ไม่กี่ก้าวก็หมุนตัวท่วงท่ากวน ๆ สองรอบติด ไอ้เด็กเกรียนคงเข้าใจว่าไม่มีใครอยู่ จนกระทั่งเดินมาหยุดชะงักอ้าปากหวอตรงหน้าเขานี่เอง
“เฮียเพี้ยน!”
เขายักคิ้ว ระยะเวลาตั้งชั่วโมงกว่าช่วยให้เขาพอจะปลงเรื่องความเสียหน้า(ที่คิดไปเอง)ลงได้บ้าง เผลอยักยิ้มมุมปากออกมาเมื่อเห็นจากระยะประชิดว่าพวงแก้มทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มแดงระเรื่ออย่างกับมะเขือเทศ
อีกฝ่ายทำหน้าเหวออยู่เพียงอึดใจเดียว ก่อนจะหัวเราะชอบอกชอบใจออกมา จากนั้นก็ทำให้เขาตกใจแทบแย่ด้วยการกระโจนเข้ากอดคอราวกับคิดถึงมากมาย
“ไหนว่าอยู่คอนโดฯไง” เด็กหนุ่มหัวเราะเหมือนคนสะอึก โหนอยู่กับลำคอเขาจนต้องก้มตัวตามลงมา ขณะที่คนกอดก็เขย่งบนปลายเท้าไปด้วย “คิดถึงผมอะดิ”
“.....”
สามภพหลงดีใจไปแวบหนึ่ง แต่พอได้กลิ่นแอลกอฮอล์จาง ๆ ก็เริ่มจับต้นชนปลายได้ นี่ไม่เมาก็ใกล้เคียง แถมยังมาร้องเพลงหงุงหงิงข้างหูเขาตาปรือเป็นการช่วยยืนยันสภาพเจ้าตัวอีก
“กินเหล้าหรือ?”
คิมหันต์ไม่ตอบ แต่เปลี่ยนเป็นร้องเพลงดังกว่าเก่า เกาหลีก็ไม่ใช่ ภาษาไทยก็ไม่เชิง เรียกเสียงหัวเราะขบขันปนเวทนาจากชายหนุ่มที่ถูกใช้เป็นที่เกาะไปเรียบร้อย
“แล้วนี่มายังไง” เขาถามต่อ แม้ไม่นึกหวังกับคำตอบนัก “จะกลับยังไง”
เด็กหนุ่มปล่อยมือที่กอดคอเขาแล้วถอยออกมายืนยิ้มกริ่ม ชี้ไปที่ลานจอดรถพร้อมกับเอียงคอไปทางนั้นน้อย ๆ “มอ'ไซค์”
สามภพมองตามนิ้วมือคิมหันต์ จากนั้นก็ย้อนกลับมามองหน้าคนพูดอีกครั้ง ขี่มอเตอร์ไซค์ด้วยสภาพอย่างนี้ดูไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย ต่อให้ยังดูมีสติครบถ้วนสมบูรณ์ดีก็เถอะ เขาขมวดคิ้วพร้อมกับคว้าต้นแขนเด็กหนุ่มแล้วดึงเข้าหาตัว เอ่ยข้อเสนอซึ่งแฝงคำสั่งเป็นนัยด้วยเสียงราบเรียบ
“เดี๋ยวไปส่ง”
“หืม?”
“ขึ้นรถ”
เขาจ้องอีกฝ่ายเขม็ง และคิมหันต์ก็ไม่มีหลบตาเลยแม้แต่น้อย เวลาผ่านไปครู่ใหญ่อีกฝ่ายก็แย้มยิ้มออกมา เต๊ะท่าเดินดุ่ย ๆ ตรงไปยังรถเขาอย่างว่าง่ายชนิดไม่ต้องเชิญซ้ำ
ถึงจุดนี้สามภพเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าเด็กหนุ่มต้องเมาในระดับหนึ่งทีเดียวมีต่อค่ะ
v
v
v