● เล่ห์รักฤดูร้อน ●
ยกที่ 36 – ผิดกฎคนละข้อ
สามภพขมวดคิ้วน้อย ๆ จ้องมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือของตัวเองด้วยความประหลาดใจ นี่เป็นไปได้หรือ? รูปและชื่อที่ปรากฏอยู่บนนั้นทำให้เขาทั้งรู้สึกดีและระแวงไปพร้อม ๆ กัน
‘ตี๋เกรียน’ ชายหนุ่มเม้มปาก โทรผิดหรือเปล่า? เมื่อเช้ายังทำท่าจะเขินตายให้ได้อยู่เลย
“ไง” เขาเอ่ยทักทายคำแรก แต่กลับไม่มีเสียงกลับมาจนต้องเอ่ยชื่อเจ้าของเบอร์โทรศัพท์นั้น “คิมหันต์?”
“....”
“คิม..ไอ้ลูกหมา?”
ไร้การตอบรับใดทั้งสิ้น ชายหนุ่มเอาโทรศัพท์ออกห่างจากหูเพื่อดูว่ามันยังใช้การได้ดีอยู่หรือเปล่า ตัวเลขแสดงเวลาในสายยังเดินไปตามปกติ ทว่าสิ่งที่ได้จากอีกฝั่งนั้นมีเพียงความเงียบงัน บางทีอาจพลาดกดโทรออกโดยไม่ได้ตั้งใจ?
“ระวังหน่อยสิไอ้เด็กเบื๊อก” เขาบ่นใส่โทรศัพท์ ไม่คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน รับสายแล้วเงียบฉี่ขนาดนี้ท่าทางคงกดผิดจริง ๆ นั่นแหละ เขาก็ช่างคิดไปได้ว่าตั้งใจโทรมา ขนาดทางแชตเด็กหนุ่มยังไม่ค่อยตอบเลยด้วยซ้ำ สามภพโคลงศีรษะ หัวเราะกับตัวเองเบา ๆ เลื่อนเครื่องมือสื่อสารออกห่างจากใบหน้า เตรียมกดวางสายไม่ให้อีกฝ่ายต้องเปลืองค่าโทรนัก
“...พี่..”
“...?”
“..ว่างรึเปล่า..”
ชายหนุ่มรีบตะครุบโทรศัพท์ที่เกือบตัดสายไปแล้วขึ้นมาแนบหู เมื่อครู่นี้ได้ยินไม่ชัดนักเพราะอยู่ห่างเกินไป แม้ถ้อยคำลังเลซึ่งได้ยินแว่ว ๆ แบบนั้นจะดูไม่เข้ากับนิสัยคิมหันต์ในยามปกติ แต่เขาคิดว่านั่นเป็นเสียงเจ้าตัวแน่นอน
“ว่าไงนะ?”
“มาหาผมที่โรงเรียนหน่อย” “..??”
สามภพเลิกคิ้ว เจ้าเด็กแสบนั้นพูดเรื่องอะไรกัน ฟังดูเป็นคำที่ไม่น่าออกมาจากปากเด็กหนุ่มเมื่อเอ่ยกับเขาได้เลย นี่คงไม่ใช่โทรมาผิดสายแล้วเข้าใจว่ากำลังคุยกับคนอื่นอยู่หรอกใช่ไหม ในเมื่อตั้งแต่ต้นจนตอนนี้คิมหันต์ก็ยังไม่ได้เอ่ยชื่อเขาออกมาเลยสักแอะ
“คิม?” เขาผ่อนลมหายใจช้า ๆ “นี่เราคุยกับใครอยู่รู้หรือเปล่า”
“..เฮียเพี้ยน”
ก็รู้นี่
“มาตอนนี้เลย..นะ”
บอกให้ทำอะไรก็ทำจนเขาเริ่มสงสัย นี่ว่าง่ายเกินไปหรือเปล่า?
แม้จะขัดอกขัดใจกับตัวเองเพียงใด แต่สามภพก็จัดแจงหยิบตารางเรียนช่วงบ่ายวันนี้ของตัวเองขึ้นมาดูให้แน่ชัด เมื่อเห็นว่ามีแต่วิชาที่ไม่น่ามีปัญหาเรื่องการเช็คชื่อ อีกทั้งได้รับคำยืนยันจากสรัญผู้ทำหน้างงใส่ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่มเมื่อเขาหันไปบอกว่ามีธุระด่วน จึงแน่ใจว่าบ่ายนี้ไม่มีควิซหรือกิจกรรมสำคัญอย่างอื่น หันไปรีบเก็บสัมภาระตัวเองเตรียมตัวออกจากมหาวิทยาลัย
“ไปไหนวะ?” เกย์หนุ่มผิวแทนส่งสายตาวิบวับมาให้ ยักยิ้มมีเลศนัยพร้อมกับเอาศอกสะกิดเขาอย่างน่าขนลุก “ช่วงนี้ธุระเยอะนะ”
เขาส่ายหน้ารำคาญใจ ถอยห่างจากอีกฝ่ายออกมาพอให้พ้นระยะเกาะแกะ “ไม่เกี่ยวกับแก” ระหว่างนั้นก็สาวเท้ายาว ๆ ไปยังลานจอดรถ
“ทำตัวมีความลับ” สรัญหัวเราะน้อย ๆ พร้อมกับโคลงศีรษะอย่างขบขัน แต่ก็ยังเดินตามมาด้วยเหมือนอยากล้อเลียนให้ถึงที่สุด “อา..หรือเรียกทำตัวมีความรัก?”
“อย่าเสือก” ชายหนุ่มสวนกลับทันควัน แต่คนฟังสนที่ไหน
“น้องคิมอีกอะดิ” เพื่อนผิวแทนยักไหล่เบา ๆ “ไว้ก็พามาเจอหน้ากันบ้างก็ได้”
สามภพได้ยินเท่านั้นก็หันไปจ้องอีกฝ่ายเขม็ง บรรยากาศดุดันลอยฟุ้งในบรรยากาศชั่วขณะ สรัญถึงกับคิดคำพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง ก่อนชายหนุ่มจะกลับมาขมวดคิ้วแล้วคุยเกือบเป็นปกติ
“จะใครก็เรื่องของฉัน อย่าให้รู้ว่ากล้าแตะ”
สรัญขมวดคิ้ว พ่นลมหายใจเหนื่อยหน่าย กอดอกยืนมองจนสามภพเดินไปถึงรถของเจ้าตัว อดหมั่นไส้ไม่ได้ว่าจะหวงอะไรนักหนากับแค่เด็กหนุ่มคนเดียว เดี๋ยวนี้เอะอะอะไรก็นั่งแชตไลน์ ตาจ้องเหมือนอยากจะกินมือถือเข้าไปทั้งอัน พอเขาทำท่าสนใจใคร่รู้หน่อยก็รีบแยกเขี้ยวใส่ เด็กที่สามภพแชตด้วยชื่อคิมต่อให้ดูน่าฟัดอย่างไร แต่ใช่ว่าจะเป็นลักษณะแบบที่มีแค่คนเดียวในโลก ทำอย่างกับเขาจะแย่งอย่างนั้นแหละ (แม้ได้จริงเขาก็ไม่ปฏิเสธ) ตัวเขาเองก็มีคนมาติดพันออกถมเถไป
“รัญ”
นั่นไง..คนล่าสุดที่เพิ่งรู้จักไม่นาน พูดถึงก็มาเลย
“อ้าว พี่รัน” เขาร้องทัก พร้อมกับโบกมือให้ชายหนุ่มร่างเล็กผู้มีชื่อเล่นออกเสียงเหมือนกัน แต่รูปร่างหน้าตาไปคนละทางเลยทีเดียว
รัญชน์เดินตรงเข้ามาใกล้ ยิ่งเห็นชัดก็ยิ่งรู้สึกแปลกตานิดหน่อยเมื่อเจ้าตัวอยู่ในเสื้อช็อปสีน้ำเงินเข้ม ติดกระดุมไว้อย่างเรียบร้อยครบทุกเม็ด รูปลักษณ์ภายนอกอย่างนั้น หากไม่บอกใครจะคิดว่าเรียนปีสามเข้าไปแล้ว ดูอย่างไรก็เด็กมัธยมปลายชัด ๆ แถมท่าทางยังติดจะเจี๋ยมเจี้ยม ไม่ใช่แนวที่เขาชอบเลย มีตรงที่ตัวเล็กน่าเอ็นดูนี่แหละทำให้รู้สึกว่าน่าสนใจ
“ผมเดินผ่านตึกคณะแต่ไม่เห็นนาย” ชายหนุ่มร่างเล็กพึมพำ ยกมือขึ้นขยับแว่นให้เข้าที่ “นึกว่าไม่อยู่แล้ว”
สรัญยักไหล่ ส่งรอยยิ้มกลับไปให้ พร้อมกับคำตอบน้ำเสียงนุ่มนวลเหมือนที่ชอบใช้เวลาอ่อยเหยื่อ ทำไมจะดูไม่ออกว่าชายหนุ่มตรงหน้ามีรสนิยมทางเพศแบบเดียวกัน “ผมเดินมาส่งเพื่อนน่ะ”
“เพื่อน?”
“ช่างหัวมันเถอะ” เขาหัวเราะ โอบไหล่ชายหนุ่มรุ่นพี่เข้ามาใกล้อย่างถือวิสาสะ “ไปหาเด็กมันอีกแล้ว เดี๋ยวนี้ตลอด กำลังเพ้อ”
รัญชน์ไม่ได้ขัดขืนท่อนแขนที่อ้อมมาซ้อนด้านหลังตัวเขาแล้วดึงไปหา ปล่อยสายตามองตามรถเก๋งสีบรอนซ์ทองซึ่งเพิ่งเคลื่อนออกจากลานจอดรถแล้วเลี้ยวหายไปทางหัวมุมอีกฝั่ง ถามออกมาเสียงแผ่วเจือความอาวรณ์ซึ่งเบาบางจนอีกฝ่ายไม่ทันสังเกต
“ภพน่ะหรือ?”
สรัญเลิกคิ้ว ก้มลงมองหน้าเขาพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ “พี่รู้จักมันด้วย?”
เขาหลบตา ส่ายหน้าแล้วพึมพำแผ่วเบาใต้ปลายจมูก ขณะที่เดินตามแรงดึงจากแขนของสรัญซึ่งเอื้อมมาโอบ
“แค่เคยได้ยินชื่อน่ะ”
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
สามภพกำลังคิดจะโทรศัพท์หาคิมหันต์อยู่พอดี ตอนที่พารถของตัวเองมาจอดเลียบอยู่ริมรั้วโรงเรียน ป้อมยามก็อยู่ไม่ไกลจากกันนัก แล้วนี่จะให้เขาเอาอย่างไรต่อ เดินดุ่ม ๆ เข้าไปหาบอกว่าเป็นผู้ปกครองมาตามนักเรียนเพราะมีธุระด่วนอย่างนั้นหรือ?
ยังไม่ทันจะได้ล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า หางตาก็สังเกตเห็นร่างโปร่งคุ้นตาแวบ ๆ อยู่จากกระจกส่องหลัง ผมสีทองเป็นประกายนั้นเด่นอยู่เสมอไม่ว่าจะอยู่ที่ใด และตอนนี้เจ้าตัวยุ่งที่โทรตามเขามาอย่างเอาแต่ใจ กำลังหย่อนขาลงช้า ๆ จากขอบรั้วโรงเรียน ห่างออกไปจากป้อมยามไม่ถึงสามสิบเมตร นี่นับว่ากล้ามากทีเดียว ทำเป็นว่าคนอื่นชอบปีนรั้ว ตัวเองก็ใช่ย่อยเสียเมื่อไร
พอเท้าเหยียบพื้นได้ เด็กหนุ่มก็คว้ากระเป๋าหนังสือบนพื้นที่โยนลงมาก่อนแล้วสะพายไหล่ เงยหน้าขึ้นมองมาทางรถเขาซึ่งจอดอยู่ไม่ไกล เอานิ้วชี้แตะไว้ที่ปากตัวเองคล้ายจะบอกเขาไว้ล่วงหน้าถ้าเผื่อมองเห็น ว่าอย่าได้เอะอะกับการหนีเรียนครั้งนี้ กระโจนแผล็วอย่างคล่องแคล่วเพียงไม่กี่ก้าวเจ้าตัวก็มาหยุดอยู่ตรงข้างประตูรถฝั่งผู้นั่งโดยสาร ไวอย่างกับลิง ไม่สงสัยเลยว่าทำไมก่อนหน้านี้ตอนวิ่งไล่จับกันจึงได้เปลืองแรงนัก
คิมหันต์พยายามเปิดประตูเสียงดังกุกกัก แต่พอเห็นว่าเปิดไม่ได้เพราะเขาล็อคไว้ก็รีบเคาะกระจกรัว ๆ
สามภพส่ายหน้าน้อย ๆ พร้อมกับลอบยิ้มไปด้วย แกล้งปล่อยยืนเคาะอย่างนั้นสักสี่ห้านาทีเสียดีไหม ซ่าดีนัก
เขาทำฟอร์มอยู่ได้เพียงไม่นานก็ต้องปลดล็อคให้ด้วยความสงสาร เมื่อคิมหันต์เริ่มส่งสายตาประท้วงแบบไม่กล้าส่งเสียงโวยวายให้โดนยามจับได้ พอได้ยินเสียงคลิกจากเซ็นทรัลล็อคซึ่งปลดออกปุ๊บ เด็กหนุ่มก็รีบกระชากประตูเปิดออกแล้วมุดเข้ามานั่งอย่างรวดเร็วราวกับกลัวใครมาเห็น ทำหน้ามุ่ยพร้อมกับหอบเบา ๆ โดยไม่ทักทายอะไรกันสักคำ
“ตกลงว่าไง?”
เขาเป็นฝ่ายเริ่มก่อนอีกแล้ว เอื้อมมือไปวางไว้บนศีรษะอีกฝ่าย ลูบบนเส้นผมนุ่มนิ่มแผ่วเบาพร้อมกับจับโยกไปมาเล็กน้อยเมื่อคิมหันต์ไม่ยอมตอบสักที จากที่คุยค้างไว้ทางโทรศัพท์รู้แค่อยากให้ช่วยพาไปโรงพยาบาลแห่งหนึ่งเท่านั้นเอง
“มีเรื่องด่วนอะไร จะไปทำอะไรที่โรง’บาล”
คิมหันต์เหลือบมองมาทางเขา พวงแก้มเป็นสีแดงระเรื่อทั้งสองข้าง แต่ครั้งนี้สิ่งที่แปลกไปคือดวงตาก็พลอยแดงก่ำไปด้วย
“คิม?” เขาก้มหน้าลงไปดูใกล้ ๆ “เป็นอะไรไป?”
“...เฮียเพี้ยน...”
“หือ?” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว เลื่อนมือจากบนศีรษะคิมหันต์มาวางไว้บนแก้มใส ขยับนิ้วหัวแม่มือไปเกลี่ยแผ่วเบาที่หัวตาเด็กหนุ่ม อะไรบางอย่างเหมือนหยดน้ำกำลังเอ่อคลออยู่ในนั้น เห็นไอ้ตัวแสบที่ดีแต่ก่อเรื่องทำหน้าเหมือนจะร้องก็พลอยใจไม่ดีไปด้วย
“แม่มันตาย...” คิมหันต์กระซิบเสียงเบาหวิว “...พาผมไปหามันหน่อย..”
“ใคร?”
“ไอ้ปิ่น”
“...”
แย่จริง..เขาไม่ชอบเวลาคิมหันต์แสดงอาการเป็นห่วงเป็นใยคนอื่นออกนอกหน้าเลย โดยเฉพาะกับปิ่นหยกที่คล้ายว่าจะมีประวัติยาวนานกันมาซึ่งไม่รู้ว่าสนิทอะไรนักหนา แต่เห็นสีหน้าเด็กหนุ่มตอนนี้แล้วก็ทำเอาเขาลืมเรื่องนั้นไปชั่วคราวก่อน รู้สึกใจหายไปด้วยอย่างไรบอกไม่ถูก
“นะ..?"
เขาผ่อนลมหายใจยาว ลูบผมสีทองนุ่มมือเบา ๆ อีกครั้ง ลากมาจนถึงกลางแผ่นหลังเป็นเชิงปลอบ พึมพำให้อีกฝ่ายคาดเข็มขัดนิรภัย จากนั้นก็หันไปออกรถเงียบเชียบ
ใช้เวลาเพียงไม่นานก็มาถึงที่หมาย คิมหันต์กดโทรศัพท์ยุกยิกเพื่อโทรหาอันนาเป็นครั้งแรก หลังจากเคยขอเบอร์โทรศัพท์มาจากสิสิรผู้เป็นพี่สาวคนรองมาเก็บไว้นานแล้ว สัญญาณรอสายดังอยู่ไม่นานก็มีคนรับ แต่กลับเป็นเสียงของอาทิตย์ที่เขาได้ยิน คุยกันคร่าว ๆ จึงได้รู้ว่าอันนาเอาโทรศัพท์ตัวเองให้น้องชายไว้ก่อนเพราะแยกกันเฝ้าคนเจ็บคนละหอผู้ป่วย และได้รู้ว่าปิ่นหยกก็อยู่กับอาทิตย์ด้วยตอนนี้
เด็กหนุ่มถอนหายใจยาว เดินผ่านตัวอาคารของโรงพยาบาลไปพร้อมกับสามภพ อย่างน้อยก็แน่ใจว่าเพื่อนเขามีอาทิตย์คอยดูแลอยู่ ขณะที่ต้องเฝ้าน้องสาวซึ่งได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุเดียวกับที่พรากชีวิตแม่ตัวเองไป
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ชายหนุ่มถามขึ้นในที่สุด หลังจากรู้สึกว่าตัวเองทนความสงสัยในรายละเอียดมาได้พักใหญ่แล้ว
คิมหันต์เหลือบมาทางเขา ดูเหมือนจะยังไม่สามารถมองเขาซึ่งหน้าได้หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ เด็กหนุ่มทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่อีกครู่หนึ่งแล้วก็เริ่มพูดกับเขาเป็นประโยคยาว ๆ ได้เสียที
“แม่กับน้องมันเกิดอุบัติเหตุ ไปกับคุณอานนท์ พ่อของอาทิตย์” เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกแล้วก้มหน้าก้มตามองเท้าตัวเอง “คุณอานนท์ พี่ก็คงรู้จัก พ่อของพี่อันที่เป็นแฟนพี่ชายของพี่ด้วย”
สามภพพยักหน้า หากอาทิตย์อยู่ที่นี่ อันนาก็คงรู้เรื่องและอยู่แถวนี้ด้วย ซึ่งนั่นอาจรวมถึงสามพล พี่ชายของเขาอีกคน
“แม่มันเสียเมื่อคืน ที่ห้องฉุกเฉิน ส่วนน้องสาวมันตอนนี้ยังไม่ฟื้น” คิมหันต์ยกมือขึ้นเสยผม เดินเอียงมาทางเขานิดหน่อยจนไหล่กระทบกับแขนเขาเบา ๆ โดยไม่รู้ตัว “ส่วนคุณอานนท์เพิ่งออกจากห้องผ่าตัดไม่นานนี้”
“ไหวรึเปล่า เราน่ะ?” ชายหนุ่มก้มลงไปมอง อีกฝ่ายเพียงแต่พยักหน้าแล้วพูดต่อ
“ไหวดิ..ผมไม่ได้เป็นอะไรนี่”
คิมหันต์ตอบเพียงเท่านั้น แล้วก็เดินเลี้ยวเข้าไปในอาคารตามที่ได้ฟังจากอาทิตย์ แวะถามพยาบาลอีกคนที่เคาน์เตอร์ประจำหอผู้ป่วย ก่อนจะเดินไปในทิศทางที่เธอบอก
ด้านในนั้นมีเตียงเรียงกันเป็นแถว เครื่องมือแปลก ๆ ไม่คุ้นตาตั้งเรียงรายอยู่ทั้งสองฝั่ง กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อปนคาวเลือดน้อย ๆ เจืออยู่ในอากาศชวนให้หดหู่อย่างน่าแปลกใจ ผู้คนบนเตียงเหล่านั้นนอนนิ่งแทบไม่กระดิก แค่สองสามคนเท่านั้นที่ดูเหมือนจะพยายามขยับตัวอย่างยากลำบาก มีแต่บรรยากาศของความเจ็บปวดล่องลอยอยู่ตลอดทางที่เดินผ่าน จนกระทั่งถึงเตียงด้านในสุดตามคำบอกจากพยาบาล
“ไอ้ปิ่น!” เขาส่งเสียงเรียก แทบวิ่งเข้าไปหาเมื่อเห็นเพื่อนรักก้ม ๆ เงย ๆ หยิบของอยู่ข้างเตียงจี้หยกผู้เป็นน้องสาวซึ่งหลับอยู่บนเตียงผู้ป่วย มีอาทิตย์พยายามช่วยอยู่ด้วยไม่ห่าง
“....คิม..”
ปิ่นหยกตอบรับเสียงอ่อน ดวงตาลึกโหลและช้ำแดง คราบน้ำตายังติดอยู่เต็มสองข้างแก้ม น่าสงสารจนแทบร้องไห้ตาม ยังไม่ทันมีใครได้เอ่ยอะไรอีก เขาก็โถมตัวไปกอดอีกฝ่ายไว้แน่น ปิ่นหยกทำท่าคล้ายจะพูดอะไรกับเขา ทว่ากลับไม่มีถ้อยคำอะไรเล็ดลอดให้ได้ยินแม้แต่น้อย
“ไอ้ควาย” เขาพึมพำเสียงขึ้นจมูก พร้อมกับลูบหลังอีกฝ่ายเบา ๆ ไปด้วย “เข้มแข็งหน่อยเว้ย”
ปิ่นหยกกอดตอบ ไหล่ทั้งสองสั่นเทิ้มไปหมด พร้อมกับหยดน้ำอุ่น ๆ ที่หยดลงบนเสื้อเขา ก่อนจะตามด้วยเสียงสะอื้นแผ่วเบา ตลอดระยะเวลาที่เพื่อนรักสองคนยังกอดกันกลม
สามภพยืนมองอยู่ครู่หนึ่ง และรู้สึกได้ว่าไม่ใช่เวลาควรเข้าไปห้าม ชายหนุ่มเบือนหน้าไปหาอาทิตย์ เชื่อว่าอีกฝ่ายก็คงคิดไม่ต่างกัน เพราะหลังจากพยักหน้าให้เบา ๆ เพียงหนึ่งครั้ง อาทิตย์ก็เดินตามเขาออกมารอที่ระเบียง ปล่อยให้เด็กหนุ่มสองคนที่เขาพยายามจะเชื่อว่าเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้นได้พูดคุยกันตามลำพังไปก่อน
“ผมไม่รู้ว่าพี่ภพจะมาด้วย” อาทิตย์เอ่ยขึ้นลอย ๆ หันมามองเขาเพียงแวบหนึ่งแล้วก็เหม่อมองออกไปนอกระเบียง “มากับคิมหรือครับ?”
ชายหนุ่มพยักหน้า ลอบสังเกตเด็กหนุ่มสองคนด้านในไปด้วยขณะที่ตอบคำถามคู่สนทนา “เพิ่งไปรับมันที่โรงเรียน”
อาทิตย์เงียบไปอีกครู่หนึ่ง ภายใต้ใบหน้านิ่งงันนั้นไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่จึงได้ถามเขาต่อ
“คบกันอยู่หรือครับ?”
เขาขยับตัวอย่างไม่เป็นธรรมชาตินัก “ยัง”
“พูดว่ายัง หมายถึงคาดหวังว่าจะเป็นอย่างนั้นในอนาคต..”
เด็กหนุ่มเอ่ยลอย ๆ ใบหน้ายังคงนิ่งสนิทเช่นเคย และน้ำเสียงเนิบนาบนั้นไม่ช่วยให้เดาอารมณ์ได้สักนิด จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องฉับพลันโดยที่ยังค้างไว้แค่นั้น อาทิตย์เป็นเด็กแปลกอีกคนที่แม้ไม่ได้เจอกันนานก็ยังคงลักษณะนิสัยเช่นนั้นไว้ได้สม่ำเสมอ “คุณพ่ออยู่อีกตึกหนึ่งครับ ผมเพิ่งไปเยี่ยมมา และปิ่นหยกก็เพิ่งบริจาคเลือดให้คุณพ่อ..”
อาทิตย์ก้มลงมองมือตัวเองคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง จากนั้นก็เหม่อมองไปไกลอีกครั้ง
“พี่อันกับพี่พลก็อยู่ที่นั่นด้วย ยังไม่เจอกันใช่ไหมครับ”
สามภพพยักหน้าเมื่อได้ยินชื่อพี่ชายตัวเอง ตั้งใจว่าเดี๋ยวจะไปเยี่ยมเหมือนกัน แต่ก็ยังคอยลอบมองปิ่นหยกและคิมหันต์ที่คุยกันอยู่ด้านในผ่านหน้าต่างกระจกซึ่งเชื่อมกับระเบียงไม่วางตา ทั้งสองคนไม่ได้กอดกันแนบแน่นเช่นเดิมแล้ว ทำเพียงแต่นั่งคุยอะไรบางอย่างอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยซึ่งเขาไม่ได้ยินเสียงจากตรงนี้
“ไม่หึงหรือ” เขาพึมพำออกมา ทั้งที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อนสักนิดว่าจะพูดเช่นนั้นกับเด็กหนุ่มข้าง ๆ
“ปิ่นหยกกับคิมน่ะหรือครับ?” อาทิตย์ยิ้มน้อย ๆ ทั้งที่ใบหน้ายังดูอมทุกข์กับเหตุการณ์ที่เกิด เหลียวมองตามสายตาเขาแล้วตอบตรงไปตรงมา “หึงมากเลย”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ไม่ได้ตอบอะไรจนอีกฝ่ายพูดต่อ
“พวกเขาเป็นอย่างนั้นเสมอนั่นแหละ แต่เขาก็เป็นเพื่อนกันจริง ๆ”
อาทิตย์มองหน้าเขาตรง ๆ อึดใจหนึ่ง จากนัยน์ตาสีดำสนิทของเด็กหนุ่มตรงหน้าก็ยังประเมินยากอยู่ดีว่ากำลังคิดอะไรอยู่ สองพี่น้องอันนา - อาทิตย์ ช่างเป็นบุคคลประหลาดที่อยู่นอกเหนือการคาดเดา แม้แต่ตอนเด็กหนุ่มเดินผ่านเขาไปยังประตูซึ่งเชื่อมระหว่างหอผู้ป่วยกับระเบียง ก็ยังรู้สึกว่ามีบรรยากาศพิลึกล่องลอยอยู่ตลอดเวลา เสียงพูดทุ้มต่ำซึ่งดูคล้ายว่าเอ่ยเพียงลอย ๆ ของอาทิตย์ได้ยินมาถึงหูเขาชัดเจน
“ผมเชื่อใจปิ่นหยก ..และพี่ก็น่าจะเชื่อใจคิม” ยังมีต่อค่ะ
v
v
v