● เล่ห์รักฤดูร้อน ●
ยกที่ 40 – ยามศึกเรารบ ยามสงบเราฟัด
ไอ้เด็กแสบนั่น ไม่รู้ว่าจะตั้งใจปั่นหัวเขาไปถึงไหน?
หากไม่ติดใจสงสัยกับท่าทางหลบตาของปิ่นหยก ไม่เอะใจย้อนกลับมาดูอีกครั้ง ไม่ได้เผลอลืมหยิบโทรศัพท์มือถือของคิมหันต์มาในตอนแรกที่เห็นจนต้องกลับมาเอาอีกรอบ แล้วอีกฝ่ายจะทำเหมือนไม่ได้อยู่แถวนี้ไปจนถึงเมื่อไรกัน
“ทำไมต้องหนีด้วย?”
เด็กหนุ่มกระดิกเท้าไปมา เร่งเสียงเพลงให้ดังขึ้นอีกหน่อยแล้วเบือนหน้าไปมองนอกหน้าต่างรถ คล้ายจะประกาศเจตนารมณ์ว่าไม่ต้องการตอบคำถามเขา
“คิมหันต์”
สามภพส่งเสียงข่มขู่ ซึ่งไม่เห็นเคยใช้ได้ผลจริงจังยั่งยืนกับไอ้เด็กเกรียนผู้ดูจะอยู่เหนือเหตุผลทั้งหลายของเขา
คิมหันต์เหลือบมานิดหน่อยเพื่อยักคิ้วข้างเดียว กระตุกมุมปากน้อย ๆ พาให้รู้สึกคล้ายเส้นประสาทสักเส้นบนใบหน้าเขากำลังถูกกระตุกไปด้วย ก่อนจะหันกลับไปยังทิวทัศน์ข้างทางในยามค่ำคืนอีกครั้ง
“เราจะพูดกันให้รู้เรื่องไม่ได้หรือ?”
ชายหนุ่มถอนหายใจยาว สุดท้ายก็คล้ายว่าจะมีแต่เขาพล่ามอยู่คนเดียว
“ทั้งที่วันนั้นเพิ่งบอกว่าดีใจที่คุยกันได้ดี ๆ บ้าง”
คิมหันต์ยังคงนิ่งเงียบ ปล่อยสรรพสำเนียงทั้งหมดของเขาลอยผ่านไปหูไปโดยไร้ปฏิกิริยาตอบรับ มองตามแสงไฟสีส้มวิบวับวิ่งฉิวอย่างนอกหน้าต่างรถผ่านสายตาไปเร็วขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อพาหนะที่นั่งอยู่เพิ่มความเร็วขึ้น
“อ๊ะ!” เป็นคำแรกที่เด็กหนุ่มส่งเสียงหลังจากขึ้นรถ “เลยแยกไปบ้านผมแล้วเฮียเพี้ยน!”
“วันนี้เราจะไม่กลับบ้าน”
“ผมจะกลับบ้าน”
เขาหยุดเถียง แต่ไม่หยุดรถหรือหาทางวนกลับ ทำหูทวนลมอย่างที่คิมหันต์เพิ่งทำกับเขาบ้าง ก่อนเอ่ยประโยคคำสั่งเสียงเรียบอย่างเอาแต่ใจ
“คืนนี้ไปค้างคอนโดฯพี่”
“ไม่เอา”
“เลือกได้ด้วยหรือ?”
“คิดว่าบังคับผมได้รึไง!?”
“ใช่”
“พี่ภพ”
ชายหนุ่มเงียบไปครู่ใหญ่ ขณะที่คิมหันต์ก็คล้ายว่าจะอับจนด้วยคำพูดไปด้วยเช่นกัน
ปราศจากบทสนทนาใดราวสิบนาทีจนเขาถอนใจยาวเหยียดอีกครั้ง นึกสงสัยว่าอะไรทำให้พวกเขาต้องมาอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้
“ทำไมกันนะ” เขาพึมพำแผ่วเบา หัวคิ้วขมวดมุ่นโดยไม่รู้ตัว หมุนพวงมาลัยให้รถเคลื่อนไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย “ทั้งที่คิดว่ากำลังจะเป็นไปด้วยดี แต่เรากลับทำตัวเหมือนหนีอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา”
“หนีพี่ไง” คิมหันต์แค่นยิ้ม เห็นแล้วบอกยากว่าพูดจริงหรือประชด “ยังดูไม่ออกอีกหรือ?”
สามภพหักเลี้ยวกะทันหันจนเด็กหนุ่มบนเบาะนั่งผู้โดยสารตัวเอียงไปทางประตู สายตาต่อว่าต่อขานถูกส่งกลับมาขณะที่เขายังรักษาสีหน้าให้นิ่งอยู่ได้โดยไม่ระเบิดเสียงโวยวายอะไรออกไป อยากจอดรถคุยกันตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด แต่นี่เริ่มดึกแล้ว และอีกเพียงนิดเดียวก็จะถึงคอนโดฯ เขารอมาได้ตั้งนาน จะรออีกหน่อยคงไม่ถึงกับขาดใจตายไปตรงนี้หรอก
ถึงกระนั้นก็ยังอดไม่ได้จะไต่ถามน้ำเสียงคร่ำเครียดโดยไม่รู้ตัว
“ทำไมต้องหนีด้วย”
เด็กหนุ่มเหลือบมองเขาด้วยหางตา ทำทีเหมือนว่าไม่ได้กำลังจ้องอยู่ อ้าปากคล้ายจะพูดอะไรออกมาด้วยสีหน้าลำบากใจ แต่แล้วก็กลับไปลอบสังเกตเขาอยู่เงียบ ๆ ดังเดิมจนต้องถามซ้ำ
“ตอบได้ไหม? เหตุผลดี ๆ สักข้อ หรือมีอะไรมากกว่านั้น”
“พี่อย่าทำหน้างั้นดิ”
เขาชะงัก เกือบลืมเรื่องที่จะพูดหรืออะไรซึ่งคิดค้างอยู่ไปเสียหมด
“แบบไหน?”
“...แบบที่กำลังทำอยู่”
“....”
“ผมชอบเวลาพี่แยกเขี้ยวงี่เง่านั่นมากกว่า”
“.......”
“โฮ่ง!”
คิมหันต์ทำท่าล้อเลียนแล้วก็หัวเราะเบา ๆ คนเดียว
ช่างเป็นเด็กเข้าใจยากเหลือเกิน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านั่นเป็นวิธีเบี่ยงเบนความสนใจที่ค่อนข้างใช้ได้ทีเดียว อย่างน้อยอารมณ์คุกรุ่นของเขาเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้ก็ดูจะเบาบางลงไปมากพอให้สามารถสงบจิตสงบใจ (รวมไปถึงสงบปากคำ) พารถเข้าที่จอดเงียบ ๆ ดึงแขนคิมหันต์ซึ่งอิดออดอีกครู่ใหญ่ให้ลงจากรถแล้วเดินตามมา พยักหน้ากับพนักงานรักษาความปลอดภัยที่มองมาด้วยสายตาแปลกใจเล็กน้อย สอดคีย์การ์ดเปิดประตู ถือวิสาสะล็อคคอเด็กหนุ่มลากไปขึ้นลิฟต์ ทำเป็นไม่ได้ยินไอ้ตัวยุ่งพึมพำอยู่สองสามครั้งว่าจำเป็นด้วยหรือที่ตัวเองต้องมาที่นี่
“เฮียเพี้ยนจำสัญญาได้หรือเปล่า?”
คิมหันต์กระตุกเสื้อชายหนุ่มข้างกาย เหลือบมองหน้าอีกฝ่ายพร้อมกับพยายามเลิกกังวลกับความหวาดหวั่นลึก ๆ แวบหนึ่งที่เผลอรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นเด็กซึ่งถูกออฟมาทำเรื่องไม่ดีนอกสถานที่ และความคิดนั้นดูไม่เข้าท่าเลยสักนิด
“สนธิสัญญาหัวหินที่เราตกลงกันไว้” เขาทบทวนเพื่อเป็นการกระตุ้นความทรงจำ ทำเสียงราวกับตัวเองเป็นผู้ถือไพ่เหนือกว่า
ไฟแสดงตัวเลขระบุชั้นค่อย ๆ ขยับขึ้นไปช้า ๆ สามภพก้มลงมองตอบสายตาอวดดีของคุณผู้โดยสารร่วมอีกหนึ่งเดียวในลิฟต์ นึกสงสัยว่าคิมหันต์จะรู้บ้างหรือเปล่า ว่าตัวเองเปลี่ยนสีแก้มซีดเซียวตามสีผิวให้มีรอยแต้มชมพูระเรื่อบ่อยเกินไปแล้วในทุกครั้งที่พบกัน
“อย่าทำหูตึงเป็นตาแก่”
ชายหนุ่มยักไหล่ เมื่อตาแป๋วไม่มีเหล่าเต๊งอันซ่อนอยู่ใต้ปอยผมสีทองซึ่งเริ่มยาวขึ้นจ้องมาอย่างคาดคั้น
“จำได้”
“ไหนทวน”
“นั่นกำลังสั่งอยู่หรือ?”
“ทวนให้ผมฟังก่อน" อีกฝ่ายยังเซ้าซี้เป็นเด็กน้อย "ข้อแรกคือ..?”
“ห้ามปล้ำ” เขาพ่นลมหายใจเซ็ง ๆ “รู้แล้วน่า ย้ำอะไรนักหนา กลัวจัดเลยรึไง”
“ข้อย่อยห้ามลวนลามด้วย” คิมหันต์ช่วยขยายงุบงิบ “แล้วข้อสอง?”
“ห้ามเรียกครีม”
ไอ้เด็กเกรียนตบมือแปะ ๆ “เฮียเพี้ยนเก่งที่สุด!”
“เดี๋ยวเตะปลิว!”
“ข้อสามล่ะ!?”
“อย่ารบกวนเรื่องเรียนกับเตรียมสอบเข้า” ชายหนุ่มเสยผมหน่าย ๆ มองตัวเลขแล้วภาวนาให้รีบถึงชั้นเก้าเสียที “แต่ตอนนี้สอบติดแล้ว เพราะงั้นข้อนี้สิ้นสุด” เขายกมือปิดปากเด็กหนุ่มเมื่อเห็นว่าตั้งท่าจะเถียง รีบชิงพูดต่อก่อนจะโดนงับมือเข้าหากประเมินจากสายตาวาววับของคิมหันต์แล้ว “ข้อสี่ ห้ามทำร้ายปิ่นหยก”
ติ๊ง! ประตูลิฟต์เปิดออกช้า ๆ ไม่ทันใจคนรอเท่าไรนัก
“แถมข้อห้า รับดูแลตลอดชีวิตด้วยเลยก็ได้”
เขาพึมพำปิดท้าย หวังจบบทสนทนาย้ำคิดย้ำทำ จนป่านนี้คิมหันต์ควรมั่นใจได้แล้วว่าจะไม่โดนอะไรอย่างที่ระแวงปนวิตกจริตไม่เข้าท่า หากเขาคิดทำจริงมีหรือจะรอดมาปากเก่งได้จนถึงทุกวันนี้
สามภพดันหลังคิมหันต์ให้เดินนำออกไปโดยมีมือเขายึดไหล่สองข้างเอาไว้มั่น ใครจะรู้ว่าไอ้เด็กนี่คิดจะก่อเรื่องหรือชวนวิ่งไล่จับเป็นหนังอินเดียกันอีกเมื่อไร
เด็กหนุ่มขืนตัวเบา ๆ มองซ้ายขวาไล่ไปจนถึงเพดานลอกแลก ท่าทางเหมือนกำลังสำรวจว่ามีกล้องวงจรปิดอยู่ตรงไหนบ้างหรือเปล่า
“ข้างหน้ามีกล้อง ไม่ทำอะไรหรอกน่า” เขาก้มลงกระซิบข้างหู และเด็กหนุ่มสะดุ้งน้อย ๆ บอกให้รู้ว่าคงกำลังคิดเรื่องนั้นจริง “เพราะงั้นก็นิ่ง ๆ”
"ภพ!” เจ้าของชื่อชะงัก หันไปมองตามต้นเสียง พร้อมกับสายตาของเด็กหนุ่มข้างหน้าที่หันไปยังทิศทางเดียวกัน
“ส้ม”
เขาทักเรียบ ๆ ไม่คาดคิดว่าจะเจอเธอที่นี่อีก ความเหนื่อยหน่ายเจือในน้ำเสียงอย่างไม่คิดปกปิด
“มาทำอะไร?”
หญิงสาวไม่ตอบ นัยน์ตาเว้าวอนจับจ้องใบหน้าคมคายไร้อารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง เธอหยุดนิ่งเช่นนั้นจนมองเห็นมาสคาร่าเป็นรอยเปรอะที่ใต้ตาเล็กน้อยคล้ายเพิ่งผ่านการร้องไห้ ก่อนจะเบนสายตามายังเด็กหนุ่มผมทองข้างกายคนที่เธอมาหา
“นั่นน้องชายหรือ?"
"แฟน" คิมหันต์สะดุ้ง เมื่อกี้สามภพตอบว่าไงนะ!?
หญิงสาวหน้าเสีย แต่เพียงพริบตาเดียวเธอก็ปรับสีหน้ากลับเป็นปกติก่อนจะปรายตามองคิมหันต์ตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตาและรอยยิ้มกระตุกบนริมฝีปากดูเป็นไปในทางประกาศศัตรูมากกว่าเพื่อแสดงมิตรภาพ
"ที่เขาว่าเดี๋ยวนี้ภพมีอารมณ์ขันมากขึ้น ท่าทางจะจริง"
สามภพเพียงแต่มองเธอด้วยสายตาเย็นชา เพียงแวบเดียวแล้วก็เลิกสนใจ
“ภพ! อย่าทำเป็นตลกได้ไหม?”
"ไม่ขำนี่"
ถ้อยคำปฏิเสธไร้เยื่อใยเช่นนั้นราวกับไปทำให้สติเธอขาดผึง
"สามภพ!” เธอขึ้นเสียง “อย่าคิดว่าใช้วิธีนี้แล้วฉันจะเชื่อที่เธอพูด ไปเก็บเด็กผู้ชายจากไหนไม่รู้มาบอกว่าเป็นแฟน ไม่คิดว่าตลกไปหน่อยหรือไง!?"
คิมหันต์ถือโอกาสตอนที่ทั้งสองคนกำลังจ้องตากันอยู่ ค่อย ๆ ย่องถอยหลังออกมาสองก้าว เขาไม่อยากเป็นสักขีพยานในศึกชิงรักหักสวาทครั้งนี้ โดยเฉพาะเมื่อพี่เขี้ยวตรงหน้าพยายามจะดึงเขาไปมีเอี่ยวเป็นไม้กันหมาแบบไม่รู้จักหันมาเตี๊ยมกันก่อนสักแอะ มีอย่างที่ไหนช่างอ้างได้หน้าตาเฉยว่าเป็นแฟน หากไม่กระทบมาถึงเขาจะไม่ว่าสักคำ แม่สาวปากแดงคนนี้ดูใช่ย่อยเสียเมื่อไร
ทว่าก่อนจะได้ก้าวขาครั้งที่สาม แขนเด็กหนุ่มก็ถูกกระชากตัวรุนแรงจนส่งให้ทั้งร่างเขาลอยหวือตามมือแกร่งที่บีบอยู่ แรงเหวี่ยงอย่างกับช้างสารส่งตัวเขาพุ่งไปอีกฝั่ง ซึ่งได้เห็นตอนเกือบจะหน้ากระแทกรอมร่อว่าเป็นผนังแข็งโป๊ก คิดว่าอยู่ในระดับที่ไม่ควรเอาส่วนใดของร่างกายไปฟาดเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะหนังหน้าสุดหวงของเขาซึ่งกำลังจะพุ่งเข้าไปจูบมันแล้วตอนนี้
“ไอ้เชี่ย!” เด็กหนุ่มหลับตาปี๋ หมดหล่อแน่พ่อเอ๊ย! ถ้าฟันหลุดจะทำไงวะเนี่ย!
ตุบ! ไม่แข็งอย่างที่คิด
“จะไปไหนครับ?”
คุณพระคุณเจ้าช่วย เฮียหมาบ้าพูดเสียงนุ่มอย่างนี้เป็นด้วยหรือ!?
เขายืนเซทำตาเบิกโพลงอยู่ในอ้อมแขนอีกฝ่าย เมื่อครู่โดนดึงมาคิดว่าหน้าได้ฟาดกับกำแพงแน่ ๆ แต่ผิดคาดตรงสามภพรับตัวเขาไว้ได้ทัน ไม่ถึงกับกอดแต่ก็พิงอยู่กับท่อนแขนแกร่ง หน้าเฉียดจากคอนกรีตไปนิดเดียวอย่างชวนให้หวาดเสียว ใจเต้นรัวเป็นกลอง ขณะที่เสียงแหลมเล็กของหญิงสาวที่คล้ายจะหลุดจากความคิดเขาไปชั่วขณะพุ่งปรี๊ดมาเข้าหู เป็นการเตือนว่ายังมีเธอยืนอยู่คนนี้อีกคน ระหว่างการกระทำอะไรสักอย่างซึ่งดูประเจิดประเจ้อของพวกเขา
“สามภพ!” เด็กหนุ่มนึกอยากได้ที่อุดหูสักอัน ปกติแล้วเขาค่อนข้างชอบสาวทรงโตอย่างเธอ แต่เสียงเจ้าหล่อนกำลังจะทำเขาประสาทแล้ว
“ครั้งก่อนฉันก็จะสติเสียกับนังงูพิษนั่นไปแล้วทีหนึ่ง! คราวนี้เป็นไอ้เด็กหัวทองนี่ คิดว่าจะหลอกฉันได้รึไง!”
คิมหันต์กลอกตา พยายามขยับตัวออกห่างจากสามภพ ความรู้สึกบางอย่างบอกเขาว่านังงูพิษที่ผู้หญิงชื่อส้มอ้างถึงคงไม่แคล้วเป็นอันนาแบบไม่ต้องสงสัย และจากน้ำเสียงร่วมกับสีหน้าซึ่งเริ่มใกล้เคียงคนบ้าของเธอ เขาเดาว่าอันนาคงจัดไปหนักพอควรทีเดียว
“คุณจะคิดอย่างไรไม่ใช่เรื่องของผม” ชายหนุ่มเลือกใช้สรรพนามเป็นทางการแสดงความห่างเหิน “เราไม่ได้เป็นอะไรกัน”
เขาพยักหน้าคล้ายพยายามทำความเข้าใจกับเธอ จ้องหญิงสาวผู้ยืนตัวแข็งเป็นรูปปั้นด้วยสายตากดดัน ย้ำทีละพยางค์ช้า ๆ ต่อหน้า
“ไม่เคยเป็นอะไรกัน” “...ภพ” เธอส่ายหน้าช้า ๆ นัยน์ตาเบิกโพลง ถึงจุดสิ้นสุดทางอารมณ์เมื่อได้ยินประโยคถัดไปของเขา
“และผมจะคบใครก็ไม่ใช่เรื่องของคุณเช่นกัน” “อย่ามาพูดบ้า ๆ นะ!” คิมหันต์ยักไหล่ กระตุกมุมปากน้อย ๆ เป็นรอยยิ้มเย็นชืดด้วยความหน่ายใจ หากเขาเป็นสาพภพก็คงไม่เลือกผู้หญิงสติแตกอย่างนี้เป็นแฟนให้ปวดกะโหลกหรอก
“พี่หยุดเหอะ อุตส่าห์หน้าสวยแต่หนวกหูเป็นบ้าเลย”
เขาไม่ได้ตั้งใจพูดสักนิด แต่ก็หลุดปากไปเรียบร้อย ทว่าสิ่งที่ได้ยินตอบกลับมาเล่นเอาชะงักไปวูบหนึ่ง
“เงียบไปเลยไอ้ตุ๊ด!” “อ้าว..ป้าครับ” เขากรีดยิ้มเย็น สรรพนามเปลี่ยนทันที ท่าทางและน้ำเสียงของเธอมันออกจะทำให้เจ็บ ๆ คัน ๆ อยู่ไม่น้อย “ไม่เกี่ยวว่าตุ๊ดหรือเปล่า ผู้ชายไม่เอา อย่ามาพาลคนอื่นสิครับ”
“ก็เพราะมีพวกหน้าด้านแย่งของคนอื่นอย่างแกไง!”
คิมหันต์รู้สึกราวกับกำลังมีควันพุ่งออกทางหูแต่ยังยืนหัวเราะ ไม่เสียเวลาแก้ต่างสักนิด เธออยากจะเข้าใจเช่นนั้นก็ปล่อยเลยตามเลยให้รู้แล้วรู้รอด ท่าทางเหมือนใกล้สติแตกอยู่รอมร่อดูแล้วขำดีออกจะตาย
“แต่ก็ไม่มีปัญญาแย่งกลับ” เขายักไหล่ “ไม่สิ..เมื่อกี้พี่ภพเพิ่งบอกว่าไม่เคยเป็นอะไรกันนี่นา เพ้อเจ้อเอาเองล้วน ๆ ตื่นหรือยังครับป้า”
“..นี่แก!” “ทำไมได้ถึงน่าสงสารอย่างนี้..” เด็กหนุ่มปั้นเสียงนุ่มแสดงความเห็นอกเห็นใจอย่างเสแสร้ง “ควรมีกองทุนช่วยเหลือคนแบบป้านะว่าไหม? จะได้ไม่มาทำตัวเป็นภาระสังคม”
สามภพเลิกคิ้วกับท่าทางและคำพูดคำจาของเด็กหนุ่ม ถึงระยะหลังมานี้จะทำตัวน่ารักขึ้นทุกครั้งที่เจอ แต่เขาลืมไปได้อย่างไรว่าคิมหันต์ตอนพบกันใหม่ ๆ ในฐานะศัตรูมีวิธีกวนโมโหคนฟังได้น่าจับหักคอถ่วงทะเลขนาดไหน แล้วยังไอ้การเอามือไม้เลื้อยมากอดเอวเขาไว้เป็นธรรมชาติขนาดนั้นโดยไม่ได้ร้องขอสักแอะนี่อีก น่าแปลกใจว่าคิดแต่เรื่องจะยั่วโทสะหญิงสาวตรงหน้าเพียงอย่างเดียว หรือมีเจตนาอื่นอย่างที่เขาเผลอเข้าข้างตัวเองอยู่กันแน่?
“ไร้สาระจริง” ชายหนุ่มเอ่ยออกมาในที่สุด ไม่ได้ระบุเป้าหมายชัดเจนว่ากำลังพูดกับใคร พ่นลมหายใจเบา ๆ แล้วหันไปโอบไหล่คิมหันต์ พาเดินหมุนตัวไปทางประตูห้องตัวเอง
“ไม่ได้นะภพ! ที่ผ่านมาฉันขอโทษ จะไม่ทำตัวให้เธอรำคาญอีกแล้ว”
คิมหันต์ย่นจมูก ยังไม่จบอีกแม่คนนี้
“ให้โอกาสสักครั้งไม่ได้หรือ คิดว่าทำตัวลักเพศประชดอย่างนั้นแล้วจะเข้าท่ารึไง!?”
“ผมว่าเราหมดเรื่องคุยกันแล้วนะ” สามภพชิงพูดขึ้นก่อนเด็กหนุ่มซึ่งเริ่มคันปากยุบยิบจะได้ส่งเสียง “ผมไม่ได้ทำประชดใคร ที่สำคัญ นี่ไม่ใช่เรื่องของคุณ”
“ภพ!” หญิงสาวกระทืบเท้าถี่รัว เหมือนเด็กที่กำลังจะลงไปดิ้นเร่าเพราะไม่ได้ของเล่นที่ต้องการกลางห้างสรรพสินค้า
“เธอทำแบบนี้ได้ไม่นานหรอก! ฉันรู้! นี่มันงี่เง่า! บ้าบอ! ฉันไม่ยอมรับเด็ดขาด!” “ไม่ฉลาดเลย” คิมหันต์พึมพำแผ่วเบาพร้อมโปรยรอยยิ้มเยาะ ส่งสายตาเวทนาใส่จนเธอตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธซึ่งไหลท่วมท้น “ทำเสียชื่อผู้หญิงหมด ผมอยากร้องไห้แทนพี่สาวที่มีเพศเดียวกันเป็นแบบนี้”
"แกว่าฉันเรอะ!" "โอ..ป้าก็แสนรู้เหมือนกันนี่ที่เข้าใจว่าหมายถึงใคร ขอโทษด้วยที่เมื่อกี้ผมประเมินต่ำไปหน่อย”
ดวงตาวาวโรจน์ของเธอแทบพุ่งหลุดออกจากเบ้า และสามภพรู้สึกว่าควรแก่เวลาจะหยุดบทสนทนาเพ้อเจ้อนี้ลงเสียที (ความจริงมันควรจบตั้งนานแล้วหากคิมหันต์ไม่ยั่วให้เธอคลั่งขนาดนี้) ชายหนุ่มอ้าปากเตรียมห้ามทัพ แต่ดูเหมือนจะไม่ทันเด็กหนุ่มซึ่งเริ่มงัดมาดเกรียนขึ้นมาใช้ก่อนเป็นที่เรียบร้อย
“พอดีผมพิจารณาร่วมกับมารยาท มันเลยค่อนข้างจะต่ำเตี้ยเรี่ยดินนิดนึง"
คิมหันต์ขยิบตา มองริมฝีปากมันวาวสีแดงสดของเธอสั่นระริก เตรียมอุดหูรอไว้ก่อนอย่างรู้ทัน
"กรี๊ดดดดด!" เด็กหนุ่มส่ายหน้า เอะอะก็หวีดอยู่นั่น ผู้หญิงของสามภพนี่น่ารำคาญชะมัด “มีปุ่มมิวท์ไหมเนี่ย?”
“ไอ้เด็กเปรต!”
เขาหัวเราะ “ผมตัวไม่สูงขนาดนั้น ตัวเองไซส์เท่าหลักกิโลเมตรไม่ใช่เหตุผลมาว่าคนอื่นเปรตนะครับ”
“กรี๊ดดดดดดดดด!!” "อา..หนวกหูจริงเลย” เด็กหนุ่มเปรยเสียงนุ่ม “สงสัยประเมินไว้ต่ำ ๆ คงถูกแล้ว ทั้งไอคิว ส่วนสูง และมารยาท"
ซึ่งมีแต่จะเรียกเสียงหวีดหนักกว่าเก่า อีกประเดี๋ยวคงมีคนแห่มามุงจนได้
“เข้าห้อง ไอ้แสบนี่!”
สามภพโคลงศีรษะเหนื่อยใจ แต่ยังเผลอยิ้มอ่อนแรงออกมานิดหน่อย รีบดันหลังคิมหันต์ผ่านประตูแล้วปิดปังในช่วงที่หญิงสาวคู่กรณีกำลังสติหลุด หากเธอยังก่อกวนเช่นนี้คงต้องเรียกพนักงานรักษาความปลอดภัยมาเอาตัวลงไปแล้ว
มีต่อรีพลายถัดไปค่ะ
v
v
v