● เล่ห์รักฤดูร้อน ●
ยกที่ 43 – ดูแล
สรัญนั่งกระดิกเท้าอยู่หน้าโทรทัศน์ เปลี่ยนช่องไปมาจนวนกลับที่เดิมและไม่พบสิ่งใดดึงดูดเขาได้สักอย่าง มีแต่รายการน่าเบื่อ พูดจาด้วยเนื้อหาซ้ำซาก ไม่ว่าจะแม่สาวทรงโตหุ่นเนื้อนมไข่ผู้เป็นพิธีกร (แน่ละ...เธอสวย แต่ไม่ใช่แนวเขา) หรือต่อให้เป็นหนุ่มในโฆษณาเครื่องออกกำลังกายซึ่งเขารู้สึกว่าไม่เห็นจะหน้าตาดีไปกว่าตัวเองเท่าไร ก็ไม่ช่วยให้คงสมาธิกับภาพเคลื่อนไหวบนหน้าจอได้มากนัก
ชายหนุ่มอ้าปากหาวออกมาหวอดใหญ่ บางทีเขาควรกลับไปนอนต่อ ซุกตัวอยู่บนเตียงอุ่นกับผ้าปูที่นอนขมุกขมัว หลังจากตื่นขึ้นขึ้นมาด้วยเสียงเรียกร้องของทางเดินอาหาร ปลุกให้ต้องสะโหลสะเหลออกมาหาอะไรให้มันย่อยไปเป็นพลังงานบ้าง พอข้าวต้มอย่างง่ายที่มีอะไรก็จับใส่หม้อหายเข้าท้องไปทั้งชาม หนังตาก็เริ่มตก นึกไปถึงอีกคนที่ยังอยู่ร่วมห้องแต่เงียบเชียบประหนึ่งไม่มีตัวตน ทั้งที่เขาอุตส่าห์ทำเผื่อไว้ให้อีกชาม แต่ป่านนี้คงเย็นชืดหมดแล้ว
เขาเหลือบมองนาฬิกา ใกล้เที่ยงวันแต่ยังไม่เห็นวี่แววว่ารัญชน์จะเดินออกจากห้องนอน
เมื่อปิดโทรทัศน์ รอบตัวก็นิ่งสนิทราวกับมีเขาเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตหนึ่งเดียวผู้นั่งเบื่อในพื้นที่ซึ่งเวลาหยุดทำงาน ชายหนุ่มถึงกับเลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจเมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่ไม่สมเหตุสมผล อีกฝ่ายดูไม่น่าเป็นพวกตื่นสายตะวันโด่งเลย
ความเบื่อหน่ายเรื้อรังถ่วงขาเขาให้จมจ่อมอยู่ตรงนั้นอีกครู่ใหญ่ เหม่อมองแสงแดดแยงเข้ามาผ่านมู่ลี่พลาสติก เกิดเป็นเส้นสายสีส้มทาบทับลงบนพื้นห้อง เขาไล่สายตาตามมันไปช้า ๆ และเลื่อนไปหยุดอยู่หน้าประตูห้องนอนแคบ ๆ ซึ่งใช้เป็นสถานที่ร่วมรักกับคนแปลกหน้าหลายคนในความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืน และครั้งนี้ก็เรียกว่าไม่ต่างกันนัก เว้นแต่คู่นอนคนล่าสุดดูจะทำให้เขาอารมณ์เสียนิดหน่อย ตรงที่เอ่ยชื่อคนอื่นออกมาตอนกำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็มนี่ละ
แถมไอ้เจ้าของชื่อนั้นดันเป็นเพื่อนเขานี่สิ สรัญกลอกตา นึกสงสัยว่าสามภพมีดีอะไรนักหนานอกจากหุ่นล่ำซึ่งเขาก็มีไม่ต่าง ดูจะเสน่ห์แรงเหลือเกิน โดยเฉพาะกับพวกตัวเล็กตัวน้อยน่าเอ็นดูอย่างที่เขาชอบ ยอมหลีกให้ไปแล้วคนหนึ่งกับคิมหันต์ที่เจ้าตัวดูจะหวงเสียออกนอกหน้า แต่นี่ล่าสุดพอมีเด็กใหม่ก็ยังอุตส่าห์พูดถึงชื่อไอ้เพื่อนเวรให้ได้ยินอีก
และเขาก็ไม่ใช่คนใจดีพอจะยกให้บ่อย ๆ เสียด้วย ชายหนุ่มลุกขึ้นบิดขี้เกียจ เดินลากเท้าไปตามเส้นแสงสีส้มบนพื้นกระทั่งหยุดอยู่หน้าประตูห้องนอน เกิดตะขิดตะขวงใจจะเปิดเข้าไปตามปกติขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ราวกับนี่ไม่ใช่ห้องเดิมของเขาที่เคยใช้มาแรมปี
หลังจากหยุดคิดอย่างไร้สาระอยู่ครู่ใหญ่ จึงจรดข้อนิ้วลงบนบานประตู เคาะเบา ๆ สองสามครั้งก่อนจะเปิดเข้าไป
ร่างของรัญชน์ยังนอนนิ่งสงบอยู่บนเตียง ท่อนบนที่โผล่พ้นผ้าห่มเปลือยเปล่า กองเสื้อผ้าระเกะระกะข้างเตียงบอกให้รู้ว่าท่อนล่างใต้ผืนผ้าซึ่งคลุมไว้ก็คงไม่ต่าง แผ่นอกชายหนุ่มรุ่นพี่ขยับขึ้นลงเป็นจังหวะ เมื่อเดินเข้าใกล้จึงเห็นใบหน้าจิ้มลิ้มหลับพริ้ม แพขนตาดำยาวซึ่งปกติซ่อนอยู่หลังเลนส์แว่นทาบลงบนผิวซีดเซียว และเมื่อคืนนี้เขาก็มัวแต่หน้ามืดตามัวด้วยตัณหาของวัยหนุ่ม มัวเมาเกินกว่าจะมานั่งเชยชมริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อที่จนตอนนี้ก็ยังไม่ได้ชิมรส
สรัญย่อตัวลงนั่งบนขอบเตียง นิ่งงันอยู่อย่างนั้นอีกครู่ใหญ่ จะว่าไปแล้ว รูปลักษณ์ของชายหนุ่มตรงหน้าเป็นอย่างที่เขาชื่นชอบจะให้มีในตัวคู่ขาเกือบทุกประการ ตัวเล็ก ๆ (แม้หากดูจากขนาดร่างกายเขา คนส่วนใหญ่ก็มักกลายเป็นมนุษย์ตัวเล็กเมื่อมายืนเทียบไปเสียหมด) หน้าตาน่ารักแต่ยังดูเป็นผู้ชาย ไม่ถึงกับออกสาว และหากนิสัยน่าเอ็นดูตามหน้าตาก็มักจะพิจารณาเป็นพิเศษ
แต่หนุ่มรุ่นพี่ตรงหน้า ดูเหมือนว่านิสัยไม่เป็นอย่างนั้นเอาเสียเลยนี่สิ
“น่ารักซะเปล่า” เขาพึมพำ โคลงศีรษะน้อย ๆ พร้อมรอยยิ้มบางเบา “ทำตัวเป็นตุ๊กตาไร้ชีวิต”
ทั้งที่เขาพูดออกขนาดนี้ แต่อีกฝ่ายกลับยังไม่มีวี่แววแม้แต่จะขยับตัวสักนิด
“พี่รัน?”
ไร้สุ้มเสียงหรือการเคลื่อนไหวใดตอบสนอง
“พี่?”
สรัญส่งเสียงดังขึ้นอีกหน่อย ก้มลงไปใกล้ใบหน้านิ่งสงบของคนบนเตียง มองชัด ๆ จึงเห็นว่าขอบตาดูช้ำแดงอย่างน่าสงสาร จนต้องมานึกทบทวนเหตุการณ์เมื่อคืนว่าเขารุนแรงเกินไปหรือเปล่า ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกของอีกฝ่ายจริง ๆ แต่เขาก็ทำไปเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวเอ่ยชื่อคนอื่นออกมาก็หมดอารมณ์เกินกว่าจะสานต่อให้ยืดยาวนัก
“รัน?”
เขาลองเรียกชื่ออีกครั้ง คราวนี้ก้มลงไปเอ่ยอยู่ข้างใบหู ให้ความรู้สึกประหลาดเมื่อพูดมันออกมาโดยไม่มีคำว่าพี่นำหน้า ราวกับเขากำลังเรียกชื่อตัวเองกับความว่างเปล่า มีเพียงตัวเขาท่ามกลางความอลหม่านอันไร้สุ้มเสียง ในห้องทึบซึ่งเส้นสายสีส้มจากแสงแดดภายนอกส่องเข้ามาไม่ถึง
“ไม่หิวรึไง?”
รัญชน์นิ่งเหลือเกิน จนชั่วขณะหนึ่งเขาเกิดนึกสงสัยอย่างบ้า ๆ ขึ้นมาว่ายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า
เขาเอามืออังเหนือปลายจมูกอีกฝ่าย อุ่นใจได้บ้างว่ายังมีลมหายใจผ่านเข้าออก แต่ไอร้อนที่ปะทะหลังมือนั้นกลับสูงเกินกว่าปกติอย่างน่าสงสัย
“รัน?”
ไร้การตอบสนองเช่นเคย แม้เป็นสิ่งที่คาดไว้อยู่แล้ว ก็ยังอดเป็นห่วงอยู่ลึก ๆ ไม่ได้
“ไม่สบายหรือเปล่า?”
ชายหนุ่มทาบมือลงไปบนหน้าผากหนุ่มรุ่นพี่ รับรู้ถึงอุณหภูมิกายร้อนผ่าวผ่านผิวหนังซึ่งสัมผัสกันอยู่ เมื่อลากฝ่ามือแผ่วเบาลงมาถึงพวงแก้มซีดเซียว อีกฝ่ายก็เพียงแต่ระบายลมหายใจผ่านริมฝีปากแห้งผากออกมาเฮือกหนึ่ง จากนั้นก็นิ่งไปโดยไม่ทันรู้ตัวถึงการมีอยู่ของเขาตรงนี้ พาลนึกไปถึงความรักครั้งแรก กับผู้ชายคนเดียวที่ไม่เคยมีเขาอยู่ในสายตา เสมือนหนึ่งกลายเป็นบุคคลคนไร้ตัวตน ก่อนจะมาเป็นสรัญที่เตร็ดเตร่เปลี่ยนคู่ไปเรื่อยเปื่อยเช่นที่เป็นอยู่ปัจจุบัน ไม่เคยจริงจริงจังกับใครอีกนับแต่นั้น
ผ้าห่มซึ่งคลุมร่างอีกฝ่ายถูกดึงออกช้า ๆ ผิวขาวละเอียดปรากฏแก่สายตาทีละส่วน ตั้งแต่แผ่นอก เอว หน้าท้อง รอยแต้มแดงช้ำกระจายอยู่ทั่วจนเขายังประหลาดใจตัวเองว่าทำไว้เยอะขนาดนี้เชียวหรือ คราบเปรอะเปื้อนและร่องรอยจากกิจกามเมื่อคืนยังเหลือค้างอยู่บนร่างกายเปลือยเปล่า อีกฝ่ายยังไม่ได้ทำความสะอาดเนื้อตัวเลยตั้งแต่ตอนนั้นกระทั่งบัดนี้
เขามองสำรวจเนื้อตัวคนตรงหน้า เล้าโลมทั้งร่างด้วยสายตาอันเต็มไปด้วยความหลงใหล พวกตัวเล็ก ๆ น่ากอดรัดให้แหลกคามืออย่างนี้ดึงดูดสายตาเขาเสมอ อดไม่ได้จะลากฝ่ามือผ่านผิวเนียนตั้งแต่อกจนถึงช่วงท้องอย่างเผลอไผล นั่นทำให้ตระหนักขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายกำลังมีไข้ และเขาควรทำอะไรสักอย่างมากกว่าจะมานั่งลวนลามคนหลับเช่นนี้
ชายหนุ่มลุกไปก้ม ๆ เงย ๆ รื้อลิ้นชักที่โต๊ะข้างเตียง จำได้เลือนรางว่าเคยมียาลดไข้เก็บไว้ คุ้ยดูจึงพบว่าอยู่ส่วนในสุดของลิ้นชัก อยู่ตรงนั้นมานานจนไม่รู้ว่าหมดอายุแล้วหรือยัง สภาพไม่เก่านักน่าจะพอไหวอยู่ เดินออกไปหยิบน้ำเปล่ามาแก้วหนึ่งแล้วจึงกลับมาย่อตัวลงนั่งที่เดิม
“รัน”
เขาเขย่าตัวชายหนุ่มร่างเล็กเบา ๆ ไม่รู้ด้วยเหตุอันใดจึงทำให้ละคำนำหน้าว่าพี่ เรียกแต่ชื่อของคนที่อายุมากกว่าได้เต็มปากเต็มคำเช่นนี้
“กินยาก่อน”
เงียบจนเหมือนกำลังคุยกับตุ๊กตา
“นี่..กินยา แล้วจะนอนหรือไงก็เอา”
สรัญหยิบเม็ดยาใส่ปากอีกฝ่าย พาราเซตามอลเม็ดโตหลุดเข้าไปอยู่ในปาก แต่รู้ได้ว่ายังไม่ถูกกลืนลงคอด้วยอีกฝ่ายยังไม่รู้สึกตัว พอประคองศีรษะและลำตัวท่อนบนขึ้นมาในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนเพื่อจะป้อนน้ำตามก็หกเลอะเทอะไปหมด
“ไม่ขมหรือ?”
เขาก้มหน้าลงไปกระซิบ โอบรัดอ้อมแขนตัวเองแน่นขึ้นอีกหน่อยด้วยอดใจไม่ไหว ยิ่งอยู่ใกล้ก็ยิ่งรู้สึกอยากกอดให้จมหายไปในอก ช่างน่าทะนุถนอมพอกับน่ารำคาญที่อีกฝ่ายไม่ตอบสนองอะไรสักอย่าง
“ไม่กลืนยาแล้วมันจะออกฤทธิ์ได้ยังไง”
ชายหนุ่มกอดร่างร้อนผ่าวของอีกฝ่ายไว้แน่น มันเป็นพฤติกรรมของคนฉวยโอกาส เขารู้ดี แต่นั่นไม่ทำให้เปลี่ยนแปลงผลลัพธ์อะไร ต่อให้คนในอ้อมแขนจะยินยอมหรือไม่ รู้ตัวหรือไม่ได้สติ เอ่ยชื่อใครออกมาตอนอยู่ในห้วงอารมณ์หวามไหวอย่างถึงที่สุด แต่เขาไม่คิดปล่อยตุ๊กตาชิ้นงามนี้ให้ไปอยู่ในมือคนอื่น ไม่ว่าจะต้องพันธนาการไว้ด้วยความรักหรือความเกลียดชังก็ตาม
สรัญยกแก้วน้ำขึ้นกระดก อมไว้ในปาก ก้มลงเพื่อประทับจุมพิตหนัก ๆ บนริมฝีปากอีกฝ่าย บังคับให้ดื่มน้ำด้วยวิธีงี่เง่าแต่พอหวังผลได้บ้าง
‘เราไม่ควรจูบกัน’ เขาจำที่รัญชน์บอกเมื่อคืนได้ทุกพยางค์
‘เราไม่ได้รักกัน’ ชายหนุ่มเกร็งแขน บังคับให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นรับ น้ำหกเลอะเทอะอีกแล้ว แต่ไม่มีเม็ดยาเหลือค้างอยู่ในปาก มีก็แต่เสียงสำลักออกมาสองสามครั้ง จากนั้นก็เงียบไป
“งั้นก็รีบรักซะสิ” เขาพึมพำ แม้รู้ดีว่าทำเช่นนั้นได้ไม่ง่าย เหมือนกับที่ตัวเองก็ยังรักใครไม่ได้จริงจังจนวันนี้
"...ภพ..." สรัญขมวดคิ้ว สุ้มเสียงแหบแห้งที่ได้ยินจากปากอีกฝ่ายเป็นคำแรกในวันใหม่กลับชวนให้รู้สึกแย่อย่างไรบอกไม่ถูก
แล้วตัวตนของเขาเล่า? อยู่ที่ไหนแล้ว? ชายหนุ่มนั่งเหม่ออีกครู่หนึ่ง นึกสงสัยว่าเขาใช้ชีวิตโดยแกล้งทำเป็นหลงลืมความรู้สึกโดดเดี่ยวที่ว่ามานานเท่าไรแล้ว และมันจะดำเนินไปเช่นนี้จนถึงเมื่อไรกัน
เขาโคลงศีรษะ แค่นหัวเราะออกมาแล้วถอนหายใจยาว ประคองอีกฝ่ายเบามือให้นอนในท่าที่สบายบนเตียง ส่วนตัวเองลุกไปหากะละมังและผ้าสักผืน สำหรับเช็ดตัวให้ชายหนุ่มรุ่นพี่ผู้สั่นคลอนความเชื่อมั่นเขาได้โดยไม่ต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
“เตรียมของไปเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?” วัสสานะถามซ้ำอย่างย้ำคิดย้ำทำ
“น่า ๆ เรียบร้อยแล้ว”
“ชุดนักศึกษา?”
“ครบ”
“ตำรา เครื่องเขียน เอกสาร”
“หมดแล้ว ๆ”
“กางเกงใน?” แม้แต่สิสิรก็ยังทำหน้านิ่งถามอะไรอย่างนั้นกับเขาด้วย “เดี๋ยวต้องไปซื้อแบบกระดาษใช้นะ”
“ก็ต้องเตรียมเซ่” เขาเริ่มโวย
“ถุงยาง?”
“เจ้ใหญ่!?” คิมหันต์ทำตาเหลือก “ผมไปเรียนนะไม่ได้ไปร่อน”
หญิงสาวยักไหล่ หัวเราะเสียงใส “เตือนไว้ไง ป้องกันก่อน โตเแล้วหล่อใช้ได้ เดี๋ยวมีสาวมาล่อลวง”
“หรือไม่ก็หนุ่ม” สิสิรพูดติดตลก แต่สีหน้ายังนิ่งเช่นเดิม (น้อยคนนักจะรู้ว่าเธอกำลังเล่นมุก) ไม่รู้ว่าแฝงนัยสำคัญอะไรหรือเปล่า เล่นเอาบรรยากาศอึมครึมห้อมล้อมสามพี่น้องครู่ใหญ่ อยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกจนคิมหันต์เป็นฝ่ายร้องครวญขึ้นก่อน
“เจ้สิบ้าไปแล้ว!”
นั่นเรียกเสียงหัวเราะแห้ง ๆ จากพี่สาวคนโตออกมาหนึ่งเฮือก เธอนึกสงสัยว่าสิสิรรู้หรือสงสัยอะไรอย่างที่ตัวเองข้องใจบ้างหรือเปล่า แม้ยังไม่ได้คุยกันจริงจังสักที แต่ดูเหมือนน้องสาวก็คงรู้เรื่องพฤติกรรมประหลาด และการปรากฏตัวซ้ำ ๆ ของสามภพทั้งตัวจริงและในบทสนทนาของคิมหันต์อย่างห่างไกลจากความบังเอิญ แม้ช่วงหลังมานี้อาจไม่ค่อยได้เห็นหน้าเท่าไร แต่เธอยังรู้สึกว่าได้ยินน้องชายเอ่ยถึงเสมอยามเผลอตัว นึกถึงครั้งใดก็อดกังวลขึ้นมาไม่ได้เสียทุกที
ระหว่างนั้น เด็กหนุ่มผู้เป็นเป้าหมายทางความคิดของวัสสานะก็กำลังกลอกตา บ่นหงุงหงิงต่ออีกนิดหน่อย แต่ไม่มีพี่สาวคนไหนสนใจฟัง
สามชีวิตพร้อมกับสัมภาระซึ่งถูกยัดไว้ท้ายรถเตรียมเดินทางออกจากบ้านในเวลาสาย คิมหันต์ต้องยอมรับว่าใจหายเอาการทีเดียว แม้จะไปร่อนที่อื่นอย่างไรแต่ปกติก็ห่างบ้านไม่นานนัก หลังกอดลาดุ๊กดิ๊กลูกรักที่ส่งเสียงงี้ด ๆ เหมือนรู้ว่าเจ้าของจะไม่อยู่ ฟัดกันอีกครู่ใหญ่จนโดนพี่สาวทักเรื่องทำตาแดง ๆ เด็กหนุ่มก็รีบกลับไปปั้นสีหน้าเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เป็นอะไรไปเด็กน้อย ยังไม่ทันได้ห่างบ้านเลย” สิสิรแซวน้องชาย ดันหลังเขาเบา ๆ ให้ไปล้างมือแล้วขึ้นรถ “อยู่ใกล้แค่นี้ จะกลับบ้านทุกอาทิตย์ยังได้ ขี้คร้านอยู่ ๆ ไปจะไม่อยากกลับ”
“ผมไม่ได้อะไรสักหน่อยนี่” เขาเถียง ก้มหน้างุด ๆ ไปปิดประตูรั้วโดยมีเธอเดินตามหลังรอไปขึ้นรถพร้อมกัน สิสิรมักไม่พูดแสดงความเป็นห่วงน้องชายอย่างพี่สาวคนโตเท่าไรนัก แต่การกระทำก็บอกชัดเจนอยู่แล้วว่าเธอเป็นห่วงเขา
“จ้ะ ๆ” หญิงสาวพยักหน้า มองเขาโบกมือลาหมารักอย่างอาลัยอาวรณ์ ท่าทางจะอยู่นานจนต้องกระตุ้นด้วยการโอบหลังแล้วดันเบา ๆ อีกครั้ง “ไปได้แล้วอาตี๋”
ท้องฟ้ากลางเดือนพฤษภาคมอึมครึมตั้งแต่เช้า ความชื้นสัมพัทธ์สูงและอากาศร้อนอบอ้าว เมฆทะมึนลอยต่ำอยู่ไกล ๆ เป็นสัญญาณว่าฝนเริ่มตั้งเค้า พาลจะทำให้หดหู่อย่างเลี่ยงไม่ได้แม้ในขณะกำลังปั้นหน้ายิ้มแฉ่ง จากบ้านที่ราชบุรียังไม่ใจหายเท่านี้ ไม่ยักรู้ว่าเขาติดพี่และบ้านสีขาวสองชั้นที่มีหมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์สุดรักคอยแย่งขนมเอาการทีเดียว
“นิมโบสตราตัส..” เขาพึมพำ ทักทายด้วยชื่อเมฆซึ่งเห็นอยู่ไกลลิบบนผืนฟ้าเวิ้งว้าง ลืมฟังเพลงเกาหลีจากแผ่นที่พี่สาวอุตส่าห์รื้อมาเปิดเอาใจ
“เพ้อเจ้อ”
สิสิรช่วยตอบ ทำลายอารมณ์ครึ้มเหมือนในมิวสิควิดีโอหมดสิ้น ส่งบิสกิตให้เขาถุงหนึ่ง อาจหวังว่าจะช่วยสงบปากและหยุดความคิดฟุ้งซ่านของน้องชาย แต่คิมหันต์มองมันเพียงแวบเดียวแล้วปฏิเสธ เพราะขนมพวกนี้จะทำให้คิดถึงหมารักจนเกินไป
ใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงหอพักของมหาวิทยาลัย ยังไม่ทันได้หลับบนรถเลยด้วยซ้ำ พวกเขาช่วยกันขนของลงมากองเงียบ ๆ ติดต่อกับผู้ดูแลหอพักเพื่อขอรับกุญแจ เซ็นชื่อเข้าพักและวางเงินมัดจำ
คิมหันต์กวาดสายตาจากในรายชื่อบนหน้ากระดาษที่ถูกเปิดส่งมาให้ รูมเมทของเขาซึ่งควรจะมีสี่คนนั้น ตอนนี้มีลายเซ็นอันแสดงว่าได้เข้าพักแล้วก่อนหน้านี้หนึ่งคน เด็กหนุ่มสะดุดกับชื่อและนามสกุลตั้งแต่แวบแรกที่เห็น
‘ธนธร นวกังสดาล’ แม้จะไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่เขาเคยได้ยินและเห็นหน้าเจ้าของชื่อนี้มาก่อน ลูกชายเจ้าของร้านถ่ายรูป อดีตเพื่อนร่วมห้องบ๊วยของอาทิตย์ช่วงสองปีแรกของมัธยมปลายที่มักถือกล้อง DSLR ติดตัวไปไหนมาไหนด้วยเกือบตลอดเวลา
“บอมบ์”
“หืม?” วัสสานะเลิกคิ้วเมื่อเห็นเขาชะงัก
“เพื่อนที่โรงเรียนอะ” เด็กหนุ่มขยายความแล้วชี้ให้ดู “อยู่คนละห้อง แต่นี่มีชื่อเป็นรูมเมทด้วย บังเอิญจนตกใจเลย”
“อ้อ” เธอพยักหน้า รู้ว่าเขามีเพื่อนก็เบาใจลงได้นิดหน่อย “สนิทกันไหม?”
“เฉย ๆ”
“เป็นคนยังไง?”
“ก็ดี”
เขาพึมพำ เซ็นชื่อตัวเองในบรรทัดถัดมา จากนั้นส่งสมุดคืนให้เจ้าหน้าที่
พวกเขาใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าจะขนของเสร็จ บนห้องไม่มีใครอยู่ บอมบ์ผู้มีชื่อเป็นหนึ่งในรูมเมทอาจจะออกไปข้างนอก บรรยากาศโดยรวมไม่ถึงกับเศร้ามากมาย อันที่จริงก็ไม่ได้เรียกว่าไกลบ้านนัก แต่ต้องยอมรับว่าค่อนข้างเหงาอยู่ลึก ๆ บ้างนิดหน่อย
เขาโบกมือให้พี่สาวทั้งสอง ตั้งใจจะทำตัวเป็นปกติ แต่กลับโดนพวกเธอทักว่าอย่าทำหน้าแหยไปเสียได้
“ผมเปล่าสักหน่อย” เด็กหนุ่มยืนกราน
จนเมื่อพี่ ๆ จะหันหลังกลับ จึงได้ถลาเข้าไปกอดหมับอย่างเด็กขี้อ้อน
“กลับดี ๆ นะเจ้”
สิสิรหัวเราะเบา ๆ บ่นอะไรคล้ายว่าจะเป็น “ไอ้ลูกแหง่” ส่วนวัสสานะเอื้อมมือมาลูบผมเขาอ่อนโยน พร้อมกำชับให้ตั้งใจเรียน ป๊ากับม้าก็เชียร์อยู่ที่บ้าน
เขายืนส่งจนรถของพี่สาวหายลับไปจากสายตา ครู่หนึ่งจึงก้มลงมองโทรศัพท์มือถือ สามภพส่งข้อความแชตมาว่าหากถึงหอแล้วให้โทรบอก แต่ให้ทำตามจริง ๆ ก็ออกจะดูว่านอนสอนง่ายจนน่าหงุดหงิดตัวเองไปสักหน่อย แม้ไม่ปฏิเสธว่าอยากเจอหลังจากที่ไม่ได้เห็นหน้าหลายวัน ทว่ากลับตัดสินใจจะรอไปก่อนอีกสักพักค่อยบอก
เขากำลังเตรียมเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าอยู่พอดี ตอนที่มันสั่นอยู่ในมือ
‘หมาบ้า’ คิมหันต์ลอบยิ้มออกมาน้อย ๆ กับชื่อที่ตัวเองบันทึกเอาไว้ เห็นทีไรก็ขำทุกครั้ง นี่ช่างโทรมาได้จังหวะเหลือเกิน ทำอย่างกับซุ่มดูอยู่ที่ไหนสักแห่งอย่างนั้นละ
เด็กหนุ่มระบายลมหายใจยาว กระแอมหนึ่งครั้งอย่างวางฟอร์ม ก่อนจะกดรับสายแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู
“ไง เฮียเพี้ยน”
“ข้างหลัง”
แล้วตามด้วยเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ
เขาสะดุ้ง เพราะเสียงนั้นดังทั้งจากในสายและข้างนอก รีบหันขวับไปมองตามทิศทางที่อีกฝ่ายกล่าวอ้าง แล้วก็พบเจ้าของเสียงกำลังยืนกอดอก ยักยิ้มโชว์ฟันเขี้ยวอย่างน่าหมั่นไส้ ท่าทางบอกชัดว่าคงยืนอยู่นานแล้วไม่ใช่ว่าเขาคิดไปเอง เป็นอันว่าเห็นท่าทางกระแอมก่อนรับสายของเขาจนทำหน้าบานแฉ่งอยู่เช่นนี้ พอสบตากันก็รีบออกปากทวงทันที
“พี่บอกถึงแล้วให้โทรมาไม่ใช่หรือ?”
“ก็กำลังจะโทรไง” เขาแถไปเรื่อย
“กำลังเก็บมือถือเข้ากระเป๋าชัด ๆ”
เห็นอีกแน่ะ!
“ให้เวลาทำใจกันนิดนึงดิ”
สามภพส่ายหน้าอ่อนใจ เดินตรงเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้ม ดูดีผิดภาพลักษณ์เฮียหมาบ้าขี้หงุดหงิดอย่างเดิมไปไกลโข “ต้องทำใจอะไรเยอะแยะ ไม่ได้ขอแต่งงานเสียหน่อย”
“เฮียเพี้ยนแม่ง—”
“ไปอยู่คอนโดพี่ไหม?”
เขายังโอดครวญไม่ทันจบด้วยซ้ำ คำถามเดิมมาอีกแล้ว เป็นลูกอีช่างตื๊ออะไรอย่างนี้
“อย่างที่เคยเห็น ห้องยังว่าง เตียงยังกว้างพอสำหรับลูกหมาอีกสักตัว”
ชายหนุ่มพูดต่อลอย ๆ ระหว่างเอามือดันหลังเขาเบา ๆ พาเดินเตร็ดเตร่ห่างออกไปจากหอพัก พร้อมกับชี้ชวนให้ดูอาคารสถานที่ในบริเวณใกล้เคียงไปด้วย ตรงนั้นคาเฟทีเรีย ถัดไปเป็นร้านเบเกอร์รี่ อีกฝั่งมีร้านสะดวกซื้อ ออกจากประตูอีกด้านขายอาหารญี่ปุ่น นั่นนู่นนี่แล้วก็วกกลับมาเรื่องเดิมอีกรอบ
“ถึงเขาจะห้ามเลี้ยงสัตว์ แต่ไอ้ตัวตาตี่ ๆ แบบนี้คงไม่เป็นไร”
ว่าจบก็หัวเราะชอบใจในลำคอ ปล่อยอีกฝ่ายทำหน้ายุ่งอย่างไม่รู้จะเริ่มเถียงเรื่องไหนก่อน เลยยกประเด็นหลักมาโวยสักเรื่อง
“พวกเจ้เพิ่งมาส่งผมที่นี่แหม็บ ๆ จะให้ไปอยู่ที่ไหนกันเล่า!?”
“จะให้ไปอยู่คอนโดนี่ไง” สามภพตอบหน้าตาย
“ไม่เอาละ” เด็กหนุ่มพึมพำ ทำหน้าซื่อตาใสอย่างจงใจยียวน “เดี๋ยวที่บ้านเป็นห่วง”
“หวงหรือ?”
“หวงสิ”
คนฟังหัวเราะ ยกมือขยี้ผมอีกฝ่ายเบา ๆ ยอมรับการตัดสินใจอย่างเสียมิได้
“เอาเถอะ อยู่หอในก็ได้ แล้วจะมาหาบ่อย ๆ”
คิมหันต์มองเขาตาแป๋วอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็คล้ายจะรู้สึกตัวว่าจ้องนานเกินไปแล้วจึงหันไปก้มหน้างุด เตะก้อนกรวดไปมา บ่นงึมงำพร้อมกับเดินเข้ามาเบียด เผลอแผล็บเดียวก็เอามือเกาะเอวอย่างถือวิสาสะ
“ทำไมช่วงนี้ใจดีวะ”
เขายิ้มบางเบา มีแต่คำตอบน้ำเน่าอยู่ในหัวจึงเลือกจะเงียบมากกว่า ปล่อยให้อีกฝ่ายเจื้อยแจ้วต่อ
“อย่างถ้าค้างบางวัน...อะไรงี้ได้ไหม?”
“หืม?”
“อย่างเช่นวันที่จะให้ติวหนังสือ”
“อ้อ”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว รอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรอีกหรือเปล่า และคิมหันต์ก็เอ่ยปากต่อจริง ๆ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งคล้ายจะใช้เวลาทำใจ
“หรือวันที่คิดถึงเป็นพิเศษ” แล้วใบหูเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนเป็นสีแดงแจ๋ ให้ตายเถอะ ไอ้เด็กนี่มันน่าฟัดจนเขาแทบคลั่งตายได้อยู่แล้ว นึกไม่ออกเลยว่าจะเก็บอาการไม่ให้ฉีกยิ้มออกมาเหมือนคนบ้าต่อหน้าสาธารณชนได้อย่างไร
“แล้ววันนี้ล่ะ?” เขาเกริ่น พยายามสงบจิตสงบใจและบอกตัวเองว่าอย่าไปหวังอะไรมากนักกับคิมหันต์ ไอ้ตัวแสบนี่ทำเขาค้าง (ในหลาย ๆ ความหมาย) มากี่ครั้งกี่หนกันแล้ว เผลอดิ้นตามเมื่อไรเป็นอันเสียท่าเด็กอยู่เรื่อย “คิดว่าไง”
“..ก็..”
คิมหันต์อ้อมแอ้ม กระซิบเบาหวิวจนเกือบกลืนหายไปกับเสียงมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งฉิวผ่านไปพอดี
“...คิดถึง..” เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลูกโป่งใบยักษ์ กำลังพองลมจนแทบปริแตก ใจเต้นตูมตามราวกับจะกระโดดออกมานอกอก ลุ้นจนต้องกลั้นใจตอนที่เอ่ยปากถามต่อ
“เป็นพิเศษ?”
“..ถ้าห้องว่างพอสำหรับคนหล่อ ๆ อีกสักคน..” คิมหันต์ว่าพลางเกาแก้มสีระเรื่อไปด้วย “..ก็อาจจะพิเศษนิดหน่อย”
พูดเสร็จก็ยักไหล่ ทำเก๊กกลบเกลื่อนอาการขัดเขิน แต่ผลลัพธ์กลับยิ่งเงอะงะจนมือไม้ดูเกะกะไปหมด ทั้งน่ารักและน่าแกล้งอย่างท้าทายความอดทนกันถึงที่สุด
“เมื่อกี้พี่บอกว่าว่างสำหรับลูกหมาตาตี่ ๆ ต่างหาก” เขาแย้ง เอ็นดูอีกฝ่ายตอนกระฟัดกระเฟียดพอกับตอนทำตัวน่ารัก แม้ในหัวเห็นภาพตัวเองอุ้มไอ้ตัวแสบกลับไปนอนกกถึงไหนต่อไหนแล้ว “ไม่ได้บอกว่ามีที่สำหรับคนหล่ออีกคนเสียหน่อย”
“งั้นก็หาหมามาเลี้ยงไป!”
อีกฝ่ายแยกเขี้ยวแง่ง ๆ แต่แล้วก็จบลงอย่างรวดเร็วเมื่อเขาดึงแขนเจ้าตัวเข้ามาใกล้ เอาตัวบังให้เข้าไปหลบอยู่ในซอกตึก แขนสองข้างกักคิมหันต์ไว้ระหว่างผนังและร่างของเขา ก่อนจะก้มลงไปสบตาในระยะประชิด แตะนิ้วชี้ลงบนปลายจมูกเด็กหนุ่มแผ่วเบาพร้อมกับส่งเสียงกระซิบแหบพร่า
“จะเลี้ยงคนนี้”
เขาคลี่ยิ้มละมุน ขณะที่อีกฝ่ายทำสีหน้าตระหนกอย่างน่ารัก อ้าปากค้างแต่ไม่มีเสียงอะไรออกมาจนกระทั่งเขาพูดต่อ
“จะดูแลอย่างดี”
“..เฮียเพี้ยน”
“ยอมให้เลี้ยงได้ไหมครับ?” - หมดยกที่ 43 -
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
มาต่อแล้วค่าาา แอบแทรกสองคู่ในตอนเดียวราวครึ่ง ๆ ได้ พูดถึงสองรันเยอะหน่อย อย่าเพิ่งหน่วงกันน้า~ //ห้ามได้ด้วยเหรอ? (ฮา)
คิมหันต์ใจก็ไปเยอะแล้วเหอะ เฮียเพี้ยนเตรียมไปสู่ขอได้เลย 5555
ปล. บอมบ์เคยออกราว ๆ สองครั้งในเรื่อง 'รัก...ติดดิน' ค่ะ เป็นเพื่อนอาทิตย์สมัยเรียนห้องบ๊วยที่เคยถ่ายรูปคู่(?)อาทิตย์กับปิ่นหยกเอาไว้ได้ ไม่รู้จะคุ้น ๆ บ้างหรือเปล่า
ตอนนี้แอบงดของแถมก่อนนะคะ มีแค่รูปเดียว รอรวม ๆ กันก่อน แต่ดูก่อนได้ที่เพจเช่นเคยค่ะ ^^
ขอบคุณคนอ่านผู้น่ารัก *กอดฟัดดด*

พบกันใหม่ยกหน้าค่ะ
