● เล่ห์รักฤดูร้อน ● ตอนพิเศษวันสงกรานต์ (หน้า 151) 13/04/59
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ● เล่ห์รักฤดูร้อน ● ตอนพิเศษวันสงกรานต์ (หน้า 151) 13/04/59  (อ่าน 1139543 ครั้ง)

ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3322
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
ะ ถึงจะดูดาม่าเล็กๆ แต่พี่ภพคงพอใจอยุ่ไม่น้อยคิม น่ารัก

ออฟไลน์ Whatever it is

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3960
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +380/-8
หนูครีมสารภาพแล้ว แต่ก้ยังดราม่าอยู่น้า เลยหวานไม่เต็มที่เลย

ออฟไลน์ chisarachi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1021
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-1
ร้องคิมมมม กดดันไหมนี่หืออออ
เครียดที่ง้อพี่ภพ แล้วมาเจอเจีใหญ่อีก
เคราะห์ซ้ำกรรมซัดแท้ๆเลย
แต่ไม่รู้ทำไมชอบตอนนี้  รู้สึกเขาแคร์กันมาก
และน้องคิมพูดคำว่ารักครั้งแรก  ><

ออฟไลน์ Theznux

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 197
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
ดราม่าแล้วไง ดราม่าแล้วไงงงง ><

ออฟไลน์ isBelle__

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
สารภาพรักแล้ว แต่เป็นการสารภาพที่ยังไม่รู้ว่าจะดีขึ้นหรือแย่ลงอ่ะ ไม่อยากให้สองคนนี้ต้องลำบากใจ แต่ท่าทางครอบครัวจะต้องเป็นอุปสรรคใหญ่แน่
อยากรู้เรื่องของเฮียใหญ่ ทุกคนในบ้านดูจะเกรงต่อเหตุการณ์นี้มากเลยอ่ะ อย่าให้คิมต้องมาซ้ำรอยเดิมเลยนะ มีคนคอยช่วยเยอะแยะทั้งที่บ้านและที่กรุงเทพขนาดนี้ อีกเดี๋ยวก็รักกันหวานจ๋า เนอะๆ

ออฟไลน์ cinpetals

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ตัดค้าง ฉับ ฉับ ฉับ
เรานี่แทบพุ่งใส่คอม 555555
เป็นกำลังใจให้คิมหันและพี่ภพสุดหล่อ
รู้สึกตอนนี้ (และตอนหน้า) มีดราม่าแน่นอน  :katai1: :katai1: :katai1:


#แอบคิดถึงสองรัญเบาๆด้วย  :hao6:


benzxzxnb

  • บุคคลทั่วไป
ยิ่งอ่านเหมือนค่อยๆโดนปาดใจ

มันค่อยๆเริ่มดราม่า T T


ออฟไลน์ YOSHIKUNI RUN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-1
ตอนนี้มันช่าง บาดอารมณ์เหลือเกินน
เครียดตามๆ เฮ้อ~~
เอาใจช่วยทุกๆ คน
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ Kisseu129

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ฮือออออ~ ระทึก นึกว่าป๊าจะมาเจอซะแล้ว แต่ที่ไหนได้ เจ๊ใหญ่นี่เอง...
คิมง้อดุเดือดไปมั้ยลูก เล่นซะปากแตก 5555

ออฟไลน์ CarToonMiZa

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +820/-41
สู้สู้ทั้งสองคน :ped149:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ SiLent_GRean

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
แอบอยากรู้เรื่องพี่ชายคิมเหมือนกันค่ะ


แต่เอาใจช่วยเฮียกับคิมนะคะ    :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ ophena

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
พ่อโคตรน่ากลัวอ่ะ จะรอดไหมนี่

ออฟไลน์ watcharet

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 663
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-2
เข้าโหมดคลอน้ำตาตาม น่าสงสารจุงเบย

ออฟไลน์ cinquain

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-0
อ่านแล้วหนักใจแทนทุกคนโดยเฉพาะเจ้ใหญ่ที่ครั้งก่อนก็เป็น
คนที่รู้เรื่องก่อนใครเหมือนกับครั้งนี้ / ส่วนพ่อ แค่อ่านยังรู้สึกได้
ถึงความเข้มงวด เอาตนเองเป็นที่ตั้ง อย่างนี้จะคุยยากค่ะ

เอาใจช่วยตัวละครทุกๆคนนะคะ  :กอด1:

cutybuay

  • บุคคลทั่วไป
ไม่ได้เข้ามาอ่านเป็นเดือนนนนน ชีวิตยุ่งเหยิงมาก ๆ ขอโทษด้วยน้า  :3123:
อ่านรวดเดียวเป็นสิบตอน สะใจไปเลย 555 เม้นรวมในนี้นะจ้ะ


35
โอ้ยหนูครีมของเจ๊ ทำไมเขินขนาดนั้นละจ้ะ แบบนี้อิพี่ภพก็ชนะแน่ๆ 555  :hao6:
ตอนนี้อ่านแล้วก็เริ่มจิตตกสงสารหนูปิ่น TTvTT ไม่อยากให้ถึงช่วงนี้เลยจริง ๆ

36
อ่านเรื่องนี้ก็ยังเศร้าอยู่ดี สงสารหนูปิ่น แต่ยังไงก็ยังดีที่มีไอเจี๊ยบและพี่ ๆ คอยอยู่ข้าง ๆ  :mew4:
ส่วนอิเฮียตอนนี้รู้สึกแรงหึงจะทำงานหนัก กร๊ากกกก แหม่เด็กๆเค้าเป็นเพื่อนสนิทกันค่ะ อีกอย่างหนูครีมก็เอนเอียงมาทางเฮียจนจะเต็มตัวแล้วจ้า พอมีเรื่องก็นึกถึงเฮียคนแรก
ลึก ๆ คงเริ่มไว้ไจและรู้สึกว่าเฮียเป็นที่พึ่งเวลาตัวเองเจอมีปัญหาอะไร รีบรักกันได้แล้วนะพวกแก อิเจ๊อยากเห็นพี่ภพทำหนูครีมเขินมากกว่านี้ เอิ้ก ๆ

37
หนูครีมเริ่มเปิดใจให้เฮียขึ้นอีกหน่อย มีขอบคุณอิเฮียด้วย
ตอนที่แล้วดราม่าเรื่องหนูปิ่น แต่ตอนนี้ได้กลิ่นดราม่าอิหนูครีม แถมน่าจะร้ายแรงอีกต่างหาก ถ้าป๊าของคิมไม่ยอมรับมันคงเป็นปัญหาใหญ่สำหรับคู่นี้แน่นอน
คงต้องลุ้นว่าถ้าทั้งคู่เกิดรักกันขึ้นมาจริง ๆ แล้วจะผ่านอุปสรรคไปได้ยังไง  :katai1:

38
ตอนนี้หวานอ่ะ จูบผ่านนิ้วโป้ง โฮรกกกก แล้วนิสัยชอบนัวเนียของหนูครีมนี่อิเฮียกำไรเห็น ๆ 555  :z1:
คิมคงคิดว่าไม่ตกหลุมอิเฮียแน่ แต่เรื่องของหัวใจมันคงบังคับกันไม่ได้นะ เพราะคิมเริ่มรู้สึกกับพี่ภพเพิ่มขึ้นทีละนิด ๆ แล้ว อิป้าก็เอาใจช่วยให้รู้ใจตัวเองเร็ว ๆ นะจ้ะหนูครีม อิ อิ

ปล. เจ้าดุ๊กดิ๊กเหมือนหมาที่บ้านเลย พอฟ้าร้อง ฟ้าผ่า มันจะต้องมาหงิง ๆ แล้วก็ตะกุย ๆ อยู่หน้าประตูบ้าน 555

39
โอ้ยตอนนี้มีหนูปิ่นกับไอเจี๊ยบโผล่มาด้วย คิดถึงนะเด็ก ๆ  :mew1:
คิมนี่รักษาสัญญาดีเยี่ยมพกมือถือติดตัวตลอด ๆ ถึงจะแอบหลบหน้าอิเฮียแต่หัวใจมับหลบไม่ได้หรอก กร๊ากกก ขนาดหนูปิ่นยังดูออก เพราะท่าทางมันแสดงออกเยอะะะะ 555
อยากรู้ตอนหน้าอิเฮียจะลงโทษเด็กชอบเล่นซ่อนแอบยังไงหว่า  :katai2-1:

40
โอ้ยยยยยย ตอนนี้ไม่ไหวนะ ชอบฝุด ๆ นุ้งครีมแซ่บมากค่ะ ด่ายายส้มซะแพ้หมดรูป ส่วนเฮียก็มั่นคงมากนะคะ ขอให้รักเดียวใจเดียวไปตลอดนะ  :o8:
ตอนนี้ทำให้รู้ว่าคิมน่าจะมีแววหึงโหดนะ แอบกลับแทนอิเฮีย 555
นึกว่าคิมจะถูกลงโทษที่หนีเฮียแต่กลายเป็นอิเฮียถูกรุกหนัก เอ้ย นัวเนียทดสอบความอดทนแทน ยิ่งบนโซฟานี่มัน กรี้ดดดดด  :m3:
พออ่านจบโอ้ยยยย ยิ้มแก้มจะแตก ในที่สุดหนูครีมก็ยอบรับเฮียแล้ว เค้าเริ่มรักกันแล้วค่ะ อิป้าดีใจ ยังไงก็ขอให้ผ่านอุปสรรคเรื่องที่บ้านคิมไปให้ได้นะ อิป้าเป็นกำลังใจให้
เฮียก็ต้องพิสูจน์ให้น้องเชื่อด้วยนะ ห้ามท้อ ห้ามยอมแพ้เด็ดขาด

40.5
พี่ภพของป้าาาาา ทำไมดีอย่างนี้ อดทนเป็นเลิศ(ถึงแม้เกือบจะไม่รอด 555) หนูครีมก็ยั่วดีจริง ๆ
แอบสงสารอิเฮียเหมือนกันกว่าจะครบปีถ้ายังโดนยั่วแบบนี้บ่อย ๆ มีหวังอิเฮียข้อมือเคล็ดแน่ กร๊ากกกกก  :m14:
แต่แฟ้มลับของอิเฮียก็แอบหลอนนิด ๆ นะ อะไรจะเก็บเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนั้น 555
อยากให้ครบปีเร็ว ๆ จัง สงสารคนดีของหนูครีมอ่ะ ยิ่งเห็นรูปที่นั่งรอบนเตียงแล้ว มันน่าฟัดจริง ๆ อิเฮียแกทนได้นี่สุดยอดเลย

ปล. อ่านตอนนี้แล้วให้ความรู้สึกแปลกไปนิดหน่อยกับการเล่าผ่านตัวละคร สงสัยเพราะไม่ชิน รู้สึกเหมือนจะเป็นผู้ใหญ่นิด ๆ ไม่ค่อยจะเกรียนเท่าไหร่ แต่ไม่เป็นไรเล่าผ่านใครเราก็อ่านหมด ฟินหมดอยู่ดี อิ อิ

41
หนูครีมจ๋าาาา หนูเป็นเด็กที่ตรงมากค่ะ รู้สึกใจเต้นหรืออะไร ๆ ก็บอกพี่เค้าหมด อิป้าชอบค่ะออกแนวแคะรุก อร้ายยยย
ยิ่งเปลี่ยนสีผมใหม่อิเฮียยิ่งหลงหนักนะป้าว่า ก็เด็กมัน "น่ารักดี" อ่ะนะ 555  :m12:
แอบได้กลิ่นมาม่าคู่สองรัน แต่อิป้าก็แอบเชียร์พี่รันอยู่นะ อย่าดราม่ามากก็พอ สงสารพี่รันแว่นของป้า

42
คู่2รันของอิป้าทำไมมันอึมครึมเยี่ยงนี้ มองไม่เห็นว่าจะรักกันได้ไง แล้วมันจะมาดราม่าอะไรกับคู่เฮียกับคิมรึเปล่า
อิป้าสงสารพี่รันอ่ะ เลิกรักอิพี่ภพแล้วกลับมารักตัวเองเถอะนะ  :mew2:
ตอนนี้อ่านแล้วยกนิ้วให้เจ๊ใหญ่เลย คิมโชคดีที่มีพี่สาวที่รักและเข้าใจพร้อมจะอยู่เคียงข้าง สารภาพว่าอ่านไปร้องไป สงสารพี่ชายของคิมด้วย แต่ก็รับรู้ได้ถึงความรักที่พี่น้องมีให้กัน หวังว่าถ้าเจ๊รู้เรื่องของอิเฮียกับน้องแล้วคงจะไม่คัดค้านและช่วยเป็นกำลังใจให้น้องมันผ่านอุปสรรคทุกอย่างไปด้วยนะ

43
โถ พี่รันไม่สบายซะแล้ว หวังว่าเจ้ารัญจะดูแลดี ๆ นะ ถึงยังไม่รักแต่เริ่มจะติดใจนิด ๆ แล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะห่วงของรึเปล่า
เจ๊ชอบคู่นี้นะมันดราม่าดี ขอแค่อย่ามาทำให้คู่คิมดราม่าก็พอ กระซิก กระซิก  :impress:
ส่วนหนูครีมเดี๋ยวนี้ไม่เก็บความรู้สึกแล้วนะ สงสัยจะคิดถึงอิเฮียมากเป็นพิเศษ กร๊ากกกก เฮียภพก็เลี้ยงดูน้องมันให้ดี ๆ ละ หมาตาตี่แบบนี้มีตัวเดียวในโลกนะ 555  :haun5:

44
โอ้ยยยยย หวานนนนนน เดี๋ยวจุ๊บ เดี๋ยวจูบ เดี๋ยวจุ๊บ เดี๋ยวจูบ อิป้าไม่ไหวแล้วค่ะ กัดหมอนจนจะขาดแล้ว ถ้าเป็นป้า ๆ จะไม่ทนแล้วนะจับนุ้งครีมฟัดไปแล้วค่าาา
อิพี่ภพแกทนดีจริง ๆ 555  :ling1: หนูครีมนี่ทั้งเป็นคนตรงและเป็นคนรุกเองเลยนะ หึ หึ  :m18:

45
งืออออ หนูครีมสุดยอดไปเลย จะตรงไปไหนคะลูก แถมยังอ่อยอิเฮียอีก อยากรู้พอไปถึงคอนโดแล้วจะเป็นไงหว่า โอ้ยยยย เขินว่ะ  :m1:
ส่วนซาร่าห์ก็แอบน่ารักน่าหยิกนะ ชอบ ๆ

46
บอกแล้วว่าอิป้าชอบคู่2รัน ชอบอ่ะ มันดราม่าดี แต่ไม่มากเกินพอให้หัวใจกระตุก อยากให้พี่รันเริ่มรักตัวเองไว ๆ แอบรับคนที่เค้ามีคนรักอยู่แล้วมันเจ็บเกินไป  :hao5:
รักตัวเองให้มาก ๆ แล้วค่อยเปิดใจกับคนที่เข้ามาในชีวิตเราดีกว่านะพี่รัน อิป้าเอาใจช่วยฝุด ๆ

47
555 ตอนนี้ขำอ่ะ ท้ังหนูครีมทั้งหนูแบม โอ้ยยยย อะไรจะเหมาะเจาะขนาดนี้ ก็หวังแค่ให้ทั้งคู่ช่วยกันฝ่าด่านผู้ปกครองไปให้ได้และได้คบกับคนที่ตัวเองรักจริง ๆ นะ
ตอนนี้ยังดีที่ไม่ดราม่า แต่ตอนหน้าไม่แน่ อิป้าเครียดล่วงหน้าแล้วค่ะ

48
อิเฮียยยย ฟังน้องมันก่อนสิ ทำไมขี้หึงขนาดนี้ (แต่อิป้าชอบนะ)
ตอนนี้สงสารหนูครีมอ่ะ แต่ตัวเองก็ผิดที่ปิดบังกอิเฮียเรื่องแบมนะ ถ้าบอกเอฮียไปตรง ๆ เชื่อว่าเฮียต้องเข้าใจแน่นอน
แต่พอมาเจอเองกับตัวแบบนี้อิเฮียคงช็อค บวกกับอารมณ์หึงขึ้นรุนแรงเลยเป็นแบบนี้
หวังว่าอิเฮียเจอกัดของน้องเข้าไปจะทำให้ใจเย็นลงและมีสติมากขึ้นนะ  :serius2:

49
เย้ ถึงตอนล่าสุดแล้ว  :hao7:
ดีแล้วที่ครีมตามไปอธิบายกับอิเฮียให้เข้าใจ แม้จะมีการเสียเลือด นิด ๆ หน่อย ๆ
ไอฉากจูบในรถเค้าก็อยากเห็นนะ แต่มันฟินได้ไม่เต็มที่เพราะเจ๊ใหญ่ดันมาเจอเนี่ยสิ  :o11:
หลังจากนี้คงจะดราม่าขึ้นเรื่อย ๆ รึเปล่าหว่า แต่หนูครีมแมนมากค่ะลูก สารภาพว่ารักอิเฮียไปตรง ๆ ต่อไปก็คงต้องช่วยกันฝ่าอุปสรรคไปให้ได้ หวังว่าสุดท้ายที่บ้านคิมจะยอบรับทั้งคู่นะ

กอดคนเขียนให้หายคิดถึงนะจ้ะ  :man1:
ตอนหน้าจงมาไว ไว จุ๊บ จุ๊บ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-08-2013 16:45:49 โดย cutybuay »

ออฟไลน์ Ju

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-2
กัดฟันรอตอนต่อไป  :katai1:

ออฟไลน์ DraCo_SLa13

  • I swear that, will love Super Junior forever..........
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +314/-3
เหมือนใกล้จะมาม่า เข้าทุกที  เฮ้อ อย่าชามใหญ่นักนะจ๊ะ คนเขียน

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7
อั๊ยย๊ะ คิมบอกรักเฮียอย่างงี้ กลับไปข้อตกลงยังใช้ได้อยู่ไหมเนี่ยยยยย

 :z1: :z1: :z1:

ออฟไลน์ MoMoRin

  • I am Fujoshi! (・∀≦)ゞ
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +229/-2
อร๊ายยยยย ดราม่าเกิ้นนนนนน
นี่ขนาดเจ้ใหญ่คนเดียวยังขมขื่นกันขนาดนี้
ถ้าป๊ากับม๊ารู้คงอกแตกตายไปข้างล่ะคะคุ้นนนน

ออฟไลน์ RAINYDAY

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1247/-5
    • FB page
คำเตือน : ยาวมากค่ะ โคตรยาว แต่เพราะเป็นตอนแทรก .5 เลยไม่แบ่ง อ่านรวดเดียวเลยละกันนะคะ (มีทั้งหมด 5 รีพลายค่ะ ^^)


● เล่ห์รักฤดูร้อน ●

49.5 – TILL THE SPRING COMES



         ผมวางกระเป๋าใบสุดท้ายไว้บนพื้นห้อง รู้สึกอ่อนเพลียจากการเดินทาง หลับบนรถอย่างไรก็ไม่สนิท โดยเฉพาะหากก่อนหน้านั้นเพิ่งอดตาหลับขับตานอนเพื่อทุ่มเทให้กับการอ่านหนังสือสอบ อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องดีที่จะได้กลับบ้านช่วงนี้ มีเรื่องราวให้ชื่นใจหลายอย่าง ที่ดินซึ่งป๊าประกาศขายมาตั้งนานมีคนมาติดต่อขอซื้อแล้ว ได้ราคาดีเสียด้วย ทั้งที่คิดว่าคงขายไม่ออกแล้วแท้ ๆ  ม้าเล่าว่าป๊ายิ้มร่าไปทั้งวันทีเดียว ตอนนี้คงไปดูที่กันอยู่

         เสียงฝีเท้าตึงตังดังจากด้านหลัง หันไปมองก็เห็นน้องสาวคนโตวิ่งโครมครามขึ้นบันไดมาหา ตะโกนลั่นไปด้วยอย่างไม่รักษาภาพพจน์กุลสตรี โชคดีที่ป๊าไม่อยู่บ้าน ไม่เช่นนั้นทำเสียงอึกทึกออกขนาดนี้คงโดนดุกันถ้วนหน้าแล้ว

          “เฮียกลับมาเมื่อไหร่เนี่ย! สาไม่เห็นรู้เรื่องเลย มาเงียบเชียว”

         ผมยิ้ม ส่ายหน้าน้อย ๆ  ถามหาน้องชายอีกคนที่ปกตินอนห้องเดียวกัน แต่ตอนนี้ไม่ยักเห็นวี่แวว “คีมล่ะ?”

          “ไปทำการบ้านกับเพื่อนแน่ะ บอกเดี๋ยวเที่ยง ๆ กลับ”

          “โอ้” ผมเลิกคิ้ว ทำทีเป็นตกใจนิดหน่อย “ขยันนี่”

         วัสสานะยักไหล่ กลอกตาไปด้วย “ไปเล่นนั่นแหละ บอกเที่ยงแต่กว่าจะกลับก็โน่น บ่าย ๆ เดี๋ยวก็เล่นเพลินอีก”

         ผมหัวเราะกับท่าทางของน้องสาว เธอเป็นเด็กมัธยมปลายที่ยังสดใสตามวัย แต่เมื่อพูดถึงน้อง ๆ อีกสองที่เหลือทีไรก็มักเพิ่มอายุให้ตัวเองลงไปในคำพูดคำจาเสมอ อาจเป็นเพราะความตั้งใจ (มาก ๆ) ของตัวเธอ อย่างที่เคยบอกผมไว้ว่าจะเป็นคนดูแลน้องเองช่วงที่ผมไปเรียนในรั้วมหาวิทยาลัย

          “เด็กก็งี้แหละ” อดไม่ได้จนเผลอแก้ต่างให้นิดหน่อย คิมหันต์เพิ่งเรียนประถมสามเท่านั้นเอง

         เธอเดินเข้ามาใกล้ ก้มลงช่วยเก็บกระเป๋าที่วางเอียงกระเท่เร่ของผมไปพิงตู้ให้เรียบร้อย “เฮียกิน’ไรยัง”

          “กินเมื่อเช้าแล้ว”

          “ข้าวหรือขนมปัง”

         ผมเหลือบมองวัสสานะซึ่งกำลังยักคิ้วหลิ่วตา ติดจะยียวนหน่อย ๆ  ใครกันนะช่างสอนเธอทำหน้าตาแบบนี้ ชักจะคล้ายเด็กผู้ชายเข้าไปทุกที “กินอะไรก็เหมือนกันนั่นแหละ”

          “นั่นไง!” แม่น้องสาวยิ้มร่า ทำท่าเหมือนจับได้คาหนังคาเขาว่าผมกำลังทำผิด “แค่นั้นจะไปอิ่มอะไรเล่า กินข้าวไหม”

          “ใกล้เที่ยงแล้ว รอตี๋เล็กกลับก่อนก็ได้ แล้วสิล่ะ?” ผมเปลี่ยนเรื่อง ถามไปถึงน้องสาวคนรอง

          “พ่อน้องชายที่รักสาว่าคงกลับบ่ายโน่นแหละ ส่วนสิวันนี้ไปทำงานกลุ่มที่โรงเรียน อันนี้ทำจริงไม่ได้ขี้โม้อย่างอาตี๋” เธอแจกแจง ใส่อารมณ์ลงไปด้วยนิดหน่อย “ส่วนป๊ากับม้าบอกว่าไปดูที่กับดูตึกแถว เย็น ๆ คงกลับ ให้หาข้าวกินกันไปก่อนได้เลย”

         ผมพยักหน้า ยื่นมือไปลูบผมเธอแผ่วเบา “เหนื่อยไหม”

          “หือ?”

          “เป็นเจ้ใหญ่ของเด็ก ๆ”

         เธอทำหน้ายุ่ง เตะหน้าแข้งผมเบา ๆ บ่นว่า “จิ๊บ ๆ น่า” จากนั้นก็เริ่มพูดงึมงำเรื่องโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงมีเลศนัย

          “มี คน โทร มา หา เฮีย ด้วย ละ”

          “หืม?” เหมือนจะหัวใจเต้นผิดจังหวะไปนิดหน่อยเลยทีเดียว มีคนโทรมาหาผมด้วยเบอร์บ้าน ผมยังทำหน้านิ่งอยู่ได้ แต่แวบหนึ่งที่เผลอคาดหวังไปแล้วว่าจะเป็นเขา “ใครหรือ?”

          “พี่เอก”

          “...”

          “แน่ะ!..หน้าบานเลย”

          “เปล่านี่” ผมเลิกคิ้วอย่างร้อนตัว เสมองไปทางอื่น ทำทีเป็นรื้อของออกจากกระเป๋า พึมพำไปด้วยอย่างไม่ใส่ใจนัก “...แล้ว..เขาว่าไงบ้างล่ะ”

          “ถามว่ากลับหรือยัง ถึงบ้านแล้วให้โทรหาด้วย”

          “อ้อ”

          “ช่วงที่เฮียไม่อยู่ พี่เอกเขาก็มาบ้างเหมือนกันนะ” วัสสานะเล่าต่อ ย่อตัวลงนั่งบนขอบเตียง “แต่พอไม่เจอเฮียก็อยู่ไม่นานเท่าไหร่ เหมือนมาทักทายกับดูเฉย ๆ ว่าเฮียอยู่บ้านหรือเปล่า”

         เขาไม่เห็นเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังเลย

          “มาบ่อยไหม?”

          “ก็บ่อยอยู่ เหมือนจะทุกครั้งที่เขากลับบ้านนั่นแหละ ดีเนอะ..มีเพื่อนที่สนิทที่คบกันมานานออกขนาดนี้ก็ยังไปมาหาสู่บ่อย ๆ  ไม่เหมือนส่วนใหญ่ที่พอขึ้นมหา’ลัยแล้วเขาก็ห่าง ๆ กัน”

         ผมเงี่ยหูฟังเธอพูดเงียบ ๆ  ใจคิดว่าหากเป็นแค่เพื่อนสนิทจริงอย่างเธอและคนอื่นเข้าใจ เรื่องคงง่ายขึ้นกว่านี้มากทีเดียว

          “เอ้อนี่..มีข่าวดีจะบอกด้วยละ” เธอยิ้มกริ่ม “ป๊าบอกจะซื้อมือถือให้เฮียแหละ ไปอยู่ไกลบ้านจะได้ติดต่อกันสะดวก ตอนนี้บ้านเราตั้งเนื้อตั้งตัวได้ เฮียก็เลิกขี้เหนียวจัดได้แล้ว”

          “อันหลังนั่นเติมเองหรือป๊าบอก”

         น้องสาวตัวดีแลบลิ้นเผล่ กลอกตาขึ้นมองเพดาน จากนั้นก็หัวเราะออกมา เป็นอันยอมรับว่าประโยคหลังนั้นเพิ่มเอาเอง

         วัสสานะก็เป็นอย่างนี้ เธอเป็นห่วงคนอื่นเสมอ อาจเป็นเพราะหากนับจากพี่น้องแล้ว เธอเป็นลูกคนที่สองในบรรดาพี่น้องสี่คน อายุห่างจากผมแค่ปีเดียว มีน้อง ๆ ต้องดูแลอีกสองคน ซึ่งป๊ากับม้าก็บอกเสมอว่าให้รักกัน เธอออกจะช่างเป็นห่วงน้องอีกสองคนมากกว่าใครด้วยซ้ำ ระหว่างที่ผมไม่อยู่ก็กลายเป็นเจ้ใหญ่ของเด็ก ๆ ไปโดยปริยาย แต่ละคนชอบทำอะไร ของโปรดหรือของที่เกลียด หรือหากพวกเขาไม่อยู่จะไปตามได้ที่ไหน ดูเหมือนว่าเธอจะรู้ดีที่สุด

          “อย่าลืมโทรหาพี่เอกนะ” เธอกำชับ

         ผมพยักหน้า ก่อนที่เธอจะเดินวนเวียนอย่างพยายามช่วยอีกครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วก็กระโดดกอดคอจากข้างหลังอย่างขี้เล่นหนึ่งที จากนั้นจึงเดินออกจากห้องลงไปชั้นล่าง บอกจะไปดูว่าข้าวสุกหรือยัง

         ผมใช้เวลาอยู่กับตัวเองอีกครู่ใหญ่ ครุ่นคิดถึงคนที่บอกว่าถึงบ้านแล้วให้โทรหาก็อดอมยิ้มออกมาไม่ได้ พี่เอกตอนนี้คงอยู่ที่ราชบุรีเหมือนกัน เขากลับบ้านบ่อยกว่าผมเสียอีกหากฟังจากที่วัสสานะเล่า ร่วมกับที่เขาบอกผมเวลาเราคุยกันทางโทรศัพท์หรือกระทั่งส่งจดหมายในบางครั้ง



         พี่เอกเป็นรุ่นพี่ที่อายุห่างจากผมสองปี เห็นหน้ากันตั้งแต่ผมย้ายเข้าโรงเรียนใหม่ตอนขึ้นประถมปลาย ส่วนเขาเรียนที่นั่นอยู่แล้ว

         ตอนนั้นเราไม่ได้คุยกันมากนัก เขาอยู่ประถมหก ผมประถมสี่ ห้องเรียนอยู่คนละชั้น และไม่ค่อยได้มีกิจกรรมร่วม แต่โรงเรียนไม่ใหญ่มาก ผมรู้จักเขาเพราะได้ยินชื่อจากเพื่อนผู้หญิงเป็นประจำ เรียกว่าเป็นที่นิยมในหมู่นักเรียนหญิงเอาการทีเดียว และเพราะเขาดังอย่างนั้น คำว่ารู้จักของผมจึงหมายถึงการที่ผมรู้จักชื่อและหน้าของเขาฝ่ายเดียว และคิดว่าเขาคงไม่รู้ว่าผมเป็นใคร

         แต่ดูเหมือนผมจะคิดผิดเรื่องนั้น ผมเพิ่งรู้ตัวตอนเลือกวิชาชมรมในภาคการศึกษาที่สอง ตอนนั้นฐานะทางบ้านเราไม่ดีนัก วัสสานะอายุแปดขวบ สิสิรสี่ขวบ ส่วนคิมหันต์ยังไม่เกิด บ้านที่อาศัยไม่ใช่หลังปัจจุบันนี้ เป็นบ้านครึ่งอิฐครึ่งไม้เก่า ๆ เราเปิดร้านขายของชำไปด้วย ป๊ารับผักมาขายส่งในตลาด ม้าทำธุรกิจขายตรงและทำขนมส่งวางขายตามร้านต่าง ๆ ในละแวก เก็บหอมรอมริบเพื่อเลี้ยงดูลูก ๆ สามคน พร้อมกับขยับขยายฐานะไปด้วย เรามีที่ดินเก่าไม่สวยนักที่ยังไม่มีต้นทุนสำหรับสร้างประโยชน์อันใด และประกาศขายมานานแต่ยังไม่มีคนสนใจซื้อจนป๊าเริ่มถอดใจกับมัน

         ผมช่วยงานทุกอย่างของครอบครัวเท่าที่จะสามารถทำได้ ในฐานะลูกชายคนโตเช่นนี้ ดูเหมือนจะมีภาระที่มองไม่เห็นแบกไว้บนหลังตลอดเวลา ทุกวันผ่านไปโดยป๊าพร่ำสอนให้ขยัน และผมเชื่อฟังมาโดยตลอด ช่วงนั้นผมจึงไม่ค่อยได้ร่วมกิจกรรมที่โรงเรียนนัก

         ด้วยเหตุนี้ เมื่อถึงคราวต้องเลือกเข้าชมรมอย่างน้อยหนึ่งอย่างในภาคเรียนที่สอง ผมจึงมองหาอะไรที่ไม่ต้องเหนื่อยแรงมาก (จากงานที่บ้านก็ค่อนข้างสูบพลังพออยู่แล้ว) มีเวลาได้นั่งเฉย ๆ หรือแอบหลับได้หากผมต้องการ อาจารย์ที่ปรึกษาไม่เข้มงวดนัก ลังเลอยู่ระหว่างชมรมรักการอ่านกับศิลปะ ซึ่งดูแล้วเข้าได้กับความต้องการของผมทั้งคู่ ชมรมแรกมีหนังสือให้ยืมอ่านได้ และอีกชมรมก็มีอุปกรณ์สำหรับวาดรูปให้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องหาซื้อเพิ่ม อาจารย์ที่ปรึกษาของทั้งสองฝั่งค่อนข้างใจดีและได้ยินว่าไม่เข้มงวดกับผลงานของเด็ก ๆ มากนัก

         ผมเบียดเสียดตัวเองเข้าไปยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน คิดว่าควรต้องรีบตัดสินใจ เพราะแต่ละชมรมสามารถรับคนได้จำนวนจำกัด หากมัวแต่ชักช้าอาจถูกจับเข้าไปยัดอยู่ในชมรมอะไรที่คนส่วนใหญ่ไม่อยากเข้าด้วยเหตุผลสารพัดรูปแบบซึ่งดูไม่ค่อยเป็นผลดีกับตัวเองนัก ใช้เวลาหนึ่งอึดใจ ผมก็ตัดสินใจเลี้ยวซ้ายไปทางโต๊ะลงทะเบียนของชมรมรักการอ่าน ซึ่งคิดดูอีกทีแล้วน่าจะสบายกว่าทำงานศิลปะ


          “นี่!”


         เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง แต่ผมไม่ได้สนใจนัก ท่ามกลางความจอแจของนักเรียนกลุ่มใหญ่ เจ้าของเสียงนั้นอาจกำลังพูดกับใครก็ได้ที่ไม่ใช่ผม

          “เราน่ะ!”

         ผมมองหาท้ายแถวที่ยืดยาวออกมาจากโต๊ะลงทะเบียนของชมรมรักการอ่าน คิวไม่ยาวนัก แต่ก่อนหน้านี้มีคนมาลงชื่อเยอะทีเดียว เดาว่าคงใกล้ถึงจำนวนที่สามารถรับได้แล้ว 

         “วสันต์!”

         นั่นเรียกผมหรอกหรือ?

          “วสันต์ใช่ไหม”

         ผมหันไปมองตาม ประหลาดใจที่เป็นเขา..คนดังซึ่งผมคิดมาตลอดว่ารู้จักเขาแค่ฝ่ายเดียว

          “ใช่ครับ”

          “เข้าชมรมศิลปะกัน”

          “...”

         เงียบไปครู่ใหญ่จนถูกแซงคิว เพราะคนข้างหลังคิดว่าผมไม่เอาแล้วเนื่องจากไม่ยอมเดินตามแถวที่ขยับสั้นลงเรื่อย ทั้งที่อีกนิดเดียวก็จะถึงคิวผมอยู่แล้วแท้ ๆ  ทว่ากลับมัวแต่งงกับรุ่นพี่ประถมหกตรงหน้าซึ่งเริ่มบทสนทนาแรกราวกับเรารู้จักกันมาเนิ่นนาน 

          “เฮ่ย! ไม่ต้องตกใจ” เขาหัวเราะ ตบไหล่ผมเบา ๆ  “ไม่ได้ชวนไปฆ่าคน ชมรมรักการอ่านนั่นจะเต็มอยู่แล้ว ต่อแถวอยู่อย่างนั้นน่ะไม่ถึงเราหรอก”

         ผมเลิกคิ้ว ส่งสีหน้าแปลกใจเต็มที่ จนเขาจับไหล่ผมให้หันหลังกลับไปมอง รุ่นพี่หญิงผู้รับหน้าที่ลงทะเบียนประกาศว่าคนสมัครเต็มจำนวนแล้ว การรับสมัครสมาชิกชมรมรักการอ่านจบลง โดยสมาชิกคนสุดท้ายคือคนก่อนจะถึงเพื่อนที่เพิ่งแซงคิวผมไปเมื่อครู่

          “ก็บอกแล้ว” พี่เอกยักไหล่

         แผนแรกของผมสำหรับชมรมรักการอ่านจึงมีอันต้องยกเลิกไปโดยปริยาย เห็นควรรีบเปลี่ยนเป็นแผนสองคือชมรมศิลปะ ก่อนจะเต็มไปอีกอย่างจนต้องระเห็จไปถูกจับยัดเข้าชมรมอะไรก็ไม่รู้เข้าจริง ๆ  ระหว่างที่เดินตามรุ่นพี่ซึ่งจู่ ๆ ก็เดินมาทักไปยังโต๊ะลงทะเบียน จึงได้มีเวลาครุ่นคิดบางอย่างไปด้วย

          “พี่รู้จักชื่อผมได้ไง” ผมถาม มั่นใจว่าดังพอจะแหวกผ่านเสียงพูดคุยจ้อกแจ้กโดยรอบ

         แต่เขาไม่ตอบ

         ครู่หนึ่งเราก็มาหยุดตรงหน้าโต๊ะที่ติดป้ายไว้ว่าชมรมศิลปะ ด้านหลังมีบอร์ดจัดแสดงผลงานจากหลายเทคนิคอยู่ห้าหรือหกชิ้น แต่หน้าโต๊ะลงทะเบียนไม่มีคนต่อแถวเลยสักคน ก้มลงไปดูรายชื่อบนโต๊ะก็เห็นว่าขีดเส้นใต้สีแดงเอาไว้หลังจากชื่อคนสมัครลำดับที่ห้าสิบ

         เต็มอีกแล้วหรือ?

          “เฮ่ย! ครบแล้วเรอะ!?” พี่เอกร้องทักรุ่นพี่ผู้ชายอีกคนซึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะ “เร็วว่ะ”

         อีกฝ่ายพยักหน้า ชะเง้อมองมาทางผมที่ยืนอยู่ด้านหลังพี่เอกนิดหน่อย แล้วก็พยักหน้าอีกครั้งคล้ายทำความเข้าใจอะไรบางอย่างกับตัวเอง ท่าทีเขายืนยันว่าความคิดผมถูกต้องแล้ว ให้ตายเถอะ ผมพลาดไปทั้งสองชมรมเลย

          “โอเค..เสร็จธุระ” รุ่นพี่ข้างหน้าผมสรุป “วันนี้กลับบ้านเร็ว”

         ที่น่าหงุดหงิดคือเขากลับหัวเราะหน้าระรื่น ไม่หันมาพูดอะไรกับผมสักคำทั้งที่ตัวเองเป็นคนชวนมา (ความจริงส่วนหนึ่งผมก็ตั้งใจมาสมัครเองนั่นละ แต่ถึงตรงนี้ก็เคืองอยู่นิดหน่อยอย่างพาลหาเรื่อง) กำลังจะเดินหนีไปหาชมรมอื่นสิงก็โดนดึงแขนเอาไว้ก่อน

          “ไปไหนน่ะไอ้ตี๋”

         ผมขมวดคิ้ว แกะมือเขาออกพร้อมกับมองหาโต๊ะที่ยังเปิดรับสมัครอยู่ไปด้วย บ่นพึมพำอย่างเหลืออดเหลือทน “ผมต้องรีบหาชมรมอยู่ ไม่งั้นเดี๋ยวโดนจับยัดเข้าไอ้ที่ไม่ชอบ”

         พี่เอกยิ่งหัวเราะใหญ่ “จะไปทำไมเล่า”

          “เชี่ย!” ผมสบถกลางกลุ่มพี่ประถมหกอย่างไม่ทันคิด (นึกย้อนกลับไปแล้วนับว่าโชคดีที่ไม่โดนรุมตื้บ) เริ่มโกรธเขาจริง ๆ แล้ว “ผมรีบนะเว้ย! เดี๋ยวแม่งเหลือแต่ชมรมเก็บขยะจะทำไง”

          “ไอ้เด็กบ้า” เขายิ้มร่าเริง โบกมือลาเพื่อนแล้วเดินมากอดคอผมจากด้านหลัง เป็นธรรมชาติจนผมไม่ทันคิดถึงเหตุผลที่ใครสักคนจะเข้ามาถึงเนื้อถึงตัวกับรุ่นน้องที่ไม่เคยคุยกันมาก่อน “โรงเรียนเรามีชมรมเก็บขยะที่ไหน ไปฟังใครมาวะ”

         เขาไม่รู้อะไรเสียแล้ว ไอ้ชมรมรักษ์โลกที่ผมหลวมตัวเข้าไปเมื่อภาคเรียนที่แล้วนั่นแหละตัวดี ตัวผมซึ่งเพิ่งย้ายโรงเรียนมาใหม่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวกับเขาเลย เห็นชื่อดูดี ไม่น่ามีอะไรยุ่งยาก ปรากกฎว่ากิจกรรมชมรมแทบจะมีแต่เรื่องทำความสะอาดสถานที่ต่าง ๆ ในโรงเรียน วันดีคืนดีก็ต้องเที่ยวเดินเก็บขยะซึ่งไม่รู้ไอ้ตูดหมึกที่ไหนทิ้งไว้บ้าง เล่นเอาผมเซ็งวันอังคารที่มีคาบชมรมไปเลย

          “ไม่เอา” ผมยังคงบ่นอย่างวิตกจริต ว่าจะตกลงปลงใจกับชมรมหมากรุกแล้ว แต่สุดท้ายก็โดนเขารั้งแขนไว้ก่อนจะได้เดินไปต่อแถว “ปล่อยเว้ย ต้องรีบสมัคร เดี๋ยวรีบกลับบ้านอีก”

          “ชื่อนายอยู่ชมรมศิลปะแล้วไง จะไปสมัครอะไรอีก?”

         ผมชะงัก มองเขาตาปริบ ๆ  ครุ่นคิดพักหนึ่งก็รู้สึกว่าเหมือนจะโดนล้อเล่นอีกแล้ว “เห็นอยู่ว่าเต็มแล้ว สมัครก็ไม่ทัน จะไปมีได้ไงวะ!?”

          “ไอ้นี่แม่งพูดไม่ฟัง” เขายกมือโบกเหนือศีรษะผม เฉี่ยวปลายเส้นผมไปเบา ๆ ท่าทางชัดเจนว่าไม่ได้ตั้งใจให้โดน แต่ก็ได้ผลดีในการบอกให้ผมหยุดแสดงอาการลนลานลงชั่วคราว “พี่สมัครให้แล้ว”

         เขายิ้ม และเป็นอีกครั้งที่ผมชะงักเหมือนรถเก่าเครื่องยนต์กระตุก ยืนงงจอดสนิท ด้วยไม่รู้อันไหนอำอันไหนเรื่องจริง

          “สมัคร ให้ แล้ว?” ผมทวนคำช้า ๆ นึกประหลาดใจในสีหน้าและรอยยิ้มขี้เล่น เห็นใบหน้าเช่นนั้นจากระยะใกล้จึงได้เข้าใจว่าทำไมคนในโรงเรียนถึงกรี๊ดเขานัก

          “ไม่เชื่อไปดูชื่อ”

         ว่าจบก็พาย้อนกลับไปที่โต๊ะตัวเดิม ร้องเรียกเพื่อนเขาซึ่งนั่งรับสมัครอยู่ตอนแรก คนฟังหันมาทำสีหน้าขัดใจ พวกเขาคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง รุ่นพี่คนนั้นก็ยอมหยิบกระดาษสี่ห้าแผ่นที่เก็บเข้าแฟ้มเรียบร้อยออกมาให้ดู บ่นหงุงหงิงไปด้วยว่า “มึงมันน่ารำคาญ ทำไมไม่จัดการให้เรียบร้อยก่อน กูจะไปส่งอาจารย์อยู่รอมร่อแล้ว”

         เขาตบไหล่เพื่อนเบา ๆ รับกระดาษมาพลิกแล้วกวาดสายตาไล่ดูไปทีละแถว จนกระทั่ง..

          “นี่ไง!”

         พี่เอกยื่นมันมาจ่ออยู่หน้าผม ใกล้เกินไปจนต้องถอยมานิดหน่อย เพื่อจะมองเห็นชื่อตัวเองปรากฏอยู่บนนั้น หมายเลขลำดับด้านหน้าชื่อคือเลขเจ็ด ซึ่งผมมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าตอนที่หมายเลขแปดซึ่งอยู่หลังผมมาสมัครนั้น ผมยังไม่ทันออกจากห้องเรียนตัวเองเลยด้วยซ้ำ

          “วสันต์ วานิชตระการกูล ใช่ไหม?”

         ผมส่ายหน้า แปลกใจเหลือจะกล่าว พลิกดูหัวข้อที่หน้าแรกก็พบว่าเป็นใบลงทะเบียนสมาชิกใหม่ของชมรมศิลปะจริง ถึงกับพึมพำเสียงเบาหวิวด้วยความลังเล “ไม่ใช่แล้ว..”

         แต่พี่เอกกลับทำท่าตกใจยิ่งกว่าผมเสียอีก “อะไรกัน! ไม่ได้ชื่อวสันต์หรอกหรือ!?”

          “ชื่อวสันต์ถูกแล้ว”

          “หรือนามสกุลผิด!? ไม่ใช่วานิชตระการกูลเรอะ?”

          “ที่ถูกน่าจะเป็นจงเจือจิตว่ะ” เพื่อนอีกคนของเขาตะโกนแทรกขึ้นมาแล้วก็หัวเราะร่วน และเขาสวนกลับทันควัน

          “หุบปากเลยไอ้ควาย!”


         ผมมารู้ที่หลังว่า ‘จงเจือจิต’ เป็นนามสกุลพี่เอก


         และที่ผมมีชื่อในชมรมนั้นเป็นอันดับแรก ๆ ก็เพราะเขาเว้นไว้เผื่อผมตั้งแต่ก่อนเดินมาชวนแล้ว พอเห็นว่าผมเดินตามมา เพื่อนเขาซึ่งนั่งรออยู่ก็เขียนชื่อลงไปในที่ว่างทันที ต่อจากชื่อตัวเขาเองซึ่งอยู่ในลำดับที่หก


         ผมกับพี่เอกเริ่มคุยกันแบบนั้น




          “นั่งนิ่ง ๆ สิวะไอ้เด็กบ้า”

         ผมพยายามนิ่งอยู่ได้พักเดียว หลังจากนั้นก็สัปหงก

          “วสันต์!”

         มีอันต้องสะดุ้งเพราะเสียงพี่เอก ก่อนเขาจะบ่นพึมพำว่าทำไมไม่มีชื่อเล่นกันนะ จะเปลี่ยนไปเรียกไอ้ตี๋แล้ว (แล้วเขาก็ทำจริงด้วย)

         ชมรมศิลปะทุกเย็นวันอังคารเป็นอย่างที่ผมต้องการทุกอย่าง งานไม่เยอะ อาจารย์ที่ปรึกษาใจดี อยากวาดหรือทำอะไรก็เอา หมดภาคเรียนของานส่งแค่ชิ้นเดียวก็ผ่านแล้ว แถมผมยังมานั่งหลับได้อีก

         หรือจะพูดให้ถูก อาจต้องเรียกใหม่ว่ามานั่งเป็นแบบ (อย่างไร้สาระ) ให้พี่เอกวาดรูป แต่สารพัดเทคนิคของเขาไม่เอาอ่าวสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสีไม้ สีน้ำ สีโปสเตอร์ สีชอล์ค ดินสอ ถ่านชาร์โคลและเกรยองที่อาจารย์เคยเอามาให้ลองเล่นครั้งหนึ่ง หรืออุปกรณ์อะไรก็ตามที่เรามีในห้องชมรม แต่ก็นั่นละ จะเอาอะไรกับเด็กประถม แถมผมยังไม่เคยทำตัวเป็นแบบวาดรูปที่ดีสักครั้ง โดนบังคับให้นั่งนิ่งนาน ๆ ก็หลับเกือบตลอด เพื่อจะตื่นมาพบเส้นสายขยุกขยุยอะไรไม่รู้ในสมุดวาดภาพของเขา กากสิ้นดี ไม่ใช่แค่ไม่เหมือนตัวจริง แต่มันดู..ไม่เหมือนคนเลยด้วยซ้ำ ผมโวยวายในครั้งแรก ๆ  เขามักจะตอบกลับด้วยการยิ้มละมุน โบกมือไปมาว่าอย่าใส่ใจนัก เอาไว้จะวาดให้ดีขึ้น ก่อนจะชวนกันกลับบ้าน ผมโวยจนเบื่อ..จนเลิกไปเอง จนเมื่อตระหนักได้ในที่สุดว่ามันเป็นหน้าที่ซึ่งสบายมากทีเดียว


         เขาสารภาพในอีกสองสามปีให้หลัง ว่าที่ให้เป็นแบบนั้นก็แค่ข้ออ้างหนึ่งของเขา..สำหรับจุดประสงค์อย่างอื่นที่ลึกซึ้งกว่าเท่านั้นเอง


         บ้านเราอยู่ค่อนข้างใกล้กัน หากประมาณเป็นระยะทางก็ถัดออกไปแค่ราวห้าสิบเมตร น่าแปลกที่ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยรู้มาก่อน อาจจะเป็นเพราะไม่ได้สนใจ มาถึงบางอ้อหลังกลับบ้านด้วยกันครั้งแรก ขี่จักรยานตามหลังกันมา มีกระดานวาดรูปซึ่งเขายืมจากโรงเรียนมาทำเป็นเท่อวดชาวบ้านอยู่บนที่นั่งด้านหลัง ผูกไว้ด้วยสายรัดรวมกับกระเป๋าหนังสือแบน ๆ ของเขา (บางทีก็ของผมด้วย อ้างว่ายึดไว้เป็นตัวประกันจนกว่าจะถึงบ้าน) ปั่นเลยจากบ้านตัวเองมาจนถึงบ้านผม โบกมือตบหัวพอเป็นพิธี จากนั้นก็ย้อนกลับไปทางเดิมอีกราวห้าสิบเมตร

         ตอนแรกเราก็กลับบ้านพร้อมกันเฉพาะวันอังคารที่มีคาบชมรม เวลาทำอะไรที่ต้องใช้อุปกรณ์เป็นคู่เนื่องจากมีจำกัด ตัวผมที่คงไม่ได้มีจิตใจละเอียดอ่อนพอจะนั่งทำงานศิลปะได้นาน ๆ ก็มักจับพลัดจับผลูมาคู่กับพี่เอกเสมอ เขาอยากวาดอะไรก็วาด อยากทำอะไรก็ทำ ผมแค่มาพักผ่อนก่อนกลับไปช่วยงานที่บ้านเท่านั้นเอง จนหมดคาบก็เก็บข้าวของ บ้านใกล้กัน เดินทางด้วยจักรยานเหมือนกัน กลับพร้อมกัน ทุกอย่างลงตัวของมันพอดี ไม่มีอะไรต้องคิดหาเหตุผลมากมาย เป็นธรรมชาติจนผมไม่ทันเอะใจ เวลาผ่านไปก็ไม่ใช่แค่วันอังคาร แต่เป็นเกือบทุกวัน...กระทั่งกลายมาเป็นทุกวันหลังเลิกเรียน พร้อมกับที่เขาจูงจักรยานมารอผมหน้าบ้านในทุกเช้า ทักทายป๊ากับม้าและน้องสาวทั้งสองเมื่อได้เจอ

         คงเป็นเพราะอย่างนั้น ที่ทำให้ผมคุ้นเคยกับการมีอยู่ของเขาโดยไม่รู้ตัว ราวกับว่าผมจะไปโรงเรียนไม่ได้หากไม่มีเขาจอดจักรยานรออยู่หน้าบ้าน ทักทายทุกเช้าว่า “ไอ้ตี๋ ๆ เมื่อคืนได้ดูบอลปะ” “ไอ้ตี๋ ทำไมตาตี่จังวะ...แล้วนั่น..สีน้ำตาลหรือ มาดูใกล้ ๆ ดิ๊ เฮ่ย สีสวยว่ะ” ไม่ก็ “ไอ้ตี๋ เมื่อคืนพี่ฝันถึงเราด้วย แทงหวยดีไหม” หรืออะไรเรื่อยเปื่อยที่เขาจะสรรหามาชวนคุย และดูเหมือนผมจะกลับบ้านไม่ได้เช่นกัน ถ้าไม่เห็นเขามาเดินป้วนเปี้ยนอยู่แถวลานจอดจักรยาน โบกมือทักทาย แล้วแย่งกระเป๋าผมไปเป็นตัวประกัน ก่อนจะโยนกระเป๋าเขาเองมาให้เป็นการแลกเปลี่ยนในบางครั้ง

         มิตรภาพระหว่างเราดำเนินไปอย่างเรียบง่าย แตกต่างกันด้วยวัยที่ห่างกันสองปี แต่เราคุยกันเหมือนเป็นเพื่อน วิ่งไล่เตะ กอดคอ กระแทกไหล่ จี้เอว กระโจนใส่ มีเล่นแรงจนเกือบต่อยกันจริง ๆ อยู่ครั้งสองครั้ง ลงไปกลิ้งอยู่บนพื้นห้องชมรม จบลงด้วยการที่ผมเงื้อกำปั้น เขานอนแผ่บนพื้น สองมือยกขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้ พึมพำว่าขอโทษพร้อมรอยยิ้มละมุน บอกให้รู้ว่าเขาไม่ได้เอาจริงแต่แรก เรากลับมากอดคอกันอีกครั้ง และเรื่องสงบลงก่อนอาจารย์ที่ปรึกษาจะเข้ามาเห็น

         เพื่อนนักเรียนหญิงเริ่มสังเกตเห็นว่าผมสนิทกับพี่เอก (ผมไม่รู้ตอนนั้นจะเรียกว่าสนิทได้ไหม..แต่ดูเหมือนเขาจะมาปรากฏตัวอยู่ทุกหนแห่งที่ผมไป) หลายคนฝากผมส่งจดหมายรักให้เขา บางคนขอเบอร์โทรศัพท์ที่บ้าน มีกระทั่งมาถามหาข้อมูลว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร ซึ่งผมไม่รู้ เขาดูชอบไปหมดทุกอย่าง ใจเย็น ไม่เคยหงุดหงิดให้เห็นสักครั้ง ผมบอกไปตามตรง และพวกเธอก็ดูจะเข้าใจ การไหว้วานจากเพื่อนนักเรียนหญิงไม่รบกวนผมมากนัก (แต่ดูเหมือนจะรบกวนพี่เอกมากกว่า) จนกระทั่งวาเลนไทน์วนมาถึง

         โรงเรียนประถมก็อย่างนี้เอง ประถมต้นนักเรียนชายบางคนยังไล่เปิดกระโปรงเพื่อนผู้หญิง ล้อชื่อพ่อแม่ (‘สุชัย เดือนเพ็ญ’ ผมโดนแพคเกจนี้ประจำ) มีความรักกิ๊วก๊าวตามประสาเด็ก ๆ  โดยเฉพาะพวกวัยรุ่นขึ้นมาหน่อยอย่างนักเรียนประถมปลาย วาเลนไทน์จัดเป็นเทศกาลแห่งความสุขสำหรับพวกเราที่เฮฮามันทุกอย่าง มีสติ๊กเกอร์รูปหัวใจไว้ไล่แปะเสื้อเพื่อนฝูงหรือรุ่นพี่รุ่นน้องที่แอบชอบ ลามไปแปะอาจารย์หลายท่าน พวกที่ฐานะทางบ้านดีขึ้นมาหน่อยก็มีช็อคโกแลตและลูกอมมาแจกจ่าย ผมได้ฟรีมาบ้างเหมือนกัน แต่ส่วนมากจะเป็นถูกฝากเอาไปให้พี่เอกมากกว่า ยิ่งเป็นรุ่นพี่ประถมหกก็เหมือนจะยิ่งป๊อป เป็นทางเลือกพิเศษสำหรับเด็กผู้หญิงบางคนที่ไม่กล้าเอาไปให้เขากับตัว

         ผมพยักหน้ารับของอีกคน ก่อนนี้พยายามปฏิเสธจะรับฝากจากสองสามคนแรก แต่หลังจากนั้นก็จนใจ สุดท้ายจึงรับมาทั้งหมด รวมแล้วน่าจะเกือบสิบชิ้นได้ ที่เหลือ (หากยังมีอีก) พวกเธอคงมีความกล้าพอจะเอาไปให้กับตัว ไม่ก็ฝากคนอื่นไปแล้ว

         เย็นวันนั้นผมเป็นฝ่ายนั่งรอเขาที่ลานจอดรถ เอาขนมและสติกเกอร์รูปหัวใจทั้งหมดแขวนไว้กับแฮนด์จักรยานของเขา นั่งมองมันอยู่ครู่ใหญ่ ลมหนาวโชยอ่อนและแดดที่ไม่ค่อยมีนักในวันนี้ทำให้ดูเหมือนว่าเป็นเวลาเย็นกว่าปกติ หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะผมนั่งรออยู่ตรงนั้นจนมันเย็นมากแล้วจริง ๆ  จักรยานคันอื่นหายเกลี้ยง ผมเกือบหนีกลับบ้านก่อนแล้ว หากไม่หันไปเห็นพี่เอกที่วิ่งตึงตังเข้ามาใกล้

          “ไอ้ตี๋! ขอโทษ”

         ผมมองเขายืนหอบอยู่ตรงหน้า ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาขอโทษเรื่องอะไร แต่ก็ไม่ได้ถาม

          “พอดีมีอะไรต้องจัดการนิดหน่อยเลยช้า”

         ผมพยักหน้าเงียบ ๆ หันไปไขโซ่คล้องจักรยานตัวเองแล้วยกขานั่งคร่อมอาน

          “รอพี่นานหรือเปล่า”

          “ผมไม่ได้รอ”

          “แล้วนั่งทำอะไรจนป่านนี้”

         ผมมองหน้าพี่เอก มองช็อคโกแลตและซองจดหมายสีหวานในถุงที่ผมเพิ่งเอาไปแขวนไว้กับแฮนด์จักรยานอีกฝ่าย จากนั้นก็มองหน้าเขาอีกครั้ง และยังนึกไม่ออกเหมือนกันว่าตกลงผมนั่งจ๋องทำอะไรจนป่านนี้

         เขามองตามสายตาผม ไปหยุดอยู่กับของในถุง “พวกนั้นอะไร”

          “มีคนฝากให้พี่”

          “ใคร?”

          “จำไม่ได้หรอก” ผมยักไหล่ “เยอะเกิน”

          “ในนั้นมีของเราบ้างหรือเปล่า?”

         ผมส่ายหน้า เขาถามอะไรแปลก ๆ ผมเองในชั้นประถมสี่อาจเด็กเกินไปที่จะเข้าใจ

          “ขอบ้าง” เขายังพูดต่อ “ของนาย..มีไหม อะไรก็ได้”

         ผมขมวดคิ้ว ลองค้นดูในกระเป๋ากางเกง เจอลูกอมรูปหัวใจเม็ดหนึ่งซึ่งได้มาจากคุณครูฝึกสอนที่เอามาแจกเด็กนักเรียนทั้งห้อง มองมันอยู่หนึ่งอึดใจก็ส่งให้เขา “มีแต่ไอ้นี่ กินไหม?”

         พี่เอกยิ้ม ผงกศีรษะอย่างกระตือรือร้น ทำท่าดีใจจนออกนอกหน้ากับแค่ลูกอมเม็ดเดียว รีบรับมันไปจากมือผมแล้วเก็บใส่กระเป๋าเสื้อ ก่อนจะหยิบถุงที่ผมเอาของซึ่งรับฝากมาใส่รวม ๆ กันไว้ออกจากแฮนด์รถ ผูกปากถุงจนแน่น มองมันเพียงแวบหนึ่ง จากนั้นก็โยนลงถังขยะใกล้ ๆ ไม่ใยดี 

         ผมตกใจแทนเพื่อนผู้หญิงที่ฝากมา พยายามถามเหตุผลเขาอยู่สองสามครั้ง ได้รับคำตอบไม่ตรงประเด็นทำนองว่าไม่ชอบกิน ขี้เกียจอ่านจดหมาย หรืออะไรทำนองนั้นจนผมล้มเลิกความพยายามไปเอง

          “กลับบ้านกัน” เขาว่า ดึงกระเป๋าหนังสือผมไปจากมือ โยนกระเป๋าของตัวเองมาให้แทน แล้วเราก็ปั่นจักรยานกลับท่ามกลางอากาศซึ่งเริ่มเย็นลง


         ผมจำได้ เย็นวันนั้นพี่เอกดูจะอารมณ์ดีจนถึงกับฮัมเพลงไปเกือบตลอดทาง ก่อนแยกกันยังแปะสติ๊กเกอร์รูปหัวใจบนอกเสื้อผมที่หน้าบ้าน ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่นานกว่าจะยอมกลับบ้านตัวเอง



มีต่อรีพลายถัดไปค่ะ
v
v
v
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-09-2013 00:15:13 โดย RAINYDAY »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ RAINYDAY

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1247/-5
    • FB page
ยกที่ 49.5 - Till the spring comes (ต่อ)



         พี่เอกเคยมาค้างบ้านผมอยู่บ้าง ครั้งแรกที่มาก็เป็นช่วงปลายภาคเรียนที่สอง เขาใกล้เรียนจบชั้นประถมเต็มที ผมจำวันนั้นได้แม่นยำ ชัดเจนมาจนถึงตอนนี้ซึ่งเป็นนักศึกษาปีหนึ่งเข้าไปแล้ว

         บ้านหลังเดิมของผมนั้นมีสองห้องนอน ห้องหนึ่งเป็นของป๊ากับม้า ส่วนอีกห้องมีสองประตู จึงสามารถใช้ตู้กั้นเพื่อแบ่งเป็นสองส่วนที่แยกขาดจากกัน ฟากหนึ่งผมนอนคนเดียว ส่วนอีกฟากน้องสาวสองคนใช้ด้วยกัน สิสิรแยกห้องนอนกับม้าได้เร็วกว่าเด็กหลายคนในวัยเดียวกัน อาจเป็นเพราะมีพี่สาวที่คอยช่วยดูแลมาตั้งแต่เด็ก พวกเราพี่น้องจัดการพื้นที่ใช้สอยได้ค่อนข้างดีทีเดียว

         ครั้งนั้นพี่เอกมาเล่นด้วยในวันหยุด ขออนุญาตที่บ้านแล้วว่าจะมาค้างบ้านผม ถือกระดานวาดรูปกับถ่านชาร์โคลที่จิ๊กจากชมรมศิลปะมาด้วย ไม่รู้ว่าหิ้วมาทำไมเหมือนกัน

         ครอบครัวผมต้อนรับเขาเป็นอย่างดี เขาสุภาพกับผู้ใหญ่ ใจดีกับน้องสาวของผม ทั้งยังเป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียง ป๊าและม้าเอ็นดูราวกับเป็นลูกอีกคนหนี่ง ป๊ายังร่ำ ๆ กับม้าว่าอยากได้ลูกชายเพิ่มสักคน

         หลังกินมื้อเย็นเสร็จ เรานั่งรวมหน้าโทรทัศน์อยู่ครู่หนึ่ง ยังไม่ทันค่ำมืดมากก็แยกย้าย ม้าไปทำขนมต่อ วัสสานะเดินตามไปช่วย สิสิรน้องสาวคนเล็กนั่งเล่นอยู่ไม่ไกล ส่วนป๊าไปงีบก่อน เพราะเดี๋ยวต้องตื่นไปขับรถรับส่งผักตอนกลางดึก

         ผมเดินตามม้าไปหลังบ้านเพื่อช่วยทำขนมด้วยอีกแรง นั่งลงตรงหน้าตะกร้าใบใหญ่ซึ่งมีกล้วยอยู่เต็ม คว้ามีดแล้วเริ่มลงมือปอกกล้วยดิบ พี่เอกเดินเข้ามาด้อม ๆ มอง ๆ จะช่วย แต่ดูเหมือนว่าทำอะไรไม่ค่อยได้นัก ม้าเลยให้ไปนั่งเล่นกับน้องสาวคนเล็ก หัวเราะระรื่นกับหน้าจ๋อย ๆ ของเขา

         เราทำงานไปคุยเรื่องสัพเพเหระไปจนเวลาพ้นผ่านราวสองสามชั่วโมง สิสิรเล่นจนง่วง วัสสานะจูงมือเธอไปอาบน้ำแล้วส่งเข้านอน พี่เอกหยิบกระดานวาดรูปขึ้นมา ฉีกกระดาษจากสมุดวางทาบลงไปแล้วหนีบไว้ด้วยคลิป จากนั้นก็นั่งขีดเขียนอะไรบางอย่างหยุกหยิก ถ่านชาร์โคลเปื้อนมือเป็นรอยด่างดำ เพิ่งเห็นว่าลามมาถึงตามใบหน้าเขาด้วยเมื่อผมเงยขึ้นจากกะละมังใส่กล้วยที่ปอกเสร็จแล้ว

          “พี่เล่นอะไรน่ะ”

          “วาดรูปนอกสถานที่ไง”

         ม้าฟังแล้วหัวเราะ พี่เอกหัวเราะตาม ผมซึ่งเป็นคนเดียวที่หัวเราะไม่ค่อยออกเลยต้องส่งเสียงขำอย่างแกน ๆ ตามน้ำไปด้วย

          “วันนี้พอก่อนก็ได้” เธอออกปาก “พาพี่เอกไปอาบน้ำนอนไป เดี๋ยวที่เหลือม้าจัดการเอง”

          “เอางั้นเหรอ”

          “เรายังไม่ค่อยคล่อง อยู่ก็ไม่ได้ช่วยเท่าไรแล้ว ไปพักไปตี๋” ม้าโบกมือไล่ “เอากระจกให้ตาเอกดูด้วย”

         เขาทำหน้าเหรอหรา หันไปบอกลาม้าแล้วหิ้วกระดานวาดรูปเดินตามผมมาที่ห้องน้ำบนชั้นสอง

          “เอ้า ดูหนังหน้าตัวเองแล้วล้างซะ เอากระดานนั่นฝากผมไว้ก่อน”

          “โห..” เขาลากเสียงยาวเหยียดเมื่อเห็นเงาสะท้อนในกระจก เอามือถูแก้มตัวเองไปมา แต่ยิ่งละเลงก็ยิ่งเปื้อน จนผมบอกให้หยุดเสียทีแล้วไปอาบน้ำรวดเดียวเลย เขาก็หันมายิ้มกริ่ม ชูมือเปื้อนผงถ่านโบกไปมาตรงหน้าผม พูดเสียงยานคางอย่างน่าหมั่นไส้ “ตี๋น้อยเป็นห่วงพี่หรือครับ”

          “เชี่ย” ผมกระซิบ ระวังไม่ให้เสียงดังจนเกินไปนัก “เอามือออกไปห่าง ๆ หน้าผ—”

         พูดไม่ทันขาดคำ..พี่เอกป้ายผงถ่านมาเต็มแก้มผมเลยทีเดียว ดูจากสีหน้าชอบอกชอบใจของเขาแล้ว ท่าทางคงติดมาเยอะเอาการทีเดียว ผมอ้าปากพะงาบเตรียมจะโวยวาย แต่คิดแล้วกลับถอดใจกะทันหัน โคลงศีรษะก่อนเดินนำเข้าห้อง เตรียมตัวอาบน้ำพักผ่อนดีกว่ามาเล่นอะไรที่มีแนวโน้มจะส่งเสียงดังให้น้องเล็กตื่น

         คืนนั้นผมให้เขาไปอาบน้ำก่อนเพราะถือว่าเป็นแขก แถมหน้าตายังมอมแมมมากกว่า ระหว่างรอห้องน้ำก็พิจารณารูปวาดกระดำกระด่างของเขาไปด้วย ครั้งนี้มันดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้าง ผมเดาว่าเป็นรูปตัวเองจากทรงผมและหางตาที่ชี้ขึ้น นอกนั้นแทบไม่มีอะไรระบุตัวตนได้เลย ชมรมศิลปะไม่เห็นช่วยให้ฝีมือเขาดีขึ้นมาสักนิด แต่จะว่าเขามากก็ไม่ได้ ผมเองก็ห่วยทางนี้เหมือนกัน เลือกเข้าเพราะเหตุผลอื่นที่ไม่ใช่งานศิลปะทั้งนั้น


         กว่าจะอาบน้ำเสร็จก็ดึกแล้ว เรานั่งเล่นเขี่ยไพ่กันอยู่พักหนึ่งทั้งผมเผ้าเปียก ๆ  ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นผลัดกันเล่นเกมนินเทนโด พร้อมกับเปิดวิทยุใส่ถ่านอันจิ๋วที่เขาเอามาจากบ้านไปด้วย ระวังไม่ให้เสียงดังเกินจนรบกวนน้องสาวหลังตู้ไม้ซึ่งแบ่งห้องนี้เป็นสองฝั่ง เราพูดคุยเรื่องเรื่อยเปื่อยเท่าที่จะนึกออก เรื่องเพื่อน เรื่องผีที่ที่โรงเรียน ครอบครัว นินทาคุณครู จนกระทั่งผลัดกันหาว ตกลงกันว่าปิดไฟนอนดีกว่า

         พี่เอกปีนขึ้นมานอนบนเตียงเดียวกับผม ตอนแรกเขาจะนอนที่พื้น แต่ดูแล้วบนเตียงก็มีที่ว่างสำหรับเด็กประถมสองคนโดยไม่ต้องเบียดมากนัก เลยชวนขึ้นมานอนด้วยกัน


         ทั้งที่ก่อนหน้านี้หาวกันหวอด แต่พอปิดไฟตั้งท่าจะนอนเข้าจริง ๆ  ผมกลับนอนไม่หลับ มีเรื่องอะไรลอยเต็มหัวไปหมด


          “พี่เอก”

         คืนนั้นผมเป็นฝ่ายกระซิบขึ้นมาก่อน เตะหน้าแข้งเขาอย่างไม่สนใจว่าเจ้าตัวจะหลับแล้วหรือยัง

          “หืม?”

          “ไอ้รูปกาก ๆ นั่นน่ะ พี่วาดผมหรือ?”

         เขาขยับตัวหยุกหยิก เตะหน้าแข้งผมคืน พร้อมกับตอบมาคำเดียวว่า “อือ”

          “ห่วยว่ะ”

          “นั่นดีขึ้นกว่าที่วาดในชมรมตั้งเยอะ”

          “ทำไมวาดตาผมมีข้างละขีดเอง” ผมท้วง “หูก็กางด้วย”

         เขาหัวเราะ พลิกตัวตะแคงเข้าหาผม “ก็มันเป็นภาพเหมือน ถามอย่างกับบ้านไม่มีกระจก”

         ผมเอาศอกถองเบา ๆ บนอกเขา “ทำไมจะไม่มีวะ ยังให้พี่ใช้ส่องหน้าเน่า ๆ ก่อนอาบน้ำอยู่เลย”

          “หน้าใครเน่า” พี่เอกขยับเข้ามาใกล้ สายตาผมใช้เวลาอีกครู่หนึ่งในการปรับให้ชินกับความมืดจึงมองเห็นรอยยิ้มบนริมฝีปากเขาขณะที่พูดต่อ “อย่างงี้เรียกหล่อ”

          “ชมตัวเองอะ”

          “ไม่เชื่อเดี๋ยวให้ดูใกล้ ๆ”

         เขายื่นหน้าเข้ามาอีก ผมจนมุมอยู่กับกำแพงจึงไม่ได้ขยับหนี นึกว่าเขาจะหยุดอยู่ตรงจุดใดจุดหนึ่ง แต่แล้วใบหน้ากลับเลื่อนเข้ามาชิด...กระทั่งลมหายใจเขารดลงบนจมูกผม


         และริมฝีปากแตะแผ่วเบาบนแก้ม


         เรานอนนิ่งกันอีกครู่ใหญ่ ผมทำตัวไม่ถูก ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่ามือไม้จะเอาไปวางไว้ตรงไหนทั้งที่ตำแหน่งเดิมของมันก็ดีอยู่แล้ว พี่เอกถอนใบหน้าออกไป แต่ผมยังนิ่งงันอยู่ท่าเดิม พร้อมกับที่ใจเต้นโครมครามอย่างไม่น่าเชื่อโดยไม่ได้ไปออกแรงทำอะไร เพิ่งเคยรู้สึกแบบนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต

          “นี่..ไอ้ตี๋” เขากระซิบท่ามกลางความเงียบ เสียงแหบแห้งกว่าปกติ

          “....”

          “เคยจูบไหม?”

         ผมจ้องเขาไม่วางตา จากนั้นก็ส่ายหน้าช้า ๆ  “..พี่ล่ะ?”

          “ไม่เคย” เขาคลี่ยิ้มภายใต้แสงสลัว ขยับตัวเข้ามาใกล้อีกหน่อย ต้อนผมจนต้องนอนตะแคง แผ่นหลังแนบชิดไปกับกำแพงแล้วจนมุมอยู่อย่างนั้น “อยากลองดูไหม?”

          “ไม่เอาอะ”

          “ทำไมล่ะ”

         ผมมองซ้ายขวาราวกับกลัวใครจะมาได้ยิน ยกมือขึ้นป้องปากพร้อมกับพูดเสียงเบาโหวง “มันต้องทำกับผู้หญิงไม่ใช่หรือ”

          “..เมื่อตอนวาเลนไทน์ จำได้ไหมที่พี่กลับมาช้า เพราะว่ามีผู้หญิงอีกห้องมาบอกว่าชอบพี่ละ” อยู่ ๆ เขาก็ยกเรื่องที่ผ่านไปแล้วขึ้นมาพูดไม่มีปี่มีขลุ่ย “แล้วเขาก็ถามว่าจูบกันไหม”

         มือผมยกขึ้นกุมอกเสื้อโดยไม่รู้ตัว ใจสั่นหวิวเหมือนจะร่วงลงจากอก แต่ก็อยากฟังต่อว่าเกิดอะไรขึ้น จ้องหน้าเขาเป๋งในความมืดสลัวด้วยความอยากรู้อยากเห็น “..ละ..แล้วยังไง”

          “ก็ตั้งใจจะลองดู แต่ว่า..”

          “แต่ว่า..?”

         เขามองหน้าผมซึ่งนอนทวนคำอย่างสงสัยใคร่รู้ จากนั้นก็หัวเราะเบา ๆ ยกมือขึ้นลูบข้างแก้มผม ทั้งจักจี้แล้วก็ร้อนวาบแปลก ๆ ตรงที่มือเขาสัมผัส

          “ทำไม่ได้น่ะ”

          “ทำไมล่ะ”

          “ไม่ได้รัก”

          “หือ?”

          “ตามนั้นแหละ” พี่เอกโบกมือไปมาในอากาศ เหมือนเป็นเชิงบอกว่าอย่าใส่ใจเรื่องนั้นเลย จากนั้นก็หันกลับไปนอนหงายในที่เดิมของตัวเอง ไม่พูดไม่จาอะไรต่อสักคำ

         พวกเราเงียบกันไปอีกครู่ใหญ่ แต่ผมนอนไม่หลับ นับแกะก็ไม่ช่วย นับไปประเดี๋ยวก็ลืมว่าถึงตัวที่เท่าไรแล้ว ตาค้างแต่ไม่มีสมาธิ ตั้งแต่ตอนที่เขาเอาปากมาแนบแก้มผม สุดท้ายผมก็เรียกเขาอีกครั้ง เอาเท้าเตะหน้าแข้งเหมือนเดิม

          “..พี่เอก”

          “...”

          “หลับแล้วหรือ”

          “ยัง”

          “ผมนอนไม่หลับอะ”

         เขาเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยื่นข้อเสนอ “เล่านิทานให้ฟังเอาไหม?”

         ผมขยับตัว ดึงผ้าห่มที่ร่นลงไปให้คลุมขึ้นมาถึงคาง หันหน้าไปหาเขาที่ยังนอนหงาย สายตาจับจ้องอยู่บนเพดาน “เล่าได้ด้วยหรือ”

          “พอได้”

          “เอาสิ”

          “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว..”

          “ไม่ค่อยได้ยินเลย”

         เขาหันมามองผม กวักมือพร้อมกับระบายยิ้มน้อย ๆ “ขยับมานอนใกล้ ๆ  เล่าเสียงดังเดี๋ยวน้องตื่น”

         ผมกระเถิบตัวเองตามไปอย่างว่าง่าย และเขาขยับเข้าหาเหมือนพบกันครึ่งทาง เรานอนเบียดกันอยู่ตรงกลางเตียง ใช้ผ้าห่มผืนเดียวกันคลุมขึ้นมาถึงลำคอ พี่เอกเอนศีรษะเข้ามาหา คว้ามือผมไปวางบนอกเขาแล้วกุมไว้หลวม ๆ เริ่มต้นประโยคเดิมซ้ำอีกครั้ง

          “..กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเจ้าชายองค์หนึ่งอาศัยอยู่ในปราสาท เขาเอาแต่เที่ยวเล่นไปเรื่อย ไม่ค่อยสนใจคนอื่นนัก พอโตขึ้น เพื่อนของเจ้าชายก็มีแฟน..เอ้ย..อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงคนอื่นไปทีละคนสองคน สุดท้ายก็เหลือเจ้าชายคนเดียวที่ไม่ยอมหาแฟน..อืม..หมายถึงหาผู้หญิงที่รู้ใจมาแต่งงาน”

          “มันฟังดูแปลก ๆ ไหม”

          “ธรรมดานี่” เขาตอบหน้าตายแล้วเล่าต่อ “..มีหญิงงามและเจ้าหญิงหลายองค์มาตกหลุมรักเจ้าชาย แต่เขากลับไม่รู้สึกรักใครเลยสักคน ต่อให้พวกเธอดีแค่ไหน หรือว่าหน้าตาสวยอย่างไร อันที่จริงแล้ว เขาชอบจะใช้ชีวิตอยู่กับรุ่นน้องคนหนึ่งที่เรียนด้วยกันมากกว่า”

          “เจ้าชายไม่ได้มีคนมาสอนให้ในวังหรอกหรือ”

          “แฮ่ม..บางทีก็อยากลองใช้ชีวิตสามัญชนดูบ้าง...เอาเถอะน่า มันเป็นแค่นิทาน”

          “..อ่า..”

          “ตอนแรกเขาแค่รู้สึกเอ็นดูรุ่นน้องผู้นั้น ก็เลยคอยเฝ้ามองอยู่ตลอด แต่ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกอยากอยู่ใกล้ ๆ ตลอดเวลา เขาเริ่มวาดรูป ปกติแล้วเจ้าชายชอบวาดรูปอยู่แล้วน่ะ” เขาแจกแจงอย่างผิดจังหวะ “..พอเผลอตัวทีไรก็วาดเด็กคนนั้นประจำ แต่เจ้าตัวกลับไม่เคยดูออก แถมยังชอบบอกว่าฝีมือห่วยอีก”

          “..ผมว่ามันแปลกจริง ๆ นะ”

         เขาเอานิ้วชี้แตะปากผม ส่งเสียง “ชู่วว..” แล้วก็เริ่มพร่ำนิทานที่ผมว่ามันพิลึกออกมาอย่างไม่ยอมแพ้

          “จนกระทั่งวันหนึ่ง มีเจ้าหญิงที่สวยมาก ๆ  เป็นที่หมายปองของเจ้าชายเมืองอื่น มาสารภาพว่าชอบเจ้าชาย เขาตัดสินใจว่าจะลองคบดูก็ได้ เผื่อว่าจะลืมเด็กที่เป็นรุ่นน้องคนนั้น แต่ตอนที่เขากำลังจะจูบเจ้าหญิง เพื่อที่เรื่องราวจะได้จบลงที่ ‘แล้วพวกเขาก็ครองรักกันอย่างมีความสุขตลอดไป’  เจ้าชายก็พบว่าตัวเองทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้รักเจ้าหญิง มีแต่ภาพรุ่นน้องที่เขาเฝ้ามองอยู่เต็มหัวไปหมด..”

         เขาหยุดไปครู่หนึ่ง เหมือนต้องการกระตุ้นให้ผมอยากรู้ แม้มันจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไรนัก พอเห็นผมไม่ว่าอะไรจึงได้เล่าต่อ

          “...ตอนนั้นเองเจ้าชายจึงได้รู้ว่าเขาหลงรักเด็กคนนั้นเข้าแล้ว...”

          “เป็นเจ้าชายก็ไปขอเด็กนั่นแต่งงานสิ เรื่องก็จะจบแบบพวกเขาครองรักอย่างมีความสุขตลอดไปเหมือนกัน”

          “นั่นสินะ..”

          “มีแค่นี้เองหรือ?” ผมหาว “ไม่เห็นสนุกเลย..น่าเบื่อชะมัด”

          “ยังหรอก”

          “แล้วไงต่อ”

          “รู้อะไรไหม...เด็กคนที่เจ้าชายหลงรักน่ะ..” พี่เอกหันกลับไปมองเพดาน มือยังกุมมือผมไว้เช่นเดิม กระซิบเบาหวิวยิ่งกว่าตอนแรก เบาจนต้องเงี่ยหูเข้าไปฟังใกล้กว่าเก่า

          “..เด็กคนนั้นเป็นเด็กผู้ชายละ”

          “หือ” ผมขมวดคิ้ว “เจ้าชายเป็นตุ๊ดหรือ”

         เขาเพียงแต่หัวเราะออกมาแผ่วเบา พึมพำว่า “ไม่รู้สิ”

          “นิทานบ้าอะไรของพี่วะ”

          “นายว่าเขาควรไปบอกรักกับเด็กคนนั้นไหม”

          “เจ้าชายที่เป็นตุ๊ดกับเด็กผู้ชายน่ะหรือ?” ผมหาวอีกครั้ง นิทานเขาน่าเบื่อจนตาปรือ ตอบไปส่ง ๆ แล้วมุดทั้งหน้าเข้าไปใต้ผ้าห่ม “บอก ๆ ไปเถอะ แล้วเขาก็แต่งงานกับเด็กนั่น ผู้ชายกับผู้ชายก็ได้เพราะเป็นนิทาน เรื่องจะได้จบอย่างมีความสุขไง”

          “เนอะ”

          “แล้วตกลงว่ามันจบยังไงนะ”

          “ช่างมันเถอะ”

          “...เอาไงก็เอา” ผมพยักหน้า ยกมือขึ้นขยี้ตา “ฝันดี พี่อย่านอนดิ้นนะ”

          “อือ”


          “....”


          “ไอ้ตี๋”


          “..หืม..”



          “พี่รักนาย”



มีต่อรีพลายถัดไปค่ะ
v
v
v
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-08-2013 01:31:44 โดย RAINYDAY »

ออฟไลน์ RAINYDAY

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1247/-5
    • FB page
ยกที่ 49.5 - Till the spring comes (ต่อ)



         มันคงเป็นหลังจากคืนนั้น ที่ผมได้ทบทวนกับตัวเอง ด้วยประสบการณ์และความเข้าใจระดับเด็กประถม ว่า ‘รัก’ ที่พี่เอกพูดถึงคืออะไร ผมในตอนนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่านิทานที่เขาเล่ามีความหมายแฝงอะไรบ้าง วัยเด็กนั้นหัวเราะง่าย โกรธง่าย ร้องไห้ง่าย ตกใจง่าย แต่ก็เหมือนว่าเราจะหลงลืมง่ายเช่นกัน อะไรที่ไม่เข้าใจก็ปล่อยมันไว้อย่างนั้นแล้วก็ลืมไปเสียสนิทเมื่อมีเรื่องราวใหม่ ๆ ซึ่งน่าสนุกกว่าเข้ามาแทนที่


         เช้าวันถัดมา ผมกับพี่เอกคุยกันเป็นปกติ เหมือนเรื่องคืนนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เขามาค้างบ้านผมอีกหลายครั้ง เอากระดานวาดรูปมาด้วยเกือบทุกครั้ง ถ้าฉุกละหุกก็มาแต่สมุดวาดรูป แต่สิ่งที่ใช้ขีดเขียนเปลี่ยนจากถ่านชาร์โคลเป็นดินสอ (เพราะถ่านที่คุณครูเอามาให้เล่นหมดไปแล้ว)

         รูปผมเองที่มีตาชั้นเดียวดูเป็นรูปเป็นร่างขึ้น เริ่มคล้ายชาวโลกทั่วไปที่ตาตี่และหูกางมากกว่าจะเป็นภาพสิ่งมีชีวิตจากต่างดาว กิจวัตรเราดำเนินไปเช่นเดิมทุกวัน วนเวียนเหมือนนาฬิกาทรายที่ไหลจนหมดแล้วก็ถูกคว่ำกลับไปกลับมา จนการสอบปลายภาคในภาคเรียนที่สองเสร็จสิ้นลงพร้อมกันทั้งโรงเรียน


         ผมจบชั้นประถมสี่ พี่เอกจบชั้นประถมหก



         และกำลังจะย้ายไปต่อที่โรงเรียนอื่น



         ผมเคยชินกับการมีตัวตนของเขาอยู่ข้างกาย พี่เอกเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผม ตอนเขาบอกว่าจะไปต่อมัธยมที่โรงเรียนอื่นในจังหวัด ผมใจหายวาบอย่างอธิบายไม่ได้ แต่แล้วก็คิดขึ้นได้ว่าบ้านเราอยู่ใกล้กันแค่นี้เอง อย่างไรเสียถ้าอยากเจอก็ได้เจอกันทุกวันอยู่แล้ว


         ปีถัดมา ผมขึ้นชั้นประถมห้า พี่เอกไม่อยู่แล้ว ผมปั่นจักรยานไปโรงเรียนและกลับบ้านคนเดียวเหมือนตอนแรกสุดก่อนสนิทกับเขา ทั้งที่ก็เคยทำอย่างนี้มาก่อน แต่พอมาเป็นแบบเดิมอีกครั้ง...ผมกลับรู้สึกเหงาจับใจ



         ส่วนเรื่องที่ป๊าบ่นว่าอยากได้ลูกชายอีกคนก็สมใจในปีนี้เอง


         นั่นเป็นเหตุผลที่เรามีกันสี่พี่น้อง ครอบครัวคนจีนชอบลูกชาย ตี๋เล็กซึ่งเพิ่งเกิดจึงเป็นที่รักของทุกคนในฐานะลูกชายหัวแก้วหัวแหวน  ในบรรดาพี่น้องเขาเป็นคนเดียวที่มีชื่อเล่น (ถึงแม้ว่าชื่อเล่นของเขาออกจะฟังดูแปลก ๆ  และวัสสานะก็ชอบเรียกเขาว่า ‘ครีม’ มากกว่า ‘คีม’) เพราะพี่อีกสามคน คือผมเองที่ชื่อวสันต์ ที่หมายถึงฤดูใบไม้ผลิ น้องสาวคนรองวัสสานะ และคนที่สาม สิสิร ป๊าไม่ได้ตั้งชื่อเล่นให้ ที่บ้านจะเรียกกันด้วยชื่อเต็ม หรือไม่ก็ ‘ตี๋’ ในกรณีของผม  ‘สา’ กับวัสสานะ และ ‘สิ’ กับสิสิระ 

         ป๊าเปิดพจนานุกรมดูความหมายของคำ และตั้งชื่อพวกเราตามชื่อฤดู (แน่นอนว่าไม่ตรงตามฤดูที่เกิดหรอก..มันเลือกไม่ได้เป๊ะ ๆ นี่) เราเป็นครอบครัวคนจีน แต่ป๊าอยากให้เรามีชื่อที่ฟังดูเป็นคนไทย นามสกุลก่อนหน้านี้ก็เปลี่ยนจากนำหน้าด้วย ‘แซ่’ มาตั้งใหม่ยาว ๆ เป็น ‘วานิชตระการกูล’  และครอบครัวเราก็กลายเป็นวานิชตระการกูลรุ่นแรก ซึ่งป๊าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีทายาทสืบทอดและมีชีวิตรุ่งเรืองต่อไป

         ผมจำได้ดีถึงวินาทีที่เห็นหน้าคีมครั้งแรก ท่ามกลางความลิงโลดของทุกคนในบ้านโดยเฉพาะป๊า ในที่สุดบ้านเราก็มีลูกชายคนที่สอง ก่อนม้าจะตกลงทำหมันหลังคลอดตามคำแนะนำของแพทย์ผู้ดูแล

         เขาหลับตาพริ้ม เปลือกตาเหมือนว่าจะเป็นชั้นเดียว (ซึ่งชัดเจนมากขึ้นว่าเป็นเช่นนั้นจริงเมื่อเขาโตขึ้นมา) ปากนิดจมูกหน่อย ผิวอ่อนนุ่มเป็นสีชมพูระเรื่อ ขยับแขนขาและบางครั้งก็อ้าปากคล้ายจะหาวอย่างน่ารัก ตัวผมในวัยสิบปีและน้องสาวที่อายุลดหลั่นกันไปยืนล้อมอยู่รอบเตียง นัยน์ตาพวกเราเป็นประกาย ป๊าพร่ำอย่างตื่นเต้นว่าตี๋น้อย ๆ  ม้าลูบเส้นผมอ่อน ๆ ของเขาแผ่วเบาและกอดไว้แนบอก

         เขาเกิดในฤดูฝน วันที่ท้องฟ้าครึ้มและมีฝนพรำ แต่ชื่อคิมหันต์ของเขาหมายถึงฤดูร้อน และผมคิดว่าเขาคงจะเติบโตขึ้นท่ามกลางความรัก เป็นเด็กที่สดใสราวกับฤดูร้อนเหมือนกับชื่อของเขาแน่นอน




         คิมหันต์ลืมตาขึ้นมาได้ไม่นาน ฐานะทางบ้านของเราก็ดีขึ้นตามลำดับจากการค้าขายที่ได้กำไรงาม บางครั้งก็ราวกับโชคช่วย ทั้งบ้านยิ่งรักและเอ็นดูเขา ผ่านไปอีกเกือบหนึ่งปี ตี๋เล็กเริ่มตั้งไข่ พร้อมกับที่ป๊าคิดว่าเราควรขยับขยายไปสู่บ้านที่ขนาดใหญ่ขึ้นตามกำลังทรัพย์ เด็ก ๆ จะได้อยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ดี และยังคิดถึงเรื่องวางแผนการลงทุนต่ออยู่เนือง ๆ  ครอบครัวเราจะได้ไม่ต้องลำบากอีก

         ครั้งแรกที่ผมรู้ว่าเราจะได้ย้ายไปอยู่บ้านหลังใหญ่ขึ้น ถึงกับเก็บอาการดีใจไว้ไม่มิด หลังจากเริงร่ากับน้อง ๆ เสร็จ ผมก็รีบแจ้นไปบ้านพี่เอกซึ่งตอนนั้นเรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่สอง พอเจอหน้าก็ตะโกนให้ลั่นว่าผมจะได้ย้ายไปอยู่บ้านหลังใหญ่ ๆ แล้วซ้ำไปซ้ำมา

         พี่เอกหัวเราะยินดีกับผม ตบหลังตบไหล่ไปด้วยขณะที่มองผมออกท่าทางครื้นเครง ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งกว่าผมจะสังเกตได้ว่าสายตาเขาดูไม่ยินดีเท่าคำพูดเลย

          “พี่เอก” ผมเดินวนรอบตัวเขา “พี่เป็นไรรึเปล่า”

          “เปล่านี่”

          “ทำหน้าแย่จังวะ”

          “เหรอ?”

          “ไม่ดีใจกับผมหรือ?”

          “ดีใจอยู่นี่ไง”

          “พี่ยิ้มด้วยดิ”

         แล้วเขาก็ยิ้มจริงอย่างผมบอก แต่เป็นยิ้มที่ทำให้ใจหายเหลือเกิน

          “..ต้องไปเมื่อไหร่หรือ?” เขาถาม

          “ป๊าบอกน่าจะอีกสองสามเดือนอะ”

          “เราอาจจะไม่ได้เจอกันบ่อย ๆ อีกแล้วนะ”

          “....”

          “นายดีใจหรือเปล่า”

          “พี่...” ผมกระซิบ ลืมเรื่องนั้นไปเสียสนิท จริงอย่างเขาว่า ตอนนี้เราเรียนกันคนละโรงเรียน ช่วงกลางวันของวันธรรมดาก็ไม่ได้เจอกันอยู่แล้ว อาศัยที่เห็นหน้ากันบ่อย ๆ  ไปมาหาสู่ได้เพราะบ้านอยู่ใกล้กันแค่นี้ แต่หากย้ายไปผมก็ไม่รู้ว่าไกลจากกันแค่ไหน แล้วจะได้มาเจอกันอีกหรือเปล่า

          “โทรไง โทรมา” ผมพยายามหาทางเลือก “โทรหากันได้ ถึงจะไม่บ่อยมากเพราะเดี๋ยวป๊าบ่น”

          “อือ”

          “แล้วก็...เดี๋ยวผมจะขึ้นมอหนึ่งแล้ว”

         เขาหันกลับมาจ้องผมเต็มตา มีแววคาดหวังปรากฏอยู่ในนั้นท่วมท้น และผมคิดว่าอาจพูดได้ตรงกับสิ่งที่เขาหวังบ้าง

          “...เดี๋ยวจะไปสอบเข้าโรงเรียนพี่”

          “จริงหรือ”

          “รอผมนะ..ช่วยรอก่อน”

          “....”

         ปีหน้าเราจะเรียนที่เดียวกันอีกครั้—”

         ผมยังพูดไม่ทันจบเลยด้วยซ้ำ ตอนที่เขาตรงเข้ามาสวมกอดผมไว้แน่น ซบหน้าลงบนไหล่ผมแล้วผ่อนลมหายใจยาวเหยียด มัวแต่ยืนอึ้งอยู่พักหนึ่งจึงได้ยกมือขึ้นกอดตอบ ไม่รู้สึกแย่หรือแปลกประหลาดอะไรที่ถูกผู้ชายด้วยกันกอดไว้แบบนี้ กระทั่งได้ยินเสียงวัสสานะดังขึ้นจากด้านหลัง

          “เฮีย! พี่เอก! พวกพี่เล่นอะไรกันน่ะ”

         พวกเราแยกออกจากกันโดยอัตโนมัติ ออกมายืนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ต่อหน้าน้องสาวที่ชะลอความเร็วจักรยานแล้วหักเลี้ยวเข้ามาจอดใกล้ ๆ  ส่งสายตาสงสัยมายังพวกผม

          “ดีใจกับไอ้ตี๋น่ะ” พี่เอกหัวเราะ ก่อนจะขยายความต่อ “เห็นว่าจะได้ย้ายไปบ้านใหม่ที่ใหญ่ขึ้นนี่นา”

          “อ๊ะ! ใช่เลย”

         วัสสานะยิ้มกว้าง กระโจนเข้าร่วมวงสนทนากับพวกผมเรื่องบ้านใหม่กันอีกยาว




         ช่วงปิดเทอมระหว่างภาคเรียน ตอนผมอยู่ชั้นประถมหก ไม่กี่วันก่อนครอบครัวของเราจะย้ายที่อยู่อาศัย พี่เอกชวนผมไปค้างบ้านเขา บอกว่าไม่ค่อยได้คุยเล่นกันทั้งวันนานแล้ว ป๊ากับม้าอนุญาตอย่างง่ายดาย บ้านเราเอ็นดูพี่เอกมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว

         สายวันเสาร์ ผมแบกเป้สะพายหลัง ปั่นจักรยานไปจอดอยู่หน้าบ้านเขา ทันทีที่ประตูรั้วเปิดออก หมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์สีทองก็เดินส่ายก้นออกมารับหน้าพร้อมกับกระดิกหางใส่อย่างคนคุ้นเคย

          “ไง โรลล์” ผมโบกมือทักทาย เจ้าโรลล์ตอบรับด้วยการเอาตัวเข้ามาถูไถ หมาพันธุ์นี้น่ารักจนถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะลองเลี้ยงดูบ้างสักตัว

          “ไง ไอ้ตี๋” พี่เอกโผล่มาหลังจากผลักรั้วปิดจนสุด ทักแบบเดียวกับที่ผมทักหมาของเขาเป๊ะ

          “อ่า..ก็ดี” ผมเหลียวซ้ายแลขวา เห็นรถที่จอดอยู่ประจำของบ้านเขาไม่อยู่ก็เอ่ยปากถาม “พ่อกับแม่พี่ล่ะ”

          “ช่วงนี้พ่อไปอบรมผู้บริหารอาทิตย์หนึ่งน่ะ น้องชายไปค้างบ้านเพื่อน ส่วนแม่วันนี้อยู่เวร เดี๋ยวเย็น ๆ ก็กลับ”

          “เป็นคุณครูต้องอยู่เวรด้วยหรือ?”

         เขายักไหล่ “ก็มีเวรเหมือนกันนะ”

          “อ้อ”

         สรุปทั้งบ้านตอนนี้มีแค่ผมกับเขาสองคนและหมาอีกหนึ่งตัว ซึ่งมันก็แปลกดีตรงที่ผมให้ความสำคัญกับประเด็นที่ไม่เห็นน่าจะต้องเอามาขบคิด ในเมื่อเราก็เหมือนเป็นพี่น้องที่สนิทกันเท่านั้นไม่ใช่หรือ อยู่กันตามลำพังไม่เห็นแปลก


         ทว่าความรู้สึกจากซอกเล็ก ๆ ในใจผมกลับพยายามกระซิบว่ามันอาจไม่ใช่แค่นั้น


          “กินอะไรมาหรือยัง”

         ผมพยักหน้า หิ้วกระเป๋าเดินตามเขาเข้าไปในบ้าน แม้รู้ดีว่าห้องนอนเขาอยู่ตรงไหน แต่ก็ปล่อยให้เขาเป็นฝ่ายเดินนำไปจนถึงที่หมาย ก่อนจะวางกระเป๋าลงบนเก้าอี้ใกล้ตัว

          “ดูหนังปะ”

          “เอาดิ”

         เราเดินกลับออกมาในห้องนั่งเล่น พูดคุยกันแบบถามคำตอบคำ ไม่เป็นธรรมชาตินัก ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะไม่ได้เจอกันบ่อย ๆ เหมือนแต่ก่อนหรืออย่างไร จึงรู้สึกราวกับมีพลาสติกใสบาง ๆ กั้นอยู่ตลอดเวลา บทสนทนาที่ลื่นไหลและเฮฮาเหมือนเดิมอย่างตอนที่เราเคยอยู่ชมรมศิลปะด้วยกันมันหายไปไหนหมดแล้ว

          “พี่เอก..”

         เขาชะงักมือที่กำลังจะวางแผ่นซีดีลงในเครื่องเล่น เหลือบมองมาทางผมนิดหน่อยแล้วก็หลบตา

          “โรงเรียนที่พี่อยู่ มีชมรมศิลปะไหม”

          “มี”

          “แล้วพี่...” ผมนั่งนิ่ง มองเขาผลักจานใส่แผ่นเข้าไปในเครื่อง แต่มันกลับขึ้นตัวหนังสือว่า ‘NO DISC’  บนหน้าจอมีแต่ความดำมืด มืดพอ ๆ กับความคิดเรื่องจะทำให้เรากลับไปคุยกันเหมือนเดิมของผมตอนนี้เลย “..พี่ยังเข้าชมรมศิลปะอยู่หรือเปล่า”

         เขาส่ายหน้า ไม่รู้ว่าเป็นการตอบคำถามผม หรือว่าเพื่อแสดงอาการหน่ายใจหลังจากลองใส่ซีดีแผ่นเดิมเข้าไปอีกสองครั้งและได้รับผลลัพธ์เหมือนเดิม สุดท้ายก็ยอมแพ้ เก็บมันเข้ากล่อง แล้วหันมามองหน้าผมเพื่อคุยต่ออย่างเป็นเรื่องเป็นราว

          “ความจริงก็ไม่ได้มีหัวศิลป์อะไรนักหรอก”

          “ผมนึกว่าพี่ชอบศิลปะเสียอีก”

          “ชอบวาด..” เขาพึมพำ ทรุดตัวลงนั่งข้างผมบนเก้าอี้ยาว “..แค่บางอย่างน่ะ”

          “อะไรหรือ” ผมถามไปโดยไม่ทันยั้งคิด แต่เรื่องความอยากรู้ที่ร่ำร้องอยู่ในตัวก็เป็นของจริงเช่นกัน รู้ตัวอีกที ปากก็ไปก่อนจะห้ามได้ทันเสียแล้ว

          “พี่วาดแค่ผม..อย่างนั้นหรือเปล่า?”

         พี่เอกมองหน้าผมนิ่ง นาน ปล่อยเข็มวินาทีหมุนวนจนเกือบครบรอบ กว่าจะพูดออกมาอีกครั้ง

          “นายยังจำวันที่พี่ไปค้างที่บ้านครั้งแรกได้ไหม?”

          “...ได้...”

          “ทุกอย่าง?”

         ระหว่างเราในตอนนั้นเป็นบรรยากาศแปลกประหลาดเหลือเกิน ผมใจเต้นแรง หน้าร้อน และเหงื่อก็ไหลซึมในฝ่ามือ ทั้งที่ปกติเคยสบตาเขาได้นาน ๆ ก็ทำไม่ได้อีกแล้ว ก้มหน้าก้มตาขณะที่ตอบไปตามความจริง แต่ยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งเบาลง ขณะที่หัวใจกลับเต้นแรงขึ้นทุกที

          “...จำได้...ทุกอย่าง...”

          “นิทานที่เล่าให้ฟังล่ะ?”

          “จำได้สิ..” ผมทำหน้าแหย “ไม่เคยมีใครเล่าได้ห่วยขนาดนั้นมาก่อน”

         ผมได้ยินเสียงพ่นลมหายใจเบา ๆ ก่อนเขาจะกลับไปพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังอีกครั้ง “ตอนจบของนิทาน..ยังอยากให้มันเป็นเหมือนที่นายบอกคืนนั้นไหม?”

          “..พี่เอก”

          “เจ้าชายควรบอกเด็กคนนั้นหรือเปล่า”

          “....”

          “บอกว่ารัก...รักเขามาตั้งนานแล้ว”

         ผมก้มหน้านิ่ง แก้มร้อนจนราวกับมันกำลังจะระเบิดออกมาให้ได้ บางทีที่เราคุยกับอย่างไม่เป็นปกติเหมือนเคย อาจไม่ใช่เพราะเกิดจากความคิดในทางลบต่อกันก็ได้ อะไรบางอย่างปะติดปะต่อกันในหัว เหมือนจิ๊กซอว์ซึ่งเริ่มเข้าที่เข้าทางในตำแหน่งที่ถูกต้องของมัน สองปีก่อนผมเป็นแค่เด็กที่ไม่ประสีประสานัก ลังเลว่าแต่ละชิ้นส่วนควรวางไว้ตรงไหน พอมันเริ่มจะเข้าที่ก็กลับรื้อออกเองเพราะคิดว่าต่อผิด

         แต่เมื่อได้เห็นหน้าเขาครั้งนี้ หลังจากที่เราไม่ได้พูดคุยยาว ๆ  ไม่ได้นั่งดูเขาวาดรูปมาเนิ่นนาน จนเกือบลืมไปแล้วถึงสายตาที่เคยได้รับ ความรู้สึกประหลาดยามเขามองมาที่ผมยิ่งนานวันก็ยิ่งชัดเจน พอหายไปพักใหญ่ มาเจออีกครั้งกลับกระตุ้นให้ความรู้สึกต่าง ๆ พากันพรั่งพรูออกมามากกว่าเดิม


          “นายคิดว่ายังไง?”


          “...บอกสิ...” เสียงผมสั่นราวกับคนจะร้องไห้


          “ตี๋...”


          “...บอกเขา...เด็กคนนั้นอาจอยากฟัง....”



          “....”



          “...ผม....อยากฟัง....”



         เขาเบิกตากว้าง ทำหน้าเหมือนทั้งอยากหัวเราะและร้องไห้ออกมาในเวลาเดียวกัน จากนั้นก็โผเข้ามาสวมกอดผมไว้แนบแน่น เนิ่นนาน แขนเขาสั่น และใจเขาก็เต้นแรงจนผมรู้สึกได้  ผมยกมือขึ้นกอดตอบ วางมือชุ่มเหงื่อของตัวเองบนแผ่นหลังเขา ซุกหน้าจมอยู่กับไหล่อีกฝ่าย ฟังเขาเอ่ยหนักแน่นว่าเขารักผม แบบเดียวกับที่เขาเคยได้พูดแล้วเมื่อสองปีก่อน แต่ผมแกล้งทำเป็นลืมมันไปเสีย


          “ตกลงว่ามันจบยังไงนะ?”  คราวนี้เขาเป็นฝ่ายเอ่ยสิ่งที่ผมเคยถามออกมาบ้าง “..ทั้งสองคนก็ครองรักกันอย่างมีความสุขตลอดไปหรือเปล่า”


          “..ผมไม่รู้..”


          “....”


          “...ผม...เล่านิทานไม่เก่ง...”


         ผมผละออกมากจากอ้อมกอดเล็กน้อยพอให้เงยขึ้นมองหน้าเขาได้ ต่อให้ต้องอายแทบแทรกแผ่นดินหนี แต่อย่างน้อยตอนพูดเรื่องอะไรอย่างนี้ผมก็อยากมองหน้าคนฟังให้ชัด..



          “...แต่ผมรักพี่นะ”




          “...ไอ้เด็กบ้า...”



         นั่นเป็นครั้งแรกที่เราจูบกัน



         จูบจริง..ไม่ใช่แค่เอาปากเขาแตะแก้มผมเหมือนครั้งก่อน มันหยุ่น ๆ หวาน ๆ ชวนให้หน้าร้อนวาบไปหมด ทั้งผมและเขาต่างอ่อนหัดด้วยกันทั้งคู่ แค่เอาปากแตะกันเบา ๆ แล้วแช่อยู่อย่างนั้นก็เหมือนจะตายให้ได้ ใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกมานอกอก แค่ครู่เดียวก็ทนไม่ไหวต้องถอยออกมานั่งปิดหน้าปิดตา จะพูดจากันแต่ละครั้งเต็มไปด้วยความเคอะเขินไปเกือบทั้งวัน



         เราลอบคบกันอย่างจริงจังนับตั้งแต่ตอนนั้น




         หลังจากย้ายบ้าน ผมได้เจอพี่เอกน้อยลง โทรศัพท์หากันบ้างด้วยเบอร์บ้าน ซึ่งก็ไม่บ่อยนักเพราะป๊าไม่ชอบให้คุยโทรศัพท์นาน แต่ก็ยังพยายามติดต่อกันเสมอทุกครั้งที่มีโอกาส

         ผมยังเรียนที่เก่า ขึ้นรถประจำไป อีกแค่ไม่กี่เดือนก็จะถึงกำหนดสอบเข้าของโรงเรียนที่พี่เอกอยู่ ผมใช้เวลาที่เหลืออยู่อย่างคุ้มค่าที่สุด ตั้งใจอ่านหนังสือทุกวัน สบายกว่าเก่าเมื่อม้าไม่ต้องทำขนมส่งขายเหมือนแต่ก่อนแล้ว บ้านเราฐานะดีขึ้น พร้อมกับที่ผมและน้อง ๆ ก็เติบโตขึ้นตามเวลา

         ผมสอบได้โรงเรียนที่ต้องการไม่ยากเย็นนัก อย่างไรก็เป็นโรงเรียนมัธยมในจังหวัด ไม่ใช่ว่าเข้ายากเย็นอะไรเหมือนโรงเรียนดังในกรุงเทพฯ แต่ป๊าก็ดูจะพอใจอยู่ไม่น้อย ป๊ามองมายังลูก ๆ อย่างเต็มไปด้วยความคาดหวังเสมอมา โดยเฉพาะกับลูกชาย และเพราะโตมาเช่นนั้น เพื่อนหลายคนที่เคยรู้จักจึงได้ลงความเห็นว่าบางมุมในคำพูดและความคิดผมดูเป็นผู้ใหญ่เกินไปหน่อย


         วันแรกของการไปโรงเรียน ผมเอาแต่นึกถึงว่าเจอหน้าพี่เอกแล้วจะพูดอะไรดี มีเรื่องอยากคุยกับเขาเยอะแยะไปหมด แต่พอเจอตัวจริง มองเห็นอยู่ไกล ๆ จากแถวเคารพธงชาติยามเช้า จนกระทั่งเขาหันมาสบตาเข้ากับผมพอดี ชูนิ้วโป้งมาให้พร้อมรอยยิ้มกว้าง และรีบตรงเข้ามาหาเมื่อแยกแถว ดึงแขนผมวิ่งไปที่ห้องน้ำชาย เมื่อเห็นว่าไม่มีใครก็กอดรัดเสียเต็มรัก ..ทั้งหมดทั้งมวลนั้น ผมพูดอะไรแทบไม่ออกสักคำ ในอกตื้นตันไปหมด ความดีใจที่รู้ว่าสอบเข้าติดแล้วเทียบไม่ได้เลยสักกระผีกกับความรู้สึกในตอนนี้


          “คิดถึง..โคตรคิดถึงเลย”


         ผมกอดรัดรอบเอวอีกฝ่ายแน่น ๆ ครั้งหนึ่ง บอกว่าคิดถึงเขามากเหมือนกันก่อนเราจะแยกย้าย อาลัยอาวรณ์จนมานึกถึงตอนนี้ก็ให้ตลกตัวเอง วันแรกของการเป็นนักเรียนมัธยมผมต้องวิ่งแทบตายเพื่อจะกลับไปห้องเรียนให้ทันก่อนเข้าคาบโฮมรูมครั้งแรก แล้วไหนจะความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะทำสีหน้าให้เป็นปกติอีก



         พอมานึกดู ตั้งแต่พบกันครั้งแรกจนกระทั่งถึงตอนนี้ ผมก็คบกับพี่เอกมาเกือบสิบปีได้แล้ว ยาวนานจนน่าตกใจ เริ่มจากความชอบโดยไม่ประสีประสาของเด็ก ๆ  จนโตมาอีกนิดเริ่มรู้จักความรู้สึกตัวเองมากขึ้น เข้าสู่ช่วงวัยรุ่นที่คึกคะนองและอยากลองสิ่งแปลกใหม่ หลายครั้งที่คิดว่ามันจะดำเนินไปถึงขั้นไหน สิ่งที่ผมเข้าใจว่าเป็นความรักซึ่งคงอยู่มายาวนานนี้เป็นของจริงหรือเปล่า อีกหน่อยเมื่อผมโตมากพอ ฮอร์โมนในร่างกายไม่ได้พลุ่งพล่านเหมือนวัยหนุ่ม ผมจะยังรักเขา และเขาจะยังรักผมอยู่หรือไม่

         แต่สุดท้ายแล้วเราก็ผ่านร้อนหนาวด้วยกันมา จนทุกวันนี้เขาเป็นนักศึกษาสถาปัตยกรรมศาสตร์ปีสาม ผมเป็นนักศึกษาทันตแพทย์ปีหนึ่ง แต่เราก็ยังรักกันดี ด้วยความรู้สึกซึ่งพอกพูนอยู่ในใจเงียบ ๆ ไม่ได้หวือหวาหรือรุ่มร้อนเหมือนเด็ก ๆ  อบอุ่นและพอใจในการมีอยู่ของกันและกัน ถึงแม้ไม่ได้เจอหน้าบ่อยนัก แต่ทุกครั้งที่เจอก็เก็บเกี่ยวช่วงเวลาเหล่านั้นไว้อย่างดีที่สุด คิดดูแล้วตอนตกลงคบกัน เขาเรียนชั้นมัธยมปีที่สอง ส่วนผมอยู่ประถมหก ยังเด็กมากแท้ ๆ  ไม่น่าเชื่อว่าประคับประคองกันมาได้จนป่านนี้ โดยที่คนในบ้านก็ไม่รู้ว่าเป็นการคบกันในความหมายที่ลึกซึ้งกว่าพี่น้องหรือเพื่อนสนิทมากนัก

         จะมีก็แต่วัสสานะที่มักแซวอยู่เสมอ เพราะเธอตามมาเรียนโรงเรียนมัธยมเดียวกับผมในปีถัดมาหลังจากผมสอบเข้าได้ น้องสาวคนรองเข้าใจว่าผมสนิทสนมกับพี่เอกมาก จึงได้ชอบล้อเลียนเอาสนุกบ่อยครั้ง แต่เธอก็คงไม่คิดว่าจะมากถึงขั้นนี้


         ผมรื้อถุงกระดาษใบใหญ่ซึ่งซุกไว้ด้านในสุดของลิ้นชักในตู้เสื้อผ้าขึ้นมาดู ข้างในมีแฟ้มใหญ่อีกชั้น หยิบออกมาวางก็เห็นกระดาษวาดเขียนเก่า ๆ จนกลายเป็นสีเหลือง บางแผ่นเปรอะเปื้อนเลือนรางไปหมดเพราะถูกวาดขึ้นด้วยถ่านชาร์โคลและไม่ได้พ่นน้ำยาเคลือบภาพอย่างเหมาะสม สีน้ำในหลายรูปซีดจาง ส่วนที่เป็นลายเส้นสเก็ตช์ด้วยดินสอค่อนข้างเลอะเทอะ จากเดิมที่รูปวาดเหล่านั้นก็เหมือนมนุษย์ต่างดาวตาตี่หูกางอยู่แล้วเลยยิ่งดูไม่เหมือนคนปกติเข้าไปใหญ่ แต่ทั้งหมดนั่นก็เป็นรูปตัวผมที่เขาเป็นคนวาดมันขึ้นมา หากเอามาเรียงกันแล้วจะเห็นพัฒนาการชัดเจน รูปถัด ๆ มาตอนช่วงมัธยมดูเหมือนตัวจริงมากขึ้น โดยเฉพาะภาพวาดจากสมัยมัธยมปลาย บางรูปเหมือนตัวผมเองจนต้องยอมรับ และผมเชื่อแล้ว..อย่างที่เขามักแซวว่าผมตาตี่ แล้วหูก็ออกจะกางอยู่หน่อย ๆ  เห็นรูปก็ถึงกับเผลอยกมือขึ้นกุมใบหูตัวเอง คลี่ยิ้มออกมาเมื่อคิดถึงคนวาดว่าต้องบ้าขนาดไหนจึงวาดภาพคนเดิมซ้ำ ๆ อยู่ได้ทุกวี่วัน


          รำลึกความหลังอยู่ได้ครู่ใหญ่ น้องสาวก็ร้องเรียกจากชั้นล่าง บอกว่าลงมากินข้าวได้แล้ว เป็นลมตายไปหรือยัง


         ผมโคลงศีรษะ เก็บรูปวาดทั้งหมดเข้าแฟ้มและถุงกระดาษอย่างทะนุถนอม คิมหันต์เคยมาเห็นเข้าและถามเจื้อยแจ้วว่ามันมาจากไหน แล้วทำไมผมถึงเก็บรูปวาดมนุษย์ต่างดาวเอาไว้รวมกับรูปวาดของตัวเอง (บอกแล้วว่าพี่เอกสมัยประถมวาดผมออกมาห่างไกลจากคำว่าชาวโลกนัก) ผมยิ้มตอบน้องชาย ลูบผมสีน้ำตาลนุ่มนิ่มของเขาแผ่วเบา บอกเขาทุกครั้งว่านี่เป็นของสำคัญของเฮียใหญ่ เอาไว้ถึงเวลา...สักวันหนึ่ง....หากถึงวันนั้น..



         ..ผมคงมีโอกาสได้บอกตี๋เล็กจากปากตัวเองว่ามันสำคัญอย่างไร..





มีต่อรีพลายถัดไปค่ะ
v
v
v
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-03-2014 19:47:08 โดย RAINYDAY »

ออฟไลน์ RAINYDAY

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1247/-5
    • FB page
ยกที่ 49.5 - Till the spring comes (ต่อ)



          “เอ๋..พี่เอกจะมาหรือ”

          “อืม”

          “ค้างด้วยไหม?”

         ผมพยักหน้า “น่าจะ”

          “เดี๋ยวครีมกลับบ้านด้วยนะ สามคนนอนพอหรือ”

          “บนพื้นก็ได้มั้ง”

         วัสสานะพยักหน้า ตักแกงจืดขึ้นซดพร้อมกับส่งสายตาครุ่นคิด “หรือคืนนี้ฝากครีมไว้ห้องสาก่อน”

         ผมโบกมือไปมาตรงหน้าเธอ หัวเราะน้อย ๆ กับท่าทีจริงจังนั้น “ไม่เป็นไร ก็นอนสามคนนั่นแหละ เหมือนมาเข้าค่ายไง”

         น้องสาวยักไหล่ พึมพำว่าผมไม่รู้อะไรเสียแล้ว พ่อน้องชายคนเล็กเดี๋ยวนี้ซนอย่างกับอะไรดี ผมได้แต่ยิ้มบาง ฟังเธอบ่นสารพัดอย่างเกี่ยวกับเด็ก ๆ ท่าทางจะกลายเป็นพี่ใหญ่ไปจริง ๆ ระหว่างที่ผมไม่อยู่ 

         “เฮียน่ะตามใจพวกเด็ก ๆ เกินไปแล้ว” เธอตบท้าย


         บ่ายโมงตรง คิมหันต์วิ่งตึง ๆ เข้ามาในบ้าน ในมือถือหนังสือการ์ตูนมาด้วย ยังไม่ทันได้ทำอะไรก็ร้องเรียกเสียงดัง “เจ้หญ่ายยยย” ตั้งแต่ก่อนตัวจะมาถึง ทว่าพอเห็นคนที่ยืนมองอยู่ในบ้านเป็นผม เจ้าตัวก็เบิกตากว้าง กะพริบตาปริบ ๆ อยู่สองสามครั้ง จากนั้นก็ยิ้มหน้าระรื่น กระโจนเข้ามากอดหมับทั้งตัว

         “เฮีย! เฮียกลับมาเมื่อไหร่ คิดถึงโคตรเลย”

         ผมหัวเราะ อุ้มเขาหมุนไปมา “น้ำหนักขึ้นรึเปล่าเนี่ยเรา”

          “ขึ้นสิ!” ตี๋เล็กเกาะคอผมแน่นเป็นลูกลิง พูดไปยิ้มไป สดใสอยู่เสมอเหมือนกับชื่อของเขา “ผมสูงขึ้นด้วย”

          “เท่าไหร่”

          “เซนต์นึง”

          “โธ่เอ๊ย” ผมหัวเราะลั่น “แค่เซนต์เดียวเองหรือ!?”

          “เฮียต้องใจเย็นสิ! ผมกำลังโต” เขากอดรัดผมแน่น ตั้งหน้าตั้งตาฟัดราวไม่ได้เจอกันมาสักสามสี่ปี เห็นท่าทางแล้วอดไม่ได้จะนึกถึงเจ้าโรลล์ หมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ขนทองของพี่เอกขึ้นมาเลย ผมเล่นกับเขาจนหงายลงไปนั่งแผ่บนโซฟา คิมหันต์เกาะแกะอยู่ครู่หนึ่งก็คลานลงไปนั่งด้านข้าง จ้องผมตาแป๋วก่อนจะเริ่มร่ายยาวถึงการ์ตูนที่เขาชอบ เพื่อนที่เขาไปเล่นด้วย และสุนัขสีทองพันธุ์โกลเด้นแบบเดียวกับที่ผมเคยเล่าให้เขาฟังบ่อย ๆ ว่ามันน่ารักดี

          “บ้านไอ้มิวเลี้ยงไว้ด้วยละ ชื่อข้าวเหนียว” เขาส่งเสียงตื่นเต้น ทำมือทำไม้บอกขนาดตัวเจ้าหมาไปด้วย “ตัวเบ้อเริ่ม วิ่งทีนี่กระชากสายจูงหัวทิ่มเลยอะ”

          “เหรอ คนเลี้ยงเยอะเลยนะ”

          “ผมก็อยากเลี้ยงบ้าง”

          “เอาสิ”

          “ป๊าไม่ให้อะ” เขาทำหน้าบูด แก้มป่องน่าหยิกจนเผลอเอานิ้วคีบแล้วบิดเบา ๆ

          “งั้นรอก่อนดีไหม เดี๋ยวเฮียเรียนจบทำงานจะซื้อให้”

          “เอา ๆ! ผมตั้งชื่อรอแล้ว ชื่อดุ๊กดิ๊ก”

          “ดุ๊กดิ๊กหรือ?” ผมหัวเราะ “เท่ดีนะ”

          “เฮียตามใจตี๋อีกแล้ว” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง เป็นสิสิรในชุดนักเรียนมัธยมต้นที่ไม่รู้ว่าย่องเข้าบ้านมาเงียบเชียบตั้งแต่เมื่อไร “เสียเด็กหมด”

          “เจ้สิอิจฉาอะดิ๊” น้องเล็กทำตาเจ้าเล่ห์ “ไว้เฮียซื้อให้ผม เจ้จะมาขอเล่นด้วยก็ได้น้า”

          “เด็กบ้า” เธอส่งมะเหงกใส่หน้าผากเขาเบา ๆ ทีหนึ่ง ก่อนจะหันมากอดผมหมับหนึ่งครั้ง บ่นพึมพำไปด้วย “คิดถึงเฮียจังเลย”

         ผมกอดตอบ บอกเธอว่าคิดถึงเหมือนกัน ก่อนคิมหันต์จะปีนขึ้นมานั่งตักผมแล้วทำเนียนกอดไปด้วยอีกคน มีวัสสานะยืนส่ายหน้าน้อย ๆ อยู่ด้านข้าง แต่ครู่หนึ่งก็แวะมากอดรวบทั้งหมดหนึ่งทีก่อนจะเดินเลี่ยงไปหาขนมกินช่วงบ่าย พี่น้องบ้านเราโตมาแบบติดสัมผัสอย่างนี้เอง


         พอพี่น้องสี่คนอยู่กันครบโดยที่ป๊ากับม้าไม่อยู่ บ้านก็เต็มไปด้วยเสียงอึกทึกเข้าทำนองแมวไม่อยู่หนูร่าเริง คิมหันต์เล่นซน สิสิรเปิดเพลงเสียงดัง วัสสานะบ่นเป็นพัก ๆ เมื่อนึกขึ้นได้ แต่พอเผลอตัวก็ไปเล่นสนุกสนานกับน้องสองคน เหลือผมที่นั่งมองพวกเขาเงียบ ๆ  คอยดูว่าไม่ทำอะไรที่อันตราย แม้ว่าเรื่องนั้นวัสสานะก็ทำได้ดีมากอยู่แล้ว (ออกจะมากเกินไปด้วยซ้ำ)

         เวลาล่วงเลยจนบ่ายแก่ มีเสียงออดดังขึ้นหน้าบ้าน เด็ก ๆ ชะงัก มองหน้ากันเหรอหรา แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่าแขกผู้มาใหม่เป็นใคร ผมยกมือบอกน้องสามคนให้ทำกิจกรรมของตัวเองต่อกันได้ตามสบาย เดี๋ยวจะเดินออกไปดูเอง


         ถูกแล้ว..เป็นผมนี่แหละที่ควรออกไปดู


         ผมรีบสาวเท้ายาว ๆ ไปจนถึงหน้ารั้วบ้านสีขาว แทบจะเปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่ง เปลี่ยนจากวิ่งเป็นกระโดดเมื่อเห็นหน้าคนที่ยืนรออยู่นอกรั้ว

          “ไอ้ตี๋” เขาร้องทักก่อนพร้อมรอยยิ้มละมุน เสียงทุ้มกว่าสมัยเด็ก รูปร่างสูงใหญ่ขึ้น ผิวคล้ำลงเล็กน้อย แต่นัยน์ตายังเป็นประกายเจิดจ้า วางอยู่เหมาะเจาะบนดวงหน้าที่ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเดิม

         ผมเปิดประตูรั้วให้เขาเข้ามา พยายามทำหน้าเป็นปกติแม้รู้ว่ายากเต็มที ส่งเสียงทักทายละล่ำละลัก “..เป็นไงบ้างพี่เอก”

          “คิดถึงมาก”

         พูดจบก็เตรียมพุ่งเข้ามากอด แต่ผมเอามือยันไว้ได้ทัน อีกมือที่ยังว่างโบกนิ้วชี้ไปมาตรงหน้าเขา “เด็ก ๆ อยู่บ้านเต็มเลย”

          “ในบ้านหรือ?”

          “ใช่”

         พี่เอกยิ้มกริ่ม “งั้นข้างบ้านล่ะ?”

         ผมเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจอยู่ได้แค่ไม่กี่วินาที ก่อนแขนจะโดนรั้งให้ตามหลังเขาที่เดินตัวปลิวไปยังมุมอับข้างบ้าน แผ่นหลังถูกดันชิดไปกับผนัง พิงอยู่กับตัวบ้านด้านนอกโดยมีร่างเขาคร่อมอยู่ ริมฝีปากเราบดเบียดกันหนักหน่วง เต็มไปด้วยความคะนึงหาท้วมท้น ปลายลิ้นเกาะเกี่ยวกันไม่รู้หน่าย ผมขยำอกเสื้อเขาจนยับย่นอยู่ในมือ ดึงให้ร่างเราเข้ามาแนบชิดกันอีกโดยไม่รู้ตัว ใจผมเต้นแรง หน้าผมร้อนผ่าว รู้สึกเหมือนหายใจไม่ทันราวกับคนจมน้ำ แต่ไม่อยากแยกจากเขาเลยสักวินาทีเดียว


         ตอนนั้นผมไม่รู้ตัวสักนิด ว่าหน้าต่างชั้นบนถูกผลักเปิดออกอยู่เหนือศีรษะ พี่เอกอาจจะเห็นจึงได้ถอนริมฝีปากออกไป แต่เขาไม่ได้บอกเรื่องนั้นกับผมสักคำ ผมรู้ตอนที่วัสสานะถามผมราวหนึ่งเดือนให้หลังเมื่อผมกลับบ้านครั้งถัดไป


         เธอเลือกตอนที่คนอื่นในบ้านไม่ได้อยู่ด้วย เคาะประตูแล้วเดินเข้ามาหาผมในห้อง พูดจาเหมือนเป็นปกติทุกอย่าง หากไม่นับเรื่องที่มันฟังดูตะกุกตะกักในบางประโยค ชวนคุยเรื่อยเปื่อยอยู่ครู่ใหญ่ นานทีเดียวกว่าจะรวบรวมความตั้งใจเพื่อถามนำเข้าสู่สิ่งที่เป็นเป็นจุดประสงค์แท้จริงของเธอออกมาจนได้

          “เฮีย”

          “หืม”

          “อาทิตย์นี้พี่เอกไม่มาหรือ”

         ผมพยักหน้า “เขาไม่ว่างน่ะ ช่วงนี้เห็นว่าเรียนยุ่ง”

          “..แล้ว...เขาจะมาอีกเมื่อไหร่”

          “ไม่รู้เหมือนกัน” ผมเลิกคิ้วน้อย ๆ หันไปมองเธอก็พบว่าน้องสาวคนโตมีสีหน้ากังวลฉายอยู่ค่อนข้างชัดเจน “มีอะไรหรือเปล่า? คุยกันได้ไหม”

          “สาคุยได้...” เธอกระซิบ มองซ้ายมองขวา หลังจากนั้นก็เดินไปล็อคประตูห้องก่อนจะกลับมานั่งที่เดิม “..เฮียก็คุยกับสาได้ทุกเรื่องใช่ไหม”

          “....”

          “เฮียอย่าโกรธสานะ...แต่ว่าเมื่อวันนั้นน่ะ...”


         ผมฟังเธอเล่า ตกใจแทบเข่าทรุด ได้รู้ในตอนนั้นเองว่าเธอเห็นผมจูบกับพี่เอกจริง ๆ ผ่านหน้าต่างห้องชั้นสอง ตอนแรกเธอคิดว่าอาจไม่ได้มีอะไรมาก แต่ก็คอยสังเกตอยู่เรื่อย ๆ โดยไม่ตั้งใจ เป็นความประมาทของผมเองที่ไม่ระวังตัวให้ดี เผลอคิดไปว่าทุกคนในบ้านชินแล้วที่เห็นเราสนิทสนมกัน มีกอดคอบ้าง ลูบหลัง เกาะไหล่บ้าง ไม่ใช่เรื่องผิดปกติสำหรับพี่น้องบ้านเราซึ่งมักทำเช่นนั้นเป็นประจำอยู่แล้ว วัสสานะเองก็คิดแบบเดียวกันมาตลอด จนกระทั่งเธอเห็นเหตุการณ์ที่ข้างบ้านวันนั้น

         เธอเห็นมากกว่าที่ผมคิด หลังจากการสังเกตท่าทางของผมกับพี่เอกต่อจากนั้น รวมกับสิ่งที่เธอเคยรับรู้มาในอดีต วัสสานะเข้าใจได้ไม่ยากเย็นว่าเรามีความสัมพันธ์กันแบบไหน ผมเพิ่งได้รู้ว่าเธอเห็นเราจูบกันมากกว่าหนึ่งครั้ง และหากรวมเหตุการณ์ที่เธอไม่แน่ใจซึ่งเคยเห็นมาในวัยเด็ก ก็ต้องเรียกว่าหลายครั้งเลยทีเดียว

          “พี่เอกเป็นคนดี...สารู้...แต่ว่า...”

          “เขาเป็นผู้ชาย..” ผมช่วยต่อ

          “ใช่..เขาเป็นผู้ชาย”

         สีหน้าเธออมทุกข์ เป็นเรื่องไม่สมควรเลยที่พี่ชายคนโตจะทำให้น้องสาวต้องมีท่าทางเป็นกังวลแบบนี้ ผมทำตัวไม่ถูก รู้สึกล้มเหลวและกำลังทำให้เธอผิดหวัง

          “...แต่สาไปนอนคิดมาหลายคืน..หลังจากที่พอจะเดาเรื่องได้ตอนนั้น..คิดจนนอนไม่หลับ จนหัวจะระเบิด แต่ว่าเฮียกับพี่เอกก็รักกัน...ใช่ไหม”

         ผมยกมือขึ้นปิดหน้า เลยขึ้นมาเสยผมบนหน้าผากแล้วถอนหายใจยาว จนปัญญาจะปฏิเสธ เธอมีคำตอบในคำถามของเธออยู่แล้ว ซึ่งนั่นก็ล้วนแต่เป็นเรื่องจริง

          “...เฮีย..รักเขา...”

          “คบกันนานแล้วสินะ”

          “เกือบสิบปี” รอยยิ้มบนริมฝีปากผมคงอ่อนล้าไม่น้อย จึงได้พลอยทำให้เธอยิ่งทำหน้าเป็นกังวลไปด้วย “..นานไหม?”

          เธอพยักหน้า “รูปที่ครีมเล่าให้ฟังว่าเฮียเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้า ก็เป็นรูปที่พี่เขาวาดเฮีย...สาน่าจะเดาเรื่องได้ตั้งนานแล้ว”

          “..มันชัดเจนขนาดนั้นเชียวหรือ”

         เธอนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็โผเข้ามากอดผม ลูบหลังเบา ๆ อย่างปลอบโยน วัสสานะคงเป็นเจ้ใหญ่ที่พึ่งพาได้ของน้อง ๆ จริงนั่นละ

          “แต่เฮียรู้ไหม...สาไปคิดดูแล้ว เฮียรักกับเขามานานมาก แล้วป๊ากับม้า..คนบ้านเราทุกคนก็ชอบพี่เอก...ผู้ชายแล้วไง...ไม่เห็นเป็นไรเลย ผ่านมาตั้งเกือบสิบปีแต่ยังรักกันดีอยู่ ทุกคนก็น่าจะเข้าใจ..”

          “..สา..”

          “เพราะงั้น เราค่อย ๆ บอกคนอื่นในบ้านดีไหม...เฮียจะได้ไม่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ เพราะถ้ายังคบกันแบบนี้ ทุกคนก็ต้องรู้เข้าสักวันอยู่ดี ถ้ารู้แล้วป๊ากับม้าอาจจะไม่ว่าอะไรก็ได้นะ สาจะช่วยเฮียเอง”

         ความคิดเธอยังเป็นส่วนผสมระหว่างความใสซื่อแบบเด็ก และการวางแผนอย่างผู้ใหญ่ ผมไม่แน่ใจนักว่าทุกคนจะยอมรับได้จริงหรือ แต่อย่างน้อยก็มีวัสสานะหนึ่งคนที่ดูจะเข้าใจและไม่รังเกียจ ถึงกับออกปากว่าอยากช่วยด้วยซ้ำ

          “ขอบคุณนะ...ขอบคุณมาก..” ผมพร่ำบอกเธอ น้องสาวที่หากเกิดอะไรขึ้นตัวผมเอง ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องจะไม่มีใครเป็นพี่พึ่งพิงของน้อง ๆ ที่เหลืออีกแล้ว


         ผมรู้สึกคล้ายว่าจะมองแสงแห่งความหวังเล็ก ๆ ส่องอยู่ที่ปลายอุโมงค์



         ป๊าซื้อโทรศัพท์มือถือให้ผมจริงหลังจากนั้นไม่นานอย่างที่วัสสานะเคยบอก ผมใช้คุยกับทางบ้าน คุยกับพี่เอก (ซึ่งโทรมาบ่อยขึ้นเมื่อเขารู้ว่าผมมีมือถือแล้ว) เพื่อนบ้างนาน ๆ ครั้ง นอกนั้นก็แทบไม่ได้ใช้ติดต่อกับใครอื่นเท่าไรนัก

         วัสสานะมักจะหลบไปใช้ตู้โทรศัพท์สาธารณะโทรเข้าหาผมมากกว่าเบอร์ที่บ้าน อาจเป็นเพราะเธอกลัวป๊ากับม้าจะได้ยิน เธอเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ฟัง บอกผมทุกครั้งเวลาพี่เอกมาหาแต่ไม่เจอ (เพราะเขาไม่ค่อยได้บอกเรื่องนั้นกับผมเองเท่าไร) การเป็นเจ้ใหญ่ที่น้อง ๆ รัก ทำให้เด็ก ๆ ไม่รู้สึกแย่กับเรื่องที่พี่ชายคนโตรักกับผู้ชายด้วยกันอย่างที่ผมกลัว อาจเป็นเพราะพวกเขาชอบพี่เอกเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และวัสสานะก็มักมีวิธีพูดที่ทำให้น้องอีกสองคนโอนอ่อนผ่อนตามโดยง่ายเสมอ

         ด้วยความช่วยเหลือของเธอ จึงมีเพียงแค่ป๊ากับม้าที่ยังไม่รู้ ซึ่งทั้งผมและน้องสาวคิดตรงกันว่าควรไปบอกกับทั้งสองท่านด้วยตัวเอง

          “ขอบคุณมาก...จริง ๆ”

          “อื้อ” เธอตอบรับกระตือรือร้น “สารักเฮียนะ เฮียทำเพื่อพวกเรามาเยอะแล้ว ..อยากให้เฮียมีความสุข”

          “เฮียก็เหมือนกัน”


         ตอนนั้นทุกอย่างดูเป็นไปได้ด้วยดี ผมเล่าให้พี่เอกฟัง เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง บ้านเขาโชคดีที่รู้ตั้งแต่เขาอยู่มัธยมแล้วว่าลูกชายคนโตของตัวเองเป็นเกย์ ใช้เวลาหลายปีเพื่อจะทำความเข้าใจว่าเขายังเป็นคนปกติที่อยู่ในสังคมได้ เรียนได้ ทำงานได้ เพียงแต่รสนิยมเรื่องเพศแตกต่างจากคนส่วนใหญ่เท่านั้น เขาบอกผมเสมอว่ามันต้องไม่เป็นอะไร ทุกอย่างต้องเป็นไปด้วยดี เหมือนกับนิทานที่เขาเคยแต่งให้ฟังเมื่อก่อน และถ้าผมพร้อมบอกป๊ากับม้าเมื่อไร เขาก็จะไปอยู่ตรงนั้นด้วยอีกคน


         ผมอยู่กับความคาดหวังอันสวยงามตามที่คนรอบตัวคอยพร่ำบอก ฟังแต่สิ่งดี ๆ จากพวกเขา จนอาจลืมไปว่าบางครั้งชีวิตก็ไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้นเสมอไป



         ปิดเทอมนั้น ผมขนของกลับบ้าน เวลาปิดของมหาวิทยาลัยผมกับพี่เอกเหลื่อมล้ำกันนิดหน่อย เขาได้หยุดก่อนมาราวหนึ่งสัปดาห์แล้ว ระหว่างที่ผมขนของกลับบ้านพี่เอกก็มาช่วย ถือโอกาสพักบ้านผมด้วยวันหนึ่ง ท่ามกลางการต้อนรับอบอุ่นจากครอบครัวผมเช่นเคย

         คืนนั้นคิมหันต์หอบหมอนผ้าห่มไปนอนกับวัสสานะอีกห้อง ยกห้องนอนให้ผมกับพี่เอกหนึ่งคืน


          “เด็ก ๆ น่ารักดีนะ”

          “อือ” ผมยิ้มรับ เห็นด้วยกับเขาเป็นอย่างยิ่งว่าน้องทั้งสามของผมน่ารักทุกคนจริง ๆ

          “เห็นพวกเขาตั้งแต่ตัวเล็ก ๆ จนโตป่านนี้...อย่างกับมีลูกเองเลย” เขาหัวเราะแผ่วเบา เดินเข้ามากอดเอวผมไว้หลวม ๆ จากด้านหลัง เอาคางวางพาดไว้บนไหล่ “โดยเฉพาะตี๋เล็ก หน้าพิมพ์เดียวกับนายมาเลย ตาตี่ หูกางถึงจะไม่เท่า เห็นมาตั้งแต่ตัวขี้ประติ๋ว ยิ่งโตยิ่งเหมือน”

          “พี่แม่ง...นี่ชมหรือด่า”

          “ชมสิ”

          “...”

         จมูกโด่งของเขาซุกลงบนซอกคอผม กดย้ำ ๆ ไปจนถึงปลายคาง “ชมทั้งคู่นั่นแหละ โดยเฉพาะคนโต...น่ารัก..”

          “..พี่เอก”

          “คิดถึง..ไม่รู้จะพูดยังไงดี คิดถึงจนจะบ้าแล้ว”

          “..ผม...ก็..”  ผมเผลอกลั้นหายใจ แทรกปลายนิ้วไปตามเส้นผมเขา เอียงใบหน้าให้เขากดจูบลงบนต้นคอได้ถนัด “...คิดถึงพี่..”

         พี่เอกคลี่ยิ้มอ่อนโยน เดินอ้อมมายืนตรงหน้าผมโดยไม่ปล่อยมือจากที่โอบไว้รอบเอว เสื้อผ้าเราหลุดจากร่างทีละชิ้นอย่างไม่เร่งร้อนระหว่างที่ค่อย ๆ ขยับเข้าไปใกล้เตียง ตอนที่เดินไปถึงและล้มตัวลงไปนอนหงายโดยมีร่างเขาโน้มอยู่ด้านบน ทั้งเนื้อตัวของเราก็เปลือยเปล่า มีเพียงเสียงหัวใจเต้นระรัวของตัวเองดังก้องอยู่ในหัวผม

         ผมยกแขนขึ้นโอบรอบต้นคอเขา เลื่อนฝ่ามือลงไปตามแผ่นหลังแกร่ง รับรู้ได้ถึงมัดกล้ามเนื้อแน่นตึงซึ่งซ่อนอยู่ใต้ผิวหนังเนียนละเอียด ใบหน้าเขาก้มลงมาหา และใบหน้าผมผงกขึ้นรับจุมพิตอ่อนหวาน เราแลกริมฝีปากดูดดื่มลึกล้ำ ปลายลิ้นหยอกเย้ากันเนิ่นนาน จนส่วนอ่อนไหวเบื้องล่างคล้ายกับกำลังร่ำร้องหากันและกัน

         การเคลื่อนไหวของเขาเนิบนาบ หนักแน่น..แต่ก็อ่อนโยน พรมจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั่วใบหน้าและเนื้อตัวด้วยริมฝีปากเดียวกับที่เขาพร่ำบอกว่ารักผม จนกระทั่งเขาเริ่มขยับกายเร็วขึ้น กระซิบว่าให้ช่วยเงียบเสียงสักหน่อย ดูดเม้มบนกลีบปากแล้วประกบลงแนบสนิททุกครั้งที่ผมทำเหมือนจะทนไม่ไหว ดูดกลืนคำพูดของผมไปจนหมด แทบลืมความเจ็บตรงที่ถูกเบียดแทรกเข้ามาในร่างจนสิ้น ผมถึงโดยที่เขายังไม่ทันได้แตะต้องส่วนนั้นเลยแม้แต่น้อย

         พี่เอกขยับอีกสักครู่หนึ่ง คิ้วที่ขมวดมุ่นก็ค่อยคลายลง ทิ้งตัวลงทาบทับบนร่างผมโดยยังไม่ยอมเอาของตัวเองออกไป

          “...พะ..พี่เอก..?”

         เขาผงกศีรษะจากลาดไหล่ผมเพื่อเงยขึ้นสบตา ยิ้มบางเบาพร้อมกับแตะจูบตรงมุมปาก กระซิบว่าขออยู่แบบนี้อีกสักพัก

         ผมน้ำตาคลอ ทั้งที่ไม่ได้เจ็บอะไรนัก ไม่รู้เหมือนกันว่ามันมาจากไหน ยกแขนขาขึ้นโอบรอบตัวเขาไว้แน่น แสนรักจนอยากอยู่กับเขาให้นาน ๆ  อยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตลอดไป

          “..ผมรักพี่...รัก...รัก.....รักมาก....อยากอยู่ด้วยกันจนวันสุดท้าย...”

          “..เด็กดี...” พี่เอกเกลี่ยเส้นผมบนหน้าผากผมออกแผ่วเบา จูบซับน้ำตานุ่มนวลบนเปลือกตา  “..อย่าร้องไห้...พรุ่งนี้บอกป๊ากับม้าด้วยกัน..”

          “...อือ”

         “..พอเรียนจบแล้วเราก็จะอยู่ด้วยกันตลอดไปในบ้านสีขาว พี่จะเป็นคนออกแบบตกแต่งภายในเอง พาเด็ก ๆ ไปอยู่ด้วยก็ได้ พี่จะวาดรูปนายทุกวัน มีขาตั้งวาดรูปอยู่ในสวน เลี้ยงหมาโกลเด้นสักตัวอย่างที่เราชอบ.....อ้าว...แล้วกัน...ยิ่งร้องใหญ่เลย...”

         “...ฮึก!”  ผมยกมือปาดน้ำตา พยายามจะไม่สะอื้น “..ตั้งชื่อมันว่าดุ๊กดิ๊กได้ไหม?”

         “หืม?”

         “หมาน่ะ”

         เขาหัวเราะ กดจมูกลงบนแก้มผม “เอาสิ อยากให้ชื่ออะไรก็ได้”


         คืนนั้นเราสัญญากันเป็นมั่นเป็นเหมาะ



         โดยไม่รู้เลยว่ามันจะไม่มีวันเป็นจริงตราบชั่วชีวิตผม




         ยามเช้ามาเร็วกว่าที่คิด ผมกับพี่เอกอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย ลงมารวมกับป๊าม้าและน้อง ๆ ที่ชั้นล่าง พวกเราพูดคุยกันเป็นปกติ ป๊ากับม้าไต่ถามสารทุกข์สุกดิบไปตามประสา ผมใจชื้นและมีความหวังเมื่อเห็นว่าพวกท่านยังเอ็นดูพี่เอกเหมือนเดิม

         เด็ก ๆ อีกสามคนคอยลอบมองมาตลอดเวลา โดยเฉพาะวัสสานะซึ่งดูเป็นห่วงที่สุด ทุกครั้งที่บังเอิญสบตากับผมหรือพี่เอก เธอจะยิ้มให้แล้วกำมือเป็นเชิงบอกว่าให้สู้ ๆ

         ผมรวบรวมความกล้าอีกพักใหญ่ เดินไปบอกป๊ากับม้าว่าผมมีอะไรอยากพูดด้วย ระหว่างนั้นพี่เอกยืนเคียงไหล่ผมอยู่ตลอดเวลา มีเด็ก ๆ สามคนคอยวนเวียนด้วยความเป็นห่วงอยู่ไม่ไกล ความหวังผมสว่างขึ้นตามแรงเชียร์จากสายตาที่ส่งมาจากน้องทั้งสามและคนข้างกาย ผมจะยังเป็นเด็กดีของป๊าและม้า เป็นพี่ชายคนโตที่ดี และจะพยายามทำให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ตั้งใจเรียนให้จบ ทำงานและดูแลทุกคนที่บ้าน แต่ขอเรื่องนี้แค่เรื่องเดียวเท่านั้น

         ทั้งสองยิ้มแย้มแจ่มใสในตอนแรก บทสนทนาดำเนินไปด้วยดี จนกระทั่งผมเกริ่นเข้ามาถึงเรื่องที่ต้องการจะบอก ม้าดูเหมือนจะสัมผัสได้ก่อนถึงความผิดปกติในเรื่องเล่าของผม จึงได้มีสีหน้าวิตกกังวลปรากฏขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผิดกับป๊าซึ่งเปลี่ยนจากใบหน้ายิ้มแย้มเป็นนิ่งงันจนผมกลัว พอเริ่มจับต้นชนปลายได้ก็เปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วคร่ำเครียด ใบหน้าบูดบึ้ง มุมปากกระตุกน้อย ๆ


         สุดท้ายก็ระเบิดออกมาตอนที่ผมบอกว่าผมกับพี่เอกรักกัน


          “ไอ้ตี๋!”


         ป๊าตะโกนลั่น ทุบโต๊ะจนแก้วน้ำบนนั้นสั่นสะเทือน รีโมทโทรทัศน์ที่วางหมิ่นเหม่อยู่แล้วกระเด็นหล่นลงมาอยู่บนพื้น ฝาปิดรังถ่านกระจายไปคนละทิศทาง


         ผมสะดุ้ง สั่นเทิ้มไปทั้งร่างโดยไม่รู้ตัว พี่เอกกุมมือผมไว้แน่นจากใต้โต๊ะ บีบเบา ๆ ให้ผมรู้ว่าเขายังอยู่เคียงข้าง


          “รู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา!?”


          “..รู้ครับ”


          “ป๊าไม่เคยสอนให้แกทำตัวอย่างนี้! ทำไมกัน! ไอ้ที่โตมามันผิดพลาดไปตรงไหน ทำไมถึงได้ทำตัวเบี่ยงเบน รู้ถึงไหนอายเขาถึงนั่น! เป็นลูกชายคนโตเคยคิดถึงหน้าป๊าบ้างไหม!? รู้บ้างรึเปล่าว่ากว่าจะเลี้ยงดูจนโตป่านนี้ต้องลำบากเท่าไร แล้วจู่ ๆ จะมาบอกว่าเป็นเกย์ รักผู้ชาย! แกยังเห็นฉันเป็นป๊าแกอยู่ไหมหา!?”

          “แต่ป๊าครับ” พี่เอกท้วง “ผมกับเขารักกันมาตั้งนานแล้ว ไม่เคยทำเรื่องให้เสื่อมเสียวงศ์ตระกูล ผมจะไ—”

          “ยังกล้ามาพูดว่าไม่เสื่อมเสียอีกเรอะ!?”

         ป๊าตวาดลั่นบ้าน ยกมือขึ้นขยำอกเสื้อตัวเองแน่น หน้าแดงก่ำ เหงื่อแตกทั้งตัวด้วยความกราดเกรี้ยว หายใจหอบฮัก ๆ  พอค่อยยังชั่วก็ลุกขึ้นเหวี่ยงเก้าอี้จนล้มคว่ำ ชี้หน้าพี่เอกอย่างมุ่งร้าย

          “ไอ้เอก! เสียแรงที่ฉันเอ็นดูแกเหมือนลูกคนหนึ่ง...ไม่นึกว่า..”

         พูดได้ยังไม่ทันจบก็หายใจหอบ ริมฝีปากสั่นระริกด้วยความโกรธ ตบโต๊ะรุนแรงอีกครั้งแล้วตวาดอย่างเดือดดาล

         “...แกออกไป..ออกไปจากบ้านหลังนี้!”

          “ป๊า..ป๊าใจเย็นก่อน” ม้าลูบหลังป๊าเบา ๆ แต่ป๊าสะบัดหนี หยิบเก้าอี้ที่ยังเหลือทุ่มลงพื้นจนเสียงดังสนั่น ขาเก้าอี้งอหักแล้วกระเด็นไปอีกทาง วัสสานะและน้องอีกสองคนกำลังจะเข้ามาช่วยห้ามแต่ม้ารีบกันไว้ก่อน

          “มึงออกไป!”

          “ป๊า! ฟังผมก่อน”

         “วสันต์ แกหุบปาก!”

         คำพูดหลังจากนั้นของผมไม่เป็นผลสักอย่าง พี่เอกลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วย่อตัวลงคุกเข่าตรงหน้าป๊า อ้อนวอนขอให้ฟังเหตุผลของเขา แต่ทุกคนก็ต่างมีเหตุผลของตัวเอง ผมหลงไปกับความหวังว่าเรื่องราวทั้งหมดจะออกมาสวยงามเสมอ ลืมความจริงที่ว่าป๊าติดจะหัวเก่าและไม่น่ายอมรับเรื่องแบบนี้ได้ง่าย ๆ  ผมควรรู้อยู่แล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าผลลัพธ์จะรุนแรงเช่นนี้ ไม่อย่างนั้นผมอาจเลือกจะเก็บเงียบเรื่องความสัมพันธ์ของผมกับพี่เอกไปจนวันตาย และในเวลาแบบนี้ต่อให้ป๊ามีเหตุผลของตัวเอง แต่การจะพูดคุยด้วยเหตุผลกับคนซึ่งกำลังบันดาลโทสะก็ไร้ประโยชน์พอกัน

         ป๊าหันหลัง รุดไปหลังบ้าน แวบหนึ่งที่ผมคิดว่าพายุอารมณ์จะสิ้นสุดลงแล้ว ป๊าก็กลับมาพร้อมกับมีดด้ามยาวในมือ


          “ป๊า!”


         ทุกคนร้องเรียกเสียงหลง ขณะที่ป๊าโบกมีดไปมาตรงหน้าพี่เอกซึ่งยังคุกเข่านิ่ง ผมรีบไปยืนขวางหน้าเขาไว้ ได้ยินป๊าสบถว่าเนรคุณ สลับกับไล่ให้พี่เอกออกจากบ้านแล้วไม่ต้องกลับมาอีก คมมีดตวัดผ่านใบหน้าผมไปนิดเดียว ก่อนที่ป๊าจะพยายามผลักผมซึ่งยังดื้อดึงออกให้พ้นทาง


         ดูเหมือนจะไม่เหลือตัวเลือกอื่นให้ผมแล้ว


         ผมละล่ำละลักบอกพี่เอกให้ช่วยกลับไปก่อน อ้อนวอนจนแทบก้มลงกราบ  ผมรักเขา รักป๊า รักทุกคนในครอบครัว แต่หากยังรั้นอยู่ต่อในตอนนี้ก็มีแต่เรื่องจะยิ่งบานปลาย มีดในมือป๊าอาจจะพุ่งเข้าใส่พี่เอกตอนไหนก็ได้


          “ป๊า...ผมขอโทษ...ผมจะไม่ทำแบบนี้อีก” ผมกอดขาป๊าทั้งน้ำตา สะอื้นจนตัวโยน “...ไม่ทำอีกแล้ว....ให้เขากลับบ้าน...ขะ...ขอร้อง....นะครับป๊า....”


          “ม้าเอาไอ้ตี๋ขึ้นห้องไป!”


         ผมเงยหน้ามองเขา วิงวอนด้วยสายตาให้กลับไปก่อน เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นพี่เอกร้องไห้ เขาก้มลงกราบแทบเท้าป๊า ไหล่กว้างสั่นไหว หันมาสบตาผมอีกครั้ง พยายามยิ้มออกมาอย่างดีที่สุด บอกผมว่าแล้วจะมารับ ก่อนจะค่อย ๆ ถอยหลังแล้วเดินออกจากบ้านไป

         ผมยกมือขึ้นปาดหยดน้ำบนแก้ม จึงได้เห็นว่ามีเลือดติดกับฝ่ามือมาด้วย คงเป็นแผลจากที่โดนคมมีดเฉี่ยวเข้าเมื่อครู่นี้ มัวแต่ตระหนกกับสิ่งที่เกิดจนไม่ทันรู้ตัวสักนิด

          “กลับไปอยู่บนห้อง!” ป๊าสั่งเสียงเครือ “อยู่บนนั้น...สำนึกผิด ไม่ต้องลงมา!”

          “ป๊า..”


          “ไป!”



         ผมเงยหน้าขึ้นมองช้า ๆ



         เห็นน้ำตาลูกผู้ชายอีกคนกำลังไหลอาบแก้มป๊าเช่นกัน



         ผมตัวสั่นระริก ก้มลงกราบเท้าป๊า พูดซ้ำ ๆ ว่าผมขอโทษ ก่อนที่ม้าและเด็ก ๆ จะเข้ามาช่วยพยุง วัสสานะเอาผ้าซับเลือดบนแก้มผม จากนั้นก็พากันเดินขึ้นไปบนห้อง ม้ากอดผมแน่นครั้งหนึ่ง ตามด้วยน้องอีกสามคน ก่อนม้าจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกไป

         พวกเธอมองผมอย่างอาลัยอาวรณ์ นัยน์ตาแดงก่ำ ส่วนคิมหันต์ซึ่งเด็กสุดถึงกับร้องไห้ออกมา วัสสานะต้องดึงไปกอดปลอบ คงตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อกันไปหมด ผมทำผิดพลาดโดยสมบูรณ์ ทำร้ายทุกคนในบ้าน จมดิ่งกับความรู้สึกผิดที่ทำให้พวกเขาต้องเสียน้ำตาเพราะเรื่องของผม



         ประตูถูกดึงปิดสนิท เสียงแม่กุญแจข้างนอกลั่นกริ๊ก



         ผมยกมือขึ้นปิดหน้า ปล่อยโฮออกมาเพียงลำพังในห้องสี่เหลี่ยมซึ่งเปลี่ยนสภาพเป็นที่คุมขัง



         แสงแห่งความหวังของผมดับวูบในเช้าวันนั้น




มีต่อรีพลายถัดไปค่ะ
v
v
v
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-03-2014 19:54:56 โดย RAINYDAY »

ออฟไลน์ RAINYDAY

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1247/-5
    • FB page
ยกที่ 49.5 Till the spring comes (ต่อ)



         ระหว่างที่ผมโดนสั่งให้สำนึกผิดอยู่ข้างใน ป๊าคอยเดินมาตรวจดูหน้าห้องเสมอว่าผมไม่ได้แอบหนีไปไหนทางหน้าต่าง จนเมื่อความระแวงถึงจุดสูงสุด ป๊าก็หาโซ่มาคล้องแล้วล็อคหน้าต่างแต่ละบานเอาไว้ พร่ำบ่นถึงความเกลียดชังต่อพี่เอกซึ่งผมเพิ่งได้รู้ว่าเขาโทรมานับครั้งไม่ถ้วน มาหาที่บ้านอีกครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ผมไม่เคยได้เจอเขาอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น ความชิงชังของป๊าลามไปถึงทุกคนที่รักเพศเดียวกัน ทนไม่ได้ที่จะเห็นว่ามันผิดแผกไปจากที่เคยเชื่อว่าผู้ชายต้องคู่กับผู้หญิงมาช้านาน

         น้องทั้งสามคนผลัดกันมานั่งคุยกับผมผ่านบานประตูบ่อย ๆ  ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพวกเขาเล่าอะไรให้ผมฟังเสียมากกว่า บ่อยครั้งที่เป็นเรื่องของพี่เอกกับป๊า ซึ่งดูเหมือนจะกระทบกระทั่งกันอยู่หลายครั้งตอนเขามาที่บ้าน ป๊าถึงกับเคยเรียกตำรวจให้มาลากเขาออกไป

         ผมใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตในช่วงปิดเทอมอยู่แต่ในห้อง จรดปลายดินสอลงบนประดาษ พยายามจะวาดรูปอะไรออกมาบ้าง เหมือนอย่างสมัยที่ผมอยู่ชมรมศิลปะกับพี่เอก แต่แล้วก็นึกได้ว่าผมแทบไม่เคยวาดอะไรออกมาเป็นชิ้นเป็นอันเลย มีแต่เขาที่วาดรูปผมมาตลอด สุดท้ายจึงมีแต่เส้นสายไม่เป็นรูปเป็นร่าง กับกระดาษที่พองบวมเป็นหย่อม ๆ จากน้ำตาที่ร่วงลงไป

         ผมโยนดินสอทิ้ง ฉีกกระดาษเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หันไปนั่งจมอยู่กับกระดาษวาดเขียนมากมายที่มีรูปผมอยู่บนนั้น หยิบมันมาดูทีละรูปนับตั้งแต่แผ่นแรกจนแผ่นสุดท้าย แต่ยิ่งดูก็ยิ่งคิดถึง ยิ่งทรมานหนักขึ้นกว่าเก่า ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไรแล้ว จะพยายามติดต่อผมอยู่หรือเปล่า เขาจะตัดใจไหม แล้วหากเขาตัดใจได้จริง ผมจะสามารถปล่อยเขาไปโดยไม่เห็นแก่ตัวได้หรือเปล่า

         ผมกินไม่ลง ร้องไห้จนตาช้ำแดง เรี่ยวแรงไม่รู้เหือดแห้งไปไหนหมด อยู่ในห้องนานจนเริ่มเกิดความคิดน่ากลัวอย่างตายเสียได้ก็คงดี จนกระทั่งวันหนึ่งที่ได้ยินเสียงวัสสานะจากอีกฝั่งประตูในตอนค่ำ หลังจากที่ม้ามาเก็บจานข้าวที่ผมแทบไม่ได้แตะไปแล้วเมื่อเย็น

         เธอเคาะประตู ร้องเรียกผมด้วยเสียงกระซิบ หันไปทำเสียงจุ๊ ๆ เดาว่าสิสิรกับคิมหันต์ก็อยู่แถวนั้นและรู้เห็นเป็นใจด้วย

          “เฮีย..นี่สาเองนะ”

          “....”

          “ถ้าเฮียตื่นอยู่ ช่วยมาดูนี่หน่อย พี่เอกฝากมาให้...”

         ว่าจบ กระดาษแผ่นหนึ่งซึ่งพับไว้เรียบร้อยก็ถูกสอดเข้ามาจากช่องว่างใต้บานประตู พอผมได้ยินว่าเป็นชื่อพี่เอกก็รีบไปหยิบมันขึ้นมาคลี่ดู

          “..เขามาที่บ้านอีกแล้วหรือ...”

          “...อือ..เฮียกินข้าวบ้างนะ...ทุกคนเป็นห่วงมาก...พี่เอกก็เป็นห่วง” เสียงเธอสั่นระริก ก่อนที่อะไรบางอย่างจะถูกสอดตามมาอีกจากช่องทางเดิม 


         มันเป็นลูกกุญแจ


          “...อันนี้กุญแจโซ่ที่หน้าต่าง สาไม่มีกุญแจประตู ป๊าเก็บไว้กับตัว เอามาไขให้เฮียไม่ได้ เฮียรีบไปไขกุญแจที่หน้าต่างนะ แล้วส่งคืนมาหน่อย สารออยู่ตรงนี้ เดี๋ยวจะเอาไปเก็บที่เดิมแล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ พี่เขาบอกคืนนี้จะมาหา”


         ผมจุกในอกจนพูดไม่ออก นอกจากพึ่งพาไม่ได้แล้วยังดูเหมือนจะเป็นภาระให้น้องอีก


          “..น้อง ๆ อยากให้เฮียมีความสุขนะ...”


         ผมได้ยินเสียงเธอสะอื้น


          “...เฮียต้องมีความสุขให้ได้นะ...”


   

         ผมรีบเอากุญแจไปไขปลดล็อคโซ่ที่หน้าต่าง จากนั้นก็กลับมาเขียนข้อความขอบคุณลงบนกระดาษโน้ต สอดใต้ประตูคืนให้กับเด็ก ๆ  กระซิบว่าขอบคุณซ้ำ ๆ  เช็ดน้ำตาแล้วบอกเขาว่าผมรักพวกเขาทุกคนมากเหลือเกิน


         หน้าต่างที่ถูกปิดมานานเปิดออกรับสายลมยามค่ำคืน ผมซึ่งไม่ได้เห็นท้องฟ้ามานานแล้วรู้สึกราวกับนี่เป็นอีกโลก เสียงกิ่งไม้ไหวคลอไปกับเสียงลมหวีดหวิว พระจันทร์เต็มดวงลอยเด่น ทอแสงสีเงินยวงลงมาทาบทับผืนดินพอให้มองเห็นได้ทั่วบริเวณ จดหมายสั้น ๆ ที่พี่เอกฝากน้องมาให้บอกว่าเขาจะมาหาราว ๆ สามทุ่ม ชวนไปเที่ยวที่โรงเรียนเก่า

         ผมเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ ตอนนี้เพิ่งสองทุ่มกว่าเท่านั้น แต่ผมเห็นเงาตะคุ่มบางอย่างขยับอยู่ด้านนอก ก่อนร่างคุ้นตาของพี่เอกจะมายืนอยู่ใต้หน้าต่างห้องผม


          “...พี่เอก...”


         ผมไม่กล้ากะพริบตา กลัวว่าหากคลาดจากการมองเห็นสักเพียงเสี้ยววินาที แล้วเขาจะหายไปจากผมอีก 


         เขาโบกมือให้ แต่ไม่ได้ส่งเสียงตอบ หันมองซ้ายขวาอย่างระแวดระวัง ก่อนจะถอยหลังไปนิดหน่อย โยนม้วนเชือกไนลอนขึ้นมาให้ผม มันลอยหวือผ่านหน้าผมไปแล้วหล่นตุบลงบนเตียงพอดิบพอดี

         ผมรีบคลี่มันออกจากม้วน มองหาหลักสำหรับผูกยึด ลองขยับตู้เสื้อผ้าทำจากไม้เก่าที่เห็นว่าหนักอาการ จึงได้เอาเชือกผูกไว้กับขาตู้ กระตุกดูสองสามครั้งน่าจะพอรับน้ำหนักไหว เดินกลับไปที่หน้าต่าง ทิ้งปลายเชือกลงไป ลองกระตุกแรง ๆ ดูอีกครั้ง ตู้ไม่ขยับสักนิด

         ผมสูดลมหายใจเข้าลึก มือกำเชือกไว้มั่น ก้มลงมองพี่เอกที่ยืนรออยู่ข้างล่าง จากนั้นก็ค่อย ๆ หย่อนตัวลงไปแผ่วเบา เสียหลักให้ใจหายอยู่นิดหน่อย ก่อนจะเริ่มทรงตัวได้ เอาเท้ายันผนังบ้านเอาไว้ จากนั้นก็ไต่ลงไปช้า ๆ จนอีกราวเมตรกว่าจะแตะพื้น พี่เอกก็สะกิดขาผม อ้าแขนรอรับ บอกว่าให้ปล่อยมือลงมาได้เลย

         ผมยิ้มให้เขาทั้งขอบตาร้อนผ่าว ปล่อยมือจากเชือก ทิ้งน้ำหนักลงบนร่างเขาเต็มตัวจนหงายหลัง ลงไปนั่งแอ้งแม้งอยู่บนพื้นทั้งคู่ พอตามลงไปได้ก็คว้าคอเสื้อเขาขึ้นมาไว้ในมือ ประกบปากจนแนบชิด ไม่อยากให้มีที่ว่างเหลืออยู่ระหว่างเราแม้แต่นิดเดียว

         พี่เอกจูบตอบกลับมาเร่าร้อน เต็มไปด้วยความโหยหา ล้มลุกคลุกคลานจนเนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปหมด กว่าใบหน้าเราจะแยกจากกันเพื่อหอบหายใจหนัก ๆ  ผมซุกเข้าหาเนื้อตัวอุ่น ๆ ที่บอกว่าเขามีตัวตนอยู่ตรงหน้าผมจริง ๆ  พร้อมกับที่น้ำตาร่วงผล็อยอย่างห้ามไม่อยู่


          “ทำไมถึงผอมอย่างนี้”


         ผมไม่ตอบ ความจริงคือพูดไม่ออกเลย กอดเขาไว้แน่นเหมือนกลัวว่าจะหายไปไหน


         "...ไอ้ตี๋"


          “เด็ก ๆ บอกว่าพี่มาหาที่บ้านหลายครั้ง”


          “อือ”


          “แถมยังทะเลาะกับป๊าด้วย” ผมจ้องมองใบหน้าเขา พยายามเพ่งมองและเก็บรายละเอียดทุกอย่างเท่าที่จะจดจำเอาไว้ได้ภายใต้แสงจันทร์ มุมปากเขามีรอยแผลแตกซึ่งเหมือนว่าเป็นมาสักสามสี่วันได้แล้ว นั่นทำผมใจหายวาบ “..พี่เป็นอะไรหรือเปล่า..”


          “ไม่เป็นไร..” เขาโคลงศีรษะพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ลูบหลังผมแผ่วเบา “พี่ขอโทษ”


          “..ผมก็ขอโทษ..”


          “ออกไปข้างนอกไหม? ดาดฟ้าโรงเรียนเก่า แบบที่เขียนบอกไว้ในจดหมาย” เขาเกลี่ยปอยผมที่ปรกข้างแก้มผมไปทัดหลังใบหู “สาได้เอาไปให้หรือเปล่า”


          “ให้...เห็นแล้ว แต่ตอนนี้น่ะหรือ”


          “อือ รำลึกความหลัง เดี๋ยวพากลับมาส่งก่อนเช้า”


         ผมชะงักไปครู่หนึ่ง จิตใจด้านเห็นแก่ตัวของผมตั้งคำถาม หากจะไปกับเขาคืนนี้แล้วไม่กลับมาอีกเลยได้หรือเปล่า เปิดเทอมก็ไปเรียนต่อให้จบ เรียนด้วยทำงานด้วยน่าจะพอส่งเสียตัวเองได้ ไว้จบแล้วผมจะมีบ้านสีขาว มีสวนเล็ก ๆ เอาไว้หัดวาดรูป คราวนี้ผมจะหัดวาดเขาบ้าง เลี้ยงหมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ชื่อดุ๊กดิ๊ก ว่าง ๆ ก็ชวนน้องมาเที่ยว หากตี๋เล็กได้มาเห็นเจ้าหมาขนทองที่ป๊าไม่ยอมให้เลี้ยงสักทีคงดีใจ


         ผมได้แต่เก็บความคิดนั้นไว้กับตัว รู้ดีว่าทำเช่นนั้นไม่ได้ ป๊ากับม้าจะต้องเสียใจขนาดไหนผมไม่กล้านึกเลย ภาพคนในครอบครัวกำลังร้องไห้ด้วยความผิดหวังยังติดตาผมจนตอนนี้


         ผมซ้อนมอเตอร์ไซค์เขาไปจนถึงโรงเรียนเก่า กลางคืนเงียบสงบ ในโรงเรียนมีไฟบางดวงที่เปิดทิ้งไว้ เหล่านักเรียนเก่าที่เฮี้ยวหน่อยจะรู้ดีว่ามีประตูบานไหนที่สะเดาะกุญแจแล้วลอบเข้าไปในตัวอาคารได้ง่าย เราใช้เวลาเพียงไม่นานก็ทำได้สำเร็จ ย่องลัดเลาะไปตามระเบียงคุ้นตา แปลกไปบ้างจากภาพที่เคยเห็นเพราะตอนนี้อาศัยแสงจันทร์ที่สาดส่องช่วยในการมอง โรงเรียนที่หลับใหลให้ความรู้สึกเย็นเยือกต่างไปจากตอนกลางวัน เหมือนเป็นสิ่งเดียวกันที่อยู่คนละขั้ว


         ดาดฟ้าซึ่งเชื่อมกับชั้นห้าเงียบสงบ ลมบนที่สูงพัดแรงกว่าตอนอยู่บนพื้นดิน ท้องฟ้าไร้เมฆมีพระจันทร์กลมโตลอยอยู่เหนือศีรษะ ดาวระยิบระยับแต้มผืนฟ้าราวกับกำมะหยี่ที่ประดับด้วยอัญมณีนับล้าน ไม่เคยรู้มาก่อนว่าดาดฟ้าโรงเรียนตอนกลางคืนจะสวยได้แบบนี้


         ผมหลับตา เหยียบย่างลงไปบนพื้นเย็นเฉียบด้วยเท้าเปล่า สมมติตัวเองเป็นใครสักคนในโลกนิทาน ที่ตอนจบจะได้ใช้ชีวิตกับคนที่ผมรักอย่างมีความสุขตลอดไป


          “วสันต์..”


         ผมหันไปตามเสียงเรียก เราเงียบกันอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนผมจะยกมือขึ้นชี้หน้าเขา บนดาดฟ้าโรงเรียนที่มีแค่เราสองคน ผมอยากให้เขาได้ยินชัด ๆ  จำเสียงผมไว้จนกว่าเราจะตายจากกัน คิดได้อย่างนั้นแล้วก็ตะโกนลั่นกลางสายลมที่พัดกรรโชกมาวูบหนึ่ง



          “ผมรักพี่!”




         เขาชะงักไปแวบหนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะแผ่วเบา..แล้วค่อยดังขึ้นเรื่อย ๆ  ก่อนจะตะโกนตอบผมกลับมา





         “ผมรักวสันต์ วานิชตระการกูล!”





         “ผมก็รักเอกภพ จงเจือจิต!”






          “แต่งงานกับผมไหม?”





         ผมหัวเราะ มั่นใจจริง ๆ ว่ากำลังหัวเราะเสียงดัง แต่น้ำตากลับไหลอาบเต็มสองแก้ม ครู่เดียวก็ทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ยกมือปิดหน้าปิดตา ทั้งสะอื้นทั้งหัวเราะร่าจนสับสนตัวเอง เนื้อตัวสั่นไปหมดอย่างน่าสมเพช ตะโกนตอบเขาเสียงเครือ




          “แต่งสิ! แต่งแม่งเลย!”




         พี่เอกกอดผมไว้แน่น แน่นที่สุด...แล้วก็อุ่นที่สุดเท่าที่เคยกอดมา และผมคิดว่าเขาก็ร้องไห้อยู่เหมือนกัน เพราะเสียงเขาแย่มากตอนที่พยายามฮัมเพลงออกมาตะกุกตะกัก





          “...แต่เรามีเพียงงานวิวาห์เดียวดายภายใต้แสงจันทร์  สุขสกาวดวงดาวแพรวพราวนับหมื่นร้อยพัน.."





         "...ร่วมกันเป็นพยานแห่งรัก ที่ไม่มีพิธีใดจักสำคัญ...”





         เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ที่เรากอดกันกลมเช่นนั้น ก่อนจะมานั่งเคียงกันตรงริมดาดฟ้า ต่างโอบร่างอีกฝ่ายไว้ในอ้อมแขน ศีรษะเอียงซบกันในความเงียบงัน บอกรักโดยไร้สุ้มเสียง ซึมซับความอบอุ่น ลมหายใจ ชีพจรซึ่งเต้นช้า ๆ ตามปลายนิ้ว ข้อมือ ข้อพับซึ่งสัมผัสกันอยู่ ทุกสิ่งที่บอกถึงการมีตัวตนของคนรักอยู่ข้างกาย ตั้งใจจะจดจำทุกวินาทีเหล่านี้ให้ยาวนานที่สุด



         จนกระทั่งฟ้าเริ่มสาง แสงดาวระยิบระยับใกล้ถึงเวลาเลือนหายจากสายตา



         ผมขยับตัว มองไปรอบ ๆ ใจหายจนอกเหมือนจะกลวงโบ๋ไปหมด ไม่มีคืนไหนที่ไม่อยากให้จบลงเท่านี้มาก่อนเลย


          “...พี่เอก..”


          “..กลับบ้าน...” เขายิ้ม อ่อนโยนอยู่เสมอไม่ว่าเมื่อไร “ใช่ไหม?”


          “..จะมาหาผมอีกได้ไหม”


          “ได้” เขาตอบแทบไม่ต้องคิด “เมื่อไรก็ได้ โดนต่อยอีกกี่ทีก็ได้”


          “ป๊าต่อยพี่ด้วยหรือ”


          “ไม่สำคัญหรอก..” เขายิ้ม จูบหน้าผากผมแผ่วเบา “ให้ตายยังได้เลย”



         “งั้นก็ตายซะ!”



         ผมสะดุ้งสุดตัว เสียงป๊า!?



         “พวกแกนี่มัน...!”



          “ป๊า!”



         ผมไม่รู้ว่าป๊ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร วัสสานะวิ่งตามขึ้นมาติด ๆ หลังจากนั้นก็เป็นสิสิร คิมหันต์ และม้าที่หอบฮัก ๆ ตามมาถึงเป็นคนสุดท้าย น้องสาวคนโตของผมน้ำตานองหน้า วิ่งมากอดเอวป๊าจากข้างหลัง ตะโกนว่าเธอบอกเรื่องที่ป๊าอยากรู้แล้ว แต่ไหนป๊าบอกจะไม่ทำอะไรรุนแรง


         ตอนนั้นเองที่ผมสังเกตเห็นว่าป๊ามีปืนอยู่ในมือ และกำลังเล็งไปทางพี่เอก


          “ไอ้เลว!”


          “ป๊า..เดี๋ยวก่อน!” ผมละล่ำละลัก ยกมือขึ้นสองข้างแล้วรุดไปขวางอยู่หน้าเขา ขณะที่พี่เอกก็พยายามดันผมออกไปทางอื่น “..ผมหนีมาเอง ผมขอโทษ ผมจะกลับบ้าน ผมยอมแล้ว...จะ...จะไม่.....ไม่ติดต่อกับเขาอีกแล้ว....จะทำตามที่ป๊าสั่งทุกอย่าง.....ผมไม่—”


          “งั้นป๊าสั่งให้แกหลบไป!”


          “...ป๊า...”


          “หลบไป!” ป๊าตะคอก “กูจะระเบิดหัวมันทิ้ง!”


         ผมเบิกตากว้าง โคลงศีรษะไปมา การมองเห็นเลือนรางทั้งที่ฟ้าเริ่มสางเพราะมีแต่หยดน้ำมาบัง พี่เอกผลักผมเซมาอีกทางจนพ้นระยะที่อาจโดนลูกหลง จากนั้นก็ชูสองมือขึ้นบนอากาศ พูดกับป๊าชัดถ้อยชัดคำ


         “ผมรักวสันต์...ต่อให้ป๊าจะยิงหัวผม....ผมก็จะตายไปทั้งที่ยังรักเขา”


         “งั้นก็ตายไปพร้อมกับความรักวิปริตของแกนั่นแหละ!”


         “หยุด!”


         ผมตะโกนเสียงดังลั่นจากบนกำแพงเตี้ย ๆ ที่กั้นบนขอบดาดฟ้า เสียงลมอื้ออึงผ่านใบหู มองพวกเขาทุกคนจากมุมสูง

         “..ถ้าป๊ายิงเขา...”

         เสียงผมไม่มั่นคงเลย พอกับที่เท้าซึ่งเหยียบบนพื้นที่แคบ ๆ ก็สั่นระริก ผมสูดลมหายใจเข้าลึก เอ่ยให้หนักแน่นมากขึ้นหลังจากกลืนก้อนสะอื้นหายไปในคอ


         “ถ้าป๊ายิงพี่เอก...ผมจะโดดลงไป...จากตรงนี้”


         “เฮีย!” น้องทั้งสามส่งเสียงเรียกร้อนรน "..ยะ..อย่าทำแบบนั้น"


         ผมมองพวกเขา..แต่ยิ่งเห็นก็ยิ่งเจ็บปวด รู้สึกตัวเองช่างเป็นพี่ชายที่ไม่ได้เรื่อง ทำให้เด็กพวกนี้ต้องร้องไห้ครั้งแล้วครั้งเล่า


          “ไอ้ตี๋...”  ป๊าเสียงสั่น มองผมด้วยสายตาผิดหวังและรวดร้าว คงไม่มีพ่อคนไหนคาดว่าจะได้ยินลูกตัวเองพูดจาอย่างที่เพิ่งออกจากปากผม


         ผมยกมือไหว้ป๊า ลมพัดแรงจนยืนเซ คร่ำครวญอย่างน่าสมเพชทั้งน้ำตาอาบแก้ม


          “ผมขอโทษ ขอโทษที่เป็นลูกที่ดีให้ป๊าไม่ได้ เป็นพี่ชายที่ไม่เอาไหน ขอโทษที่ไม่เชื่อฟัง ขอโทษที่ไปรักคนที่ป๊าเห็นว่าเป็นเรื่องผิดทำนองคลองธรรมอย่างร้ายกาจ ผมรักพี่เอก...แต่ผมจะไม่ยุ่งกับเขาอีกแล้ว....ป๊าปล่อยเขาได้ไหม....ผมสัญญา ผมจะทำตามที่ป๊าต้องการทุกอย่าง ถ้าผิดคำพูดขอให้ไม่ตายดี....นะป๊า....ชีวิตนี้ผมจะไม่ขออะไรป๊าอีกแล้ว...”


         ป๊ายืนจ้องหน้าผมนิ่งงัน ฟ้าสว่างพอจะมองเห็นรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดเจน ความโศกเศร้าจู่โจมผมหนักหน่วงเมื่อได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับทุกคนที่ผมรักบ้าง ผมไล่มองพวกเขาทีละคน จนมาหยุดอยู่ที่น้องเล็กซึ่งยืนร้องไห้จ้า คิมหันต์ช่างน่าสงสาร เขายังเด็กที่สุด แต่กลับต้องมาเจอกับเรื่องราวที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนก่อสักนิด ทั้งที่เขาควรจะได้เติบโตขึ้นอย่างสดใสเหมือนกับฤดูร้อนแท้ ๆ


         ป๊าลดปืนลง ตาแดงก่ำและมีหยดน้ำเอ่อคลอ โคลงศีรษะไปมาอย่างขัดใจ เมื่อพอจะสงบสติอารมณ์ได้ก็ตะคอกใส่พี่เอกให้รีบไสหัวไปเสีย ก่อนเขาจะทนไม่ไหวต้องเอาปืนเล็งหัวเข้าจริง ๆ  แต่พี่เอกกลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิม


          “พี่ไปสิ” ผมกระซิบเสียงอ่อนแรง บอกเขาด้วยสายตาว่าอย่าให้ความพยายามของผมต้องสูญเปล่าเลย ก่อนที่ป๊าจะตะคอกอีกครั้ง


          “ไป!”


         วัสสานะเป็นคนไปดึงพี่เอกออกห่างในที่สุด ผมเห็นเธออ้อนวอนอะไรสักอย่างกับเขาซึ่งผมไม่ได้ยินจากตรงนี้ ขณะที่ป๊าหันมาเผชิญหน้ากับผม



          “วสันต์..กลับบ้าน!”



         แม้จะได้ยินป๊าสั่งอย่างนั้น แต่ขาผมกลับไม่สามารถก้าวออกไปจากจุดเดิมได้



         ...ผมจะทำตามที่ป๊าต้องการทุกอย่าง...



         ทั้งที่เพิ่งบอกไปเองแท้ ๆ แต่จิตใจส่วนลึกของผมคล้ายจะยังดื้อดึง ตรึงขาให้หยุดนิ่งแค่ตรงนั้น จนป๊าต้องเรียกซ้ำอีกครั้งเป็นการกระตุ้น



         "ไอ้ตี๋!?"



         ..หากผิดคำพูด..ขอให้ไม่ตายดี...




         ผมขยับขา แต่ทำได้ไม่ดีนัก สายลมกรรโชกบนที่สูง พร้อมกับที่ตัวผมซวนเซ.. 




         และเอนตัวไปข้างหลัง




         ทั้งร่างผมหงายลงไปบนความเวิ้งว้างของอากาศ มันก้ำกึ่งเหลือเกิน...ไม่มีใครรู้ว่าเป็นความตั้งใจของผมหรือเป็นอุบัติเหตุ เสี้ยววินาทีนั้น ผมพร่ำขอโทษป๊ากับม้าอยู่ในใจ หัวผมเต็มไปด้วยความเป็นห่วงน้อง ๆ  แต่วัสสานะคงเป็นเจ้ใหญ่ให้น้องอีกสองคนพึ่งพาได้ ต่อไปนี้เธอจะเป็นพี่สาวคนโตอย่างแท้จริง




         สายลมหวีดหวิวอยู่ข้างหู พี่เอกถลาเข้ามาจะคว้ามือผม




         ทว่าสายไปเสียแล้ว




         เขากรีดร้องปริ่มว่าจะขาดใจ เหลือสิ่งที่ผมจะทำให้เขาได้อีกเพียงแค่อย่างเดียวคือยิ้มให้ แม้ในขณะที่เขากำลังร้องไห้



         แวบหนึ่งผมนึกถึงบ้านสีขาวที่มีสวนหย่อมและขาตั้งสำหรับวาดรูป หมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์แบบเจ้าโรลล์ที่ผมจะตั้งชื่อมันว่าดุ๊กดิ๊กอย่างคิมหันต์เคยบอก รูปเหมือนของผมที่เขาเป็นคนวาดมัน ชิ้นแรกจนชิ้นสุดท้าย..



         ทั้งหมดถูกเก็บไว้อย่างดีในตู้ แต่ผมจะไม่มีวันได้เห็นอีกแล้ว ยังไม่ได้เล่าให้คิมหันต์ฟังจากปากอย่างที่เคยสัญญาเลยด้วยซ้ำ ว่าทำไมพวกมันจึงสำคัญสำหรับผมนัก




         ลูกอมรูปหัวใจที่ผมเคยให้เขาเมื่อตอนประถมสี่...เขาจะยังเก็บไว้หรือว่ากินไปแล้วกันนะ




         สติ๊กเกอร์หัวใจที่เขาเคยแปะอกเสื้อผมยังนอนสงบนิ่งในแฟ้มที่ห้องอยู่เลย




         .....ดินสอไม้...สีน้ำ....ถ่านชาร์โคล.....กระดานวาดรูป....




          “วสันต์!”




         นั่นชื่อผม...ฤดูใบไม้ผลิ บางทีอาจได้เกิดใหม่อีกครั้งในอ้อมแขนเขา...เหมือนกับต้นไม้ที่แตกใบใหม่






         ผมร่วงดิ่งลง หวาดกลัวเหลือเกิน...แต่จะไม่หลับตา







         ตั้งใจจะมองหน้าเขาจวบจนวินาทีสุดท้ายมาถึง..













- TILL THE SPRING COMES –



















‘ชอบฤดูอะไรที่สุด’



เคยมีเพื่อนสักคนถามผมอย่างนั้น



‘ฤดูใบไม้ผลิ’







สายลมโชยเอื่อย..ต้นแก้วผลิใบใหม่สีเขียวอ่อน


ผมแช่พู่กันไว้ในแก้วน้ำ ยังไม่ได้เอาไปล้าง ตั้งใจจะปล่อยมันไว้อย่างนั้นก่อน อยากนั่งอยู่ตรงนี้อีกสักพัก บนเก้าอี้ไม้ตรงหน้าขาตั้งวาดรูป เฝ้ามองสีน้ำที่ยังไม่แห้งดีถูกซึมซับลงบนแผ่นกระดาษช้า ๆ


"ดอกชวนชมก็บานแล้ว...นายเห็นไหม.."


เจ้าโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ที่หลับอุตุมาตลอดเงี่ยหูฟังเสียงผม เงยหน้าขึ้นทำตาแป๋วใส่ ครู่หนึ่งก็ทิ้งตัวลงกลิ้งไปมา เอาตัวถูหลังเท้าผมอย่างออดอ้อน เงยขึ้นมองหน้าอีกครั้ง เว้าวอนจนต้องเอื้อมมือไปเกาหูเกาคางให้


“..อ้อนจริงดุ๊กดิ๊ก..”


เจ้าอ้วนครางหงิง ล้มตัวลงนอนแผ่


ผมย่อตัวลงไป มือเกาพุงสมาชิกร่วมบ้านเพียงหนึ่งเดียวไปด้วย ทอดสายตาเหม่อมองไปไกลในความเวิ้งว้างของผืนฟ้า สูงขึ้นไปจนสุดลูกหูลูกตา เฝ้าหวังว่าเขาก็อาจมองเห็นผมที่ตรงนี้...กับรูปวาดของเขาที่เติบโตขึ้นทุกวันไปพร้อมกับตัวผมเอง



“เห็นหรือเปล่า...”


บ้านสีขาวและการตกแต่งอย่างที่เขาจะต้องชอบ สวนหย่อมเขียวชอุ่ม ขาตั้งวาดรูป เจ้าตูบโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ที่ชื่อดุ๊กดิ๊ก...


...ทั้งที่มีครบหมดแล้ว



“...ขาดแค่นายคนเดียว”



ผมนั่งอยู่ตรงนั้นจนเย็นย่ำจึงเก็บอุปกรณ์ เดินเข้าไปในบ้าน ตรงไปยังห้องสีขาวซึ่งอยู่ลึกที่สุด ว่างเปล่าที่สุด...แต่ก็เต็มไปด้วยความหมายมากมายที่สุด...


เฟอร์นิเจอร์ชิ้นเดียวในนั้นคือเก้าอี้สีขาวที่วางอยู่กลางห้อง รอบตัวมีรูปวาดนับร้อยติดอยู่บนผนัง ไม่รวมที่เก็บไว้โดยไม่ได้แขวนหรือใส่กรอบ






‘ชอบฤดูอะไรที่สุด’



เคยมีเพื่อนสักคนถามผมอย่างนั้น



‘ฤดูใบไม้ผลิ’



‘บ้าหรือ? บ้านเรามีที่ไหนกัน’



ผมแปะรูปที่เพิ่งวาดเสร็จวันนี้ไว้ตรงที่ว่างบนผนังห้อง คิดถึงคนในรูปจนแทบขาดใจ



"มีสิ"





หลายปีที่ผ่าน...ผมมีชีวิตอยู่กับฤดูใบไม้ผลิทุกวัน






...และไม่สามารถรักใครได้เทียมเท่าเขาอีกแล้ว..










---------------------------



.5 ครั้งนี้ขอยกให้เฮียใหญ่ค่ะ //พรากกก เขียนไปน้ำหูน้ำตาไหลไป ยาวมากกก ยาวสะใจไปเลย ตอนแรกจะตัดแบ่งสองตอน แต่หยั่งเสียงคนอ่านในทวิตเตอร์บอกว่าอ่านไหว จัดไปเลยทีเดียวค่ะ แฮ่ก ๆ  เอาให้ตาแฉะ อย่างกับกำลังเขียนเรื่องสั้นอีกเรื่องเลยทีเดียว

หมายเหตุ - อันนี้เป็นเรื่องในอดีตของอดีตนะคะ ปัจจุบันของตอนนี้คือย้อนหลังไปเมื่อตอนเฮียใหญ่ยังมีชีวิตและคิมหันต์ราว ป.3 แล้วเฮียใหญ่ก็ยังนึกย้อนหลังไปอีกตั้งแต่สมัยตัวเองอยู่ประถม เลยอาจจะมีพูดถึงจดหมาย เกมบอย แผ่นซีดี หรือมือถือที่สมัยนั้นเป็นของหายากพอสมควร พยายามนึกย้อนกลับไปเต็มที่ค่ะ 555

ของแถมยังก่อนละกันเนอะคะ นี่ก็กินพื้นที่หลายกระทู้แล้ว เดี๋ยวค่อยรอแปะยกหน้า หากใจร้อนส่องก่อนได้ที่ทวิตเตอร์หรือ fb เช่นเคยค่ะ ^^

แล้วพบกันตอนหน้า กับเฮียเพี้ยนตี๋เกรียนรุ่นปัจจุบัน ซึ่งมีอะไรคล้ายพี่เอกกับเฮียใหญ่หลายอย่าง ทั้งความต่างของอายุ หน้าตาฝ่ายเคะ วิธีพูดหลายจุดก็คล้ายกันด้วย (ก็พี่น้องนี่) คณะที่เรียน ฯลฯ ตามที่กล่าวในเนื้อเรื่องค่ะ ส่วนเฮียใหญ่ตั้งใจโดดลงไปหรือเป็นอุบัติเหตุ อันนี้ทิ้งไว้ให้คิดต่อได้ตามอัธยาศัย คนอ่านเชื่ออย่างไรก็เป็นอย่างนั้นค่ะ lol


อนึ่ง ชื่อฤดู อ้างอิงจากเว็บราชบัณฑิตยสถาน ตามนี้นะคะ http://www.royin.go.th/th/knowledge/detail.php?ID=1036

กอดคนอ่าน ขอบคุณที่มาแวะเวียน พบกันยกหน้าค่า ม้วฟฟฟฟ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-03-2014 19:58:12 โดย RAINYDAY »

ออฟไลน์ เฉาก๊วย

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +251/-6
เศร้าอย่างจุใจ   :sad4: :sad4: :sad4:


ยิ่งอ่านก็ยิ่งเศร้า  เขาสองคนรักกันมากๆ เลย น่าเศร้าที่รักนี้ไม่สมหวัง แถมยังจบด้วยการลาจากที่ทุกคนต่างก็ต้องเสียใจ

เศร้าจัง  ป่านนี้พี่เอกจะเป็นอย่างไรบ้างนะ   :เฮ้อ:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-08-2013 22:06:29 โดย เฉาก๊วย »

ออฟไลน์ OrangeryLemon

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0

เศร้าสุดใจ

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
โอยไม่ไหว สงสารเฮียใหญ่เหลือเกิน
รักกันมานานต้องมาลงเอยแบบนี้
คนอ่านใจจะขาดตาม

ออฟไลน์ narunarutoboyz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 595
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
 :z13:   จิ้มไว้ก่อนนนนนนนนน

-----------------------------------------

ตั้งใจว่าอ่านเสร็จแล้วจะเม้นยาวซะหน่อย...เเต่พอได้อ่านแล้วบอกได้คำเดียวเลยค่ะว่าเม้นไม่ออก :m15:
ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องเฮีย.....ไอ้ตอนเเรกที่ว่าอยากรู้.....พอรู้แล้วก็ไปไม่เป็นเลยค่ะ
ที่ไปได้อย่างไหลลื่น....จะมีก็แต่น้ำตานี่แหล่ะ ไหลเอาๆ.....เฮ้ออออออ
เฮียน่าสงสารมากเลยนะคะ อ่านมาก็หลายเรื่อง ไม่ใช่ว่าไม่มีปัญหาพ่อแม่ไม่ยอมรับนะ
มันก็มี...แต่ไม่แย่ถึงขั้นตายจากกันแบบนี้นี่นา...
ไม่เอาแล้วไม่อยากรู้คนที่เหลือแล้วว่าจะมีชีวิตอยู่ยังไง ขอให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
จงเดินก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความสุขนะ รวมถึงตี๋เล็กด้วยนะ
หวังว่าป๊าจะไม่ใจร้ายให้โศกนาฏกรรมมันเกิดขึ้นอีก ทุกคนทุกข์กับการจากไปของเฮียมากพอแล้วเนอะ
เป็นกำลังให้ทุกคนข้ามผ่านดราม่าครั้งนี้ไปให้ได้นะคะ ยังคงเชื่อว่าทุกคนมีเรื่องราวของเฮียเป็นบทเรียนกันแล้ว

เฮียช่วยตี๋เล็กด้วยนะคะ

เป็นกำลังใจให้เรนนี่เหมือนเดิม และรอติดตามตอนต่อไปอย่างมีความหวังจ้าาา
 :กอด1: :L2:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-08-2013 21:57:15 โดย narunarutoboyz »

ออฟไลน์ TIKA_n

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +308/-4
ตอนนี้... เขียนอะไรไม่ค่อยออกเลย มันจุก มันเศร้า... เศร้าจริง ๆ
อ่านไป น้ำตานองหน้าไป เฮียที่แสนดีอย่างนี้
ทำให้นึกไปถึงว่า ถ้าเฮียยังอยู่กับน้อง ๆ ด้วยตอนนี้ จะดีแค่ไหน
ทำไมเกิดเรื่องเศร้าขึ้นขนาดนี้ ป๊ากลับไม่คิดอะไรขึ้นได้บ้างเลย
มันอาจจะไม่ดี แต่ที่เฮียต้องจบชีวิตแบบนี้ ก็เพราะป๊านั่นแหละ
คน ๆ นึง ที่จะมีอนาคตที่สดใส มีชีวิตรักที่มีความสุข กลับต้องเป็นอย่างนี้
เราอาจไม่กตัญญูเหมือนเฮีย เพราะเราคิดว่าถ้าเฮียหนีไปกับพี่เอกก็คงดี
แล้วตอนนี้พี่เอก เป็นยังไงบ้างนะ อยากรู้จัง ยังยึดมั่นในรักของเฮียอยู่มั้ย
อ่านแล้ว พอมองปัจจุบัน เหมือนเห็นคู่ทับซ้อนกับ พี่ภพและน้องครีม ตอนนี้เลย
หวังว่าบทเรียนที่ป๊าทำกับเฮีย คงเป็นสิ่งเตือนใจ ให้ไม่ทำกับน้องครีมอย่างนั้นบ้าง
อา... ยิ่งเขียนก็ยิ่งเศร้า ยังไงก็ขอบคุณคนเขียนค่ะ

ออฟไลน์ nekko

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +422/-4
เศร้ามากกกกๆๆๆๆๆๆ   น้ำตาไหลสงสารเฮียใหญ่ พี่เอก :o12: :o12: :o12:


 :กอด1: :L2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด