● เล่ห์รักฤดูร้อน ●
ยกที่ 53 – มือใหม่หัดรุก
คิมหันต์หยิบกระดาษทิชชูเช็ดปากอย่างเรียบร้อย สงบเสงี่ยมกลางร้านเนื้อย่างแบบที่หากปิ่นหยกมาเห็นคงโวยวายว่าโง่ฉิบหาย มีคนออกปากจะเลี้ยงแล้วทำไมไม่รู้จักกินให้คุ้ม ปล่อยควันคลุ้งเต็มหน้าโดยกระเพาะเพิ่งถูกเติมไปได้ไม่ถึงครึ่ง
“ทำไมกินน้อย?”
ดูเหมือนชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็คงคิดแบบเดียวกัน
“เมื่อเที่ยงผมซัดไปเยอะอะ” เขาแถหน้าซื่อ ไม่ยอมบอกความจริงเรื่องเกรงว่าหากยัดทะนานมากเกินไปในมื้อนี้ เกิดมีอะไรเสี่ยงจะแปดเปื้อนผ้าขาวบริสุทธิ์อย่างเขา (เอาน่ะ...ผ้าขาวที่โตป่านนี้มันก็มีสีตกบ้างละ!) เดี๋ยวตอนนั้นจะมัวแต่อึดอัดหนักพุง เอาตัวรอดไม่ได้ละยุ่งเลย
“กลัวพุงออกหรือ?”
“มีพุงที่ไหน” เขาทำหน้ายุ่ง บ่นอุบอิบแต่มือยังเผลอลูบท้องตัวเองเบา ๆ “มีแต่กล้ามแน่น ๆ”
สามภพหัวเราะ โคลงศีรษะไปด้วยเหมือนเห็นเป็นเรื่องตลก “เดี๋ยวไปพิสูจน์ จับครั้งก่อนมีแต่ไส้แห้งกะหร่อง”
“เอ๊อ! ใครจะล่ำอย่างเฮียเล่า”
ชายหนุ่มปล่อยเขาบ่นหงุงหงิงไปเรื่อยเปื่อย ไม่เถียงสักคำ ใบหน้าซึ่งปกติเคยทำโหดใส่มาก่อนเมื่อนานมาแล้ว ตอนนี้กลับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เผลอมองเข้าก็อดไม่ได้จะใจเต้นแรงผิดปกติ ตั้งแต่เมื่อไรกันที่ชอบมองมาด้วยสายตาแบบนั้น แล้วเวลาอยู่กับคนอื่นจะเป็นแบบเดียวกันหรือเปล่า ว่าไปเขาก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นสามภพเวลาอยู่ในกลุ่มเพื่อนเท่าไรเลย
“..เฮียเพี้ยน”
“หือ?”
“ตอนอยู่โรงเรียนหรือว่าที่มอ มีเพื่อนคบมั่งปะ”
ไอ้เด็กเวรนี่“มีอะไรข้องใจรึไง” สามภพว่าพร้อมระบายลมผ่านริมฝีปากอ่อนใจ เอานิ้วดีดหน้าผากเขาเบา ๆ ทีหนึ่ง
“แบบว่าอยากรู้” เด็กหนุ่มยกมือลูบหน้าผากตัวเองตรงที่เพิ่งโดนดีดแก้เก้อ “ไม่ค่อยเห็นพี่อยู่กับใคร สงสัยไม่มีคนคบเพราะนิสัยเสีย”
“ปากเรอะ!”
“ทั้งที่บางครั้งก็ดูออกจะใจดี”
“...”
“อ่า..ช่างเหอะ”
เด็กบ้า..ไอ้เด็กบ้า คิมหันต์สงสัยอย่างที่พูดจริง ๆ หรือแกล้งถามเรียกคะแนนนิยมสามภพก็สุดจะคาดเดา แต่ผลออกมาถือว่าทำได้เยี่ยม มันน่านักเชียวกับนิสัยถามตรงอย่างนี้ อธิบายยากเสียจริงว่าเป็นพวกมากเล่ห์หรือตรงไปตรงมากันแน่
“เพื่อนไม่ค่อยคบจริงนั่นแหละ” เขายักไหล่ อดไม่ได้จะเอามือยีผมไอ้ตัวแสบเบา ๆ ไปด้วย หมดอารมณ์อยากอาหารเสียสิ้น ถูกแทนด้วยความเอ็นดูท่วมท้น ทั้งที่ในโรงหนังก่อนหน้านี้ยังท้องร้องอยู่เลย
“ผมก็ว่า..” คิมหันต์หัวเราะ หดคอหนีเล็กน้อยแล้วขยับตัวเองเข้าไปนั่งชิดกำแพงหลบจากสายตาผู้คน ตบโต๊ะแปะ ๆ ชอบใจ แก้มแดงอยู่เช่นเดิมขณะที่กระซิบกระซาบไปด้วย “เฮียต้องยิ้มบ่อย ๆ รู้ปะ อย่าแยกเขี้ยวใส่คนอื่นนัก”
“ปกติก็ไม่ได้แยกเขี้ยวใส่ใครสักหน่อยนี่”
“ผมไม่รู้หรอก” เขาว่า “ผมไม่ค่อยเห็นพี่อยู่กับคนอื่น”
สามภพมองเขาอย่างชั่งใจ เลิกคิ้วน้อย ๆ จากนั้นก็ส่ายหน้า ไม่เก็บคำพูดมาเป็นประเด็น โบกมือไปมาตรงหน้าเด็กหนุ่ม “เรื่องนั้นไม่สำคัญสักหน่อย”
คิมหันต์ทำปากขมุบขมิบอย่างล้อเลียน บ่นว่าไม่เห็นมีอะไรสำคัญสำหรับสามภพสักอย่าง แต่อีกฝ่ายทำเหมือนไม่ได้ยิน เรียกพนักงานเก็บเงิน ไม่พูดถึงเรื่องนั้นอีก เดินกอดคอเขาหลวม ๆ ออกจากร้าน มองโดยไม่คิดอะไรมากคล้ายเป็นพี่น้องที่สนิทกัน น่าสงสัยอยู่นิดหน่อยตรงหน้าตาและรูปร่างห่างไกลจากคำว่าพี่น้อง พวงแก้มแดงเรื่อของคนตัวเล็กกว่านั้นช่างไม่เอื้อ และดวงหน้าชายหนุ่มที่คิมหันต์ลงความเห็นว่าน่าจะชอบแยกเขี้ยวใส่ผู้คนอยู่เป็นนิจกลับดูอบอุ่นอย่างประหลาด
“มีสิ”
สามภพเอ่ยขึ้นลอย ๆ เมื่อเดินมาได้ระยะหนึ่ง นิ้วมือขยำเบา ๆ บนเส้นผมแถวท้ายทอยคนข้างกายอย่างรักใคร่..แม้ดูออกจะเหมือนเล่นกับลูกหมาไปสักหน่อย
“มีอะไร?” คิมหันต์ย่นคิ้วพร้อมส่งสายตาสงสัยไปยังชายหนุ่ม แต่อีกฝ่ายกลับเบือนหน้าหนี พึมพำคำตอบไม่ตรงคำถาม
“ที่เดินทำหน้าบื้ออยู่ข้าง ๆ นี่ไง”
"??"
เขาเซ้าซี้อีกครู่หนึ่ง แต่สามภพกลับโยนอะไรที่เริ่มมาแล้วทิ้งไปอย่างง่ายดาย จนพวกเขากลับมานั่งเรียบร้อยบนรถ คาดเข็มขัดนิรภัย เปิดเพลงเกาหลีที่นับวันเหมือนจะมีมากขึ้นในรถคันนี้
“บื้อจริง ๆ ด้วย”
สามภพบ่น จากนั้นก็หัวเราะแผ่วเบา ขับออกไปโดยไม่ถามความสมัครใจว่าจะไปไหนต่อ
ท่ามกลางแสงไฟสว่างไสวยามค่ำคืน พวกเขากลับมาอยู่บนเส้นทางสายเก่า ทางไปคอนโดฯของสามภพเริ่มคุ้นตาพอกับทางกลับบ้านตัวเองแล้ว
เขาเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของชายหนุ่มหลังพวงมาลัยแวบหนึ่ง ตั้งใจจะไม่ให้เห็นว่ากำลังลอบสังเกตอยู่ ความคิดเดิมวกกลับมาอีกครั้ง ก่อนจะเผลอกลั้นหายใจ เมื่อนึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นมาดื้อ ๆ ระหว่างทางตอนเดินกลับมายังลานจอดรถ
ไม่เห็นมีอะไรสำคัญสำหรับสามภพสักอย่าง...เขาบ่นหงุงหงิงอย่างไร้สาระไว้อย่างนั้น ก่อนชายหนุ่มจะเงียบไปนาน จนคิมหันต์ลืมสนิทว่าตัวเองตัดพ้อเรื่องอะไรทิ้งไว้ ต่ออีกทีเป็นหนังภาคสองที่ห่างจากภาคแรกจนคนเลิกจำ
‘มีสิ’เสียงนั้นก้องชัดเจนอยู่ในหูเลยเชียว
'ที่เดินทำหน้าบื้ออยู่ข้าง ๆ นี่ไง'“...เฮียน่ารักว่ะ”
ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก ชัดเจนว่ารู้ตัวแต่แรกแล้วเรื่องถูกแอบมอง
“ไอ้ลูกหมาเอ๊ย”
“เชี่ย!”คิมหันต์สบถเสียงอ่อน ก้มจนคางแทบชิดอก นั่งหน้าร้อนผ่าวกับตัวเองอยู่เงียบ ๆ น่าแปลกที่เสียงหัวเราะอ่อนโยนของสามภพน่าฟังยิ่งกว่าเพลงโปรดของเขาเสียอีก
แม้จะกล้า ๆ กลัว ๆ แต่คิมหันต์ก็ตามสามภพมาถึงคอนโดฯอีกแล้ว
จะว่าตามอาจไม่ถูกนัก บางทีอาจต้องเรียกว่าโดนหิ้วมา..โดยไม่ได้ขัดขืน เป็นความเคยชินซึ่งคิดให้ดีก็น่าตกใจ แต่เด็กหนุ่มสัญญากับตัวเองว่าจะระมัดระวังให้ถึงที่สุด
สภาพห้องของสามภพเป็นเหมือนเดิมทุกประการ โต๊ะ ตู้ เตียง โซฟาตัวโปรดของเขา (ใช่..ของเขา แม้มันจะอยู่ในห้องอีกฝ่าย แต่เขาทำหน้าด้านอ้างสิทธิ์เป็นของตัวเองเรียบร้อย) เขาเดินร่อนไปหยุดอยู่หน้าตู้เย็น เปิดออกรื้อค้นเหมือนเห็นเป็นขุมทรัพย์ย่อม ๆ ในนั้นมักมีขนมจุกจิกอย่างที่เขาชอบเสมอ และคิมหันต์เชื่อว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แรก ๆ นั้นยังไม่ชัดเจนนัก แต่ยิ่งมาบ่อยครั้งก็ยิ่งมั่นใจกับจำนวนของพวกมันซึ่งนับวันก็เพิ่มขึ้นเรื่อย
เขากวาดตาจนทั่ว รู้สึกโล่งใจนิดหน่อยที่ไม่เห็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยู่ในนั้น อย่างน้อยก็ตัดปัญหาเรื่องอาจมีใครเมาแล้วสถานการณ์เลยเถิด สำรวจจนแน่ใจ กระทั่งสายตามาจบที่ฝาประตูตู้ มองเห็นน้ำอะไรสักอย่างสีแดงใสอยู่ในขวดพลาสติก หยิบขึ้นมาพลิกดูไม่มีฉลากระบุ
“เฮีย นี่อะไรอะ” เขาถาม ยกขวดขึ้นให้อีกฝ่ายดู
สามภพเหลือบมาแวบหนึ่ง แล้วหันไปถอดเสื้อเชิ้ตตัวเองโยนลงตะกร้าผ้าใช้แล้ว พึมพำตอบเขาโดยไม่สบตาคู่สนทนา โชว์แผ่นหลังกว้างเปล่าเปลือยซึ่งกำลังก้ม ๆ เงย ๆ ทำอะไรสักอย่างหน้าตะกร้า
“น้ำกระเจี๊ยบ”
“ผมกินนะ” เด็กหนุ่มเลิกคิ้วคล้ายรอคำอนุญาต แต่อีกฝ่ายยังไม่ทันพยักหน้าก็แกะเปิดฝาเรียบร้อย นี่ก็ของชอบเขาอีกอย่าง แบบเดียวกับสมัยมัธยมที่จะมีขายประจำหน้าโรงเรียนตอนเย็น และโดนปิ่นหยกแย่งกินฟรีบ่อย ๆ สามภพรู้อะไรเกี่ยวกับเขามากกว่าที่คิดเสียอีก
คิมหันต์เปิดโทรทัศน์ไว้ไม่ให้ห้องเงียบเกินไป เงียบไปมักเขินง่าย แต่เปิดปุ๊บก็เจอเลิฟซีนในหนังรอบดึกสักเรื่องปรากฏขึ้นมาทันที เล่นเอาเปลี่ยนไปหาช่องอื่นมือเป็นระวิง เจอข่าวที่เขาไม่ได้สนใจนักก็ปล่อยไว้อย่างนั้น ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา ข้างกระเป๋าเป้ซึ่งยัดเสื้อผ้าและหนังสือส่วนหนึ่งติดมาด้วย รู้อยู่แล้วว่าอย่างไรก็ค้าง ข้อเท็จจริงนี้รวมทั้งสำหรับรูมเมทขาประจำอีกสองคนที่เห็นเป็นเรื่องปกติ ดูจากสายตาวาววับของพวกนั้นยามจ้องมองมา มั่นใจว่าธนธรกับซาราห์ต้องไม่เชื่อแน่นอนว่าเขายังรักษาประตูหลังตัวเองไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ใครจะรู้ เอาเข้าจริงสามภพอาจเป็นฝ่ายรับก็ได้ อย่างคำกล่าวของปิ่นหยก (ผู้ล้มเหลวซ้ำซากจนน่าสงสาร) ว่าส่วนสูงไม่มีผลในแนวระนาบ
เขาเหลือบตาเพื่อจะมองคู่กรณีนิดหน่อยหวังประเมินสถานการณ์ และพบว่าชายหนุ่มไม่ได้ง่วนกับตะกร้าผ้าตัวเองอยู่ที่เดิมเสียแล้ว กวาดตาดูทั่วห้องก็ไม่อยู่ เดินโต๋เต๋ไปเรื่อยจนได้ยินเสียงน้ำไหลและประตูห้องน้ำซึ่งถูกปิดล็อคไว้จึงสรุปเองได้
สามภพหนีไปอาบน้ำเรียบร้อย ทำเหมือนไม่ได้มีเขายืนหัวโด่อยู่ในห้องอีกหนึ่งชีวิต ปล่อยนั่งพะวงเป็นบ้าอยู่คนเดียวตั้งนานมันน่าไหม?
“เฮียเพี้ยนแม่ง!”
เขาอุบอิบ เดินกลับมานั่งแหมะที่เดิม ซัดน้ำกระเจี๊ยบย้อมใจที่เหลือหมดขวด ก่อนจะนึกได้ว่านี่มันเรื่องน่าดีใจมากกว่าไม่ใช่หรือที่อีกฝ่ายไม่ได้ฉวยโอกาสกับเขา จะมากระฟัดกระเฟียดให้น่าหมั่นไส้ตัวเองเพื่ออะไร
หลังจากถอนหายใจยาวเหยียดหนึ่งครั้งอย่างไร้เหตุผล..หรือถ้าจะมีก็ช่างหัวมันเถอะ เด็กหนุ่มหันไปปิดโทรทัศน์เสีย รื้อกระเป๋าตัวเอง หยิบโจทย์เคมีอินทรีย์ที่ยังค้างอยู่จากในคาบขึ้นมานั่งทำ กระดิกนิ้วเท้าไปมาระหว่างครุ่นคิด ครู่ใหญ่พ้นผ่านก็ตกอยู่ในภวังค์ของสารประกอบอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอนโดยสมบูรณ์ หน้าดำคร่ำเครียดจนเกือบลืมไปแล้วว่าตัวเองนั่งอยู่ห้องคนอื่น
ระหว่างนั้นมีเพียงเสียงขูดขีดของปากกาและเสียงพลิกกระดาษ กว่าจะเสร็จก็กินเวลาเนิ่นนาน กระทั่งเขาโยนเอกสารและแบบฝึกหัดเก็บเข้ากระเป๋า ก้มมองนาฬิกาข้อมือ เกือบเที่ยงคืนเข้าไปแล้วสามภพก็ยัง—
..เดี๋ยวนะ..เด็กหนุ่มมุ่นคิ้ว หน้ายุ่งยิ่งกว่าตอนทะเลาะกับพันธะเคมีในการบ้าน ลุกออกจากโซฟาแล้วย่องไปดูหน้าห้องน้ำ เพื่อจะพบว่าประตูถูกเปิดทิ้งไว้ แต่เจ้าของห้องไม่ได้อยู่ในนั้น
แหงสิ เขาแค่นหัวเราะกับตัวเอง ใครมันจะอาบน้ำนานขนาดนั้น
ยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเดินดูจนทั่ว ไม่พบวี่แววชายหนุ่มผู้หิ้วเขามาวางแหมะแล้วหายเงียบสักนิด เหลือห้องนอนแค่ที่เดียวซึ่งยังไม่ได้ดู ถ้าสามภพไม่ได้กระโดดออกจากระเบียงไปเสียก่อนก็คงอยู่ในนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
“เฮียเพี้ยน”
เขาเรียกเบา ๆ พร้อมกับแง้มประตูซึ่งไม่ได้ล็อคออกเล็กน้อย แอร์เย็นฉ่ำลอยเข้าปะทะหน้า ไม่ต้องเสียเวลางงนานเลย ร่างสูงใหญ่ของคนที่เขามองหาอยู่ในเสื้อกล้ามสีขาว นอนตะแคงหันหลังมาทางเขาซึ่งยืนรีรออยู่หน้าประตู ไหล่กว้างและท่อนแขนโผล่พ้นออกมาจากผ้าห่ม นิ่งสนิทราวกับไม่รู้ตัวว่ามีคนยืนเรียกอยู่ตรงนี้
“..พี่ภพ..”
เงียบฉี่คิมหันต์ถอยออกมาตั้งหลักเล็กน้อย อ้าปากค้างกับความคิดว่าอีกฝ่ายหลับแล้วหรืออย่างไร ง่ายดายแบบนี้เชียว!?
ไม่ทันรู้ตัวเขาก็ย่นจมูกใส่อย่างขัดใจ เดินกลับไปรื้อค้นเสื้อผ้าตัวเองออกมากอง หิ้วผ้าขนหนูลากขาไปอาบน้ำแก้เซ็ง บ่นงุบงิบอย่างลืมตัวด้วยถือว่าไม่มีใครได้ยินแล้ว
“ถ้าหลับเร็วเป็นเด็กประถมงี้จะชวนมาค้างด้วยทำไมวะ”
ก่อนจะชะงักกับคำพูดตัวเอง ยกมือขึ้นปิดปาก เลื่อนมาปิดหน้า แล้วลามไปขยี้ผมจนหัวยุ่งเหยิงอยู่ในห้องน้ำตามลำพัง
“แล้วนี่พูดอะไรเหมือนอยากเสียตัววะเนี่ย!”
ค่อนชั่วโมงผ่านไปกับความเพ้อเจ้อของเขาในห้องน้ำ
ขัดสีฉวีวรรณนั้นกินเวลาเพียงไม่นาน แต่ไอ้ที่ช้าเพราะมัวแต่เดินวนไปวนมา ปล่อยน้ำหยดติ๋ง ๆ ลงจากเส้นผม จับมันมาดมว่าหอมหรือยัง เดินวนอีกสองสามรอบก็ยกแขนตัวเองขึ้นดมอีก ทำจมูกฟุดฟิดแล้วเทียบกับกลิ่นครีมอาบน้ำของอีกฝ่ายว่าเหมือนกันหรือเปล่า เป็นบ้าเป็นหลังจนรำคาญตัวเองถึงขีดสุดจึงเดินออกมาจากห้องน้ำ เนื้อตัวหอมฟุ้ง ครีมอาบน้ำของสามภพน่าจะหมดไปสักเกือบครึ่งขวดได้
เขาเช็ดผมด้วยผ้าขนหนูที่พาดอยู่บนคอ เดินไล่ปิดไฟไปทีละดวงจนถึงห้องนอน ผมยังไม่แห้งดีนักแต่ก็ช่างแล้ว ไดร์เป่าผมไม่รู้สามภพเก็บไว้ที่ไหนและเขาไม่มีอารมณ์อยากค้น ว่าจะนอนทั้งอย่างนี้ให้ปลอกหมอนขึ้นราไปเลย แก้แค้นจากความหมั่นไส้เจ้าของห้องที่นอนอืดอยู่บนเตียง
เขากลับไปหยุดอยู่ที่เดิม ก้าวขาเข้าห้องแล้วปิดประตูตามหลังแผ่วเบา
สามภพนอนนิ่ง แต่คราวนี้เปลี่ยนจากตะแคงหันหลังใส่มาเป็นนอนหงาย ช่างหลับได้ทั้งที่ไฟยังสว่างโร่ทั่วห้อง เดินเข้าไปดูใกล้ ๆ จึงเห็นว่าหลับตาพริ้ม หายใจเข้าออกด้วยจังหวะสม่ำเสมอ สอดคล้องกับการขยับขึ้นลงของแผ่นอก
จ้องใกล้เข้าไปอีกให้ยิ่งนึกอยากรู้อยากเห็น ยื่นปลายนิ้วไปเกลี่ยบนขนตาอีกฝ่ายเบา ๆ หากแกล้งหลับก็ต้องมีเปลือกตากระตุกให้สังเกตได้บ้างละน่า
..นิ่ง...เงียบ..“หลับจริงเหรอวะ” อดไม่ได้จะบ่นออกมาอีกครั้ง สุ้มเสียงแผ่วเบาเจืออารมณ์ขัดอกขัดใจ
ยืนปลงอีกครู่หนึ่งคิมหันต์ก็ถอนหายใจเฮือก เปิดโคมไฟหัวเตียงซึ่งให้แสงสีส้มนวลตา ก่อนจะเดินไปปิดไฟที่สวิตช์หน้าห้องแล้วเดินลากขากลับมาปีนขึ้นเตียง ดึงชายผ้าห่มอีกด้านขึ้นมาคลุมท่อนขาถึงลำตัว หันไปเล็งตำแหน่งว่าจะให้ปลอกหมอนขึ้นราตรงไหนดี จนได้ที่เหมาะ ๆ จึงล้มตัวลงนอน
“กู๊ดไนท์เฮียเพี้ยน” เขาพึมพำ เอื้อมมือไปปิดไฟ
แล้วทั้งห้องก็ตกอยู่ในความมืด
..และเงียบ..
เด็กหนุ่มนอนนิ่งไม่ไหวติง รอจนสายตาคุ้นชินพอมองเห็นอะไรได้ราง ๆ จึงปรายตาไปยังชายหนุ่มข้างกาย พักหนึ่งก็ทนไม่ไหวจนต้องกระเถิบเข้าไปใกล้อีกหน่อย สร้างข้ออ้างให้กับตัวเองว่าเขาชอบกระแซะคนอื่นเป็นปกติอยู่แล้ว แต่วันนี้สามภพต่างหากที่ทำห่างเหินผิดจากเดิม เขาแค่อยากเกาะแกะนิดหน่อยเหมือนอย่างเคย ไม่ได้อยากให้เลยเถิดแบบที่กลัวอยู่ แต่ก็ไม่ใช่แข็งเป็นท่อนไม้อย่างนี้นี่!
เขาขยับกายเข้าใกล้จนไหล่แตะกันแผ่วเบา สามภพสวมเสื้อกล้าม เขาเองก็เช่นกัน แขนที่แตะกันจึงเป็นผิวเนื้ออุ่น ๆ รู้สึกว่าร้อนกว่าความเป็นจริงเมื่อรวมด้วยผลพวงจากความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง
การเคลื่อนไหวหยุดนิ่งครู่หนึ่ง เพื่อรอดูว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาตอบรับอะไรบ้างไหม
..แต่ก็เปล่า..คิมหันต์กลอกตา เริ่มปฏิบัติการรุกคืบอย่างจริงจัง คราวนี้ขยับตัวเข้าไปจนชิด แถมด้วยเอาขาไปพาดอีกฝ่ายจากใต้ผ้าห่ม ถึงกับเอานิ้วเท้าเขี่ยเบา ๆ ให้กางเกงนอนขายาวของอีกฝ่ายเลิกขึ้นจากตาตุ่มด้วยซ้ำ
“เฮียเพี้ยน”
กระซิบข้างหูแผ่วเบา แถมเป่าลมใส่ด้วยเอ้า!
“...เฮีย...”
แล้วทำไมถึงได้นิ่งจังวะ! เขาเอานิ้วไปอังใต้จมูกอีกฝ่าย สงสัยว่าตายหรือยังนี่ เห็นยังมีลมหายใจดีก็ถึงกับเสียความมั่นใจขนานใหญ่ แอบเคืองอยู่ลึก ๆ จนเห็นภาพตัวเองฉีกกระชากเสื้อกล้ามตัวบางของสามภพให้หลุดจากที่เกาะกับมัดกล้ามออกแล้วจับปล้ำแม่งเลย!
“ผมถอนคำพูดเมื่อตอนค่ำแล้ว เฮียแม่งไม่น่ารักเลย”
ว่าจบก็พลิกตัวตะแคงเข้าหา วาดแขนขึ้นโอบรัดรอบตัวอีกฝ่ายเหมือนเป็นงูเหลือม ตามด้วยขาเกี่ยวแน่นหนึบ เพิ่มแรงเต็มที่จากความงุ่นง่านอันสะสมมาตั้งแต่โดนทิ้งนั่งทำการบ้านที่โซฟาคนเดียว นึกบ่นอยู่ในใจว่าอยากหลับเป็นท่อนซุงก็เอาเลย ทำให้ได้ตลอดรอดฝั่งแล้วกัน ฮึมฮัมอยู่ในลำคอด้วยความมันเขี้ยว “จะฟัดให้ตัวแหลกเลยคอยดู”
“นี่ทำเหมือนไม่กลัวเสียตัว”“!?”“หรือตั้งใจอยู่แล้วฮึ?”
“อ๊ะ!”การเคลื่อนไหวฉับพลันทำให้เขาเบิกตาโพลง ความตั้งใจจะฟัดอีกฝ่ายให้กระดูกลั่นกรอบแกรบถูกเป่ากระจุยด้วยการขยับตัวเพียงชั่วพริบตาของสามภพ จากตัวเขาซึ่งเป็นฝ่ายกอดรัดอยู่ดี ๆ แค่เสี้ยววินาทีกลับกลายเป็นตัวเขาเองที่นอนแผ่อยู่ใต้ร่างอีกฝ่าย ข้อมือสองข้างถูกตรึงไว้เหนือศีรษะด้วยมือข้างเดียวของชายหนุ่ม ตัวสั่นระริกเป็นลูกหมา
“..กะ..ก็เฮียเมินผมนี่หว่า!”
“เมินอะไรกัน”
ด้วยแสงสลัวเลือนรางจากเมืองใหญ่ด้านนอก เขาเห็นสามภพโคลงศีรษะไปมา ทิ้งช่วงห่างระหว่างใบหน้าแค่คืบและมีแนวโน้มจะใกล้เข้ามาอีก แม้หวั่นไหวกับอะไรที่อาจเกิด แต่ปากยังไม่วายตัดพ้อ “เอาแต่หลับอย่างเดียวเลย”
“ใครจะไปหลับลงเล่าไอ้เด็กบ้า”
“อย่ามา! เมื่อกี้หลับเป็นตาย” คิมหันต์เถียง “ผมเอานิ้วเกลี่ยขนตาเฮียยังไม่รู้เรื่องเลย”
สามภพหลุดหัวเราะออกมาหนึ่งเฮือก ส่ายหน้ากึ่งขำกึ่งระอา “วิธีหน่อมแน้มอย่างนั้นใช้ได้แต่กับเด็กอนุบาลเท่านั้นแหละ”
“เฮียก็เป็นเด็กอนุบาลให้ผมดิ”
เอากับเขาเถอะ!“ถ้าพี่อนุบาล เราก็เป็นทารกแล้วเด็กน้อย”
“ผมไม่—
อืออ...”
ถ้อยคำต่อล้อต่อเถียงที่ยังคิดไม่ออกว่าจะแถอะไรดีเงียบหาย เหลือแค่เสียงครางแผ่วเบาไม่ได้ศัพท์อย่างดิ้นรนครู่หนึ่ง ก่อนมันจะสงบลง สามภพเพียงแต่จูบเบา ๆ บนริมฝีปาก แนบลงมาโดยไม่ได้รุกล้ำมากไปกว่านั้น มือที่ตรึงข้อมือทั้งสองของเขาคลายลง ศอกค้ำไว้ข้างศีรษะเขา ขณะที่นิ้วเกลี่ยเส้นผมซึ่งปรกหน้าผากแผ่วเบา ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับหน้าผากเหม่ง ๆ
“ไอ้ตัวยุ่ง” ชายหนุ่มกระซิบเสียงอ่อนโยน อบอุ่นจนเหมือนจะมากเกินไปด้วยซ้ำ อุณหภูมิจากเครื่องปรับอากาศไม่ได้ช่วยให้เนื้อตัวเขาเย็นลงเลยเมื่อได้ยินคำพูดต่อจากนั้น “ปากว่าไม่อยากให้ปล้ำ แต่ทำไมช่างยั่วนัก”
คิมหันต์บอกตัวเองไม่ให้สั่น แต่ร่างกายไม่ยอมเชื่อฟังเท่าไร ยังคงทำตัวไหวระริกเหมือนโดนแช่แข็งทั้งที่ออกจะร้อนผ่าวไปหมด ใบหน้าคมคายในระยะใกล้ของสามภพกระตุ้นให้ใจเต้นโครมคราม ไม่รู้ว่าทำไมถึงเกิดอาการแบบนั้นได้ทั้งที่มืดจนแทบไม่เห็นสีหน้า บางทีอาจต้องโทษลมหายใจอุ่น ๆ ที่คลอเคลียอยู่ตรงปลายจมูก
“...ก็ผม...”
“ขอข้ออ้างอะไรที่ฟังขึ้น” สามภพขู่เสียงนุ่ม ก้มลงจูบข้างแก้มอย่างรักใคร่ “ไม่งั้นจะไม่ทนแล้ว”
“..ผะ..ผม...”
สัมผัสนิ่ม อุ่น และเฉอะแฉะย้ายมาหยุดตรงมุมปาก ทั้งเร่งเร้าและอ่อนโยน กลิ่นหอมเย้ายวนลอยเตะจมูก เป็นกลิ่นครีมอาบน้ำที่เขาเพิ่งเทเล่นไปเกือบครึ่งขวด ผสมปนเปกับกลิ่นกายของสามภพที่ค่อยชัดเจนขึ้นในความชิดใกล้
คิมหันต์หลับตาปี๋ หดคอห่อไหล่ แต่มือที่เป็นอิสระแล้วก็ยังย้ายมาเกาะบนแผ่นหลังอีกฝ่ายแน่น ไม่ใช่แค่สามภพหรอกที่สับสนกับพฤติกรรมประหลาดของเขา แม้แต่ตัวเองซึ่งเป็นเจ้าของร่างกายอันคล้ายจะอยู่นอกเหนือการควบคุมในบางครั้งก็ยังงุนงงไม่แพ้กัน
“ว่าไงครับ?”
สามภพพึมพำ ลมร้อนผ่าวกระทบมุมปากคล้ายจะเร่งรัด
เขากระชับอ้อมแขน ดึงร่างอีกฝ่ายให้ขยับลงมาใกล้ เอียงใบหน้าตัวเองจนกลีบปากแนบสนิทกันอย่างเงอะงะเพราะไม่ยอมลืมตา เริ่มจูบก่อนเหมือนหิวโหยเสียมากมาย พยายามหายใจไปด้วยอย่างตะกุกตะกักและพบว่าล้มเหลว เอาเข้าจริงก็กลั้นหายใจจนไม่ไหวเอง ต้องเบือนไปทางอื่นแล้วซุกหน้ากับซอกคอสามภพ ..ซึ่งก็ดี...หากไม่ต้องเผชิญหน้าอาจกล้าพูดได้ราบรื่นขึ้นอีกหน่อย
คิมหันต์ล็อคคอชายหนุ่มไว้แน่นเท่าที่แขนตัวเองจะทำไหว แน่นจนจมูกตัวเองเบียดไปบนผิวเนื้ออุ่น ๆ ตรงต้นคออีกฝ่าย เส้นเลือดแดงใหญ่ที่คอสามภพเต้นตุบ..ตุบ..ตุบ...เป็นจังหวะรัวเร็ว บอกให้รู้ว่าหัวใจคนตรงหน้าก็กำลังทำงานหนักไม่แพ้กัน
“..ผม..”
เขากัดฟัน หนักใจกับเสียงอู้อี้ของตัวเอง ทำไมมันลำบากนักนะ ถึงกับสูดลมหายใจเข้าลึกอีกครั้ง หลับหูหลับตาแล้วบอก ๆ ไปเถอะ
“ผมอยากฟัดเฮียโคตร ๆ อยากกอด อยากเกาะแกะอยู่ใกล้ ๆ มีความสุขเวลาเฮียตามใจแล้วก็แกล้งทำหน้ายักษ์ใส่ แล้วแถมยัง...เล่นมุกโง่ ๆ...”
คิมหันต์พยายามเต็มที่จะเรียบเรียงคำพูดให้เข้าท่า แต่ยิ่งทำกลับยิ่งรู้สึกว่าฟังดูตลก ทว่าสามภพไม่ได้ล้อเลียนหรือขัดจังหวะ ทั้งที่หากเป็นเวลาอื่นคงโดนสวนกลับมาแล้ว คราวนี้อีกฝ่ายทำเพียงลูบผมเขาที่เอาแต่ซุกหน้าอยู่กับซอกคอตัวเองอ่อนโยน
“ผมอะโคตรรักพี่เลย!”
พูดไปแล้ว ลมหายใจที่เป็นจังหวะอยู่ดี ๆ ของสามภพก่อนหน้านี้ราวกับขาดห้วงลง จากนั้นหัวใจก็ยิ่งเต้นระรัวหนักหน่วงกว่าเก่า
เจ้าตัวชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะกอดเขาไว้แน่น คล้ายกำลังจะเริ่มอะไรบางอย่างที่เขาหวั่นวิตก พร้อมกันกับที่เขาร้องเสียงดังยิ่งกว่าเก่าด้วยความอัดอั้น
“แต่ผมยังไม่อยากเสียตัวนี่หว่า!” มีต่อรีพลายถัดไปค่ะ
v
v
v