● เล่ห์รักฤดูร้อน ●
ยกที่ 54 – ความเจ็บปวด
อพาร์ทเม้นท์เก่าของสรัญดูอึมครึมเช่นทุกครั้งที่เหยียบย่างเข้ามา ไฟด้านในซึ่งเปิดทิ้งไว้เพียงดวงเดียวส่องแสงริบหรี่ออกมานอกระเบียง อากาศเริ่มเย็น และมีทีท่าว่าจะเย็นลงอีกเมื่อดวงอาทิตย์เตรียมเลิกงานในฤดูหนาวที่กลางวันสั้นลง
พวกเขานัดกินมื้อเย็นอย่างไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมบทสนทนาจึงชักนำมาสู่การชวนกันออกมาเช่นนี้ แต่ระหว่างอยู่ในร้านกลับไม่มีใครแสดงความอยากอาหารออกมาสักนิด ไม่นานก็วกกลับมายืนในสถานที่อันเต็มไปด้วยกลิ่นอายของชายหนุ่มผิวแทนซึ่งอาศัยอยู่เพียงลำพังกับความเงียบ.. หรือไม่ก็เสียงเอะอะจากห้องข้างเคียงที่ทะเลาะกันบ้างบางครั้ง ต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดตัวเอง สร้างบทสนทนาอันไม่ปะติดปะต่อ.. และจบลงด้วยเซ็กส์
มันไม่ได้รุนแรงดิบเถื่อน แต่ก็ไม่ได้อบอุ่น ระยะหลังมานี้จึงไม่เคยเรียกได้สักหยาดหนึ่งของน้ำตาจากความเจ็บปวดหรือสุขสม เหมือนเป็นการทำตามตารางที่ไม่รู้ว่าเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไร และใครเป็นคนกำหนด แต่มันก็ดำเนินมาเช่นนั้น รู้ดีว่าต่างก็เหมือนเป็นตัวแทนของคนอื่น ผู้ชายตัวเล็ก ๆ คนแรกที่สรัญรัก และสามภพ..คนที่เขาล้มเหลวในความพยายามจะเลิกยึดติดมาเนิ่นนาน
“เมื่อวานน่ะ..” สรัญเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนในความเงียบ ค้างคาใจแต่ยังไม่มีใครเอ่ยถึงกระทั่งตอนนี้ “ทำไมถึงอยู่กันพร้อมหน้าอย่างนั้น คนเยอะอย่างกับนัดกันมา”
“ไม่รู้” รัญชน์ส่ายหน้าน้อย ๆ “..คงบังเอิญ ผมแค่ไปช่วยรุ่นน้อง”
“ได้คุยกับไอ้ภพรึเปล่า..สงสัยไปรอเด็ก เห็นมันอยู่ที่นั่นด้วย”
รัญชน์ก้มหน้ามองพื้น เขาไม่รู้นั่นเรียกคุยได้หรือเปล่า มันเป็นการถามตอบอันเต็มไปด้วยความตะขิดตะขวงใจสำหรับเขาเอง.. และเป็นเรื่องน่ารำคาญสำหรับสามภพ
"ไม่ใช่ว่าคุยอะไรนักหรอก”
แต่ก็ได้พูดสักที“....?”“อย่างน้อยเขาก็รู้จักผมแล้ว”
เขาพึมพำ เบาจนเหมือนพูดกับตัวเอง แต่สรัญก็ผงกศีรษะรับ
ชายหนุ่มผิวแทนทอดสายตาไปไกลเบื้องหน้า ในทิวทัศน์ขมุกขมัวยามพลบค่ำของแหล่งชุมชนซึ่งไม่เจริญตานัก สิ้นสุดที่ห่างออกไปสักห้าร้อยเมตรซึ่งมีควันสีเทาลอยอ้อยอิ่งในอากาศ บิดม้วนเชื่องช้าจนกระทั่งลอยสูงขึ้นรวมกับสีฟ้าหม่นเบื้องบน สร้างมลภาวะทั้งทางรูปธรรมและในมโนนิมิต
“ถึงผมเซ้าซี้มากกว่านี้ คุณคงไม่เล่าอะไรอยู่ดีใช่ไหม..”
เขาเปรย ..น้ำเสียงว่างเปล่าพอกับแววตา
คนฟังเพียงแต่ปล่อยถ้อยคำของเขาผ่านหูไปเงียบ ๆ
เขาหัวเราะ ลูบรอยแผลเป็นเล็ก ๆ ที่หลังมือตัวเองแผ่วเบาตามความเคยชิน มันถูกกลืนไปกับสีผิวจนแทบมองไม่เห็น แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังอยู่ที่เดิมเสมอ ฝังตัวอยู่แน่น สัมผัสได้จากปลายนิ้วแม้ไม่ได้ก้มลงมอง และเขาก็พึงใจให้เป็นเช่นนั้น ความเจ็บปวดและบาดแผลบางครั้งก็เป็นสิ่งดี
“พวกตัวเล็ก ๆ นี่ใจร้ายทั้งนั้นเลยนะ”
รัญชน์ยืนนิ่งอยู่ข้างเขา ศอกค้ำไว้กับราวระเบียง โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย สายตาคล้ายกำลังจับจ้องควันไฟกลุ่มเดียวกัน แต่ไม่มีคำตอบสำหรับถ้อยคำตัดพ้อที่เขาเพิ่งหลุดปาก รัญชน์เป็นแบบนั้น พูดน้อย เข้าใจยาก สุภาพเกินจำเป็น และบางครั้งแววตาก็ไหวระริกอยู่ในความเงียบงันของเจ้าตัว
หลายนาทีที่ไร้เสียงผ่านพ้น กัดกร่อนความเชื่อมั่นว่าจะยังสามารถรักใครอย่างเต็มหัวใจได้อีกของคนทั้งสองลงช้า ๆ โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่เสี้ยวหนึ่งในความคิดซึ่งคล้ายจะยังไม่หมดหวังเสียทีเดียว กระซิบว่าถ้าหากเป็นเพียงแค่ครึ่งใจ...เริ่มจากที่ตรงนั้นก่อน...อาจมีสักวันที่มันจะเพิ่มพูนขึ้นได้ในภายหลัง...เมื่อมีความกล้ามากพอ..
และเสี้ยวหนึ่งของความคิดที่ว่า ก็มากพอจะผลักดันให้เขากระซิบบางอย่างขึ้นมาในความเงียบ
“เราลอง...จูบดูไหม?”ทว่าครู่หนึ่งหลังจากสิ้นคำ พวกเขาก็ประสานเสียงขึ้นพร้อมกัน
“ผมไม่จูบกับคนที่ไม่ได้รัก”
ราบเรียบเย็นชาด้วยน้ำเสียงของรัญชน์ และเจือสำเนียงเสียดสีจากตัวเขาเองซึ่งพูดพร้อมกันไปด้วยราวกับจะล้อเลียนอย่างเจ็บปวด เขาคาดได้กระทั่งว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยมันออกมาหลังจากเว้นช่วงให้ความเงียบไปนานเท่าไร เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาถาม และไม่ใช่ครั้งแรกที่ชายหนุ่มร่างเล็กข้างกายให้คำตอบเช่นนี้ ทั้งสีหน้า น้ำเสียง แววตา หรือจังหวะที่เงียบไปก่อนตอบเหมือนเดิมเกือบจะทุกประการ ชวนให้นึกสงสัยว่าความหัวดื้ออย่างงี่เง่าเช่นนี้ของอีกฝ่าย คงเป็นส่วนหนึ่งอันทำให้เอาแต่ยึดติดกับสามภพมาหลายปี ทั้งที่รู้ว่านั่นจะทำให้ยิ่งทรมานเอง
กลุ่มก้อนความฉุนเฉียวเล็ก ๆ ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบเมื่อถูกป้อนด้วยความคิดเช่นนั้น
“รู้รึเปล่า...ความเจ็บปวดอาจไม่ใช่เรื่องแย่นักหรอก”
“....”
“มันเป็นกลไกป้องกันตัวอย่างหนึ่ง”
รัญชน์ไม่พูดอะไร ซึ่งก็ตรงกับที่เขาคาด อีกฝ่ายหันไปแกะเข็มกลัดซ่อนปลายตัวเล็กซึ่งกลัดไว้ชั่วคราวแทนกระดุมเสื้อเชิ้ตซึ่งหลุดออกแต่ยังไม่ได้ซ่อม
“..ความเจ็บปวดจะบอกให้รู้..ว่าเมื่อไรควรถอยออกมา”
สรัญพึมพำต่อ ก่อนจะหยุดพักครู่หนึ่งพร้อมกับระบายลมหายใจยาว มองแสงไฟจากบ้านเรือนและตึกสูงส่องสว่างในความมืดแทนที่แสงอาทิตย์ ก่อนจะเหลือบไปยังรุ่นพี่ผู้เอาแต่ทอดสายตาในความว่างเปล่า ไม่ไหวติงเหมือนกับลมที่ไม่พัดมาสักนิดท่ามกลางอากาศเย็นเดือนธันวาคมซึ่งห้อมล้อมพวกเขา แต่กระนั้น เขาก็ยังรู้สึกได้ว่ารัญชน์กำลังรับฟังอยู่เงียบ ๆ และรอให้เขาพูดต่อ
“.ถ้าคุณเอาเข็มทิ่มต้นไม้ มันจะยังอยู่ที่เดิมอย่างนั้น แต่ถ้าคุณทำแบบเดียวกันบนนิ้วมือของลิง มันจะกระตุกหนี...รู้ไหมเพราะอะไร...”
หลังจากถูกเขามองอย่างตรงไปตรงมาอย่างกดดันอยู่ครู่ใหญ่ รัญชน์จึงได้กระซิบเสียงแห้ง
“มันมีเส้นประสาท”
“มันเจ็บ”
เขาช่วยต่อให้เจาะจง ก่อนจะเอื้อมไปคว้ามือของอีกฝ่ายขึ้นมาโดยไม่ถามไถ่ ดึงเข็มกลัดซ่อนปลายมาถือไว้เอง หันด้านแหลมของมันเข้าหาปลายนิ้วชี้ผู้เป็นรุ่นพี่ สายตาสองคู่สบประสานกันนิ่งงัน
ขณะที่เขากดปลายเข็มลงไปช้า ๆ “!?”“เจ็บหรือเปล่า?”
รัญชน์เม้มปาก หลุบตาลงต่ำ มือนิ่งอยู่ที่เดิมทั้งที่เขาไม่ได้กุมไว้แน่นนัก มีเพียงการกระตุกเล็กน้อยในครั้งแรกที่ปลายเข็มทิ่มเข้าผิวเนื้อ แต่หลังจากนั้นกลับไม่ขยับหนีสักนิด แม้ในขณะที่โลหะปลายแหลมถูกเขาดันให้แทงลึกลงไปอีก
“..จะโดนกระดูกจนกดต่อไม่ลง หรืออาจจะแค่เฉี่ยวแล้วทะลุไปโผล่อีกฝั่ง..?”
“...”
“บอกผมสิ..ว่าคุณเจ็บไหม”
“..ผม...เจ็บ”
“ถ้างั้นทำไมถึงไม่หนีล่ะ!?”
คราวนี้รัญชน์มองตาเขาตรง ๆ บางทีอาจเป็นเพราะเลนส์ที่ทำให้คล้ายว่ามีหยดน้ำวาววับเคลือบอยู่ ครู่หนึ่งก็เบือนสายตาไปที่ใบหูของเขา
“..ตอนนายเจาะหู..ก็เจ็บแบบนี้ไหม” อีกฝ่ายย้อนถาม
“....”
“แล้วทำไมถึงไปเจาะล่ะ” คนตรงหน้าพูดต่อเสียงสั่น “เพราะชอบหรือไง เพราะอยากใส่ต่างหู..เพราะนายเป็นแค่ต้นไม้ที่ไม่รู้จักขยับหนี หรือเพราะอะไรอย่างอื่นที่บ้ากว่านั้น”
นั่นคงเป็นประโยคยาวที่สุดของรัญชน์ในวันนี้แล้ว ทว่าเหตุผลที่พูดมานั้นผิดทุกอย่าง
“..เพราะเขาเป็นคนเจาะให้” เขาตอบ เสียงแทบไม่ผ่านลำคอ
“....”
“เพราะเป็นเขา..”
สรัญขมวดคิ้ว ดึงเข็มออกจากปลายนิ้วอีกฝ่าย หยาดหยดสีแดงผุดตามขึ้นมาจากปากแผล จากนั้นจึงไหลร่วงลงปรากฏเป็นดวงสีแดงเล็ก ๆ บนพื้นขมุกขมัวตรงขอบระเบียง
รัญชน์ไม่ได้ร้องไห้ แต่กลับเป็นเขาเองที่มีหยดน้ำเอ่อคลอนัยน์ตา ก่อนมันจะกลิ้งลงมาตามแก้ม ยิ่งร่วงก็ยิ่งล้นขึ้นพร้อมกับความอัดอั้นที่เขาพยายามเก็บกดมันไว้ พร้อมกับความเชื่อมั่นหลอก ๆ ที่หลงคิดไปเองว่าทำใจได้ตั้งนานแล้ว
อีกฝ่ายนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบรับเสียงแผ่ว
“...เขา..คนนั้นของนายใช่ไหม...”
สายตาซึ่งมองมาสื่อถึงความเข้าใจในสถานะบางอย่างซึ่งคล้ายคลึงกัน ทั้งที่เขามั่นใจว่ารัญชน์ไม่ได้รู้เรื่องละเอียดขนาดนั้นแท้ ๆ ...ทั้งที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย... แต่กลับพูดต่อราวกับมองเห็นความเป็นไปทั้งหมด
“...เขา...คนที่ผมเป็นตัวแทนอยู่...”
“..เพราะเป็นเขา”
สรัญกระซิบเสียงอ่อนแรง ยกมือขึ้นกุมหน้าผากและดวงตา ปล่อยเข็มกลัดซ่อนปลายเปื้อนเลือดร่วงหล่นจากมือ รอบกายเงียบสนิทจนได้ยินมันกระทบกับพื้นแผ่วเบา หากแต่สะท้อนก้องอยู่ในหูซ้ำไปซ้ำมาเกือบตลอดคืนนั้น
แวบหนึ่งที่เขาเกิดข้อกังขา
เป็นรัญชน์หรือว่าตัวเขาเองกันแน่ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย“รัญ เจาะหูไหม”
“ไม่เอาอะ” เขาปฏิเสธ “เป็นผู้ชายทำไมต้องเจาะหูล่ะ”
อีกฝ่ายส่งสายตาเจ้าเล่ห์เจือล้อเลียนใส่ เอื้อมมือมาขยี้ผมเขาเบา ๆ ด้วยส่วนสูงใกล้เคียง และหลังจากนั้นก็แทบไม่สูงขึ้นอีก ขณะที่เขากลับสูงใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนแซงหน้าในภายหลัง
“..สรัญครับ ผู้ชายก็เจาะได้ นายกลัวเจ็บละสิ โธ่เอ๋ยเด็กน้อย”
“ผมไม่ได้กลัวเจ็บเสียหน่อย”
“มานั่งนี่สิ” คนฟังไม่สนใจข้อโต้แย้งของเขา เอามือตบบนพื้นห้องตรงหน้าตัวเองซึ่งนั่งขัดสมาธิรออยู่ ถือเข็มปลายแหลมอยู่ในมือด้วยท่าทางน่าหวาดเสียวอย่างจงใจ ด้านข้างมีสำลีและถ้วยใส่แอลกอฮอล์ ต่างหูเงินอันเล็ก ๆ คู่หนึ่งถูกแช่อยู่ในนั้น อุปกรณ์พร้อมจนเห็นได้ชัดว่าที่ออกปาก ‘เจาะหูไหม?’ เมื่อครู่ไม่ใช่ประโยคคำถาม แต่เป็นคำสั่งต่างหาก
“เจาะแล้วจะยกต่างหูคู่นี้ให้เลย พี่ซื้อมาให้นายเชียวนะ”
นั่นเป็นเรื่องโกหก คนพูดไม่ได้ซื้อมันมาให้เขา แต่ได้มาจากคนรักของตัวเองช่วงที่ทะเลาะกัน จึงเอามาโยน ๆ ให้เป็นการประชด แต่ตัวเขาซึ่งตอนนั้นยังไม่รู้เรื่องรู้ราวก็ลงไปนั่งตรงที่ว่างนั้นแต่โดยดี หลังจากเสียเวลาลังเลอยู่เพียงอึดใจเท่านั้นเอง มัวลิงโลดด้วยสำคัญตัวเองผิดไปว่านั่นเป็นของเขา...ของเขาทั้งหมด...ทั้งต่างหูซึ่งนอนนิ่งอยู่ก้นถ้วย...และผู้ชายตัวเล็กอายุมากกว่าที่ถือเข็มไว้ในมือ
“นายนั่งนิ่ง ๆ นะ อย่าหยุกหยิก”
“ไม่มียาชาหรือ?”
“ไม่มีหรอก” ตามด้วยเสียงหัวเราะในลำคอ ลมหายใจอุ่น ๆ รดลงบนหน้าผาก จากการที่อีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นลุกขึ้นคุกเข่าหันหน้าเข้าหาเขา “กลัวเจ็บจริง ๆ ด้วยละสิ”
“ไม่ได้กลัวเสียหน่อย” เขาฮึดฮัด “ผมแค่ถาม”
“น่า ๆ” อีกฝ่ายงึมงำตัดรำคาญ ยังยืนยันโดยไม่ฟังเสียงเขาอย่างเอาแต่ใจ “ความเจ็บเป็นเรื่องดีรู้ไหม ซ้อมไว้จะได้รู้ว่าถ้าเจ็บก็ควรหนี”
“พี่เพ้อเจ้อแล้ว”
“ปลอบอยู่นะเนี่ย” อีกฝ่ายยิ้มร่า “เจ็บแป๊บเดียวเอง”
มันไม่ได้เจ็บแป๊บเดียวอย่างที่เจ้าตัวว่า ตั้งแต่วินาทีที่ปลายแหลมของเข็มทิ่มลงมา จนกระทั่งเสร็จเรียบร้อย เขายังปวดต่ออีกเป็นวัน แม้จะไม่ได้มากมายนัก อาจพอกับหกล้มหัวเข่าเป็นแผล แต่ความจริงแล้วเรียกว่าเจ็บค่อนข้างนานทีเดียว
ทั้งที่เป็นอย่างนั้น แต่หลังจากเจาะข้างแรกเสร็จ...เขาก็ไม่ได้พยายามหนีแต่อย่างใด
เสียงหัวเราะแผ่วเบาอย่างชอบอกชอบใจของอีกฝ่ายลอยอยู่ข้างหู ขณะที่เจ้าตัวโน้มเข้าหาอีกข้างที่ยังไม่เสร็จ นวดคลึงเบา ๆ บนติ่งหู ทาแอลกอฮอล์เย็นวาบอย่างคล่องแคล่วหลังจากมั่นใจมากขึ้นจากการเจาะข้างที่แล้ว พึมพำว่า “เอาละ” ก่อนจะจรดปลายเข็มลงบนเนื้อนิ่ม ๆ ..และกดลงไปจนมันทะลุเป็นรู
ทั้งหมดนั้นเป็นไปโดยความยินยอมพร้อมใจ
สำลีเปื้อนเลือดเป็นวงเล็ก ๆ ถูกวางทิ้งไว้บนพื้น ตอนนั้นตัวเขาที่ยังเด็กมองมันด้วยความหวาดเสียว อะไรที่มีเลือดออกมาให้เห็นมักทำให้ดูเจ็บกว่าความเป็นจริง คนทำเป็นคนพูดเองแท้ ๆ ว่าถ้าเจ็บให้หนี..
ทว่าถึงเจ็บ...แต่สรัญกลับยอมเจ็บเช่นนั้น เขาคว้ามือรัญชน์ขึ้นมาเมื่อนึกขึ้นได้ เลือดหยุดไหลแล้ว แต่ยังมองเห็นปากแผลเป็นจุดแดงเล็ก ๆ บนปลายนิ้ว เข็มกลัดกลับมาอยู่จุดเดิมแทนที่กระดุมซึ่งหายไปเม็ดหนึ่งของอีกฝ่าย
“ผมขอโทษ”
รุ่นพี่หนุ่มก้มหน้า มองมือตัวเองที่ถูกกุมอยู่ แล้วเลยไปยังความว่างเปล่าด้านนอก
“ผมไม่เป็นไร”
“มันน่าจะเจ็บ”
“ไม่เป็นไร”
เขาไม่ยอมแพ้ “เมื่อกี้คุณบอกเจ็บ”
รัญชน์เงยขึ้นมองเขาช้า ๆ สายตาสื่ออะไรบางอย่างซึ่งอ่านไม่ออก ผู้ชายตรงหน้าเป็นคนประหลาด...เขาน่าจะรู้ตั้งนานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาตระหนักได้ตอนรัญชน์ตอบคำถามเขา
“ผมพูด..เพื่อให้นายปล่อย”
“...”
“เหมือนที่ผมบอกภพไปแล้ว ว่าผมชอบเขา...เพื่อที่ผมจะได้ปล่อยเสียทีเหมือนกัน”
“คุณบอกไอ้ภพแล้วเมื่อวาน?”
รัญชน์ไม่ได้ตอบตรง ๆ แต่พูดสิ่งค้างคาต่อเสียงสั่น
“..เพราะผมมีเส้นประสาท...”
“.....”
เขาเงียบ..รอฟัง จ้องมองคิ้วอีกฝ่ายที่ขมวดมุ่นเหนือกรอบแว่น นัยน์ตาแดงก่ำคล้ายคนกำลังจะร้องไห้
“.....เพราะผมยังเหลือกลไกการป้องกันตัว.........เพราะผม....”
"...รัน.."
รู้สึกตัวอีกครั้ง เขาก็ดึงอีกฝ่ายมากอดไว้แนบอก แน่นจนราวกับทั้งร่างนั้นจะจมหายไปในตัวเขา มือยกขึ้นลูบหลังช้า ๆ อย่างปลอบประโลมก่อนจะทันได้มีอะไรไหลออกมาจากตา
ข้างห้องเริ่มทะเลาะกันให้ได้ยินแว่ว ๆ อีกครั้ง แต่สรรพสำเนียงอื่นนั้นไม่ได้ถูกนำเข้ามาแปลผลในหัว สิ่งเดียวที่เขาได้ยินเป็นถ้อยคำซึ่งเข้าใจความหมายได้ คือเสียงของรุ่นพี่หนุ่มซึ่งเอ่ยอู้อี้แต่ดังกว่าระดับปกติของเจ้าตัว..
“...เพราะผมไม่อยากเจ็บอย่างนี้อีกแล้ว”สรัญกอดอีกฝ่ายแน่นขึ้นอีก คำถามหลายอย่างยังล่องลอยอยู่ในหัว ไม่รู้ว่าระหว่างพวกเขาจะดำเนินไปเช่นนี้อีกนานแค่ไหน และปลายทางจะเป็นอย่างไร ทำไมมีแต่เรื่องที่ทำให้เจ็บปวดทุกครั้งยามนึกถึง และทำไมจึงไม่มีใครยอมหนี...กลไกที่เขาเคยได้รับฟังมานั้นเชื่อได้แน่หรือ? ทั้งเขาและรัญน์..บางทีอาจไม่มีใครรู้คำตอบเรื่องนั้นเลย
เขารู้แค่ไม่อยากให้มันจบลงเหมือนกับที่เคยเป็นมา
..เพราะเขาก็ไม่อยากเจ็บอีกแล้วเช่นกัน มีต่อรีพลายถัดไปค่ะ
v
v
v