● เล่ห์รักฤดูร้อน ●
ยกที่ 58 – คนข้างหลัง
บัญชีรอบนี้เพิ่งถูกจัดการได้เสร็จสิ้น สุชัยปิดสมุดบันทึกยอดการชำระเงินของห้องแถวที่เขาเปิดให้เช่า ทอดสายตากับมันอยู่ครู่หนึ่ง แต่คล้ายว่าจิตใจไม่ได้จดจ่อไปตามการมองเห็น เมื่อนึกได้อีกครั้งว่าเหม่อลอยเช่นนี้เป็นการเสียเวลาเปล่าจึงเก็บมันเข้าลิ้นชัก รวมกับบัญชีอื่น ๆ ในกิจการที่บ้านวานิชตะการกูลเป็นเจ้าของ
กำไรจากการค้าขายยังคงสูงอย่างทุกที และมีแนวโน้มว่าจะมากขึ้นเรื่อย ๆ สมกับน้ำพักน้ำแรงที่ลงไปตลอดระยะเวลาหลายปี แต่น่าแปลกที่ตัวเลขในบัญชีเหล่านั้น กลับไม่ได้นำความพึงพอใจมาสู่ใบหน้านิ่งขึงเป็นนิจของชายผู้นี้เท่าไรนัก
เขารู้..มันยังขาดอะไรบางอย่าง มีบางสิ่งที่หายไป ช่องโหว่ซึ่งยังต้องการให้มีอะไรมาเติมเต็ม ทว่าเขาไม่รู้ต้องทำอย่างไรจึงจะถมที่ว่างเหล่านั้นได้เสียที ในเมื่อเป็นเพียงความรู้สึกคลุมเครืออันหาที่มาไม่ได้ สุชัยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทุกวันนี้เขายังขาดอะไรไป มันดูคล้ายจะสมบูรณ์พร้อมหมดแล้ว...แต่ก็ยังไม่ใช่เสียทีเดียว
“...เฮ้อ...”“ถอนใจอะไรป๊า”
เดือนเพ็ญผู้เป็นภรรยาร้องทักเสียงอ่อน ปกติเธอไม่ใคร่ไปก้าวก่ายกับอาการเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ของสามีนัก แค่คนแก่ทอดถอนใจ จะมีเรื่องแปลกอะไรให้สงสัย และสุชัยก็ไม่ค่อยชอบให้เธอคิดเรื่องหยุมหยิมของเจ้าตัวเป็นทุนเดิม หากแต่ช่วงนี้ดูจะบ่อยครั้งจนผิดสังเกต ถึงกับอดเอ่ยปากออกไปไม่ได้
“ท่าทางไม่ค่อยสบายใจนะ”
“เปล่า”
คำปฏิเสธฟังดูเลื่อนลอย แต่มันก็ช่วยจบบทสนทนาแต่เพียงเท่านั้น
เธอโคลงศีรษะน้อย ๆ หันหลังเดินออกจากจุดเดิม ตั้งใจจะไปชงชาจีนมาให้เขาสักกา แต่ยังไม่ทันได้พ้นประตูห้อง อีกฝ่ายก็พึมพำขึ้นมา แม้ไม่แน่ใจนักว่านั่นพูดกับเธอหรือเพียงแค่รำพึงกับตัวเอง
“ตี๋เล็กไม่ค่อยติดต่อมาเลยนะ”
เดือนเพ็ญชะงัก เหลียวกลับไปมองสามีซึ่งยังนั่งหันหลังให้ เธอมองไม่เห็นว่าสีหน้าเขาเป็นเช่นไร แต่กลับสัมผัสได้ถึงร่องรอยความหงอยเหงาที่แทรกซึมอยู่บางเบาในประโยคนั้น
“คิดถึงตี๋เล็กหรือ?” เธอกระซิบ ตอบตัวเองไม่ได้ว่าอยากให้เขาได้ยินหรือเปล่า
“...”
“..ป๊าก็โทรหาสิ” คราวนี้ชัดถ้อยชัดคำกว่าเก่านิดหน่อย เมื่อรู้ชัดจากแผ่นหลังที่ยืดขึ้นของสุชัยว่ากำลังตั้งใจฟังเธออยู่เป็นแน่ “โทรศัพท์ก็มี”
“สาบอกสบายดี” เขาพึมพำ “แต่เรียนยุ่ง”
“ยุ่งก็โทรได้” เธอค้าน แม้รู้ดีว่าความเห็นตัวเองคงไม่ส่งผลอะไรกับคนตรงหน้านัก เหมือนอย่างเคยผ่านมาสามสิบกว่าปี กับรูปแบบการใช้ชีวิตคู่ของคนทั้งสอง เดือนเพ็ญไม่ค่อยได้มีปากเสียงกับเขาเท่าไรนัก
ตามใจผัว หรืออย่างสุภาพก็ ช้างเท้าหลัง...ทุกคนเรียกกันว่าอย่างนั้น
“ป๊าก็ลองโทรไป ถ้าตี๋เล็กไม่ว่างก็วางสาย..เท่านั้นเอง”
“....”
“เอาเถอะ” เดือนเพ็ญยิ้มอ่อนใจ รู้ดีว่าต้องเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว สุชัยหัวดื้อมาตั้งแต่สมัยยังหนุ่ม ยิ่งอายุมากเข้าก็ไม่รู้จะเข้าทำนองคนแก่หัวดื้อหนักเข้าไปอีก หรือว่าจะปลงชีวิตได้บ้างเสียที “เดี๋ยวม้าไปชงชา”
ทว่ากลับเป็นอีกครั้งที่เธอต้องชะงัก ถึงตอนนี้ก็ยังก้าวไม่พ้นประตูอยู่ดี ขาถูกตรึงอยู่ที่เดิมด้วยเสียงรำพึงของสามี
“ลูก ๆ ป่านนี้ยังไม่เป็นฝั่งเป็นฝาสักคน”
กังวลเรื่องนั้นหรอกหรือ? คือสิ่งที่เธออยากถามสุชัย แต่ก็ตัดสินใจกลืนประโยคนั้นกลับไปเสียก่อน เรียบเรียงคำพูดใหม่พร้อมกับเดินกลับเข้าไปหาเขา
“ตาโรจน์แฟนเจ้าสาก็เคยเกริ่น ๆ ไว้บ้าง ป๊าจำไม่ได้หรือ”
“ก็ได้แต่เกริ่น” สุชัยตัดพ้อ ไม่รู้ตัวเลยว่าส่งสำเนียงน้อยใจเจืออยู่ในถ้อยคำ “ไม่แต่งสักที แถมยังเป็นลูกสาวเสียอีก มีลูกชายกับเขาก็...”
“....”
เสียงผ่อนลมหายใจยาวที่เธอได้ยินนั้นช่างอ่อนระโหย ริ้วรอยบนใบหน้าสามียิ่งชัดขึ้นเมื่อเจ้าตัวทำสายตาอมทุกข์
“...ป๊า...ตี๋เล็กยังเรียนไม่จบเลย” เธอปลอบเสียงเบา เลี่ยงจะเอ่ยถึงลูกชายอีกคนที่ไม่อยู่แล้ว “...หนูแบมแกก็...”
“เพราะงั้นสิ! มันน่าหงุดหงิดไหมล่ะ!?”
เธอขยับริมฝีปาก ตั้งใจจะพูดอะไรต่อ ทว่าสุดท้ายแล้วกลับทำเพียงถอนใจยาวไปด้วยอีกคน จากนั้นก็ปิดปากเงียบ เป็นช้างเท้าหลังที่ไม่คิดเถียงเรื่อยมา ก่อนจะค่อย ๆ หลบออกมาจากห้องทั้งที่อีกฝ่ายยังหันหลังให้
สุชัยไม่สบายใจ เธอรู้ดี สามสิบกว่าปีที่อยู่ด้วยกันนั้นผ่านร้อนหนาวมาก็มาก มีทั้งเรื่องดีและร้ายเกิดขึ้นในครอบครัว ความคาดหวัง สิ่งที่เขาต้องการ เธอคิดว่าตัวเองรู้...ไม่ทั้งหมดก็เกือบหมด ครอบครัววานิชตระการกูลจะว่ามีพร้อมก็อาจเป็นได้ บ้าน เงินทองพอกินพอใช้ เรียกได้ว่าอยู่สบาย รุ่นแรกของนามสกุลนี้ซึ่งเพิ่งเปลี่ยนเริ่มต้นได้สวยงาม
แต่หากมองดี ๆ แล้ว พ่อแม่ที่กำลังสูงวัยขึ้นไปทุกทีอยู่กันตามลำพังสองคนราวกับไม่มีลูกหลาน ก็ฟังดูออกจะเป็นชีวิตที่แห้งแล้งไปสักหน่อย
เดือนเพ็ญมุ่นคิ้ว มองใบชาในตะแกรงกรองค่อย ๆ ซับน้ำต้มสุกที่เทลงไป สีเหลืองอ่อนในกาน้ำชาใสบิดเป็นเกลียวเชื่องช้า ผสมกับน้ำร้อนจนกลายเป็นเนื้อเดียว พร้อมกลิ่นหอมกรุ่นลอยขึ้นเตะจมูก ชาร้อนยามบ่ายสักหน่อยอาจช่วยให้เขาสงบใจและตรึกตรองถึงเรื่องราวต่าง ๆ ได้ทะลุปรุโปร่งขึ้นบ้าง
เธอรู้ว่าสุชัยอยากอุ้มหลาน อยากมีชีวิตน้อย ๆ สักคนที่ลืมตาดูโลกภายใต้นามสกุลของตัวเอง และได้เห็นเด็กคนนั้นเติบโตขึ้นในขณะที่ตนยังมีชีวิตอยู่ แน่อยู่แล้ว..พ่อแม่โดยมากก็หวังเช่นนั้น แต่เมื่อผนวกเข้ากับความใจร้อนและหัวดื้อของเจ้าตัว จึงดูเหมือนยิ่งพยายามเร่งรัดลูกคนเล็กซึ่งเป็นลูกชายที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว เพราะรู้ดีว่าลูกสาวทั้งสองนั้น ต่อให้ออกเรือนไปเป็นฝั่งเป็นฝา ครอบครัวฝ่ายชายส่วนใหญ่ก็มักอยากเห็นหลานได้ใช้นามสกุลตัวเอง เขาสรุปเช่นนั้นโดยเอาความคิดตนเป็นบรรทัดฐาน
แต่เชือกที่ตึงเกินไป ไร้การยืดหยุ่น ยิ่งดึงยิ่งเจ็บมือ..อย่างนี้จะดีแล้วหรือ
เดือนเพ็ญยกกาน้ำชาและถ้วยกระเบื้องใส่ถาด แล้วเดินกลับเข้าไปห้องเดิม ทุกประสาทสัมผัสผ่อนคลายขึ้นเมื่อได้กลิ่นชาหอมกรุ่นกำลังดี ไอสีขาวจาง ๆ ลอยขึ้นเหนือปากแก้วเมื่อเธอรินมันลงไปเบามือ จากนั้นก็ทรุดตัวลงนั่งเคียงข้างสามีตัวเองที่เก้าอี้อีกตัวโดยไม่ปริปากพูดอะไร จนกระทั่งสุชัยเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน
“เมื่อไหร่จะเรียนจบกัน”
ขณะพูดนั้นเจ้าตัวไม่ได้สบตาคนข้างกาย สายตามองเลยออกไปผ่านบานหน้าต่าง หยุดลงตรงใบไม้ซึ่งไหวตามแรงลม อยู่บนกิ่งก้านของต้นมะม่วงที่เขาจำได้ว่าวสันต์เป็นคนปลูก ลูกชายคนโตที่เขาแสนรัก และยังคงรู้สึกเจ็บปวดอยู่เสมอเมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น...มันมีอะไรผิดพลาดตั้งแต่ตรงไหนกัน
"หาคนดี ๆ แต่งด้วย จะได้หมดห่วงเสียที"
“ป๊าใจเย็นก่อน” เธอปลอบ “ของอย่างนี้ต้องให้ตี๋เลือกเอง”
“ผู้ใหญ่เลือกให้ก็ได้” สุชัยโคลงศีรษะคัดค้าน ด้วยเพราะเป็นสิ่งที่เจอมากับตัว ตนเองกับเดือนเพ็ญ ว่ากันตามจริงแล้วก็แต่งงานตามการตกลงกันของผู้ใหญ่ ไม่ได้เริ่มขึ้นจากความรักเสียทีเดียว แต่อยู่ด้วยกันไปจึงกลายเป็นความผูกพันมาถึงตอนนี้ “ขึ้นมหา’ลัยยังไม่เคยพาใครมาบ้านสักคน นอกจากไอ้รุ่นพี่นั่น”
เดือนเพ็ญยิ้มบาง “..สาก็บอกว่าตี๋เรียนยุ่ง..จะเอาเวลาที่ไหนไปหาแฟน ไม่งั้นจะมีเกรดดี ๆ มาให้เราดูทุกเทอมหรือ?”
เขาถอนหายใจเฮือก แม้จริงอย่างเธอว่า แต่ก็ยังอดขัดใจไม่ได้
“เจ้าสาก็เปิดร้านยา คงกะเอาดีทางนั้นไปแล้ว เจ้าสิทำงานบริษัท ตี๋เล็กเป็นหมอฟัน หลานก็ยังไม่มีให้อุ้ม วันหนึ่งวันใดเราสองคนเป็นอะไรไปแล้วใครจะดูแลเรื่องการค้าขายที่บ้าน”
เธอพยักหน้า แต่ไม่ได้ตอบคำถาม พึมพำแต่เพียงเบา ๆ จนแทบไม่ได้ยิน “อย่าบังคับอาตี๋เลย”
“ได้หรือ?” สุชัยย้อนถาม
ทว่าเดือนเพ็ญไม่พูดอะไรอีก ได้แต่นั่งอยู่กับความเงียบ มองใบชาหงิกงอซึ่งหลุดออกมาจากที่กรองจมลงสู่ก้นแก้ว
เธอไม่รู้หรอกว่าได้หรือไม่อย่างที่สุชัยถาม
รู้แต่ไม่อยากสูญเสียอะไรหรือใครที่เธอรักเสมือนแก้วตาดวงใจอีกแล้ว.
.
.
.
วัสสานะมองชายหนุ่มที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย
อย่างแรก...เธอดีใจ เสียงหัวใจซึ่งเต้นโครมครามจนหนวกหูกู่ร้องว่าอย่าริเถียงว่าไม่ได้คาดหวังจะได้ยินคำนี้สักครั้ง...จากปากผู้ชายที่เธอรัก..
อย่างที่สอง...ประหลาดใจ (และเขินอย่างถึงขีดสุด) เขากล้าทำอย่างนี้ในร้านขายยาต่อหน้าลูกจ้างได้อย่างไร....แต่เดี๋ยวนะ!...ลูกจ้างสองคนที่ยังอยู่จนถึงเมื่อกี้หายไปไหนแล้ว!?
และอย่างที่สาม...วิตกกังวล สิ่งสุดท้ายที่วาบขึ้นมาในความคิด เมื่อตระหนักได้ถึงเหตุผลดั้งเดิมซึ่งทำให้เธอไม่เคยเอ่ยปากเรื่องนี้จริงจังกับเขาสักครั้ง ทั้งที่คบกันมาเนิ่นนาน
“...พี่โรจน์...สา....”
“แต่งงานกันนะครับ...” อีกฝ่ายย้ำ ชูกล่องใส่แหวนขึ้นสูงกว่าเดิมด้วยท่าทางสุดเสี่ยว เมื่อเห็นเธอยืนทำหน้าสับสนชีวิต เหมือนเด็กที่กำลังหลงทางในห้างและยังไม่รู้ว่าประชาสัมพันธ์ไปทางไหน “...แต่งงานกับพี่”
เธอเม้มริมฝีปากแน่น พยายามจะไม่ฉีกยิ้มแต่ก็ยากเหลือเกิน ทว่าแน่ละ...มันมีอะไรบางอย่างซึ่งยากกว่านั้นมากนัก
“พี่โรจน์คะ”
“...สา?” เขาเรียกเสียงนุ่ม
ให้ตายเถอะ เธอนึกตัดพ้ออยู่ในใจ ทั้งที่ปกติเอาแต่กวนประสาทใส่กันแท้ ๆ เชียว
นัยน์ตาละห้อยของศิโรจน์สื่ออารมณ์เว้าวอน เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นบนขมับ พร้อมกับความตึงเครียดซึ่งเริ่มก่อตัวขึ้นเงียบ ๆ เมื่อสาวเจ้าใช้เวลาอ้ำอึ้งนานกว่าที่เขาคาดไว้แต่แรก จะได้สวมแหวนลงบนนิ้วนางข้างซ้ายของเธอ หรือได้เก็บแหวนเข้ากล่องก็ยังน่าเป็นห่วง
วัสสานะยกมือกุมอก หายใจเข้าลึก ๆ อายุเธอไม่ใช่น้อยแล้ว ตอนนี้ความรักมา ฐานะพร้อม จะมัวรออะไร...
แล้วคำตอบก็ตามมาทันควัน ว่าที่ประวิงการแต่งงานมาจนป่านนี้เพราะเป็นห่วงคิมหันต์ ถ้าแต่งไปแล้วใครจะดูแลเขา สิสิรคนเดียวจะไหวหรือ รายนั้นยิ่งเป็นพวกพูดน้อยไม่ค่อยถามไถ่อยู่ด้วย
แต่คิดสิวัสสานะ เธอบอกตัวเอง หากแต่งงาน มีหลานให้ป๊ากับม้าอุ้มสักที คิมหันต์ก็หมดห่วงไปได้อีกยาว
ขอแค่เงื่อนไขเดียวเท่านั้นเอง...
“พี่โรจน์” เธอเอ่ยปากเรียก ร่องรอยของความเจ้าเล่ห์อย่างคนในครอบครัวค้าขายฉาบขึ้นแวบหนึ่งบนดวงหน้าโดยไม่รู้ตัว “..สามีเรื่องจะขอข้อเดียว”
ประกายแห่งความหวังปรากฏขึ้นในแววตาชายหนุ่มซึ่งคุกเข่าอยู่นานจนเริ่มเมื่อย เงื่อนไขอย่างเดียวของวัสสานะจะเป็นอะไร? เกิดนึกอยากพิสูจน์รักแท้ด้วยวิธีประหลาดอะไรขึ้นมาตอนนี้หรือเปล่า นี่มันน่าเครียดสำหรับเขา พอกับที่หญิงสาวกำลังวิตกเรื่องเขาจะยอมให้เธอได้หรือไม่ในข้อนี้
“อะไรหรือ?” เขากลั้นใจถาม รักษาระดับเสียงของตัวเองให้คงเส้นคงวา ขณะที่วัสสานะทรุดร่างลงคุกเข่าเสมอเขา ดูประหลาดเมื่อคนที่เขาอยากได้เป็นเจ้าสาวกลับลงมาย่อตัวอยู่ในระดับเดียวกันเสียนี่
“...ลูกชายคนแรก...ขะ..ของเรา..”
เธอเริ่มออกปากด้วยเสียงงึมงำ พวงแก้มเป็นสีแดงระเรื่อ ท่าทางคล้ายลังเลอยู่แวบหนึ่ง แต่หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งก็กุมมือเขาไว้มั่น พร้อมกับเอ่ยหนักแน่นประหนึ่งกำลังเป็นฝ่ายขอเขาแต่งงานเสียเอง
“ให้เขาใช้นามสกุลวานิชตระการกูลได้ไหมคะ?”"แต่งงาน!?"คิมหันต์อ้าปากค้างไปเลย ตอนที่รู้เรื่องนี้จากปากพี่สาว
แน่ละ เขาเพิ่งค่อนขอดเธอไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อนนี้เอง หลังกลับจากไปเยี่ยมเยือนบ้านสามภพเป็นครั้งแรก และได้รู้เรื่องอันนาจะแต่งงานกับพี่ชายของสามภพ เขายังกลับมาเปรยใส่วัสสานะ แถมด้วยกระแซะถามเธอด้วยซ้ำว่าจะโหนคานเล่นไปจนถึงเมื่อไร ขืนรอจนอายุมากค่อยแต่งงาน ลูกออกมาไม่สมประกอบกันพอดี ปากล้อไปเรื่อยด้วยเข้าใจว่าเธอมัวแต่ห่วงทำงานหาเงิน หารู้ไม่ว่าตัวเองนั่นแหละที่เป็นสาเหตุหลัก
“เบื่อคานแล้วหรือ โหนจนเมื่อแขนแล้วอะดิ”
วัสสานะส่ายหน้า พ่อน้องชายตัวแสบก็กวนเอาจริงจัง หน้าตาไม่ทันหายเหวอแท้ ๆ ยังมีแก่ใจมาทำยียวนใส่
“เจ้าเด็กคนนี้”
“ไม่เด็กแล้ว..” คิมหันต์ยิ้มกริ่ม ลากเก้าอี้มานั่งข้าง ๆ เธอ เขาเพิ่งเก็บข้าวของใส่กระเป๋าเป้ตัวเองเสร็จ พร้อมเต็มที่สำหรับการเดินทางกลับบ้านวันรุ่งขึ้น หลังสอบปลายภาคของชั้นปีที่สามจบลงคิดว่าเป็นเรื่องน่ายินดีสุดแล้ว กลับบ้านมายังได้ยินข่าวดีจากพี่สาวอีกอย่าง “...แล้วเจ้คุยกับพี่โรจน์เขานานยัง”
“..สักระยะหนึ่งแล้ว”
“ป๊ากับม้าล่ะ?”
“รู้แล้ว”
“แล้วเจ้สิ?”
“รายนั้นก็รู้แล้วเหมือนกัน”
“นี่ผมรู้ช้าสุดเลยหรือ!?” คิมหันต์ทำเสียงผิดหวัง ส่งสายตาละห้อยใส่เธอเหมือนเจ้าหมาดุ๊กดิ๊กยามถูกสั่งห้ามเข้าบ้าน “ไหงงั้นล่ะ”
เธอหันมาคลี่ยิ้ม ลูบผมเขาแผ่วเบาเหมือนเคยทำตอนเด็ก ๆ จ้องมองใบหน้าเขาให้ชัด และรับรู้ได้ถึงหลายสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป..
แววตา น้ำเสียง รูปร่าง คิมหันต์โตแล้วจริง ๆ อย่างเจ้าตัวว่า เด็กน้อยที่ตามเรียกเจ้ใหญ่ ๆ มาแต่ไหนแต่ไรเป็นผู้ใหญ่ได้ถึงขนาดนี้เชียว เธออดภูมิใจกับเขาไปด้วยไม่ได้เลย
“เจ้?”
หญิงสาวหลุดจากภวังค์ แวบหนึ่งที่เธอมองเห็นภาพซ้อนของพี่ชายผู้ล่วงลับไปแล้ว น้องเล็กตรงหน้าแทบถอดแบบรูปลักษณ์ภายนอกมาจากพี่ชาย เหมือนกระทั่งคณะที่เรียน แต่เลยจุดที่วสันต์หยุดชะงักไว้แค่นั้นตลอดกาลมาสองปีกว่าแล้ว ต่างกันตรงคิมหันต์ร่าเริงกว่า ดูมั่นใจกว่า เจ้าเล่ห์กว่า ไม่มีภาระเรื่องน้อง ๆ และเงินทองของทางบ้าน แถมยังกวนประสาทกว่าเสียด้วย
"ไอ้ตัวแสบ"
เธอพึมพำ มองเขาเต็มตา และเชื่อว่าเขาจะไม่เป็นอะไรแน่นอน
สามภพในชุดเสื้อยืดกางเกงบอลเดินตรงเข้ามาพอดี มีผ้าขนหนูผืนเล็กพาดอยู่บนไหล่ ลากเก้าอี้อีกตัวมาไว้ข้างคิมหันต์ ขยี้ผมเขาเบา ๆ แล้วย่อตัวลงนั่งคู่กัน
“เฮียอาบน้ำเร็วไปละ” คนที่นั่งอยู่แต่แรกเอ่ยทักทันใด แต่ไม่ได้หลบฝ่ามือที่วางลงบนศีรษะ ตรงข้ามเลย เจ้าตัวยังดันสู้อีกต่างหาก “วิ่งผ่านน้ำเรอะ”
“ใครจะเอ้อระเหยอย่างเราล่ะ”
“ใครจะซกมกอย่างเฮียเพี้ยนล่ะ” คิมหันต์ย้อน ไม่ดูความจริงว่าตัวเองที่ยังไม่ยอมอาบน้ำสักทีนั่นแหละซกมกสุด
“ครับ ๆ” ชายหนุ่มส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มอ่อนใจ หันไปเอ่ยกับวัสสานะประหนึ่งเป็นสมาชิกร่วมบ้าน “พี่สายังไม่นอนอีกหรือ เดี๋ยวพรุ่งนี้ขับรถ”
หญิงสาวผงกศีรษะ หันไปมองคิมหันต์ซึ่งเริ่มมือไม้อยู่ไม่สุข เกาะแขนเกาะไหล่คนข้างกายไปเรื่อย ขณะที่อีกฝ่ายก็ยอมให้หยิบจับเล่นเป็นสินค้าตั้งโชว์แต่โดยดี แบบที่ไม่เคยยอมกับใครอื่น คิมหันต์อาจไม่รู้ ขนาดกับพี่ชายแท้ ๆ สามภพยังไม่ค่อยชอบให้มาสัมผัสเนื้อตัวขนาดนี้เลยด้วยซ้ำ
แต่ก็นั่นละ เรื่องกรณีพิเศษหรือพวกข้อยกเว้นทั้งหลาย มีให้สำหรับคนพิเศษแค่คนเดียว
วัสสานะมองทั้งสองคนยิ้ม ๆ แม้จะหมั่นไส้ท่าทางน้องชายไม่ใช่น้อยแต่ก็พยักหน้า เอ่ยลาพวกเขา แล้วขอตัวไปนอนก่อน ปล่อยแขกที่มาขอค้างด้วยหนึ่งคืนใช้เวลาอยู่กับพ่อน้องชายตัวแสบที่เชิญมาเสียให้หนำใจ (เธอลอบค่อนขอดในใจว่าทำอย่างกับที่ผ่านมายังอยู่ด้วยกันไม่พอ) ปิดเทอมอีกแล้ว เขาต้องเตรียมตัวกลับบ้านต่างจังหวัด คงจะไม่ได้เจอกันอีกสักพักใหญ่ ๆ เพราะดูท่าแล้วคิมหันต์ไม่อยากพาอีกฝ่ายกลับไปเจอหน้าบุพการีเป็นครั้งที่สองเท่าไรนัก
“เด็ก ๆ ก็อย่านอนดึกนักล่ะ”
เธอกำชับเป็นการทิ้งท้าย อ้าปากหาวหวอด ก่อนจะปลีกตัวออกมา
มีต่อรีพลายถัดไปค่ะ
v
v
v