ยกที่ 59 (ต่อ)
พวกเขาเดินทางกลับบ้านซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก สุชัยอยู่ในตำแหน่งคนขับ เดือนเพ็ญนั่งอยู่ด้านข้าง คิมหันต์นั่งกุมมือตัวเองอยู่บนเบาะโดยสารด้านหลังข้างกันกับสิสิรซึ่งยังคงพูดน้อยอย่างทุกที ครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป จะเริ่มต้นตรงไหน ปฏิกิริยาของสุชัยต่างไปจากที่เขาคาดไว้มากนัก หัวหน้าครอบครัวไม่ได้มีทีท่าว่าจะจอดรถลงไปทำอะไรสามภพซึ่งขับตามหลังมาโดยปราศจากคำเชื้อเชิญ มือกำพวงมาลัยไว้แน่นเกร็ง ถอนหายใจแรง ๆ และพ่นลมติดขัดออกมาหลายต่อหลายครั้ง พูดกับคนในครอบครัวแทบนับคำได้ แต่ทั้งหมดนั้นไม่มีเลยสักคำที่พูดกับคิมหันต์ ราวกับว่าเขาไม่ได้นั่งรถกลับมาบ้านด้วยกัน
รถเคลื่อนมาจอดอยู่หน้ารั้วบ้าน คิมหันต์เตรียมลงไปเปิดประตูรั้วอย่างทุกที นั่นเป็นหน้าที่เขาซึ่งเด็กสุดอยู่เสมอ ทว่ายังไม่ได้ได้เปิดประตูรถ สุชัยกลับเป็นฝ่ายลุกจากที่นั่งคนขับไปทำหน้าที่นั้นเสียเอง เหลืออีกสามชีวิตที่นั่งอยู่ในรถด้วยสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก พร้อมกับที่รถสามภพตามมาจอดไม่ห่างกันนัก
คิมหันต์ตัดสินใจเดินตามลงไป ก่อนสิสิรเพียงไม่กี่วินาที มองดูรถของสามภพจอดสนิท พร้อมกับที่สุชัยผลักประตูรั้วบ้านตนเองเปิดออก เหลียวมองชายหนุ่มซึ่งถือเป็นคนนอกด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ก่อนจะเดินกลับขึ้นรถแล้วขับเข้าไปจอดในบ้าน
“นายกลับก่อนดีกว่าไหม” สิสิรเอ่ยขึ้นกับสามภพ มองสีหน้าดื้อดึงของเขาแล้วก็อดถอนใจยาวออกมาไม่ได้
“ผมไม่อยากปล่อยคิมไว้”
“รั้นอย่างนี้เหมือนสาดน้ำมันเข้ากองไฟ คีมก็รู้เรื่องนั้นดี” เธอค้าน หันไปทางน้องชาย “..ใช่ไหม?”
คิมหันต์นิ่งไปอึดใจ เงยขึ้นมองหน้าสามภพ ก่อนจะพึมพำแผ่วเบา “...ผมรู้..แต่ว่า...”
“อย่าโง่หน่อยเลย” เธอพูดรัวเร็วขึ้น เมื่อเห็นว่าพ่อแม่ของตัวเองกำลังเดินออกมานอกรั้วบ้าน “เรื่องอื่นฉลาดกันนัก อย่าเอาแต่รักกันไม่ลืมหูลืมตา มันงี่เง่า คิดให้ดีแล้วบอกพี่ซิว่าพวกนายจะแยกกันแค่ครั้งนี้หรือแยกกันตลอดไป”
“คีม!”สุชัยเอ่ยชื่อลูกชายตัวเองเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เห็นเขาอยู่กับสามภพที่งาน ด้วยน้ำเสียงซึ่งเกือบจะกลายเป็นตวาด
“กลับเข้ามานี่!”
สิสิรดันหลังน้องชายให้เดินเข้าบ้าน บอกกับเขาเสียงหนักแน่น “มันจะไม่เหมือนเดิม เชื่อสิ มีสมองไว้กั้นหูหรือ? ที่พวกนายรบรากันแทบตายตอนรู้จักกันใหม่ ๆ ยังดูฉลาดกว่านี้อีก รักกันแล้วกลายเป็นไอ้งั่งไปทั้งคู่เลยรึไง”
“เจ้..”
“สามภพ!” เธอหันไปหาชายหนุ่มอีกคน ขณะที่สุชัยเดินตรงเข้ามาใกล้เข้าทุกที โชคทีที่ยังไม่เห็นอาวุธอะไรในมือ เริ่มรู้สึกแล้วว่าขัดใจเด็กพวกนี้เหลือเกิน ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะบ้าบอและทำอะไรไม่คิดกันขนาดนี้ “กลับไปก่อน ถ้าไม่เชื่อพี่ก็เชื่อเจ้ใหญ่ เขาไม่ได้แต่งงานเปล่า ๆ หรอกนะ”
“?”
“กลับ!” สิสิรประกาศชัดถ้อยชัดคำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด น่ากลัวผิดปกติจนคิมหันต์เสียวสันหลังวาบ นึกขึ้นมาได้ตอนนั้นเองว่าวิธีดูแลของสิสิรแตกต่างจากวัสสานะตรงไหน
สามภพสูดลมหายใจเข้าลึก มองคิมหันต์อย่างลังเลแวบหนึ่ง และนึกได้ว่าจริงอย่างที่สิสิรบอก อีกฝ่ายเป็นคนสำคัญของคิมหันต์เช่นกัน การจะเข้าชนจัง ๆ อย่างที่เขามักทำเสมอคงไม่ใช่เรื่องดีนัก แม้เป็นกังวลและออกจะเจ็บใจอยู่ลึก ๆ ที่ต้องยอมรับว่าเป็นจริงดังคำของพี่สาวคนรอง การดื้อรั้นไม่ใช่ทางออกที่ฉลาด เธอดูสงบนิ่งกว่าน้องชายที่ท่าทางยังสับสนมากนัก สามภพแทบยกมือยอมจำนนต่อเหตุผลเธอ พี่น้องบ้านนี้ล้วนเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวในบุคลิกภาพที่แตกต่างกันออกไป แม้แต่วัสสานะ พี่สาวคนโตผู้ดูเหมือนจะไร้มารยาสุดก็ยังห่างไกลจากคำว่าใสซื่อ ประสาอะไรกับน้องสาวคนรองที่คบเป็นเพื่อนกับผู้หญิงร้ายกาจอย่างอันนาได้โดยไม่ตะขิดตะขวง
ชายหนุ่มกัดฟัน ถอยหลังไปอีกก้าว
“..ผมฝากดูแลเขาด้วย...อย่าให้ร้องไห้”
“ฝากทำไม” เธอยักไหล่ ดันคิมหันต์ซึ่งดูจะเริ่มรู้จักใช้หัวคิดบ้างแล้วห่างออกไปอีก “เขาเป็นน้องชายพี่อยู่แล้ว”
“โอเค” สามภพพยักหน้า “งั้นเดี๋ยวผมจะมารับน้องชายพี่ไปดูแลเอง ไม่นานหรอก”
“พูดดี” สิสิรหัวเราะในลำคอหน้าตาย “อย่าบ้าระห่ำนักก็แล้วกัน ทำอะไรคิดก่อน” จากนั้นจึงหันกลับไปยังเจ้าบ้าน เอ่ยคำอธิบายซึ่งเป็นคนละเรื่องกับที่คุยกันเมื่อครู่ด้วยเสียงนิ่งสงบ
“ป๊ากับม้าเข้าบ้านเถอะค่ะ สิไล่ไอ้หมอนั่นไปแล้ว พวกนี้ต้องขู่ให้หนัก ๆ” ว่าพลางเกาะต้นแขนคิมหันต์เอาไว้ แบบที่หากเป็นเมื่อก่อนเธอจะล็อคแขนหรือไม่ก็ต้นคอเขา แต่ตอนนี้เธอตัวเล็กกว่าเสียแล้วจึงได้แต่เกาะ “เดี๋ยวต้องอบรมเด็กนี่กันอีกยาว”
คิมหันต์งงอยู่เพียงพริบตาเดียวก็รีบเปลี่ยนเป็นก้มหน้า ตระหนักได้ถึงวิธีช่วยแบบสิสิร อย่างที่ทำเขาเคยเข้าใจผิดมาแล้วเมื่อสมัยก่อนว่าเธอไม่ชอบหน้าเขา หากเขากำลังจะโดนป๊าดุ เธอจะชิงดุก่อน หากเขากำลังจะโดนตี (และเธอไม่ได้กำลังจะโดนด้วย) เธอก็จะชิงตีก่อนด้วยสีหน้านิ่งงัน คิมหันต์ในวัยเด็กนั้นขัดอกขัดใจแทบแย่ จนกระทั่งวัสสานะถามนำให้เขาได้คิด
“ตอนเจ้สิดุ นายโดนป๊าดุอีกไหม?”
คิมหันต์หยุดคิดนิดหนึ่งแล้วส่ายหน้า
“ตอนเจ้สิตีล่ะ ป๊าตีต่ออีกหรือเปล่า?”
เด็กชายตัวน้อยหยุดคิดอีกอึดใจ จากนั้นก็ส่ายหน้าเป็นครั้งที่สอง
“แล้วเจ้สิตีเจ็บไหม?”
ตอนนี้เองที่เขาคิดว่าถึงทีตัวเองสวนแล้ว “เจ็บสิ!” เขารีบตอบ ส่งสายตาเป็นเชิงฟ้องไปยังพี่สาวคนโต
วัสสานะโคลงศีรษะอ่อนใจกับท่าทีน้องเล็ก “เอาละ..คิดต่อนะ ระหว่างป๊ากับเจ้สิ ใครตีเจ็บกว่ากัน”
“...อ่า...” คราวนี้คิมหันต์ได้แต่อ้อมแอ้ม เอ่ยคำตอบออกมาได้ไม่เต็มปากเต็มคำ “....ป๊า..”
“นั่นไง แล้วคิดว่าทำไมเจ้สิต้องยอมเจ็บมือเพื่อตีนายด้วยล่ะ ถ้าเขาไม่ชอบหน้า สู้รอให้ป๊าเอาไม้เรียวฟาดหนัก ๆ ไม่ดีว่าหรือ?”
“....”
“ตอบครับตี๋เล็ก” เธอทำเสียงดุ
“...เพราะ.......ไม่อยากให้โดนตีเจ็บ ๆ”
“เพราะเป็นห่วง”
เขาฟังเธอสรุปแล้วจ๋อยสนิท เพิ่งเข้าใจว่าพี่สาวคนรองแสดงความห่วงใยในรูปแบบที่อ้อมค้อมต่างจากวัสสานะ วันนั้นจำได้ว่าเดินไปขอโทษสิสิร แล้วก็ได้รับคำดุพร้อมรอยยิ้มมุมปากกลับมา และเขาลืมความคิดเรื่องเธอไม่ชอบขี้หน้าเขาไปหมดสิ้น ตั้งแต่วินาทีที่เธอส่งมะเหงกใส่กลางศีรษะเขาหลังจากดุเสร็จ
สิสิรก็เป็นแบบนั้น ครั้งนี้สิสิรทำราวกับเพิ่งรู้เรื่องระหว่างเขากับสามภพ และทำได้แนบเนียนเสียด้วย หงุดหงิดแทนสุชัยจนเขาเริ่มกลัวจริง ๆ เข้าแล้วในบางประโยค ป๊าของพวกเขาผสมโรงดุด่าพลางทำตาแดง ๆ ไปด้วยเป็นระยะ แต่รุนแรงน้อยกว่าที่เตรียมใจไว้ล่วงหน้ามาก คิมหันต์นึกไม่ออกเลยว่าหากไม่มีพี่สาวสองคนคอยแอบช่วยเหลือมาตลอดแล้วทุกวันนี้จะเป็นอย่างไร
“เลิกยุ่งกับไอ้เด็กนั่น” สุชัยยื่นคำขาดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องมาเป็นพ่อลูกกัน!”
เขาสะดุ้งน้อย ๆ นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ดูเหมือนจะรุนแรงกว่าที่เขาคาด แม้อารมณ์ขณะพูดไม่ได้กระโชกโฮกฮาก แต่เขารู้ดีถึงความหมายของถ้อยคำเหล่านั้น ถ้ามีป๊า ต้องไม่มีสามภพ และหากมีสามภพ...ก็จะไม่มีป๊า คือสิ่งที่สุชัยต้องการจะสื่อ แม้คิมหันต์จะโกหกแนบเนียนมาได้แต่ไหนแต่ไร ทว่าเจอเข้าอย่างนี้ก็ถึงกับพูดไม่ออกไปยกใหญ่
“ตี๋!?”
อีกฝ่ายคาดคั้น ขณะที่เขาได้แต่อ้าปากพะงาบ เดือดร้อนถึงพี่สาวต้องลอบหยิกเบา ๆ บนต้นแขนจากด้านหลังเป็นเชิงกระตุ้นให้ตอบรับไปก่อน
“.....ครับ..” เขาหลับหูหลับตาตอบ ขอโทษทั้งป๊าและเทวดาฟ้าดินอยู่ในใจ ตายไปท่าทางจะตกนรกอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะความคิดจะเลิกยุ่งกับสามภพนั้นไม่มีในหัวอยู่แล้วแน่ ๆ
“ตั้งใจเรียนให้จบ อย่าให้รู้ว่านอกลู่นอกทางหรือทำตัวเบี่ยงเบนอีก ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องเรียนมันแล้วมหา’ลัยน่ะ!”
“...ครับ..”
เขาก้มหน้าก้มตาฟังสุชัยอบรมต่ออีกเป็นชั่วโมง ขณะที่เดือนเพ็ญนั่งถอนใจอยู่ด้านข้าง และสิสิรเปลี่ยนจากทำโหดใส่เป็นนั่งฟังอยู่เงียบ ๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีเค้าลางของความรุนแรงเกิดขึ้น เวลาล่วงเลยไปนานที่เขานั่งจนขาแข็งไปหมด น้ำท่ายังไม่ได้อาบ ทำใจเรียบร้อยแล้วว่าอาจต้องเป็นไปเช่นนี้จนสว่างคาตา ตอนที่สุชัยไล่เขาไปนอน
“....”
“แล้วก็ปิดเทอมให้อยู่บ้านนี้” อีกฝ่ายทิ้งท้าย “ไม่ต้องกลับกรุงเทพฯ เปิดเทอมโน่นค่อยไป เข้าใจไหม!?”
คิมหันต์หน้าเจื่อน เอ่ยรับคำเบา ๆ ก่อนสุชัยจะเดินตึงตังเข้าห้อง
“...ครับ”
อีกไม่กี่นาทีก็จะตีสี่ สองคนพี่น้องนั่งแกร่วอยู่ในห้องโถงครู่หนึ่งจนแน่ใจว่าทั้งสองท่านที่เพิ่งจากไปจะไม่ย้อนกลับมาอีก สิสิรจึงได้ถอนหายใจยาวเหยียด พร้อมกับยกมือขึ้นกุมหน้าผากอย่างเหนื่อยล้าเต็มทน
“บ้าจริง ๆ เด็กพวกนี้ ไปทำอีท่าไหนให้โดนจับได้กันนะ”
“..ผมขอโทษ” คิมหันต์อ้อมแอ้ม
“ทำอะไรไม่คิด แล้วไปบอกรักเขาต่อหน้าป๊าเนี่ยนะ...เกือบไปแล้วไหมล่ะ เฮียเพี้ยนที่รักของนายโดนยิงพรุนขึ้นมาจะว่ายังไง”
“ตอนนั้นมันชั่ววูบอะ กะว่าเผื่อเป็นอะไรไป..” คิมหันต์ก้มหน้าก้มตา ใบหูแดงแจ๋ “...เดี๋ยวเขาจะไม่รู้ว่าผมรัก”
“โอยตาย..ปวดหัว จะเป็นอะไรไปก็เพราะบ้ากันอย่างนี้แหละ ทำไมกันหือ เรื่องอื่นละฉลาดได้ฉลาดดี ดูตอนนี้เข้า ตาบอดหูหนวกไปเลยหรือไง”
“ชู่ว...เจ้อย่าเสียงดังดิ” เขาทำตาละห้อย “เดี๋ยวป๊าได้ยิน”
สิสิรมองหน้าเขา ถอนใจอีกครั้ง ฉุดแขนน้องชายให้ลุกยืน พยักพเยิดให้เดินขึ้นไปคุยกันต่อบนชั้นสอง บ่นงึมงำไปด้วยตลอดทางอย่างเหลืออดเหลือทนทั้งที่ปกติไม่ใช่คนพูดมากขนาดนี้
“ถ้าพวกนายจะคบกันเงียบ ๆ สักหน่อย อย่าให้ประเจิดประเจ้อมาก เจ้ใหญ่ก็วางแผนอนาคตไว้หมดแล้วแท้ ๆ”
คิมหันต์ซึ่งกำลังผลักประตูห้องตัวเองหันมาจ้องพี่สาวเขม็ง จะว่าไปประเด็นนี้เขาสงสัยตั้งแต่ตอนเธอคุยกับสามภพที่หน้าบ้านแล้ว ที่ว่าวัสสานะไม่ได้แต่งงานเปล่า ๆ นั้นหมายความว่าอย่างไรกัน
“ยังไง?”
สิสิรเหลือบมองรอบตัวให้แน่ใจอีกครั้งก่อนจะเดินตามเขาเข้าไปในห้อง ปิดล็อคประตูไว้เรียบร้อย ก่อนจะเปิดปากเล่าให้ฟังเรื่องข้อตกลงระหว่างวัสสานะกับเจ้าบ่าวของเธอ ขณะที่คิมหันต์ทำหน้าเหวอเป็นระยะอย่างได้อารมณ์
“ทีนี้เข้าใจหรือยัง?”
พ่อน้องชายตัวแสบอ้าปากค้างไปครู่หนึ่งทีเดียวกว่าจะรู้ตัว
“แล้วพี่โรจน์เขายอมด้วยหรือ?”
“ไม่ยอมก็ไม่แต่ง” สิสิรยักไหล่ “เจ้ใหญ่ว่าไว้งั้น”
“เจ้ใหญ่ร้ายมาก...”
“อย่างนายน่ะ ว่าคนอื่นเขาได้ด้วยหรือ”
“ผมกลายเป็นเด็กใสซื่อไปแล้ว” เขาเถียง “เจ้ก็เห็น”
เธอย่นจมูกใส่ถ้อยคำน้ำเน่าของเขา “แล้วไงล่ะ ทั้งใสซื่อและประเจิดประเจ้อสะใจ ถ้าแอบคบกันแค่เงียบ ๆ รอจนเจ้ใหญ่มีลูกชายก็ออกจะมีเปอร์เซ็นต์รอดสูงอยู่แล้วแท้ ๆ ถ้าป๊ารับไม่ได้ก็ทำเป็นครองโสดไปตลอดชีวิตก็ได้ ไม่แต่งเสียอย่าง แล้วนี่อะไร ทำเสียแผนหมด”
“....เจ้อ่า...”
“เพราะงั้นปิดเทอมก็เจี๋ยมเจี้ยมอยู่บ้านแล้วกัน สมน้ำหน้า รอป๊าหาสาวคนใหม่มาจับคู่”
“โอย ไม่เอาแล้ว แถมอยู่นี่คนเดียวผมเฉาตายแน่ ๆ เดี๋ยวเจ้ใหญ่ก็ไปทำร้านยาต่อ เจ้ก็ไปทำงาน ผมยังต้องไปแกล้งไอ้ปิ่นอีก แล้วไอ้ดุ๊กดิ๊กลูกรักล่ะจะทำไง”
“อย่ามาอ้างโน่นนี่ ลามไปถึงหมาอีก ไอ้ดุ๊กดิ๊กนั่นเจ้เลี้ยงเอง วันไหนไม่อยู่ก็ฝากไว้กับป้านิตย์บ้านตรงข้ามก็ได้”
“ยัยป้ามหาภัยนั่นน่ะนะ” เขาโอดครวญ “ลูกชายผมได้ติดนิสัยป่าเถื่อนเหมือนไอ้นิลร็อตไวเลอร์ของแกพอดี”
“ช่วยไม่ได้นี่” หญิงสาวกลอกตา “เจ้าของหมาอยากทำอะไรไม่คิดเอง”
“ง่า”
“ไม่โดนยึดโทรศัพท์หรือจับขังก็ดีเท่าไหร่แล้ว..”
เธอถอนหายใจอ่อนแรง เหม่อมองตู้เสื้อผ้าใบใหญ่ที่เคยเป็นของพี่ชายคนโต จากนั้นก็ยกมือขึ้นขยี้ตา พึมพำเสียงเบาหวิว
“...ดีแล้วนะ.....ดีแล้ว...”
“...เจ้สิ..”
“ทำตัวดี ๆ อยู่บ้านสำนึกผิดซะ!”
สิสิรทำเสียงดุ ส่งมะเหงกลงกลางศีรษะเขาเบา ๆ พร้อมกับรอยยิ้มมุมปากแบบเดียวกับที่เคยทำในความทรงจำเขาวันนั้น
“อย่าให้ความพยายามของคนเขาต้องเสียเปล่าล่ะ”
แม้จะดีแล้วจริง ๆ อย่างพี่สาวว่า แต่ปิดเทอมของคิมหันต์ก็เต็มไปด้วยความห่อเหี่ยวอย่างไม่ต้องสงสัย เขานั่งนับวันรอว่าเมื่อไรจะเปิดภาคเรียนใหม่เสียที จ้องปฏิทินจะจะพรุนหมดแล้ว ขณะที่เวลาก็ยังเดินไปอย่างใจเย็นประหนึ่งเต่าคลานเช่นเดิม
เขาโทรศัพท์คุยกับสามภพเฉพาะตอนกลางคืนที่มั่นใจว่าทั้งบ้านนอนหลับกันหมดแล้ว ระแวดระวังขึ้นอีกหลายระดับจนเกือบเข้าขั้นวิตกจริต แทบเลิกเล่นแช็ตผ่านมือถือ ไม่อยากคิดเลยว่าหากถูกจับได้เรื่องยังลอบติดต่อกันอยู่จะเกิดอะไรขึ้น โทรไปโวยวายกับปิ่นหยกก็โดนหัวเราะใส่กลับมาประจำ ตามด้วยประโยคเด็ดของเจ้าตัวที่ภาคภูมิใจในคำสาปแช่งของตัวเองเมื่อนานมาแล้วเสียเหลือเกิน
“มีแฟนเป็นผู้ชาย..และเป็นฝ่ายรับ” ตามด้วยเสียงหัวเราะชอบใจของไอ้คนที่ไม่น่ามาพูดอย่างนี้กับคนอื่นได้เลย เพราะตัวเองก็ใช่จะต่าง
“ไอ้เพื่อนเฮงซวย!” เขาสบถ ก่อนเสียงหัวเราะซึ่งพ่นใส่เขาเมื่อครู่จะถูกแทนที่ด้วยถ้อยคำก่นด่าอีกคนที่อยู่ข้างกาย ลองอย่างนี้ก็ไม่ต้องเดาแล้วว่าใคร อีกเดี๋ยวเดียวคงชิงวางสายไปก่อนเป็นแน่
“เฮ่ยคิม ...อ๊ะ!...คะ...แค่นี้ก่อน......นะ....”
นั่นปะไร...สายถูกตัดไปดื้อ ๆ โดยไม่รู้ว่าเป็นฝีมือปิ่นหยกหรืออาทิตย์
“จะน่าหมั่นไส้เกินไปแล้วเว้ย!”
คิมหันต์ได้แต่ฟัดหมอนข้างอย่างคันไม้คันมือตลอดปิดเทอม - หมดยกที่ 59 -
ไม่ดราม่าเนอะ 5555 ใกล้จบแล้ว =3=
คิมมีพี่สาวดีนะคะ เจ้ ๆ ช่วยน้องน่าดู คงเป็นความรู้สึกอยากชดเชยให้เฮียใหญ่ ;3;
ขอบคุณคนอ่านผู้น่ารัก ของแถมรีพลายถัดไปค่า ^o^