● เล่ห์รักฤดูร้อน ●
ยกที่ 60 – Back home
อีกครั้งที่คิมหันต์กลับมาหย่อนก้นบนโซฟาสีแดงตัวเดิม ตำแหน่งพิเศษของเขาในร้านเค้กทานตะวัน
หลายปีผ่านไปก็นับว่าเรื่องนั้นยังไม่เปลี่ยน (หากมองข้ามเรื่องมันเก่าและเยินขึ้นนิดหน่อยไปได้) หลังเพิ่งได้รับสิทธิ์จากการกึ่ง ๆ จะเรียกว่ากักตัวของที่บ้านตอนอยู่ราชบุรี นับตั้งแต่คืนวิวาห์ของพี่สาวคนโต กระทั่งจะเปิดภาคเรียนพรุ่งนี้อยู่แล้วจึงได้รับอนุญาตให้กลับกรุงเทพฯ พร้อมแบกเอาถ้อยคำกำชับมหาศาลจากผู้ปกครองมาด้วย หากได้รับเค้าลางไม่ดีอีก สุชัยผู้เป็นพ่ออาจได้ถ่อมาดูให้เห็นสภาพความเป็นอยู่กับตาเป็นแน่
แต่สิ่งที่คิมหันต์ยังไม่ได้พูดกับใคร คือเขาคิดว่าสุชัยรู้..หรืออย่างน้อยก็ต้องระแคะระคายบ้าง เรื่องที่เขายังติดต่อกับสามภพอยู่ เพียงแต่อาจไม่ได้พูดออกมา หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง แต่ป๊าเขาไม่ได้เป็นมนุษย์จำพวกหัวทึบอย่างนั้น ลูกทั้งสามที่มีมุมเจ้าเล่ห์อยู่บ้างมากน้อยลดหลั่นกันไป ส่วนหนึ่งก็น่าจะมาจากฝ่ายบิดากันทั้งสิ้น คงจะมีก็แต่พี่ชายคนโตเพียงผู้เดียวซึ่งดูจะหัวอ่อนและซื่อตรงกว่าพี่น้องที่เหลือ คล้ายไปทางนิสัยของผู้เป็นแม่มากกว่าคนอื่น
“แล้วแกเอาไงนี่?”
เสียงนั้นดึงคิมหันต์หลุดจากภวังค์ ปิ่นหยกในชุดพนักงานเยิน ๆ หลังเลิกงานยืนมุ่นคิ้วอยู่ตรงหน้า โยนผ้าเช็ดมือไว้บนโต๊ะแล้วทรุดตัวลงนั่งข้างเขา สายตาดูลังเลอยู่นิดหน่อย ก่อนจะเอื้อมมือมาตบไหล่แปะ ๆ “เทอมนี้พักหอหรือคอนโดฯพี่ภพ”
“อา..นึกอยู่”
“ป๊าว่าไงล่ะ”
“ป๊าคิดว่าเลิกติดต่อกันแล้ว”
เขาบอกเพียงแค่นั้น ข้ามเรื่องที่สงสัยว่าผู้ใหญ่อาจรู้เห็นอยู่ตลอดไปก่อน
“เกรียนไม่ออกเลยดิ?”
“..งั้นละมั้ง”
ปิ่นหยกหัวเราะ ผลักศีรษะเขาเบา ๆ “เสียชื่อตี๋เกรียนโคตรเลย หงอยเป็นลูกหมา”
“หุบปากเลยควายปิ่น”
“เลี้ยงข้าวฉันสิ แล้วจะหุบปาก ฮ่า ๆ”
“เชี่ย!” คิมหันต์ส่งเสียงสบถงุบงิบ ขณะที่ปิ่นหยกตบไหล่เขาอีกที
“เฮ่ย..ไม่เป็นไร” อีกฝ่ายพึมพำ หยุดหัวเราะแล้วยิ้มบางเบา แบบที่หาได้ยากเต็มทีจากคนอย่างปิ่นหยกหากไม่ใช่เรื่องเงินหรือของฟรี ก่อนจะเริ่มร่ายยาวเป็นชุดประสามนุษย์ขี้บ่น “..พี่ภพเขาไม่ปล่อยแกหรอก..จริง ๆ นะ แล้วก็ไม่ยอมไปหาเขา ก่อนนี้หลุดปากบอกคิดถึงเยอะแยะ กลับมาแล้วดันมาแหมะอยู่นี่ซะได้”
“...”
“หูโคตรแดงเลยคิม”
“....”
“หมดท่าเลย ฮ่า ๆ ๆ นี่ดูเป็นคนละคนกับเมื่อตอนมัธยมเลยนะ”
“บ้าเอ๊ย”
“เอาเหอะ เดี๋ยวเขาก็มาแล้วมั้ง”
“หือ?”
ปิ่นหยกยิ้มซื่อ “อาทิตย์โทรบอกพี่ภพแล้วว่าแกสิงอยู่นี่”
“...นี่พวกแก...”
คิมหันต์อ้าปากจะโวยต่อ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจเอนหลังพิงพนัก แหงนหน้าแล้วถอนหายใจสุดปอด
เขากลับมาแล้วแต่ยังไม่ได้บอกสามภพ ทั้งที่อยากเจอมาตลอด ทว่ามักทำตัวประหลาดอย่างนี้อยู่เรื่อย ใจหนึ่งบอกว่าอยากกอดออยากฟัด อีกใจเถียงว่าขอเวลาตั้งตัวสักหน่อย แต่ไอ้เพื่อนยากและมนุษย์มึนผู้เป็นคนรักก็ช่างรู้มากเสียจริง
“เป็นห่วงแกไง เลยต้องตามพี่เขามาช่วยดูแล”
ปิ่นหยกยักไหล่ มีอาทิตย์โผล่จากไหนไม่รู้มาเกาะอยู่ด้านหลัง
“ไปหวานกันไกล ๆ เลยพวกแก”
อาทิตย์ส่งยิ้มมึน ๆ ใส่ “คิมอิจฉาจริงด้วยสินะครับ?”
เขาทอดมองเพื่อนสองคนตรงหน้าอย่างละเหี่ยใจ อะไรจะเริงร่ากันได้น่าหมั่นไส้ตลอดเวลาอย่างนี้ อดคิดไม่ได้ว่าความรักแบบที่คนทางบ้านยอมรับนั้นโชคดีเป็นบ้า แล้วเรื่องของเขากับสามภพมันต่างกันตรงไหนหรือ
คิมหันต์จ้องมองอาทิตย์ ฝ่ายนั้นคนที่บ้านยินยอมพร้อมใจ มีพี่สาวคนสวยคอยช่วยไปแกล้งไป คุณพ่อสุดที่รักเป็นเศรษฐีซึ่งบุคลิกออกจะประหลาดไม่ต่างกับลูกชายแต่ก็ยังสนับสนุน หากเทียบกับทางบ้านสามภพอาจนับได้ว่าสถานการณ์ใกล้เคียง
เขาเลื่อนสายตามาหยุดอยู่กับปิ่นหยกเพื่อนรัก มนุษย์ขี้งกผู้เจอเรื่องที่ทำให้ต้องเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่ากว่าชีวิตจะเริ่มลงตัวอย่างทุกวันนี้ ก่อนจะคิดได้ว่าบางทีหมอนั่นอาจไม่ใช่คนที่ควรไปหมั่นไส้เลย เขาเองโชคดีเท่าไรแล้วที่ยังมีป๊า ม้า แล้วยังบรรดาพี่สาวที่คอยให้ความช่วยเหลือ ทางบ้านปิ่นหยกไม่มีปัญหา เพราะไม่เหลือคนในครอบครัวอีกแล้วนอกจากน้องสาวเพียงคนเดียวต่างหาก
แสงไฟสีส้มสาดเข้ามาผ่านหน้าต่างกระจกของร้านในยามวิกาล ทั้งสามคนเหลียวไปมองที่มาของแสงแทบจะโดยพร้อมเพรียง
โดยไม่จำเป็นต้องมีคำพูดจามากไปกว่านั้น พวกเขารู้ดีว่าผู้มาใหม่คือใคร
“ตอนแกไม่อยู่ พี่ภพมาที่นี่บ่อยมาก” ปิ่นหยกเหลือบมาทางเขา ก่อนจะหันไปขมวดคิ้วสู้แสงไฟ จ้องมองรถซึ่งจอดอยู่ด้านนอก “ผู้ชายตัวโต ๆ หน้าโหดนั่งในร้านเค้ก คิดว่าตลกดีไหม”
คิมหันต์พยักหน้า “โคตรตลก”
“ตลกพอกับแกตอนนี้เลย”
เขาย่นจมูกแล้วลุกขึ้นจากโซฟา โบกมือลาเพื่อนทั้งสองแล้วเดินออกไปหน้าร้าน ได้ยินเสียงปิ่นหยกร้องตามไล่หลัง
“สู้ ๆ เว้ย”
ปิดภาคเรียนที่ผ่านกินระยะเวลาไม่นานเท่าไร คิมหันต์นึกสงสัยว่าช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงแค่นั้นจะส่งผลอย่างไรกับตัวเขาเองบ้างเมื่อได้เห็นหน้าสามภพอีกครั้ง อย่างมากอาจแค่ใจเต้นแรงนิดหน่อย จากนั้นก็สนุกสนานดีใจเหมือนกับที่เพิ่งไปเจอไอ้ดุ๊กดิ๊กลูกรักที่บ้านมาเมื่อบ่าย แล้วค่อยจับฟัดสักทีแบบเต็มไม้เต็มมือ ไม่น่ามีอะไรให้เป็นกังวล
แต่สิ่งที่คาดไว้ต่างจากความเป็นจริงเอาการทีเดียว
เท้าเขาพาตัวเองขยับเข้าไปใกล้ สามภพรออยู่ตรงนั้น ยืนพิงอยู่ข้างรถเหมือนรู้ว่าอย่างไรเขาก็ต้องออกมาแน่ คิมหันต์ยังเป็นปกติดีทุกอย่างจนกระทั่งไปหยุดอยู่ตรงระยะห่างประมาณสามเมตร ตำแหน่งที่ราวกับหัวใจจะเพิ่งรู้ตัวว่าอยากเต้นให้หนักหน่วงกว่าเก่า ทั้งเร็วและดังจนได้ยินมันแว่วซ้ำไปซ้ำอยู่ในหู ความคิดอะไรที่วนเวียนอยู่ก่อนหน้านั้นหายเกลี้ยงจนว่างเปล่าขาวโพลน ทั้งที่ตั้งใจจะค่อย ๆ เดินไปหาแบบมีมาด หรืออย่างน้อยอีกฝ่ายอาจตรงเข้ามาหาเขาด้วยแล้วพบกันตรงครึ่งทาง
ทว่าชั่ววินาทีนั้น...ไม่ว่าด้วยเหตุอันใด กลับกลายเป็นเขาเองที่กระโจนใส่คนตรงหน้าเสียเต็มน้ำหนัก ตั้งแต่สามภพยังขยับขาออกมาไม่ทันเป็นก้าวเลยด้วยซ้ำ ทำเอาพากันเซไปพิงรถซึ่งสตาร์ทเครื่องจอดรอไว้ ครั้นจะอ้าปากทักทาย ก็พบว่าสุ้มเสียงหายไปอย่างลึกลับ สุดท้ายจึงได้แต่กอดไว้แน่นจนแขนสั่นโดยไม่รู้ตัว
“..ไอ้ลูกหมา..” อีกฝ่ายกระซิบเสียงนุ่ม แต่ยังติดสำเนียงชวนหัวน่าขัดใจ “...ถ้าคิดถึงขนาดนี้แล้วจะทำเล่นตัวเพื่อ?
“....”
“ต้องรอให้เพื่อนช่วยโทรตามเรอะ”
เขาชะงัก งุบงิบแก้ตัวไปเรื่อย “พี่ก็น่าจะรู้นี่ว่าผมกลับวันนี้”
“แล้วไง?”
“พิสูจน์รักแท้ไง”
“ปากดี”
“ปากดีก็ด่า ปากหมาก็บ่น จะเอาไงวะ”
สามภพหัวเราะ จงใจเอาคางกระแทกกลางศีรษะเขา ซึ่งไม่รู้ว่าทำอย่างนั้นแล้วใครเจ็บกว่ากัน “ครับ ๆ แบบไหนก็รัก”
คิมหันต์อ้ำอึ้งไปครู่หนึ่ง เริ่มไม่อยากเงยหน้ามองอีกฝ่ายเอาจริง ๆ เข้าแล้ว ไม่ได้รับมือกับตัวจริงนาน ๆ เจอไปแค่นี้ก็เล่นเอาใจเต้นแรงผิดปกติ และท่าทางว่าสามภพคงชอบใจจึงได้ตามกระเซ้าต่อ
“เถียงไม่ออกเลย?”
“..ดี..” เขาย่นจมูก พ่นลมออกมาอย่างขัดใจ รัดแขนแน่นรอบตัวคนตรงหน้าทีหนึ่งก่อนจะปล่อยมือแล้วรีบวิ่งอ้อมไปยังประตูที่นั่งฝั่งโดยสาร โพล่งขึ้นกับสามภพที่ยืนส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มอ่อนใจ “รักผมเยอะ ๆ ไม่งั้นผมเล่นเฮียหนักแน่”
คนฟังเลิกคิ้ว รอยยิ้มกว้างวาดขึ้นบนริมฝีปากด้วยความเอ็นดู
“พูดเหมือนที่ผ่านมาทำตัวว่าง่ายตายละ”
คิมหันต์ยักไหล่กวนประสาท จากตอนแรกที่ชั่งใจว่าช่วงที่ยังเปิดเทอมจะอยู่หอหรืออยู่คอนโดฯของสามภพต่อ แต่พอเห็นหน้าตาเนื้อตัวอีกฝ่ายเท่านั้น ความลังเลก็ราวกับจะหายไปหมดเกลี้ยง
“เฮียเพี้ยนก้มหน่อย”
อีกฝ่ายที่ตามขึ้นมานั่งด้านข้างหรี่ตาใส่เขา ส่งเสียงถามในลำคอ “หืม?”
“น่า ๆ” เขาจิ๊ปาก “ป่านนี้จะระแวงอะไรอีก ผมไม่ปล้ำเฮียหรอก”
สามภพพ่นลมออกจมูก แต่กระนั้นก็ก้มลงไปหาแต่โดยดี ยื่นหูเข้าไปใกล้ เข้าใจเอาเองว่าคิมหันต์จะกระซิบอะไร
ทว่าเมื่อเอนตัวไปได้หน่อยเดียว อีกฝ่ายก็คว้าแก้มสองข้างเขาหมับ บังคับ(แต่แน่นอนว่าเขาเต็มใจ)ให้หันหน้าเข้าหาตัว จากนั้นก็จรดริมฝีปากบาง ๆ ลงแนบสนิทกับของเขา พร้อมกับที่ใบหูผู้กระทำเปลี่ยนเป็นสีแดงแจ๋ ก่อนจะรีบกลับไปนั่งสนใจทิวทัศน์นอกหน้าต่าง งึมงำทำนองเพลงที่ฟังไม่รู้เรื่อง
ไออุ่นและความชื้นจากที่สัมผัสเมื่อครู่ยังติดอยู่บางเบา ชายหนุ่มยกมือขึ้นแตะปากตัวเอง พึมพำกับไอ้ตัวแสบที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“...ไม่ปล้ำพี่ แต่ระวังจะถูกปล้ำเอง”
ว่าแล้วก็หัวเราะอย่างที่น้อยคนนักจะได้เห็น ฮัมเพลงเกาหลีที่เขาฟังจนท่องเนื้อได้โดยไม่รู้ความหมายใส่อีกฝ่าย ซึ่งเอาแต่เสมองไปทางอื่นอีกหลายนาทีกว่าจะกลับมาเจื้อยแจ้วอีกครั้ง
พวกเขาแวะเอาของใช้จำเป็นที่บ้านคิมหันต์ก่อน ฟัดหมารักพร้อมส่งส่วยเป็นขนมปังกรอบในกระเป๋าพอเป็นพิธี มีสิสิรพยักหน้าหน่าย ๆ เมื่อพ่อน้องชายที่รักมาถึงก็บอกเดี๋ยวจะไปสิงคอนโดฯของสามภพระหว่างที่ยังเปิดภาคเรียน เธอบ่นพึมพำอยู่สองสามประโยคเรื่องไหนก่อนหน้านี้ทำเป็นเครียดว่าจะย้ายออกไปอยู่หอดีหรือเปล่า ตอนนี้กลับกระดิกหางตามอีกฝ่ายไปง่าย ๆ เสียอย่างนั้น
จำเลยเพียงแต่ยิ้มแหยพร้อมเถียงอุบอิบแบบขอไปที
“...เอาน่า..ได้ไม่ต้องกวนค่าหอเจ้ไง”
“ให้ดีล่ะ” หญิงสาวโคลงศีรษะ ส่งมะเหงกให้เข้าหนึ่งทีแสดงความรัก “มีอะไรก็โทรมา อย่าไปกวนเจ้ใหญ่มาก”
“คร้าบ”
ตลอดทางหลังจากนั้น พวกเขาคุยกันเรื่อยเปื่อยด้วยเรื่องสัพเพเหระ ซึ่งแน่นอนว่าส่วนใหญ่แล้วคิมหันต์เป็นคนพูด ส่วนสามภพเป็นฝ่ายฟังและคอยขัดเป็นระยะเวลานึกสนุกขึ้นมา
แม้ขยับปากน้อยออกอย่างนั้นหากเทียบกับอีกฝ่าย ก็ยังรู้สึกตัวว่าพูดเยอะกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด จะว่าไปตอนที่คิมหันต์ไม่อยู่ เขาแทบไม่ได้คุยกับใครเลยหากไม่จำเป็น ซึ่งคำว่า
จำเป็นของเขา สำหรับคนที่ไม่ได้สนิทสนมกันแล้วก็ค่อนข้างมาตรฐานสูงเสียด้วย
เขาเหลือบมองผู้โดยสารขาประจำเป็นระยะ ครุ่นคิดถึงเรื่องระหว่างพวกเขาไปด้วย ความสัมพันธ์ที่ไม่ได้รับการยอมรับและต้องหลบซ่อนจากตาผู้ใหญ่ อาจไม่นับว่าเป็นเรื่องเลวร้ายนัก อย่างน้อยการที่คิมหันต์มีความรู้สึกดีกับเขาเช่นกัน ก็ช่วยให้ทนอยู่แบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ต่อไปไหว ทว่าคงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าไม่อึดอัด ไหนจะความคิดเรื่องวันดีคืนดีป๊าอีกฝ่ายอาจหาสาวที่ไหนมายัดเยียดอีกหรือเปล่า ใช่ว่าทุกคนจะโชคดีอย่างสาวบงกชคนก่อน
ชายหนุ่มลอบถอนใจเงียบ ๆ คิดแล้วให้น่าหน่ายใจไม่น้อย ทั้งที่บ้านเขาออกจะยอมรับดี กลับมาเจอด่านผู้ใหญ่ของอีกฝ่ายเสียได้ แม้แต่สรัญ เพื่อนเกย์ร่างล่ำที่หาหนุ่มควงแทบไม่ซ้ำหน้า ระยะหลังมานี้กลับดูชีวิตรักสดใสกว่าเขาเป็นไหน ๆ กับไอ้แว่นอีกคนที่ชื่อ...ชื่ออะไรก็ลืมไปแล้วนั่น
พวกเขาแวะหามื้อเย็นกินข้างนอก กว่าจะกลับถึงที่พำนักก็มืดค่ำ ขณะที่เขาช่วยหิ้วกระเป๋าเอามาโยนไว้ในห้อง กลับเผลอถอนใจออกมาอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว
“เป็น'ไรเฮีย”
เป็นอีกฝ่ายที่สังเกตเห็นสีหน้าแบบนั้น แล้วยังจับอารมณ์ขุ่นมัวบางเบาได้ก่อนเขาเองเสียอีก
“ไม่นี่”
“ทำหน้าเบื่อโลก”
“ยังไง”
“อย่างที่กำลังทำนั่นแหละ” คิมหันต์ทำหน้ามุ่ย “ผมกลับมาแล้ว ไม่ดีใจหรือ”
เขาจ้องหน้าคนพูด ปากคอช่างออดอ้อนไปได้เรื่อยตั้งแต่ตัวกระเปี๊ยกจะจนเรียนจบกันอยู่แล้ว มือคว้าไหล่อีกฝ่ายไว้แล้วดึงเข้ามาใกล้ โอบเอาไว้หลวม ๆ กดจมูกลงแผ่วเบาตรงข้างกกหู
“จะดีใจดีไหมนะ”
“เฮียแม่ง..” คิมหันต์บ่นหงุงหงิง หดคอหนีทำท่าเหมือนจักจี้ “เสียแรงอุตส่าห์คิดถึง”
“อีกทีซิ”
“คิดถึง”
สามภพนึกกระหยิ่มอยู่ในใจ อารมณ์ขุ่นมัวถูกเป่าหายเกลี้ยงตั้งแต่ได้ยินคำว่าคิดถึงรอบแรกแล้ว ขณะที่อีกฝ่ายเริ่มทำหน้ามุ่ย
“ไม่ค่อยได้ยินเลย?”
คิมหันต์กระฟัดกระเฟียด ดูก้ำกึ่งระหว่างอยากผลักเขาออกด้วยความหมั่นไส้กับอยากกอดให้แน่น แต่ดูเหมือนอย่างหลังจะชนะในที่สุด
“...ผมคิดถึงพี่”“...”
“คิดถึงผมไหม”
“ไอ้ตัวแสบ..” สามภพส่งเสียงหัวเราะในลำคอ พรมจูบไปทั่วใบหน้าอีกฝ่ายอย่างรักใคร่ ดันให้คนในอ้อมกอดถอยหลังไปชิดกำแพง นึกตลกที่จนจนป่านนี้ยังจะถามอยู่ได้ว่าคิดถึงไหม รักไหม ไอ้นั่นไอ้นี่ไหม จะอ้อนไปถึงไหนกันนะให้ตาย “เดาได้ไหมว่าคิดถึงหรือเปล่า”
คิมหันต์ส่งเสียงครางแปลกหูตอนเขางับลงเบา ๆ ตรงซอกคออีกฝ่ายอย่างจงใจแกล้ง
"..ฮื่อ..เฮียเพี้ยน.."
ไม่ถึงอึดใจเสื้อเชิ้ตคนตรงหน้าก็ถูกเขาปลดกระดุมแล้วดึงออกไปค้างอยู่แถวข้อศอก ก่อนจะร่วงลงไปกองขยุกขยุยบนพื้น ตามด้วยเข็มขัดอีกเส้นที่ทิ้งตัวลงไปหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วินาที นับเป็นการจับลอกคราบที่รวดเร็วและราบรื่นจนน่าตกใจ ต่อให้อีกฝ่ายติดจะเคลิ้มอยู่นิดหน่อยเมื่อเขาหันไปแลกริมฝีปาก ส่งปลายลิ้นรุกรานจนไอ้ตัวพูดมากเกรียนไม่ออกไปชั่วขณะ ขยำอกเสื้อเขาไว้แน่นพร้อมกับพยายามแกะกระดุมไปด้วยอย่างเงอะงะ ดูไม่ได้จนต้องช่วยกระชากมันออกให้เอง
กลีบปากที่ปกติดูบางเฉียบของคิมหันต์แดงเจ่อขึ้นน้อย ๆ ระบายลมหายใจเฮือกเข้าออกได้ไม่เท่าไรก็ถูกเขาดึงเข้าหาเพื่อชิมรสอีกครั้งอย่างหิวกระหาย สามภพไม่เคยรู้สึกพอเลยสักอย่างกับเจ้าเด็ก...หรือตอนนี้อาจต้องเรียกว่าเจ้าหนุ่มตี๋ตรงหน้า ตัดพ้ออยู่ในใจว่าช่วงเวลาเป็นเดือนที่ไม่ได้พบกัน คิมหันต์คิดว่าเขาต้องอดกลั้นมากเท่าไรจึงกล้าถามออกมาได้ว่าคิดถึงหรือเปล่า
ทุกอย่างเป็นไปโดยธรรมชาติ เหมือนกับเวลาพวกเขากวนประสาทใส่กันด้วยคำพูด.. แขน ขา ปลายนิ้ว และทุกสัมผัสคุ้นเคย ทว่าทวีความโหยหาจากระยะเวลาที่ขาดหายไป
ไฟในห้องโถงสว่างโร่ เสื้อผ้ากองกระจัดกระจายบนพื้น เสียงหอบและเสียงผิวเนื้อที่กระแทกเสียดสีกันล่องลอยอยู่ในอากาศ ร่างเปลือยเปล่าของพวกเขาแนบชิดจนแทบหลอมรวมกัน แต่สามภพก็ยังนึกอยากเบียดแทรกร่างกายตัวเองให้ลึกล้ำยิ่งไปกว่านั้นอีก บางทีคิมหันต์อาจชัดเจนกับตัวเองจนเลิกถามสักที ว่าเขาทั้งรักทั้งคิดถึงไอ้ตัวปากมากที่หายไปตั้งนานขนาดไหน
พื้นห้องเปรอะเปื้อน กลิ่นคาวเจือจางลอยปนกลิ่นเนื้อตัวหอมกรุ่น คิมหันต์ทรุดร่างลงบ่นเข่า หายใจถี่กระชั้น ขณะที่เขาขยับกายเร่งเร้า กัดริมฝีปากตัวเองแน่นทั้งยั้งตัวเองไม่ได้กระแทกกระทั้นรุนแรงไปกว่านี้ มันเป็นความรู้สึกประหลาด ที่ทั้งอยากถนอมพร้อมกับอยากกอดรัดแน่น ๆ ให้แหลกไปด้วยจนเขาอดสับสนตัวเองไม่ได้
สามภพขมวดคิ้ว ดันตัวเองเข้าไปอีกครั้งจนสุด ระบายลมหายใจยาวเหยียดสุดปอด
ชายหนุ่มเหลือบมองร่องรอยที่เขาทำไว้ตามเนื้อตัวอีกฝ่าย ลากปลายนิ้วผ่านไปทีละจุดด้วยแววตาหลงใหล นึกอยากให้มันเป็นสีแดงสดอยู่อย่างนั้นไปเนิ่นนานบนผิวขาว ๆ ของคิมหันต์
“....เฮียเพี้ยน..”
“หือ?”
“...อะ...เอานั่น...ออกไป...ได้ยัง..”
เขาจ้องมองใบหน้าแดงซ่านของคิมหันต์ ไรผมชื้นเหงื่อแปะอยู่บนหน้าผาก นัยน์ตาที่มักส่อแววสงสัยใคร่รู้หลุบลงต่ำ ลมหายใจร้อนผ่าวถูกระบายผ่านริมฝีปากสีสด และเขาต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ที่คิดว่าภาพแบบนั้นช่างน่ารักแทบขาดใจ จนอะไรที่เหมือนจะเสร็จแล้วกลับมาตื่นตัวอีกครั้ง
คิมหันต์เบิกตากว้าง ปากสั่นระริก พวงแก้มยิ่งแดงหนักกว่าเก่าอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเบื้องล่าง
“...พี่...ภพ...”
น้ำเสียงตะกุกตะกักลอยมาเข้าหูเขา คนพูดตั้งท่าจะร้องปราม แต่แล้วกลับเปลี่ยนเป็นครางครือในลำคอที่เชิดขึ้นเมื่อเขาขยับกายอีกครั้ง
ค่ำคืนดำเนินไปเช่นนั้นจนดึกดื่น จากบนพื้น มาจบอยู่ที่เตียง..
เขามั่นใจว่าคิมหันต์เป็นประเภทพูดมาก แต่เวลาเช่นนี้กลับไม่ค่อยเจื้อยแจ้วเป็นภาษาเท่าไรนัก เว้นแต่หลังจากนั้นซึ่งมักจะอ้อนกว่าปกติหากเจ้าตัวไม่หลับไปเสียก่อนนั่นแหละ และครั้งนี้ก็ดูเหมือนจะเข้าอีหรอบเดิม
“...กอดผมหน่อย”
เขาก้มลงมองดวงหน้าแดงระเรื่อของคนพูด เอ็นดูแกมหมั่นไส้อีกฝ่ายที่ช่างฉอเลาะไปเรื่อย ในเมื่อตอนนี้ไม่ใช่เขากำลังกอดเจ้าตัวไว้แน่นอยู่แล้วหรืออย่างไร
“กอดอยู่นี่ไง” สามภพช่วยเตือน ลูบหลังคนในอ้อมแขนเบา ๆ ไปด้วยประกอบคำอธิบาย
คิมหันต์ก้มหน้าก้มตา ซุกจมูกเข้าหาอกเขา ใบหูแดงเข้มอย่างไรก็แดงอยู่อย่างนั้นตลอด บ่นงุบงิบจนแทบไม่ได้ยินเสียง “กอดแน่น ๆ ดิ..” ว่าพลางรัดแขนตัวเองเต็มแรงประหนึ่งอยากทำให้ดูเป็นตัวอย่าง
เขาโคลงศีรษะ ถือโอกาสกดจมูกตรงกลางกระหม่อมเจ้าเด็กเรื่องเยอะ ดึงเข้ามาใกล้แล้วรัดวงแขนตัวเองแน่นจนแผ่นอกเปลือยเปล่าของพวกเขาแนบชิดกัน รู้สึกได้กระทั่งเสียงหัวใจคิมหันต์ที่เต้นเร็วราวกับหัวใจกระต่าย
“ขาดความอบอุ่นหรือเรา? เอาให้กระดูกลั่นเลยดีไหม”
“ดี”
ยังมีหน้ามาเห็นดีเห็นงามอีกนั่น!
“บอกหน่อยเร็วว่าเฮียคิดถึงผม” คิมหันต์งึมงำทั้งน้ำเสียงสะลึมละลือ “...ยังไม่ได้ฟังเลย..”
“...”
“....งือ..?”
ชายหนุ่มลอบยิ้ม เจ้าเด็กนี่ชอบให้คนคอยเอาใจเสียจริง
"โอเค..ฟังนะ"
"...เหะ ๆ"
เขาสูดลมหายใจ กระซิบเสียงอ่อนโยนข้างหูอีกฝ่าย
“คิดถึงครับ”“....”
แต่ดูเหมือนจะไม่ทันแล้ว
“คิม?”
คิมหันต์หลับปุ๋ยไปเรียบร้อย
สามภพอดไม่ได้จะหลุดหัวเราะออกมาแผ่วเบา ทั้งที่ปกติเอาแต่ทำนิ่งต่อหน้าคนอื่น ครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อยว่าจะดีแค่ไหน หากคนในครอบครัวอีกฝ่ายจะยอมรับความสัมพันธ์เช่นนี้ได้ในสักวัน
...อาจจะสักวัน?กิจวัตรประจำวันของสุชัยยังเป็นดังเช่นที่ผ่านมา นับตั้งแต่ลูกชายคนเล็กปิดภาคเรียนอยู่บ้านตามคำสั่งเขา จนกระทั่งกลับไปเรียนต่อ แต่ละเดือนผ่านไปอย่างสงบ...ราบเรียบ... แต่เป็นเหมือนผิวน้ำนิ่งที่มีคลื่นอยู่ข้างใต้
ตอนอยู่ด้วยกันเขาบ่นบ้างบางครั้ง แต่คิมหันต์ไม่ค่อยเถียงนัก เห็นว่าโตกันแล้วจึงบอกตัวเองว่าไม่จำเป็นต้องพูดปากเปียกปากแฉะมากเหมือนตอนยังเด็ก ทว่านั่นก็ไม่ได้นับว่าเป็นการใช้ชีวิตร่วมกันโดยราบรื่นเท่าไร ระหว่างพวกเขาราวกับมีเส้นบาง ๆ ที่มองไม่เห็นกั้นอยู่ คุยกันได้ไม่สนิทใจเหมือนในอดีต อึดอัดและคล้ายยังติดอยู่ตรงทางตัน ต่างคนต่างรู้ว่ามีเรื่องค้างคาอยู่ในใจอีกฝ่าย แต่กลับไม่สามารถพูดอออกมาได้ชัดเจน
เดือนเพ็ญชงชาจีนมาวางไว้บนโต๊ะเช่นเคย ทรุดร่างลงนั่งบนเก้าอี้ข้างสามีในความเงียบงัน ลอบมองเขาที่ทอดสายตามองไปยังนอกหน้าต่างบ้าน อยู่กับทิวทัศน์เดิม ๆ และความทรงจำในวันเก่าซึ่งแม้เลือนรางแต่ไม่เคยหายไปไหน
“...ป๊า...”
เธอกระซิบ เผลอกลั้นหายใจรอฟังว่าเขาจะตอบอะไรหรือไม่
..แต่แล้วก็เปล่า
“..ลูก ๆ ไม่อยู่แล้วบ้านเงียบจริงนะ”
สุชัยเพียงพยักหน้าน้อย ๆ ขณะที่เดือนเพ็ญได้แต่นึกสงสัย ว่าพวกเขาจะจมอยู่กับบรรยากาศอันชวนให้หายใจไม่ทั่วท้องเช่นนี้ไปอีกนานเท่าไร ความอึมครึมเรื้อรังเช่นนี้ทำให้เธออึดอัดจนต้องสูดลมหายใจเข้าลึก นั่งหลังเกร็งบนเก้าอี้อีกครู่หนึ่ง ก่อนจะเหลือบมองคนข้างกายอีกครั้ง พึมพำแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน
“...ตี๋เล็กก็เป็นเด็กดีมาตลอด...ป๊าว่าไหม..บางที...ถ้าเกิดว่า...”
“พอเถอะ”
“..ม้าแค่หมายถึง..”
“เรื่องไอ้เด็กชื่อภพนั่นอีกแล้วใช่ไหม”
เธอชะงัก ท่าทางราวกับนึกคำพูดไม่ออก หลังจากนั้นก็นิ่งไป
สุชัยระบายลมหายใจอ่อนแรง ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าคิมหันต์ยังติดต่อกับเจ้าเด็กสามภพที่เขาจงเกลียดจงชังนักหนา ดีแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ยึดเครื่องมือสื่อสารทั้งหมดแล้วจับขังไว้อย่างที่เคยทำกับลูกชายคนโต
ส่วนหนึ่งในใจเขาหวาดกลัวเรื่องนั้นอยู่เสมอมา หวั่นเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยขึ้น จึงได้ย้ำครั้งแล้วครั้งเล่ากับลูก ๆ ว่าเขาเกลียดเรื่องแบบนี้ขนาดไหน แล้วโยนความผิดทั้งหมดไปให้ผู้ชายอีกคนที่เคยมาข้องเกี่ยวกับลูกชายคนโตของตัวเอง
ทว่าความจริงยังคอยหลอกหลอนอยู่เสมอแม้กระทั่งในความฝัน ว่าเรื่องพวกนั้นส่วนหนึ่งเกิดจากตัวเขาเอง ภาพวสันต์ร่วงหล่นลงไปจากชั้นดาดฟ้ายังฝังแน่นในความทรงจำไม่ว่าในยามตื่นหรือหลับ เขาไม่เคยลืมว่าเกิดอะไรขึ้นวันนั้น และคอยเฝ้าภาวนาอยู่เสมอไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกครั้ง
ราวกับเป็นตลกร้าย ตี๋เล็กที่เป็นความหวังของเขาซึ่งแก่ตัวลงทุกวันกลับเดินตามรอยพี่ชายไม่มีผิด สุชัยเฝ้าถามตัวเองว่าเป็นเพราะการเลี้ยงดูหรืออย่างไร ลูกชายแต่ละคนจึงได้ทำลายความหวังของเขาด้วยเรื่องแบบนี้อยู่ร่ำไป
“...ทำไมกันนะ”
เสียงเขาสั่นและแหบพร่า ก้มลงซบหน้าลงบนฝ่ามือแล้วนิ่งอยู่เช่นนั้น
เดือนเพ็ญได้แต่มองอย่างเป็นกังวล เอื้อมมือไปลูบหลังเขาแผ่วเบา
“ป๊ารู้ไหม..เจ้าสาบอกม้าว่าคุยกับโรจน์เรื่องจะมีลูก..”
อีกฝ่ายพยักหน้าเงียบ ๆ ซึ่งเธอถือเอาว่าเป็นเชิงบอกให้พูดต่อ
“ถ้ามีลูกชายคนแรก จะให้ใช้นามสกุลเรา...ป๊าว่าดีไหม?”
สุชัยหันมามองเธอ สีหน้าและแววตาดูประหลาดใจซ่อนไม่มิด ปากขยับแต่ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาคล้ายยังนึกไม่ออกว่าจะพูดอะไรดี เห็นชัดว่าแม้รู้เรื่องคิมหันต์ยังลอบติดต่อกับสามภพอยู่ แต่เขาเพิ่งรู้เรื่องนี้เป็นครั้งแรกแน่นอน
ทิ้งช่วงไปครู่ใหญ่ กว่าเขาจะเลือกคำตอบที่ไม่แสดงอารมณ์ออกไปมากนัก
“ตามใจสิ”
“ครอบครัวทางโรจน์เขาน่ารัก ดูแลลูกสาวเราดี แถมยังจะให้ลูกชายคนแรกใช้นามสกุลบ้านเราอีก เขาใจกว้างดีนะ อีกไม่นานคงได้อุ้มหลาน”
“...”
“...เราตามใจตี๋เล็กกันสักเรื่อง...” เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง จุกขึ้นมาที่คอจนเหมือนจะพูดไม่ออก “...เถอะนะ...”
สุชัยแสดงอาการกระอักกระอ่วน จ้องตากับเธออยู่ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วตั้งท่าจะเดินหนีไปเสียดื้อ ๆ หากไม่ติดว่าเธอคว้าชายเสื้อเขาเอาไว้ก่อน ละล่ำละลักด้วยเสียงสั่นไหว
“ม้าไม่อยากเสียลูกอีกแล้ว...”
เขาหลับตา ยกมือกุมหน้าผาก ฟังน้ำเสียงอมทุกข์ของภรรยาถามอีกครั้งว่า “...ได้ไหม?” ตระหนักได้ว่าคราวนี้เดือนเพ็ญพูดเยอะผิดปกติ ต่างจากทุกทีซึ่งมักเออออตามเขาไปเรื่อย
ในใจเขากำลังถามคำถามเดียวกันกับตัวเอง ว่า
‘ได้ไหม?’ เขาจะทำใจยอมรับแล้วทนเห็นไอ้เด็กสามภพนั่นมาวุ่นวายกับลูกชายตัวเองต่อหน้าต่อตาได้อย่างไร ต่อให้มีหลานชายจากวัสสานะจริง แล้วเขาพอใจแค่นั้นไหม หรือว่าต้องการอะไรอย่างอื่นอีก
“...ป๊า...?” เดือนเพ็ญเอ่ยเสียงอ่อน ทว่ากลับเจือสำเนียงดื้อดึงอย่างที่น้อยครั้งจะได้ยิน
เขากำลังจะอ้าปากพูด แต่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะพอดี
เธอสะดุ้งน้อย ๆ ยกมือขึ้นขยี้ตาแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก ยกโทรศัพท์ขึ้นดูเห็นว่าเป็นจากสิสิรก็กดรับแล้วยกขึ้นแนบหู มือคลายลงจากที่กำชายเสื้ออีกฝ่ายไว้โดยไม่รู้ตัว
สุชัยเดินออกจากห้องไปเงียบ ๆ ในตอนนั้น - หมดยกที่ 60 –
กลับมาต่อแล้วค่ะ แฮ่กกก
เหลือบดูวันที่ยกก่อนแล้วสะพรึงเอง มันนานขนาดนั้นเชียว เว้นช่วงนานสุดของเรื่องนี้เลยมั้งเนี่ย โฮรว *คลานเข่า*
ช่วงนี้ติดปัญหาชีวิตนิดหน่อยค่ะ เรื่องงานเรื่องเรียนต่อไหลมาเทมา ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ หวังว่ายังไม่ลืมเฮียเพี้ยนกับตี๋เกรียนนะคะ
ปล.ไปส่องโหวตเซ็งเป็ดมาแล้ว แม้จะไม่ติดรางวัลอะไร แต่ขอบคุณทุกคะแนนที่ช่วยโหวตให้มาก ๆ ค่ะ รักจังน้อ ขอกอดที //โดนเตะปลิว 555
>3<

ของแถมรีพลายถัดไป แต่ถ้ายังไม่โผล่ไม่ต้องแปลกใจ คาดการณ์ได้ว่าเน็ตเน่า เน็ตเราห่วยมากจริง ๆ ค่ะ Orz อัพอะไรแทบไม่ขึ้นเลย
พบกันยกหน้าค่ะ ใกล้จบละ ๆ