● เล่ห์รักฤดูร้อน ●
ยกที่ 61 – โกลเด้นรีทรีฟเวอร์
คิมหันต์พรมนิ้วลงบนโต๊ะ สายตามองตามการเคลื่อนไหวของปลายนิ้วตัวเอง ทว่าความคิดจดจ่ออยู่กับเรื่องอื่น แม้แต่เสียงผู้ประกาศข่าวจากโทรทัศน์ก็ไม่ได้เข้าหูนัก สุดท้ายก็ปิดมันเสีย ทิ้งตัวเองอยู่ในห้องกับความเงียบ
ผ่านมาราวเดือนหนึ่ง ที่คอนโดฯ นี้มีเขาอาศัยอยู่แค่คนเดียว..
ปีกว่าแล้วที่ตารางชีวิตโดยสังเขปของเขาเป็นเช่นเดิม เปิดเทอมไปเรียน ปิดเทอมกลับราชบุรี ต่อหน้าสุชัยทำเป็นลืมเรื่องสามภพไปเสีย และต่อหน้าสามภพก็ทำเป็นลืมเรื่องที่บ้านไปก่อน แปลกประหลาดและให้ความรู้สึกเหมือนต้องทำตัวเป็นสองคนในร่างเดียว แต่ด้วยวุฒิภาวะปัจจุบัน สถานะที่ฝ่ายหนึ่งเป็นพ่อแม่ อีกฝ่ายเป็นคนรัก เขายังนึกไม่ออกว่าจะมีวิธีไหนประนีประนอมได้มากไปกว่านี้ได้อีก
หลายอย่างเกิดขึ้นและจบลง เหมือนจะเร็ว แต่ก็ช้า ระหว่างเขาพยายามเต็มที่จะตั้งใจเรียนให้จบ ก็ได้รับข่าวคราวจากวัสสานะ พี่สาวคนโตของเขาว่าเธอตั้งครรภ์ หลังใช้ชีวิตแต่งงานได้หกเดือน
แน่นอนว่าเมื่อทุกคนได้ทราบข่าว ความยินดีหลั่งไหลมาท่วมท้น สุชัยตบไหล่ศิโรจน์ผู้เป็นลูกเขยอย่างพออกพอใจ ขณะว่าที่คุณแม่ยืนหัวเราะร่าด้วยแก้มแดงเปล่งปลั่ง หันมากระซิบกับเขาเป็นนัย ว่าลองทายกันไหมว่าคุณน้าคิมหันต์จะได้หลานสาวหรือหลานชาย
“...ผมจะเป็นน้าแล้ว…”
เขาทำเสียงตื่นเต้นเกินจำเป็น เบิกตากว้างอย่างน่าหมั่นไส้จนพี่สาวเอาศอกถองเบา ๆ ด้วยอดไม่ไหว
“เจ้าเด็กนี่!” วัสสานะหัวเราะ “เพ้อเจ้อไม่เปลี่ยนเลย”
เขาหัวเราะตาม ยกมือเกาท้ายทอยทำทีเหมือนเพิ่งได้รับคำชม
“เจ้ดูดีอะ”
“หือ?”
“แบบ...” คิมหันต์ยักไหล่ เอานิ้วหัวแม่มือถูกจมูกเบา ๆ “ดูมีความสุข”
“...”
“..ผมดีใจด้วย”
เขาคิดว่าคำพูดนั้นของเขาฟังดูออกจะจริงใจสุด ๆ แล้ว แต่สิ่งที่วัสสานะทำกลับกลายเป็นหัวเราะใส่เสียนี่
“ขำอะไรเนี่ย”
เธอยกมือขึ้นป้องปาก ใบหูเป็นสีชมพูจาง ๆ คล้ายเวลาน้องชายเขิน ก่อนจะเอื้อมมือมาลูบผมเขาด้วยความเอ็นดู พึมพำพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“เจ้าเด็กแสบโตเป็นผู้ใหญ่กับเขาเสียที”
“...”
“จะได้ไม่ต้องตามห่วงมากเหมือนเมื่อก่อน”
“เจ้เหนื่อยอะดิ” เขาเฉไฉด้วยการแกล้งทำเป็นบ่นงุบงิบ
“ก็ใช่น่ะสิ”
คิมหันต์ถึงกับทำหน้าเหวอไปแวบหนึ่ง “เจ้ใหญ่อ้ะ”
เขาว่าพลางส่งสายตาเว้าวอน เรียกเสียงหัวเราะก๊ากจากพี่สาวคนโตอีกครั้ง
“เราก็มีคนห่วงแล้วนี่”
“...”
เธอยิ้มจนตาหยี เมื่อเห็นเขาก้มหน้าก้มตาโดยไม่เถียงสักคำ พูดต่อลอย ๆ เหมือนเอ่ยกับดินฟ้าอากาศ
“ถ้าเป็นลูกชายก็ดีสิน้า”
คิมหันต์พยักหน้าน้อย ๆ กอดเอวพี่สาวคนโตแล้ววางศีรษะบนไหล่เธอเหมือนลูกหมาขี้อ้อน คิดไปเรื่อยว่าพี่เขยเขาช่างโชคดีที่ได้เธอเป็นเจ้าสาว แต่มองอีกที เจ้ใหญ่ของเขาก็คงต้องเรียกว่าโชคดีเช่นกันที่มีสามีใจกว้างขนาดจะให้ลูกชายคนแรกใช้นามสกุลฝ่ายแม่ได้ นึกดูแล้วก็เหมาะสมกันดี
“..นั่นสิ”
เขาพึมพำ ด้วยเหตุผลนอกเหนือจากหวังจะให้ป๊าพอใจหากได้หลานชาย เขาอดยิ้มตามเธอไปด้วยไม่ได้ที่กำลังจะมีครอบครัวพ่อแม่ลูกโดยสมบูรณ์
ทว่าความยินดีนั้นคงอยู่เพียงไม่นาน
ที่อายุครรภ์ราวสิบสองสัปดาห์ วัสสานะแท้งลูกคนแรก..ทั้งที่ตั้งใจดูแลอย่างดี ไม่ได้ทำงานหนักให้กระทบกระเทือนเลยสักนิด ศิโรจน์ผู้เป็นสามีคอยประคบประหงมแทบอุ้ม แต่ผลการตรวจอัลตราซาวนด์ก็ยืนยันว่าการตั้งครรภ์สิ้นสุดลงแล้ว ตั้งแต่ยังไม่ทันได้รู้ว่าสมาชิกใหม่ที่ทุกคนรอคอยจะเป็นหญิงหรือชาย
แพทย์เจ้าของไข้ปลอบพวกเขาว่าเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้แม้จะดูแลเป็นอย่างดี ไม่ได้เป็นความผิดของคู่สามีภรรยา การแท้งในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของตัวเด็กเองจนอยู่เจริญเติบโตต่อในครรภ์ไม่ไหว วัสสานะน้ำตาซึมไปเป็นวัน แต่ไม่มีใครเห็นว่าเธอร้องไห้หรือเปล่านอกจากศิโรจน์
และตำแหน่งว่าที่น้าคิมของเขาก็เป็นได้แค่ว่าที่ต่อไป
กว่าสภาพจิตใจทุกคนจะกลับเข้าสู่ภาวะปกตินั้นใช้เวลาร่วมเดือน แม้จะว่ากลับไปปกติเสียทีเดียวก็ไม่เชิง หากบอกว่าทำใจได้อาจเหมาะมากกว่า แต่อย่างน้อย..พวกเขาก็ทำเหมือนมันกลับเป็นอย่างเก่าได้ในที่สุด แน่นอนว่ารวมถึงความน่าอึดอัดซึ่งเกิดขึ้นในบ้านด้วย
สุชัยทำหูทวนลมเวลาได้ยินเสียงคุยโทรศัพท์เบา ๆ กลางดึกในช่วงปิดภาคเรียนเมื่อเดินผ่านห้องลูกชาย ลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ตอนเห็นคิมหันต์เหลือบมองมือถือซึ่งไม่เคยเปิดเสียงไว้เลยอยู่เสมอ นาน ๆ ครั้งที่สองพ่อลูกบังเอิญสบตากัน มักเกิดบรรยากาศแปลกประหลาดเหมือนมีอะไรอยากพูดแต่พูดไม่ออก จากนั้นจะมีใครสักคนเบนสายตาไปทางอื่นก่อน คิมหันต์ค้อมศีรษะน้อย ๆ ให้ผู้เป็นพ่อแล้วเดินเลี่ยงไปทางอื่นพร้อมกับเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋าเงียบเชียบ
ริ้วรอยบนใบหน้าเจ้าบ้านดูจะฝังตัวลงลึกขึ้นที่หน้าผาก หว่างคิ้ว และหางตา บางครั้งสุชัยก็ทำท่าหดหู่จนเดือนเพ็ญเป็นห่วง ความสัมพันธ์ระหว่างลูกชายที่อยู่บ้านบ่อยขึ้นตามคำสั่งทว่ากลับห่างเหินมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดดูไม่ค่อยชื่นมื่นนัก มันเรื้อรังและสูบเอาความสุขในบ้านจากเขาไปช้า ๆ ทั้งที่นิสัยคิมหันต์เป็นพวกชอบเกาะแกะไปทั่ว แต่กับผู้เป็นพ่อของตัวเองกลับจำไม่ได้แล้วว่ากอดกันครั้งสุดท้ายตั้งแต่เมื่อไร
เรื่องราวย่ำแย่จนคล้ายว่ากลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ที่จะเห็นสุชัยพึมพำคำถามกับความว่างเปล่าอยู่บ่อยครั้งว่า
เพราะอะไร? และ
ต้องทำอย่างไรให้มันดีขึัน?
เดือนเพ็ญผู้คอยเฝ้ามองเขาอยู่เสมอคิดว่าตัวเองมีคำตอบอยู่แล้วในใจ
เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะเป็นคำตอบที่สามีเธอต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไรกว่าจะยอมรับความจริงได้สักทีเหตการณ์ดำเนินไปเช่นนั้น จนกระทั่งสามภพเรียนจบก่อน ตอนคิมหันต์เรียนอยู่ชั้นปีที่หก
นั่งปวดหัวกันแทบตายช่วงก่อนจับสลากเลือกสถานที่ใช้ทุน คิมหันต์คิดและทำใจไว้แล้วว่าสามภพจะไปที่ไหนก็ได้ แต่อย่าให้เดินทางไกลมากนักก็ดี เผื่อได้ไปมาหาสู่กันบ่อย ๆ บ้าง แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะตั้งมั่นมากว่าอย่างไรก็จะเอาที่ราชบุรีซึ่งเป็นบ้านเกิดเขาให้ได้
“ผมว่าคู่แข่งน่าจะเยอะอยู่นะ”
คิมหันต์เหลือบตามองชายหนุ่มที่นอนแผ่อยู่ข้าง ๆ คว้ามืออีกฝ่ายขึ้นมางับเบา ๆ ก่อนจะโดนเจ้าของมือดึงหนีแล้วเอานิ้วดีดกลางหน้าผากเหม่ง
“โอ๊ะ!” เขาอุทาน เอาขาก่ายสามภพอย่างจงใจหาเรื่อง “เฮียอ่า มือสวย ยอมหน่อยผมไม่ได้เลย”
“เหมือนหมาจริง ๆ” คนฟังส่ายหน้า
“น่า” คิมหันต์ว่าพลางหัวเราะแหะ ถัดจากขาก็ตามด้วยแขนยกขึ้นไปวางพาดไว้กลางอกอีกฝ่าย “เอาใจผมเยอะ ๆ เดี๋ยวไว้ไปใช้ทุนแล้วจะมาบ่นคิดถึง”
สามภพมองทั้งแขนทั้งขาที่พาดอยู่บนร่างกายตัวเองแล้วก็ยิ้มขำ เห็นท่าทางกวนประสาทแล้วอดไม่ได้จะดึงเข้ามากอดรัดให้แน่นสักที พอมีกอดก็ตามด้วยมันเขี้ยวจนต้องเอาจมูกปากกดจูบตรงนั้นตรงนี้ของไอ้ตัวพูดมาก คิมหันต์แทนที่จะหนีเลยยิ่งฮึดสู้ด้วยการฟัดกลับใหญ่ แถมพอเริ่มเป็นอย่างนั้นเข้าแล้วมักหยุดไม่ค่อยได้เสียด้วย ทั้งตัวเขาเองและคนที่ปีนขึ้นมาคร่อมพร้อมสีหน้ากรุ้มกริ่มอยู่นี่แหละ
ชายหนุ่มคลี่ยิ้มพึงใจ ปล่อยมือปลาหมึกของคิมหันต์ลวนลามร่างกายตัวเองพอเป็นพิธี ตั้งใจจะตามใจอาตี๋สักหน่อยค่อยไปถอนทุนทีหลัง
ไม่กี่วันหลังจากนั้น ผลการจัดสลากถูกประกาศท่ามกลางความใจหายใจคว่ำของคนลุ้น
อาจเป็นด้วยโชคชะตา ด้วยพรหมลิขิต ด้วยพลังบนบานศาลกล่าวสารพัดสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกของวัสสานะ เมื่อเธอได้ยินข่าวว่าสามภพเลือกจะจับสลากขอมาลงปฏิบัติงานที่จังหวัดราชบุรี (แน่นอน เธอถือหางพวกเขาอยู่เสมอแม้จะยังขี้บ่นอยู่ทุกครั้งที่เจอ) สุดท้ายแล้วก็สมหวังจนได้
“ดีเลย! ทางนี้ก็มีเรื่องจะบอกเหมือนกัน” วัสสานะตบมือเสียงดังหนึ่งครั้งทำนองว่าสะใจเต็มที่ “ส่วนภพก็เข้าใกล้ป๊าเราอีกนิด”
“หืม?” คิมหันต์เลิกคิ้ว
“เจ้บอกว่าเข้าใกล้ป๊าอีกนิด”
“ทำไมต้องใกล้ด้วยล่ะ”
คุณพี่สาวกระแอมเบา ๆ ให้คอโล่ง เหลือบมองสามภพที่นั่งทำหน้านิ่งไม่เข้ากับบรรยากาศร้านเค้กทานตะวันที่พวกเขามารวมตัวบ่อย ๆ แม้อาทิตย์และปิ่นหยกจะไม่ได้ทำงานประจำที่นี่แล้ว
“ป๊ารู้ตั้งนานแล้วว่าพวกนายยังติดต่อกันอยู่..สังเกตได้เหมือนกันใช่ไหม”
“อา” คิมหันต์ขยับตัวหยุกหยิกอย่างไม่สบายใจนักขณะฟังเธอพูดต่อ
“แต่ไม่ได้ขัดขวางอะไร...หมายถึงไม่ได้ออกอาการรุนแรงมากนัก แสดงว่าป๊าก็เริ่มทำใจบ้างแล้ว ส่วนจะรับได้หรือเปล่าก็อีกเรื่อง”
“...เหมือนจะอ่อนลง แต่ก็ยังไม่ใช่เสียทีเดียว” เขาพยักหน้าพร้อมกับออกความเห็น ถือวิสาสะแย่งแก้วกาแฟของสามภพมาจิบ ดันแก้วโกโก้เย็นที่ตอนนี้เหลือแต่น้ำแข็งเปล่าของตัวเองไปไว้ตรงหน้าอีกฝ่ายแทนอย่างหาเรื่องแกล้ง “ป๊าไม่โวยวาย แต่มันมีบรรยากาศแบบชวนให้กระอักกระอ่วนใจตลอดเลย”
หญิงสาวถอนใจ มองน้องชายกับสามภพซึ่งนั่งเอาหลอดเขี่ยน้ำแข็งในแก้วที่เพิ่งเป็นของคิมหันต์อยู่เมื่อครู่ไปด้วย “...คิดในมุมของป๊า...ก็ใช่ว่าจะรับได้ง่าย ๆ หรอก แค่นี้ถือว่าดีเท่าไรแล้ว อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ไปหาสาวอื่นมาบังคับแต่งงานเหมือนครั้งเจ้าแบมนะ”
“ผมก็หวังให้เป็นนั้นไปเรื่อย ๆ”
“แล้วเจ้ก็ยังมีอีกอย่าง..”
สามภพมองสองพี่น้องที่ปรึกษากันงึมงำ เห็นว่าเนื้อความดูจะไม่ไปไหนเสียทีจึงลองเสนอขึ้นบ้าง
“ถ้าไง..ไว้ผมลองไปเจอป๊าคิมที่บ้านดูอีกสักครั้—”
“หยุดเลย” คิมหันต์รีบท้วงตั้งแต่ยังพูดไม่ทันจบประโยค “เฮียเพี้ยนจะไปทำไมเล่า”
ทว่าชายหนุ่มกลับยักไหล่ “ไม่อย่างนั้นเราก็ไม่ก้าวไปข้างหน้ากันเสียที คบกันแอบ ๆ ในบรรยากาศคลุมเครือไปเรื่อย ไม่รู้ว่าวันไหนเขาจะบังคับเราแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นอีก”
“แล้วเกิดเฮียเพี้ยนโดนเอาเลือดหัวออกมาล้างพื้นงี้อะ”
“นั่นปากเรอะ!”
“นี่พูดเพราะห่วงนะเว้ย”
“คิดว่าจะยอมโดนหรือ?” สามภพหัวเราะ เอามือขยี้ผมอีกฝ่ายแล้วจับโยกศีรษะไปมาเบา ๆ “สู้รบตบมือกับเล่ห์กลเพ้อเจ้ออะไรของลูกชายเขามาตั้งกี่ครั้ง เห็นเป็นพวกจะเสียท่าใครง่าย ๆ หรือไง”
คิมหันต์ทำปากมุบมิบใส่เขา แต่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจไม่เสี่ยง “ไม่เอาอะ...พี่เป็นอะไรไปแล้วใครจะคอยตามใจผม”
“พี่มีค่าแค่นี้เองเรอะ”
คำตอบมาพร้อมรอยยิ้มเผล่ “แค่นี้แหละ”
“ไอ้เด็กเวรนี่”
“พอเลยพวกนาย” วัสสานะโบกมือขัดจังหวะพลางส่ายหน้าไปด้วย “พาออกนอกเรื่องกันอยู่นั่น จะบอกข่าวดีอีกอย่างเสียหน่อยเลยโดนขัดจนลืมอีกละ”
สองหนุ่มที่เถียงกันอยู่หันมาเลิกคิ้ว มองรอยยิ้มกริ่มบนริมฝีปากคุณพี่สาว ฟังเธอกระแอมอย่างไว้เชิงอีกครั้ง ก่อนจะอ้าปากบอกเรื่องที่ตั้งใจจะพูดแต่ไม่ได้จังหวะเหมาะ ๆ สักที
“คือว่านะ...”“ง่า...”
คิมหันต์ครางออกมาในความเงียบ ล้มตัวลงบนเตียงที่เคยนอนขลุกอยู่กับสามภพ หยิบตำราเรียนขึ้นปิดหน้าหนีแสงไฟ กลับสู่สถานะปัจจุบันหลังจากมัวหมกมุ่นกับความทรงจำเมื่อเร็ว ๆ นี้ นึกงุ่นง่านไปด้วยว่าห้องนอนพออยู่คนเดียวแล้วมันช่างกว้างอย่างไม่น่าเชื่อ
ทั้งที่เพิ่งวางสายจากเจ้าของห้องตัวจริงไป ก่อนจะนั่งเอานิ้วเคาะโต๊ะเล่นพลางทบทวนเหตุการณ์อยู่ครู่หนึ่งนี่เอง แต่แวบเดียวเมื่อนึกขึ้นได้ว่าอยู่เพียงลำพังก็เริ่มจะเหงาขึ้นมาอีกแล้ว หากไม่ติดว่าช่วงนี้ยุ่งทั้งกับเรื่องเรียนและคนไข้ถึงขีดสุด เขาเชื่อว่าตัวเองคงต้องสู้รบกับความเหงามือเหงาไม้จนเฉาตายเป็นแน่
“โอย..อยากฟัด”
เขาบ่นหงุงหงิง ฟุ้งซ่านไปไกลว่าอีกฝ่ายย้ายไปประจำอยู่โรงพยาบาลอื่น ตอนนี้จะโดนสาวที่โน่นจีบอยู่หรือเปล่า ยิ่งไกลหูไกลตาตามไปสกัดดาวรุ่งไม่ได้อยู่ด้วย หมายมั่นปั้นมือไว้ว่าหากมีใครมาติดพันจะตามไปคิดบัญชีย้อนหลังให้หมดเลย
“..ป่านนี้ทำอะไรอยู่เนี่ยเฮียเพี้ยน”
แต่อะไรที่คิมหันต์คิดว่าสามภพทำอยู่...ไม่ใช่สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นแน่นอนสามภพจอดรถไว้เยื้องกับประตูรั้วเล็กน้อย เงยขึ้นมองตัวบ้านคุ้นตา แม้หากนับกันตามจริงแล้ว เขามีโอกาสได้มาที่นี่เพียงแค่ไม่กี่ครั้ง
เขาก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ ตอนนี้เกือบห้าโมง แต่แดดยังเปรี้ยง ฟ้ายังสว่าง เขาเองเพิ่งเลิกงานก็รีบขับรถตรงมาที่นี่เลย และหวังว่าคงไม่เรียกว่าเป็นการรบกวนเจ้าบ้านผิดเวลาเท่าไรนัก
ชายหนุ่มให้เวลาตัวเองรีรออยู่เพียงไม่นานก็กดออดตรงรั้ว จากนั้นยืนรอจนกระทั่งประตูมุ้งลวดหน้าบ้านถูกดึงเปิดออก ใบหน้าคนคนหนึ่งปรากฏให้เห็นต่อสายตา
เดือนเพ็ญขมวดคิ้ว เพ่งสายตาไปยังรูปร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มที่ยืนรออยู่หน้ารั้วบ้าน นานแล้วที่ไม่ได้เห็นเขา แต่เธอมั่นใจว่าตัวเองจำไม่ผิด
เธอเหลือบมองกลับเข้าไปในบ้าน สุชัยนั่งกดเครื่องคิดเลขอยู่กับสมุดบัญชีที่โต๊ะไม้มุมหนึ่งของห้องโถง ท่าทางไม่ใคร่สนใจอยากรู้นักว่าแขกผู้มาเยือนเป็นใคร บางทีเขาอาจคิดว่าเป็นเพื่อนบ้านขาประจำสักคนในละแวกนี้ เดือนเพ็ญถึงกับลอบถอนใจ โล่งอกไปเปลาะหนึ่ง ก่อนจะรีบรุดมายังประตูรั้วที่แขกซึ่งอยู่นอกเหนือความคาดหมายกำลังรออยู่
“...ภพ?” เธอเอ่ยทักก่อนเบา ๆ เหมือนกลัวเสียงจะดังเข้าไปถึงในบ้าน “มีอะไรหรือ”
เขาไม่ตอบ แต่ยกมือขึ้นสวัสดี ทักทายกลับมาเหมือนไม่ได้ยินคำถามของเธอ
“ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”
เดือนเพ็ญอ้ำอึ้ง รับไหว้เขาเก้ ๆ กัง ๆ เบนสายตากลับเข้าไปในบ้านด้วยสีหน้าหวั่นวิตกพลางถามหาเหตุผลจากเขาอีกครั้ง “อย่าหาว่าไล่เลยนะ แต่ภพมีธุระอะไรหรือเปล่า”
“ผม..” เขาพยายามนึกหาคำพูดที่ฟังดูเข้าท่า แต่อะไรที่เตรียมการมากลับดูเหมือนไม่เหมาะจะเอามาใช้ทั้งนั้น “..ผมมาเยี่ยม”
“คีมไม่ได้อยู่ที่นี่” เธอขัด “ภพก็รู้ไม่ใช่หรือ?”
“ผมไม่ได้มาหาคิม”
“แล้ว..?”
“ทำอะไรกันน่ะ!?”เสียงที่ดังแทรกขึ้นมาจากด้านหลังทำให้เดือนเพ็ญสะดุ้ง ใจเต้นโครมครามจนต้องยกมือขึ้นกุมอกเอาไว้ขณะหันหลังกลับไปมองช้า ๆ นึกเสียใจที่เธอไม่รีบไล่สามภพไปให้เด็ดขาดกว่านี้จนกระทั่งสุชัยเดินตามออกมาดูจนได้
“...ป๊า”
“ไอ้เด็กนั่น..โผล่หัวมาทำไม”
แน่นอนว่าประโยคนั้นของสุชัยไม่ได้กำลังพูดกับสามภพ ชายผู้เป็นเจ้าบ้านให้การต้อนรับประหนึ่งเขาเป็นวนิพกที่ร่อนเร่มาเกาะอยู่หน้ารั้วบ้าน ทำเพียงแต่ปรายตามองมาแวบหนึ่งแล้วก็เลิกสนใจ
“ผมมาเยี่ยม..” เขาแทรกขึ้นด้วยประโยคเดิม ยกมือขึ้นไหว้เหมือนที่ทำก่อนหน้านี้ “..และคิดว่าอาจได้คุยกันบางอย่าง”
แม้สุชัยจะมองตรงมายังเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตรนัก แต่เท่าที่สังเกตก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะใช้ความรุนแรงอะไรอย่างคิมหันต์เคยเตือน
“กลับไป”
ไร้บทสนทนาใดหลังจากนั้น สุชัยหันหลังเดินกลับเข้าบ้าน ดึงภรรยาให้กลับเข้าไปด้วย ปิดประตูแน่นหนา แทนคำประกาศชัดเจนว่าไม่ยินดีต้อนรับเขาเป็นแขก
จากนั้นบ้านทั้งหลังก็กลับสู่ความเงียบยิ่งกว่าตอนเขาเพิ่งมาโผล่อยู่หน้ารั้วเมื่อครู่เสียอีก
สามภพกลอกตา ถอนหายใจออกมาสุดปอด
มาเยี่ยม (หรืออะไรทำนองนั้น) ครั้งแรก ...ล้มเหลวไม่เป็นท่า แต่เขาจะถือว่าดีแล้วสำหรับสถานการณ์เลวร้ายสุดซึ่งอาจเป็นไปได้ อย่างน้อยก็ไม่มีกิริยาขับไล่รุนแรงให้ใจเสีย ต่อให้เป็นเช่นนี้ใช่ว่าจะดีกว่ากันเท่าไรนักก็เถอะ
ชายหนุ่มเดินกลับขึ้นรถ สตาร์ทเครื่อง นั่งรีรออยู่ครู่หนึ่งก็ย้อนกลับไปทางเก่า วางแผนไว้ว่ารอถึงวันมะรืนที่เขาไม่ได้อยู่เวร
ตั้งใจว่าคราวหน้าจะลองหาของฝากติดไม้ติดมือมาด้วย สองวันถัดจากนั้น สามภพขับรถกลับมาจอดที่เดิมอีกครั้ง หน้าบ้านคิมหันต์ ระหว่างที่ลูกชายคนเล็กของบ้านกำลังตั้งหน้าตั้งตากับการเรียนในชั้นปีสุดท้าย พิจารณาจากบทสนทนาทางโทรศัพท์แล้ว เดาว่าคงไม่รู้เรื่องเขามาโผล่ที่นี่โดยไม่ได้บอกกล่าวใครอื่นอีกแล้ว
เช่นเคย เขาเริ่มจากกดออดหน้าบ้าน เดือนเพ็ญออกมารับหน้าก่อนเหมือนครั้งล่าสุด แต่คราวนี้ยังทักทายไม่จบประโยค สุชัยก็เดินตามออกมาคุมด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ
“สวัสดีครับ” เขาทักทาย ยกมือไหว้คนทั้งสอง พร้อมถุงของฝากที่เป็นขนมซึ่งให้พยาบาลสูงวัยจากที่ทำงานช่วยเลือกคล้องอยู่ที่แขน แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากพูดอะไรอย่างอื่น เดือนเพ็ญซึ่งเดินออกมาก่อนก็ถูกสามีดึงกลับเข้าบ้าน พร้อมถ้อยคำไล่หลังลอยมาถึงหูเขา
“กลับไปซะ!” ก่อนประตูจะปิดปังอีกครั้ง
“...”
เขายืนอยู่กับความว่างเปล่า ยกมือขึ้นเสยผม สีหน้าคร่ำเครียดอยู่นิดหน่อย ก้มลงมองถุงขนมในมือ ตัดสินใจแขวนมันไว้ที่ประตูรั้ว ถอยหลังกลับมานั่งสงบสติอารมณ์ในรถ ฝนลงเริ่มเม็ดปรอย ๆ มาพอดี น่าห่วงว่าถุงขนมกระดาษซึ่งแขวนไว้จะเปื่อยยุ่ยไปหมดหรือเปล่าหากฝนตกแรงกว่านี้
เขาหยิบสมุดบันทึกออกมาเปิดดูว่ามีวันไหนว่างอีกบ้าง นั่งแช่อยู่ในรถจนเม็ดฝนใหญ่ขึ้นและกระหน่ำลงหนักกว่าเก่า ถุงกระดาษแขวนอยู่กลางแจ้งเดี๋ยวก็เปื่อยขาด หากทิ้งไว้อย่างนี้ไม่นานคงกลายเป็นขยะอย่างไม่ต้องสงสัย
ชายหนุ่มเอาปากกาวงบางวันไว้ในตัวเลือก เปิดที่ปัดน้ำฝนแล้วออกรถ ยังไม่วายเหลือบมองไปยังถุงกระดาษชุ่มน้ำบนรั้วหน้าบ้านอีกครั้ง ความหวังริบหรี่ว่าจะมีใครสักคนออกมาหยิบมันกลับเข้าไปถูกละลายหายไปกับน้ำฝนที่ไหลลงท่อระบายน้ำ
สามภพถอนใจ หมายมั่นกับตัวเองกลางเสียงเม็ดฝนกระทบหลังคารถ
คราวหน้าคงต้องเป็นถุงพลาสติกมีต่อรีพลายถัดไปค่ะ
v
v
v