● เล่ห์รักฤดูร้อน ●
ยกที่ 65 – หลังประตูบานสุดท้าย
คิมหันต์ควรนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องสมุด ติวกับเพื่อน นอนกลิ้งอยู่คอนโดฯ แวบไปดูหนัง หรือไม่ก็สิงอยู่บ้านที่กรุงเทพฯ กับสิสิร หากเขาทำตามถ้อยคำตัวเองซึ่งบอกไว้กับสามภพก่อนหน้านี้
แต่นั่นละ หากเริ่มมาอีหรอบนี้ ก็เป็นที่แน่นอนว่าเขาไม่ได้อยู่ตามสถานที่พวกนั้นหรอก
ชายหนุ่มกระชับเป้บนไหล่ ลงจากเบาะนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างตรงปากซอย ตั้งใจว่าจะเดินต่อเข้าไปเองอีกหน่อย ไม่ให้ชัดเจนเกินไปนักว่าเขามาหาเจ้าของบ้านหลังไหน ระหว่างทางยังมีแก่ใจเดินเตร่เตะก้อนกรวดเล็ก ๆ เล่นไปเรื่อย คิดเข้าข้างตัวเองว่าแม้มันเป็นการตัดสินใจที่ออกจะฉุกละหุก แต่คงไม่ถึงกับเป็นการรบกวนเอกภพมากนัก
เขาฮัมเพลงเรียกกำลังใจขณะที่สาวเท้าเข้าไปในซอยเล็ก ๆ จนกระทั่งมาหยุดอยู่หน้าประตูรั้วบ้านชั้นเดียวสีขาวซึ่งตอนนี้เงียบเชียบเหลือเกิน
คิมหันต์ชะเง้อเข้าไปในอาณาเขตของบ้าน เห็นแต่หมาแก่นอนพังพาบอยู่ใต้ร่มไม้ริมสวนหย่อม ส่วนประตูบ้านนั้นปิดสนิท เช่นเดียวกับรั้วที่คล้องแม่กุญแจไว้แน่นหนา นึกในใจว่าเอาแล้วไง..
ชายหนุ่มตั้งจะใจบอกล่วงหน้าอยู่หรอก แต่มันช่วยไม่ได้เลย เขาโทรหาอีกฝ่ายแล้วไม่มีคนรับสาย เลยส่งข้อความไปแทนว่าวันนี้จะมาหา ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าตัวจะได้มาเปิดมันอ่านก่อนเขามาถึงหรือเปล่า ไอ้ครั้นจะเลื่อนไปวันอื่น ช่วงนี้ก็เหลือเวลาว่างเพียงน้อยนิด อย่างไรเสียราชบุรีก็บ้านเขาเหมือนกัน ไม่เสียหลายหากจะลองเสี่ยงดวงมาเยี่ยมหน้าดูสักหน่อย หวังว่าอาจได้เลียบเคียงถามว่ารู้เรื่องอะไรที่สามภพทำอยู่ช่วงนี้บ้างหรือเปล่า แต่สุดท้ายดูเหมือนจะมาเสียเที่ยวจนได้
“ดุ๊กดิ๊ก”
ชายหนุ่มร้องเรียกสิ่งมีชีวิตหนึ่งเดียวในลานสายตา ยื่นมือผ่านรั้วเข้าไปกวัก มืออีกข้างล้วงขนมในกระเป๋า นึกสงสัยว่าไอ้ดุ๊กดิ๊กตัวนี้จะปลาบปลื้มบิสกิตเหมือนไอ้ดุ๊กดิ๊กลูกชายเขาหรือเปล่า
“วู้! ทางนี้ลูกพ่อ”
เขาว่าพลางโบกถุงขนม หมาแก่เพียงแต่กระดิกหู เงยขึ้นมองเนือย ๆ ทำหน้าเหม็นเบื่อใส่แขกไม่ได้รับเชิญที่โผล่มารบกวนเวลานอนกลางวัน แถมยังอ้างตัวเป็นพ่อหน้าตาเฉย เมื่อเห็นว่าไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริง ก็ฟุบลงเอาคางวางแหมะอยู่ที่เดิมอย่างเกียจคร้าน
“นี่อย่าเมินกันสิ”
คิมหันต์ทำหน้ายุ่ง พ่นลมออกจมูก นึกหมั่นไส้ในความขี้เกียจพอกันทั้งดุ๊กดิ๊กที่หนึ่งและสอง โกลเด้นรีทรีฟเวอร์มันควรต้องกระฉับกระเฉงไม่ใช่หรืออย่างไร แล้วนี่นิ่งเป็นพะยูนเลย
ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือก หยิบขนมเข้าปากตัวเองแทน หันหลังพิงรั้วแล้วเงยขึ้นมองฟ้ากว้าง ถามลอย ๆ โดยที่สายตาไม่ได้จับอยู่กับสิ่งใด
“เจ้านายแกนี่นะ...ไม่รับสายพอว่า แต่ช่วยตอบข้อความหน่อยก็ไม่ได้”
เขายืนอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน ปล่อยความคิดล่องลอยเรื่อยเปื่อย เชื่อมั่นว่าเดี๋ยวอีกฝ่ายก็คงกลับ บ้านมีสัตว์เลี้ยงจะหนีไปไหนได้นาน อย่างช้าก็เย็น ๆ นั่นละ
จนเกือบยี่สิบนาทีที่เขารออย่างสงบ ระหว่างที่นั่ง ๆ ยืน ๆ มีเพียงรถจักรยานยนต์คันเดียววิ่งผ่านหน้าไป นอกนั้นไม่มีวี่แววของมนุษย์โลกสักคน เงียบอย่างนี้มั่นใจได้เลยว่าหากเขาปีนเข้าไปนั่งรอข้างในก็คงไม่มีใครสังเกตเห็น...
...หากเขาปีนเข้าไปนั่งรอข้างใน...คิมหันต์หรี่ตาครุ่นคิด ยืนนาน ๆ ทำเอาเริ่มเมื่อย นั่งยองนานเข้าก็ไม่ดีต่อเข่า แดดเริ่มลามเลีย กินพื้นที่ในร่มซึ่งเขาอาศัยยืนอยู่เข้ามาเรื่อย ชายหนุ่มเหลือบมองซ้ายขวาไม่เห็นใคร ครั้นเหลียวกลับไปภายในรั้วบ้านอีกครั้งยังคงเงียบสงบ ตัดสินใจได้ในวินาทีนั้นเอง
“นิดนึงน่า...”
เขากระซิบกระซาบบอกอากาศ โยนเป้ข้ามประตูรั้ว จากนั้นคว้าโครงรั้วเหล็กร้อนจี๋ไว้ในมือ โหนตัวเองขึ้นไปนั่งคร่อมด้านบนอย่างง่ายดาย กระโจนแผล็วอีกครั้งก็ลงมาเหยียบพื้นด้านในอาณาเขตของบ้านอย่างสวยงาม
“พี่ทำอะไรน่ะ!?”คิมหันต์สะดุ้งโหยง เป็นความรู้สึกเสียเส้นอย่างที่ไม่ได้สัมผัสมาหลายปี ยังดีที่กลั้นเสียงร้องอุทานไว้ได้ทันก่อนจะแหกปาก ประสบการณ์ที่ผ่านสอนว่าในสถานการณ์เช่นนี้ ยิ่งโวยวายมีแต่จะยิ่งน่าสงสัย ชายหนุ่มปั้นสีหน้าปกติได้ทันอย่างเหนือชั้น ก่อนจะหันไปหาต้นเสียง
“นายเป็นใคร”
เขาถามเสียงเรียบ โจมตีก่อนได้เปรียบ ประเมินอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วในแวบแรก คนอีกฝั่งรั้วบ้านข้างเคียงที่เพิ่งส่งเสียงถามเขาเป็นเพียงเด็กผู้ชายวัยรุ่น อายุคงราวสิบสี่ถึงสิบหกปีได้ หน้าตาซื่อ ๆ ท่าทางเซื่อง ๆ แบบนี้ เขาไม่ถือเป็นก้างชิ้นใหญ่ นั่นค่อยทำให้หายใจทั่วท้องขึ้นมาหน่อย
“ผมเหรอ..” เจ้าตัวทำหน้าเหวอ ชี้ตัวเองอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ผิดคาด “ผม...เอ้อ...เป็นเพื่อนบ้านกับพี่เอก...เอ๊ะ...แต่ผมไม่รู้ว่าเขาชื่อเอกรึเปล่า....อา...ไม่สิ จะไปชื่อนั้นได้ยังไง แบบ..ผมเพิ่งย้ายมาอยู่ไม่นาน...แล้วคือ....แค่รู้สึกน่ะ....หมายถึงว่า....อ่า.....”
คิมหันต์เลิกคิ้ว ส่งรอยยิ้มแกน ๆ อย่างพยายามให้กำลังใจคนพูดซึ่งฟังดูเริ่มเลอะเทอะ เจ้าเด็กนี่นอกจากจะเป็นก้างอะไรเขาไม่ได้แล้ว ท่าทางยังดูเงอะงะจนน่าเอ็นดูเสียนี่
“แบบ...ความจริงผมไม่รู้จักเขาหรอก....เหมือนจะฝัน...อืม ตลกว่ะ” ประโยคหลังนั้นหันไปสบถกับตัวเอง “....คือผมคิดไปเองว่าเขาชื่อเอก...แต่ไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่า....”
“ใช่” ชายหนุ่มยืนยันเสียงหนักแน่นเป็นการตัดบท ด้วยทนรอฟังคำพูดประหลาดของคนตรงหน้าไม่ไหว เห็นเด็กหนุ่มเบิกตากว้างอย่างตกตะลึงก็ถือโอกาสเอ่ยต่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ตัวเอง “พี่เขาชื่อเอกนั่นแหละ รู้จักกันมานานละ”
“...เห...พี่รู้จักพี่เอก...” เด็กหนุ่มเบิกตากว้างอยู่หลังรั้วอีกฝั่ง “...เอก....อ้อ...ตกลงเขาชื่อเอกจริง ๆ ด้วย....”
“อ้าว?”
“คือ...ผมแค่รู้สึกว่าเขาจะชื่อเอก....แบบผมเข้าใจว่าคิดไปเอง...เหมือนฝันเอา...ทำนองนั้น...”
“อะไรของนายเนี่ย”
“...อา..ไม่มีอะไร” อีกฝ่ายยิ้มแหย เกาท้ายทอยแก้เก้อ “พี่เป็นญาติเขาเหรอ หรือว่าเป็นคนรู้จัก”
คิมหันต์ลอบยิ้มมุมปาก เด็กคนนี้ไว้ใจคนง่ายไปหน่อยจากที่เขาประเมินเบื้องต้น ในเมื่อเห็นต่อหน้าต่อตาว่าเขาปีนเข้าบ้านคนอื่น แต่กลับปล่อยตัวเองไหลกับบทสนทนาตามน้ำ จนเหมือนจะลืมไปเรียบร้อยว่าเขาเพิ่งทำตัวเป็นผู้บุกรุกเพื่อนบ้านตัวเอง แค่บอกรู้จักเจ้าของบ้านก็เออออไปด้วยแล้ว
แต่นั่นก็ถือเป็นเรื่องเอื้อประโยชน์ให้เขา หากถูกตะโกนใส่ว่าเป็นหัวขโมยคงไม่ค่อยเข้าท่านัก
“เป็น..ประมาณว่าน้องชายน่ะ มันซับซ้อนนิดหน่อย” คิมหันต์อธิบายเพิ่ม หัวเราะน้อย ๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้ายุ่ง “แล้วเมื่อกี้ว่าไงนะ รู้จักว่าเขาชื่อเอกจากการฝันเอาหรือ?”
"...."
เขาหรี่ตาใส่อีกฝ่ายที่ยืนอ้ำอึ้ง พวงแก้มขึ้นสีชมพูน้อย ๆ เป็นการตอบสนองที่เหนือความคาดหมายเอาการทีเดียว
"หืม?"
ก่อนเจ้าตัวจะอ้อมแอ้มทั้งที่ยังก้มหน้าก้มตา
“....ผมไม่น่าพูดเลย....อย่างกับเป็นคนบ้าแน่ะ...”
“..เฮ่ย ฮ่า ๆ ๆ ไม่ได้ว่างั้นสักคำ”
“แต่พี่ยังขำไม่หยุดเลย”
“ก็นายเล่าออกมาเองนี่”
“ถึงบอกไงว่าผมไม่น่าพูด..”
“อ๊ะ เด็กนี่” เขาส่ายหน้า เผลอเอื้อมมือไปลูบผมอีกฝ่ายผ่านรั้วอย่างถือวิสาสะ จะว่าลืมตัวด้วยก็ส่วนหนึ่ง แต่รู้สึกถูกชะตากับเจ้าเด็กคนนี้อย่างประหลาด ในเมื่อเป็นเพื่อนบ้านกับเอกภพ คิดว่าผูกมิตรไว้ก็ไม่เสียหาย “ไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อย อย่างคนรู้จักพี่ก็มีคนหนึ่ง เป็นรุ่นน้องที่มีเซนส์แปลก ๆ ชอบทักเรื่องหมอกหรือควันสีเทา สีขาว สีชมพูโน่นนี่ฟังดูเพี้ยน ๆ ว่าคนนั้นคนนี้จะซวย ให้ระวังตัวบ้างละ บางทีก็บอกว่าเดี๋ยวจะโชคดีบ้างละ ดูเพ้อเจ้อแต่ก็เป็นจริงตามที่เจ้าเด็กคนนั้นทักเรื่อยเลย..”
อีกฝ่ายเงยขึ้นมองหน้าเขาหวั่น ๆ เกือบจะยิ้มแต่ยังดูแหยพิกล “...พี่ไม่คิดว่าผมบ้าใช่ไหม”
“ไม่นี่” คิมหันต์ยักไหล่ “แค่คิดว่าเปิดเผยตัวเองมากไปนะ”
“...หือ?”
“เราเพิ่งรู้จักกันเมื่อกี้เอง...อืม...ไม่สิ ยังไม่รู้จักกันเลยต่างหาก แต่นายก็พูดเรื่องตัวเองนั่งทางในรู้ว่าพี่เอกชื่อเอกให้คนอื่นฟังแล้ว”
“ผมพูดว่าฝันต่างหากเล่า” คนฟังรีบขัด “ไม่ใช่นั่งทางใน”
“อา..นั่นแหละ ๆ”
“แล้วพี่เป็นใคร ปีนรั้วบ้านพี่เอกทำไม”
คิมหันต์พ่นลมหายใจพรืด คุยกันตั้งนานนึกว่าจะลืมเรื่องนี้ได้แล้วเสียอีก
“เอางี้นะ ไหน ๆ เพราะว่านายเล่าเรื่องนั่งทางใน..เอ้อ...” เขาชะงักเมื่อเห็นสายตาต่อว่าต่อขานของเด็กหนุ่ม “..หมายถึงเรื่องฝัน...เล่าเรื่องฝันให้พี่ฟัง เพราะงั้นแลกกันด้วยข้อมูลนิดหน่อย”
“...เรื่องอะไร”
“พี่เป็นน้องชายของแฟนพี่เอก”
“หา!?”
คิมหันต์อดหัวเราะไม่ได้อีกแล้ว
“ตกใจอะไรน่ะ”
“...เขา...” หนุ่มน้อยอ้าปากพะงาบ “...เขามีแฟนแล้วเหรอ..”
เขายิ้มน้อย ๆ “อายุก็ตั้งสามสิบห้าแล้วนี่”
“..แต่ผมไม่เคยเห็นเลย”
“บอกเองว่าเพิ่งย้ายมาอยู่ไม่ใช่เรอะ”
คนฟังทำหน้าคล้ายเพิ่งนึกขึ้นได้ ผงกศีรษะด้วยหน้าเจื่อนไปนิดหน่อย พึมพำเสียงอ่อน “นั่นสิ”
“เฮ่ย..ทำไมหน้าจ๋อยล่ะ”
“เปล่า”
ชายหนุ่มหรี่ตา จ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าใหม่ตั้งแต่หัวจรดเท้า ระหว่างที่เจ้าตัวเอาแต่วางสายตาไว้กับพื้น บรรยากาศรอบตัวเด็กคนนี้ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างไรพิกล คุยด้วยสนิทใจจนราวกับเป็นคนในครอบครัว...จนเขาถึงกับพูดเรื่องจริงอีกอย่าง
“...แต่แฟนเขาเสียไปนานแล้วละ”
“...เอ๋..?”
คิมหันต์ถอนใจ วางรอยยิ้มบางเบาไว้บนใบหน้า “...เพราะพี่ชอบใจนาย เลยบอกเพิ่มให้อีกอย่าง”
คนอีกฝั่งรั้วเอียงใบหน้าเล็กน้อย มองเขาด้วยนัยน์ตาเศร้าสร้อยอย่างประหลาด มันดูโหยหา และคล้ายจะก้ำกึ่งอยู่ในภวังค์ซึ่งเขาหยั่งไม่ถึง เขาอาจคิดไปเอง คิมหันต์เชื่ออย่างนั้น จนกระทั่งได้ยินคำพูดจากปากเด็กหนุ่ม
“...พี่ชายของพี่...ไม่อยู่แล้วหรือ....”
คิมหันต์ชะงัก หัวคิ้วขมวดมุ่น เสี้ยววินาทีที่ตระหนักได้ถึงความผิดปกติในประโยคนั้น หัวใจก็ราวกับจะหล่นวูบไปกองอยู่ตรงตาตุ่ม ทำไมเด็กคนนี้จึงถามถึงพี่ชายเขา ทั้งที่เขาไม่ได้พูดสักคำว่าพี่ที่เสียไปเป็นผู้ชาย มั่นใจว่าบอกไปแค่เขาเป็นน้องชายของคนรักเอกภพเท่านั้น หากเป็นคนปกติก็ควรเข้าใจว่าเป็นผู้หญิงไม่ใช่หรือ
“...ทำไมถึงคิดว่าเป็นพี่ชายล่ะ?”
อีกฝ่ายกะพริบตาปริบ ๆ อย่างงุนงง อึดใจต่อมาก็ผงะไปข้างหลัง ยกมือขึ้นปิดปากด้วยท่าทางราวกับว่ากำลังตระหนกในคำพูดตัวเอง
“...ผะ..ผมไม่รู้....ผม....จริงสิ....ถ้าเป็นแฟนกับพี่เอกก็ต้องเป็นพี่สาวไม่ใช่หรือไง” เด็กหนุ่มละล่ำละลัก “...ผมแค่สับสนนิดหน่อย....อา...ผมขอโทษ”
“อา..ช่างเถอะ" เขาโบกมือเมื่อเห็นท่าทางลนลานของเด็กหนุ่ม "ว่าแต่ชื่ออะไรน่ะนาย”
“ผมหรือ?”
“ใช่”
“วสุ”
“ชื่อเล่นล่ะ?”
“..ไม่มี”
“ทำไมไม่มี”
“แม่ไม่ได้ตั้ง”
“หืม?” เขาเผลอยื่นหน้าไปใกล้จนเกือบกลายเป็นไล่ต้อนอีกฝ่ายอย่างไรชอบกล รู้ตัวจึงได้ถอยออกมาที่เก่า
“คือ...แม่ตั้งไว้แค่นี้ แล้วก็หอบผ้าผ่อนหนีไปแต่งงานใหม่แล้ว”
“วสุ”
“...อา...” คนตรงหน้าลังเล แต่ก็รับคำต่อจนได้ “..ครับ..?”
“...พี่เพิ่งบอกเองไม่ใช่หรือว่านายเปิดเผยตัวกับคนแปลกหน้ามากไปน่ะ”
“หา..”
“เกิดพี่ทำหาเรื่องคุย แล้วโปะยาสลบนาย จับไปขายงี้ทำไง”
“...อะ...เอ๋..?”
เขายิ้มมุมปากกับหน้าซีด ๆ ของอีกฝ่าย “ไม่กลัวเรอะ”
“...พี่ไม่ทำหรอก...” ถ้อยคำเถียงถูกส่งมาตะกุกตะกัก แต่ถึงพูดอย่างนั้นก็ยังอุตส่าห์ถอยไปครึ่งก้าว
“รู้ได้ไง”
“...ก็...”
“ก็?”
วสุเม้มปาก “..ก็...พี่เป็นน้องชายของแฟนพี่เอก”
“เหตุผลแค่นี้หรือ?”
“...ใช่”
ชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกจมูก “เด็กจริงเลย”
“...ผมแค่รู้สึกน่ะ”
“แค่ความรู้สึกมันไม่พอหรอก”
“แล้วต้องอะไรอีกล่ะ” อีกฝ่ายก้มลงไปบ่นงุบงิบ เบาจนเชื่อว่าคงไม่ได้อยากให้เขาได้ยิน แต่หูก็ดันได้ยินเข้าเสียนี่
“เอาเถอะ” คิมหันต์โบกมือไปมา “แค่จะบอกว่าให้ระวังตัวเท่านั้นเอง”
“พี่ปีนรั้วบ้านคนอื่น ยังจะบอกให้ระวังใครอีกหรือ”
“เด็กนี่”
“อ่า..ผมขอโทษ”
“...”
“.....ขอโทษไง...”
ว่าพลางเหลือบตามองเขาอย่างน่าเอ็นดู นั่นเล่นเอาคิมหันต์หัวเราะไปหนึ่งยกใหญ่
“ล้อเล่นน่า” เขาโคลงศีรษะ “เอางี้ แลกกันนะ พี่ชื่อคิมหันต์ เรียกคิมก็ได้ วันนี้ตั้งใจจะมาหาพี่เอก แต่โทรไปไม่มีคนรับ ส่งข้อความไม่ยอมตอบ รอข้างนอกมันร้อน เมื่อยด้วย เลยปีนเข้ามา ว่าจะขอนั่งตรงชานบ้าน แล้วก็เล่นกับหมาซะหน่อย”
“แค่นั้นหรือ”
“แค่นั้นแหละ”
“ผมควรต้องแจ้งตำรวจไหม”
“จะแจ้งทำไมเล่า” เขารีบแย้ง “แล้วมีอย่างที่ไหนมาถามคนที่ตัวเองสงสัยว่าจะเรียกตำรวจดีไหม”
“....”
“...เอาเถอะ ถ้าไม่ไว้ใจ จะนั่งเฝ้าก็ได้ พี่รออยู่ตรงชานนั่นแหละ แต่ไม่ต้องแจ้งตำรวจหรอก เสียเวลาทำงานเขาเปล่า เดี๋ยวเดือดร้อนพี่เอกด้วย”
คิมหันต์หยุดพัก เหลือบมองเด็กหนุ่มแวบหนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“ไม่อยากให้เขารำคาญใช่ไหมล่ะ”
เจ้าตัวไม่ตอบ แต่พยักหน้าเชื่องช้า ใบหูเป็นสีชมพูจาง ๆ แล้วก็ไม่ยอมเงยขึ้นมาเลย
กิริยาทั้งหมดอยู่ในสายตาคิมหันต์ ทว่าเขาเลือกจะไม่ทัก ทำเพียงแต่สังเกตการณ์อยู่เงียบ ๆ และคุยต่อเป็นปกติ
“พี่เคยมีประสบการณ์เรียกตำรวจมั่วซั่ว แทบจะโดนตำรวจแทะหัวแหว่ง” เขาว่าพลางหัวเราะ ยังจำได้ดีถึงวันที่ตัวเขากับพี่สาววุ่นวายเรื่องสามภพจนต้องเรียกตำรวจซ้ำ ๆ เมื่อหลายปีก่อน “ตอนนั้นน่าจะโตกว่านายนิดหนึ่ง ว่าแต่อายุเท่าไรนะนายน่ะ”
“สิบห้า”
“โอ้ ใกล้เคียงกับที่เดาไว้แฮะ”
“เหรอ” วสุพึมพำ แต่หลังจากนั้นก็เลิกคิ้ว เงยหน้าขึ้น มองเลยไปด้านหลังเขา “พี่เอกมา!”
ชายหนุ่มหันขวับ จากที่เขายืนคุยกับวสุอยู่นี้เป็นจุดอับสายตาสำหรับคนที่เพิ่งมาใหม่ หากไม่สังเกตดี ๆ คงไม่เห็น เขาเตรียมกระโจนออกไปทักทายแล้ว หากไม่เห็นว่ามีรถคุ้นตาขับตามมาอีกคัน
“...เฮียเพี้ยน...” คิมหันต์กระซิบ ทุบกำปั้นลงกับฝ่ามือ นั่นปะไร เขาคิดไว้แล้วไม่มีผิดว่าสามภพต้องแอบทำอะไรลับหลังแน่นอน โผล่มาพร้อมเอกภพอย่างนี้ ไม่รู้คุยเรื่องอะไรกันบ้างโดยที่เขาไม่รู้ไม่เห็น
เขาลังเลว่าควรแสดงตัวหรือไม่ จนกระทั่งรถคันที่สามซึ่งคุ้นยิ่งกว่าเก่าขับตามเข้ามา
คันที่ควรจะจอดอยู่ในโรงรถบ้านเขาเองที่ราชบุรี“...ป๊า...”คิมหันต์แทบล้มทั้งยืน ราวกับเวลาหยุดเดินไปชั่วขณะ อึ้งอยู่วูบหนึ่งจนไอ้ดุ๊กดิ๊กขยับตัวแล้วส่ายก้นไปรับเจ้าของ จึงได้รู้ตัวว่าควรรีบตัดสินใจออกไปเจอหน้าหรือหลบรอดูสถานการณ์ก่อน
ซึ่งเขาเลือกอย่างหลัง“พี่คิม?”
วสุทำสีหน้าประหลาดใจ เมื่อเห็นเขากระโจนแผล็วหลบไปอยู่ด้านข้างตัวบ้าน ชายหนุ่มยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากเป็นเชิงบอกให้ช่วยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น กระซิบกระซาบโดยไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะเชื่อหรือเปล่า
“รถที่ตามมานั่นป๊าพี่...ไม่อยากให้รู้ว่าอยู่ที่นี่ ขอร้องล่ะ ช่วยทำไม่รู้เรื่องที หรือไม่จะหลบเข้าไปในบ้านก่อนก็ได้”
“...ทำไมล่ะ”
“เดี๋ยวไว้เราค่อยคุยกัน...นะ?”
เด็กหนุ่มลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าให้เขา หันไปทำทีเหมือนว่าออกมาดูต้นไม้ในเขตรั้วบ้านตัวเอง ขณะที่สายตาคอยลอบมองเจ้าของบ้านเดินลงมาเปิดประตูรั้ว ไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนของคิมหันต์ที่หลบอยู่ด้านข้าง
รถสามคันเข้ามาจอดเรียงกันด้านใน ไอ้ดุ๊กดิ๊กเดินไปรับเจ้านาย พลางมองผู้มาเยือนที่เหลือ จากนั้นหันมาคลอแข้งขาเอกภพอีกครั้ง ชายหนุ่มลูบหัวมันเบา ๆ แล้วหันไปเชื้อเชิญสามภพ สุชัย และเดือนเพ็ญให้เดินเข้าไปทางตัวบ้าน สีหน้าผู้เป็นบิดาของเขาไม่สู้ดีนัก
นั่นคือภาพที่คิมหันต์มองเห็นจากมุมนี้
หมาขนทองหันมาทางเขาแวบหนึ่ง และคิมหันต์แทบตัวแข็งเป็นหิน ภาวนาว่าอย่าให้มันนึกสนใจเขาขึ้นมาตอนนี้เลย ทีเรียกตั้งนานจากหน้าบ้านไม่เห็นจะเออออกันสักนิด
ดุ๊กดิ๊กทำท่าคล้ายจะฟ้องเจ้านายอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อไม่ได้รับความสนใจ มันก็เลิกพยายาม ละเลยตำแหน่งซ่อนตัวของเขาอย่างง่ายดาย โบกหางเป็นพวงแล้วเตร่กลับไปนอนพังพาบอยู่ที่เดิม
ชายหนุ่มถอนหายใจโล่งอก จากหางตาเห็นว่าวสุก็ถอนใจเฮือกเช่นกัน ท่าทางจะลุ้นไปด้วยแม้ไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับเขา ชักถูกใจขึ้นมาแล้ว อีกหน่อยอาจต้องหาโอกาสคุยกันยาว ๆ แต่ตอนนี้มีเรื่องอื่นที่ต้องให้ความสนใจก่อนเป็นอันดับหนึ่ง
เอกภพ สามภพ และป๊ากับม้าของเขาเดินมาถึงประตูด้านหน้า คิมหันต์พยายามชะเง้อ ยกมือขึ้นป้องหู ทว่าจากจุดที่เขายืนอยู่ไม่สามารถประเมินอะไรได้มากนัก แม้แต่บทสนทนาของคนทั้งสี่ก็ไม่ได้ยิน
ร่างของคนเหล่านั้นเดินพ้นประตูเข้าไปทีละคน พร้อมกับที่ใจเขาเต้นระรัวหนักขึ้นเรื่อย ๆ
คิมหันต์รีรออยู่ครู่หนึ่งจนแน่ใจว่าคงไม่มีใครกลับออกมาตอนนี้ ก่อนจะย่องตามเข้าไปใกล้ประตูหน้าบ้าน ยกมือกุมอกที่แทบระเบิดได้แล้ว
ชายหนุ่มบอกตัวเองให้หายใจเข้าออกช้า ๆ เท่าที่มองไม่เห็นอาวุธในมือสุชัย แต่ไม่รู้ว่าจะมีอะไรซุกซ่อนไว้บ้างหรือเปล่า ก่อนจะติดตามเข้าไปมากกว่านั้น เขาตัดสินใจเดินกลับไปกวักมือเรียกวสุ
“วสุ..."
"หา?"
"พี่อยากให้ช่วยอะไรนิดนึง”
"ผมน่ะหรือ?”
“ช่วยป้วนเปี้ยนอยู่แถว ๆ นี้ก่อนได้ไหม อย่าเพิ่งเข้าบ้านหรือไปที่อื่น”
“ทำไมล่ะ?”
คิมหันต์เหลือบมองเข้าไปในบ้าน ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา แต่เขายังอดห่วงไม่ได้
“เมื่อกี้บอกอยากเรียกตำรวจใช่ไหม?”
“ไม่...” วสุส่ายหน้า “ผมไม่เรียกแล้ว พี่ไม่ต้องห่วง”
“เดี๋ยวพี่ตามเข้าไปดูข้างใน แต่ถ้ามีเสียงอะไรประหลาด...” ชายหนุ่มกัดฟัน หวังว่าจะไม่มีอะไรเลวร้าย แต่อย่างไรก็ขอกันไว้ก่อน “...ถ้ามีเสียงอะไรประหลาดจากข้างใน ช่วยเรียกตำรวจให้หน่อยได้ไหม”
“ประหลาดยังไงหรือ?”
“เอ้อ...ก็อย่างเช่น...เสียงคนทะเลาะกัน เสียงขว้างปาข้าวของ...หรือเสียงปืน”
“เสียงปืน?”
“ไม่ ๆ” คิมหันต์ส่ายหน้า “ไม่มีเสียงปืนหรอก จะไปมีได้ไง ฮ่า ๆ หมายถึงถ้าดูเหมือนจะมีเรื่องกันน่ะ ช่วยตามคนมาที”
“พวกเขาทะเลาะกันหรือพี่คิม”
“....”
“แต่คนนั้นเป็นพ่อพี่ไม่ใช่เหรอ อีกคนใช่แม่หรือเปล่า แล้วพี่เอกก็เป็นแฟนของพี่สาวพี่นี่นา แล้วพี่ผู้ชายอีกคน..”
คิมหันต์ยิ้มเจื่อน มองวสุด้วยสายตาคาดหวัง บอกความจริงอย่างตรงไปตรงมาด้วยประโยคสั้น ๆ
“พี่เอกเป็นคนรักของ
‘พี่ชาย’ พี่ ผู้ชายคนที่เดินตามมาเป็นคนรักของพี่ อีกสองคนข้างหลังคือป๊ากับม้าของพี่”
วสุนิ่งไปอึดใจ เหมือนกับต้องใช้เวลาประมวลผลถ้อยคำเหล่านั้น กว่าจะคิดได้ก็ยืนอ้าปากค้างอยู่เป็นนาน
“คงไม่มีเรื่องอะไรน่ากลัวหรอก...ไม่มี...แค่พูดเผื่อไว้ เพราะงั้นช่วยหน่อยเถอะนะ?”
ใช้เวลาในการตัดสินใจเพียงครู่เดียวเท่านั้น แต่คิมหันต์กลับรู้สึกว่านานเหลือเกิน เขารอจนในที่สุด แม้ว่าอีกฝ่ายจะยังดูงงงวย..
วสุพยักหน้าช้า ๆ แทนถ้อยคำรับปากคิมหันต์ย่องตามเข้าไปถึงชานหน้าบ้าน ยื่นหน้าชะเง้อมองด้านใน แต่ไม่เห็นเงาของใครสักคน ไร้กระทั่งเสียงพูดคุยมาเข้าหู คิดในแง่ดีว่าอย่างน้อยก็ไม่ได้ทะเลาะกันอยู่
เขาหยิบโทรศัพท์มือถือตัวเองขึ้นมา ปิดเสียงโทรศัพท์แล้วเปิดบันทึกเสียงไว้ก่อนจะหย่อนมันกลับเข้ากระเป๋า ถอดรองเท้ายัดใส่ไว้แล้วเหวี่ยงขึ้นคล้องไหล่ กระชับสายสะพายให้แนบตัว ก่อนจะสาวเท้าผ่านประตูบ้านเข้าไปอย่างเงียบเชียบ
ห้องรับแขกยังเหมือนกับที่เคยเข้ามาครั้งก่อน รอบตัวเงียบงันราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิต สีขาวซึ่งห้อมล้อมรอบกายทำให้เขารู้สึกสงบลง แต่ก็สัมผัสได้ถึงความเหงาหงอยลอยอ้อยอิ่งในอากาศ
ชายหนุ่มกวาดสายตามองหาทางหนีทีไล่ ดูจนทั่วว่ามีมุมไหนให้หลบได้บ้างหากจำเป็น ข้างโซฟาตัวใหญ่นั่นคงพอไหว หรือถัดไปหลังโถงนั่น..
แกร๊ก!
เสียงเปิดประตู...?มันดังขึ้นจากอีกฝั่ง ลึกเข้าไปในทางเดินเชื่อมสู่อีกส่วนของบ้าน พื้นที่ซึ่งเขาก็ยังไม่เคยเหยียบย่างไปถึง
ชายหนุ่มกลั้นหายใจ ทำตัวราบไปกับผนัง สูดลมหายใจเข้าลึก สัมผัสได้ถึงกลิ่นคุ้นเคยอย่างน่าแปลกลอยเตะจมูก ค่อย ๆ ก้าวขาตัดผ่านส่วนรับแขกไปยังทางเชื่อมสู่โถงกว้างอีกด้าน ไม่มีร่างของใครปรากฏในลานสายตา
เขาหยุดนิ่งในมุมอับ ประเมินสถานการณ์ทั้งใจเต้นระรัวอยู่หลังตู้โชว์ขนาดใหญ่ ชะโงกออกไปยังพื้นที่ว่าง ประตูตรงหน้ามีสามบาน สองบานแรกปิดสนิท ส่วนบานที่สามตรงสุดทางเดินนั้นแง้มอยู่เพียงเล็กน้อย มองไม่เห็นว่าข้างในนั้นมีใครหรืออะไรอยู่บ้าง แต่ถ้าหูไม่ได้ฝาดไป เขาคิดว่าได้ยินเสียงพูดคุยเบา ๆ ดังมาจากหลังประตูบานนั้น
ลำคอเขาแห้งผาก กลืนน้ำลายอย่างยากเย็น ใคร่ครวญจุดยืนตัวเอง ขืนขยับเข้าไปใกล้กว่านี้คงเสี่ยงกับการถูกจับได้ จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นแล้วกลับเสีย หรือตามไปดูให้ถึงที่สุด เขาอยากเห็นว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น แต่หากโดนรู้ว่าซุ่มดูอยู่ สถานการณ์จะดีขึ้นหรือแย่ลง...ไม่มีอะไรรับประกันได้เลย
แม้ชะงักไปครู่ใหญ่กับความลังเล แต่ที่สุดแล้ว...คิมหันต์ก็ยังคงเป็นคิมหันต์
เขาก้าวขาออกจากที่เดิม ตรงไปยังประตูบานสุดท้าย
มาเจอเข้าแบบนี้แล้ว จะให้ถอยได้อย่างไรกัน?มีต่อรีพลายถัดไปค่ะ
v
v
v