ขออภัยที่หายไปนานหลายวันนะคะ พอดีมีโปรเจ็กต์เร่งด่วน(แต่งตอนพิเศษเรื่องอื่น) ขัดเข้ามาจึงทำให้ต้องหายไปจัดการให้เรียบร้อย พอว่างแล้วจึงมาต่อตอนที่ 6 ให้อ่านกันค่ะ ...ตอนนี้มีตัวละครใหม่โผล่มาด้วยค่ะ เดากันได้ไหมเอ่ยว่าน่าจะเป็นใคร หุ ๆ
ติดตามอ่านกันได้เลยค่ะ ^^------------------------------------
/6
ธามที่นั่งทำงานอย่างอารมณ์ดีในห้องทำงาน ต้องชะงักเล็กน้อย เมื่อมีเบอร์ไม่คุ้นเคยโทรเข้ามาในมือถือของเขาเวลานี้
“สวัสดีครับ ผมธามพูด”
“...สวัสดีคุณธาม ฟังเสียงแล้วดูสบายดีนะครับ หลังจากมาก่อกวนให้ชาวบ้านเขาไม่ได้หลับได้นอนกันแบบนั้น”
พิชญ์ที่โทรเข้าไปเอ่ยทักทายอย่างติดหมั่นไส้ เพราะถึงยังไงเขาก็ยังคงไม่สบอารมณ์เรื่องที่นายน้อยของเขาดันไปหลงเสน่ห์พวกวกะอยู่ดี
“หือ...นาย...พี่เลี้ยงของวิรัลหรอกหรือ”
พิชญ์เม้มปากน้อย ๆ ที่ได้ยินอีกฝ่ายเรียกชื่อว่าที่ประมุขของตนห้วน ๆ แบบนั้น แต่ก็จำข่มความไม่พอใจ และเอ่ยออกไปในสิ่งที่ต้องการ
“ผมอยากจะตกลงอะไรบางอย่างกับคุณเรื่องท่านวิรัล...หวังว่าคงจะมาพบกันได้นะครับ”
ธามเลิกคิ้วนิด ๆ เขาเหลือบมองชาครที่ขมวดคิ้วยุ่ง และสั่นศีรษะเป็นเชิงให้เขาปฏิเสธ เพราะเกรงว่าจะเป็นแผนล่อเจ้านายของเขาให้ไปติดกับนั่นเอง
“อืม...แล้วจะนัดเจอกันแถวไหนล่ะ”
ทว่าธามกลับสอบถามสถานที่นัดกับอีกฝ่าย ทำให้ชาครต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างเอือมระอา
“ที่สวนสาธารณะ... ตอนเที่ยง คุณโอเคไหม”
พิชญ์บอกชื่อสวนสาธารณะในเมืองหลวงมาแห่งหนึ่ง ทำให้ธามนิ่งคิดชั่วครู่ ก่อนจะตอบตกลงกลับไป
“โอเค...งั้นตอนเที่ยงเดี๋ยวพบกัน ฉันติดต่อกับนายได้ที่เบอร์นี้ใช่ไหม”
“ครับ...”
พิชญ์รับคำสั้น ๆ แล้ววางสายไปในทันทีโดยไม่พูดอะไรอีก ทำให้คนที่คุยด้วยยกยิ้มน้อย ๆ ต่อความไม่ค่อยเป็นมิตรของอีกฝ่ายนัก
“มันอาจจะเป็นกับดักก็ได้นะครับท่านธาม!”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาควรจะเลือกสถานที่อื่นที่มันเอื้ออำนวยมากกว่านี้... อย่ากังวลเลยน่าชาคร ฉันไม่เสียท่าง่าย ๆ นักหรอก ...อีกอย่างถ้าเขาเป็นคนที่เด็กคนนั้นรักมาก ๆ เขาก็น่าจะเข้าใจความรู้สึกของทั้งฉันและเด็กคนนั้นดีล่ะนะ”
ธามสรุปตัดบทแล้วอมยิ้มน้อย ๆ อย่างอารมณ์ดี เมื่อนึกถึงเรื่องของวิรัลเมื่อคืน ที่เด็กหนุ่มเป็นฝ่ายจูบลาเขาก่อน
“ผมก็ภาวนาให้มันไม่เกิดเรื่องล่ะนะครับ”
ชาครพึมพำ เพราะแค่การที่ธามถูกใจวิรัล พวกเขาก็เท่ากับเพิ่มอันตรายให้ตัวเองมากขึ้น ทั้งจากวกะกลุ่มอื่นที่คอยจ้องหาจุดอ่อนเพื่อกำจัดธาม และจากพวกมโคที่ไม่ยอมรับในตัววกะเช่นพวกเขา
จากนั้นธามก็นั่งทำงานอยู่สักพัก และพอใกล้ถึงเวลานัด เขากับชาครจึงเดินทางไปพบกับพิชญ์ที่รออยู่ทันที
“รถเยอะจริง ๆ นะครับถนนเส้นนี้”
ชาครซึ่งขับรถอยู่บ่นพึมพำอย่างหงุดหงิด เพราะปกติคอนโดของธามกับที่ทำงานของชายหนุ่มจะอยู่ไม่ห่างกันเท่าใด เขาถึงไม่ค่อยจะเจอเรื่องหัวเสียอย่างเรื่องรถติดและปัญหามลพิษหนาแน่น เท่าที่ควรนัก
“คงเพราะประชากรมนุษย์มากขึ้นล่ะมั้ง ...น่าจะจัดมหกรรมล้างเผ่าพันธุ์กันสักรอบ จะได้เหลือน้อย ๆ ลงหน่อย”
ธามเปรยติดขำอย่างไม่คิดจะจริงจังอะไรนัก เพราะถึงยังไงมารดาของเขาก็เป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน
“มีบางเผ่าก็กำลังคิดแบบนั้นจริง ๆ นะครับ...แต่ต่างกันตรงที่เป้าหมายหลักของพวกมันก็คือ ต้องการกำจัดพวกอมนุษย์ด้วยกันให้หมดสิ้นไปก่อน แล้วจะได้เริ่มไล่ล่าและปกครองมนุษย์ให้อยู่ในอาณัติของพวกมันแทน”
ชาครเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ทำให้คนที่นั่งอยู่เบาะหลังชะงักนิด ๆ
“พวกครุโฬน่ะหรือ...”
“ครับ...พวกนกปีศาจนั่น แม้จะมีประชากรในเผ่าไม่มากนัก แต่พวกมันแต่ละตนล้วนแข็งแกร่ง ทั้งเพศเมียและเพศผู้ แม้กระทั่งเด็ก ก็ล้วนเกิดมาเพื่อเป็นผู้ล่าโดยแท้”
“แต่ล่าแบบสะเปะสะปะ ก็อาจจะโดนจับเด็ดปีกเอาได้สักวันล่ะนะ”
ธามเอ่ยอย่างเย้ยหยัน เพราะเขาเองก็รู้ดีว่าพวกครุโฬทุกตน ล้วนหยิ่งทะนงตัว และเชื่อมั่นในฝีมือตนเองเพียงใด แต่เขาก็เคยเห็นพวกที่เป็นแบบนั้นต้องพบกับความล้มเหลวมานักต่อนักแล้ว เพราะยิ่งแข็งแกร่งเท่าใด ก็ยิ่งประมาทมากเท่านั้นนั่นเอง
“เฮ้ย!!”
จู่ ๆ ชาครก็อุทานด้วยความตกใจ เมื่อรถยนต์สีดำคันหนึ่งปราดขึ้นมาแซงหน้าเขาในจังหวะที่มีรถว่างด้านหน้า จนชาครเหยียบเบรกไม่ทัน ทำให้ชนท้ายอีกคันที่แซงมาเข้าให้
“ขับรถภาษาอะไรวะ!”
ชาครจอดรถแล้วเปิดประตูลงมาดูรถอย่างหงุดหงิด มันไม่ได้บุบสลายอะไรมาก เพราะรถค่อนข้างแน่นหนาทำให้ชาครขับไม่เร็วเท่าใดนัก จึงทำให้การปะทะเบาลงกว่าที่ควรจะเป็น
“...ขอโทษค่ะ ดิฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เกิดการเสียหายเช่นนี้ เอาเป็นว่าดิฉันยินดีจะชดใช้ในสิ่งที่เกิดขึ้นทุกประการนะคะ”
เสียงใสไพเราะดังขึ้นพร้อมกับร่างของเด็กสาวแสนสวย ซึ่งเปิดประตูก้าวเท้าลงมาจากรถ ผิวกายของเธอขาวเนียนใสกระจ่างสะดุดตา ผมยาวสลวยดำขลับ และมีท่าทางสง่างามราวกับคุณหนูตระกูลใหญ่โตที่ไหนสักแห่งเลยทีเดียว
“เธอ...เอ่อ คุณเป็นคนขับ?”
ภาครเปลี่ยนสรรพนามเรียกอีกฝ่าย เพราะท่าทางที่ดูสุภาพมีมารยาททุกกระเบียดนิ้วนั่น ทำให้เขารู้สึกว่าเจ้าหล่อนน่าจะมีสถานภาพค่อนข้างสูงส่งผิดจากคนธรรมดาทั่วไป
“ใช่ค่ะ...ขออภัยด้วยจริง ๆ นะคะ ดิฉันยินยอมชดใช้ในทุกสิ่งถ้าจะทำให้คุณอภัยและใจเย็นขึ้นค่ะ”
เด็กสาวบอกแล้วยิ้มหวานให้ ก่อนจะชะงักเล็กน้อย เช่นเดียวกับอีกฝ่าย
“กลิ่นในเมืองนี่แย่จังนะคะ กลบกลิ่นดี ๆ กลิ่นอื่นไปหมดเชียว”
เด็กสาวหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าถือขึ้นมาปิดจมูกของเธอแล้วขมวดคิ้วนิด ๆ เช่นเดียวกับคนที่จมูกดีเป็นพิเศษ แต่ตอนนี้ก็ยังคงต้องพ่ายแพ้ต่อกลิ่นควันรถไอเสียและมลพิษทั้งหลาย จนแทบจะแยกกลิ่นอื่นนอกจากนั้นไม่ออก ทว่าเขากลับได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ คล้าย ๆ กลิ่นธรรมชาติให้ได้กลิ่นใกล้ ๆ นี้เช่นเดียวกัน
“ยังดีนะคะที่ในเมืองหลวงพอจะมีธรรมชาติให้เหลือสัมผัสได้บ้าง...อ้อ คือดิฉันเพิ่งจะกลับมาจากไปเดินเล่นในสวนสาธารณะแถวนี้เองค่ะ”
เด็กสาวเปรยกับตัวเองแล้วอธิบายให้อีกฝ่ายซึ่งทำหน้างุนงงเข้าใจ ซึ่งชาครเองก็พยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ และสรุปว่าตนอาจจะคิดไปเองก็เป็นได้ จากนั้นทั้งสองคนก็คุยตกลงกันถึงความเสียหายจากอุบัติเหตุ ด้านชาครเช็คสภาพรถของเขาและของเด็กสาวคร่าว ๆ ก็เห็นว่าไม่น่าจะต้องเสียเวลาเรียกประกันอะไรให้ยุ่งยาก และธามเองก็เร่งให้ไปต่อ โดยไม่ต้องไปใส่ใจอะไรมากมาย
เมื่อตกลงกันเรียบร้อย ชาครจึงเอ่ยลาเด็กสาว และเตรียมจะขึ้นรถขับไปต่อ ทว่าเขาก็ต้องขมวดคิ้วยุ่ง เมื่อสุภาพสตรีคนงามกระชากรถ ขับแล่นออกไปด้วยความเร็วสูงเมื่อเห็นว่าเป็นสัญญาณไฟเขียว โดยขับฉวัดเฉวียนแซงซ้ายป่ายขวา เรียกเสียงเบรกดังเอี๊ยดไปทั่ว จนชาครคิดว่าอาจจะได้เกิดการชนอีกรอบก่อนที่เจ้าหล่อนจะกลับถึงบ้านเสียก่อนก็ได้
“ติดใจหรือไง...เธอเองก็สวยดีเสียด้วยนะนั่น”
ธามเอ่ยแซวลูกน้องคนสนิท ที่ดูเหมือนตอนนี้ก็จะยังคงคิดถึงสาวน้อยผู้นั้นอยู่บ้างนิด ๆ
“ปะ...เปล่านะครับ! ...แค่เป็นห่วงว่าเธอจะขับรถกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยได้ไหมก็แค่นั้นล่ะครับ”
ชาครบอกไปตามตรง ทำให้ธามชะงักก่อนจะหลุดขำออกมา เพราะเห็นฝีมือปาดแซงของเจ้าหล่อนแล้ว มันน่าชวนให้ไปขับตามสนามแข่งรถเสียมากกว่า
“อืม...แต่ถึงยังไง เธอคนนั้นก็เป็นผู้หญิงที่เรียกได้ว่าสวย ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าของจริงเลยล่ะนะ... แต่ก็นั่นล่ะ ยังสู้กวางน้อยที่น่ารักของฉันไม่ได้อยู่ดี”
ชาครยิ้มเจื่อน ๆ พลางเหลือบมองเจ้านายของตนผ่านกระจกมองหลังรถ อีกฝ่ายดูเหมือนกำลังตกหลุมรักกับเด็กหนุ่มต่างเผ่าเข้าเต็มเปา ... ก่อนหน้านั้นชาครไม่เคยเชื่อเรื่องพรหมลิขิต หรือเรื่องคู่แท้มาก่อน แต่พอเห็นผู้เป็นนาย ก็ทำให้เขาเริ่มเชื่อว่า เรื่องพวกนั้นมันก็คงมีเค้าความจริงอยู่บ้างเป็นแน่
และเมื่อถึงที่นัดหมาย ธามก็โทรหาพิชญ์ทันที ทางด้านชาครสูดลมหายใจเอากลิ่นธรรมชาติเข้าปอดเบา ๆ และคิดว่าหากนายของเขา มาธุระละแวกนี้บ่อย ๆ เขาคงต้องหาที่ปิดจมูกมาสวมแทนเป็นแน่
“โอเค...ชาครตามมานี่ หมอนั่นเขาบอกว่าเขาอยู่...”
ธามชะงักคำพูดค้างไว้ แล้วก็อมยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นลูกน้องคนสนิททำจมูกฟุดฟิด แล้วหันหน้าไปมองยังทิศที่เขากำลังจะบอก
“ฉันเองก็ลืมไปว่านายจมูกดี...”
“แต่ถ้าอยู่ท่ามกลางรถติดแบบเมื่อครู่ ดีแค่ไหนก็แทบแยกแยะกลิ่นไม่ได้อยู่ดีนั่นล่ะครับ”
ชาครบอกตามมา ทำให้ธามหัวเราะเบา ๆ ในลำคอแล้วเอ่ยขึ้น
“เอาน่า...คงไม่ต้องเจอแบบนั้นบ่อย ๆ หรอก ฉันก็ไม่ชอบรถติดเหมือนกันนั่นล่ะ”
จากนั้นธามจึงสั่งให้ชาครนำเขาไป เพราะดูท่าทางจะถึงจุดหมายได้แม่นยำกว่าเดินหาไปเองเรื่อย ๆ แน่
พิชญ์มองชายสองคนที่เดินเข้ามาหาเขา ชายหนุ่มพยักหน้าทักทายเล็กน้อย ด้วยใบหน้าขรึม ๆ ส่วนธามนั้นยิ้มตอบอย่างไม่นึกสนใจสีหน้าของอีกฝ่ายเท่าใดนัก
“ตกลงเรียกฉันมานี่มีธุระอะไร คงไม่ใช่จะบอกว่าให้ฉันเลิกเข้าไปหานายน้อยของนายสักทีหรอกนะ”
พิชญ์เม้มปากนิด ๆ ก่อนจะย้อนกลับไป
“แล้วถ้าผมพูดแบบนั้นล่ะ คุณจะเลิกไปหาท่านวิรัลไหม”
“หึ ๆ ฉันว่าคำตอบนั้นนายก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”
พิชญ์ทำเสียงฮึในลำคอ แล้วจึงเปรยหยัน
“ใช่สิ…พวกวกะก็แบบนี้ล่ะ พูดคุยภาษามนุษย์กับเขาไม่ค่อยจะรู้เรื่อง เอะอะก็ดีแต่ใช้กำลังอย่างเดียว”
“นี่นาย!”
ชาครแทรกขัดอย่างโมโหที่เจ้านายของเขาถูกต่อว่าซึ่งหน้าเช่นนี้
“ใจเย็น ๆ ชาคร ฉันไม่ถือสาอะไร... เพราะปกติมันก็เป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว”
ชาครสบถเบา ๆ ทว่าพิชญ์ก็ยังคงเชิดหน้าไม่หวั่นเกรง แม้ว่าเขาจะมาเพียงลำพัง และมีวกะที่สามารถทำอันตรายเขาอยู่ตรงหน้าถึงสองตนก็ตาม
“แล้วตกลงนายจะคุยเรื่องอะไรกันแน่ คงสำคัญพอดูสินะ ถึงได้เรียกฉันมาพบแบบนี้”
ธามตัดบทเข้าเรื่องราว เพราะมั่นใจว่าพิชญ์ต้องเรียกเขามาพูดคุยเรื่องสำคัญเกี่ยวกับวิรัลเป็นแน่
“...ผมไม่อยากให้มีการประสาทเสียเฝ้าระวังภัยแบบที่เกิดขึ้น และไม่อยากให้ท่านวิรัลต้องกระโจนเข้าร่วมอย่างเหตุการณ์เมื่อคืนด้วย ...มันอันตรายกับท่านวิรัลเกินไป ถ้าคนที่มาไม่ใช่แค่พวกคุณ แต่มีวกะกลุ่มอื่นสะกดรอยมาด้วย”
ธามนิ่งเงียบรับฟังอย่างไม่คิดจะขัดเย้าแหย่ เพราะเรื่องที่พิชญ์พูดก็มีเหตุผลพอสมควร
“พวกฉันมั่นใจว่า ยังไม่มีวกะตนใดรู้เรื่องหมู่บ้านของพวกนายหรอกนะ”
“แต่การมาเยือนของคุณจะทำให้พวกนั้นรู้แน่ในสักวัน ...อย่าบอกผมนะ ว่าคุณไม่มีศัตรูคอยลอบเล่นงานกับเขาบ้างเลยน่ะ”
พิชญ์แย้งแล้วจ้องอีกฝ่ายนิ่งด้วยสีหน้าจริงจังขึงขัง จนธามต้องถอนหายใจเบา ๆ
“แล้วจะเอายังไง ...ฉันห้ามใจตัวเองไม่ให้พบเขาไม่ได้หรอกนะ”
พิชญ์ชะงักเขาสบถเบา ๆ อย่างหงุดหงิด เพราะรู้ดีว่าไม่เพียงแต่ธาม วิรัลเองก็ต้องการพบกับธามอยู่ทุกเมื่อเช่นกัน แต่เขาก็ไม่อยากให้นายน้อยของตัวเองต้องเสี่ยงมากกว่านี้
“ผมไม่ต้องการให้คุณมาหาท่านวิรัลถึงฐานที่มั่นของพวกเรา มันเสี่ยงกับท่านวิรัลและมโคทุกตนจนเกินไป ...แต่ถ้าคุณยังจะรั้นมาอีก คุณอาจจะได้เห็นท่านวิรัลอีกเป็นครั้งสุดท้าย และไม่มีโอกาสได้เจอท่านอีกแล้วก็เป็นได้”
ธามชะงักแล้วจ้องพิชญ์ด้วยแววตาแข็งกร้าวเป็นครั้งแรก
“นายจะทำอะไรวิรัล!”
“ไม่ใช่ผม ...แต่เป็นท่านย่าของท่านวิรัล ถ้าคุณยังมายุ่มย่ามกับท่านวิรัลถึงหมู่บ้านของเราอีก ผมจะรายงานท่านย่าของท่านวิรัล ซึ่งเป็นนายหญิงผู้ครองอำนาจแท้จริงของเผ่า และแน่นอนว่าท่านวิรัลจะต้องถูกนำตัวไปกักขัง และดูแลราวไข่ในหินอีกครั้ง ...ถึงผมจะรู้สึกเจ็บปวดที่จะต้องทนเห็นท่านวิรัลเป็นเช่นนั้น แต่ถ้าเทียบกับความปลอดภัยของท่านวิรัลแล้ว ผมก็คงต้องเลือกหนทางนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
ธามขบกรามแน่น นับตั้งแต่ตอนที่ธามเสียมารดาไป นี่เป็นครั้งแรกของชาครที่เห็นนายของเขาโมโหเช่นนี้ เขามองพิชญ์ที่ยังคงยืนสงบนิ่งดูปฏิกิริยาของคนตรงหน้า จากนั้นหมาป่าหนุ่ม จึงขัดจังหวะการสนทนาของทั้งคู่ขึ้นมาบ้าง
“นายห้ามไม่ให้ท่านธามไปหาเจ้านายของพวกนายที่หมู่บ้าน...แต่ไม่ได้หมายความว่า จะห้ามไม่ให้พวกเขาพบกันเลยสินะ...ใช่ไหม”
พิชญ์ชะงักแล้วจึงหันมามองชาคร ทั้งคู่ประสานสายตากันสักพัก แล้วพิชญ์จึงเป็นฝ่ายพยักหน้าตอบรับค่อย ๆ
“ใช่...แต่การพบกันของพวกเขา ก็ต้องอยู่ในสายตาของพวกฉันด้วย”
ธามมองพิชญ์อย่างแปลกใจ เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยินยอมให้เขากับวิรัลพบกันง่าย ๆ เช่นนี้
“ผมบอกตามตรง ...ผมเคยคิดจะพยายามขัดขวางทุกวิถีทางให้ท่านวิรัลไม่พบคุณและลืมคุณไปเอง เพื่อความปลอดภัยของท่านวิรัล ...แต่ผมก็ทนไม่ได้ ที่จะต้องเห็นท่านวิรัลที่อมทุกข์และไม่มีความสุขแบบทุกวันนี้ ...ผมเกลียดจนอยากจะฆ่าคุณถ้ามีโอกาสทำได้ ...และแน่นอน ผมจะไม่รีรอเลยเมื่อโอกาสนั้นมาถึง ...แต่นั่นต้องหมายถึงท่านวิรัลมีใครอีกคนในใจขึ้นมาพอที่จะลืมคุณได้เสียก่อน...ซึ่งผมเชื่อว่าอีกไม่นานนัก มันจะเป็นอย่างนั้น!”
ธามขมวดคิ้วมองพิชญ์นิ่งอย่างสงสัย อีกฝ่ายพอเห็นเช่นนั้นก็ยกยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงเอ่ยขึ้นต่อ
“ท่านวิรัลจะหมั้นในไม่ช้านี้ คู่หมั้นของท่านวิรัลเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมและดีพอที่จะทำให้จิตใจของท่านวิรัลหวั่นไหวได้ ...ที่ผมบอกคุณเรื่องนี้ เพราะอยากให้คุณเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ล่วงหน้าด้วย และผมหวังว่า คุณคงจะไม่ใช้วิธีขี้ขลาดลักพาตัวท่านวิรัลไปหรอกนะ... ผมเชื่อในความรักของคุณ แต่ผมไม่เชื่อว่าคุณจะดูแลปกป้องท่านวิรัลได้ ตราบใดที่คุณยังคงเป็นพวกวกะ และพร้อมจะลงสังเวียนช่วงชิงตำแหน่งประมุขของเผ่าอยู่ตลอดเวลา เหมือนดังที่คุณเป็นอยู่!”
คำพูดของพิชญ์ทำให้ธามและชาครนิ่งอึ้งไป เพราะนั่นหมายถึงพิชญ์รู้เรื่องของพวกเขาเป็นอย่างดี มันทำให้ธามต้องครุ่นคิดหนัก เพราะกวางหนุ่มนั้นคล้ายจะให้เขาเลือกกลาย ๆ ว่า หากเขาเลือกวิรัล เขาก็ต้องทิ้งเผ่า และหากเขาเลือกตำแหน่งประมุข เขาก็ต้องทิ้งวิรัล
“ไว้ถ้าคุณต้องการพบท่านวิรัลก็ติดต่อผ่านผมมาอีกที ผมจะเป็นฝ่ายนัดเวลาและสถานที่ให้เอง”
พิชญ์เอ่ยทิ้งท้าย และขอตัวกลับไปก่อน ทิ้งให้ธามยืนทอดถอนหายใจยาวอยู่แถวนั้น ด้านชาคร ยืนมองผู้เป็นนายอย่างนึกห่วง เพราะเขารู้ดีว่า สำหรับลูกครึ่งมนุษย์อย่างธาม ตำแหน่งประมุข คือสิ่งที่จะแสดงตัวตนและจุดยืนในฐานะวกะตนหนึ่งของเผ่า ธามเฝ้ารอเวลานี้มาตลอดตั้งแต่มารดาของเขาเสียชีวิตไป และตอนนี้ชายหนุ่มก็มีโอกาสมากพอ ที่จะช่วงชิงตำแหน่งประมุขมาเป็นของตนแล้ว
“ฉันรักเด็กนั่น...แต่ฉันก็ทิ้งความฝันของตนเองไปไม่ได้...ฉันสัญญากับศพของแม่ไว้แล้วว่า จะต้องเข้มแข็ง และแข็งแกร่งขึ้น… เพื่อการนั้น ฉันจะต้องเป็นประมุขของเผ่าให้ได้!”
ธามพึมพำมุ่งมั่นกับตัวเอง จนชาครนึกสงสารผู้เป็นนายจับใจ แต่เขาเองก็ไม่ได้โกรธเกลียดทางด้านพิชญ์ที่บีบให้นายเขาต้องเลือกแต่อย่างใด มองตาอีกฝ่ายก็รู้แล้วว่า มีความภักดีและพร้อมยินดีถวายชีวิตให้กับผู้เป็นนายได้ทุกเมื่อ ไม่แตกต่างจากเขาเลยด้วยซ้ำ
....TBC ...