
/ 10
“ลูกโกรธพ่อหรือธาม...ที่พ่อเสนอไปแบบนั้น”
ปุริมเอ่ยถามบุตรชายคนเล็ก ซึ่งอีกฝ่ายก็แค่นยิ้มให้ ตอนนี้ทั้งห้องประชุมเหลือแต่พวกเขาสองคน ส่วนคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องไม่แยกย้ายกันกลับ ก็ไปรออยู่ด้านนอกกันหมด และเนื่องจากห้องนี้ทำด้วยวัสดุเก็บเสียงชั้นดี อีกทั้งผู้ที่อยู่ด้านนอกก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ยืนรออยู่ใกล้ ๆ พวกเขาจึงไม่มีโอกาสได้ยินเสียงสนทนาจากด้านในที่เกิดขึ้น
“ที่พ่อตัดสินใจเลือกทำเช่นนี้ ก็เพราะไม่อยากจะให้พี่น้องแก่งแย่งชิงดีจนลืมตัวลืมตน เข่นฆ่ากันเอง ...ถึงจะไม่ถูกกันยังไงแต่พวกเจ้าพี่น้องก็มีสายเลือดของพ่อไหลเวียนอยู่ในร่างเช่นเดียวกันนะลูก”
ธามแค่นยิ้มกับตัวเอง แล้วจึงย้อนถามอีกฝ่ายกลับไป
“พี่น้องสายเลือดเดียวกัน จึงควรจะปรองดองไม่เข่นฆ่ากันสินะครับ... แต่ถ้าต่างสายเลือด ไม่เกี่ยวข้องกันเลย จะฆ่าก็ฆ่าได้ เหมือนอย่างที่แม่ผมโดนฆ่าใช่ไหม!”
ธามเริ่มเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความโกรธจนลืมตัว ทำเอาปุริมชะงัก แต่พอจะแก้ตัว ชายหนุ่มก็เอ่ยสวนกลับไปอีกด้วยแรงอารมณ์
“นึกว่าผมไม่รู้รึ ว่าที่พ่อเลือกใช้วิธีนี้เพราะอะไร... เพราะพ่อกลัวใช่ไหม กลัวที่ผมจะฆ่าลูกชายของพ่อแก้แค้น ...ลูกชายคนที่อาจจะเป็นฆาตกรฆ่าแม่ของผมคนนั้นน่ะ!”
ปุริมเงียบกริบ พูดอะไรไม่ออก ...เขาเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าผู้ที่ฆ่ามารดาของธาม อาจจะเป็นลูกชายคนรองของเขาเองก็ได้ แต่ในตอนนั้นด้วยความรู้สึกผิดที่ทำให้ภรรยาอีกคน ผู้เป็นมารดาของมาลุตต้องตรอมใจตาย และในฐานะบิดา ก็ทำให้ไม่อาจจะสืบสวนเรื่องราวลงโทษเลือดในไส้ของตัวเองได้ ด้วยรู้ดีว่าเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ สาเหตุหลักก็คือตัวของเขาเอง หากเขาไม่รับภรรยาเข้ามาใหม่ ก็อาจจะไม่เกิดเหตุการณ์น่าเศร้านี้ขึ้นก็เป็นได้
“...กบฏของเผ่าอย่างนั้นหรือ...เข้าใจเลือกโทษทัณฑ์ดีนี่... แต่บอกไว้อย่างนะครับพ่อ ...ต่อให้ต้องกลายเป็นศัตรูกับวกะทั้งเผ่า ผมก็จะต้องลากคนที่ฆ่าแม่ออกมารับโทษทัณฑ์ของมันอย่างสาสมให้จงได้ คอยดูเถอะ!”
ธามทิ้งท้าย ก่อนจะเดินกระแทกเท้าออกจากห้องไป ทิ้งให้ปุริมนั่งนิ่งเงียบ พลางทอดถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้ม ...เขาไม่อาจจะช่วยบรรเทาความแค้นของธามให้คลายลงได้ เนื่องจากเขาได้ทรยศต่อความเชื่อใจของบุตรชายคนเล็กไปแล้วครั้งหนึ่งนั่นเอง
ประมุขแห่งเผ่าวกะได้แต่หวังว่าธามจะไม่เอาตัวไปเสี่ยงกับมาลุต เพราะแม้ธามจะมีทักษะการสู้รบที่ยอดเยี่ยม และมีผู้ช่วยที่แข็งแกร่งอย่างชาคร แต่มาลุตนั้นเป็นวกะสายเลือดแท้ระดับสูง ที่มีพลังมหาศาล ทั้งยังมีลูกน้องมีฝีมือมากมายหลายคน ถ้าสู้กันจริง ๆ ธามก็คงเห็นทางรอดได้ยากเสียยิ่งกว่า... และการที่เขาตรากฎเช่นนี้ขึ้น ก็เพื่อยับยั้งมาลุตไม่ให้ลงมือทำร้ายน้องชายคนเล็กอีกทางหนึ่งด้วย
“มธุรา...พรรณราย... พี่ยอมรับว่าทำผิดต่อพวกเจ้าทั้งสอง ...แต่ได้โปรดเถอะ ถ้าวิญญาณพวกเจ้ายังอยู่ โปรดช่วยคุ้มครองลูกของพวกเรา อย่าให้พวกเขาต้องเข่นฆ่ากันเองเลยนะ”
ปุริมพึมพำถึงภรรยาผู้ล่วงลับไปแล้วทั้งสอง แล้วจึงนั่งเงียบ ๆ อยู่ในห้องนั้นอีกพักใหญ่ จึงได้กลับขึ้นไปพักผ่อนยังห้องส่วนตัวของเขาหลังจากนั้นต่อไป
อีกด้านหนึ่ง ระหว่างที่ธามกับปุริมกำลังสนทนากันอยู่ มาลุตและพิภพก็เดินออกมาจากคฤหาสน์ เพื่อตรงไปที่รถยนต์ของแต่ละฝ่ายซึ่งจอดรออยู่
“นี่พี่...ดูเหมือนพี่จะเฉย ๆ กับเรื่องที่พ่อห้ามไม่ให้พวกเราลอบทำร้ายกันเองนะ ...หรือพี่คิดจะวางมือจากตำแหน่งประมุขแล้ว”
มาลุตเอ่ยถามพิภพด้วยความสงสัย แม้เขาและอีกฝ่ายจะมีมารดาคนละคนกัน แต่มารดาของพิภพและมารดาของเขาก็เป็นพี่น้องกันแท้ ๆ โดยที่มารดาของพิภพนั้นเสียไปตั้งแต่ก่อนเขาเกิด ทว่ามารดาของเขาก็รักพิภพและสั่งสอนให้เขาเคารพอีกฝ่ายเหมือนพี่แท้ ๆ เช่นกัน
“หึ...ไม่ดีหรือ ฉันวางมือ นายจะได้ไม่เหนื่อยไงล่ะ”
พิภพบอกพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก มาลุตยักไหล่แบะปาก แล้วจึงเอ่ยตอบกลับไป
“กับพี่ผมไม่แคร์หรอก ถ้าทดสอบชนะพี่ได้ ก็ถือว่าที่เพียรฝึกมาตลอดไม่เสียเปล่า แต่ถ้าแพ้ก็ไม่หนักหนาอะไร ...แต่กับไอ้หมอนั่น ผมยอมแพ้มันไม่ได้เด็ดขาด ...แค่มันมีสิทธิ์เผยอมาชิงตำแหน่งประมุข ผมก็แทบจะรับไม่ได้แล้ว นี่ถ้าเพราะไม่ใช่พวกผู้คุ้มกฎทั้งสามรับรองมันด้วยตัวเองล่ะก็ ผมก็คงจะคัดค้านให้ถึงที่สุด!”
พิภพนิ่งเงียบมองน้องชายคนรองเอ่ยถึงธามอย่างเคียดแค้น จากนั้นสักพักใบหน้าหล่อเหลาคมคายจึงมีรอยยิ้มน้อย ๆ ประดับ
“จะว่าไปเขาก็เก่งนะ...ใช้เวลาไม่กี่ปีก็สามารถฝึกฝนร่างกายและความสามารถจนผู้คุ้มกฎทั้งสามยอมรับได้ ...นายก็ระวังอย่าประมาทนักล่ะ หมอนั่นเองก็คงจะคอยจ้องเล่นงานนายอยู่... ด้วยเหตุผลอะไรนายก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่หรือ”
มาลุตเม้มปากน้อย ๆ ก่อนจะสบถเบา ๆ แล้วกัดฟันเปรยตอบ
“ผมไม่เสียทีมันง่าย ๆ หรอกพี่...แต่ก็เจ็บใจที่พ่อสร้างกฎใหม่นั่นขึ้นมา ใครฟังก็รู้แล้วว่า พ่อสร้างมาเพื่อจงใจจะปกป้องไอ้ธามมันชัด ๆ”
“ไม่เห็นเป็นไร...ก็แค่นายชนะการทดสอบ ได้เป็นประมุขเมื่อไหร่ แค่กฎข้อสองข้อ อยากจะยกเลิกหรือตั้งใหม่ ก็เป็นสิทธิ์ของนายแล้วล่ะ”
มาลุตเหลือบมามองคนพูดอย่างสงสัยระคนลังเลนิด ๆ
“นี่พี่...พี่พูดเหมือนกับว่าจะสละสิทธิ์ไม่เข้าทดสอบชิงตำแหน่งประมุขของเผ่าเลยนะ”
“หึ ๆ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกน่า...”
พิภพตอบพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ
“ฉันพูดถึงกรณีที่นายชนะการทดสอบต่างหาก... ส่วนเรื่องการแข่งขัน ฉันก็จะทำอย่างเต็มที่เท่าที่ความสามารถตัวเองอำนวยล่ะนะ”
มาลุตฟังแล้วก็ยิ้มให้ จากนั้นจึงเอ่ยต่อ
“ดี! ผมเองก็ไม่ชอบให้ใครมาอ่อนข้อ ผมต้องการชัยชนะที่เด็ดขาด สวยงาม และจะทำให้คนในเผ่ายอมรับและตระหนักว่า ผมเหมาะกับตำแหน่งประมุขของวกะมากขนาดไหน!”
จากนั้นชายหนุ่มจึงเดินแยกย้ายไปอีกทางเพื่อขึ้นรถยนต์ส่วนตัวกลับที่พัก ส่วนพิภพนั้นยังคงยืนยิ้มเงียบ ๆ มองไล่หลังมาลุตไป ก่อนจะหันมามองที่คฤหาสน์ทิศเดียวกับที่ธามและปุริมอยู่
“ประมุขของวกะอย่างนั้นหรือ...หึ”
พิภพหัวเราะเบา ๆ คล้ายดังกำลังเย้ยหยันบางสิ่ง จากนั้นเจ้าตัวจึงตรงไปที่รถซึ่งมีคนสนิทเปิดประตูต้อนรับ และเมื่อพิภพขึ้นไปนั่งเรียบร้อย รถยนต์สีดำคันหรูก็ขับออกไปจากคฤหาสน์แห่งนั้นในเวลาต่อมา
ชาครรีบเร่งฝีเท้าเดินไปหาผู้เป็นนายเมื่อเห็นธามเดินออกมาจากห้องนั้น เขาเหลือบมองว่าปุริมจะออกมาด้วยไหม แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงของธามดังขึ้น
“กลับกันได้แล้วชาคร ...วันนี้ฉันเหนื่อย คงไม่เข้าร้านแล้ว เดี๋ยวนายโทรบอกให้เจนภพช่วยดูแลร้านให้แทนทีแล้วกัน”
ชาครโค้งรับคำสั่งและเดินตามอีกฝ่ายไปที่รถซึ่งพอธามขึ้นนั่งบนรถ ชาครก็เห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้วยุ่งแล้วหลับตาลง ปฏิกิริยาที่แสดงออกนั้นทำให้ชาครไม่กล้ารบกวน เขาเปิดเพลงสากลจังหวะช้า ๆ สบาย ๆ อย่างที่ธามชอบคลอไประหว่างขับรถกลับ ทำให้คิ้วที่ขมวดยุ่งของคนที่นั่งเบาะหลังเริ่มคลายลงช้า ๆ เจ้าตัวถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะนั่งหลับตาไปเรื่อย ๆ ต่อจนกระทั่งถึงที่พักส่วนตัวของตน
ใกล้เที่ยงคืนแล้ว แต่ธามยังคงนอนไม่หลับ เขาหวนคิดถึงวิรัลและอยากไปอยู่ใกล้ชิดเด็กหนุ่มในตอนนี้เสียเหลือเกิน เพื่อที่จะได้ลืมปัญหามากมายที่เป็นอยู่ ชายหนุ่มนั่งนิ่งสักพัก ก่อนจะถอนหายใจ และเตรียมจะข่มตาเข้านอน ทว่าเสียงมือถือที่ดังขึ้นก็ทำให้เขาชะงัก และหยิบมันมาดูพร้อมกับนิ่วหน้า เพราะเป็นเบอร์ที่เขาไม่รู้จัก
“สวัสดีครับ...เบอร์คุณธามหรือเปล่าครับ”
ธามที่กดรับแล้วเงียบฟังว่าใครโทรมา เมื่อได้ยินเสียงปลายสายเขาก็ตกตะลึง แล้วจึงตามมาด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ อย่างยินดี
“ใช่...ฉันเอง โทรมาได้ยังไงน่ะ มีมือถือใช้แล้วหรือ”
“เอ่อ...ครับ พอดีคุยกับคุณม่านฟ้า แล้วถูกถามถึงเบอร์มือถือไว้ติดต่อ พอบอกว่าไม่มี เธอก็เลยให้คนไปหาให้เดี๋ยวนั้นเลยล่ะครับ”
ชื่อของม่านฟ้าและคำพูดที่แสดงถึงความสนิทสนมกับเด็กสาว ทำให้ธามนึกหึงหวงขึ้นมาอีกครั้ง แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่า ตัวเด็กสาวเองก็มีคนที่แอบรักอยู่แล้วเช่นเดียวกัน
“อ้อ...แล้วแลกเบอร์กับเรียบร้อยแล้วสินะ กับว่าที่คู่หมั้นของเธอน่ะ”
น้ำเสียงที่ถามเผลอติดห้วนไปอย่างลืมตัว ทำให้ปลายสายเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยเสียงค่อยตามมา
“คือ...เราแลกเบอร์กันก็จริง แต่เบอร์แรกที่ผมโทรหา ก็คือเบอร์คุณธามนะครับ”
ธามชะงัก ก่อนจะถอนหายใจหนัก ๆ เขาหึงหวงจนเผลอใส่อารมณ์เกินไป ทั้งที่วิรัลโทรมาเพราะอยากพูดคุยกับเขาแท้ ๆ
“ขอโทษ...ฉันหึงเธอเข้าให้อีกแล้ว อย่าเพิ่งเบื่อกันเลยนะ”
ปลายสายเงียบไป ก่อนที่น้ำเสียงสั่นฟังดูเคอะเขินจะเอ่ยตอบ
“ไม่หรอกครับ...ผมรักคุณมากนะครับ...ไม่มีวันเบื่อคุณง่าย ๆ หรอกครับ”
ธามถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้ง ถ้าวิรัลอยู่ตรงหน้า เขาคงจับเด็กหนุ่มกอดและจูบให้หนำใจไปแล้ว
“คุณธามครับ...เอ่อ แล้วคุณธามจะหาเวลามาค้างคืนกับผม ...เอ่อ...กับพวกเรา ตามเกมลงโทษที่คุณม่านฟ้าให้ไว้ ได้เมื่อไหร่ล่ะครับ”
คำถามถัดมา ทำให้ธามยิ้มออก และรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นจนลืมเรื่องเครียด ๆ เมื่อตอนหัวค่ำไปเกือบหมดสิ้น
“ทางฉันน่ะพร้อมเสมอ ... เธอต่างหากล่ะ คุณพี่เลี้ยงแสนจะใจดีของเธอ เขาจะอนุญาตให้เธอว่างหรือเปล่า”
วิรัลหัวเราะเบา ๆ เมื่อได้ยินที่ธามตั้งสรรพนามให้กับพิชญ์ ก่อนจะตอบกลับไป
“พิชญ์น่ะไม่มีปัญหาหรอกครับ เพราะได้คุณม่านฟ้าช่วยกล่อมกึ่งบังคับทางอ้อม ...อ้อ คุณม่านฟ้าบอกว่า ถ้าคุณธามว่างเมื่อไหร่ให้ติดต่อผ่านผมกลับมา แล้วผมจะติดต่อบอกคุณม่านฟ้าอีกที ... เห็นว่ารีสอร์ทที่เตรียมไว้ อยู่ติดน้ำตกและเป็นส่วนตัวมากด้วย เป็นรีสอร์ทที่เธอบอกว่าเป็นเหมือนกระท่อมน้อยกลางป่าใหญ่ ไอ้ผมเองก็เดาไม่ค่อยจะออก แต่คิดว่ามันคงต้องน่าเที่ยวมากแน่”
วิรัลบอกตามมาด้วยน้ำเสียงร่าเริงและคาดหวัง จนคนฟังต้องอมยิ้มตาม เพราะจากที่เคยได้พูดคุยกันมา ก็ทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นถูกเลี้ยงดูราวกับไข่ในหินมาตลอด และไม่เคยมีเพื่อนฝูงรุ่นราวคราวเดียวกันมาก่อน
“งั้นหยุดสุดสัปดาห์นี้เราไปกันเลยไหมล่ะ ...”
“จริงหรือครับ! เอาสิครับ! เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะบอกคุณม่านฟ้าเลยนะครับ! ห้ามเปลี่ยนใจทีหลังนะครับ!”
วิรัลรีบโพล่งสวนกลับมา จนธามอดหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้
“หึ ๆ แน่นอน ไม่เปลี่ยนใจแน่ ตอนนี้ฉันอยากไปให้ไกล ๆ เผ่าตัวเอง ให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ล่ะนะ”
ธามเปรยบอก ทำให้คนฟังชะงักแล้วย้อนถามกลับอย่างเป็นห่วง
“มีปัญหากับเผ่าหรือครับ...”
ธามนิ่งอึ้ง เพราะเผลอตัว จึงหลุดความในใจออกไป เขาจึงแสร้งหัวเราะเบา ๆ แล้วแก้ตัวตามมา
“หึ ๆ ไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่เรื่องกระทบกระทั่งกันเล็ก ๆ น้อย ๆ ภายในเผ่าตามเดิมนั่นล่ะ”
วิรัลเงียบไปสักพัก ก่อนที่น้ำเสียงอ่อนโยนจะเอ่ยขึ้น ด้วยถ้อยคำที่ทำให้คนฟังถึงกับอึ้งไปชั่วครู่
“คุณธามครับ... ผมช่วยรับฟังปัญหาของคุณได้นะครับ ...และแม้ผมจะช่วยแก้ไขปัญหาของคุณไม่ได้ก็ตาม ... แต่อย่างน้อย ผมก็อยากมีส่วนช่วยแบ่งเบาความทุกข์นั่นมาบ้าง ...ไม่ได้หรือครับ”
ธามเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงยิ้มอ่อนโยนให้โทรศัพท์ ก่อนจะเอ่ยตอบ
“ได้สิ...ไว้ฉันจะไปเล่าให้ฟังนะ ...ขอบใจมากวิรัล”
“ครับ...อ๊ะ ...เอ่อ พิชญ์มาเคาะประตูให้นอนแล้วครับ งั้นแค่นี้ก่อนนะครับ แล้วพรุ่งนี้ผมจะบอกคุณม่านฟ้าให้ แล้วผมจะโทรไปนัดแนะคุณอีกทีนะครับ...ไม่สิ ถ้าพรุ่งนี้คุณว่าง ผมจะคุยกับคุณผ่านคอมที่บ้านนะครับ...”
ธามยิ้มแล้วตอบตกลง จากนั้นวิรัลก็วางสายไป และเพราะโทรศัพท์จากวิรัลในคืนนี้ จึงทำให้ธามนอนหลับสนิทอย่างสบายใจแทน จากที่เคยคิดว่าจะหลับ ๆ ตื่น ๆ เพราะความหงุดหงิดไปตลอดทั้งคืนแท้ ๆ
หลังกลับจากประชุมของเผ่า มาลุตก็เดินอารมณ์เสียกลับห้องพักของตัวเอง ชายหนุ่มอาละวาดเขวี้ยงปาของในห้องเพื่อระบายอารมณ์ จนไม่มีใครกล้าสู้หน้า ทว่ามาลุตก็ต้องหยุดการกระทำลงเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอก
“ใคร!”
ชายหนุ่มตวาดเสียงห้วน ทำเอาคนเคาะชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบกลับไป
“ผมวินัยเองครับท่านมาลุต ...ผมมีเรื่องสำคัญที่ต้องบอกท่านด่วนเลยครับ เกี่ยวกับ ...เอ่อ...เรื่องที่ท่านให้ผมคอยติดตามอยู่น่ะครับ”
ท้ายประโยคเจ้าตัวแผ่วเสียงลง คล้ายกลัวมีใครแอบฟัง มาลุตขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนจะอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามา ซึ่งวินัยก็มองซ้ายขวาด้านนอก แล้วปิดประตูห้อง จากนั้นจึงหันมาโค้งให้กับเจ้านายของตน
“มีอะไรก็ว่ามา!”
ชายหนุ่มยังคงอารมณ์เสียอยู่มากเรื่องธาม ทำให้วินัยนึกขยาด แต่ก็ยังคงรายงานเรื่องที่เขาติดตามมาได้ให้อีกฝ่ายรับรู้อยู่ดี
“คือผมเจอภาพถ่ายนี้โดยบังเอิญในเน็ต ...คนถ่ายรูปเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะถ่ายทั้งคู่ แต่เจ้าตัวมาติดในภาพ ถึงจะเห็นไกล ๆ แต่ผมมั่นใจว่าเป็นท่านธ...เอ่อ เป็นหมอนั่น กับชาครลูกน้องของมัน แต่อีกคนหนึ่ง ผมคลับคล้ายคลับคลา แต่ไม่กล้าฟันธงลงไป เลยนำมาให้ท่านดูด้วยตาตัวเองน่ะครับ”
มาลุตรับกระดาษที่ปริ้นท์ภาพจากคอมพิวเตอร์มาพิจารณา ภาพนั้นถูกขยายรูปคนให้เด่นชัดขึ้น แม้จะมองไม่ค่อยถนัดนัก แต่ภาพชายหนุ่มสวมสูทที่ยืนคล้ายจะสนทนาอยู่กับธาม ก็ทำให้มาลุตเบิกตากว้าง
“ไอ้พิชญ์ เผ่ามโคนี่!”
วินัยลอบถอนหายใจเบา ๆ เพราะเขาก็คิดว่าน่าจะใช้พิชญ์ที่เคยปะมือกันมาเมื่อสามปีก่อน แต่เขาก็ไม่กล้าฟันธงลงไป เพราะอีกฝ่ายไม่น่าจะมาพบกับธามซึ่งเป็นวกะเช่นที่เห็นนี้ได้
“ทำไมมันมาอยู่กับไอ้ธามได้ ...หรือว่า ไอ้ธามมันคิดจะร่วมมือกับพวกมโคเล่นงานพวกเรากันแน่!”
มาลุตพึมพำอย่างสงสัยระคนแปลกใจ วินัยได้ยินเช่นนั้นจึงเสนอขึ้นบ้าง
“ถ้าเราเอาภาพนี้ไปให้ท่านประมุขดู เราก็อาจจะเขี่ยมันพ้นทางของท่านไปก็ได้นะครับ”
มาลุตหันมามองลูกน้อง เขานิ่งคิด ก่อนจะสั่นศีรษะ
“ไม่ได้ ...หลักฐานแค่นี้มันยังน้อยไป มันอาจจะอ้างได้ว่าเป็นใครก็ได้ที่หน้าเหมือนมันหรือเหมือนไอ้มโคนั่น ...อีกอย่าง ถ้าไอ้ธามมันสนิทสนมกันดีกับพวกมโค ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีของพวกเรา”
วินัยมีสีหน้าแปลกใจ จนมาลุตที่มองมาต้องยิ้มหยัน จากนั้นจึงเอ่ยให้อีกฝ่ายรับฟังในความเห็นของเขา
“ถ้าไอ้พิชญ์ที่เป็นเสมือนประมุขเงาของมโคอยู่ในกรุงเทพฯ แบบนี้ แสดงว่ามฤคมาศก็คงอยู่ไม่ไกลนัก ...ถ้าไอ้ธามมันร่วมมือกับพวกมโคจริง แล้วพวกเราสะกดรอยตามมันไปอีกที พวกเราก็อาจจะเข้าใกล้ร่องรอยของมฤคมาศยิ่งกว่านี้ก็ได้ ...ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว กำจัดไอ้ธาม แล้วก็กินหัวใจของมฤคมาศ หึ ๆ โอกาสดี ๆ แบบนี้หาไม่ได้อีกแล้ว!”
วินัยอุทานเบา ๆ ตามมาเมื่อได้ฟังความเห็นของผู้เป็นนาย จากนั้นมาลุตจึงมอบหมายงานให้ลูกน้องคนสนิททำต่อ
“สะกดรอยตามความเคลื่อนไหวของไอ้ธามมันห่าง ๆ แล้วอย่ากะโตกกะตากให้มันรู้ตัวล่ะ ...ถ้ามันมีวี่แววจะออกไปพบกับพวกมโคนั่นเมื่อไหร่ ให้รีบรายงานมาให้ฉันรับรู้ทันที ... และจากนั้นพวกเราจะเริ่มสงครามไล่ล่ามโคกันอีกครั้ง ...คราวนี้ล่ะ! ฉันจะล้างอายเหตุการณ์เมื่อสามปีก่อน แล้วเอาเลือดของไอ้พวกมโคชั่วนั่น มาล้างเท้าฉันชดใช้ให้ได้!”
... TBC ...
เรื่องราวเริ่มเข้าสู่ฉากบู๊(มั้ง) แล้วนะคะ มาลุ้นกันดีกว่าว่าคนเขียนจะไปรอดไหม เอ๊ย! ฝ่ายพระเอกกับน้องเคะ จะปลอดภัยไหม ... ติดตามกันได้ตอนหน้า ๆ ค่ะ (ถ้าไม่ยืดและดอง ^^)