ไฟแรง ไม่หวั่นแม้ลมหนาวพัดผ่าน... หุ ๆ จัดไปเลยค่ะ ตอน 13 ส่วน 14 จะตามมาพรุ่งนี้ ขอเวลารีไรท์คำผิดกับเกลาเนื้อเรื่องสักหน่อย เขียนตอนดึก เจอคำประหลาดโผล่มาเพียบเลยค่ะ ถ้าตกหล่นติดขัดยังไงไปก็ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้านะคะ อาจจะหลุดตาตอนตรวจก่อนลงงานไปบ้างน่ะค่ะ
----------------------------------------------

/13
อำมฤตที่ออกมาเดินสำรวจความเรียบร้อยก่อนเข้านอน ต้องขมวดคิ้วยุ่งอย่างนึกแปลกใจ ที่คืนนี้รีสอร์ทเงียบผิดปกติ เขานึกสังหรณ์ใจขึ้นมาอย่างประหลาด จนต้องเรียกรวมพลคนงานที่ทำหน้าที่ดูแลรีสอร์ทอย่างฉับพลัน
“คืนนี้มันเงียบผิดปกติจนเกินไป ...พวกนายคอยตรวจสอบข้างนอกให้เข้มงวดกว่าเดิม ถ้ามีอะไรผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อย ก็ต้องรายงานให้ฉันรับทราบทันที เพราะวันนี้เรามีท่านม่านฟ้าและท่านวิรัล อยู่ที่นี่ด้วย จะประมาทไม่ได้เด็ดขาด เข้าใจนะ”
เสียงรับคำดังขึ้นพร้อมกัน จากนั้นแต่ละคนก็แยกย้ายกันไปประจำจุด และเฝ้าดูแลระแวดระวังอย่างขยันขันแข็งมากกว่าเดิม
“เกิดอะไรขึ้นหรือคะ คุณอำมฤต”
ม่านฟ้าที่ตามลงมาจากเรือนพักหลังใหญ่ เอ่ยถามขึ้น หลังได้เห็นอำมฤตยืนสั่งการลูกน้องคนอื่น ๆ ด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมผิดเคย
“ท่านม่านฟ้า! ลงมาทำไมครับ ขึ้นเรือนเถอะครับ ข้างล่างนี่มืดแล้ว ไม่ปลอดภัยสำหรับท่านนะครับ”
อำมฤตเอ่ยทักอย่างร้อนใจ ทำให้ม่านฟ้าต้องขมวดคิ้วยุ่ง พร้อมตอบกลับไป
“ทำไมล่ะคะ ดิฉันเองก็มาค้างที่นี่ออกจะบ่อย กลางคืนแบบนี้ก็เดินเล่นอยู่เรื่อย ไม่เห็นจะมีอันตรายอะไรสักนิด”
อำมฤตเม้มปากน้อย ๆ ก่อนจะบ่งบอกถึงความไม่สบายใจของเขาให้อีกฝ่ายรับรู้
“ผมสังหรณ์ใจประหลาดน่ะครับ คืนนี้ป่าเงียบจนเกินไป ...มันเหมือนกับมีบางอย่างที่ทำให้สัตว์ป่าน้อยใหญ่ซึ่งมีสัญชาตญาณระวังภัยเป็นเลิศยิ่งกว่าพวกเราหนีหายหน้า จนไร้ซึ่งเสียงร้องอย่างที่ควรจะเป็นเช่นนี้”
ม่านฟ้านิ่งเงียบ เธอครุ่นคิดอยู่สักครู่ แล้วจึงเปรยกับพี่เลี้ยงคนสนิทด้วยสีหน้าเคร่งขรึมลง
“เป็นไปได้ไหมคะที่ว่า บางที ศัตรูของเราอาจจะอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนี้ก็ได้...”
อำมฤตนิ่งอึ้ง เขาหันขวับไปทิศที่ตั้งบ้านพักของธามและชาคร พลางนิ่วหน้า ทว่าม่านฟ้านั้นกลับขัดขึ้นมาก่อน
“ดิฉันไม่คิดว่า ทั้งสองคนนั้นจะเป็นสายลับและบอกที่อยู่ของเราให้คนนอกรู้หรอกค่ะ... แต่ก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่า บางที เพราะสองคนนั้น จึงทำให้ศัตรูของเราตามมาเจอที่นี่ได้...ดิฉันประมาทเอง ที่เลือกสถานที่ห่างไกลจากพรรคพวกเราเช่นนี้มาพักค้างแรม”
อำมฤตมองนายสาวของเขาอย่างชื่นชมต่อการวิเคราะห์อันยอดเยี่ยมของเจ้าตัว ม่านฟ้านั้นฉลาดเฉลียวและเข้มแข็ง ถ้าหากเป็นชาย เด็กสาวคงจะได้เป็นผู้นำของตระกูลในรุ่นต่อไปอย่างแน่นอน
“ไม่ต้องห่วงครับ ท่านม่านฟ้า ...ต่อให้มีศัตรูบุกเข้ามาจริง พวกเราก็ไม่มีวันปล่อยให้ท่านต้องเผชิญอันตรายอย่างแน่นอน ผมและทุกคนจะสู้อย่างถวายชีวิตเพื่อให้ท่านปลอดภัยครับ”
ม่านฟ้าจ้องมองคนตรงหน้านิ่ง แล้วหลับตาลงสักพัก ก่อนจะลืมตาขึ้นช้า ๆ พลางจ้องตอบด้วยแววตาเด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง
“เราไปแจ้งแขกของเราก่อนดีกว่าค่ะ ให้พวกเขาระวังตัวไว้ ดีกว่าที่จะไม่รู้อะไรเลย ...ถ้าไม่เกิดอะไรขึ้นก็ดีไป แต่ถ้าเกิด...ก็จะได้เตรียมทางหนีทีไล่ได้ทันท่วงที”
อำมฤตพยักหน้ารับรู้ แล้วทั้งเขาและม่านฟ้าจึงตรงไปยังบ้านพักของแขกสำคัญทั้งสองหลัง เพื่อชี้แจงในสิ่งที่พวกตนระแวงสังหรณ์ให้ทั้งหมดทราบนั่นเอง
บ้านพักที่ธามและชาครพักอยู่ ขณะนี้ทั้งเจ้านายและลูกน้องกำลังรู้สึกประหลาดใจ ที่ป่าทั้งป่าเงียบผิดปกติ ได้ยินแต่เสียงน้ำไหลจากน้ำตก ทั้ง ๆ ที่ ควรจะมีเสียงสัตว์ซึ่งออกหากินยามค่ำคืนกู่ร้องให้ได้ยินบ้างไม่มากก็น้อยแท้ ๆ
“ผิดปกติไปนะ ...เมื่อตอนกลางวันยังได้ยินเสียงสัตว์ร้องอยู่เลย แต่พอกลางคืนก็เงียบกริบแบบนี้ ...นายคิดเหมือนฉันไหม ชาคร”
“ครับท่านธาม ...มันเงียบเกินไปจริง ๆ”
ชาครตอบรับอย่างเห็นด้วยกับผู้เป็นนาย ธามเม้มปากน้อย ๆ เขาไม่อยากคิดในแง่ร้ายเลยว่า กำลังมีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้สัตว์ป่าเงียบได้ อยู่แถวนี้ แต่เขาก็หาเหตุผลที่จะมาอธิบายถึงความผิดปกติในครั้งนี้นอกจากนั้นไม่ได้
“...ดูเหมือนไม่ใช่มีแต่เราเท่านั้น ที่คิดแบบนี้นะ”
ธามและชาครที่ยืนอยู่นอกบ้านพัก มองไปทางบ้านพักอีกหลัง ซึ่งตอนนี้พิชญ์นั้นเปิดประตูออกมา แล้วกำลังมองไปรอบ ๆ ด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“สมแล้วที่เป็นประมุขเงาของมโค”
ธามพึมพำ จากนั้นเขาจึงเดินออกจากเขตบ้านพักตนเอง ไปสมทบกับบ้านข้าง ๆ
“ไง...คุณพี่เลี้ยง ป่าที่นี่ค่อนข้างเงียบไปหน่อย นายว่าอย่างนั้นไหม”
ธามเอ่ยทัก แต่ยังไม่ทันที่พิชญ์จะตอบโต้อะไรออกไป ม่านฟ้ากับอำมฤตก็ตามมาสมทบพอดี
“ดูเหมือนแขกของเราก็รู้ตัวไม่แตกต่างกันแล้วนะคะคุณอำมฤต”
ม่านฟ้าหันไปยิ้มให้กับชายหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ อำมฤตมีสีหน้าขรึมลง และเอ่ยกับทุกคนตรงหน้า
“ผมไม่แน่ใจว่าจะคิดไปเองไหม ...แต่ผมอยากให้พวกคุณระวังตัว ถ้าเป็นไปได้ ก็ให้ไปรวมตัวกันที่เรือนใหญ่จะดีกว่า”
ธามจ้องมองคนพูด ก่อนจะลอบถอนหายใจเบา ๆ
“ฉันประมาทเอง...ไม่คิดว่าพวกมันจะตามสะกดรอยมาแบบนี้ ...ถ้าเป็นหมอนั่นอย่างที่ฉันคิด มันจะต้องขนลูกน้องฝีมือดี มาเพื่อจัดการทุกคนในที่นี้เป็นแน่”
คนที่เหลือหันมามองธาม พิชญ์สบถเบา ๆ แล้วถามอีกฝ่ายกลับเสียงห้วน
“ใครกัน ที่น่าจะตามคุณมา!”
ธามหันไปมองพิชญ์ แล้วตอบคำถามนั้นด้วยใบหน้าเคร่งขรึมกว่าเดิม
“คนที่นายเองก็รู้จักดี...เพราะนายเองก็เคยทำให้เขาแค้นมากมาก่อนนี่นะ”
พิชญ์เม้มปากเล็กน้อย แล้วสบถพึมพำกับตัวเอง ถ้าเป็นมาลุตตามมาจริง พวกเขาที่นี่เห็นทีจะต้องลำบากรับมือกันเลยทีเดียว เพราะมาลุตนั้นจัดว่าเป็นวกะที่ทรงพลัง และแข็งแกร่งยิ่งนัก
“บ้าชะมัด! คุณอำมฤต ที่นี่มีพวกของเราที่พอจะสู้ได้อยู่ราว ๆ กี่คนครับ”
“เกือบสามสิบเห็นจะได้ครับ”
อำมฤตตอบด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดไม่แพ้กัน ทีแรกเขาคิดว่าคนจำนวนเท่านี้ จะพอดูแลความปลอดภัยทั่วไปให้ทั้งม่านฟ้าและวิรัลได้อย่างสบาย ทว่าหากจะสู้รบกับวกะ ที่เขาแน่ใจว่าน่าจะยกมาเกินยี่สิบคน ก็ถือว่าฝ่ายเขาเสียเปรียบอยู่พอสมควร
“...น้อยเกินไป ถ้าเป็นหมอนั่นจริง มันคงยกคนมาเป็นโขยงแบบคราวก่อนแน่...”
พิชญ์พึมพำอย่างกังวล ทว่าธามนั้นก็เอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน
“ไม่แน่หรอก...ช่วงนี้อยู่ในระหว่างคัดเลือกหัวหน้าเผ่า แถมประมุขเผ่าวกะยังตรากฎใหม่ว่าห้ามฆ่าพวกเดียวกัน หมอนั่นจะต้องเคลื่อนไหวไม่โฉ่งฉ่างให้ทางนั้นจับได้ ...ซึ่งฉันมั่นใจว่า มันจะต้องคัดลูกน้องที่มีฝีมือโดยเฉพาะมาไม่มาก จนเป็นที่สะดุดตาเกินไปแน่”
“ห้ามฆ่าพวกเดียวกันเองอย่างนั้นหรือ...ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไปเจรจากับหมอนั่นเสียสิ พี่น้องกันไม่ใช่หรือไง!”
พิชญ์สวนกลับอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ที่ธามนั้นเป็นสาเหตุให้วิรัลต้องมาเสี่ยงอันตรายไปด้วยอย่างที่เขาเคยกังวลมาตลอด
“หึ! ฉันกลัวว่าจะไม่เป็นผลน่ะสิ เพราะเป้าหมายของหมอนั่นก็คงเป็นฉันด้วยเหมือนกัน ...แล้วมันก็อาจจะรู้เรื่องของวิรัลแล้วก็เป็นได้”
ธามแค่นยิ้ม ยามนี้เขาเป็นห่วงวิรัลเสียยิ่งกว่าห่วงชีวิตตัวเองเสียด้วยซ้ำ สายตาห่วงใยแฝงความกังวลที่มองไปยังบ้านพัก ทำให้พิชญ์ชะงัก แล้วข่มความไม่พอใจที่มีลง ก่อนจะตั้งสติให้มั่นคงกว่าเดิม
“เรายังไม่รู้จำนวนที่แน่นอนของพวกนั้น... และบางทีอาจจะไม่ใช่วกะ แต่เป็นพวกอื่นก็เป็นได้... คุณอำมฤต แถวนี้มีพวกของเราอยู่ด้านนอกรีสอร์ทที่พอจะติดต่อได้บ้างไหม”
พิชญ์หันไปทางอำมฤตซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบคำถามของชายหนุ่ม
“ถ้าแถวนี้ไม่มีหรอกครับ มีแต่ไกลออกไป แถมต้องใช้เวลาเดินทางอย่างเร็วสุดก็เกือบชั่วโมงได้”
“ก็ยังดีกว่าไม่มี...ช่วยติดต่อไปเลยได้ไหมครับ พวกนั้นจะซุ่มโจมตีแน่หรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่มีพรรคพวกช่วยเสริมความมั่นใจไว้ก่อน ก็เป็นดีที่สุด”
อำมฤตพยักหน้ารับรู้ แล้วจัดแจงโทรศัพท์ติดต่อพรรคพวกของตนให้รีบเร่งมา เช่นเดียวกับพิชญ์ที่ติดต่อลูกน้องของเขา ให้รวบรวมพรรคพวกที่อยู่ใกล้แถวนี้ที่สุด ให้มารวมตัวกันที่รีสอร์ทของม่านฟ้าโดยด่วน
“วิรัลล่ะ...”
ธามหันไปถามพิชญ์ที่โทรสั่งการลูกน้องของตนเรียบร้อย พิชญ์เหลือบมามองแล้วตอบคำถามชายหนุ่ม
“ผมสั่งให้อยู่บนบ้านพักอย่าลงมา...แต่เดี๋ยวเราต้องเตรียมพร้อมวางแผนป้องกันท่านวิรัลกับท่านม่านฟ้า.... คุณช่วยไปตามท่านวิรัลลงมาด้วยเลยแล้วกัน บอกว่าพวกเราจะย้ายขึ้นเรือนใหญ่ชั่วคราว”
ธามมองคนที่ยอมเปิดโอกาสให้เขา แล้วยิ้มน้อย ๆ พร้อมพยักหน้า ก่อนจะเดินขึ้นไปบนบ้านพักเพื่อไปพบวิรัลทันที
“พวกวกะส่วนใหญ่จะไม่จู่โจมเข้ามาทางด้านเหนือของทิศทางลม เพราะจะทำให้ศัตรูได้กลิ่น ...แต่แน่นอนว่าจะมีการวางกำลังไว้ดักเหยื่อที่จะล่าบริเวณนั้นไกลออกไปแน่ เมื่อพวกที่อยู่ใต้ลม ต้อนเหยื่อไล่ขึ้นไปเรื่อย ๆ พวกเหนือลมก็จะกรูกันมาล้อมกรอบ แล้วจัดการรุมล่าเหยื่อหลังจากนั้น”
พิชญ์หันมามองคนที่เปรยขึ้นลอย ๆ ข้างเขา ชาครยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากพร้อมกับยักไหล่นิด ๆ
“กลยุทธ์การจู่โจมของพวกกินเนื้อ ...ฉันคิดว่านายน่าจะพอคุ้นเคยอยู่บ้างล่ะนะ”
“ฮึ! พวกหมาหมู่”
พิชญ์พึมพำประชด ทำให้คนฟังอมยิ้ม
“เขาเรียกทำงานกันเป็นทีมต่างหาก ...แน่นอนว่าพวกนั้นจะต้องลงมือในยามที่มั่นใจว่าพวกเราพลั้งเผลอและประมาท ...ซึ่งเวลานั้นก็คือเวลาพักผ่อนของคนส่วนใหญ่ล่ะนะ”
ชาครเสริมตามมา ทำให้พิชญ์กับอำมฤตก้มดูนาฬิกาข้อมือแทบจะพร้อมกัน
“สี่ทุ่มกว่าแล้ว ...ถ้าอีกสักครึ่งชั่วโมงหลังจากนี้ ก็เป็นเวลาที่น่าลงมือจู่โจมทีเดียว ...”
พิชญ์หันไปบอกกับอำมฤตซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ใช่ครับ…ช่วงเวลาเข้านอน กำลังเคลิ้มหลับเคลิ้มตื่นนี่ล่ะ ที่จะทำให้สมองสั่งการสับสน ยิ่งพอเจอเรื่องฉุกละหุก กะทันหัน ก็อาจจะสติแตกไปเลยก็ได้”
“ถ้าอย่างนั้นคงต้องเรียกรวมพลรับมือแล้วล่ะครับ...”
พิชญ์เอ่ยตามมา ซึ่งอำมฤตก็เห็นด้วย และเมื่อธามพาวิรัลลงมาจากบ้านพัก ทั้งหมดจึงย้ายกันไปรวมตัวกันที่เรือนใหญ่ ก่อนจะประชุมวางแผนรับมือ รวมถึงหาทางหนีทีไล่ให้กับพวกวิรัล ในกรณีที่สู้ไม่ได้จริง ๆ
วิรัลนั่งวิตกเป็นกังวล โดยมีม่านฟ้านั่งเป็นเพื่อน สักพักธามก็เดินเข้ามาหา หลังจากการวางแผนรับมือการต่อสู้เสร็จสิ้นลง และเมื่อเห็นธามเข้ามา ม่านฟ้าจึงขอตัวไปหาอำมฤต เพื่อสอบถามเรื่องแผนการทั้งหมดจากชายหนุ่ม โดยปล่อยให้วิรัลอยู่กับธามตามลำพัง
“คุณธามครับ...คนที่จะมาบุกที่นี่เป็นพี่ชายของคุณอย่างนั้นหรือครับ...เขาจะมาฆ่าผมใช่ไหมครับ”
ธามชะงักเมื่อได้ยินคำถามจากอีกฝ่าย วิรัลดูมีสีหน้าเป็นกังวลและหวาดหวั่นจนเขานึกสงสาร
“ไม่มีทาง ...ฉันจะไม่มีวันให้เขาแตะต้องตัวเธอได้เด็ดขาด! ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต ฉันก็จะปกป้องเธอให้ได้!”
“คุณธาม....”
วิรัลพึมพำเรียกชื่ออีกฝ่าย ก่อนจะซบหน้าลงบนอกกว้างของชายหนุ่มอย่างตื้นตัน จากนั้นสักพักเจ้าตัวจึงเงยหน้าขึ้น และสอบถามถึงแผนการสู้รบในครั้งนี้จากอีกฝ่าย
“พวกเราก็จะทำเป็นเหมือนไม่รู้เรื่องเพื่อล่อให้มันตายใจ จากนั้นจะดักเก็บพวกมันทีละราย ...ซึ่งดูเหมือนจะง่าย แต่ก็ไม่ง่ายนัก เพราะฉันเชื่อว่าหมอนั่นมันจะต้องคัดคนมีฝีมือระดับต้น ๆ มาในครั้งนี้ ...แต่ก็นั่นล่ะ ถ้ามโคสองสามตนต่อหนึ่งวกะ ก็ยังพอสูสีกันอยู่ล่ะนะ... แต่ที่พวกเราเป็นกังวลก็คือ กรณีที่ทางนั้นเกิดสั่งจู่โจมพร้อมกันหลาย ๆ คนน่ะสิ ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงต้องรับมือกันซึ่ง ๆ หน้าล่ะนะ”
วิรัลเม้มปากเล็กน้อยกับกลยุทธ์ที่อีกฝ่ายเล่าให้ฟัง เขานิ่งคิดสักพัก ก่อนจะลองเสนอความเห็นของตนกลับไปบ้าง
“เอาแบบนี้ไหมครับ ถ้าพวกนั้นบุกเข้ามาพร้อมกันทีละมาก ๆ ผมจะออกไปจัดการสะกดให้พวกนั้นหลับไปด้วยกลิ่นสะกดของผม จะได้ลดจำนวนทางนั้นลงด้วย...”
“ไม่ได้นะครับมันเสี่ยงไป!”
เสียงของพิชญ์แทรกขัดขึ้นมาโดยที่วิรัลยังไม่ทันพูดจบ เจ้าตัวที่ได้ยินการสนทนา รีบเดินดุ่ม ๆ เข้ามาสมทบ ส่วนธามนั้นขมวดคิ้วและคิดหนัก เพราะวิธีที่วิรัลพูดมามันก็เข้าท่าอยู่ไม่น้อย
“มันก็เป็นวิธีที่น่าสนใจ ...แต่ถ้าเธอเข้าใกล้พวกมันมากเกินไป จะเป็นอันตรายกับตัวเธอเองด้วย อืม...ระยะการจู่โจมของกลิ่นสะกดของเธอ กินอาณาเขตเต็มที่สักเท่าไหร่ล่ะ”
“นี่คุณ! คิดจะให้ท่านวิรัลไปเสี่ยงหรือไง!”
พิชญ์เอ่ยขัดธามอย่างโมโห ที่อีกฝ่ายดูเหมือนจะคิดส่งให้วิรัลไปร่วมต่อสู้ด้วยในครั้งนี้
“ถ้าไม่เสี่ยง แล้วพวกนั้นมีกันมากกว่าที่เราคิด หลังจากพวกเราตายหมด วิรัลก็คงไม่รอดอยู่ดี... และเพราะมันเสี่ยง ฉันถึงอยากทราบข้อมูลให้แน่นอนไปเลย จะได้วางแผนให้รอบคอบ และตัดสินใจได้ว่า จะปล่อยให้เขาเสี่ยงดีไหมต่างหาก”
พิชญ์นิ่งอึ้ง แล้วเงียบไปอย่างหงุดหงิด เพราะสิ่งที่ธามเอ่ยขึ้นมาก็มีเหตุผลพอสมควร
“วางใจเถอะ... ที่ท่านธามได้รับการยอมรับให้เข้าชิงตำแหน่งประมุขของวกะ ทั้งที่เป็นเพียงแค่ลูกครึ่งมนุษย์ ไม่ใช่เพราะว่าท่านมีเชื้อสายของประมุขเผ่าเท่านั้น หรอกนะ ...ถ้าไม่มีความสามารถจริง ๆ ท่านคงไม่สามารถก้าวข้ามผ่านอุปสรรคต่าง ๆ มาได้จนถึงขั้นนี้หรอก”
ชาครตบบ่าพิชญ์เบา ๆ แล้วยิ้มอ่อนโยนน้อย ๆ ปลอบ ในแบบที่พิชญ์ไม่เคยเห็น มโคหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางตั้งสติและลดอคติลง ยอมรับในสิ่งที่ธามเสนอ ซึ่งธามเองหลังจากสอบถามเรื่องความสามารถพิเศษของวิรัลแล้ว เขาก็วางแผนให้เด็กหนุ่มจัดการเรื่องเหล่านี้แค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น เพราะแผนเดิมซ้ำ ๆ คงใช้ไม่ได้ผลกับมาลุต และวกะที่เชี่ยวชาญการต่อสู้พวกนี้แน่ และครั้งเดียวที่ต้องลงมือ ก็ต้องคำนวณดูแล้วว่า จะคุ้มค่าต่อการเสี่ยงในครั้งนี้จริง ๆ
บรรยากาศเงียบสงัดภายในรีสอร์ท และแสงไฟสลัวจากบ้านพักบางหลัง แสดงให้เห็นว่าผู้พักผ่อนนั้น น่าจะกำลังเข้าสู่นิทรากันเรียบร้อย วกะกลุ่มแรกในร่างแท้จริงนับสิบกว่าตนที่ถูกสั่งให้มาเคลียร์พื้นที่ ต่างให้สัญญาณมือและซุ่มดูใกล้ชิด ก่อนจะชะงัก เมื่อเห็นยามของรีสอร์ทถือไฟฉายเที่ยวสอดส่องดูแลตามหน้าที่
“เอาไง...เก็บมันเลยดีไหม”
หนึ่งในนั้นซุบซิบกับเพื่อนใกล้ตัว แต่อีกคนส่งสัญญาณมือเป็นเชิงห้ามเอาไว้ก่อน
“ดูท่าทีมันก่อน ... ถ้าพวกมันรู้ตัวว่ากำลังถูกเราซุ่มโจมตีอยู่ มันอาจจะมีแผนการรอรับมือพวกเราก็ได้”
คนที่เหลือพอได้ฟังต่างก็พยักหน้ารับรู้ ทั้งนี้แต่ละรายนั้นเคยผ่านการสู้รบกับมโคกลุ่มของพิชญ์เมื่อสามปีที่ผ่านมา และต่างจดจำได้ว่า มโคแต่ละตนนั้นก็มีสัญชาตญาณในการสู้รบที่เป็นเลิศไม่แพ้เผ่าพันธุ์อื่นเช่นกัน
“อ๊ะ พวกมันมีมาเพิ่มอีกรายแล้ว...หืม”
คนที่กระซิบทักมองตามอย่างแปลกใจ เพราะคนที่มาเพิ่มนั้นถือกระป๋องเบียร์มาด้วยสองกระป๋อง พลางเอ่ยทักคนที่ยืนอยู่ก่อนอย่างร่าเริง
“เฮ้ย! แวบกันดีกว่า พวกไอ้เมฆมันได้ทิปจากคุณ ๆ ที่มาพักตั้งเยอะ เลยแอบตั้งวง ก๊งกันด้านหลังน่ะ มันเลยให้มาชวนแกไปด้วย”
“บ้ารึ! ถ้าคุณอำมฤตรู้ว่าโดดเวร เดี๋ยวก็โดนเล่นงานเท่านั้นเอง”
อีกคนแย้งกลับ แม้นัยน์ตาจะจดจ้องเบียร์ในมือของเพื่อนวาววับก็ตาม
“โธ่! คุณอำมฤตไม่มีทางรู้หรอก เวลาป่านนี้มันเวลานอนของเขา คุณท่านคนอื่น ๆ ก็หลับกันหมดแล้ว อีกอย่างป่านี้มันจะมีอะไร พวกเราอยู่มาตั้งนาน ยังไม่เห็นเจออะไรสักอย่าง นอกจากสัตว์ป่าตัวเล็ก ๆ”
เพื่อนคนที่มาชวนแย้งกลับ ทำให้อีกฝ่ายเห็นดีด้วย แล้วจึงมองซ้ายมองขวา ก่อนจะรับกระป๋องเบียร์จากมือของอีกฝ่ายแล้วเดินตามไปสมทบกันที่บ้านพักคนงานที่ห่างออกไป ทำให้วกะที่เหลือต่างมองตากันปริบ ๆ แล้วหนึ่งในนั้นจึงเอ่ยเยาะขึ้นเบา ๆ
“โชคช่วยจริง แสดงว่าพวกนี้มันไม่รู้อะไรกันเลย... หึ ๆ สงสัยจะชินกับความสบายเกินไป จนลืมสัญชาตญาณสัตว์ป่ากันหมดแล้ว”
“อืม...อย่างนี้พวกเราจะไปจู่โจมฝ่ายไหนก่อนดีล่ะ”
อีกคนนิ่งคิด แล้วหันไปทางคนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่ม
“นายว่าไง จะจัดการตรงไหนก่อนดี”
คนถูกถามนิ่งคิด แล้วจึงมองไปรอบ ๆ ก่อนเอ่ยขึ้น
“พวกกินเหล้าคงไม่ต้องตามไป เพราะน่ากลัวจะรวมตัวกันเยอะอยู่ ...ซึ่งนั่นก็หมายถึงบ้านพักของแขกแต่ละหลัง ไม่น่าจะมียามคอยดูแลอย่างที่ควรจะเป็น”
คนอื่น ๆ พอได้ฟังต่างก็พยักหน้ารับรู้ แล้วจึงลองไปสำรวจบ้านพักริมลำธาร ซึ่งแต่ละหลังก็ไม่มีใครอาศัยอยู่ และถูกเก็บกวาดร่องรอยการใช้บ้านพักเมื่อกลางวันจนหมดสิ้น
“เอ...ฉันคิดว่าพวกนั้นน่าจะเลือกพักเป็นส่วนตัวแท้ ๆ แต่สงสัยจะเดาผิด”
“น่าจะอยู่รวมกันบนเรือนใหญ่มากกว่า บนนั้นก็ดูหรูหรากว้างขวางดีออกนา”
อีกคนออกความเห็น จากนั้นทั้งหมดจึงกระจายตัวกันไปล้อมเรือนพักหลังใหญ่เอาไว้ แล้วรอผู้เป็นหัวหน้าให้สัญญาณบุกจู่โจม
“เงียบกันดีแฮะ สงสัยจะนอนหลับอุตุไม่รู้ตัว ...หึ ๆ ความตายกำลังมาเยือนแท้ ๆ”
หนึ่งในคนที่รับหน้าที่ซุ่มโจมตีจากด้านหลังเรือนเปรยเบา ๆ อย่างย่ามใจ ทว่าเจ้าตัวก็ต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าแกรกใกล้ ๆ เขารีบหันขวับกลับมา หากแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว นัยน์ตาเหลือกพร้อมเสียงกรอบที่ดังขึ้น ส่งผลให้เจ้าตัวสิ้นชีพหมดลมหายใจไปในนาทีนั้นนั่นเอง
“แข็งแรงชะมัด ...ดีนะที่เป็นพวกเดียวกัน”
คนที่ดูลู่ทางอยู่ห่าง ๆ กระซิบพึมพำ เมื่อได้เห็นชาครหักคอวกะโชคร้ายตรงหน้าอย่างรวดเร็ว แม้ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ในร่างมนุษย์ก็ตาม
“ไปจัดการกันต่อ ระวังเคลื่อนไหวให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ พวกนี้ความรู้สึกไวมาก น่ากลัวจะคัดกันมาแต่ระดับมือสังหารของกลุ่มทั้งนั้น”
ชาครหันไปบอกคนด้านหลัง ซึ่งแต่ละคนก็พยักหน้ารับคำ พวกเขาคือมโคที่แกล้งทำเป็นหนีเวรไปตั้งวง แต่แท้จริงแล้วเป็นแผนการให้วกะกลุ่มนี้ประมาทและย่ามใจนั่นเอง
“เอาล่ะ...ขึ้นไปบนเรือนก่อน ถ้าเจอมฤคมาศให้จับตัวไว้ รอให้ท่านมาลุตมาจัดการ แต่ถ้าเจอไอ้ชาครกับนายของมัน ก็ให้ฆ่าทิ้งได้เลย!”
คนที่คล้ายเป็นหัวหน้ากลุ่มจู่โจมกลุ่มแรกออกคำสั่งแล้วทำสัญญาณคลื่นเสียงเบา ๆ ให้ได้ยินเฉพาะพวกเดียวกันเอง ชาครที่อยู่ด้านหลังและได้ยินสัญญาณเสียงนั้นชะงัก ก่อนจะยกมือเป็นสัญญาณบอกกับพวกมโคที่ต่างจัดการวกะที่อยู่ด้านหลังได้หมดแล้วว่า ด้านหน้านั้นศัตรูเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ให้แยกย้ายกันล้อมเรือน แล้วจัดการลงมือตลบหลังพวกนั้นได้ทันที
วกะทั้งห้าค่อย ๆ ย่องขึ้นเรือนพัก และยังคงคิดว่าเพื่อนที่เฝ้าอยู่ด้านหลังตอนนี้เปลี่ยนมาซุ่มเฝ้าดูทางด้านหน้าแทนพวกตนอยู่ตามแผนเดิม จากนั้นคนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้า จึงส่งสัญญาณมือให้พวกพ้องกระจายตัวออกไป เจ้าตัวค่อย ๆ เปิดประตูห้องนอนห้องหนึ่งเข้าไปอย่างเบามือ พลางทำจมูกฟุดฟิดดมกลิ่น แล้วจึงยกยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก เมื่อจำได้ดีว่านั่นคือกลิ่นลูกครึ่งมนุษย์วกะ ศัตรูของผู้เป็นเจ้านายของตนนั่นเอง
“หึ ๆ นี่น่ะหรือผู้เข้าร่วมชิงตำแหน่งประมุข ...มัจจุราชมาถึงที่แบบนี้ยังไม่รู้ตัวอีก”
เจ้าตัวพึมพำอย่างย่ามใจ เมื่อเดินเข้ามาใกล้ คนที่นอนคลุมโปงก็ยังไม่มีท่าทางจะรู้สึกตัวสักนิด
“ตายเสียเถอะ!”
วกะหนุ่มกระชากผ้าห่มออก และหมายจะสังหารคนบนเตียง ทว่าเขาก็ต้องชะงัก เมื่อบนเตียงมีเพียงหมอนข้างและเสื้อนอนของอีกฝ่ายคลุมเอาไว้แค่นั้น
“นี่มันอะไรกัน!”
เจ้าตัวโพล่งขึ้นอย่างตกใจ แล้วรู้สึกเย็นวาบที่เบื้องหลัง ซึ่งพอหันไปเขาก็เห็นหมาป่าสีเงินตัวใหญ่จ้องอยู่ และยังไม่ทันขยับตัวทำอะไร ร่างนั้นก็พุ่งเข้ามาแล้วใช้ฟันแหลมคมงับคออีกฝ่าย ก่อนจะสะบัดกระชากเต็มแรง จนคอของวกะผู้เคราะห์ร้ายห้อยร่องแร่งเกือบขาดออกจากกัน นัยน์ตาก่อนตายนั้นเบิกกว้างโพลง ด้วยความตื่นตระหนก ธามในร่างหมาป่าถ่มก้อนเนื้อที่ติดปากทิ้ง แล้วใช้กงเล็บขาหน้าสะบัดบั่นคอโชกเลือดนั้นให้หลุดออกจากร่างในเวลาถัดมา
“หึ! ทั้งนายทั้งลูกน้อง หลงตัวเองเหมือนกันไม่มีผิด...”
ธามปรายตามองร่างไร้วิญญาณตรงหน้าอย่างดูหมิ่น แล้วจึงออกไปสมทบกับด้านนอก ซึ่งภาพที่เห็นก็คือ พิชญ์ และอำมฤต ในร่างกวางยักษ์นั้น จัดการวกะไปได้คนละหนึ่งอย่างไม่ลำบากนัก ส่วนชาครและมโคตนอื่นที่ตามมาสมทบก็จัดการสังหารพวกที่เหลือจนหมดสิ้น
“ทั้งหมดก็สิบเอ็ดศพครับ... ให้ตรวจเช็ครอบรีสอร์ทแล้ว ก็ไม่พบเพิ่มเติมอีก ผมว่าพวกนี้น่าจะเป็นกองหน้าที่ให้ออกมาเคลียร์พื้นที่และหยั่งเชิงพวกเรามากกว่า... ผมมั่นใจว่า ถ้าพวกที่เหลือมันไม่ได้รับสัญญาณจากกลุ่มแรก ในเวลาที่กำหนดไว้ ทั้งหมดคงจะตามมาบุกพร้อมกันแน่นอนครับ”
ชาครบอกกับธามด้วยสีหน้าค่อนข้างมั่นใจ ธามคืนสู่ร่างมนุษย์ โดยไม่สนว่าตนเองจะเปลือยเปล่าหรือไม่ เขามองกวางยักษ์สีดำและสีเผือกตรงหน้า พลางเอ่ยขึ้นบ้าง
“เอาไง ...จะรอให้มันบุกมา หรือจะประกาศสงครามกันเลย”
มโคทั้งสองสบตากัน เมื่อแน่ใจแล้วว่าศัตรูคือมาลุต และวกะนักรบอีกมาก ถึงจะถ่วงเวลาไป ยังไงก็คงหลีกไม่พ้นการสู้เสี่ยงตายเป็นแน่
“เรียกพวกมันมาได้เลย ทางนี้พร้อมจะสู้ทุกเมื่ออยู่แล้ว!”
ธามยกยิ้มกับคำพูดของพิชญ์ เขาหันไปทางชาคร แล้วพยักหน้า
“ลงมือได้เลยชาคร”
วกะหนุ่มโค้งศีรษะน้อย ๆ ก่อนจะค่อย ๆ กลับคืนสู่ร่างมนุษย์หมาป่าของตน แล้วโก่งคอหอนท้าทายเสียงดังก้องป่า จนได้ยินไปถึงพวกมาลุตที่อยู่ห่างไป
เสียงหอนที่ลอยมาตามลม ทำให้ผู้ที่ได้ยินพากันชะงัก และหนึ่งในนั้นก็ชกเปรี้ยงที่ต้นไม้ข้าง ๆ จนลำต้นนั้นหักไปตามเรี่ยวแรงมหาศาลที่ปะทะมา
“ไอ้เวรเอ๊ย! พวกเราบุกเข้าไปได้! ไปฆ่าไอ้พวกมโค และไอ้ธาม อย่าให้ใครเหลือแม้แต่คนเดียว!”
มาลุตตะโกนด้วยความกราดเกรี้ยวต่อเสียงหอนท้าทายของอีกฝ่าย ชายหนุ่มค่อย ๆ กลับกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าสีเทาเข้ม ที่ตัวใหญ่และแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าวกะบริเวณนั้น ก่อนจะโก่งคอหอนตอบคำท้า อันเป็นเวลาเดียวกับที่วกะทุกตนพุ่งกระโจนไปยังรีสอร์ทเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว!
... TBC ...