มาแปะแล้วจ้า (พยายามปั่นหูตูบแก้ตัวจากที่ดองนานไปนิด แหะ ๆ) จากตอนที่แล้ว ที่พวกธามหายไป ตอนนี้จะเฉลยว่าพี่ท่านหายไปไหน ....มีใครเดาถูกบ้างเอ่ย
สุขสันต์วันปีใหม่และวันเด็กย้อนหลังค่ะ 
/ 18
วิรัลยืนเหม่อลอยนอกระเบียงพลางกอดอกค่อย ๆ เมื่อสายลมเย็นพัดผ่านผิวกายภายใต้ผ้าบางของชุดนอน เด็กหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อผ้าคลุมไหล่ผืนใหญ่ถูกนำมาคลุมให้เขาจากด้านหลัง
“พิชญ์หรอกหรือ...มาเมื่อไหร่น่ะ ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเลย”
“เพราะท่านเอาแต่คิดถึงคนที่ไม่อยู่ที่นี่ จึงไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของผมน่ะสิครับ...ดึกแล้วนะครับ เขาคงยังไม่กลับมาในคืนนี้หรอก”
พิชญ์เอ่ยกับอีกฝ่าย ซึ่งวิรัลก็ยิ้มน้อย ๆ ให้ แล้วจึงเหม่อมองไปยังความมืดเบื้องหน้าอีกครั้ง
“มันนอนไม่หลับน่ะพิชญ์ ...น่าแปลกนะ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นอยู่คนเดียวมาตลอด ฉันก็อยู่ได้แท้ ๆ ...แต่ตอนนี้แค่เขาห่างกายไปไม่กี่ชั่วโมง ฉันกลับรู้สึกว่ามันนานนับเดือน นับปีด้วยซ้ำ ...อ่อนแอจริง ๆ เลยฉัน ถ้าคุณธามรู้ จะต้องเบื่อฉันแน่ ๆ”
พิชญ์ถอนหายใจเบา ๆ เขาประคองกอดนายน้อยของตนอย่างเอ็นดูและทะนุถนอม ก่อนจะตอบกลับไป
“ผมว่าคนนั้นหากรู้ว่าคุณคิดยังไงกับเขา จะได้ใจยิ่งขึ้นมากกว่าต่างหากล่ะครับ ...อย่าเผลอไปพูดต่อหน้าเขาเข้าล่ะครับ เดี๋ยวจะหาว่าผมไม่เตือน”
พิชญ์ยิ้มติดเจ้าเล่ห์นิด ๆ ทำให้คนที่หันมามองหน้าแดงด้วยความเขิน จากนั้นเจ้าตัวจึงถอนหายใจเบา ๆ และตัดสินใจเข้าไปพักผ่อนตามที่พี่เลี้ยงคนสนิทขอร้องเอาไว้
“ดีแล้วล่ะครับ ...ถ้าพรุ่งนี้เขายังไม่กลับมาอีก เดี๋ยวผมจะตามเรื่องให้เอง เพราะฉะนั้น คืนนี้ก็หลับให้สบาย ไม่ต้องกังวลอะไรนะครับ”
พิชญ์บอกกับคนที่เอนกายลงบนเตียงนอน วิรัลพึมพำขอบคุณพิชญ์เบา ๆ และเมื่อเห็นว่าวิรัลเข้านอนดีแล้ว ชายหนุ่มจึงเดินออกจากห้อง ลงไปห้องทำงานของตน แล้วตัดสินใจหยิบมือถือโทรออกมาหาใครคนหนึ่ง
“ไง... โทรมาดึก ๆ ดื่น ๆ แบบนี้ คิดถึงกันมากหรือไง”
ปลายสายถามอย่างอารมณ์ดี แต่ทำให้คนฟังขมวดคิ้วยุ่งอย่างหงุดหงิด
“อยากโดนต่อยปากหรือไง! นายกับเจ้านายของนายน่ะ มีเรื่องต้องชี้แจงฉันกับท่านวิรัล มากกว่าจะพูดเรื่องงี่เง่าพวกนี้ไม่ใช่หรือ!”
เสียงหัวเราะดังขึ้นจากปลายสายเบา ๆ จากนั้นชาครจึงเอ่ยตามมา
“ถ้าอย่างนั้นคงต้องไปถามเหตุผลจากท่านธามเอาเอง แต่ตอนนี้ท่านไม่ว่าง มีธุระสำคัญต้องจัดการอยู่”
พิชญ์ทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างหงุดหงิดปนหมั่นไส้มากขึ้น แต่เพราะอยากรู้เหตุผลและสถานที่ซึ่งชาครและธามอยู่ ชายหนุ่มจึงพยายามสงบสติอารมณ์ แล้วถามกลับไปอีกครั้ง
“แล้วตอนนี้พวกนายอยู่ที่ไหน และจะกลับเมื่อไหร่”
“....อืม ก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกรุงเทพฯ เท่าไหร่ ส่วนจะกลับตอนไหนก็คงให้ท่านธามเสร็จธุระที่นี่ก่อนนั่นล่ะ ...แต่เท่าที่ดูอาจจะได้อยู่ยาวสักนิด เพราะคนคนนั้น ค่อนข้างใจแข็งอยู่พอสมควรล่ะนะ...เผลอ ๆ จะโดนตลบหลัง จับพวกเราขังที่นี่ ไม่ก็ถูกฆ่าปิดปากก่อนจะได้กลับกรุงเทพฯ ก็ได้ ...อืม มีส่วนทีเดียว”
ชาครพึมพำด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนไม่ทุกข์ร้อน ทว่าคำพูดที่ได้ยินกลับทำให้พิชญ์ตาเบิกกว้าง
“พวกนายอยู่ทีไหนกันแน่! อุ๊บ...”
คนที่ตกใจจนลืมตัวลุกพรวดพราดถาม และต้องทรุดลงไปนั่งบนเก้าอี้ด้วยความเจ็บปวดจากอาการบาดเจ็บเดิม ทำให้ปลายสายชะงักแล้วเอ่ยกลับเสียงขรึม
“ระวังตัวหน่อยสิ ...นายบาดเจ็บอยู่นะ แล้วนี่กินยาหลังอาหารมื้อเย็นหรือยัง ไหนจะยาก่อนนอนอีกล่ะ”
“เลิกบ่นเป็นพ่อฉันสักทีเหอะ! บอกมาเดี๋ยวนี้เลย ว่าพวกนายอยู่ไหน แล้วกำลังลำบากอยู่ใช่ไหม!”
ชาครอมยิ้ม เขาเหลือบมองประตูห้องเบื้องหน้า คาดว่าคนข้างในนั่น คงได้ยินที่เขาสนทนากับพิชญ์บ้างไม่มากก็น้อย เพราะที่นี่ค่อนข้างเงียบสงบพอสมควร
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ต่อให้ต้องตาย ฉันก็ต้องปกป้องท่านธามให้กลับไปหาท่านวิรัลของนายให้ได้นั่นล่ะ”
พิชญ์ชะงัก แล้วเงียบไปด้วยความเป็นห่วงมากยิ่งขึ้น
“...อย่าทำเป็นพูดล้อเล่นเรื่องความเป็นความตายแบบนั้น พวกนายตัดสินใจอยู่ร่วมกับพวกเราเผ่ามโคแล้ว ...ฉันก็จะถือว่าพวกนายเป็นสมาชิกของเผ่าเหมือนกัน ถ้าเกิดเรื่องอันตรายขึ้น ฉันก็ต้องไปช่วยให้ได้”
คำพูดของพิชญ์ทำให้ชาครนิ่งอึ้ง ก่อนจะแย้มยิ้มอ่อนโยนออกมาน้อย ๆ
“ขอบคุณ...ฉันแค่พูดเล่นน่ะ ฉันคิดว่าคนที่นี่มีเกียรติและศักดิ์ศรีพอที่จะไม่ทำเรื่องลอบกัดแบบนั้นหรอก ...เพราะฉะนั้น ฉันกับท่านธาม จึงได้มาที่นี่กันเพียงลำพังสองคนยังไงล่ะ”
ชาครพูดเสียงดังกว่าเดิมเล็กน้อย อย่างจงใจให้คนอื่นแถวนั้นได้ยินด้วย คำพูดที่ทำให้ธามซึ่งอยู่ในห้องอมยิ้ม และคนตรงหน้าเขาชะงักให้เห็น
“นายไม่ต้องเป็นห่วงไป ฝากบอกท่านวิรัลด้วย ว่าท่านธามจะกลับไปหาแน่นอน ...แค่นี้ล่ะ แล้วอย่าลืมกินยาก่อนนอนด้วยนะ”
ชาครตัดบทแล้วปิดมือถือของตน ทำให้พิชญ์ที่พยายามติดต่อเป็นห่วง เพราะลองโทรเข้ามือถือธามก็เป็นเช่นเดียวกัน
“เจ้าหมาป่าบ้า...ไปอยู่ไหนกันแน่นะ”
พิชญ์พึมพำกับตัวเองด้วยความกังวลแกมหงุดหงิด เขาไม่คิดว่าทั้งคู่จะกลับไปยังเผ่าวกะในสถานการณ์เช่นนี้ แต่นอกจากเผ่าวกะแล้ว สถานที่อันตรายสำหรับทั้งคู่ก็ไม่น่าจะมีอีก ยกเว้นเผ่าที่เป็นศัตรูกันเท่านั้น
“อ๊ะ! หรือว่าพวกนั้นจะ...”
คิดมาได้ถึงตอนนี้พิชญ์ก็หน้าซีดเผือด กับความเป็นไปได้ที่น่าเป็นห่วง เขาเม้มปากน้อย ๆ แล้วตัดสินใจเดินกลับขึ้นไปบนชั้นสอง และปลุกวิรัลขึ้นมา
“มีอะไรหรือพิชญ์”
วิรัลถามอย่างแปลกใจ เด็กหนุ่มนั้นยังไม่หลับ และกำลังนอนคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่เช่นกัน
“ผมสงสัย ว่าทั้งสองคนนั้นจะไปที่...”
ท้ายประโยคเจ้าตัวเสียงแผ่วลง แต่คนฟังก็ยังคงได้ยิน วิรัลตาเบิกกว้าง ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงสั่น
“พิชญ์...สองคนนั่นจะปลอดภัยไหม...คนที่นั่นคงจะไม่ทำอะไรพวกเขาใช่ไหม...”
“ผมเองก็ไม่มั่นใจครับ...ผมถึงได้มาบอกท่าน และจะชวนท่านไปที่นั่นด้วยกัน ...ถ้าผมแค่สังหรณ์ใจไปเองก็คงดี ...แต่ถ้าไม่ใช่ เราอาจจะออกหน้าช่วยพวกนั้นได้บ้าง...ผมหวังว่าอย่างนั้นนะครับ”
พิชญ์ตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก และไม่ต้องคิดนาน วิรัลก็ลุกพรวดขึ้น ก่อนจะตรงไปตู้เสื้อผ้าหยิบเสื้อผ้าออกมาเปลี่ยนทันที
“ไปกันเถอะพิชญ์ ถ้าไม่มีอะไรจริง ๆ ก็ดีไป แต่ถ้าเป็นอย่างที่นายสงสัย ขืนชักช้า อาจจะไม่ทันการก็ได้”
วิรัลบอกด้วยแววตาเด็ดเดี่ยวหนักแน่น พิชญ์พยักหน้ารับ แล้วขอตัวไปสั่งความพิชานให้ดูแลที่นี่ และหากธามกับชาครไม่ได้อยู่ในสถานที่ซึ่งเขาคิด และกลับมาก่อน ก็ให้ทั้งคู่รอคอยอยู่ที่คฤหาสน์อย่าไปไหนเด็ดขาด
อีกด้านหนึ่ง คนที่กำลังถูกเป็นห่วง ยังคงนั่งคุกเข่านิ่งต่อหน้าหญิงชราในชุดเสื้อผ้าไหมทอราคาแพง เจ้าหล่อนนั่งพับเพียบเอนพิงหมอนอิง ข้างกายมีหญิงสาวในชุดไทยพื้นบ้านคอยปรนนิบัติอยู่ และทางเข้าออกประตูห้อง มีชายฉกรรจ์ในชุดไทยพื้นบ้านคอยดูแลเฝ้าอยู่เช่นเดียวกัน
“ถึงขนาดดึงพิชญ์เป็นพรรคพวกได้...เธอและลูกน้องของเธอนี่ก็ร้ายกาจไม่ใช่ย่อยนะ”
น้ำเสียงเรียบเฉยเปรยขึ้นอย่างยากจะจับความรู้สึก ธามโค้งศีรษะให้อีกฝ่ายนิด ๆ แล้วจึงเอ่ยตอบ
“คงไม่ถึงกับเรียกว่าพรรคพวกได้เต็มปากหรอกครับ เพราะเขาก็เขม่นผมกับลูกน้องอยู่ออกบ่อย แต่ผมคาดว่าเขาคงจะรับรู้ถึงความจริงใจที่ผมมีต่อวิรัล และเป็นห่วงในความรู้สึกของวิรัล จึงไม่คิดขัดขวางความรักของพวกเราทั้งคู่ที่มีต่อกัน”
เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้นมาจากร่างของหญิงชรา ใบหน้าสูงวัยที่ยังคงมีเค้าความงามในยามสาวแย้มยิ้มมุมปากนิด ๆ แล้วเอ่ยโต้กลับไป
“งั้นถ้าฉันไม่เห็นด้วยกับความรักของพวกเธอ ก็ถือว่าฉันไม่ห่วงความรู้สึกของหลานตัวเองสินะ”
ธามยิ้มที่มุมปาก แล้วจึงตอบกลับไปด้วยท่าทางไม่หวั่นไหว
“ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกครับ ผมเข้าใจดี ว่าการแสดงความรักของญาติผู้ใหญ่ บางทีมันก็มาพร้อมกับความเข้มงวด เพราะด้วยประสบการณ์ในการใช้ชีวิต ก็มักจะทำให้พวกเขามองการณ์ไกลกว่าที่เด็ก ๆ อย่างพวกเราเป็น”
ปาลินี ย่าของวิรัลชะงักเล็กน้อย ก่อนจะแค่นยิ้มออกมา
“รู้จักพูดนะ...แต่ถ้าคิดจะใช้คำยกยอปอปั้นไม่กี่คำ ทำให้ฉันเปลี่ยนใจแล้วล่ะก็ คงต้องบอกว่าเสียใจด้วย”
ธามยิ้มน้อย ๆ ตอบ เขาเองก็พอจะรู้ว่า ย่าของวิรัลคงยอมรับเรื่องของเขาได้ยาก แต่เขาก็ยังคงไม่ยอมแพ้อยู่ดี
“ผมก็คิดว่าแค่เพียงคำพูด คงจะไม่ทำให้ท่านยอมรับเรื่องของผมกับวิรัลง่าย ๆ แน่ ...เพราะฉะนั้นผมจึงมาพิสูจน์ตนเองให้ท่านเห็นว่า ผมนั้นจริงใจกับหลานชายของท่านเพียงใด”
ปาลินีหรี่ตามองชายอ่อนวัยกว่าหล่อนหลายเท่าตรงหน้า ก่อนจะเปรยขึ้นอย่างช้า ๆ
“ดี ...ในเมื่อเธอต้องการจะพิสูจน์ ฉันก็จะให้บททดสอบกับเธอ”
หญิงชราเอ่ยขึ้นพร้อมกับปรายสายตาไปยังคนเฝ้าประตู ทั้งสองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็โค้งรับ แล้วจึงเปิดประตูออก ทำให้ชาครที่รออยู่ด้านนอกแปลกใจ
“เธอกับลูกน้องของเธอ ตามฉันออกไปรอที่ลานกว้างหน้าเรือนแห่งนี้ ...ถ้าพวกเธอสามารถรับมือคนของฉันได้เกินหนึ่งชั่วโมง โดยไม่โต้ตอบและทำร้ายคนของฉันให้บาดเจ็บ ...ฉันถึงจะยอมรับพวกเธอเข้าเผ่ามโค และยอมรับในความจริงใจที่เธอมีต่อหลานชายของฉัน”
ชาครที่ได้ยินคำพูดนั้นกัดฟันกรอด การต้องรับมือนักสู้เผ่ามโค โดยที่โต้ตอบไม่ได้ ก็ไม่แตกต่างอะไรกับการเป็นเป้านิ่งยอมให้อีกฝ่ายรุมซ้อมเอานั่นเอง
“แค่นั้นสินะครับ...แต่ถ้าคนของท่านเกิดพลาดพลั้งทำร้ายกันเองจนบาดเจ็บล่ะครับ จะถือว่าผิดกติกาไหม”
ธามที่ยังคงยิ้มเย็นย้อนถามกลับไป ซึ่งนั่นก็ทำให้หญิงชราอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะเหยียดยิ้มตามมานิด ๆ
“ถ้าเธอสามารถทำได้เช่นนั้น ฉันก็จะถือว่าไม่ผิดกติกา ...แต่ขอบอกไว้ก่อนนะว่า ฉันไม่มีทางออมมือในการทดสอบแน่”
ปาลินีเอ่ยตอบ พร้อมกับยันกายลุกขึ้นช้า ๆ อย่างสง่างาม เธอเดินผ่านธามไปที่ประตูแล้วจึงหันมาบอกชายหนุ่ม
“ตามมาสิ...ทดสอบเสร็จสิ้นเมื่อไหร่ ฉันจะได้พักผ่อนเสียที”
ธามพยักหน้ารับรู้ แล้วยันกายลุกขึ้นเดินตามอีกฝ่าย ทางด้านชาครนั้นรอเจ้านายของตนมาสมทบ แล้วจึงเดินตามชายหนุ่มไปใกล้ ๆ
“ท่านธามแน่ใจนะครับ...ผมคิดว่าทางนั้นคงคัดมาแต่พวกเขี้ยวลากดินเท่านั้นเป็นแน่”
“ช่วยไม่ได้ มาถึงที่นี่แล้ว ฉันไม่ยอมกลับไปมือเปล่าหรอก”
ธามบอกเรียบ ๆ ทำให้ชาครถอนหายใจเบา ๆ
“ถ้าเช่นนั้น ผมจะเป็นโล่ให้ท่านเองครับ”
ธามมองลูกน้องคนสนิทของเขา แล้วจึงยิ้มน้อย ๆ อย่างอ่อนโยนส่งให้
“ขอบใจ...แต่อย่าลืมล่ะว่า เจ้านายคนนี้ของนายเชี่ยวชาญเรื่องอะไรเป็นพิเศษ...อีกอย่างขืนนายบาดเจ็บกลับไป ระวังจะโดนคนที่รออยู่บ้านโน้นแก้เผ็ดเอาคืนเข้าให้นะ”
ชาครชะงัก ก่อนจะยิ้มตอบ พลางแสร้งทำเป็นสั่นศีรษะน้อย ๆ คล้ายระอา จากนั้นชายหนุ่มจึงเอ่ยตามมา
“ถ้าแบบนั้นก็คงแย่ล่ะครับ...เอาเถอะครับ ผมจะดูแลตัวเองและดูแลท่านไม่ให้บาดเจ็บด้วยกันทั้งคู่ ...ถึงแม้มันจะค่อนข้างยากเย็นไปสักนิดก็เถอะครับ”
ธามยิ้มตอบ แล้วตบบ่าคนสนิทเบา ๆ
“นั่นล่ะที่ฉันอยากให้เป็น...”
นายบ่าวทั้งสองต่างยิ้มให้กัน แล้วจึงเดินตามนายหญิงแห่งตระกูลวงศ์หริโณไปเงียบ ๆ ทว่าถ้อยคำสนทนาของทั้งคู่ ก็ล้วนเข้าหูหญิงชราจนหมดสิ้น
ลานหญ้ากว้างเบื้องหน้า บัดนี้มีชายฉกรรจ์สิบนายยืนเรียงหน้าอยู่ แต่ละคนมองปราดเดียวก็รู้ว่าแข็งแรง และค่อนข้างมีฝีมืออยู่มาก
“จะเริ่มกันหรือยัง ...หรือถ้าอยากจะถอนตัวจากการทดสอบ ก็บอกกันได้ทุกเมื่อ”
ปาลินีหันไปถามธาม ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับดัดมือไปมา
“ได้ทุกเมื่อครับ ...คนของท่านพร้อมเมื่อไหร่ ทางพวกผมก็พร้อมเมื่อนั้น”
หญิงชรามองท่าทางเชื่อมั่นนั่นชั่วครู่ แล้วจึงเอ่ยตอบ
“ดี! ถ้าเช่นนั้น ก็เริ่มการทดสอบได้ ...พวกเจ้าจงแสดงฝีมือของนักรบมโคให้เต็มที่ อย่าให้ขายหน้าได้เชียวนะ!”
ปาลินีบอกกับคนของเธอ แล้วให้ข้ารับใช้ข้างกายเริ่มจับเวลา ทางด้านธามและชาคร ค่อย ๆ เดินไปเผชิญหน้ากับผู้คนกลุ่มนั้น ต่างฝ่ายต่างจ้องหน้ากันอยู่ชั่วครู่ และเมื่อมโคตนหนึ่งขยับกาย การเปลี่ยนร่างเพื่อพร้อมต่อสู้จึงเริ่มต้นขึ้นทันที!
พิชญ์ขับรถพาวิรัลมาถึงที่ตั้งถิ่นฐานเดิมของตระกูลวงศ์หริโณในเวลาอันไม่นาน ชายหนุ่มขับรถเร็วเสียจนเกือบจะหวุดหวิดชนกับรถคันอื่นเสียหลายครั้ง โชคดีที่เป็นตอนดึกแล้ว จึงทำให้มีรถน้อยกว่าตอนกลางวันเป็นเท่าตัวนัก
และเมื่อมาถึง ทั้งคู่ก็ตรงไปหาปาลินีทันที แต่ถูกคนเฝ้าประตูเรือนขวางไว้ และรายงานว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้ว
“ท่านย่าหลับ? แล้วก่อนหน้านั้นมีใครต่างเผ่าแวะมาหาท่านย่าหรือเปล่า”
คนฟังชะงักเล็กน้อย เบือนหน้าหลบสายตา แล้วจึงอ้อมแอ้มตอบ
“ไม่มีใครนี่คะ ...”
“...อย่างนั้นหรือ แต่เธอคงรู้ใช่ไหม ว่ามโคที่กล้าโกหกต่อหัวหน้าเผ่าของตน หากถูกจับได้ บทลงโทษที่ได้รับนั้นจะคืออะไร!”
พิชญ์เอ่ยขู่ เพราะอีกฝ่ายมีพิรุธให้เขาสังเกต หญิงสาวผู้นั้นสะดุ้งเฮือก ตัวสั่นเทา แล้วเอ่ยตะกุกตะกักตอบอย่างน่าสงสาร
“ดิฉัน...คือ ....ดิฉัน...ไม่...”
“ไม่อะไร! ไม่รู้อีกอย่างนั้นหรือ แน่ใจนะ ว่าจะพูดแบบนั้นอีก!”
พิชญ์ข่มขู่ แล้วหันไปขยิบตาให้วิรัลปั้นหน้าขึงขังเอาไว้ ทำให้หญิงสาวผู้นั้นกลัวลนลาน ทว่ายังไม่ทันสารภาพความจริง เสียงกระแอมจากใครบางคนบนเรือนก็ดังขึ้นเสียก่อน
“เท่าที่จำได้ ฉันว่าฉันยังไม่มอบตำแหน่งผู้นำเผ่าให้วิรัลสืบทอดต่อ จนสามารถนำไปใช้ข่มขู่ลงโทษคนในเผ่าได้เลยนะ ...ใช่ไหม พิชญ์”
พิชญ์กับวิรัลสะดุ้ง แล้วหันขวับไปทางต้นเสียง วิรัลเม้มปากแน่น แล้วรีบตรงขึ้นเรือนไปหาผู้เป็นย่าทันที
“ท่านย่าครับ! เขาอยู่ไหน! ท่านย่าทำอะไรเขาหรือเปล่า!”
ปาลินีมองท่าทางร้อนรนของหลานชาย แล้วก็เงียบเฉย ก่อนจะหันไปทางพิชญ์ที่เดินขึ้นเรือนมาช้า ๆ และมาหยุดอยู่ข้าง ๆ วิรัล พร้อมกับโค้งทำความเคารพต่อหล่อน
“มาไวจริงนะ... รู้ได้อย่างไรล่ะว่าเป็นที่นี่ สองคนนั่นส่งข่าวไปบอกอย่างนั้นหรือ”
พิชญ์ชะงัก ทว่ายังไม่ทันตอบ วิรัลก็แทรกขัดขึ้นมาก่อนอย่างตกใจ
“สองคนนั้นอยู่ที่นี่จริง ๆ หรือครับ!”
ปาลินีเบือนหน้ากลับมามองผู้เป็นหลานชาย แล้วจึงเอ่ยขึ้นช้า ๆ
“ถ้าย่าบอกว่าพวกนั้นอยู่ที่นี่จริง แล้วหลานจะทำอย่างไรต่อไปล่ะ”
วิรัลชะงักกึก แล้วจึงเอ่ยถามออกไปอย่างไม่มั่นใจนัก
“ท่านย่าทำอะไรกับพวกเขาหรือเปล่าครับ”
หญิงชรายกยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงย้อนถามกลับไป
“แล้วถ้าย่าทำล่ะ หลานจะทำอะไรกับย่าอย่างนั้นหรือ”
วิรัลชะงักกึก เขาหลบสายตาผู้เป็นย่าชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ
“ผมไม่มีวันคิดร้ายหรือทำร้ายท่านย่าได้หรอกครับ เพียงแต่...”
เด็กหนุ่มเว้นวรรคเล็กน้อย แววตาที่จ้องมองหญิงชราก็กลับพลันเป็นเข้มแข็งจริงจัง อย่างยากที่ผู้เป็นย่าจะเคยได้เห็น
“ถ้าไม่มีคุณธามอยู่บนโลกนี้อีกแล้ว... ก็จะไม่มีผมอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน”
“ท่านวิรัล!” พิชญ์โพล่งขัดขึ้นอย่างตกใจ แม้แต่ปาลินีเองก็ชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เน้นหนักขึ้น
“หลานขู่ย่าหรือ”
วิรัลจ้องตอบ แม้ว่าแต่แรกเขาจะรู้สึกกลัวในการเผชิญหน้า ต่อผู้เป็นย่าที่แสนเข้มงวดมากเพียงใด แต่ความเป็นห่วงในตัวธามมันมากกว่าหลายเท่านัก และกลบความกลัวของเขาก่อนหน้านั้นจนแทบหมดสิ้น
“ผมไม่เคยคิดขู่ท่านย่าครับ แต่สิ่งที่ผมพูดมานั้น ผมจะทำจริง ๆ”
หญิงชราเงียบไปสักพัก แววตาของหลานชายของเธอยังคงไม่สั่นคลอนหรือหวั่นไหวใด ๆ ให้เห็น เสียงลมหายใจผ่อนยาวแผ่วเบา จากนั้นน้ำเสียงราบเรียบจึงเอ่ยย้อนถามกลับไปอีกครั้ง
“แล้วถ้าย่าบอกว่าจะตัดความสัมพันธ์ย่าหลานกัน หากหลานยังคงเลือกเขาล่ะ”
วิรัลชะงักเช่นเดียวกับพิชญ์ เพราะดูเหมือนว่าเรื่องมันจะลุกลามใหญ่โต เกินกว่าที่พวกเขาเคยคาดคิดไว้เสียแล้ว ทว่าสำหรับวิรัลยามนี้ คำตอบเฉพาะหน้าของเขา ก็ยังคงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
“...หากท่านย่าต้องการเช่นนั้นจริง ผมก็คงไม่มีทางเลือก...สำหรับผมนั้น ไม่ว่าท่านย่าจะตัดสินใจเช่นไร ท่านย่าก็คือคนที่ผมจะให้ความเคารพนับถือไปตลอดชีวิต”
ปาลินีจ้องมองหลานชายนิ่ง เพราะคำพูดแฝงความนัยนั้น มันแสดงถึงทางที่วิรัลเลือกเป็นอย่างดี
“หลานเลือกเขามากกว่าสินะ”
วิรัลฝืนยิ้ม แล้วจึงเอ่ยความในใจอันแท้จริงของเขาให้ผู้เป็นย่าได้รับรู้
“ผมอยากเลือกทั้งสองฝ่าย ...แต่ถ้าท่านย่าไม่อาจจะยอมรับความรักของพวกเราได้ ...ผมก็จำต้องเลือกเพียงหนึ่งเท่านั้น”
วิรัลหยุดจ้องหน้าหญิงชราสักครู่ แล้วจึงเอ่ยต่อตามมา
“ท่านย่าแม้จะขาดผม แต่ก็ยังมีญาติพี่น้องและบริวารอีกมากมาย ...แต่คุณธามไม่มีใครอีกแล้ว เขาต้องกลายเป็นกบฏของเผ่าวกะ ก็เพราะเขารักผม และเลือกผม ...เพราะฉะนั้นผมจะตอบแทนความรักของเขา โดยการอยู่เคียงข้างเขาไปตลอดชีวิตที่เหลือนี้ครับ”
ปาลินียังคงจับจ้องมองตาหลานชาย ตลอดเวลาที่อีกฝ่ายสนทนากับเธอ และเมื่อวิรัลพูดจบ หญิงชราก็เบือนหน้าหนี แล้วหันหลังให้
“ถ้าหลานเลือกเช่นนี้ ย่าก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก”
วิรัลใจหายวูบ ก่อนจะพยายามตั้งสติให้เข้มแข็ง แล้วถามอีกฝ่ายกลับไป
“แล้วคุณธาม...”
ปาลินีไม่ตอบ แต่กลับเรียกคนรับใช้ให้พาวิรัลไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง แต่พอพิชญ์จะตามไปด้วย หญิงชราก็รั้งเขาเอาไว้เสียก่อน
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ...พิชญ์”
พิชญ์ชะงัก ชายหนุ่มเหลือบมองวิรัลอย่างเป็นห่วง แต่พอเห็นวิรัลยิ้มน้อย ๆ แล้วพยักหน้ายืนยันว่าเขาดูแลตัวเองได้ พิชญ์จึงหันมาทางหญิงชรา พร้อมกับพยักหน้าตอบรับคำ
“ได้ครับท่าน...”
… TBC …
อ่านมาได้ 18 ตอนแล้ว มีใครคิดว่าน่าจะเปลี่ยนชื่อให้เข้ากับเนื้อเรื่องมากกว่านี้มั่งเอ่ย ลองช่วยแนะนำชื่อมาให้หน่อยก็ดีนะคะ พอดีตอนที่คิดเขียนแต่แรก ตั้งใจจะเขียนเป็น แนวจำเลยรัก แต่ไป ๆ มา ๆ มันเปลี่ยนแนวได้เองเสียอย่างนั้น ชื่อเรื่องกับแนวมันก็เลยไม่ค่อยตรงกันเท่าไหน่นั่นเอง --...