ในที่สุดก็มาถึงตอนสุดท้ายแล้วค่ะ พรุ่งนี้จะโพสบทสรุปปิดท้ายนะคะ
ส่วนตอนพิเศษ ยังไม่ได้เริ่มปั่นเลยค่ะ แต่ตั้งใจว่า จะเริ่มปั่นตอนพิเศษสักตอนสองตอน แล้วจะเปิดจองนิยายเรื่องนี้ตามมาค่ะ
กำลังลังเลเหมือนกัน เพราะตอนนี้ใกล้ 300 หน้า(เอห้า) / เล่มแล้ว แต่ปัดอยากเขียนตอนพิเศษ ยาว ๆ เหมือนกัน อาจจะเป็นคู่คุณพ่อเวทิต หรือคู่ ของพิชญ์ ชาคร อะไรแบบนี้เป็นต้น เพราะตอนพิเศษหลังสงบสุขแล้ว มันมีเรื่องอะไรให้เขียนสบาย ๆ ได้อีกเยอะทีเดียว (แน่นอนเน้นหวานกระจาย)
แต่ถ้าไม่เน้นตอนพิเศษมากมายนัก ก็อาจจะได้แค่เล่มเดียวจบหนา ๆ 400 กว่าหน้า ก็ได้ -- อันนี้ก็ต้องลองปั่นดูกันก่อนล่ะนะคะ ว่ามันน่าจะงอกมาได้สักกี่หน้า
อ้อ! สำหรับคนที่อ่านได้เฉพาะในบอร์ด หรือไม่ต้องการซื้อทำมือ ปัดก็ไม่ได้ทิ้งนะคะ เดี๋ยวจะเอาตอนพิเศษ มาให้อ่านอยู่ดีค่ะ อยากอ่านคู่ไหนเป็นพิเศษก็แจ้งมานะคะ จะได้คัดเลือกมาลงบอร์ดให้อ่านจ้ะ ยังไงทุกเรื่องที่ปัดแต่ง ปัดก็ลงตอนพิเศษให้นักอ่านอ่านเสมออยู่แล้วล่ะค่ะ ไม่ต้องห่วงจ้ะ ----------------------------------------
/27
การสู้รบระหว่างอมนุษย์ด้วยกันในครั้งนี้ หากมีแต่เผ่าครุโฬและเผ่านากาเพียงสองเผ่า ก็คงสูสีน่าดูชม ถึงแม้จะมีรูปลักษณ์ที่แตกต่าง ทว่ากลับไม่ได้ทำให้ใครได้เปรียบเสียเปรียบสักเท่าใดนัก แม้พวกนากาจะใช้การรัดอันทรงพลังเป็นการโจมตี ทว่าพวกครุโฬก็อาศัยความว่องไว และปีกที่สามารถบินได้ หลบหนี รวมไปถึงร่อนโฉบเฉี่ยวกรงเล็บตวัดใส่นักรบนากาได้แผลไปหลายราย เฉกเช่นเดียวกับที่พวกนากาเมื่อรัดศัตรูได้เมื่อใด ก็ยากที่จะมีใครรอดชีวิตไปได้เช่นกัน
ทว่าด้วยจำนวนที่เสียเปรียบ และความแข็งแกร่งของเผ่าวกะรวมไปถึงบรรดาเหล่ามโคที่มาช่วยเสริม ทำให้เผ่าครุโฬในที่สุดก็ต้องยอมจำนนแก่เผ่าพันธมิตรทั้งหลาย โดยภูธิปที่พ่ายแพ้ต่ออุรคอีกครั้ง นั่งชันเข่านิ่งอย่างหมดกำลัง ทว่านัยน์ตานั้นยังลุกโชนไปด้วยศักดิ์ศรีที่ไม่มีวันจางหาย
“สังหารข้าเสียสิ! เจ้าชนะแล้วนี่!”
อุรคมองคนตรงหน้านิ่ง แล้วนึกชื่นชมต่อฝีมือที่พัฒนาขึ้นของภูธิปจนตัวเขาเองแทบจะต้านทานการโจมตีอันรุนแรงนั่นไม่ไหว อาศัยประสบการณ์ชีวิตที่อยู่มานานมากกว่า จึงทำให้เขาสามารถสยบอีกฝ่ายลงได้ รวมไปถึงเรื่องขวัญกำลังใจที่ถูกบั่นทอน ยามลูกน้องของตนต้องพ่ายแพ้กับเผ่าอื่น ๆ ก็ทำให้ภูธิปมีสมาธิไม่มั่นคงในช่วงท้ายของการต่อสู้นัก
“ไม่ดีกว่า ...ขืนฆ่าเจ้าเสีย ในอนาคตก็คงไร้เรื่องสนุกเป็นแน่”
อุรคเปรยขึ้น ทำให้คนในเผ่าอื่นพากันชะงักและตื่นตระหนกต่อการตัดสินใจของอีกฝ่าย ยกเว้นพวกนากาที่คุ้นชินต่อนิสัยเช่นนี้ของผู้เป็นประมุขเสียแล้ว
“ถ้าไม่ฆ่าข้า หากข้าฟื้นตัวเมื่อใด ข้าจะกลับมาโจมตีเจ้าอีกแน่!”
ภูธิปกระชากเสียงตอบ แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ
“ถ้าถึงตอนนั้นเจ้ายังมีชีวิตยืนยาวอยู่ ก็จงมาได้ทุกเมื่อ ข้าจะรอเป็นคู่มือให้เจ้าเอง ...ไม่ต้องกังวลนะ อายุขัยของข้า มีมากกว่าพวกเจ้าหลายเท่านัก”
ภูธิปกัดฟันกรอด เขามองไปยังลูกน้องที่บาดเจ็บซึ่งเหลือแทบไม่ถึงครึ่งที่ยกมา แล้วจึงตวัดสายตาไปมองอุรคอีกครั้ง
“...เจ้าจะปล่อยพวกข้าไปจริงเช่นนั้นหรือ”
“ข้าพูดคำไหนคำนั้น...อ้อ ไม่ต้องกลัวพวกนั้นจะตลบหลังเล่นงานล้างเผ่าพวกเจ้า ...ถ้าข้าไม่อนุญาต พวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์ หรือถ้าใครมีปัญหา ก็ก้าวออกมา ข้าเองก็ยังไม่หมดแรงนักหรอกนะ”
ทัพพันธมิตรต่างพากันกลืนน้ำลายลงคอเมื่อได้ยินคำพูดของอุรค ทางด้านพิชญ์เองก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะนิสัยของเผ่านากา โดยเฉพาะตัวประมุขนั้น แทบไม่ผิดแผกจากที่เขาเคยได้ยินคำล่ำลือมา ในเรื่องที่ว่ามีนิสัยประหลาดและยากจะอ่านใจได้ โชคดีที่ตอนนี้อีกฝ่ายเลือกอยู่ข้างพวกเขา ถ้าเป็นศัตรูกัน ก็คงเป็นศัตรูที่น่ากลัวเป็นแน่
“ก็ได้...แล้วถ้าข้าฟื้นตัวเมื่อไหร่ ข้าจะไปจัดการกับเจ้าอีกแน่นอน!”
ภูธิปรับคำ เพราะหากเขายังคงดื้อดึง ไม่เพียงแค่เขา แต่ลูกน้องของเขาที่รอดตาย ก็อาจจะถูกรุมสังหารหมดสิ้น และพวกที่เหลืออยู่ในเผ่าก็จะได้รับอันตรายตามมาภายหลัง
อุรคหัวเราะตอบรับ แล้วสั่งให้ลูกน้องของตนแหวกทางให้พวกครุโฬออกไป แม้จะมีบางคนในทัพพันธมิตรไม่พอใจ และโกรธแค้นอยากไล่ล่าสังหารเผ่าครุโฬให้สิ้นซากสักเพียงใด ทว่าก็ทำได้เพียงแค่เก็บความแค้นนั้นไว้ เพราะว่ากันตามจริงหากไม่ได้เผ่านากามาช่วย มีหวังพวกเขาก็คงกลายเป็นซากศพ นอนถมทับพื้นดินกันไปนานแล้ว
“พาคนเจ็บไปรักษา ส่วนใครที่ยังแข็งแรงอยู่ เดี๋ยวช่วยขุดหลุมฝังคนตายด้วย ...ไม่ต้องแยกมิตรหรือศัตรู แต่ฝังให้หมดทุกคน เข้าใจนะ!”
พิชญ์ออกคำสั่งกับพวกมโค ส่วนวกะที่เหลือก็มีท่าทางลังเล เพราะยังไงก็เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน ทว่าพวกเขาก็ต้องชะงัก เมื่อปุริมตะโกนสั่งการขึ้นบ้าง
“ช่วยพวกมโคขุดหลุมฝังศพ แล้วไปเรียกพวกผู้หญิงมาช่วยดูแลคนเจ็บของทั้งทางฝั่งเราและพวกมโคด้วย .... ส่วนพวกคุณถ้าไม่รังเกียจก็ขอเชิญไปยังสถานที่ของพวกเราเถอะ ที่นั่นอยู่ใกล้แค่นี้ แถมด้านเครื่องมือแพทย์ในนั้นก็มีพร้อม ส่วนแพทย์ที่รักษา คนของเราก็มีทักษะแพทย์อยู่หลายราย”
ปุริมหันมาสนทนากับพิชญ์และปาลินี ส่วนวิรัลนั้นมองธามที่บาดเจ็บ แล้วเอ่ยถามปุริมด้วยความเป็นห่วงในตัวคนรัก
“มีใครกรุ๊ปเลือดเดียวกับคุณธามหรือเปล่าครับ เขาเสียเลือดไปมาก ต้องได้รับการถ่ายเลือดนะครับ”
ปุริมยิ้มน้อย ๆ ให้กับกวางทองตรงหน้า พร้อมกับเอ่ยตอบ
“เขาเป็นลูกชายฉัน เพราะฉะนั้นเลือดของฉันก็พร้อมมอบให้เขาอยู่แล้วล่ะ เธอไม่ต้องกังวลหรอก”
วิรัลถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นทั้งวกะและมโคก็ร่วมมือกันช่วยเหลือเรื่องคนเจ็บและคนตาย ส่วนพวกนากานั้นขอตัวกลับเลย โดยไม่คิดอยู่พักผ่อน เพราะประมุขเผ่านากาอ้างว่ามีธุระสำคัญในเผ่ารอคอยอยู่ แต่ก็บอกว่ายินดีเป็นพันธมิตรให้เสมอ ถ้าวกะและมโคยังคงร่วมมือกันเช่นนี้ต่อไป
“เขาบังคับพวกเราทางอ้อมสินะ เจ้าประมุขเผ่านากานั่นน่ะ”
ปาลินีเปรยขึ้นหลังจากที่พวกอุรคจากไปแล้ว ทางด้านพิชญ์นั้นพยักหน้านิด ๆ แต่หันไปลอบยิ้ม เพราะคนที่เสนอความเห็นเช่นนั้น ก็คือเขานั่นเอง เพราะเขาอยากเห็นธามกับวิรัลมีความสุขอย่างแท้จริง เนื่องจากเขานั้นรู้ดีว่า ถึงปากจะบอกตัดขาด แต่สำหรับธามกับชาครก็ยังคงเห็นเผ่าวกะสำคัญเสมอ แต่ถ้ายังเป็นศัตรูกันอยู่ ทั้งคู่ก็จะมองหน้าทั้งสองฝ่ายไม่ติดนัก เพื่อเป็นการตัดปัญหา ก็สู้ร่วมมือเป็นพันธมิตรกันเสียเลยน่าจะดีกว่า
“แต่ผมว่าก็ดีนะครับ และคิดว่าจะเจรจาจริงจัง ทำเป็นลายลักษณ์อักษร ต่อจากนี้ ...ถ้าทางคุณจะไม่ถือสาต่อความผิดเมื่อครั้งอดีตที่ผ่านมา”
ปุริมเอ่ยขึ้นบ้าง ซึ่งปาลินีก็เหลือบมอง ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ
“ฉันมันก็แค่สมาชิกในเผ่า เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของประมุขคนปัจจุบันจะตัดสินใจ ....แต่ฉันคิดว่า พอจะรู้คำตอบล่วงหน้าอยู่แล้วล่ะนะ”
ปาลินีมองหลานชายที่เดินตามชาครที่อุ้มธามไปต้อย ๆ แล้วยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก และเมื่อถึงสถานที่มั่นของเผ่า แต่ละฝ่ายก็ต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อนรักษาตัว โดยพวกมโคเองก็ได้รับการต้อนรับขับสู้อย่างดีจากเผ่าวกะ จนต่างฝ่ายต่างเริ่มรู้สึกดี ๆ ต่อกันขึ้นมาบ้าง
และเมื่อเวลาผ่านไปสักพัก วิรัลก็ติดต่อไปทางตรัณว่า สถานการณ์ทางนี้คลี่คลายเรียบร้อย ส่วนม่านฟ้าที่รู้เรื่องก็บ่นใส่วิรัลจนเด็กหนุ่มหูชา และถูกบังคับให้สัญญาว่า จะไม่ทำอะไรพลการโดยไม่บอกกล่าวกันแบบนี้อีก
จากนั้นพออาการของธามพ้นขีดอันตราย วิรัลก็ขอตัวรับธามกลับไปดูแลที่เผ่าต่อ ซึ่งปุริมเองก็อนุญาต และบอกกับลูกชายว่า จากนี้ไปธามกับชาครพ้นโทษกบฏแล้ว และสามารถกลับมาเผ่าได้ทุกเมื่อ หากทั้งคู่ต้องการ
ภาพพื้นเพดานสีขาว ในห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ และมีเวรยามวกะเฝ้าอยู่ด้านนอกอย่างหนาแน่น ทำให้คนที่นอนรักษาตัวอยู่บนเตียงและลืมตาตื่นขึ้นขมวดคิ้วอย่างนึกประหลาดใจ ก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าคุ้นเคยเข้ามาใกล้ พร้อมกับประตูที่ถูกเปิด
“พิภพ ฟื้นแล้วหรือลูก!”
ปุริมอุทานอย่างยินดี แล้วตรงเข้ามาดูแลอาการของลูกชายใกล้ ๆ
“พ่อ....”
พิภพพึมพำเบา ๆ เขานิ่งเงียบไปสักพัก จนปุริมเป็นห่วง
“เป็นอะไรไปพิภพ เจ็บตรงไหนหรือลูก”
พิภพไม่ตอบ แต่กลับจ้องหน้าอีกฝ่าย แล้วเอ่ยถามกลับไป
“พ่อช่วยผมไว้ทำไม...ผมทรยศต่อเผ่านะ...ทำไมไม่จับไปขัง หรือฆ่าทิ้งเสียล่ะ”
ปุริมชะงัก ก่อนจะลูบเส้นผมของบุตรชายคนโตอย่างอ่อนโยน
“พิภพ...พ่อไม่ใช่ประมุขของเผ่าแล้วนะ ...จำได้ไหม พ่อหมดวาระการเป็นประมุขของเผ่าไปตั้งแต่วันนั้น ...เพราะฉะนั้น ในฐานะพ่อ พ่อจะไม่มีวันยอมให้ใครพรากลูกไปจากพ่อเด็ดขาด ต่อให้ต้องถูกลงโทษ หรือต้องรับโทษแทนก็ตาม”
พิภพเงียบกริบ เขาเมินหน้าหนีไปอีกทาง ไม่ยอมสบตากับปุริม ทว่าปุริมเองก็เข้าใจความรู้สึกของชายหนุ่มตอนนี้ เขาลูบศีรษะอีกฝ่ายแผ่วเบา แล้วจึงเอ่ยกับลูกชายของตน
“ต่อแต่นี้ไป พ่อจะขอแก้ตัวกับลูก จะใช้เวลาที่เหลืออยู่ทั้งชีวิต เป็นพ่อที่ดีของลูก...ลูกจะให้โอกาสกับพ่ออีกครั้งได้ไหม พิภพ”
พิภพไม่ตอบ หากแต่ร่างของเขาสั่นเทิ้ม และมีเสียงสะอื้นออกมานิด ๆ ปุริมมองบุตรชายคนโตนิ่ง เขาไม่พูดอะไร เพียงแต่ลูบศีรษะอีกฝ่ายไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งกฤตเข้ามา
“ท่านประมุข...ง่า ผมหมายถึงท่านรักษาการประมุขน่ะครับ”
กฤตรีบแก้คำพูดใหม่ เพราะปุริมจ้องเขามาด้วยแววตาดุ ๆ ด้วยเกรงว่าพิภพจะเข้าใจเขาผิดอีก
“ท่านผู้คุ้มกฎแต่ละท่าน บอกว่าอยากปรึกษาเรื่องตำแหน่งประมุขของเผ่า กับท่านรักษาการ เพราะจะให้ปล่อยว่างแบบนี้ ก็คงไม่ดีนัก”
ร่างของพิภพชะงักเล็กน้อย แล้วจึงนิ่งเฉยตามมา ทำให้ปุริมถอนหายใจยาว ก่อนจะเอ่ยกับกฤตเรียบ ๆ
“ไปเรียกพวกนั้นมาคุยในห้องนี้ เพราะฉันกำลังดูแลลูกชายของฉันอยู่ ...ถ้าไม่ยอมมา ก็บอกให้หาคนรักษาการประมุขคนใหม่แทนแล้วกัน”
กฤตยิ้มกว้างอย่างดีใจแทนผู้เป็นนาย เขารีบรับคำ พร้อมกับวิ่งไปบอกตามที่ปุริมสั่ง ส่วนพิภพนั้นนิ่งอึ้งกับการตัดสินใจของบิดา และเงียบไปสักพักใหญ่ ใบหน้าคมเข้มเคร่งขรึมลงคล้ายดังจะตัดสินใจอะไรบางอย่าง ก่อนจะพึมพำออกมาติดขัดเล็กน้อย
“...พ่อ...เรื่องการตายของน้ามธุรา...กับแม่ของธาม...ผม...”
ปุริมชะงักกึก พลางมองบุตรชายที่หันมาสบตากับเขาด้วยแววตาหวาดหวั่น แล้วจึงถอนหายใจยาว ราวดังจะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไร เขาเลื่อนมือวางที่ไหล่ของบุตรชาย รับรู้ถึงอาการสะดุ้งนิด ๆ ของร่างนั้น ก่อนที่มือใหญ่จะบีบบ่าของร่างบนเตียงเบา ๆ อย่างอ่อนโยน
“ทุกคนต้องเคยทำผิดพลาดกันทั้งนั้นล่ะพิภพ...แต่ถ้าทำผิดลงไปแล้ว จะเลือกแก้ไข หรือจะเลือกโทษตัวเอง โดยไม่คิดทำอะไร มันก็แล้วแต่คนผู้นั้นจะเลือก... แต่พ่อเชื่อนะพิภพ ว่าคนฉลาดอย่างลูก จะต้องรู้แน่ ว่าควรเลือกทางไหน”
พิภพนิ่งอึ้งสักพัก ก่อนจะโต้แย้งกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“แต่โทษของผม...มันไม่สมควรที่จะได้รับการอภัยง่าย ๆ”
ปุริมถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงลูบศีรษะของอีกฝ่ายค่อย ๆ
“... การตายหนีปัญหามันเป็นเรื่องง่ายก็จริง ...แต่ลูกไม่คิดหรือว่า นั่นมันเท่ากับลูกได้ทำร้ายคนที่เขาเห็นลูกเป็นสิ่งสำคัญ อย่างเช่นพ่อนี่ไงล่ะ...”
พิภพนิ่งอึ้ง แล้วเม้มปากน้อย ๆ กลั้นสะอื้นเอาไว้ ทว่าสิ่งที่บิดาพูดต่อมา ก็ทำให้เขาถึงกับเบิกตาด้วยความตกตะลึง
“พิภพ... ธามน้องชายของลูกฝากอโหสิกรรมมาให้แล้ว... ถ้าลูกสำนึกผิดจริง ลูกก็ควรทำในสิ่งที่ถูกที่ควรหลังจากนี้ เพื่อชดใช้ในสิ่งที่ลูกได้ทำลงไป ตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ของลูก...”
พิภพน้ำตาไหลซึมแล้วพยักหน้ารับรู้ จากนั้นสักพักพวกผู้คุ้มกฎอาวุโสก็เข้ามาในห้อง และปรึกษาถกเถียงกัน ถึงความเหมาะสมของสมาชิกแต่ละรายที่เสนอชื่อมาเป็นประมุขคนใหม่ เพราะพิภพเองแม้จะได้รับการอภัยโทษ แต่ก็มีความผิดติดตัว ทำให้ไม่สามารถรับตำแหน่งประมุขได้อีก แถมยังถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ภายในหุบเขาของเผ่าแห่งนี้ตลอดชีวิตอีกด้วย
ส่วนลูกน้องของพิภพแต่ละคน ล้วนต่างได้รับการอภัยโทษเช่นกัน เพราะถือว่ากระทำตามคำสั่งผู้เป็นนายเท่านั้น แถมยังมีความดีที่ช่วยเหลือเรื่องปล่อยตัวประกันอีก จึงทำให้ทุกคนสามารถกลับมาทำงานในเผ่าได้ตามเดิม
การประชุมทำท่าจะยืดเยื้อออกไปอย่างหาข้อสรุปไม่ได้ ทว่าพิภพก็ได้ขออนุญาตบิดาและผู้คุ้มกฎอาวุโสทั้งหลาย เสนอความเห็นของเขาบ้าง ชายหนุ่มได้แจกแจงรายละเอียดและคุณสมบัติ รวมไปถึงความสามารถต่าง ๆ ของว่าที่ประมุขแต่ละคนแบบเจาะลึก เนื่องจากเขาสามารถจดจำข้อมูลของวกะคนสำคัญในเผ่าได้แทบทั้งหมด ข้อมูลของพิภพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาในครั้งนี้มาก และนั่น จึงทำให้พวกเขาสามารถคัดเลือกคนที่จะมาดำรงตำแหน่งประมุขได้สำเร็จในที่สุด เหลือก็เพียงเรียกเจ้าตัวมาทดสอบสัมภาษณ์ปฏิภาณ ไหวพริบ และทัศนคติที่มีต่อเผ่าเท่านั้น
ในขณะที่เผ่าวกะกำลังประชุมคัดเลือกผู้นำคนใหม่ของเผ่า อีกด้านหนึ่งพวกมโคที่ไปออกรบ ต่างก็กลับมาทำงานขยันขันแข็งกันยิ่งกว่าปกติ เพื่ออุดรอยโหว่ของเพื่อนพ้องในตระกูลที่เสียชีวิตไป ส่วนพวกที่ยังบาดเจ็บอยู่ ก็ถูกคำสั่งเด็ดขาดให้พักฟื้น ห้ามแอบมาทำงานกันเด็ดขาด โดยผู้ออกคำสั่งก็คือประมุขของเผ่านั่นเอง
“คุณธาม! อีกแล้วนะครับ! ถ้าคุณยังแอบทำงานแบบนี้ ต่อไปผมจะให้พิชญ์มาเป็นเลขาคุณแทนชาครนะ!”
ธามถอนหายใจเฮือกใหญ่กับบทลงโทษที่ได้ฟัง ส่วนชาครลอบยิ้ม เพราะรู้ว่าเจ้านายของเขา ก็แพ้ทางพิชญ์อยู่ใช่น้อย
“ก็ได้ ๆ ไม่ทำแล้ว จะไปพักเดี๋ยวนี้ล่ะ... แต่นอนคนเดียวก็เหงานี่ อยากหาคนนอนเป็นเพื่อนด้วยน่ะ”
วิรัลสั่นศีรษะอย่างระอา เพราะว่าเขานั้นยังคงแข็งแรงดี จึงต้องขยันทำงานแทนพรรคพวกที่บาดเจ็บ แต่คนรักแสนอ้อนของเขา ก็พยายามจะให้เขาอู้งานอยู่เรื่อย แถมถ้าเขาไม่ยอม เผลอ ๆ เจ้าตัวก็จะแวบเข้ามาช่วยงานเขาเป็นระยะแทน
“ผมนอนเป็นเพื่อนแทนท่านวิรัลดีไหม เผื่อคุณอาจจะนอนหลับพักผ่อนได้เต็มที่กว่าเดิมก็ได้”
พิชญ์แกล้งแหย่ แต่ทำให้ธามนั้นสะดุ้ง แล้ววิรัลหัวเราะเบา ๆ ส่วนชาครนั้นอมยิ้ม ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อธามเอ่ยตอบกลับมา
“ไม่ล่ะ ฉันกลัวชาครจะโกรธเอา ที่นอนใกล้ชิดหวานใจของเขาเข้า”
พิชญ์ชะงัก หน้าแดงระเรื่อ ส่วนชาครทำเป็นไม่รู้ไม่สน และวิรัลเบิกตาอย่างตื่นเต้น
“ตกลงพวกนายคบกันจริง ๆ หรือพิชญ์ ว้าว! วิเศษไปเลย ทั้งสองคนเหมาะสมกับมากเลยล่ะ!”
วิรัลบอกแล้วยิ้มกว้าง ทำให้พิชญ์กระแอมถี่ ๆ แล้วรีบปฏิเสธยกใหญ่
“เข้าใจผิดแล้วครับ! คุณธามก็เหมือนกัน เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ คนอื่นมาได้ยินเข้า แล้วเอาไปพูดผิด ๆ ผมเสียหายนะ! นายก็เหมือนกัน แก้ตัวแทนกันบ้างสิ!”
พิชญ์พาลไปทั่ว ทำให้แต่ละคนอมยิ้ม สำหรับวิรัลเริ่มมั่นใจแล้วว่าพิชญ์นั้นคงมีใจให้กับชาครจริง ๆ เพราะความห่วงใย อ่อนโยน ที่มักจะมีให้กับเขา เดี๋ยวนี้ชายหนุ่มก็เริ่มปฏิบัติกับชาครบ่อยครั้ง โดยที่พิชญ์เองก็ไม่ทันรู้ตัวนัก
“เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว! มาพูดเรื่องเซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรกับเผ่าวกะแทนดีกว่า อาทิตย์หน้าเราต้องคัดเลือกส่งตัวแทนฝ่ายตระกูลของเราไป ทางตระกูลพงศ์พิสุทธิ์ ท่านตรัณเสนอตัวเองไป ส่วนตระกูลอื่น ก็เห็นว่าจะส่งผู้นำบ้าง ทายาทบ้างไปร่วมในการเซ็นสัญญาด้วย ส่วนทางตระกูลของเรา ท่านวิรัลและคุณก็ต้องไปในฐานะตัวแทน ส่วนฉันกับนายก็เป็นผู้ติดตาม ตกลงตามนี้นะ”
พิชญ์เปลี่ยนเรื่องสนทนาแล้วบังคับธามกับชาคร ที่ยังคงมีท่าทางลังเล
“แต่พวกเราไม่ใช่คนของเผ่ามโคนะ จะให้ร่วมเป็นตัวแทนของฝั่งนี้จะดีหรือ”
ชาครเอ่ยแทนผู้เป็นนาย ทำให้พิชญ์ขมวดคิ้วยุ่ง แล้วโพล่งใส่
“บ้ารึ! ป่านนี้ยังจะมาพูดแบบนี้อีก ถ้ายังไม่ถอนคำพูด ฉันจะโกรธจริง ๆ นะ!”
วิรัลอมยิ้มน้อย ๆ แล้วสวมกอดคนรักที่ทำหน้าลังเล ก่อนจะเอ่ยขึ้นบ้าง
“คุณเคยพูดไม่ใช่หรือครับว่า เราเป็นครอบครัวเดียวกัน เพราะฉะนั้นก็อย่าคิดเล็กคิดน้อยเลยครับ ลองพิชญ์บอกว่าได้ ก็ไม่มีใครในเผ่ามโคกล้าค้านหรอกครับ”
พิชญ์ชะงักก่อนจะกระแอมเบา ๆ เพราะไม่อยากยอมรับว่าเขามีอำนาจขนาดนั้นเหมือนอย่างที่วิรัลพูดไว้
“โอเค ๆ ขอถอนคำพูด ...ขอโทษนะ”
ชาครบอกแล้วยิ้มน้อย ๆ ทำให้คนฟังชะงักหน้าแดงระเรื่อ แล้วทำเป็นค้อนให้อย่างหมั่นไส้ จนคนอื่นต้องอมยิ้ม
“ว่าแต่ทางฝั่งนั้น คงต้องหาประมุขใหม่แทนพี่ชายคุณสินะ ...อ๊ะ”
วิรัลเอ่ยขึ้นก่อนจะชะงัก แล้วพึมพำขอโทษเบา ๆ เพราะเกรงว่าธามจะรู้สึกไม่พอใจ ที่ปุริมไม่ได้ลงโทษพิภพในเรื่องแม่ของธาม อย่างที่ควรจะเป็น
“หึ ๆ ไม่เป็นไรหรอกวิรัล ฉันไม่คิดอะไรเรื่องนั้นแล้วล่ะ อีกอย่างฉันก็ฝากพ่ออโหสิกรรมเรื่องแม่ ให้เขาไปแล้ว”
พิชญ์กับวิรัลมองธามอย่างแปลกใจ เพราะก่อนหน้านั้นธามยังแค้นเคืองเรื่องของมาลุตอยู่เลยด้วยซ้ำ
“ถ้าฉันฆ่าเขา หรือบังคับให้พ่อลงโทษเขาให้ตายตกตามกับแม่ของฉันไป ...มันก็รังแต่จะทำให้พ่อเสียใจเปล่า ๆ เพราะถึงยังไงแม่ก็คงไม่มีวันฟื้นขึ้นมาอยู่ดี ...สู้อโหสิให้แก่กันเสียดีกว่า คนสำคัญของเขาก็จะได้ไม่เสียใจ แล้วเกิดเจ็บแค้น เป็นเวรเป็นกรรมสืบเนื่องกันไปอีกไม่เลิกรา...คนที่ฉันรักและสำคัญกับฉัน ก็จะได้ไม่ต้องมาพลอยโดนลูกหลงจากความแค้นเคืองพวกนี้ไปด้วย”
วิรัลมองคนรักของเขาอย่างซาบซึ้ง ทางด้านธามนั้นมองเด็กหนุ่มแล้วแย้มยิ้มน้อย ๆ อย่างอ่อนโยน
“ที่ฉันคิดได้แบบนี้ เพราะฉันมีเธออยู่เคียงข้างรู้ไหม...เธอทำให้ฉันรู้จักคำว่ารัก เสียสละ และอภัย ...ได้อยู่กับเธอฉันมีความสุข และฉันก็ไม่อยากจะกลับไปเป็นคนที่จมทุกข์อยู่กับความแค้นเหมือนเดิมอีกแล้ว”
วิรัลยิ้มหวานตอบรับอีกฝ่าย ส่วนพิชญ์พอเห็นเจ้านายของตนกับคนรักของเจ้านาย เริ่มที่จะมีบรรยากาศดี ๆ ต่อกัน เขาจึงปลีกตัวออกมาเช่นเดียวกับชาคร แล้วปล่อยให้ทั้งคู่อยู่กันตามลำพัง
หลังออกมาจากห้องแล้ว พิชญ์จึงลงไปเดินเล่นที่สวนหย่อมของคฤหาสน์ ซึ่งชาครก็เดินตามไปด้วย เพราะสังเกตเห็นว่าพิชญ์มีสีหน้าไม่ค่อยสบายใจนัก
“เป็นอะไรไป คิดอะไรอยู่อย่างนั้นหรือ”
พิชญ์ชะงักแล้วจึงหันไปมองชาคร เขาก้มหน้าอยู่สักครู่ แล้วจึงเอ่ยขึ้นเบา ๆ
“ฉันเคยฆ่าพี่ชายเขา ...ทั้งที่ตอนนั้น ฉันก็พอมองออก ว่าเขาให้อภัยหมอนั่นแล้ว ...แต่ด้วยสัญชาตญาณของฉันมันเตือนว่า พี่ชายของเขาเป็นอันตราย และหากปล่อยไว้ ไม่เขาก็ท่านวิรัล ต้องเดือดร้อนอีกแน่... ฉันจึงตัดสินใจสังหารหมอนั่นเสีย ...มาจนถึงตอนนี้ ฉันก็ไม่แน่ใจว่าเจ้านายของนายน่ะ จะโกรธเกลียดฉันบ้างไหม”
ชาครแย้มยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงดึงร่างโปร่งมากอดหลวม ๆ ทีแรกพิชญ์นั้นแข็งขึงและตกใจ ทว่าพอได้รับไออุ่นจากอ้อมกอดของอีกฝ่าย รวมไปถึงรอยยิ้มและมือใหญ่ที่ลูบหลังเขาอย่างอ่อนโยน ก็ทำให้ชายหนุ่มเริ่มโอนอ่อนแล้วซบลงกับอกกว้างของชาครอย่างง่ายดาย
“ท่านธามไม่เคยโกรธนายหรอก เขามีแต่จะขอบคุณนายด้วยซ้ำ...เพราะด้วยสายเลือด แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายอันตรายเพียงใด แต่เขาก็สังหารท่านมาลุตไม่ลง ...ถึงจะชอบวางตัวปั้นปึ่งเย็นชา แต่ท่านธามอ่อนโยนมากนะ เพราะฉะนั้นฉันถึงตัดสินใจจะติดตามรับใช้เขาตลอดชีวิตล่ะนะ”
“อืม...เพราะฉันรู้ว่าเขาก็มีด้านที่ดีอยู่มาก ถึงยอมฝากฝังท่านวิรัลให้เขาดูแลยังไงล่ะ...”
พิชญ์รับคำ แล้วจึงอยู่นิ่งแบบนั้น สักพักเขาจึงเริ่มรู้สึกตัวว่าตนอยู่ในสภาพใด ใบหน้าหล่อเหลาร้อนวูบวาบ ก่อนจะดันกายห่างออกมา โดยคนกอดก็ยอมปล่อยมือออก แม้จะเสียดายอยู่บ้างก็ตาม
“แล้วเรื่องนั้น...เรื่องที่นายเขียนไว้ในจดหมายล่ะ...เรื่องจริงใช่ไหม...หรือว่าเขียนไปแบบนั้นเอง”
ชาครหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นสีหน้าเขินอายของคนตรงหน้า เขามั่นใจไปแล้วเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าพิชญ์มีใจตอบ เพียงแต่คนที่เขารักนั้นค่อนข้างปากแข็งไปสักนิด จึงทำให้เขาต้องเหนื่อยบอกรักไปสักหน่อย
“แน่นอน เวลาเป็นตายแบบนั้นใครจะล้อเล่นกันได้ลงล่ะ ...ถ้าไม่เชื่อจะพูดให้ฟังแทนก็ได้ ...ฉันรัก...”
“เดี๋ยว! อย่าพูดนะ!”
พิชญ์รีบห้าม เมื่อเห็นลูกน้องของเขาสองสามคนเดินผ่านมา และกำลังมองมาทางพวกเขาอย่างสนอกสนใจ
“เจ้าบ้า! ไม่มีความละเอียดอ่อนเลย พวกวกะหยาบคายแบบนี้ทุกคนหรือเปล่าเนี่ย!”
พิชญ์บอกด้วยความอายเต็มที่ ทำให้ชาครถอนหายใจ แล้วจึงจูงมืออีกฝ่ายเดินไปด้วยกัน
“เดี๋ยว! นี่นายจะพาฉันไปไหนน่ะ!”
ชาครหันมายิ้มติดเจ้าเล่ห์ ทำเอาคนถามชะงัก แล้วจึงหน้าแดงตามมาเมื่อได้รับคำตอบ
“ก็พาไปสารภาพรักแบบโรแมนติก ในที่ที่ไม่มีคนแอบดูน่ะสิ”
จากนั้นพิชญ์ก็เดินหน้าแดงตามอีกฝ่ายไปเรื่อย ๆ ด้วยความเต็มใจ โดยไม่คิดขัดขืน เพราะเขาเพิ่งเริ่มรู้ใจตัวเองว่ารักอีกฝ่ายเช่นกัน ก็ตั้งแต่ตอนที่ได้อ่านจดหมายฉบับนั้นของชาครนั่นเอง
... TBC ...