พิภพปล่อยให้ภูธิปกอดเขาอยู่สักพัก จึงขอตัวลงไปอาบน้ำชำระล้างร่างกาย ซึ่งภูธิปก็ตามลงไป และทำท่าจะขอเล้าโลมและร่วมรักกับชายหนุ่มต่อ ทว่าพิภพก็ออกปากห้ามเสียก่อน
“อย่าเลยครับ... ผมออกจากที่พักมานานแล้ว ผมคิดว่าทางนั้นคงเริ่มจะเป็นห่วงแล้วล่ะ อีกสักพักก็น่าจะออกมาตามผมแล้ว ...หากพวกเขาเจอคุณเข้า มันก็คงไม่ดีนัก”
ภูธิปมองอีกฝ่ายอย่างเสียดาย แล้วจึงเอ่ยถามกลับไป
“แล้วฉันจะมาหาเธอได้อีกไหมพิภพ”
พิภพชะงัก เม้มปากน้อย ๆ ก่อนจะเงยหน้ามองคนถาม แล้วเอ่ยออกไปตามตรง
“คุณกลับไปเผ่าของคุณเถอะครับ คุณภูธิป ...เรื่องของพวกเรายังไงก็คงลงเอยด้วยดีไม่ได้หรอกครับ... ต่อให้ผมยอมรับได้ แต่เผ่าวกะของผมคงยอมรับคุณที่ฆ่าพวกพ้องของเราไม่ได้... ก็เหมือนกับคนของคุณ ที่คงตะขิดตะขวงใจ และไม่สามารถยอมรับในตัวผม ที่เป็นศัตรูเช่นเดียวกัน”
ภูธิปเงียบกริบ เขามองเห็นความจริงใจที่แฝงมากับแววตาและสีหน้าของอีกฝ่าย หนุ่มใหญ่ถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงหันหลังกลับ ขึ้นจากแอ่งน้ำตก เดินไปหยิบเสื้อผ้าของตนมาสวมใส่จนเรียบร้อย แล้วเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ กับตัวเอง
“ฉันเข้าใจ ว่าฉันกับเธอ คงอยู่กันแบบคู่รักทั่วไปไม่ได้ ... แต่ขอแค่เธอไม่รังเกียจฉัน แค่นี้ฉันก็พอใจแล้ว ...ส่วนเรื่องแอบมาที่นี่ ขอแค่ไม่ถูกคนในเผ่าของเธอพบตัว ก็ไม่เป็นไรสินะ”
“คุณภูธิป...”
พิภพเรียกชื่ออีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะยืนกรานความคิดของตัวเองอย่างไม่ยอมตัดใจ แล้วจึงเอ่ยตามมา พร้อมกับเบือนหน้าหนีไปอีกทาง
“แต่ผมจะไม่กลับมาพบคุณที่นี่อีกแล้ว...”
ภูธิปเหลือบสายตามามอง ทว่าพอเห็นสีหน้าของพิภพและท่าทางลังเลที่ชายหนุ่มแสดง เขาก็ยิ้มออกมาน้อย ๆ แล้วจึงหันกลับไป พร้อมแสร้งเปรยคุยกับตัวเองโดยไม่สนใจอีกฝ่าย
“ไม่เป็นไร ต่อให้เธอไม่มา ฉันก็จะมานั่งคอยแบบนี้ไปเรื่อย ๆ อืม...แต่ถ้าเป็นตอนกลางวันก็คงไม่สะดวก แถมถ้ามาบ่อย ก็คงโดนพบตัวง่าย ๆ”
พิภพเบือนหน้ากลับมามองคนที่หันหลังให้เขา แล้วจึงชะงักเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยต่อ
“...ถ้าอย่างนั้นฉันจะแวะมาหาเธอในทุกคืนจันทร์เต็มดวงแล้วกันนะ จะมารอเธอตั้งแต่ตอนที่พระจันทร์ขึ้นกลางฟ้า จนกระทั่งมันลับขอบฟ้าไป... ถ้าเธอไม่มาหาฉัน ฉันก็จะรอแบบนี้เรื่อย ๆ ในจันทร์เต็มดวงครั้งหน้า...และพอฉันพ้นจากตำแหน่งประมุข ฉันก็จะมารอเธอที่นี่ในทุก ๆ คืน...”
ภูธิปบอกแล้วจึงหันมายิ้มให้กับพิภพ ทำให้พิภพสะดุ้ง แล้วรีบเบือนหน้าหลบตาหนุ่มใหญ่อีกครั้ง
“ฉันไปล่ะพิภพ... อย่าลืมล่ะ ฉันรักเธอมาก ...ต่อให้เธอไม่รักฉัน และไม่มีฉันอยู่ในใจดวงนั้น แต่ฉันก็ยังคงรักเธอนะ”
ภูธิปเอ่ยจบแล้วจึงเดินหายไปในป่าลึก ทิ้งให้พิภพยืนแช่น้ำนิ่งในแอ่งน้ำตกอยู่พักใหญ่ ก่อนจะรู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงกฤต เรียกขึ้นมาไกล ๆ
“ท่านพิภพ! อยู่แถวนี้หรือเปล่าครับ!”
พิภพชะงัก แล้วจึงรีบขึ้นจากน้ำตก แต่งตัวให้เรียบร้อย โชคดีที่วันนี้เขาใส่เสื้อเชิ้ตมีกระดุมหน้า ชายหนุ่มจึงติดกระดุมปิดร่องรอยที่ภูธิปทำไว้ให้มิดชิดต่อสายตาของลูกน้อง
“ฉันอยู่นี่กฤต ...แวะมาเล่นน้ำเพลินไปหน่อย กำลังจะกลับแล้ว”
เสียงพิภพตอบกลับ ทำให้คนที่เดินมาใกล้ถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วจึงยิ้มรับ เมื่อเห็นผู้เป็นนายเดินออกมา แม้จะแปลกใจกับที่อีกฝ่ายติดกระดุมคอเสื้อมิดชิดไปสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถาม ยิ่งพิภพเดินเร่งฝีเท้านำหน้าไป ก็ทำให้กฤตไม่ได้สังเกตอะไร จนกระทั่งเมื่อถึงที่พัก พิภพจึงสั่งให้คนนำอาหารมื้อกลางวันมาส่งให้เขาที่ห้องนอน ส่วนมื้อเย็นเขาของด เพราะรู้สึกเพลียและอยากพักผ่อนยาวมากกว่า ซึ่งลูกน้องของชายหนุ่มก็รับคำสั่งตามนั้นอย่างไม่สงสัยอันใดนัก
หลายวันถัดมา คืนจันทร์เต็มดวงก็เวียนมาถึงจนได้ พิภพนั้นนั่งเหม่อลอยเกือบทั้งวัน จนปุริมนึกแปลกใจ
“เป็นอะไรไปหรือพิภพ มีเรื่องกลุ้มใจอะไร ก็ปรึกษาพ่อได้นะ”
พิภพที่นั่งเหม่อชะงัก แล้วฝืนยิ้มให้กับผู้เป็นบิดา
“เรื่องไร้สาระน่ะครับพ่อ... เพียงแต่ถึงจะไร้สาระ แต่มันก็ยังรบกวนความคิดอยู่ไม่ยอมหายสักที”
ท้ายประโยคชายหนุ่มพึมพำแผ่วเบา ด้วยแววตาเศร้า ๆ จนคนมองนึกเป็นห่วง
“ถึงจะไร้สาระ แต่ถ้ามันช่วยแบ่งเบาความทุกข์ของลูกชายพ่อได้ พ่อก็ยินดีรับฟังเสมอนะ”
ปุริมเอ่ยขึ้น ทำให้พิภพยิ้มให้บิดาอย่างตื้นตัน ชายหนุ่มพึมพำขอบคุณเบา ๆ แล้วไม่เอ่ยอะไรต่อ ทำให้ปุริมไม่คิดซักไซ้ และคิดว่าหากถึงเวลา พิภพก็คงจะยอมพูดกับเขาเอง
“จริงสิครับพ่อ... ช่อดอกกุหลาบสีขาวช่อใหญ่เมื่อบ่ายนั่น ใครส่งมาให้หรือครับ”
พิภพเปลี่ยนเรื่องคุย ทว่าเรื่องของเขากลับทำให้คนฟังสะดุ้ง แล้วสีหน้าจึงเปลี่ยนเป็นยิ้มเจื่อน ๆ อย่างน่าประหลาด
“คนของอภิคมส่งมาให้น่ะ ...คงขอบคุณเรื่องที่พ่อช่วยเหลือไว้ในตอนประชุมครั้งก่อนนั้นล่ะนะ”
พิภพขมวดคิ้วนิด ๆ พลางย้อนถาม
“มันไม่ช้าไปหน่อยหรือครับ สำหรับดอกไม้ขอบคุณ พ่อกลับมาหลายวันแล้วนะครับ”
ปุริมกลืนน้ำลายลงคอ แล้วพยายามเบือนหน้ามองไปทางอื่น พร้อมกับอ้อมแอ้มตอบ
“พ่อก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่คนส่งเขาก็ส่งตามหน้าที่ พ่อก็รับมาก็แค่นั้น”
พิภพเพ่งพิจารณาท่าทางแปลก ๆ ชวนให้สงสัยของบิดา แล้วจึงชะงักเมื่อนึกถึงคำตอบบางอย่าง ที่มันแทบจะไม่น่าเป็นไปได้
“หรือว่าพ่อกับอภิคมจะ...”
ชายหนุ่มบอกแค่นั้น แล้วก็เงียบไป ทว่าอาการสะดุ้งของบิดา ก็ทำให้เขาพอจะคาดเดาได้ถึงคำตอบที่แน่ชัดขึ้นมาได้
“คือ...พ่อ....เฮ้อ!”
ปุริมถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วจึงตัดสินใจบอกความจริง เพราะเขามั่นใจว่าพิภพนั้นพอจะคาดเดาเรื่องราวบางอย่างได้บ้างแล้วแน่
“เด็กคนนั้นมาสารภาพรักกับพ่อ... พ่อปฏิเสธไปแล้ว ...แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ และบอกว่าต่อให้พ่อไม่รักเขา ยังไงเขาก็จะขอรักพ่อแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ล่ะนะ ...พ่อเองก็ไม่รู้จะพูดยังไง ปฏิเสธเด็ดขาดก็แล้ว พูดจาเกลี้ยกล่อมก็แล้ว แต่อภิคมเขาก็ยังไม่ยอมเลิกรา ...เห็นทีพ่อคงจะต้องวางตัวเงียบ ๆ แล้วปล่อยให้เขาหมดความหวังไปเองนั่นล่ะ”
สิ่งที่ปุริมบอกทั้งหมด ทำให้พิภพนิ่งอึ้ง พูดอะไรไม่ออก ก็พอเห็นอยู่ว่า อภิคมนั้นค่อนข้างชื่นชมพ่อของเขามานานแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมีเรื่องรักใคร่มาเกี่ยวด้วยเช่นนี้
“ลูกโกรธพ่อไหม ...พ่อเห็นว่ายังไงพ่อก็คงไม่รับรักเด็กคนนั้น จึงไม่อยากบอกให้ลูกกังวลน่ะ”
พิภพจ้องมองบิดาของเขา แล้วจึงยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยตอบ
“ไม่หรอกครับ ดีใจเสียอีกที่ยอมเล่าความจริงให้ฟัง ดีกว่าให้มารู้เองทีหลัง ....ส่วนเรื่องของอภิคม ...พ่อจะปฏิเสธเขาจริง ๆ หรือครับ”
ปุริมชะงัก แล้วจึงตอบกลับไป
“ก็มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วนี่ลูก ...เด็กคนนั้นเป็นประมุขของเผ่า ซึ่งจำต้องมีทายาทสืบสกุล อีกอย่างเขาก็อายุน้อยกว่าธามอีกนะลูก เป็นลูกของพ่ออีกคนได้สบาย ๆ แล้วจะให้พ่อยอมรับเขา พ่อเองก็ทำใจลำบาก”
พิภพนิ่งรับฟัง แล้วหวนคิดถึงเรื่องของตัวเองบ้าง ก่อนจะพึมพำขึ้นมา
“แล้วถ้ามองข้ามปัญหาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอายุ เรื่องที่อีกฝ่ายเป็นประมุขเผ่า หรือแม้กระทั่งเป็นผู้ชายด้วยกัน ...พ่อคิดว่าจะยอมรับอภิคมเขาได้ไหมครับ”
ปุริมมองบุตรชายและนิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะถอนหายใจยาวขึ้นอีกครั้ง
“บอกตรง ๆ นะพิภพ ...พ่อเองก็หวั่นไหวกับความจริงใจของเด็กคนนั้นเหมือนกัน ...แต่พ่อตัดสินใจก่อนหน้านี้แล้วว่า พ่อจะไม่รักใครอีก ...พ่อไม่อยากให้ความรักของพ่อเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูก ๆ ของพ่อต้องเจ็บช้ำอีกต่อไปแล้ว”
พิภพมองบิดาของเขาอย่างรู้สึกตื้นตันและซาบซึ้งใจ ที่อีกฝ่ายคิดถึงเขา จนยอมตัดเรื่องความรักส่วนตัวออกไปจากชีวิต
“ขอบคุณนะครับ ที่ใส่ใจกับผม...แต่ตอนนี้ผมรู้ดีแล้วล่ะครับพ่อ ว่าต่อให้พ่อมีคนสำคัญเพิ่มขึ้นมาอีกสักกี่คน ...ถึงยังไงผมก็ยังเป็นหนึ่งในคนสำคัญของพ่ออยู่ดีไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ...ตัวผมที่เคยโง่เขลาในอดีต ไม่มีอีกแล้วล่ะครับพ่อ ...เพราะฉะนั้นอย่าได้ปิดกั้นตัวเองอีกเลย ผมอยากให้พ่อยอมเปิดใจรับคนที่เขารักพ่อ และพ่อรักเขา ...ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม”
พิภพบอกพลางบีบมือบิดาเบา ๆ ซึ่งก็ทำให้ปุริมนิ่งอึ้ง พูดอะไรไม่ออกไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยบอกกับบุตรชายด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“พิภพ...พ่อดีใจจริง ๆ ที่ลูกคิดเช่นนี้ ....ใช่แล้วล่ะลูก...ลูกน่ะเป็นคนสำคัญสำหรับพ่อ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หรือพ่อจะมีใครเพิ่มเข้ามาในชีวิต แต่ลูกก็ยังเป็นลูกชายคนโตที่สำคัญที่สุดของพ่ออยู่ดี”
ปุริมบอกแล้วดึงร่างบุตรชายมากอดอยู่ครู่ใหญ่ สักพักจึงปล่อยร่างนั้นออก แล้วยิ้มน้อย ๆ ให้อีกฝ่าย
“ส่วนเรื่องของอภิคม พ่อเองยังไม่คิดตัดสินใจอะไรลงไปหรอก...คงต้องรอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์สักระยะ ....และถ้าเขายังมั่นคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ....เมื่อถึงตอนนั้น พ่อก็อาจจะให้โอกาสเขาเข้ามาในชีวิตก็ได้”
พิภพยิ้มตอบบิดา พลางหวนคิดถึงเรื่องของภูธิปกับเขา ชายหนุ่มลอบถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงชวนบิดาคุยถึงเรื่องของอภิคมต่อ จนกระทั่งเวลาเย็นมาถึง
คืนนั้นท้องฟ้าไร้เมฆ พระจันทร์เต็มดวงสาดสว่างกลางท้องฟ้า ร่างสูงใหญ่ถอนหายใจเบา ๆ เมื่อผ่านไปครึ่งค่อนคืน ก็ยังไม่มีร่างของคนที่เขารอคอยปรากฏให้เห็น
“ช่วยไม่ได้... ใครใช้ให้ฉันมาตกหลุมรักเด็กใจแข็งอย่างเธอเข้าล่ะ ...ก็คงต้องทำได้แค่รอเธอใจอ่อนเท่านั้นล่ะนะ”
ภูธิปพึมพำกับตัวเอง เขาหวนคิดถึงใบหน้าเย็นชาหล่อเหล่านั้น แล้วก็ต้องอมยิ้มน้อย ๆ
สำหรับเขาในครั้งแรกที่เจอกัน พิภพอาจจะถูกใจเขา ที่สามารถตอบสนองและเติมเต็มความใคร่ของเขา อย่างที่คนอื่นทำไม่ได้เพียงแค่นั้น ทว่าพอได้สังเกตเห็นแววตาจริงจัง ยามที่อีกฝ่ายคิดวางแผนการ แม้นั่นจะเป็นการกระทำเพื่อหักหลังเขาก็ตาม มันก็ยิ่งชวนให้เขาสนใจในตัวของอีกฝ่ายมากขึ้นไปอีก
...อารมณ์รุนแรงยามผิดหวัง ความดื้อรั้นไม่ยอมแพ้ ความแข็งแกร่งและทรหดอดทนต่อความเจ็บปวด โดยไม่คิดร้องขออ้อนวอน ยามที่ถูกเขาทรมาน...
ทุกสิ่งทุกอย่างในตัวพิภพ กระตุ้นให้เขามีแต่อีกฝ่ายในความคิด จากความเอ็นดูและถูกใจ เริ่มค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นโหยหา จนทำให้เขาต้องพาตัวมาพบชายหนุ่มถึงถิ่นเช่นในยามนี้
“พิภพ...ฉันรักเธอนะ”
เสียงเปรยเบา ๆ กับตัวเอง แม้มันจะแผ่วเบาสักเพียงใด แต่ด้วยเป็นคืนที่เงียบสงัด ไร้เสียงสรรพสิ่งร้อง ด้วยความเกรงกลัวต่อกลิ่นอายของอมนุษย์ผู้แข็งแกร่ง ก็ทำให้คนที่แอบซุ่มมองอยู่ห่าง ๆ ได้ยินเสียงนั้นชัดเจนอยู่ดี พิภพกำมือแน่น ด้วยความรู้สึกปวดแปลบในจิตใจ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในสำนึกต่อสู้กันเองอยู่นาน จนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเดินจากที่แห่งนั้นมา และพยายามไม่หันหลังกลับไปมองอีก
ระหว่างที่พิภพค่อย ๆ เดินห่างออกไป ภูธิปซึ่งนั่งรออยู่เงียบ ๆ ก็ต้องถึงกับชะงัก เมื่อสายลมเริ่มเปลี่ยนทิศ พัดพากลิ่นอายคุ้นเคยเบาบางมาให้สัมผัส เจ้าตัวลุกขึ้นเดินไล่ตามกลิ่นที่ค่อย ๆ จางหายไป ก่อนจะชะงัก เมื่อสังเกตเห็นรอยเท้าค่อนข้างใหม่ ปรากฏอยู่บนผืนดินเปียกชื้นแถวนั้น
“เด็กไม่ดี... นี่เธอจงใจจะทำให้ฉันหลงเธอมากกว่านี้ จนแทบบ้าไปเลยหรือไงกันนะ”
ภูธิปพึมพำพลางแย้มยิ้มน้อย ๆ กับตนเอง แม้พิภพจะไม่ยอมออกมาพบเขา แต่การที่แอบซุ่มมองอยู่ ก็แสดงให้เห็นว่า ตัวเขาเองยังมีความหวังอยู่เช่นเดียวกัน
“วันนี้ฉันจะยอมให้ก่อนก็ได้... แต่ครั้งหน้าฉันจะไม่ใจดีแบบนี้อีกแล้วนะ...เด็กน้อยของฉัน”
ภูธิปเปรยขึ้นกับตัวเอง แล้วจึงหาที่เหมาะ ๆ แถวนั้นเอนกายหลับพักผ่อน เพราะมั่นใจว่าพิภพคงไม่ย้อนกลับมาแล้ว และเขาเองก็ต้องเดินทางกลับเผ่าในช่วงเช้ามืด จึงควรจะพักผ่อนเอาแรงไว้เสียดีกว่า
เช้าวันรุ่งขึ้นพิภพมาที่ริมน้ำตกแต่เช้าโดยอ้างกับบิดาว่า เขาอยากจะมาเดินเล่นรับอากาศยามเช้าสักหน่อย ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่ภูธิป ไม่อยู่แล้ว ทว่าร่องรอยที่แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายนั้นนอนพักค้างคืนที่บริเวณนั้น ทำให้พิภพชะงักเล็กน้อย พร้อมกับรู้สึกผิดขึ้นมานิด ๆ
“แบบนี้คงดีแล้ว...เขาเองก็คงไม่ใช่คนที่มีความอดทนสูงนักหรอก”
พิภพพึมพำกับตัวเอง เขาไม่เห็นหนทางที่แสนสุขจะรออยู่เลย หากเขาเลือกที่จะรับภูธิปเข้ามาในหัวใจ แต่ถึงกระนั้นเขาก็อดปฏิเสธตัวเองไม่ได้เลยว่า ตนเองเริ่มที่จะหลงใหลในรสสัมผัสที่ภูธิปมอบให้อย่างอ่อนโยนเมื่อครั้งก่อนเข้าเสียแล้ว
จากนั้นพิภพจึงเดินกลับที่พักของตนไปเงียบ ๆ ...ทว่าพอวันเวลาผ่านพ้นไป ชายหนุ่มก็อดที่จะมาแวะเวียนสถานที่แห่งนี้เป็นระยะ ๆ ไม่ได้ ยิ่งหวนคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาระหว่างเขากับภูธิป ก็ทำให้เขาต้องเผลอช่วยเหลือตัวเอง เพื่อปลดปล่อยความต้องการที่อัดอั้นอยู่ในร่างกายบ่อยครั้ง
ในที่สุดคืนจันทร์เต็มดวงก็เวียนมาถึงอีกครั้งหนึ่ง ภูธิปแวะเวียนมาเพื่อรอพบคนที่เขารัก พร้อมกับยิ้มน้อย ๆ เมื่อสังเกตร่องรอยบริเวณนั้น ที่มันแสดงให้เห็นว่าไม่ได้ร้างผู้คนเลยสักนิด ตลอดเวลาที่เขาไม่ได้กลับมา รอยเท้าจาง ๆ บนพื้นดินชุ่มชื้นยังคงมีอยู่ให้เห็น อันน่าจะเป็นรอยที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันมานี้
“ปากไม่ตรงกับใจเลยนะ ... แต่ก็นั่นล่ะ เพราะเธอเป็นแบบนี้ ฉันถึงได้ชอบยังไงล่ะ”
ภูธิปพึมพำ เขาแสร้งทำเป็นนั่งเล่นอยู่ครึ่งค่อนคืน ทว่าพอใกล้ถึงเวลาตีหนึ่ง เจ้าตัวก็ยืนขึ้นแล้วถอนหายใจแรง ๆ ก่อนจะเดินหายเข้าไปในป่าลึกอีกทาง ทำให้คนที่แอบเฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ ถึงกับชะงัก แล้วสักพักใหญ่ ร่างนั้นจึงค่อย ๆ เดินออกมา ตรงไปยังก้อนหินใหญ่ที่ภูธิปเคยนั่ง มือข้างหนึ่งยื่นไปสัมผัสไออุ่นที่เริ่มจางลงจนเย็น พลางถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะหันกลับมาเตรียมกลับที่พักบ้าง ทว่าก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อเห็นใครบางคนจับจ้องยืนมองเขาอยู่พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน
“ไง พิภพ ...ในที่สุดฉันก็ได้เจอเธอสักทีนะ”
พิภพยืนอึ้งอยู่พักใหญ่ ก่อนจะหน้าแดงระเรื่อตามมา เมื่อนึกขึ้นได้ว่านี่เป็นแผนการของอีกฝ่ายที่ต้องการล่อเขาออกมา และภูธิปก็คงจะล่วงรู้ก่อนหน้านี้แล้วว่า เขาแอบมองดูอยู่เช่นนี้
“คุณมันเจ้าเล่ห์นัก!”
พิภพบอกกลับไปอย่างหงุดหงิด ทว่าคนฟังกลับหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ พลางย้อนกลับไป
“ใครล่ะจะเจ้าเล่ห์สู้เธอได้ ฉันก็แค่หลอกเธอ ...แต่ตัวเธอน่ะสิ หลอกได้แม้กระทั่งหัวใจของตนเองไม่ใช่หรือ”
พิภพชะงัก แล้วจึงเบือนหน้าหนีไปทางอื่นไม่ยอมสบตาอีกฝ่าย ภูธิป แย้มยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ แล้วรวบร่างนั้นเข้ามากอดอย่างโหยหา
“คิดถึงเธอเหลือเกินพิภพ... เธอล่ะ คิดถึงฉันเหมือนกันไหม”
พิภพพยายามขืนร่าง ทว่าพอได้ยินเสียงกระซิบถามแผ่วเบาอ่อนโยน ได้รับรู้ถึงไออุ่นและกลิ่นกายที่คุ้นเคย ก็ทำให้เขาเอนอ่อนลง จนกระทั่งยอมปล่อยตัวปล่อยใจ ให้ภูธิปกอดเขาอย่างที่เขาเองก็ปรารถนา อีกครั้งหนึ่ง…
รัตติกาลเร่าร้อนยาวนานผ่านพ้นไปในที่สุด เสียงหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนก็ค่อย ๆ ลดลง ร่างเปลือยเปล่าสองร่างประคองกอดแนบสนิทโดยไม่สนใจอากาศหนาวเย็นภายนอกแม้แต่น้อย
“ขืนเป็นแบบนี้ กลับไปผมคงได้เป็นปอดบวมพอดี”
ภูธิปหัวเราะกับคำค่อนขอดของอีกฝ่าย แล้วจึงเปรยตอบ
“เธอก็กลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าสิ ...จะได้ไม่หนาว”
พิภพค้อนให้นิด ๆ แต่ก็ไม่ได้ทำตามที่อีกฝ่ายบอก เพราะแม้อากาศจะเย็น แต่อ้อมกอดของภูธิปก็สร้างความอบอุ่นให้แก่เขาได้พอสมควร
“ฉันมีความสุขจริง ๆ นะ เวลามีเธออยู่ในอ้อมกอดแบบนี้... สงสัยฉันคงต้องรีบเกษียณตัวจากตำแหน่งไว ๆ จะได้มาอยู่กับเธอบ่อยขึ้นกว่าเดิมเสียแล้วล่ะ”
พิภพชะงัก ก่อนจะมีสีหน้าหมองลง แล้วพึมพำตอบอีกฝ่าย
“ถึงจะเป็นอย่างนั้น ก็ใช่ว่าผมจะออกมาได้ตลอด แค่ผมเหม่อ ๆ คิดถึงคุณ ...พ่อก็สงสัยจะแย่อยู่แล้ว”
ภูธิปนิ่งอึ้งกับถ้อยคำที่เผลอหลุดปากของหนุ่มน้อยในอ้อมกอด สักพักจึงมีรอยยิ้มกว้างตามมาอย่างยินดีบนสีหน้าคมคายนั้น
“นี่เธอคิดถึงฉันจริง ๆ น่ะหรือ”
พิภพสะดุ้ง และเมื่อนึกได้ว่าตนเผลอหลุดคำพูดอะไรออกไป เขาก็มีสีหน้าแดงระเรื่อตามมา
“ก็แค่คิดว่า จะทำยังไงให้คุณเลิกยุ่งด้วย ก็เท่านั้นเอง!”
พิภพรีบแก้ตัว แต่ภูธิปก็อ่านสีหน้าอีกฝ่ายได้ดี จึงไม่ได้โกรธ และหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ จนพิภพรู้สึกเสียหน้า จึงยันกายหมายออกห่างอีกฝ่ายแทน จนหนุ่มใหญ่ต้องรีบรั้งร่างนั้นไว้ในอ้อมกอด
“หึ ๆ ขอโทษ ...ไม่แกล้งเธอแล้วล่ะ ...อา เด็กน้อย ไม่คิดเลยว่าเธอจะมีด้านที่น่ารักขนาดนี้ด้วยเลยนะ”
ภูธิปพึมพำ พร้อมกับจูบซุกไซ้ไปทั่วใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างรักใคร่ พิภพหน้าแดงวาบเมื่อสัมผัสถึงบางสิ่งที่สงบไปแล้ว แต่ตอนนี้มันกำลังแข็งขึงปลุกขึ้นมาดุนดันแถวสะโพกของเขาอีกครั้งหนึ่ง
“คุณภูธิป...เดี๋ยวก็จะเช้าแล้วนะครับ”
“เช้าก็เช้าสิ ...เอาแบบนี้ก็ได้ ถ้าเธอรีบ ฉันก็จะเร่งให้นะ”
ประมุขเผ่าครุโฬตอบกลับหน้าตาเฉย ทำให้คนฟังถอนหายใจเบา ๆ อย่างเอือมระอา แล้วจึงดันกายออกห่างก่อนกระซิบดุ
“ไม่เอาแล้วครับ... ขืนไม่ฟัง คราวหน้า ผมจะไม่มาหาคุณแบบนี้อีกแล้วนะ”
ภูธิปหัวเราะเบา ๆ แล้วจึงย้อนกลับหน้าตาเฉย
“ลองดูสิ... ถ้าฉันอดใจไม่ไหว ฉันจะไปหาเธอถึงห้องเอง”
พิภพขมวดคิ้วยุ่งกับคำพูดกึ่งเล่นกึ่งจริงของอีกฝ่าย ก่อนจะชะงักเล็กน้อย เมื่อภูธิปชะโงกหน้ามาจูบเขา พร้อมกับเอ่ยเบา ๆ
“แต่ฉันสัญญานะว่า ต่อให้ถูกพบตัว ฉันก็จะไม่ลงมือทำร้ายคนของเธอโดยเด็ดขาด”
พิภพนิ่งอึ้ง แล้วจึงค่อย ๆ ซบหน้าลงกับอกของอีกฝ่าย พลางพึมพำบอก
“คนเจ้าเล่ห์ ...คุณเล่นพูดแบบนี้ แล้วจะให้ผมเกลียดคุณลงได้ยังไง”
ภูธิปหัวเราะเบา ๆ จากนั้น หนุ่มใหญ่จึงยอมตัดใจที่จะขอร่วมรักคนในอ้อมกอดอีกครั้ง เพราะพิภพยืนยันมาว่า พวกวกะนั้นค่อนข้างตื่นเช้าด้วยกันทุกคน แล้วถ้าเขากลับไปช้ากว่านี้ คงจะถูกพบเจอตัวให้สงสัยเป็นแน่
จากนั้นทั้งคู่จึงตรงไปอาบน้ำชำระล้างร่างกาย ซึ่งน้ำเย็น ๆ ก็มีส่วนช่วยให้คนที่อ่อนเพลียไม่ได้หลับนอน ตาสว่างขึ้นมาทันที และเมื่อต่างแต่งตัวเสร็จ พวกเขาก็แยกย้ายกันเพื่อจะกลับถิ่นพำนักตามปกติ
“แล้วพบกันอีกเดือนหน้านะ พิภพ...”
ภูธิปเอ่ยลา ซึ่งพิภพก็ยิ้มน้อย ๆ ตอบ พร้อมกับพยักหน้ารับ
“ครับ...แล้วเจอกัน”
ประมุขแห่งเผ่าครุโฬแย้มยิ้มอ่อนโยน พลางเดินหายไปในป่าลึก ซึ่งพิภพเองก็เดินแยกกลับคืนที่พักเช่นเดียวกัน ทว่าแม้จะอิ่มเอมในรสรักที่ผ่านมา แต่พอนึกถึงเรื่องที่ตนปกปิดทุกคนเอาไว้ และลักลอบพบกับภูธิปอีกครั้ง ก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกผิดขึ้นมาไม่น้อย
พิภพยืนนิ่งเงียบคิดอะไรหลาย ๆ อย่างอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจเดินต่อ จนกระทั่งถึงที่พัก เวลายามนี้ใกล้รุ่งสางเต็มทน เริ่มเห็นมีวกะบางคนตื่นขึ้นมาเดินเล่นยามเช้าบ้างแล้ว ชายหนุ่มลัดเลาะไปตามเส้นทางลัดที่ไม่ค่อยมีผู้คนเดินผ่าน ตัดตรงไปยังบ้านพักของเขา แล้วกลับเข้าห้องนอน โดยไร้คนเห็น แต่ถึงกระนั้น พิภพก็ยังคงรู้สึกผิดอยู่ดี ยิ่งหวนคิดถึงบิดาที่คอยเอาใจใส่เขา ชายหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น
“ขอโทษนะครับพ่อ แต่ขอเวลาผมอีกสักนิด ...ถ้าเรื่องของพวกเราจะทำให้เกิดปัญหาในเผ่าขึ้นมาเมื่อไหร่ ...ผมพร้อมจะยินยอมรับโทษทัณฑ์ทุกอย่าง โดยไม่คิดจะขัดขืนเอง”
พิภพพึมพำ พลางกอดอกตัวเองหลวม ๆ หวนคิดถึงไออุ่นของคนที่จากไป แล้วจึงมีแววตาที่หมองลง
...บางที นี่คงเป็นการลงโทษในความผิดบาปที่เขาเคยได้กระทำมา จึงทำให้เขาเผลอมอบใจให้คนที่ไม่ควรจะหลงรัก แถมยังเป็นทุกข์ที่ไม่อาจจะบอกใครในเรื่องนี้ได้อีก...
พิภพไม่อาจจะล่วงรู้ได้ว่า ความรักลับ ๆ ของเขาและภูธิปจะดำเนินไปอีกนานแค่ไหน และจะถูกจับได้เมื่อใด ...เขารู้เพียงแต่ว่า เมื่อวันตัดสินชะตาวันนั้นมาถึง เขาจะไม่เลือกทรยศต่อเผ่าและคนสำคัญสำหรับเขาอีกแล้ว แม้ว่านั่นอาจจะทำให้เขาต้องสูญเสียคนที่เขารักไปตลอดกาลก็ตาม
...END…
เป็นไงคะ อาจจะจบแบบไม่แฮปปี้มากมายนัก แต่ก็เหมาะกับสองคนนี้แล้วล่ะนะ รักที่ต้องซ่อนเร้น ไม่อาจจะบอกใครได้ แต่ก็คงมีความสุขในแบบของคู่ตัวโกงที่หลาย ๆ คนหมั่นไส้ล่ะนะ อิ ๆ (แต่ปัดชอบสองคนนี้นะ ) เพราะเป็นตอนพิเศษเลยให้ป๋าภูธิป แกหวานหน่อย ไว้เวลาอยู่กันลำพังค่อยใช้เครื่องไม้เครื่องมือ จับโยงต้นไม้ เล่น sm คราวหลัง ....
ส่วนคู่ของคุณพ่อปุริม ที่อ้างถึง หุๆ ไม่มีอะไร อาจจะไม่เขียน ก็แค่สงสารคุณพ่อ มีเมียเมียก็ตายหมด เลยสงเคราะห์ให้ไปเป็นเมียเขาแทน คงจะเวิร์กกว่าล่ะนะ
ชอบไม่ชอบยังไงร่วมเมาท์ได้จ้ะ ยิ่งมีฟีคแบคเยอะ คนเขียนยิ่งขยันนะเอ้อ เผื่อจะได้เอางู-กวาง มาต่อแบบยาว ๆ ให้อ่านกันไว ๆ เร็ว ๆ นี้ก็ได้นะคะ ^^ หุ ๆ