ทยอยลงให้อ่าน กลัวมีคนลงแดง ฮ่าๆ ....จะว่าไป พอเขียนคู่คุณพ่อ แล้วรู้สึกคู่นี้ เข้ากับชื่อเรื่อง "เหยื่อรักอสุรกาย" แทนซะงั้น ยืมมาตั้งชื่อตอนแทนดีไหม รู้สึกเหมือนยิ่งเขียนยิ่งยาว ------------------------------------------------------------
ตอนพิเศษ
‘อุรค – เวทิต’
กลิ่นคาวเลือดที่ลอยมาตามลม ทำให้บุรุษผู้มีเส้นผมยาวสลวยถึงกลางหลัง ทว่ากลับเป็นสีขาวทั้งศีรษะ หยุดชะงักฝีเท้า ใบหน้าหล่อเหลาดุจหนุ่มวัยฉกรรจ์ มีวี่แววสงสัยถึงที่มาของกลิ่นอันชวนให้ไม่น่าพิสมัยเช่นนี้
“...แถวนี้ เท่าที่รู้ก็มีพวกมโคตั้งถิ่นฐานอยู่สินะ”
อุรค ประมุขแห่งเผ่านากาเอ่ยพึมพำกับตัวเอง แล้วจึงตัดสินใจเดินไปตามกลิ่นเลือดนั้น จนกระทั่งได้เห็นภาพการสู้รบอันน่าดูชมของกวางทองตนหนึ่ง ซึ่งกำลังถูกพวกวกะสองสามตนต้อนให้หลุดฝูงออกมา ทว่าแม้จะอยู่ในสภาวะเสียเปรียบ ร่างโชกเลือดนั้นก็ยังคงยืนต้านทานต่อสู้อย่างไม่มีความเกรงกลัวให้เห็น
และนั่นจึงสะกดให้สายตาของอุรคจับจ้องนิ่งที่ร่างนั้นอย่างลืมตัว จนกระทั่งการต่อสู้ได้จบสิ้นลง กวางทองแสนสวยก็สามารถสังหารเหล่าวกะที่มารุมทำร้ายตนจนหมดสิ้น ทว่าด้วยบาดแผลที่มีจึงทำให้ร่างนั้นเซไปมาและล้มลงไปกองกับพื้นในที่สุด
“กวางทอง... มฤคมาศแห่งเผ่ามโคอย่างนั้นหรือ”
อุรคพึมพำแล้วจึงตัดสินใจเดินตรงไปที่ร่างของกวางทองตนนั้น ที่ยามนี้สลบไปแล้วและค่อย ๆ กลับกลายจากร่างกวางคืนสู่ร่างมนุษย์ดังเดิม พญางูเผือกพอได้เห็น ก็ถึงกับยืนตกตะลึงในรูปลักษณ์มนุษย์ของมโคหนุ่มอยู่ชั่วครู่ แล้วพอตั้งสติได้ เขาจึงค่อย ๆ ก้มลงช้อนร่างเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายขึ้นอุ้มแนบอก ก่อนจะเดินย้อนหายกลับเข้าไปในป่าลึก คืนสู่ถิ่นฐานพำนักของตน
ภาพแรกที่เข้าสู่จักษุนั้น เป็นเพดานมืดทึบคล้ายดินหรือหินไม่แน่ชัด แต่พอเริ่มตั้งสติได้ และมองไปรอบ ๆ เวทิตก็พบว่าตนเองกำลังนอนอยู่ในห้องกว้าง ซึ่งมีลักษณะคล้ายอุโมงค์ในถ้ำ เพียงแต่เป็นอุโมงค์ที่ราวกับจะถูกขุดและตกแต่งด้วยน้ำมือมนุษย์ ให้กลายสภาพเป็นเสมือนห้องพักขนาดใหญ่ ประดับประดาด้วยคบไฟสว่าง มีเครื่องเรือนตกแต่งเพียบพร้อม
และถึงแม้จะอยู่ในถ้ำ แต่อากาศที่ถ่ายเทเข้าออกจนทำให้รู้สึกหายใจได้สะดวกสบาย ก็ทำให้เวทิตรู้สึกแปลกใจต่อสถาปัตยกรรม ที่ไม่น่าจะใช่สิ่งซึ่งธรรมชาติรังสรรค์ขึ้นแห่งนี้
“ฟื้นแล้วหรือ...เจ้าหลับไปวันกับคืนเต็ม ๆ เลยทีเดียว แต่ก็ถือว่าฟื้นตัวได้ไว ถ้าเทียบกับบาดแผลที่ได้รับล่ะนะ”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มของใครบางคนที่ดังขึ้น ทำให้เวทิตชะงักแล้วหันไปมองตามเสียงนั้น
“คุณช่วยผมไว้อย่างนั้นหรือ...”
เวทิตถามพร้อมกับจ้องคนที่เดินเข้ามาหาเขา อีกฝ่ายมีผมสีขาวยาวสลวยถึงกลางหลัง ทว่าใบหน้านั้นกับคมเข้มหล่อเหลาราวดังมีอายุไม่มากสักเพียงใดนัก เจ้าตัวแต่งกายด้วยผ้าไหมโจงสีขาว มีผ้าพันเอวสีทองผูกคาดเอาไว้ เปลือยอกไม่ได้สวมเสื้อ อวดกล้ามเนื้ออันสมบูรณ์งดงามของบุรุษเพศ มีเครื่องประดับมีค่าตกแต่งทั่วร่าง อีกฝ่ายเดินเข้ามานั่งบนฟูกนอนผืนใหญ่ ที่เวทิตนอนอยู่ก่อนแล้ว จากนั้นจึงยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับตอบคำถามของชายหนุ่ม
“ใช่แล้ว...ข้าช่วยเจ้าไว้เอง มฤคมาศหนุ่มเอ๋ย”
เวทิตสะดุ้งเฮือกที่ถูกล่วงรู้ตัวจริง เขาขยับกายคล้ายจะหนี ทว่าก็ต้องชะงัก เมื่อด้านหลังและอีกข้างก็เป็นผนังถ้ำ ไม่มีทางอื่นที่จะหนีได้นอกจากจะลุยฝ่าคนตรงหน้าไปแทน
“ไม่ต้องตกใจขนาดนั้นก็ได้ ...ข้าไม่คิดกินหัวใจของเจ้าหรอก ในเมื่อเรือนร่างของเจ้า มันน่าสนใจเสียยิ่งกว่าหัวใจของเจ้าถึงเพียงนี้ล่ะนะ”
อุรคเอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้มเจ้าเล่ห์ในแบบที่เวทิตมองแล้วรู้สึกไม่สบายใจนัก รวมไปถึงคำพูดที่ฟังดูแล้วน่าหวั่นวิตกเสียยิ่งกว่าเดิมด้วยนั่นอีก
“พักผ่อนเสียให้หายดีเถอะ แล้วถ้าอยากได้อะไรเพิ่มเติม ก็เรียกคนแถวนี้ก็ได้ ...ถึงจะดูบ้านป่าเมืองเถื่อน แต่ก็มีความสะดวกสบายไม่แตกต่างจากโลกภายนอกนักหรอก ...เพียงแค่ไม่มีไฟฟ้า น้ำประปาให้ใช้ เพราะข้าคิดว่ามันไม่จำเป็นกับชีวิตมากนัก”
เวทิตมองคนพูดอย่างสงสัย เพราะดูการพูดจาและการแต่งกาย แม้จะดูเหมือนย้อนยุคไปบ้าง แต่ก็ใช่ว่าอีกฝ่ายจะตัดขาดจากโลกภายนอกเสียทั้งหมด ... เอาจริง ๆ แล้วพอได้สังเกตการตกแต่งภายในห้องนี้ เครื่องเรือนบางชิ้นก็เป็นรูปทรงสมัยใหม่ผสานกันไปอย่างลงตัวด้วยซ้ำ
“เดี๋ยวก่อน...”
เวทิตเรียกคนที่กำลังลุกเพื่อเตรียมออกจากห้องไป ทำให้คนถูกเรียกหันมามองอย่างแปลกใจ
“เอ่อ...คือ ขอบคุณที่ช่วยชีวิตผมไว้...ผมชื่อเวทิต แล้วคุณล่ะ...”
ชายหนุ่มผมขาวแย้มยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มอ่อนโยน
“ข้าชื่อ อุรค ...เป็นประมุขของเผ่านากาแห่งนี้ ยินดีที่ได้รู้จักนะ เวทิต”
ถ้อยคำแนะนำตัวของอีกฝ่ายทำให้เวทิตถึงกับเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง ซึ่งอุรคก็ยิ้มนิด ๆ ให้กับสีหน้าเช่นนั้น แล้วเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้กวางทองหนุ่มกึ่งนั่งกึ่งนอนนิ่งอึ้งอยู่เพียงลำพัง เพราะเขาเองก็เคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับพวกนากามาก่อนหน้านี้บ้างแล้ว ว่าเป็นเผ่าอมนุษย์ที่แข็งแกร่ง แม้แต่พวกครุโฬที่ล้วนเป็นที่หวาดหวั่นต่ออมนุษย์เผ่าอื่น ยังไม่อาจต่อกรได้
เวทิตนอนพักผ่อนอยู่ที่เผ่านากาต่ออีกสามวัน ก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาฟื้นคืนสภาพเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งระหว่างพักฟื้น อุรคก็แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนอยู่บ่อย แม้จะรู้สึกไม่ค่อยชอบใจต่อสายตาที่มองมายังเขาในบางครั้ง แต่เวทิตก็ต้องยอมรับว่า ประมุขแห่งเผ่านากานั้นมีไมตรีจิตและให้การต้อนรับเขาเป็นอย่างดีทีเดียว
“พรุ่งนี้ผมคงจะออกเดินทางกลับเผ่าได้ ...และถ้ายังไงผมจะแวะมาเยี่ยมเยียนขอบคุณ คุณอีกครั้งนะครับ”
เวทิตบอกกับอีกฝ่ายอย่างสุภาพ เพราะนอกจากอุรคจะเป็นถึงประมุขของเผ่านากาแล้ว พญางูเผือกก็ยังมีอายุมากกว่าเขา จนตอนแรกที่เขารับรู้เรื่องนี้ เขายังแทบไม่อยากจะเชื่อเลยทีเดียว แม้อุรคจะบอกว่าช่วงอายุ 300 กว่าปีของตนนั้น จัดว่ากำลังอยู่ในช่วงวัยฉกรรจ์ของคนในเผ่านากาทั่วไปก็ตาม
“จะกลับอย่างนั้นหรือ...อืม...มันก็เป็นเรื่องธรรมดานี่นะ”
อุรคพึมพำ น้ำเสียงนั้นฟังดูไม่ค่อยพอใจนัก ก่อนจะแปรเปลี่ยนสีหน้าเป็นแย้มยิ้ม แล้วเอ่ยกับอีกฝ่าย
“ถ้าเช่นนั้นค่ำนี้ข้าจะจัดงานเลี้ยงส่งให้เจ้าแล้วกัน ...หวังว่าเจ้าคงจะไม่ปฏิเสธน้ำใจที่ข้ามีให้หรอกนะ”
อุรครีบเอ่ยดักทาง ทำให้เวทิตที่เตรียมปฏิเสธต้องชะงัก แล้วจึงจำต้องยอมรับอย่างช่วยไม่ได้ แม้จะรู้สึกเกรงใจอีกฝ่ายมากก็ตาม
“ดี! คืนนี้ไม่เมา ไม่เลิก ...หึ ๆ รับรองว่าข้าไม่ให้เจ้าได้นอนง่าย ๆ แน่”
อุรคเปรยขึ้นพร้อมแย้มยิ้มเจ้าเล่ห์ ทางด้านเวทิตไม่ทันได้เห็นสีหน้านั้น จึงไม่ได้คิดอะไรมากมาย เขาสนทนาแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่าง ๆ กับอุรคไปเรื่อย ๆ จวบจนกระทั่งถึงเวลาเย็น ประมุขแห่งเผ่านากา จึงชวนเวทิตไปยังห้องโถงจัดเลี้ยงซึ่งอยู่ตรงส่วนกลางของอุโมงค์ในหุบเขาแห่งนี้ ซึ่งจริง ๆ แล้วคือรัง หรือถิ่นอาศัยที่ชาวเผ่านากาได้สร้างขึ้นนั่นเอง
งานเลี้ยงในตอนค่ำ ถูกจัดขึ้นอย่างอลังการ มีนางงามในเผ่านากา มาระบำโยกย้ายส่ายสะโพกยั่วยวนชวนมอง อาหารมากมาย และสุราเลิศรสซึ่งมีกลิ่นหอมประหลาด ถูกเติมมาเรื่อยชนิดแทบไม่มีพร่อง ทว่าคนคออ่อนอย่างเวทิต เพียงแค่ดื่มสุราไปสองสามจอกเขาก็มึนงงจนแทบนั่งต่อไม่ไหว แถมยังรู้สึกร้อนรุ่มไปทั่วร่างอีกด้วย
“คุณอุรคครับ...ผมคงไม่ไหวแล้วล่ะครับ...ถ้ายังไงผมขออนุญาตไปนอนพักก่อนนะครับ”
อุรคมองร่างโปร่งที่แดงก่ำไปด้วยฤทธิ์สุราชนิดพิเศษของเขา แล้วจึงเย้ยยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะฉุดแขนรั้งร่างของอีกฝ่ายให้เซมาใกล้เขา
“จะรีบไปไหนกันเวทิต...ความสนุกของงานฉลอง กำลังจะเริ่มขึ้นหลังจากนี้ต่างหาก”
เวทิตมองคนที่ฉุดแขนเขาอย่างสงสัยแกมไม่พอใจ
“แต่ผมรู้สึกไม่ดี อยากพักผ่อน...คงต้องขอตัว อ๊ะ!”
เวทิตอุทานอย่างตกใจ เมื่ออุรค รั้งร่างเขาไปแนบอก พร้อมกับจับพลิกร่างเขานั่งตักของอีกฝ่ายและลูบไล้เรือนร่างของเขาไปทั่ว
“ปะ...ปล่อยนะ! ...อ๊ะ...อา...”
เวทิตที่ตวาดต้องหลุดร้องครางออกมาอย่างลืมตัว ชายหนุ่มหน้าแดงก่ำด้วยความตกใจ ที่ตัวเองเผลอมีอารมณ์ร่วมได้ง่ายดายเช่นนี้
“หึ ๆ ออกฤทธิ์แล้วสินะ...เจ้ารู้ไหมว่าสุราของเผ่าเราชนิดนี้ นอกจากจะรสเลิศ มีกลิ่นหอมหวาน แล้วมันยังช่วยในการกระตุ้นอารมณ์ทางเพศอีกด้วยนะ ...รู้สึกไหมล่ะ ว่าร่างกายของเจ้ามันกำลังอยากให้ข้าสัมผัสมากขึ้นกว่านี้น่ะ”
คำตอบของอุรค ทำให้เวทิตเบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนก แล้วจึงพยายามสุดกำลังจะต่อต้านอีกฝ่าย แต่ก็ไม่สำเร็จ นอกจากเรื่องสรีระ รวมไปถึงพละกำลังที่แตกต่าง อีกทั้งด้วยฤทธิ์ของสุราที่กระตุ้นอารมณ์ ก็ทำให้เวทิตอ่อนระทวยในอ้อมกอดของประมุขเผ่านากา ปล่อยให้อีกฝ่ายล่วงเกินเขาไปเช่นนั้น สติที่เริ่มลางเลือนมองภาพเบื้องหน้า และได้เห็นว่า บัดนี้ผู้ที่อยู่ในงานเลี้ยงต่างเริ่มจับคู่คลอเคลียและร่วมรักกันบ้างแล้ว
“หึ ๆ เป็นยังไงบ้างเวทิต ...งานเลี้ยงของเผ่านากาเรา วิเศษดีใช่ไหมล่ะ ...เจ้าอยากให้ข้าทำกับเจ้าในงานเลี้ยงนี่ หรือจะไปหาความสุขกันตามลำพังในห้องของข้าดีล่ะ”
อุรคกระซิบถาม ขณะที่ลูบไล้แผ่นอกเปลือยเปล่าของมโคหนุ่มอย่างหลงใหล เวทิตกัดฟัน พยายามต้านทาน ทว่าร่างกายกลับตอบรับต่อสัมผัสของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
“...อ๊ะ...อา...หยุดเถอะ...ได้โปรด...ผมขอร้อง”
เสียงครวญครางห้ามเบาหวิว แต่ก็ไพเราะสมกับใบหน้าและเรือนร่างเจ้าของเสียง อุรคยกยิ้มนิด ๆ อย่างพึงพอใจ ก่อนจะเล้าโลมจนสติของอีกฝ่ายเริ่มเตลิดไปอีกครั้ง ทว่าประมุขแห่งเผ่านากาก็ต้องชะงัก เมื่อคนที่เขากำลังค่อย ๆ บดเบียดจุมพิต เพื่อแสวงหาความหวานชุ่มชื้นภายในปากของอีกฝ่าย ได้พยายามใช้แรงและสติที่เหลือเพื่อกัดปากของเขาจนเลือดไหลซึมออกมา
“...หือ ชอบรุนแรงมากกว่านุ่มนวลหรอกหรือ ...ก็ได้ ถ้าต้องการข้าก็จะสนองเจ้าเอง”
อุรคใช้นิ้วเช็ดเลือดที่ริมฝีปาก ก่อนจะเหยียดยิ้มเย็นชา พร้อมกับตรึงร่างเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายลงบนผ้าขนสัตว์ผืนหนาที่ปูนั่ง แล้วเวียนจูบเพื่อแสดงเครื่องหมายความเป็นเจ้าของไปทั่วร่างให้เวทิตครวญครางแทบขาดใจ
เสียงร้องของกวางทองหนุ่ม ทำให้ผู้ร่วมงานเลี้ยงหลายคนพากันกลืนน้ำลาย และมีบางคนที่เฝ้าดูการร่วมรักของประมุขเผ่าตนอย่างสนอกสนใจ จนเวทิตที่หันไปเห็นสายตาเหล่านั้น รู้สึกขยะแขยงขึ้นมาทันที
“ไม่เอา...ได้โปรด...หยุดเถอะ...ไม่ใช่ที่นี่...ผมขอร้องล่ะ”
อุรคเห็นสีหน้าและแววตาของอีกฝ่าย ก็พอจะรู้ว่าเวทิตรู้สึกเช่นไร เขายิ้มน้อย ๆ อย่างพึงพอใจ พลางย้อนถามกลับไป
“งั้นถ้าเป็นห้องนอนของข้าล่ะ ...เจ้าจะยินดีเป็นของข้าไหม”
เวทิตชะงัก แต่ในวินาทีนี้ เขาอยากไปพ้นงานเลี้ยงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ จึงได้แต่เม้มปากแล้วพยักหน้าตอบรับไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
“หึ ๆ ดีมากเด็กน้อย... อ้อ! สำหรับพวกเจ้าทั้งหลาย ขอให้สนุกกับงานเลี้ยงกันต่อไปแล้วกัน!”
อุรครับคำกับมโคหนุ่ม แล้วหันไปบอกกับคนในเผ่าของเขา ซึ่งบ้างก็เฮรับ บ้างก็ยิ้มรับ มีบางคนรู้สึกเสียดาย ที่จะไม่ได้เห็นสีหน้าและน้ำเสียงของเวทิตยามถูกร่วมรักอีก แต่ถึงกระนั้นก็ไม่กล้าคำขัดสั่งหรือโต้แย้งอะไรออกไป
ณ ห้องนอนของประมุขเผ่านากา ซึ่งกว้างใหญ่และหรูหราเสียยิ่งกว่าห้องที่เวทิตเคยไปพัก ทว่ายามนี้เวทิตไม่ได้มีเวลารับรู้และสังเกตการณ์อะไรมากนัก เขาถูกอุ้มนำไปวางกลางฟูกนอนขนาดใหญ่กลางห้องซึ่งปูด้วยผ้าไหมทอสีทองผืนกว้าง และถูกเจ้าของห้องขึ้นคร่อมทับตามมาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเล้าโลมร่างข้างใต้ตนอีกครั้งอย่างคิดกลั่นแกล้ง เพื่อให้เวทิตรู้สึกต้องการเขามากขึ้นยิ่งกว่านี้
ด้วยฤทธิ์สุราชนิดพิเศษ และฝีมือการปรนเปรอที่เชี่ยวชาญ ทำให้กวางหนุ่มถึงกับบิดกายไปมาอย่างเสียวซ่าน ต้องการได้รับการตอบสนองที่มากกว่านี้ แต่ก็ยังมีสติพอจะหลงเหลือให้สะกดกลั้นคำพูดอันน่าอายเหล่านั้นได้อยู่
“...ช่างเป็นเด็กที่ปากแข็งจริง ๆ ...แต่ก็ดี ถ้าง่ายไป มันก็ไม่สนุกสินะ”
อุรคพึมพำอย่างถูกใจ และจัดแจงดึงผ้านุ่งที่สวมติดตัวเขาอยู่ผืนเดียวออก เผยให้เวทิตได้เห็นความแข็งแกร่งใหญ่โต ที่ชวนให้ตกตะลึง และยิ่งเมื่อคิดได้ว่าเขาจะต้องรับสิ่งนั้นเข้ามาในร่างกายของตน ก็ทำให้กวางหนุ่มตัวสั่นด้วยความหวาดหวั่นอย่างลืมตัว
“อยากได้มันไหมล่ะ ...ร่างกายเจ้ายามนี้ก็น่าจะพร้อมแล้วไม่ใช่หรือ”
อุรคเอ่ยยิ้มเยาะ ซึ่งเวทิตก็พยายามดิ้นรนหนีอีกครั้งด้วยความกลัว ทว่าพอเขาพลิกกายคว่ำ คนที่รอคอยอยู่แล้วก็ต้องลอบยิ้ม และนำความเป็นชายใหญ่โต จดจ่อที่ทางเข้าเบื้องหลังของอีกฝ่ายทันที
“ไม่!! อ๊า!!”
เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดจากการถูกรุกราน ดังขึ้นทันทีที่แก่นกายขึงขังของประมุขเผ่านากาล่วงล้ำเข้าไปด้านใน แม้จะเพียงไม่มาก แต่ก็ทำให้เวทิตเจ็บเจียนขาดใจ ความหรรษาก่อนหน้าจากที่เคยถูกเล้าโลม เริ่มจางหาย หรือแต่เพียงความเจ็บปวดเท่านั้นที่มีอยู่
“หึ ๆ เจ้าช่างตอดรัดข้าแน่นนัก กวางน้อย... ดีจริง ๆ ที่ข้าได้เป็นชายคนแรกของเจ้าอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด... แต่ถึงจะไม่ใช่ นับจากนี้ไป เจ้าก็ต้องเป็นของข้าคนเดียวอยู่ดี”
อุรคเอ่ยกับอีกฝ่ายที่พยายามดิ้นรนหนีจากเขาเต็มที่ เขารอจนแรงบีบรัดเริ่มคลายลง ก่อนจะกระแทกร่างเข้าไปใหม่จนสุดแรง ส่งผลให้ร่างโปร่งข้างใต้สะดุ้งเฮือก เจ็บจุกจนไม่อาจจะร้องออกมาเป็นเสียงได้
พญางูเผือกมีรอยยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ แม้สีหน้าหล่อเหลาจะบิดเบี้ยวจากแรงตอดรัดของอีกฝ่ายไปบ้างเล็กน้อยก็ตาม ทว่าพอเวลาผ่านได้สักระยะ อุรคก็เริ่มขยับกายเข้าออกจากช้า ๆ ไปถึงรวดเร็ว ตามความต้องการของตัวเอง
“ไม่เอาแล้ว…ได้โปรด...พอสักที...ผมเจ็บ”
เวทิตครางเจือสะอื้นแทบตลอดเวลา ไม่ได้มีความสุขสมปนมาอยู่ในการร่วมรักครั้งนี้แม้แต่น้อย เและอุรคเองก็ไม่คิดใส่ใจจะอ่อนโยนกับเขากว่านี้ด้วย พญางูใหญ่กอบโกยความสุขของตนจนพึงพอใจ แล้วจึงเอนกายนอนหลับไปข้าง ๆ ร่างโปร่ง ที่กัดริมฝีปากกลั้นเสียงสะอื้น ด้วยความเจ็บปวดและอับอายที่ถูกล่วงเกินและหยามศักดิ์ศรีกันได้ถึงเพียงนี้
... TBC ....
ใครว่าภูธิปร้าย เจอตาแก่งูนี่ ยังชิดซ้ายไปเลยนะจ๊ะ ฮ่า ๆ
คู่คุณพ่ออาจจะดราม่ากันเล็กน้อย แต่รับรองว่าจะมีความหวาน แทรกไปเป็นระยะนะจ๊ะ (ถ้าคนแต่งไม่แกล้งตัวละครซะเพลิน อิๆ)