ปั่นมาแปะแบบสปีดเต่านะคะ เน้นน้อย ๆ แต่บ่อย ๆ แทนนะจ๊ะ คิดว่าไม่กี่ตอนก็จะ(ตัด)จบแล้วล่ะจ้ะ สำหรับคู่นี้ แต่ช่วงนี้ขอทยอยถมความหวานให้นักอ่านกันก่อนจากแล้วกันค่ะ
#5
วันเวลาผ่านพ้นไป เวทิตนั้นก็เลิกคิดหนีจากอุรค เพราะเกรงว่าพญางูเผือกจะโกรธ และลงมือทำร้ายคนในเผ่าของเขา และพอเขาตัดสินใจไม่หนี แม้อีกฝ่ายจะแกล้งเปิดโอกาสให้ก็ตาม อุรคก็เริ่มที่จะอ่อนโยนกับเขามากขึ้น แถมยังคอยเอาใจและสรรหาของกำนัลต่าง ๆ ที่เขาชอบมาให้เสมอ แต่ก็ยังคงคุมเข้มและจับตาดูเขาไม่ห่างตลอดเวลาด้วยความหวาดระแวงเช่นเคย
และในที่สุด วันที่เวทิตต้องตัดสินใจอีกครั้งก็มาถึง และครั้งนี้ก็ถือเป็นการตัดสินใจที่เปลี่ยนชะตากรรมของเขาไปตลอดกาล เมื่อพิชญ์นั้นมาเยือนเผ่านากา และขอความร่วมมือจากอุรคให้ไปช่วยวิรัล ซึ่งอุรคก็ยื่นข้อเสนอ โดยแลกกับการที่เวทิตจะต้องอยู่ร่วมกับตนที่เผ่านากาตลอดชีวิต และไม่คิดหนีไปอีก
“ท่านประมุขเต็มใจที่จะอยู่ที่นี่เองแน่หรือครับ”
พิชญ์เอ่ยถามเวทิตหลังจากที่อุรคยอมทำตามคำขอของเวทิต ปล่อยให้ทั้งคู่สนทนาปรึกษากันตามลำพัง
“...มันไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้วไม่ใช่หรือพิชญ์”
เวทิตบอกไปเรียบ ๆ พลางเบือนหน้าหลบสายตาอีกฝ่าย พิชญ์เหลือบมองคนตรงหน้าอย่างชั่งใจ แล้วมองไปยังอุรคที่ตอนนี้กลับคืนสู่ร่างมนุษย์และยืนเฝ้ามองพวกเขาอยู่ห่าง ๆ สายตาของประมุขเผ่านากาที่จับจ้องร่างของอดีตประมุขเผ่ามโคนั้นแสดงถึงความรักใคร่หวงแหนและเป็นเจ้าของอย่างไม่คิดปิดบัง ส่วนเวทิตนั้นแม้จะทำเป็นเย็นชาต่ออุรค แต่ก็ยังคงมีแววตาบางอย่างที่ทำให้พิชญ์รู้สึกสงสัยว่าอีกฝ่ายนั้นเกลียดอุรคจริงแน่หรือ
“ถ้าท่านประมุขไม่เต็มใจจริง ๆ หลังจากเสร็จศึกทางนั้นแล้ว ต่อให้ต้องก่อศึกกับทางเผ่านากาอีกรอบ พวกเราก็ยินดีทำเพื่อช่วยนำท่านกลับคืนสู่เผ่าของเรานะครับ”
พิชญ์ลองหยั่งเชิง ซึ่งเวทิตก็ชะงักแล้วรีบปฏิเสธ
“อย่าทำอย่างนั้นเด็ดขาดนะพิชญ์!”
“สำหรับผม ไม่ใช่แค่ท่านวิรัลเท่านั้นที่สำคัญ ท่านเองก็ไม่แตกต่างกันนะครับ ท่านเวทิต”
พิชญ์เรียกชื่อของอีกฝ่าย ทำให้เวทิตรู้สึกตื้นตัน แล้วยิ้มน้อย ๆ ให้ชายหนุ่มผู้อ่อนเยาว์กว่าเขา
“ขอบคุณนะพิชญ์...แต่ฉันไม่เป็นไร ถ้าการเสียสละของฉันจะช่วยเผ่าและลูกชายของตัวเองได้ ฉันก็ยินดี”
“แล้วความรู้สึกของท่านล่ะครับ...ท่านไม่ได้มีใจกับเขาไม่ใช่หรือครับ แล้วท่านจะทนอยู่กับเขาตลอดชีวิตได้เช่นนั้นหรือครับ”
พิชญ์เอ่ยถามกลับไปแล้วสังเกตดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย ซึ่งเวทิตก็เม้มปากน้อย ๆ แล้วเบือนหน้าหลบตาคนถามอีกครั้ง
“ฉัน...คือ...”
“หรือผมจะเข้าใจผิดไป เรื่องที่ท่านไม่เต็มใจจะอยู่ที่นี่...”
พิชญ์เอ่ยขึ้นอีกแล้วนิ่งรอคำตอบ ทางด้านเวทิตสะดุ้งนิด ๆ ก่อนจะนิ่งเงียบไป แล้วสักพักจึงถอนหายใจยาวตามมา เขาเหลือบชำเลืองมองอุรคแวบหนึ่ง แล้วจึงรีบหันกลับเมื่ออีกฝ่ายที่จ้องมองเขาอยู่แล้ว ขมวดคิ้วน้อย ๆ อย่างสงสัย
“ฉันไม่เป็นไรหรอกพิชญ์...ไม่เป็นไร... ฉันผ่านช่วงเวลาที่คิดว่าเลวร้ายที่สุดมาแล้ว...และคิดว่าต่อไปจากนี้ ก็คงไม่มีอะไรอีก...คิดว่านะ”
เวทิตพึมพำไม่ได้ตอบคำถามนั้นโดยตรง ทว่าแววตาคาดหวังและแสดงถึงความเชื่อมั่นบางอย่างที่ลอบมองอุรค ก็ทำให้พิชญ์ชะงัก แล้วจึงพยักหน้ารับรู้ตามมา
“ครับ...ผมทราบแล้ว...ขอบพระคุณมากครับ สำหรับความเสียสละของท่านในครั้งนี้”
เวทิตมองคนที่โค้งให้เขา แล้วจึงเม้มปากน้อย ๆ ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยบางอย่างออกมา
“พิชญ์...ช่วยอย่าบอกเรื่องนี้กับใคร ๆ ในเผ่ามโคได้ไหม ...โดยเฉพาะแม่ของฉัน กับวิรัล ...ฉันอยากให้พวกเขาคิดว่าฉันตายไปแล้ว ดีกว่าที่จะรู้ว่าฉันยังอยู่ แต่ไม่อาจจะพบเขาได้อีก”
พิชญ์มองอดีตประมุขของเขาอย่างสงสัย แล้วจึงเอ่ยถามต่อ
“ทำไมล่ะครับ...ถ้าท่านกลับไปไม่ได้ ก็ให้ท่านวิรัลหรือนายหญิงมาเยี่ยมท่านที่นี่แทนก็ได้นี่ครับ”
“เรื่องนั้นมัน...”
ยังไม่ทันที่เวทิตจะตอบ คนที่อดทนรอคอยเงียบ ๆ ไม่ไหว ก็เดินใกล้เข้ามาและทันได้ยินประโยคสุดท้ายของพิชญ์เข้าพอดี
“ข้าไม่อนุญาต! หากยิ่งได้พบก็ยิ่งจะทำให้หวั่นไหว แล้วมันอาจจะทำให้เจ้าคิดหนีไปจากข้าอีก ซึ่งข้ายอมไม่ได้!”
อุรคเอ่ยขึ้นเสียงห้วนอย่างหงุดหงิด จนพิชญ์นั้นตกใจ และเวทิตชะงักชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจยาวตามมา
“ผมไม่ได้บอกสักคำ ว่าจะให้พิชญ์ทำแบบนั้น ...ผมกำลังเสนอให้เขาอย่าบอกเรื่องนี้กับลูกชายและแม่ของผม รวมไปถึงคนในเผ่า ว่าเขามาเจอผมที่นี่ต่างหาก”
อุรคหรี่ตาจ้องคนตรงหน้า แล้วย้อนถามไปอย่างหวาดระแวง
“เจ้าไม่คิดจะวางแผนหนีจากข้าไปอีกแน่นะ”
“ถ้าคุณสัญญาว่าจะช่วยเหลือลูกชายผม ผมก็สัญญาว่าจะไม่หนีไปจากคุณเช่นกัน”
เวทิตตอบเรียบ ๆ ทว่าแววตาแสดงถึงความจริงจัง จนคนมองต้องถอนหายใจเบา ๆ แล้วเอ่ยปากรับคำ
“ก็ได้ ข้าตกลงตามนี้”
“ท่านเวทิต...”
พิชญ์ทำท่าจะแย้งบางอย่าง ทว่าเวทิตหันกลับมาทางมโคหนุ่ม แล้วเอ่ยเสียงเรียบทว่าชัดเจน
“ตามนั้นพิชญ์”
พิชญ์ลอบถอนใจ แล้วจึงพยักหน้ารับรู้
“ครับท่าน”
จากนั้นเวทิตจึงหันมาทางอุรค แล้วบอกอีกฝ่ายอย่างเป็นกังวล
“คุณคงต้องรีบออกเดินทางนะ คุณอุรค ไม่อย่างนั้นจะไม่ทันการ”
“แล้วเจ้าจะอยู่รอข้าที่นี่ ไม่คิดหนีไปไหนสินะ”
พญางูเผือกย้อนถามกลับไป พร้อมกับจ้องมองร่างโปร่งตรงหน้านิ่ง ซึ่งเวทิตก็จ้องเขา พลางย้อนตอบ
“จะล่ามผมเอาไว้อีกก็ได้ ถ้าคุณไม่ไว้ใจ”
คำพูดนั้นทำให้อุรคต้องถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยสรุปตัดบทตามมา
“ไม่จำเป็น...ข้าจะให้พนาเฝ้าเจ้าเอาไว้ หากมีพวกนากาตนไหนคิดไม่ซื่อจะทำร้ายเจ้า เขาจะได้ปกป้องเจ้าได้ ส่วนนักรบนากา เอาติดไปสักร้อยตนก็คงจะพอ”
เวทิตเบือนหน้าไปอีกทาง เขารู้สึกว่าแก้มของตนจะร้อนวูบวาบขึ้นมาอย่างห้ามไว้ไม่อยู่ ทางด้านอุรคเห็นดังนั้นก็แย้มยิ้มน้อย ๆ อย่างพึงพอใจ แล้วจึงเดินมาใกล้ พลางประคองกอดร่างของเวทิตให้เดินไปด้วยกัน พร้อมกับหันมาบอกกับทางพิชญ์
“ตามข้ากลับเผ่า เดี๋ยวข้าจะไปจัดทัพให้พร้อม!”
หลังจากที่กลับถึงเผ่าแล้ว ประมุขแห่งเผ่านากาก็สั่งเรียกรวมพลทั้งเผ่า ทำให้พิชญ์นั้นถึงกับตกตะลึง เพราะไม่คิดว่าสมาชิกในเผ่านากาจะมีมากมายหลายร้อยชีวิตเช่นนี้
“ข้าคิดว่าพวกเจ้าคงอยู่กันอย่างสงบสุขมานานจนนึกเบื่อหน่ายกันบ้างแล้ว เพราะฉะนั้น หากใครอยากยืดเส้นยืดสายออกกำลังกันสักหน่อย ก็ให้ตามข้ามา พวกเราจะไปรบกับพวกนกปีศาจที่ด้านนอกป่านั่น!”
ชนเผ่านากามองหน้ากันไปมาจนพิชญ์และเวทิตรู้สึกกังวล ทว่าเพียงชั่วครู่ เสียงเฮกระหึ่มก็ดังกึกก้องขึ้นไปทั่วหุบเขาอันเป็นถิ่นที่อยู่ของเผ่านากา ต่างคนต่างอาสากันติดตามประมุขของพวกเขาไปออกรบด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือแทบทั้งสิ้น ทำเอาพิชญ์ถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ พลางคิดในใจว่าดีแล้วที่เผ่าของเขาไม่ได้เป็นศัตรูกับอมนุษย์เผ่านี้
“ไม่ต้องมากันทั้งหมด เยอะแยะเกินไป เดี๋ยวศัตรูฝันหนีดีฝ่อเสียก่อน เอาแค่ร้อยกว่าคนก็พอ พวกเด็ก ๆ อายุเจ็ดแปดสิบไม่ต้องตามมาเลย นั่งอยู่เฝ้าเผ่าไปแทน ส่วนพวกนากาแก่ ๆ ถ้ายังรบไหว ก็ตามมา แต่ไม่ต้องออกแรงมากล่ะ ตายไปในสนามรบข้าขี้เกียจขุดหลุมฝังให้”
อุรคออกคำสั่งเนือย ๆ กับคนในเผ่า ทำเอาพิชญ์มองตาปริบ ๆ ส่วนเวทิตนั้นลอบถอนหายใจ เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่เรื่องเคร่งเครียดแค่ไหน ถ้าเรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับเขาโดยตรง เขาก็มักสังเกตเห็นว่าพญางูเผือกดูไม่ค่อยจริงจังและไม่ใส่ใจอะไรมากนักอยู่เสมอ
ใช้เวลาไม่นานกองทัพนากาก็จัดทัพเสร็จ เวทิตนั้นออกมายืนส่งที่ป่าใกล้บริเวณทางเข้าออกเผ่า โดยมีพนาคอยดูแลเฝ้าระวังอยู่ข้าง ๆ ตามคำสั่งของอุรค
“ระวังตัวนะพิชญ์ ฝากวิรัลกับท่านแม่ด้วยนะ”
“ครับ ท่านเวทิต”
พิชญ์รับคำ จากนั้นเวทิตจึงเหลือบมองอุรคบ้าง ซึ่งอีกฝ่ายก็หันมาสบตากับเขา ทำให้เวทิตสะดุ้งและรีบหลบตา จนอุรคต้องถอนหายใจ ทว่าพอพญางูเผือกสั่งออกเดินทางและเริ่มเคลื่อนทัพไป เวทิตก็เงยหน้า พร้อมกับตะโกนไล่หลังอีกฝ่าย
“ระวังตัวด้วยนะครับ คุณอุรค!”
พนาที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ชะงัก ก่อนจะลอบยิ้มน้อย ๆ ส่วนพิชญ์หันมาชำเลืองมองอดีตประมุขของเขา แล้วหันไปลอบถอนหายใจกับตัวเอง ทางด้านอุรคนั้นยืนนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินกลับตรงมาหาเวทิต รวบร่างโปร่งมาใกล้ จัดการจุมพิตอีกฝ่ายอย่างดูดดื่ม ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ให้ แล้วผละไปอยู่กับกองทัพ สั่งเคลื่อนพลเดินห่างออกไปตามกำหนดเดิม ทิ้งให้เวทิตยืนหน้าร้อนวูบวาบ ส่วนพนานั้นโค้งศีรษะให้อีกฝ่ายน้อย ๆ แล้วเอ่ยขึ้น
“กลับเข้าด้านในเถอะขอรับ ท่านเวทิต”
“อะ...อืม”
เวทิตรับคำเสียงตะกุกตะกัก เผลอยกนิ้วมือแตะริมฝีปากตัวเองแผ่วเบา ก่อนจะรีบสลัดความคิดบางอย่างออกไป แล้วย้ำความรู้สึกเกลียดลงไปแทนที่ แต่ถึงกระนั้นเขาก็อดจะเป็นห่วงคนที่จากไปแล้วไม่ได้อยู่ดี พร้อมกับแก้ต่างให้ตนเองว่า หากอุรคเป็นอันตราย ก็จะทำให้ลูกชายและคนในเผ่าของเขาลำบากไปด้วยนั่นเอง
สงครามสิ้นสุดลง พร้อมกับชัยชนะของเผ่านากา และเมื่อเวทิตได้รับรู้ว่า เผ่ามโคและวกะได้กลายเป็นพันธมิตรกันแล้ว เขาก็ยิ่งรู้สึกหมดห่วง มโคหนุ่มใช้ชีวิตไปตามปกติของตน โดยการอยู่ในความควบคุมของอุรคแทบทุกฝีก้าว ทว่าเขากลับรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาอย่างประหลาด และเริ่มรู้สึกแปลกแทน หากวันใดที่ไร้เงาของอุรคอยู่ข้างกาย
“คุณอุรค...พรุ่งนี้ผมขอออกไปเที่ยวในป่าบ้างได้ไหม”
หลังจากทานอาหารมื้อค่ำอิ่มหนำสำราญเรียบร้อย เวทิตจึงลองเสี่ยงถามดู โดยเลือกถามตอนที่เขาคิดว่าอุรคน่าจะอารมณ์ดี ทว่าพอเขาถามเสร็จอีกฝ่ายก็ชะงัก แล้วหันขวับมาจ้องเขานิ่ง
“ทำไมถึงอยากไป...เบื่ออยู่ในถ้ำนี่แล้วหรือไง”
แม้เหมือนจะถามตามปกติ แต่เวทิตก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังจับผิดเขาอยู่ มโคหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงเอ่ยตามมา
“ครับ...เบื่อ แต่ถ้าไปไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ผมก็แค่ลองขอเฉย ๆ เท่านั้น”
“ที่เจ้าเบื่อ เพราะที่นี่มีข้าอยู่ใกล้เจ้าตลอดเวลาสินะ”
อุรคยังคงตื๊อถาม พร้อมกับอารมณ์ที่เริ่มขุ่นมัวขึ้นเรื่อย ๆ จนเวทิตต้องลอบถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยตอบออกไปตามตรง
“ผมเบื่อ เพราะที่นี่มองไม่เห็นแสงตะวัน แสงดาว ...ถึงมีอากาศไหลเวียน แต่ก็ไม่ใช่ลมเย็น ๆ พัดผ่านผิวกายอย่างข้างนอก ...บางครั้งผมก็อยากไปนั่งอาบแดดอ่อน ๆ เล่นริมลำธาร หรือลงว่ายน้ำในน้ำตกบ้าง ...อุตส่าห์มีธรรมชาติแสนสวยแวดล้อมที่อยู่แบบนี้ทั้งที แต่ไม่อาจสัมผัสได้ มันก็น่าเบื่อใช่ไหมล่ะครับ”
อุรคชะงักแล้วจ้องมองอีกฝ่ายนิ่ง จนเวทิตแปลกใจ
“ทำไมหรือครับ”
“อืม...ก็ไม่มีอะไรนักหรอก ข้าแค่แปลกใจที่เจ้าอธิบายถึงสิ่งที่เจ้าต้องการให้ข้าฟังเช่นนี้ ...ปกติถ้าข้าอารมณ์เสียเจ้าก็มักตัดบทอยู่เงียบ ๆ เสียมากกว่า”
เวทิตเองก็ชะงัก และจึงเริ่มรู้สึกว่าตนเปลี่ยนไปอย่างที่อุรคบอกเช่นเดียวกัน
“เอ่อ...แล้วแบบนี้รำคาญไหมครับ”
อุรคยิ้มให้กับคำถามนั้น ก่อนจะตอบไปตามตรง
“ไม่หรอก...ข้าชอบนะ ข้าชอบให้เจ้าคุยกับข้ามาก ๆ เล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าได้รู้ได้เห็นให้ข้ารับฟังบ้าง ...ข้าน่ะ อยากรู้จักตัวตนของเจ้าทั้งหมด รู้ไหม”
เวทิตนิ่งรับฟัง ก่อนค่อย ๆ หลุบตาหลบ แล้วเอ่ยถามกลับเสียงแผ่ว
“แล้วถ้าผมบอกว่า อยากฟังเรื่องของคุณแลกเปลี่ยนบ้างล่ะ”
พญางูเผือกชะงัก แล้วเพ่งมองอีกฝ่ายอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
“เจ้าอยากฟังจริงหรือ!”
“...ก็รู้ไว้บ้างก็คงดี”
เวทิตตอบอุบอิบ ยังคงก้มหน้าอยู่ แต่ปฏิกิริยาที่ชายหนุ่มมีก็ทำให้อุรครู้สึกยินดียิ่งนัก
“ถ้าเจ้าอยากรู้เรื่องอะไรของข้า ก็ถามได้ตลอด ข้ายินดีเล่าให้เจ้าฟังเสมอ”
เวทิตไม่ได้เอ่ยต่อ ทว่าใบหน้าของเขานั้นร้อนวูบวาบ จนเขาไม่กล้าเงยหน้าให้อีกฝ่ายได้เห็น โดยไม่ได้รู้เลยว่า ใบหูขาวเนียนที่บัดนี้แดงระเรื่อ ก็ทำให้คนมองอมยิ้มอย่างพึงพอใจยิ่งนัก
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ พวกเราไปเที่ยวข้างนอกกัน ข้าจะให้คนทำอาหารเอาไว้ เรากินมื้อเช้าที่นี่ แล้วไปทานมื้อกลางวันที่นั่น เย็น ๆ ค่อยกลับดีไหม หรืออยากจะค้างคืนข้างนอกสักคืน จะได้ให้คนเตรียมกระโจมเอาไว้”
คำว่าค้างทำให้เวทิตชะงัก แล้วจึงรีบเงยหน้าขึ้นถามอีกฝ่ายอย่างตื่นเต้น
“ค้างได้หรือครับ!”
“ได้สิ ...แต่ข้างนอกในป่านั่นหนาวเย็นเสียยิ่งกว่าอยู่ในถ้ำแห่งนี้อีกนะ”
คำตอบของพญางูเผือกทำให้เวทิตเริ่มลังเลขึ้นมา
“หนาวหรือครับ...”
“เจ้าไม่ชอบอากาศหนาวไม่ใช่หรือ”
อุรคบอกอย่างรู้ทัน เพราะหากคืนใดอากาศหนาวจัด เวทิตก็มักจะซุกกายเข้าหาเขาไม่ยอมหนีห่าง จนเขาอยากให้มีฤดูหนาวตลอดไปเลยด้วยซ้ำ แต่ก็นั่นล่ะ เวลาเห็นร่างโปร่งนอนหนาวสั่นทรมาน เขาก็อดสงสารไม่ได้อยู่ดี
“ก็ไม่ชอบหรอกครับ...แต่คงไม่เป็นไร”
คำตอบของเวทิตพร้อมกับแววตาที่สบมองเขาอย่างสื่อความหมาย ทำให้อุรคชะงักนิ่ง ก่อนจะแย้มยิ้มอ่อนโยนตามมา แล้วเอ่ยตอบ
“นั่นสิ ...คงไม่เป็นไร”
จากนั้น อุรคจึงเรียกพนาคนสนิทของเขามาสั่งความให้เตรียมพร้อม แล้วจึงชวนเวทิตเข้านอน โดยพญางูเผือกก็อ้อนขอรางวัลที่เขายอมให้เจ้าตัวไปเที่ยวค้างคืนในวันพรุ่งนี้ ซึ่งเวทิตก็ยอมตอบสนองตามข้อเรียกร้องนั้นในทุกเรื่องจนอุรคพึงพอใจ ทั้งคู่จึงหลับสนิทไปด้วยกัน จนกระทั่งรุ่งเช้าของวันใหม่เวียนมาถึง
.... TBC ....
[แอบไร้สาระ พักสมองระหว่างปั่นตอนพิเศษ]
..
..
ค่ำคืนหนึ่ง ณ คฤหาสน์มฤคมาศ ในเมืองหลวง
วิรัล : คุณธามครับ...คุณไม่คิดอยากจะจับผมแขวน เอาแส้เฆี่ยน เทียนลน กับเขาบ้างหรือครับ
ธาม: (ตกใจ) ทำไมล่ะ หรือเธอชอบแบบนั้น
วิรัล : เฮ้อ... จริง ๆ ก็ไม่หรอกครับ แต่อยากเรียกเรตติ้งคืนกับเขาบ้าง ตั้งแต่คู่คุณพ่อออกมา ผมก็โดนแม่ยกเมิน ไม่สนกันสักนิดเลย(กระซิก...น้อยใจ)
ธาม : โอ๋ ๆ ถึงพวกนั้นเขาจะเมินเธอ แต่ฉันยังรักเธออยู่นะ
วิรัล : (อาย...แหมสามีผม หวานได้ตลอด)
ธาม : ว่าแต่เปลี่ยนจากแส้เฆี่ยน เทียนลน เป็นขนนกจั๊กจี๋แทนดีกว่าไหม เธอจะได้ไม่เจ็บมากยังไงล่ะ (ยิ้มหวาน)
วิรัล : (อึ้ง...แต่ก็พยักหน้าด้วยความถูกใจเช่นเดียวกัน)
...ปล่อยให้สองคนนี้เขาหวานกันต่อไป เพราะดูยังไงก็คงจะ S ไม่ขึ้นแน่นอน หุ ๆ
