เรื่องสั้นจากบทเพลงในวันวาน : น้ำตาลาไทร (จบในตอน)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องสั้นจากบทเพลงในวันวาน : น้ำตาลาไทร (จบในตอน)  (อ่าน 6731 ครั้ง)

ออฟไลน์ ลำนำบุหลันครวญ

  • Most Wanted!!!
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +377/-1
ติดตามประกาศเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆนะครับ จะอัพเดทบ่อยๆ
ถ้าผู้ใดตั้งกระทู้ไปแล้ว รบกวนแก้ไขโดยการกด modify ที่รีพลายแรกหน้าแรกของกระทู้ตัวเอง
จะเข้าไปแก้ไขรีพลายและชื่อกระทู้แรกได้นะครับ

1.นักเขียน  นักโพสทุกท่านกรุณานำข้อความใต้เส้นขึ้นต้นเรื่องด้วยนะครับ
จะได้เป็นการเตือนให้คนอ่าน รู้และตระหนักถึงความสำคัญในการอยู่ร่วมกันอย่างสงบนะครับ
จะได้ไม่มีเรื่องผิดใจ อื่นๆตามาภายหลังนะครับ

2.กรณีที่เป็นเรื่องสั้น  ให้ขึ้นต้นหัวกระทู้ว่า (เรื่องสั้น) ทุกเรื่องนะครับ   เรื่องสั้นเอาแค่ว่าใช้กับเรื่องที่ยาวไม่มาก

3.ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่ได้แต่งเอง ให้ขออนุญาตคนเขียนจนกว่าคนเขียนจะอนุญาตจึงจะนำมาโพส และให้ต่อท้ายด้วย by ชื่อคนเขียน เช่น by somebazaay

4.กรณีที่นักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้ในห้องนิยาย  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้
   
****************************************************


โค๊ด: [เลือก]
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
__________________________________

เอาเรื่องสั้นมาฝากกันให้หายคิดถึง

(มีใครคิดถึงแกมั่งมั้ย  :laugh:)

เรื่องนี้ผมเขียนแก้คันมือระหว่างรอโปรเจคใหญ่

บังเอิญได้ไปฟังเพลงนี้เข้าแล้วปิ๊งพลอตขึ้นมา

เอาเป็นว่า ขอฝากผลงานเรื่องนี้อีกเรื่องแล้วกันครับ

นายหนิงหน่อง

 :L2:
http://www.youtube.com/v/6lOmg_pump4?version=3&loop=1&playlist=6lOmg_pump4&autoplay=1
Share This Topic To FaceBook

ออฟไลน์ ลำนำบุหลันครวญ

  • Most Wanted!!!
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +377/-1
น้ำตาลาไทร...

ท้องทุ่งนามีนบุรีสีทองอร่ามไปสุดลูกหูลูกตาของฤดูเก็บเกี่ยว แสงแดดอ่อนๆที่ค่อยๆหรี่รังสีเมื่อยามใกล้พลบค่ำนั้นเป็นสัญญาณแห่งการใกล้สิ้นสุดวันของชาวนาชาวบ้าน ณ ท้องทุ่งแห่งนี้เพื่อเตรียมการเก็บคราดไถและไล่ควายกลับเข้าบ้านของตนหลังจากที่ทั้งคนและควายทำงานกันมาตลอดทั้งวัน

ทิดอ่ำ ชายหนุ่มฉกรรจ์คนหนึ่งแห่งท้องทุ่งมีนบุรีก็เช่นกัน เขากำลังเก็บคราดไถเตรียมเดินทางกลับบ้าน เขาเป็นเด็กกำพร้าที่พ่อแม่ถูกโจรฆ่าตายตั้งแต่ยังเล็กๆ แต่ได้บารมีของสมภารวัดมีนบุรีช่วยชุบเลี้ยงให้ข้าวก้นบาตรประทังชีวิต บ้านของทิดอ่ำนั้นเป็นกระท่อมเล็กๆอยู่ที่ปลายที่นาของเขาซึ่งเป็นสมบัติเพียงไม่กี่อย่างที่โจรเหล่านั้นไม่ได้เอาไปจากครอบครัวของเขา และด้วยเพราะที่นาผืนนี้ เขาจึงพอได้มีที่ทำกินประทังชีวิตอย่างพอมีพอกินไม่ต้องไปขายตัวเป็นทาสใคร

“กลับบ้านกันเถิดจ้ะ พี่อ่ำ” เสียงใสๆจากแม่เรียม เพื่อนเล่นในวัยเด็กดังขึ้น และที่นาของครอบครัวของนางนั้นก็อยู่ติดกับที่นาของทิดอ่ำ
“ข้ากำลังจะกลับแล้วล่ะ นางเรียม” ชายหนุ่มตอบ พลางแบกคันไถขึ้นบ่าอย่างทะมัดทะแมง

ทั้งสองคนพากันจูงควายลัดเลาะไปบนคันนา ที่ขอบฟ้ายามนี้ดวงตะวันกำลังค่อยๆไล่ระดับลับลงพร้อมกับที่ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มเมื่อยามใกล้พลบค่ำ ดวงบุหลันค่อยๆส่องแสงพร้อมกับเสียงกลองดังตุ้มตั้มเป็นสัญญาณจากวัดมีนบุรีว่าภิกษุสงฆ์ทั้งหลายจะพากันทำวัตรเย็นส่งเสียงกังวานไกลเป็นท่วงทำนองแห่งพระพุทธศาสนา

“คืนนี้ พี่จะพาข้าไปเที่ยวงานมหรสพวัดกูบแดงไหมจ๊ะ ข้าอยากไปจัง” แม่เรียมกล่าวขึ้นระหว่างที่กำลังเดินทางกลับ
“ข้า ... เอ่อ ข้าขอคิดดูก่อนได้ไหม”

“พี่อ่ำก็เป็นแบบนี้ตลอด งานวัดบางกะปิ คราวที่แล้วพี่ก็บอกข้าอย่างนี้ แล้วก็ปล่อยข้าเป็นสายบัวแต่งตัวเก้อคอยอยู่ที่บ้าน” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงเง้างอนอยู่ในที

“ข้าเหนื่อยน่ะ ทำนามาทั้งวัน เจ้าก็เห็น ”ทิดอ่ำกล่าว และเบือนหน้าหนี
“ข้าก็เคยบอกพี่แล้ว ว่าให้หาคนมาช่วย ...แล้ว...”
“เจ้าอย่าได้พูดเช่นนั้นอีกเชียวนะ เจ้าเป็นผู้หญิง พูดจาเหมือนแม่แปรกเช่นนั้นไม่งามเลย”

นางเรียมถอนหายใจออกมาด้วยสีหน้าหม่นๆ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
“ฉันถามพี่จริงๆเถอะนะ ว่าพี่มีหญิงงามนางใดอยู่ในใจหรือเปล่า”

ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางเรียมเอ่ยถามทิดอ่ำเช่นนี้ ทุกๆครั้งที่ชายหนุ่มพูดจาในทำนองปฏิเสธความสัมพันธ์ที่หญิงสาวมีให้ นางก็มักจะถามเขาเสมอด้วยคำถามนี้ แต่เขาก็บ่ายเบี่ยงมาตลอด
“ไม่มีหรอก นางเรียมเอ๊ย”
“พี่ไม่เคยมองหน้าข้าสักทีเวลาตอบข้าเยี่ยงนี้ หากพี่ตอบข้ามาตามตรง ข้าสัญญาว่าข้าจะไม่เทียวไล้เทียวขื่อพี่เช่นนี้อีก”

ทิดอ่ำมองหน้านางเรียมอย่างชั่งใจ ก่อนที่เขาจะตัดสินใจพยักหน้ายอมรับข้อสงสัยที่นางเรียมเพียรถามมาตลอดตามจริง
“ถ้าเจ้าสัญญาเช่นนั้น ข้าก็ขอยอมรับ ว่าข้านึกชอบพออยู่กับหญิงสาวนางหนึ่ง สำหรับเจ้า ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น ข้าคิดกับเจ้าเพียงพี่ชายกับน้องสาวเท่านั้น”

“ข้าเข้าใจแล้ว” นางเรียมรับคำด้วยสีหน้าหดหู่ ก่อนจะฝืนยิ้มขึ้นมา “ถ้าเช่นนั้น พี่ชายพอจะบอกน้องสาวคนนี้สักหน่อยได้ไหมจ๊ะ ว่านางเป็นใคร อยู่บางไหนกัน”
“พี่ก็ไม่รู้ว่านางเป็นคนบางไหน พี่รู้แต่เพียงว่านางชื่อราตรีเท่านั้น”
.
.
ตกพลบค่ำ เมื่อควันไฟท้ายหมู่บ้านที่จุดไล่ยุงค่อยๆจางหายไปตามฤทธิ์ของพระเพลิงที่สิ้นลง ตะเกียงเจ้าพายุตามบ้านแต่ละหลังก็ค่อยๆถูกดับลงทีละดวงๆเป็นสัญญาณของการพักผ่อนของผู้คนที่พักอาศัยอยู่ หากแต่มีดวงไฟจากตะเกียงดวงหนึ่งที่ค่อยๆขยับเคลื่อนที่ช้าๆตามการเคลื่นไหวของทิดอ่ำที่ถือตะเกียงเจ้าพายุดังกล่าว เขาค่อยๆเดินลัดเลาะไปยังท้ายหมู่บ้านบริเวณไม่ไกลจากที่นาของเขา ก่อนจะส่งเสียงเรียกกึ่งดังกึ่งเบาพอให้คนที่อาจจะรอเขาอยู่บริเวณนั้นได้ยิน

“แม่ราตรี ข้ามาแล้ว เจ้าอยู่หรือไม่”

“ข้าอยู่นี่จ้ะ พี่อ่ำ” เสียงนั้นดังออกมาจากอีกฟากของต้นไทรใหญ่ขนาดสี่คนโอบ แสงไฟจากตะเกียงของนางนั้นขับผิวนวลของนางให้ยิ่งนวลเด่นประชันกับแสงนวลเหลืองคืนเดือนเพ็ญคืนนี้

ทิดอ่ำเดินตรงไปหานางด้วยรอยยิ้มระคนเสียงถอนหายใจอย่างเป็นห่วง
“เจ้าทำให้ข้าเป็นห่วงเสียจริงๆ เมื่อไหร่กันนะที่เราจะได้พบกันตอนไก่ขันบ้าง”
“ก็ข้าชื่อราตรีนี่จ๊ะ” นางพูดกลั่วหัวเราะ

“นามนั้นหาได้เกี่ยวกับเรื่องที่ข้าวิงวอนเจ้าเลย ... อีกอย่างหนึ่ง เจ้ารู้หรือไม่แม่ราตรีว่าพี่นั้นทนทรมานสักเพียงไหนที่ต้องอดรนทนเก็บความคิดถึงเจ้าไว้นับตั้งแต่ตะวันขึ้นถึงตะวันพลบ และได้เพียงเจอหน้าเจ้าเพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น”  ชายหนุ่มพรอดคำหวานพร้อมกับค่อยๆตระกองกอดแม่ราตรีให้นั่งลงที่รากต้นไทร

“เพียงเท่านี้ พี่ก็เรียกว่าทุกข์ทรมานแล้วหรือจ๊ะ ... พี่คงไม่รู้หรอก ว่าความทุกข์ทรมานที่แท้จริงเป็นเช่นไร” นางกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าๆก่อนจะเบนหน้าหนีจากชายหนุ่ม

“เจ้าพูดราวกับเจ้าเคยผ่านทุกข์ทรมานอันใหญ่หลวงมาก่อน” ชายหนุ่มเชยคางของหญิงสาวขึ้นถาม
“คงไม่ผิดจากที่พี่อ่ำคาดเดานักหรอกจ้ะ”

“ข้าไม่อยากเห็นเจ้าเป็นทุกข์ และแม้ว่าข้าจะมิใช่คนร่ำรวยอย่างเศรษฐีบางไหน แต่ข้าสัญญาว่าข้าจะรักและดูแลเจ้าให้มีความสุขตลอดไป” เขากอดแม่ราตรีแน่นขึ้น จนรู้สึกได้ถึงการสั่นไหวเบาๆจากคนในอ้อมกอด

“ขอบคุณพี่มากจ๊ะ” นางตอบพร้อมกับปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาคลอเสียงสะอื้น

“เจ้าจะร้องไห้ทำไม แม่ราตรีของพี่” ทิดอ่ำบอกก่อนจะลูบน้ำตาของหญิงสาวเบาๆ “ได้โปรดพาพี่ไปหาพ่อกับแม่ของเจ้าเถิด จงบอกพี่มาว่าเจ้าเป็นคนบางไหน แล้วพี่จะให้ผู้ใหญ่แม้นเป็นผู้ใหญ่ไปสู่ขอเจ้ามาเป็นสะใภ้คนใหม่ของท้องทุ่งมีนบุรีในทันที”

“ข้า...ข้า” แม่ราตรียิ่งสะอื้นไห้หนักขึ้นไปอีก “ขอเวลาให้ข้าอีกสักนิดเถิดนะจ๊ะ พี่อ่ำ”

“ข้ารอได้ แม่ราตรี เจ้าจงหยุดร้องไห้เสียเถิด ความจริง เราก็รู้จักกันได้เพียงไม่นาน หากแต่เจ้านั้นทำให้ข้ารู้สึกต้องตาแต่แรกพบ ประหนึ่งเคยทำบุญร่วมกันแต่ชาติปางก่อนก็ไม่เกินจะกล่าวเลย” ทิดอ่ำบอกหญิงสาวด้วยรอยยิ้มก่อนจะเอนศีรษะของนางให้ซุกลงบนอกกว้างของตน

ทั้งสองคนตระกองกอดอยู่เคียงข้างกันภายใต้เงาร่มไทรที่แผ่กิ่งก้านทะมึนทึบไปทั่วบริเวณ จนพระจันทร์ลอยเด่นอยู่กลางฑิฆัมพร ชายหนุ่มจึงขอตัวลากลับ

“ข้าไม่อยากให้ถึงเวลาที่เราต้องจากกันเลย”
“ไม่มีใครชอบการจากลาหรอกจ๊ะ โดยเฉพาะกับคนที่เรารัก”

“เพราะอย่างนั้น ... พี่จึงอยากไปสู่ขอเจ้าในเร็ววันไงเล่า” ทิดอ่ำบอกแล้วคว้าแม่ราตรีไปกอดอีกครั้ง แต่นางก็ผละออกจากอ้อมกอดของชายหนุ่มในทันที
“รีบไปเถิดจ้ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะตื่นเลยไก่ขัน”

ทั้งคู่โบกมือลาก่อนที่ทิดอ่ำจะค่อยๆหายไปในความมืด ทิ้งไว้แต่เพียงแม่ราตรีและหยดน้ำใสๆที่หางตาของนาง
“หยุดเสียทีเถิด มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก” เสียงขายชราคนหนึ่งดังขึ้น
“ข้าไม่หยุด ท่านไม่รู้หรอกว่าข้ารอคอยให้เวลานี้มาถึงนานแค่ไหน” นางแผดเสียงทั้งน้ำตา

“ข้ารู้ว่าเจ้ารอคอยเขามานาน ... แต่เจ้าทั้งคู่ต่างยังไม่หมดกรรม และหากเจ้ายังดื้อรั้น ก็รังแต่จะสร้างกรรมเพิ่มขึ้น และเจ้าเองก็คงรู้ดีว่าสิ่งที่เจ้ากำลังทำนั้น ทำให้บุญบารมีที่เจ้าสั่งสมมาค่อยๆหมดลง ซ้ำยังจะส่งผลร้ายต่อเจ้าหนุ่มนั่น” เจ้าของเสียงค่อยๆเดินออกมาจากต้นไทร

“การรอคอยนั้นทรมานนัก ท่านเทพารักษ์ พอๆกับการพลัดพราก ข้าจึง...”

“เอาเถิด สิ่งที่ข้าทำได้มีเพียงการพร่ำเตือนเจ้าเท่านั้น ไม่ว่าจะเทวดา มนุษย์ คนธรรพ์ หรือสัมภเวสีต่างก็มีกรรมเป็นเครื่องกำหนด “ชายชราบอกทิ้งท้ายแต่เพียงเท่านั้น ก่อนจะหายเข้าไปในต้นไทรอีกครั้ง
.
.
กลางแดดที่แผดร้อนยามบ่าย ชายหนุ่มยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดบนหน้าผากและทั่วสรรพางค์กาย เขาเพิ่งจะเริ่มเก็บเกี่ยวในช่วงบ่ายได้ไม่นานก็รู้สึกวิงเวียนขึ้นมา อาการดังกล่าวนั้นมีมาตั้งแต่เช้าแล้ว หากแต่ทิดอ่ำก็ยังคงแข็งใจทำงานต่อไป จนคล้อยบ่าย ที่ความอดทนของเขามาถึงขีดจำกัด เขาล้มลงกลางผืนนาที่ร้อนระอุ ท่ามกลางต้นข้าวที่ขึ้นสูงบดบังร่างไร้สติของเขา
.
.
“พี่อ่ำ ... พี่อ่ำฟื้นแล้วจ้ะแม่”

เจ้าของชื่อปรือตาขึ้นมาช้าๆอย่างอิดโรย กลิ่นยาหม้อลอยเข้ามามีรสขมๆเจืออยู่จนเขาต้องย่นจมูก ก่อนที่ทิดอ่ำจะมองไปรอบๆตัว จึงพบว่าเวลานี้เขากลับมานอนอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ในบ้านของตน

“เกิดอะไรขึ้น เนี่ยจ๊ะ นางเรียม ป้าเรไร”
“เอ็งเป็นลมน่ะ ไอ้อ่ำ” นางเรไรแม่ของนางเรียมบอกแก่เขา

“ฉันตกใจแทบแย่เทียว ฉันเรียกหาพี่เท่าไหร่พี่ก็ไม่ตอบ กว่าจะรู้ว่าพี่ไปนอนเค้เก้อยู่กลางนา ... รู้ไหมว่าฉันเป็นห่วงแทบแย่” นางเรียมยังไม่คลายน้ำเสียงตื่นเต้นและเป็นห่วง

“ขอบใจเอ็งมากนะ ป้าเรไรด้วยจ้ะ” เขายกมือพนมขึ้นขอบคุณจากใจจริง
“ไม่เป็นไรหรอก ... เอาล่ะ เราก็กลับเรือนกันได้แล้ว อีเรียม ไอ้อ่ำมันค่อยยังชั่วแล้ว”
“ฉันขออยู่ดูพี่อ่ำคืนนี้ไม่ได้หรือจ๊ะ”
“เอ๊ะ นางนี่!” ผู้เป็นแม่ดุเสียงเขียว “เป็นสาวเป็นนางจะมาค้างอ้างแรมบ้านผู้ชายสองต่อสองได้ยังไง กลับบ้านเดี๋ยวนี้”

สองแม่ลูกออกไปจากกระท่อมของทิดอ่ำทิ้งเสียงแว่วๆที่ค่อยๆหายไปไว้เพียงเบื้องหลัง ชายหนุ่มเจ้าของบ้านพยายามยันตัวขึ้นมาอย่างยากลำบากแต่ด้วยฤทธิ์ไข้ที่ยังไม่หายดี เขาจึงจำต้องล้มตัวลงอีกครั้งด้วยความรู้สึกห่วงหาอาทร และนึกเป็นห่วงว่าหญิงสาวคนนั้นที่นัดพบกันทุกคืนอาจจะรอคอยเขาเพียงลำพังและอาจจะตกอยู่ในอันตราย ... แต่สุดท้าย ด้วยพิษไข้ก็ทำให้เขาผลอยหลับไปอีกครั้ง...
.
.
ดวงตะวันค่อยๆลับลงขอบคันนาที่เป็นขอบฟ้าแห่งท้องทุ่ง กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกกระดังงาทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสงบอย่างที่สุด เขากำลังนอนหนุนตักเด็กหนุ่มคนหนึ่งภายใต้ร่มเงาของเถากระดังงา ในขณะที่เด็กหนุ่มคนนั้นก็กำลังดอมดมดอกกระดังงาที่ร่วงหล่นจากต้นที่เขาใช้เป็นพนักพิงหลังเวลานี้

“พระอาทิตย์สวยงามเหลือเกิน พ่อสายัณห์ ... น่ามองดังเช่นที่ข้าชอบมองเจ้า” ชายหนุ่มที่นอนอยู่กล่าวชม
“เมื่อใดตะวันขึ้นทางประจิมแล้วไซร้เมื่อนั้นจึงจะสิ้นชายปากหวานสินะขอรับ” ชายหนุ่มอีกคนกล่าวขึ้นเจือเสียงหัวเราะเบาๆ

“เจ้าว่าข้ารึ?”
“หากกระผมว่าพี่อมรจริง พี่จะโกรธกระผมหรือขอรับ” เจ้าของตักเย้า

“พี่จะว่ากระไรเจ้าได้ ในเมื่อเจ้านั้นเป็นผู้ครอบครองดวงใจของข้าแต่เพียงผู้เดียวแล้วนี่” อมรลุกขึ้นมาแล้วซุกจมูกลงบนแก้มของอีกคนจนเจ้าของพวงแก้มนั้นหน้าแดงซ่าน

“นี่ไงเล่าครับ ทัณฑ์ที่พี่อมรมอบให้กระผม”

“กระไรกัน เจ้าพูดประหนึ่งว่าข้าเพิ่งจะหอมแก้มเจ้าเป็นคราแรก และเจ้าก็ยังไม่ชินต่อการแสดงความรักของข้าเสียทีนะ” เขาบอกแล้วหัวเราะเบาๆ

“คงอีกนานกว่ากระผมจะคุ้นชิน ไม่เพียงแค่กระผมหรอก ความรักของเรานั้นผิดแปลกไปจากปกติและคงไม่มีใครในทุ่งบางกะปิจะมีความรักเช่นเราสองคน” สายัณห์ถอดสีหน้าไปเล็กน้อยเมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้

“เจ้าอย่าได้คิดเช่นนั้นเลย อันคำว่าผิดแปลกนั้นสำหรับเรามันก็อาจจะเป็นแค่เพียงเพราะมันเพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรก เหมือนสยามในครานี้ ธงไตรรงค์เองก็แปลกใหม่และมันก็เกิดขึ้นแล้วประหนึ่งความรักของพี่ที่มีต่อเจ้านั่นแล”
.
.
ทิดอ่ำสะดุ้งตื่นขึ้นในกลางดึกคืนนั้น แต่ภาพที่เขาเห็นก็ทำให้เขาต้องยิ้มกว้าง เมื่อพบว่า แม่ราตรีกำลังนั่งมองเขาอยู่ข้างๆ
“แม่ราตรี ... ข้า...” เขาทำท่าจะลุกขึ้น แต่หญิงสาวก็ห้ามไว้
“ไม่ต้องพูดอะไรหรอกจ๊ะ นอนพักเสียเถอะ พี่อ่ำยังไม่หายดี”
“แค่เห็นเจ้าข้าก็มีแรงแล้ว จะให้ไปนาเดี๋ยวนี้ก็ยังได้ ... ว่าแต่เจ้ามาได้ยังไง”

“นั่นหาใช่เรื่องสำคัญหรอกจ๊ะ รู้ไว้แต่เพียงว่าข้ามาหาพี่เพราะข้าเป็นห่วงพี่นัก” แม่ราตรีบอกพร้อมกับลูบพวงแก้มของทิดอ่ำอย่างทะนุถนอม

“ข้าก็เป็นห่วงเจ้าเช่นกัน ข้ากลัวว่าเจ้าจะไปคอยเก้อ”
“ข้าจึงมาหาพี่ที่นี่ไงจ๊ะ” นางตอบด้วยรอยยิ้ม

ทิดอ่ำเอื้อมมือไปคว้ามือของหญิงสาวมาอังไว้ที่แก้มของตน ก่อนจะเล่าถึงความฝันเมื่อครู่ให้คนรักฟัง
“พี่ฝันว่า พี่กำลังนอนหนุนตักใครคนหนึ่งอยู่ที่ไหนสักแห่ง”
“ตายจริง ไหนพี่ว่ารักฉันไหน ไฉนจึงแอบนอกใจฉันเช่นนี้เล่า” หญิงสาวพูดกลั้วหัวเราะ

“โธ่ ใครจะห้ามความฝันได้เล่า พี่ไม่เคยคิดนอกใจเจ้าจริงๆ อีกอย่าง ในฝันนั้นพี่กำลังนอนหนุนตักผู้ชาย” เขาเลิกตาขึ้นนึกถึงความฝันที่ว่า

“แล้ว.... พี่รู้สึกอย่างไรเล่า ในความฝัน มิรู้สึกรังเกียจหรือ ที่ผู้ชายนอนหนุนตักผู้ชายด้วยกันเช่นนั้น” แม่ราตรี เอ่ยถามขึ้น

“ในความฝัน ... พี่รู้สึกว่าพี่รักชายคนนั้นมาก แต่ถ้าเป็นเรื่องจริง พี่ไม่อยากคิดต่อเลยแม่ราตรี ฟ้าคงจะผ่าแน่ๆ”  เขาตอบก่อนจะหัวเราะอย่างขบขัน
“ข้าก็ว่าอย่างนั้น...”

“เลิกคิดถึงเรื่องความฝันเถิด ... เวลานี้ ข้านึกอยากจะหนุนตักเจ้าบ้าง เจ้าคงจะไม่ใจดำกับคนป่วยนักใช่ไหม” ทิดอ่ำพูดขึ้นพร้อมกับส่งสายตาอ้อนวอนแก่แม่ราตรี นางไม่พูดอะไรอีกหากแต่ขยับเข้าไปชิดชายหนุ่มแล้วยกศีรษะของชายหนุ่มขึ้นมาช้าๆมาวางบนตักของนาง

“พี่ต้องดูแลตัวเองให้มากกว่านี้รู้ไหมจ๊ะ ไม่อย่างนั้นประเดี๋ยวพี่จะป่วยขึ้นมาอีก”

“ข้าถึงอยากได้เจ้ามาเป็นเมียข้าไงเล่า อันชายชาตรีนั้นก็เหมือนเรือสำเภา ที่หาท่าเทียบเอาไว้ให้พักกายและใจยามกลับจากโล้สำเภา ... เจ้าเองก็เถอะ เมื่อไหร่จะใจอ่อนยอมให้ข้าไปสู่ขอเสียที”

“พี่จะหวังพึ่งคนอื่นร่ำไปหรือไรกัน” แม่ราตรีก้มหน้าบอกชายหนุ่มที่หนุนตักนางอยู่
“งั้นเอาใหม่ พี่ต้องบอกเจ้าตรงๆใช่ไหมว่าพี่อยากได้เจ้ามาเป็นคู่ชีวิต เป็นแม่ของลูกข้า”

“พักผ่อนเถิดจ๊ะ..” นางตอบแล้วหลบสายตาของทิดอ่ำ
“ข้าขอหลับไปบนตักของเจ้าได้ไหม ยอดรักของพี่”

แม่ราตรีไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ หากแต่นางใช้มือข้างหนึ่งนั้นเลื่อนไปลูบเปลือกตาทั้งสองข้างของทิดอ่ำให้ปิดลงแล้วเขาก็หลับไปบนตักของนาง
.
.
เช้าวันรุ่งขึ้น ทิดอ่ำตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่นกระปรี้กระเปร่าราวกับเมื่อวานไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น ชายหนุ่มแบกคันไถขึ้นบ่าแล้วจูงควายไปกินหญ้าแต่เช้าตรู่ จนนางเรียมต้องแปลกใจ

“พี่อ่ำ พี่หายดีแล้วรึ”
“ข้ายังหนุ่มยังแน่น นอนป่วยคืนเดียวก็หายแล้ว” ทิดอ่ำตอบด้วยสีหน้าสดชื่น
“ไม่น่าเชื่อเลย เมื่อวานนี้พี่รู้ไหมว่า หน้าพี่ซีดอย่างกับอะไร” นางยังไม่คลายกังวล
“เมื่อวานก็ส่วนเมื่อวานสิ นางเรียม ข้าไปก่อนล่ะ” ทิดอ่ำโบกมือลาก่อนจะไปที่นาของตน

ชายหนุ่มลงมือเก็บเกี่ยวจนถึงเที่ยงวันจึงได้หลบมาพักที่ใต้ร่มเงาของกระท่อมปลายนาที่เขาสร้างไว้ พลางทอดมองไปยังร่มไทรต้นใหญ่ไม่ไกลจากที่นาของเขานักด้วยรอยยิ้ม เขาเฝ้ารอคอยให้ถึงเวลาสายัณห์เพราะหลังจากเวลานั้น ความคิดถึงของเขาจะได้รับการบรรเทาด้วยรสสัมผัสจากแม่ราตรีผู้เป็นดั่งยอดดวงใจ
.
.
หลังจากควันไฟท้ายหมู่บ้านค่อยๆจางลง แสงไฟจะตะเกียงในครัวเรือนแต่ละหลังก็ค่อยๆดับลงเหมือนเช่นเคยอีกวัน หลายคนรอคอยให้ถึงเวลาพักผ่อนเช่นนี้ หากแต่ทิดอ่ำกลับรอคอยให้เวลานี้มาถึงเพื่อที่เขาจะมาพบผู้เป็นแก้วตา และในคืนนี้ นางก็มารอเขาอยู่ที่เดิมใต้ร่มไทรซึ่งเป็นดั่งพยานรักของทั้งคู่ตลอดมา
“ข้ามาแล้ว แม่ราตรี”

นางยังคงหันหลังให้เขาจนชายหนุ่มนั้นถือโอกาสโอบกอดนางจากด้านหลัง ถึงกระนั้นนางก็ยังไม่ใส่ใจต่อการมาถึงของชายหนุ่ม
“ทำไมไม่พูดกระไรกับพี่สักหน่อยเล่า หรือจะมีเพียงแต่ข้าที่เฝ้าคิดถึงเจ้ามากมายเหลือเกิน”
“หากพี่อ่ำหมายจะวัดความคิดถึงกับตัวข้าแล้ว พี่คงพ่ายแพ้อย่างหมดท่าเชียวล่ะ” นางตอบโดยยังไม่ยอมหันมา

“ถ้าเช่นนั้น ขอพี่ได้เยียวยาความคิดถึงของพี่สักหนึ่งครั้งให้ชื่นใจเถิด” ทิดอ่ำกล่าวขึ้นพร้อมกับแตะจมูกลงบนแก้มของหญิงสาว “แม่ราตรีรู้ไหม ว่าเจ้าทำให้ข้าคิดถึงบทเพลงหวานๆที่เคยกล่าวเปรียบเปรยไว้ว่าเนื้อสาวเป็นดั่งแม่เนื้อเย็น ผิวเนื้อเจ้าเองก็มิต่างกันเลย”
 
“เย็นเยียบดั่งเนื้อคนตายกระนั้นหรือจ้ะ” แม่ราตรีหันมาหัวเราะเบาๆ
“ไม่เหมือนหรอก ยามพี่ได้สัมผัสกายเจ้า ทำให้พี่รู้สึกสงบเย็นประหนึ่งคู่ผัวตัวเมียที่หากินตามประสาแล้วได้กลับมากอดยอดรักให้คลายเหนื่อย”

แม่ราตรีถอนหายใจแล้วหันหน้าหนีชายหนุ่ม ก่อนจะพูดขึ้น
“พี่ช่างคิดถึงแต่วันพรุ่งนี้ อนาคตนั้นล้วนเป็นสิ่งไม่แน่นอน ... บางที พี่ควรคิดเผื่อไว้บ้างเผื่อว่า คืนพรุ่งนี้... เราอาจจะไม่ได้พบกันอีกก็ได้” 

“เจ้าพูดเหมือนว่า เจ้าจะไม่มาหาข้าอีก” ชายหนุ่มถามย้ำด้วยสีหน้าวิตก

“ข้าแค่พูดตามความจริง ... ไม่มีใครล่วงรู้วันพรุ่งนี้” แม่ราตรีบอกเขา พร้อมกับเอื้อมมือมาลูบพวงแก้มกร้านคล้ำของชายหนุ่ม “แล้วสมมติว่า หากเราสองคนไม่ได้เจอกันอีกแล้ว...”

“พี่จะไม่คิดเช่นนั้น ... หากเจ้าจะบอกให้พี่ตัดใจ มันก็สายเสียแล้ว เพราะดวงใจสิเน่หาของพี่นั้นได้ยกให้เจ้าไปหมดแล้ว “ ทิดอ่ำกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังพร้อมกับกุมมือของแม่ราตรีไว้

“อันความรักนั้นย่อมมีทั้งสมหวังและไม่เป็นดั่งหวัง ... ข้าเชื่อว่าพี่เองก็คงจะเคยได้ยินมาบ้าง...”

“ข้าเห็นดังที่เจ้ากล่าวว่าทุกสิ่งล้วนมีอุปสรรค ขอเพียงเจ้าได้บอกข้า หากเจ้าหมายมั่นจะกุมมือข้าฟันฝ่าอุปสรรคไปด้วยกัน ข้าก็จะลองสู้รบกับอุปสรรคขวากหนามเหล่านั้น”

แม่ราตรีจ้องมองแววตาของคนตรงหน้าด้วยดวงตาที่ปริ่มไปด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง นางจุมพิตที่พวงแก้มของชายหนุ่มก่อนจะโผกอดเขาไว้โดยไม่พูดอะไรอีก แต่ถึงกระนั้น ทิดอ่ำก็ยังไม่คลายความสงสัยและวิตกกังวลต่อนัยยะที่หญิงสาวเหมือนกับพยายามจะสื่อ

“บอกข้าได้ไหม ว่าเจ้ากังวลสิ่งใดอยู่หรือเปล่า ไฉนเจ้าจึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา”

“ไม่มีเรื่องใดหรอกจ๊ะ ข้าก็แค่อยากจะให้พี่ทำวันนี้ของเราให้มีความสุขก็พอ แล้วเรื่องของวันพรุ่งนี้ก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามบุญวาสนาแต่กาลเก่าของเราเถิด”

ดวงจันทร์ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้านั้นทำให้ทั้งคู่พอจะทราบว่าเวลานั้นล่วงเลยไปนานเท่าใด ทิดอ่ำและแม่ราตรีมองหน้ากันอีกครั้งอย่างทวงถามความจริง แต่ก็ไม่ได้คำตอบอะไร ก่อนที่หญิงสาวจะยิ้มขึ้นและกล่าวคำลา

“พี่อ่ำกลับไปเสียเถิดจ๊ะ น้ำค้างลงหนักแล้ว พี่เพิ่งจะหายไข้เองนะ”

“ข้ากลับแน่ แต่เจ้าต้องสัญญากับข้า ... ว่าคืนวันพรุ่ง เราจะต้องได้เจอกันอีก” ทิดอ่ำถามย้ำพร้อมกับจ้องลึกลงไปในดวงตาของหญิงสาว

“เราต้องได้พบกันแน่จ๊ะ พี่อ่ำ”

ทิดอ่ำจ้องลึกลงไปในแววตาคู่สวยคู่นั้นอีกครั้งเพื่อย้ำความมั่นใจ ก่อนจะจากไปพร้อมกับแสงของตะเกียงเจ้าพายุ

“เราต้องได้พบกันแน่.... ในสักวันหนึ่ง” แม่ราตรีพูดขึ้นในความมืดหลังจากที่ชายหนุ่มลับสายตาไป สิ้นเสียงนั้นนางก็พรั่งพรูน้ำตาประหนึ่งจะขาดใจตายแล้วทรุดตัวลงอย่างหมดเรี่ยวแรงบนรากไทรที่โค้งงอไปตามแนวผืนดิน

“เจ้าทำถูกแล้ว ... แข็งใจไว้เถิด ความทุกข์และความเจ็บปวดจากความรักนั้นล้วนเป็นธรรมดาของโลก และการบิดเบือนกฎสวรรค์นั้นก็เป็นเสมือนการต่อเวรกรรมให้ยืดยาวไปไม่สิ้นสุด” ชายชราคนเดิมกล่าวขึ้นจากด้านหลังพร้อมกับแตะไหล่หญิงสาวไว้อย่างเข้าใจนาง

“ท่านเทพารักษ์ ... ข้า ... ทรมานเหลือเกิน” นางยังคงฟูมฟายและเจ็บปวดหัวใจ

“เจ้าจักต้องผ่านมันไปได้ ... ไม่มีเวไนยสัตว์ตนใดหลีกหนีบ่วงกรรมพ้น และเมื่อถึงเวลานั้น ผลบุญจักส่งให้เจ้าได้พบกับความสุขที่เจ้ารอคอย ... แต่หากเจ้ายังขืนเป็นอยู่เช่นนี้ คนรักของเจ้าจักต้องหมดพลังชีวิตในสักวันเพราะสัมผัสไอวิญญาณของเจ้า และนั่นก็จะเป็นการทำให้เจ้าสร้างกรรมเพิ่มแก่พ่อหนุ่มนั้นจนทำให้เจ้าทั้งคู่มีเวรกรรมต่อกันยิ่งไปอีกไม่รู้จบ”

“ข้าเข้าใจแล้ว ท่านเทพารักษ์ ข้าจะหมั่นบำเพ็ญเพียร ... เพื่อวันหนึ่ง ข้าจะต้องหลุดพ้นจากบ่วงกรรมที่แสนจะทุกข์ทรมานนี้เสียที” นางซบหน้าลงกับรากไทรทั้งน้ำตา ก่อนจะแหงนหน้ามองท้องฟ้าดั่งอ้อนวอนร้องขอต่อเบื้องบน
.
.

ยุ้งฉางที่ว่างเปล่าเหมือนกับทิดอ่ำที่บัดนี้เป็นเหมือนภาชนะว่างเปล่าที่ไม่ได้บรรจุเลือดเนื้อและจิตวิญญาณไว้ ร่างกายของเขาทรุดโทรมผ่ายผอมด้วยความตรอมใจ หลายเดือนแล้วที่เขาไม่ได้พบหน้าแม่ราตรีอีกเลย ณ ต้นไทรแห่งนั้น โดยที่เขาก็ไม่รู้ได้ว่านางนั้นไปอยู่หนไหน

“เมื่อไหร่พี่อ่ำจะไปปักกล้าเสียที นี่ก็เข้าสู่ฤดูฝนแล้วนะ” นางเรียมเอ่ยปากขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงอย่างที่สุดกับสภาพของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า
“ข้าจะทำไปเพื่ออะไรกันเล่า นางเรียม” เขาตอบด้วยน้ำเสียงผะแผ่ว
“เพื่อตัวพี่เองน่ะสิ ดูสารรูปตัวเองเข้า เหมือนผีตายซากเข้าไปทุกวัน ข้าวปลากินบ้างหรือเปล่า”
“ร่างกายที่ไร้หัวใจ ก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายไปแล้วหรอก” ทิดอ่ำตอบแล้วเบือนหน้าหนี
“กะอีแค่ผู้หญิงที่ไม่รักพี่คนเดียว พี่จะยอมตายเพื่อนางเชียวรึ”
“นางรักข้า เจ้าไม่รู้อะไรอย่ามาพูดดีกว่า หากนางไม่รักข้าแล้ว นางก็ต้องบอกลาข้าสักคำสิ ... แต่นี่...”
“ถ้าเช่นนั้น ทำไมพี่ไม่ถามความจริงจากปากนางเล่า บอกข้ามา ข้าจะไปพานางมาหาพี่เดี๋ยวนี้แหละ”
“ข้าก็ไม่รู้....” ทิดอ่ำตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก พร้อมกับที่เขาต้องหลั่งน้ำตาอีกครั้ง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-11-2012 13:20:41 โดย ลำนำบุหลันครวญ »

ออฟไลน์ ลำนำบุหลันครวญ

  • Most Wanted!!!
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +377/-1
เป็นอีกหนึ่งคืนที่ทิดอ่ำกลับมาที่ใต้ต้นไทรเพื่อรอคอยแม่ราตรียอดดวงใจของเขา และก็เป็นอีกครั้งที่เขาไม่เห็นแม้แต่เงาของนาง เขาทรุดตัวลงที่โคนต้นไทรและร่ำไห้ด้วยความคิดถึงนางอย่างหมดซึ่งเรี่ยวแรงทุกสิ่ง
   
“ข้าแต่เทพารักษ์ ... เจ้าป่าเจ้าเขา นางไม้เจ้าเอ๋ย ได้โปรดบอกข้าเถิด ว่าแม่ราตรีของข้า ...อยู่ที่ใด” ทิดอ่ำยกมือพนมทั้งน้ำตา ไหว้วอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ... ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ไม่เคยแสดงปาฏิหาริย์ใดแก่เขาสักนิด

“ไม่เคยมีหญิงนางใดอยู่ที่นี่ทั้งนั้นแหละ พี่อ่ำ” นางเรียมที่แอบตามมาพูดขึ้นจากด้านหลัง “กลับเรือนกันเถิด นี่ก็ดึกดื่นค่อนคืนแล้ว”

“ข้าไม่กลับ ข้าจะรอแม่ราตรีอยู่ที่นี่จนกว่าจะได้พบนาง ... ตราบข้าสิ้นลม”

“พี่อ่ำ ... ได้สติคิดอ่านเสียทีเถิด ข้าว่า ท่านกำลังต้องมนต์แห่งภูตผีที่หลอกล่อท่านให้หลงเสน่ห์มัน ไม่มีทางที่จะมีมนุษย์คนใดจะรอท่านอยู่ที่นี่ หรือถ้ามี นางก็ช่างใจดำอำมหิตนักจึงปล่อยให้ท่านตรอมใจจนผ่ายผอมเช่นนี้ ... กลับมากับข้าเถิด” นางเรียมกล่าวเตือนสติ แต่ก็ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์

“ไม่ เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดรึ ข้ารักแม่ราตรี ข้าจะรอนางอยู่ที่นี่!” ชายหนุ่มแผดเสียงกร้าว

“ถ้าเช่นนั้น ข้าคงต้องใช้กำลังกับพี่เสียแล้ว” สิ้นเสียงนาง ชายฉกรรจ์ในหมู่บ้านก็กรูกันเข้ามากึ่งจูงกึ่งลากทิดอ่ำให้กลับเข้าหมู่บ้าน เขาทั้งดิ้นทั้งสู้ด้วยเรี่ยวแรงที่พอมีด้วยน้ำตาที่อาบนองใบหน้าปริ่มจะขาดใจ ก่อนที่สุดท้ายเขาจะถูกพาตัวกลับไปได้ในที่สุด

“แม่ราตรี!!!” เสียงของเขาโหยหวนอย่างน่าเวทนา ก่อนจะค่อยๆลับไปจากใต้ต้นไทรแห่งนี้ หลังจากเหตุการณ์สงบลง ก็ปรากฏร่างของชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง เขาทรุดตัวลงที่ใต้ต้นไทร ก่อนจะเริ่มสะอื้นเบาๆเมื่อเขาได้เพ่งมองคราบหยดน้ำตาจางๆที่ทิดอ่ำทิ้งไว้บนรากไทรแห่งนี้

“พี่อมรจ๋า ข้าขอโทษ ... ข้าเอง ก็รักท่านมากเช่นกัน”
.
.
หนึ่งสัปดาห์ล่วงผ่านไป ทิดอ่ำสงบลงบ้างจนทำให้ทุกคนเบาใจลง เขาเอ่ยปากบอกทุกคนให้ปล่อยเขาหลังจากที่ถูกมัดไว้ให้สงบสติอารมณ์ลง และจะขอเริ่มปักกล้าดำนาเสียทีหลังจากว่างเว้นไปเสียนาน

“พี่จะไม่ไปที่นั่นอีกแล้วจริงๆใช่ไหมจ๊ะ พี่ให้สัญญากับฉันได้ไหม” นางเรียมถามขึ้นด้วยสีหน้าที่ยังไม่คลายความวิตกนัก

“แต่ต้นไทรต้นนั้นอยู่ที่ปลายนาของข้า หากข้าสัญญาเช่นนั้น ก็เหมือนดั่งเจ้าห้ามมิให้ข้าไปทำงานทำการน่ะสิ” เขาพูดกลั้วยิ้มเศร้าๆ ก่อนจะแบกไถขึ้นบ่า

“ข้าเป็นห่วงพี่อ่ำนัก พี่ก็รู้”

“อย่าห่วงเลย ข้าเองก็รักเจ้ามากนะ นางเรียม เจ้าเป็นน้องสาวที่ดีต่อข้าเสมอมา” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับลูบหัวนางอย่างเอ็นดู “เลิกหาความกับข้าเถิด เดี๋ยวตะวันจะเลยหัวกันพอดี”

ทั้งคู่แยกกันไปยังที่นาของตน ก่อนที่ชายหนุ่มจะเหลียวมองไปยังต้นไทรที่เขายังคงอาวรณ์มิสร่างซา แล้วถอนหายใจอย่างปลดปลง เสียงนกกาดังขึ้นเป็นเหมือนระฆังบอกเวลางานให้เขาเริ่มหันหลังสู้ฟ้าปักกล้าลงดิน แล้ววางเรื่องหัวใจไว้เป็นเรื่องรองที่เขาจะคิดถึงแค่ในยามค่ำคืน ... และคืนนี้อาจจะเป็นคืนสุดท้ายที่เขาจะสามารถระลึกถึงความขมขื่นทั้งหมดที่เกิดขึ้น
.
.
ทิดอ่ำแอบมาที่ต้นไทรในเวลาดึกสงัดกว่าทุกคืนเพื่อที่เขาจะแน่ใจว่า ทุกคนในหมู่บ้านนั้นหลับกันหมดแล้ว หลังจากที่หนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาถูกจับตาจากคนทั้งบางมีนบุรีว่าเขาจะแอบมาที่นี่อีกหรือเปล่า ... และคืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่เขาไม่พบแม่ราตรี หยดน้ำตาไหลออกช้าๆเมื่อเขาพบแต่เพียงความมืดและความวังเวงภายใต้กิ่งก้านทะมึนทึบของต้นไทรแห่งนี้ แต่เขาก็ไม่ได้หวาดกลัวต่อบรรยากาศตรงหน้า ทิดอ่ำก้าวไปข้างหน้าช้าๆแล้วทรุดตัวลงพิงต้นไทรอย่างเหนื่อยอ่อน เขาแหงนหน้ามองดูกิ่งก้านของต้นไทรด้วยดวงใจที่หดหู่ ก่อนจะกล่าวขึ้นกับตัวเอง

"หากไร้ซึ่งหัวใจ ก็เหมือนดั่งคนที่ตายไปแล้ว”

ทิดอ่ำพูดขึ้นแล้วหลับตาลงช้าๆเพื่อปลดปล่อยหยาดน้ำตาหยดสุดท้าย ก่อนที่เขาจะป่ายปีนขึ้นไปบนต้นไทรแล้วแกะผ้าขาวม้าที่เคียนเอวมากับกิ่งไทรที่ดูแน่นหนาแล้วผูกผ้าขาวม้าผืนนั้นเป็นปม ... และสุดท้าย ชายหนุ่มก็เลือกจะแขวนตัวเองไว้กับปมผ้าขาวม้าแล้วทิ้งตัวลงมาหมายจะจบชีวิตตัวเองที่ต้นไทรแห่งนี้

ทันทีที่ทิดอ่ำทิ้งตัวลงมา ลมกรรโชกก็พัดแหวกอากาศเสียงดังหวีดหวิวโครมครืนจนร่างของชายหนุ่มเอนไกวไปตามแรงลม ก่อนที่สุดท้ายร่างของเขาจะหล่นลงมาบนรากไทรใหญ่

“พี่ไม่ควรจะทำเช่นนี้ มันเป็นบาปนัก”

เสียงที่ดังขึ้นทำให้ทิดอ่ำต้องรีบเหลียวหลังมามอง เพราะเสียงนั้นเป็นเสียงของคนที่เขาเฝ้ารอคอยมาตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา

“แม่ราตรี!”  เขาพยายามจะลุกขึ้นมา ทว่าแรงกระแทกนั้นก็ทำให้ข้อเท้าของเขาแพลงจนไม่สามารถยันตัวขึ้นมาได้ แต่ถึงกระนั้น ทิดอ่ำก็ยังกระเสือกกระสนไปหานางด้วยการคลานไปหาผู้เป็นยอดดวงใจของตน

“สัญญากับข้าสิ ว่าท่านจะไม่คิดฆ่าตัวตายเช่นนี้อีก” แม่ราตรีเอ่ยด้วยใบหน้าราบเรียบแต่แววตานั้นฉายแววความเศร้าโศกเอาไว้

“ข้าจะไม่ทำเช่นนั้นแน่ หากเจ้าก็สัญญาว่าเราสองคนจะครองคู่กันไปจนวันตาย แม่ราตรี ข้ารักเจ้าจนไม่สามารถอยู่ต่อไปได้หากไม่มีเจ้า เจ้าทำให้ข้ารู้ว่า ดวงใจของข้าโหยหาเจ้าสักเพียงใด ดังนั้น ... ได้โปรดมอบคำมั่นแก่ข้าว่าเจ้าจะไม่ทิ้งข้าไปดังที่ผ่านมา” ทิดอ่ำพรั่งพรูความรู้สึกมากมายตลอดเวลาที่แม่ราตรีหายหน้าไปด้วยน้ำตา เขากอดขานางไว้อย่างอาดูร แต่ถึงกระนั้น นางก็ยังคงไม่ก้มลงมามองชายหนุ่มสักนิด

“มีสิ่งหนึ่งที่ท่านต้องรู้ ... ว่าวันหนึ่งเราก็ต้องพรากจากกัน”

“วันนั้นคือวันตายของเราหลังจากที่เราได้ใช่ชีวิตร่วมกัน มิใช่การลาจากทั้งที่ข้ายังรักเจ้าเต็มหัวใจ ได้โปรดเห็นใจพี่เถิด หากเจ้าเองก็คิดอ่านเช่นเดียวกับข้า เจ้าน่าจะรู้สึกเช่นเดียวกันว่าการลาจากทั้งที่ยังเสน่หานั้นช่างทรมานเหลือเกิน” ทิดอ่ำซบหน้าลงบนหลังเท้าของคนตรงหน้าทั้งน้ำตา

“ทำไมข้าจะไม่รู้ว่าการพลัดพรากคนที่รักนั้นเจ็บปวดรวดร้าวสักเพียงไหน”

“ถ้าเช่นนั้น ได้โปรดเถิด...” ชายหนุ่มวิงวอน ทว่า สุ้มเสียงของคนที่เขาขอร้องนั้นก็เปลี่ยนแปลงไป ร่างนั้นค่อยๆทรุดตัวลงมาหาทิดอ่ำ ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มและเจือการสะอื้น

“ข้าหาใช่แม่ราตรีที่ท่านรัก ... และท่านก็ลืมแล้วสิ้นถึงความขมขื่นที่ทิ้งไว้กับข้าตลอดหลายปีที่ผ่านมา”

ร่างของแม่ราตรีแปรเปลี่ยนไปเป็นชายหนุ่มร่างเล็กผิวนวลเหลือง ชายหนุ่มคนนั้นร้องไห้ปริ่มจะขาดใจ น้ำตาของเขานองใบหน้าอีกทั้งดวงตาก็แดงก่ำดั่งผ่านการร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาตลอดทุกเมื่อเชื่อวัน และยังไม่ทันที่ทิดอ่ำจะได้ขัดข้องสงสัยการใด ชายหนุ่มคนนั้นก็เลื่อนใบหน้ามาใกล้และประทับริมฝีปากของเขากับริมฝีปากของทิดอ่ำอย่างดูดดื่ม ...
.
.
ดวงตะวันคล้อยต่ำที่ปลายนาแห่งท้องทุ่งบางกะปิ ผืนนายามนี้นั้นเหลือเพียงรอยไถคราดเก่าๆที่แตกระแหงจากร่องรอยแห่งการเก็บเกี่ยวที่รอคอยการเพาะปักกล้าใหม่ในฤดูกาลหน้า หากแต่ชายสองคนที่เฝ้ามองดวงตะวันลับเหลี่ยมคันนายามนี้นั้นกลับรู้สึกมืดมนต่อการเริ่มต้นของการลาจาก

“ข้าควรทำเช่นใดดี สายัณห์ อีกไม่กี่สัปดาห์ ข้าก็ต้องเข้าพิธีหมั้นหมายกับแม่จันทร์แล้ว”
 
“ที่พี่อมรต้องทำก็เพียงแค่ทำตามที่พ่อกับแม่ของพี่ต้องการตามหน้าที่ของบุตรที่ดีของท่านทั้งสอง” ชายหนุ่มอีกคนตอบโดยไม่ได้มองหน้าผู้ถาม

“แต่ใจพี่จะขาดรอน ในเมื่อเจ้าก็รู้ว่าข้ารักเจ้า และเราสองคนนั้นก็รักกันมานาน” เขาพูดพร้อมกับกุมมือของอีกคนเอาไว้ น้ำตาหนึ่งหยดของชายหนุ่มหยดลงบนมือที่เกาะกุมกันก่อนที่เจ้าตัวจะปาดน้ำตาแห่งความลำเค็ญนั้น

“เราสองคนเหมือนคนที่จูงมือกันเดินเข้ามาในอุโมงค์ที่ไม่มีทางออก เรารู้อยู่แก่ใจว่ารักของเราไม่มีทางเป็นไปได้ แต่เราก็ดันทุรังจะเดินเข้ามา บัดนี้ มันถึงเวลาที่เราจะต้องยอมรับความจริง พ่อกับแม่ของพี่อมรได้เป็นผู้หาทางออกแก่เราให้เห็นทางสว่างเสียที”

“นั่นหาใช่ทางออกไม่ แต่เป็นการปฏิเสธความจริง ว่าเราสองคนรักกัน” ชายหนุ่มปฏิเสธที่จะฟังเหตุผลของอีกฝ่าย เขาคว้าชายร่างเล็กไปกอดแน่นราวกับกลัวจะสูญเสียเขาไป

“แต่ป้าทองกับลุงมิ่งก็ไม่ได้ใจร้ายกับเรานักไม่ใช่หรือขอรับ ข้าก็ยังเป็นบ่าวของเรือนพี่อมร เรายังได้พบหน้ากันอยู่ ... ไม่เพียงแค่ความรักของข้าจะเปลี่ยนแปลงไป แม้หากวันใดท่านมีหน่อเนื้อกับคุณหนูจันทร์เธอ ผมก็จะรักเด็กคนนั้นเสมอบุตรของกระผมเช่นกัน” คนในอ้อมกอดกล่าวทั้งน้ำตา

“พี่จะมีสุขได้เช่นไร ตราบที่กายพี่อยู่กับคนที่ไม่ได้รัก แต่หัวใจของพี่นั้นอยู่กับเจ้าที่ข้าจะไม่อาจชิดเชยได้อีก”

“จงใช้ชีวิตที่เหลือต่อไปอย่างมีความสุขเถิดขอรับ ได้โปรดเชื่อดังที่ข้าบอกท่านว่าความสุขของท่านนั้นอิ่มเองในหัวใจกระผมเสมอประหนึ่งเราใช้หัวใจดวงเดียวกัน” 

“ถ้าเช่นนั้น เจ้าจะต้องไม่ร้องไห้อีก สัญญาได้ไหม น้ำตาของเจ้าทำให้ข้าปวดใจทุกครั้ง” ชายหนุ่มที่ตระกองกอดไว้คลายวงแขนออกเล็กน้อยแล้วเช็ดน้ำตาที่แก้มทั้งสองข้างของบ่าวหนุ่มด้อยวาสนา

“ข้าสัญญา ... ขอให้ท่านมีครอบครัวที่มีความสุขเถิดนะขอรับ” สายัณห์จับมือของอมรที่ลูบพวงแก้มของตนออก ก่อนจะใช้หลังมือปาดน้ำตาตัวเอง

“ข้าขอโทษ ที่ทำให้เจ้าต้องร้องไห้ ... เป็นเพราะข้า เป็นเพราะข้าแท้ๆ”

“มิใช่หรอกขอรับ แท้จริงแล้วเป็นเพราะข้ามิใช่สตรีต่างหาก ข้าถึงมิอาจเป็นคู่ชีวิตของท่านได้”
.
.
เสียงมโหรีปี่พาทย์และกลองยาวดังขึ้นแว่วๆมาจากทุ่งบางกะปิ เสียงนั้นค่อยๆหายไปเมื่อสายัณห์ก้าวย่างอย่างช้าๆมาที่เถากระดังงาแห่งเดิมอันเป็นสถานที่ที่สายัณห์และอมรมักจะมาพบกันที่นี่เสมอตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขายืนมองมันด้วยน้ำตาที่อาบนองใบหน้า ก่อนที่เขาจะคว้าดอกกระดังงามาได้เพียงดอกหนึ่ง แล้วเดินเท้าจากมาเรื่อยๆเหมือนคนที่สติหลุดลอยไร้ซึ่งจิตใจ

“ลาก่อน พี่อมร ... แท้จริงแล้วข้าไม่ใช่คนเข้มแข็งดังที่บอกพี่หรอก”

เขาฝากคำพูดไว้กับสายลมโดยไม่หันไปมองทางเดินที่จากมา มีเพียงน้ำตาที่ยังไหลและหัวใจที่ยังร้าวราน ชายหนุ่มเดินเท้าไปอย่างไร้จุดหมาย จากย่านบางกะปิลัดเลาะไปตามแนวคลองแสนแสบโดยไม่กินไม่ดื่ม เขาเอาแต่ร้องไห้จนใครผ่านไปผ่านมาพากันมองว่าเขาเป็นคนสติไม่ดี จนในค่ำคืนหนึ่งเขาก็มาถึงมีนบุรี ด้วยความอ่อนระโหยโรยแรง เขาก้าวขาสะดุดล้มลงใต้ต้นไทรต้นหนึ่งที่แผ่กิ่งก้านสาขาสูงตระหง่าน

ชายหนุ่มนอนแผ่หมดเรี่ยวแรงอยู่บนรากไทรต้นนั้น ความมืดที่แผ่คลุมทำให้ความโศกเศร้าในหัวใจชัดเจนขึ้นอีกจนเขาร้องไห้ น้ำตาที่หลั่งรินมาตลอดการเดินทางประกอบกับความอ่อนล้าทำให้ดวงตาทั้งคู่ที่เคยสดใสนั้นแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำและน้ำตาที่หลั่งก็กลายเป็นสายเลือดด้วยความทุกข์ทรมานทั้งกายและใจ 

ก่อนที่ท้ายที่สุด เขาจะรวบรวมเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้าย ... ใช้ในการจบชีวิตตัวเองด้วยผ้าขาวม้าที่ชายหนุ่มคนรักเคยมอบให้

“หากชาติหน้ามีจริง ขอให้ข้าได้รักพี่ โดยไม่มีอุปสรรคมาขวางดั่งเช่นชาตินี้เถิด....”

.
.
สายัณห์ถอนริมฝีปากออกจากทิดอ่ำ แล้วทุกอย่างก็กลับสู่ห้วงเวลาปัจจุบัน ความเงียบของค่ำคินนั้นทำให้เสียงสะอื้นของวิญญาณผู้ทนทุกข์มาเป็นเวลาเนิ่นนานชัดเจนยิ่งขึ้น สายัณห์ลุกขึ้นหันหลังให้ ก่อนจะเอ่ยปากไล่ทิดอ่ำให้จากไป

“กลับไปเสียเถิด มันถึงเวลาที่ข้าต้องยอมรับความจริงเสียทีว่าเราอยู่กันคนละภพ และพี่นั้นก็หาใช่พี่อมรคนที่ข้ารอคอยไม่”
“สิ่งที่ข้าเห็น เป็นความจริงอย่างนั้นรึ” ทิดอ่ำกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงขาดเป็นห้วงๆ

“ไม่แปลกหรอกที่ท่านจะลืมไปสิ้น เพราะชาตินี้ท่านคือทิดอ่ำ มันก็เป็นแค่เรื่องราวในอดีตชาติ .... ที่มีเพียงข้าผู้เดียวที่จำฝังใจและทนทุกข์อยู่ที่นี่แต่เพียงลำพัง”

“ข้า ... ข้า” ห้วงความคิดของชายหนุ่มหมุนวนเหมือนลมหัวกุดหน้าแล้งที่พัดกรรโชกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แต่สายัณห์ก็ไม่ได้ให้เวลาชายหนุ่มในการปะติดปะต่อเรื่องราวใดๆอีก

“และข้านั้น ก็หาใช่สตรีเพศ ท่านเป็นผู้ชาย ลืมไปเสียเถิดว่าชาติก่อนท่านเคยแปดเปื้อนบัดสีกับชายลักเพศเช่นข้า”

ทิดอ่ำค่อยๆยันตัวเองขึ้นมา เขายังคงสับสนกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่สุดท้าย เขาก็ปล่อยให้ความคิดส่วนลึกของเขาสั่งการร่างกาย และผลลัพธ์นั้นก็คือ เขาโอบกอดสายัณห์จากด้านหลังโดยไม่ได้สนใจว่าที่อยู่ในอ้อมกอดนั้นคือวิญญาณซ้ำยังเป็นชายเช่นเดียวกับตน

“ข้าก็ไม่รู้หรอก ว่าที่จริงข้ารักใครไม่ว่าจะเป็นพ่อสายัณห์หรือแม่ราตรี แต่ความจริงก็คือ ทั้งสองคนที่ข้ารักนั้นก็คือเจ้ามิใช่รึ”

“พี่อมร ... ท่านพูดอะไรออกมา รู้ตัวหรือเปล่า” สายัณห์หันมาทันทีที่ชายหนุ่มพูดขึ้น แต่คำพูดของเขาก็หาได้ทำให้ความรู้สึกของทิดอ่ำคลอนแคลนลงแม้สักนิด

“ข้ามิได้หลงรักในความงามของแม่ราตรี แต่ข้าหลงรักในสิ่งที่ลึกเข้าไปในกายเจ้า และบัดนี้ ข้าก็ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่ารักแท้อันบริสุทธิ์ของเจ้านั้นมั่นคงและเจ้าก็เฝ้ารอคอยข้ามาตลอด จึงไม่แปลกเลยหากข้าจะยืนยันว่าความรักของข้านั้นก็มิได้แคลนคลอนลงไปสักนิด ไม่ว่าเจ้าจะเป็นสตรีที่งดงามนามว่าราตรีหรือเป็นชายชาตรีผู้ยึดมั่นในความรักนามว่าสายัณห์”

“แต่ ... แต่...” คนในอ้อมกอดโผเข้าซบอกกว้างของทิดอ่ำ “เวลานี้ เราอยู่กันคนละภพ และข้านั้นต้องชดใช้เวรกรรมที่ได้ทำอัตวินิบาตกรรมแก่ตนเอง ... พี่อมรจงลืมข้าเสียเถิด รักของเรานั้นไม่มีทางเป็นได้ดั่งหวังหรอก”

“อย่าเพิ่งหมดหวังสิ พ่อสายัณห์” ชายชราผู้เป็นเทพารักษ์แห่งต้นไทรกล่าวขึ้น หลังจากที่เฝ้ามองดูอยู่ด้วยความสงสาร “หากเจ้าเชื่อมั่นในความรักของเจ้าทั้งสอง ก็จงหมั่นสร้างบุญบารมี เมื่อไหร่ที่เจ้าทั้งคู่สิ้นเวรสิ้นกรรม สวรรค์ก็จะบันดาลให้เจ้ากลับมาเป็นคู่กันอีกครั้ง”

“ข้าจะรอครับ ท่านเทพารักษ์” ทิดอ่ำยกมือไหว้ชายชราผู้นั้น “แม่ราตรี ... ไม่สิ พ่อสายัณห์ ข้าจะทำบุญให้เจ้า ตราบที่เจ้ายังไม่หมดกรรม ณ ต้นไทรแห่งนี้ ข้าก็จะมาหาเจ้าทุกคืน เจ้าจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้เสียที”

“ไม่ได้หรอก พ่อหนุ่ม... หากมนุษย์ได้สัมผัสไอวิญญาณไปเรื่อยๆจะ ทำให้ชีวิตของมนุษย์ผู้นั้นสั้นลงๆจนถึงแก่ความตาย ดังที่เจ้าเคยล้มป่วยเมื่อคราวนั้นนั่นแล”

สายัณห์และทิดอ่ำมองหน้ากันอย่างอาดูร วิญญาณผู้อาภัพหลับตาลงช้าๆก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
“ข้าบอกท่านแล้ว ว่าจงลืมข้าไปเสียเถิด”
“โดยปล่อยให้เจ้าทนทุกข์ต่อไปเช่นนี้น่ะรึ ... ข้าทำไม่ได้หรอก ... เพราะข้ารักเจ้า” ชายหนุ่มย้ำคำแน่นหนัก

“ปล่อยให้มันเป็นหน้าที่ของกฎแห่งกรรมเถิด หากเจ้าทั้งสองมีวาสนาต่อกัน เจ้าก็จะต้องได้เป็นคู่กัน อันความรักนั้นเกิดขึ้นที่ใดย่อมมีความทุกข์เป็นของคู่กัน ความเกลียดชังก็มีความทุกข์เป็นของคู่กัน จะหาแต่ความสุขแต่ด้านเดียวย่อมเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่เจ้าทั้งสองจะทำได้นั่นคือยึดมั่นในรักแท้อันบริสุทธิ์ซึ่งกันและกันนั่นแล หากเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม เมื่อนั้นก็จักเกิดมาเป็นคู่กันอีกครั้งเป็นแน่” ชายชรากล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหายเข้าไปในต้นไทรอีกครั้ง

“ถ้าเช่นนั้น ข้าก็จะรอให้ถึงเวลานั้น .... “ทิดอ่ำพูดขึ้นพร้อมกับกุมมือของอีกคนเอาไว้
“พี่อมร ....”
“ข้าจะหมั่นทำบุญให้เจ้า แล้ววันหนึ่ง เราจะต้องกลับมาคู่กัน”
 
ดวงวิญญาณของสายัณห์ถอนมือออกจากการเกาะกุมของชายหนุ่ม ก่อนที่เขาจะก้มกราบลงบนตักของทิดอ่ำ
“ข้าขอบคุณท่านมาก ข้าเองก็ขอให้คำมั่น ตราบที่หัวใจท่านยังมีข้า ข้าก็จะขอเป็นคนรักของพี่อมร ... ทุกชาติไป”

ชายหนุ่มประคองให้สายัณห์ลุกขึ้น ก่อนจะจุมพิตลงบนหน้าผากของเขาอย่างแผ่วเบา แทนคำสัญญาทั้งหมด
“ก่อนที่ข้าจะไม่ได้พบเจ้าอีก ข้าขออะไรเจ้าสักอย่างจะได้ไหม”
“พี่ต้องการสิ่งใดเล่าขอรับ พี่อมร”
“ขอให้พี่ ได้นอนหนุนตักเจ้า ดั่งเช่นกาลก่อน จะได้ไหม ให้พี่ได้ซื่นชมในรสแห่งความสิเน่หา เพียงสิ้นรุ่งสางอรุโณทัยคืนนี้เท่านั้น”

สายัณห์ไม่ได้ตอบว่าตกลงหรือปฏิเสธ แต่เขาค่อยๆเอนหลังพิงโคนต้นไทร แล้วประคองให้ทิดอ่ำนั้นเอนตัวลงนอนหนุนตักของเขาแทนคำตอบ

“ขอหนุนตักนาง ... จนสางอรุโณทัย
ยอมแม้สิ้นใจ .... เซ่นสรวงแด่ปวงเทวา
คอยเจ้า... แม้เงาไม่เห็นเจ้ามา
ข้านี้มีเพียงน้ำตา
รินหลั่งลารากไม้ไทรงาม”

“เวลานี้หาใช่เวลาจะมาครวญเพลงหรอกนะขอรับ หลับลงบนตักของกระผมเสียเถิด” สายัณห์พูดขึ้นพร้อมกับไล้ไรผมของทิดอ่ำอย่างทนุถนอม

“ถ้าเช่นนั้น คืนนี้ก็คงคืนที่เป็นฝันดีที่สุดของข้าแท้เทียว” ทิดอ่ำตอบพร้อมกับคว้ามือของอีกคนมาอังไว้ที่ข้างแก้ม ไม่มีบทสนทนาใดๆเกิดขึ้นอีกในคืนนี้ ทั้งสองคนต่างเก็บเกี่ยวความรู้สึกดีๆในคืนสุดท้าย ก่อนที่ดวงตะวันจะโผล่พ้นขอบฟ้าเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นการลาจาก

“ลาก่อนนะขอรับ พี่อมร”
“ชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น สายัณห์น้องพี่ แล้ววันหนึ่งเราจะกลับมาเจอกันอีกครั้ง”

ทั้งคู่ยิ้มให้กันเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ไก่แจ้ปลายนาจะโก่งคอขัน แล้วร่างของสายัณห์ก็หายลับไป... ทิ้งไว้แต่เพียงทิดอ่ำกับน้ำตาหยดสุดท้ายที่เขาได้หลังรดไว้ใต้ร่มไทรแห่งท้องทุ่งมีนบุรีแห่งนี้
.
.
เสียงนกกาประสานเสียงเจื้อยแจ้วต้อนรับวันใหม่  หลากหลายชีวิตแห่งท้องทุ่งมีนบุรีต่างพากันลุกจากเตียงและเริ่มชีวิตประจำวันของตน ก่อนจะพากันออกเดินทางไปยังนาของตน

“ไอ้เอี้ยง ... ไอ้เอี้ยงเอ๊ย!!”

“อะไรของเอ็งวะ ไอ้จอม“เจ้าของชื่อหันมาขานรับอย่างหัวเสีย “ตะโกนเป็นกระต่ายตื่นตูมไปได้”

“รีบไปดูหลวงพ่ออ่ำเร็ว อาการท่านแย่อีกแล้ว ท่านเรียกหาเอ็งอยู่” เด็กวัดชื่อจอมชี้แจงเหตุด่วนที่เกิดขึ้น

“เออๆขอบใจเอ็งมาก ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”

ชายหนุ่มรับคำก่อนจะรุดไปที่วัดมีนบุรีในทันที ทิดเอี้ยงเป็นลูกชายคนเดียวของนางเรียมกับตาเอี่ยม สองผัวเมียผู้มั่งคั่งแห่งมีนบุรี และหลวงพ่ออ่ำนั้นก็มีศักดิ์เป็นเหมือนลุงของเขา เพราะผู้เป็นแม่ได้ฝากฝังเขาให้ดูแลอุปัฏฐากท่าน หากนางเป็นอะไรไป ซึ่งชายหนุ่มก็รับปากไว้อย่างดี

ช่วงสามเดือนให้หลังหลังจากที่นางเรียมสิ้นบุญไปนั้น หลวงพ่ออ่ำเองก็เจ็บป่วยออดๆแอดๆอยู่เสมอ จนเป็นเหตุให้เขาต้องไปดูแลท่าน ... ครั้งนี้เองก็เช่นกัน

“หลวงลุงเป็นอย่างไรบ้างครับ” ชายหนุ่มถามขึ้นเมื่อเข้าไปในกุฏิของท่าน

“ไปตามหลวงพ่อกล่ำมาหาหลวงลุงทีสิ เอี้ยงเอ๊ย” ขรัวชราพูดด้วยเสียงแผ่วเบา

“ผมดูอาการหลวงลุงแล้ว ผมว่าผมควรจะไปตามหมอมาจะดีกว่า” ชายหนุ่มแย้ง แต่ก็ถูกห้ามไว้

“ทำตามที่หลวงลุงบอกเถิดไอ้เอี้ยง” 

ไม่นานนัก หลวงพ่อกล่ำ ผู้เป็นเจ้าอาวาสก็มาถึงกุฎิของหลวงพ่ออ่ำ ท่านแสดงสีหน้าสลดเล็กน้อยเมื่อมาถึงและได้เห็นสภาพร่างกายของภิกษุตรงหน้า

“มันถึงเวลาที่พี่อ่ำได้ขอร้องกระผมไว้แล้วรึขอรับ” หลวงพ่อกล่ำผู้มีพรรษาอ่อนกว่ากล่าวขึ้น
“ใช่แล้ว ท่านกล่ำ ได้โปรดทำตามที่ได้ให้คำมั่นต่อข้าเถิด”

“ก็ได้ขอรับ ... ท่านลุกไหวไหม” หลวงพ่อกล่ำกล่าวแล้วนั่งคุกเข่าลง
“ข้าพอไหว...ไอ้เอี้ยง มาช่วยพยุงหลวงลุงที” ขรัวชราเอ่ยปากเรียกทิดเอี้ยง

“เดี๋ยวก่อนนะหลวงลุง นี่หลวงลุงกำลังจะทำอะไรกันแน่” ทิดเอี้ยงถามขึ้นอย่างนึกสงสัยทบทวี
“ข้าสั่งก็ทำตามเถิด ... เร็วๆเข้า”

แม้จะยังสงสัย แต่ทิดเอี้ยงก็เข้าไปพยุงหลวงลุงของเขาตามที่ท่านต้องการ ก่อนที่ท่านจะกล่าวคำบาลีบทหนึ่งขึ้นมาสามจบ

“สิกขัง ปัจจักขามิ คิหีติ มัง ธาเรถะ
ข้าพเจ้าลาสิกขา ท่านทั้งหลายจงจำข้าพเจ้าไว้ว่า เป็นคฤหัสถ์”
.
.
ทิดเอี้ยงพาลุงอ่ำกลับบ้านพร้อมด้วยความคลางแคลงสงสัย และไม่ว่าเขาจะอ้าปากถามอะไรขึ้นมาก็ถูกผู้เป็นลุงห้ามไว้ทั้งหมด แม้กระทั่งการที่เขาจะต้องการพาลุงของตนไปหาหมอก็ถูกปฏิเสธเช่นกัน

“ลุงจะไม่อธิบายอะไรให้ผมเข้าใจสักหน่อยหรอ ผมงงไปหมดแล้วนะครับ”

ลุงอ่ำถอนหายใจอย่างเหนื่อยหอบ ก่อนจะมองไกลออกไปยังต้นไทรสูงใหญ่ที่ปลายนาซึ่งอยู่คู่ท้องทุ่งมีนบุรีมานานแสนนาน

“เอ็งพาข้าไปพักใต้ต้นไทรต้นนั้นก่อน แล้วจงไปหาน้ำมาให้ข้าสักกระบอก ... แล้วข้าจะเล่าให้เอ็งฟัง”
“ก็ได้... ถ้าเช่นนั้น ลุงรอฉันสักประเดี๋ยวนะ” ทิดเอี้ยงตอบ ก่อนจะพาผู้เป็นลุงมาพักใต้ต้นไทรตามที่ร้องขอ แล้วขอตัวไปนำน้ำมาให้แก่ชายชรา

เมื่อชายชราผู้นี้ได้อยู่เพียงลำพัง เขาก็หันหน้าเข้าหาต้นไทรช้าๆด้วยรอยยิ้มปีติ เขาโอบกอดต้นไทรเอาไว้แน่นพร้อมกับน้ำตาหนึ่งหยดที่หลั่งออกมาอีกครั้ง หลังจากที่เคยเสียน้ำตาครั้งหนึ่งไว้ที่ใต้ต้นไทรแห่งนี้... และนี่เป็นน้ำตาหยดสุดท้ายที่เขาจะหลั่งออกมา พร้อมกับลมหายใจสุดท้ายที่ปลิดปลิวไปกับร่างกายที่ผุพัง

“ข้ามาหาเจ้าแล้ว ... เจ้าสายัณห์ ยอดดวงใจของข้า”


อวสาน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-11-2012 21:08:22 โดย ลำนำบุหลันครวญ »

ออฟไลน์ MiSS-U

  • {^o^} {^3^}
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2800/-11
สุขทั้งน้ำตาค่ะ

ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12
เศร้า ซึ้ง
ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ inspirer_bear

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-5
อ่านแล้วก็ซึ้งทำนองเพลง เพราะดีนะ

ฟังหลายรอบมาก 555

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
หวังว่าทั้งสองคนจะสมหวังเสียที รอนานเหลือเกิน

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
เข้ามาเพราะเห็นชื่อผู้เขียน
และก็เหมือนเดิม...สุดยอดจ้ะ

ออฟไลน์ goonglovenut

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 810
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1188/-10
เล่นเอาน้ำตาปริ่มเลย  :monkeysad:
ทั้งตัวอักษรและการบรรยายเรื่อง o13
อยากให้มีภาคต่อคะ ว่าจะได้เจอกันไหม :กอด1:

ออฟไลน์ NewYearzz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2544
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +346/-2
หืม ไม่ร้องไห้อย่างใจคิด กลับนั่งยิ้มจนแก้มแตก :o8:

พี่หนิง นิวชอบแนวนี้จัง ถ้าเป็นหนังจีนคงเป็นโปเยโปโลเยได้เลยเนอะรักสองภพแบบนี้อ่า

เหมือนเรื่องที่แล้วอ่า "อิฐเก่า เล่าตำนาน" แหม่ะ!!!!! มันช่างโดนใจข้าเสียนี่กระไร  :laugh:


ขอบคุณพี่หนิงสาำหรับเรื่องสั้นที่แสนสุข(?)เรื่องนี้ครับ :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






- คราส -

  • บุคคลทั่วไป
ชอบแนวนี้จัง ชอบบรรยากาศสมัยก่อน
 :pig4:

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
เป็นสไตล์ของคนแต่งเลยนะคะเนี่ย

ถึงจะไม่ได้ลงเอยในภพนี้
แต่ก็ได้ไปอยู่ด้วยกันในภพอื่น

ออฟไลน์ LittlePrince

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ลักษณะของเรื่องเป็นเหมือน signature style (ที่ไม่ใช่กังนัม สไตล์) ของท่านหนิงไปแล้ว เศร้า ย้อนยุค มีเรื่องของภพชาติ
แต่ก็ยังอ่านแล้วเพลินดี จัดเนื้อเรื่องได้กระชับดีครับ สามารถทำให้จบตอนเดียวได้โดยที่ไม่รู้สึกว่ามีอะไรขาดเกินไป

ออฟไลน์ Annko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ซึ้งแบบเศร้าๆ
ยิ้มทั้งน้ำตา
แต่ก็สนุก ประทับใจค่ะ

ออฟไลน์ fulres

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 594
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
+1 ให้เลย  เยี่ยมมากครับ

ออฟไลน์ evil_kun

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
อ่านประโยคสุดท้ายแล้วน้ำตาซึมเลย....
ขอให้ทั้ง2คนกลับมาเจอกันโดยไร้อุปสรรคเถ๊อะะะะ!!!

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด