http://i325.photobucket.com/albums/k387/mooaiir/scan0001_zps1ae9f36a.jpg
อันนี้เป็น ไทม์ไลน์ ของอดีตจนถึงปัจจุบัน (เปมพบกับเต/รเณศ) ของเรื่องนี้นะคะ
เราเขียนไว้เพื่อให้ตัวเองไม่สับสน แล้วก็เอามาลง เผื่อใครงงด้วย----------------------------------------------------------
บทที่ 17
สัญญา
“พ่อเป็นยังไงบ้าง?”
ทั้งเปมและวีพูดขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน ทันทีที่ก้าวขาเข้ามาในบ้านหินแถบชายฝั่งทะเล นี่ก็เป็นเพราะว่าหลังจากการซ่อมแซมปราสาท กษัตริย์เตชินท์ก็อนุญาตให้เปมกับวีกลับมาเยี่ยมพ่อได้ โดยมีเตชัสกับวาสินีติดสอยห้อยตามมาด้วย ส่วนรเณศที่ยังมีงานกองเป็นภูเขาก็ต้องติดแหงกอยู่ที่ปราสาทตามเดิม
“ข้าสบายดี ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
ผู้เป็นพ่อดูเหมือนจะสบายดีกว่าแต่ก่อนมาก อาจเป็นเพราะสบายมาจากใจ ที่รู้ว่าลูกของตัวเองทั้งสองได้มีชีวิตที่ดีในปราสาทใหญ่ แน่นอนว่าต้องไม่รู้เรื่องเหตุการณ์จลาจลและเหตุผลของมันเป็นแน่
“วันก่อนข้าให้ทหารส่งอาหารมาให้มากมาย ท่านได้กินบ้างหรือเปล่า” วีเอ่ยปากถามพลางมองไปรอบๆบ้าน
“ข้ากินแล้ว ฝีมือเจ้ายังดีไม่ตกเลย”
“ดูเหมือนพ่อแม่ข้าจะกลับมาแล้ว ข้าขอตัวสักพักนะ”
วาสินีพูดขึ้นหลังจากที่ทอดสายตาออกไปมองที่บ้านของตัวเอง โดยที่ชายหญิงคู่หนึ่งเพิ่งจะก้าวขาเข้าประตูไปเมื่อสักครู่ คนอื่นๆต่างพยักหน้ารับรู้ จนวิสนีเดินออกจากห้องไป ทั้งสามคนที่เหลือก็มานั่งล้อมวงกันอยู่ตรงหน้าพ่อมนุษย์
“เปม ข้ารู้เรื่องณิชาแล้วล่ะนะ”
“อึ่ก...” ทันทีที่พ่อยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด เตชัสและวีก็รีบหันควับไปมองปฏิกิริยาของเจ้าหอยนางรมทันที
“ทางพ่อแม่เขาก็ไม่ได้จะกล่าวโทษอะไรเราหรอก แต่ข้าก็นึกสงสัยจริงๆ ว่าทำไมเจ้าถึงไปบอกเลิกนางเสียอย่างนั้น”
“ข้า.....”
“เอาเถอะ ถ้าลำบากใจก็ไม่ต้องพูด”
“แต่แบบนี้ก็แย่เลยนะ..” ทุกสายตาหันไปจับจ้องที่เสียงแหลมของวีแทน เมื่อนางเริ่มออกปากพูด แถมยังตีสีหน้าเห็นใจแปลกๆ
“ทำไมล่ะ”
“ก็นอกจากณิชาแล้ว ไม่รู้เปมของเราจะหาภรรยาคนไหนได้อีก เพราะวันๆเอาแต่ช่วยเหลือคน จนไม่สนใจผู้หญิง... ข้าหมายถึงไม่เคยคิดจะไปจีบใครน่ะ”
เปมรีบหันกลับมานั่งก้มหน้างุด โดยมีสายตาของเตชัสจ้องอยู่ไม่วางตา แม้อยากจะเข้าไปกอดเพื่อคลายความสับสนและวุ่นใจให้คนตัวเล็ก แต่ก็ทำได้เพียงนั่งมองอยู่นิ่งๆเท่านั้น ส่วนพ่อเมื่อได้ยินก็เริ่มทำท่าคิดตามคำพูดของวี ก่อนจะถอนหายใจออกมา
“ก็จริงนะ แล้วเข้าไปอยู่ในปราสาทน่ะ หาได้บ้างหรือเปล่าล่ะ”
พ่อเริ่มพูดติดตลกและหัวเราะน้อยๆ ต่างกับคนฟังที่อยากจะเอาหัวมุดใต้ถุนบ้านหนีออกไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ เพราะเหมือนว่ายิ่งสนทนากันไป มันจะยิ่งเหลือเถิดมากเกินไปเสียแล้ว แถมวียังยกมือมาแตะไหล่เปมเหมือนจงใจจะกดดันตัวเองซะอีก
“ก็ได้เจ้าชายไง”
“พี่วี!”
เปมรีบเงยหน้าขึ้นมองวีอย่างเอาเรื่อง เมื่อพี่สาวคนสวยหลุดคำพูดเมื่อครู่ออกมา ทำให้ผู้เป็นพ่อถึงกับเลิกคิ้วสูงอย่างไม่เข้าใจ เตชัสเองก็เริ่มอึดอัดจนต้องยกแขนขึ้นปาดเหงื่อตามใบหน้า วีดูจะไม่สะทกสะท้านเท่าไร กลับยิ้มกว้างและพูดต่อไป
“ข้าหมายถึง ได้เป็นเพื่อนกับเจ้าชาย ส่วนเรื่องผู้หญิงน่ะ ไม่เอาไหนเลย”
วีหัวเราะชอบใจอยู่สักพัก ก่อนที่ประตูบ้านจะเปิดออกพร้อมกับวาสินีและพ่อแม่ของนาง ที่หอบปลามาเต็มถัง สุดท้ายเตชัสก็ต้องโดนวีลากไปช่วยกันทำอาหารในครัว พวกผู้ใหญ่ก็อยู่คุยกันในห้องนั่งเล่น ทิ้งให้เปมกับวาสินีต้องออกมานั่งหงอยกันสองคนด้านนอก
“เจ้าไม่ไปช่วยเขาทำอาหารเหรอ” เปมทำลายความเงียบด้วยการถามวาสินีที่ได้แต่ยิ้มแห้งๆมาให้
“ข้าไม่เก่งเรื่องนี้น่ะ เดี๋ยวจะทำครัวเจ้าพังเสียก่อน ฮ่ะๆ แล้วเจ้าไม่ไปช่วยเหรอ”
“พี่วีคงไม่อยากให้ข้าช่วยหรอก”
“อูย...”
วาสินีได้แต่หันหน้าหนีเหมือนรู้สึกผิดเต็มทีที่เลือกคำถามนั้นออกไป แต่หลังจากความเงียบยาวนาน เธอก็ค่อยๆหันกลับมาสังเกตสีหน้าน้อยใจของผู้ชายร่างเล็กตรงหน้า พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ เปมคงไม่รู้หรอกว่า เธอเองก็เป็นอีกคนที่ถูกดึงเข้าไปยุ่งกับความสัมพันธ์อลเวงของเขา เจ้าชาย และ วี เพราะว่าเตชัสมักจะมาระบายเรื่องราวทั้งหมดให้ตัวเองฟัง ด้วยเหตุผลที่ว่า เธอเป็นคนเดียวที่รู้จักสองพี่น้องหอยทะเลดี
“เปม... นี่เจ้า มีความสัมพันธ์แบบไหนกับท่านเตชัสกันแน่?” นางบำเรอสาวถามขึ้นเพื่อทดลองหยั่งเชิง ทำเอาเปมรีบหันควับมามองอย่างตกใจ ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อ แต่ถึงอย่างนั้นก็ส่ายหัวแบบเอาเป็นเอาตาย
“ไม่มีอะไรสักหน่อย ก็แค่เพื่อนกันนี่”
“แน่ใจ?”
“....อือ.. ไม่มีอะไรจริงๆ..”
“เปม”
เสียงทุ้มคุ้นเคยดังขึ้นด้านหลัง ทันทีที่เปมพูดจบ ทั้งสองคนรีบหันกลับไปมอง ก็เห็นเตชัสกำลังโผล่หน้าออกมาจากประตูบ้าน แถมยังตีสีหน้าน้อยใจไม่สมกับหน้าตาเอาเสียเลย วาสินีได้แต่ส่ายหน้าสองสามทีและฟาดมือลงกับหน้าผากตัวเองเบาๆ ส่วนเปมก็แทบจะพุ่งตัวออกไปทันทีที่เห็นสายตาของเตชัส แต่ไม่ทันที่จะไปถึง คนตัวใหญ่ก็ปิดประตูหนีหายกลับเข้าไปเสียแล้ว
“เต! เอ่อะ...”
เปมทีรีบเปิดประตูตามไป ผงะเล็กๆ เมื่อสายตาของผู้ใหญ่ทั้งสามหันมามองเป็นตาเดียว หอยนางรมน้อยได้แต่ก้มหัวไปจนใกล้ถึงห้องครัว แผ่นหลังกว้างที่จำได้ดีปรากฏอยู่ตรงหน้า จึงรีบตรงเข้าไปคว้าแขนแกร่งไว้ทันที เตชัสหันกลับมามองด้วยสีหน้านิ่งเฉยผิดกับทุกที แถมยังทำท่าจะชักแขนออก ด้วยว่าจะกลับเข้าไปในห้องครัว ซึ่งวีกำลังง่วนอยู่กับกระทะใบใหญ่
“ข้าขอโทษ”
“ขอโทษเรื่องอะไร ‘เพื่อนกัน’ ไม่โกรธอยู่แล้ว”
“เต!”
คนตัวเล็กรีบกอดแขนใหญ่ไว้แน่น เมื่อเตชัสทำท่าเหมือนจะสะบัดออกอีกครั้ง สายตาก็มองสลับไปมาระหว่างใบหน้าของตนกับห้องครัวใกล้ๆนี้
“อะไร”
“ยะ..อย่า...”
“...”
“...อย่าไปหาพี่วีเลยนะ”
เปมพูดเสียงอยู่ในลำคอ ใบหน้าร้อนผ่าวลามไปจนถึงใบหูที่ขึ้นสีชัดเจน สายตาออดอ้อนแบบเด็กๆถูกช้อนขึ้นไปสบกับสายตาเรียบเฉยของคนตัวใหญ่ เตชัสนิ่งเงียบไปหลายวินาที ก่อนจะพรวดพราด เป็นฝ่ายลากคนตัวเล็กเข้าไปในห้องห้องหนึ่งทันทีอย่างคนไม่รู้ทิศทาง และก็บังเอิญว่าเป็นห้องน้ำพอดี เตชัสจึงรีบจัดแจงล็อกประตูแน่นหนา ก่อนจะหันกลับมาเอาเรื่องร่างบางที่ยังคงตีสีหน้าตกใจ
“มากเกินไปแล้วนะ”
“หะ??...อุบบ”
เจ้าชายฉลามไม่พูดพร่ำทำเพลง บดขยี้ริมฝีปากของตัวเองลงไปกับริมฝีปากบางตรงหน้าทันทีอย่างดุเดือดจนคนตัวเล็กหายใจแทบไม่ทัน ร่างบางถูกดันจนชิดขอบอ่างล้างหน้า มือใหญ่ถูกสอดผ่านตัวเสื้อเข้าไปลูบไล้ทั่วแผ่นหลังเนียน
“อื้มม..ม”
คนตัวใหญ่ถอนริมฝีปากออกมาเล็กน้อย ก่อนจะดูดลิ้นเล็กเสียงดัง เตชัสลากลิ้นชื้นของตัวเองลงกับลิ้นเล็กของเปมและเริ่มตวัดไปมาแรงๆ คนตัวเล็กที่เริ่มคุ้นชินกับการกระทำเช่นนี้ ก็ค่อยๆโต้ตอบกลับอย่างเก้ๆกังๆไปบ้าง ทั้งคู่เกี่ยวกระหวัดลิ้นร้อนกันไปมาเป็นเวลานาน กว่าจะได้โอกาสถอนตัวออกจากกันเพื่อสูดเอาอากาศหายใจ
“ฮั่ก...ฮ..”
“เพราะเจ้าน่ารักมากเกินไป ข้าถึงโกรธไม่ลงเลย”
เตชัสพูดเสียงหอบน้อยๆ และขยับเข้าไปจูบเปมซ้ำอีกไม่รู้กี่หน มือใหญ่ถลกเสื้อยืดตัวบางขึ้น ก่อนจะวนลิ้นอุ่นลงไปรอบๆจุกทับทิมสีสวย มือสองข้างก็คอยประคองนวดเค้นไปทั่วร่างสวย เรียกเสียงครางหวานจากคนตัวเล็กได้เป็นอย่างดี
“อ๊ะ! เต.. หยุด”
เปมพยายามออกแรงแขนสองข้างเพื่อดันไหล่คนตัวใหญ่ออกไป แต่ก็ไม่เกิดผล เตชัสยังคงปรนเปรอร่างบางไม่หยุด โดยที่เหลือบตาขึ้นมามองเหมือนต้องการจะถามหาเหตุผล
“นี่มันในห้อง อ้ะ.. น้ำ นะ...คนอื่นก็ ย..อยู่ตั้งเยอะ”
คนตัวเล็กยังคงไม่เลิกดันไหล่เตชัสออกห่างจากตัวเอง พลางอธิบายอย่างยากเย็น เพราะแม้ว่าปากจะพูดไปแบบนั้น แต่ในใจเองก็รู้สึกดีไปกับสัมผัสที่ได้รับ
“งั้นคืนนี้ข้าไปหาที่ห้องนะ”
เตชัสยอมผละตัวออกมาจนได้ แต่ก็ไม่วายทิ้งลายหื่นตบท้าย ทำเอาเปมเขินจัดจนต้องเสมองไปทางอื่น โดยไม่ตอบอะไร
ทั้งสองคนค่อยๆแง้มประตูออกเพื่อดูลาดเลา เมื่อไม่เห็นใคร ก็รีบพากันออกมาด้านนอก และทำตัวเนียนเป็นปกติไปจนหมดวัน ตกเย็นทั้งสี่ก็ร่ำลาพ่อแม่และขึ้นหลังปักษายักษ์กลับปราสาทอย่างสงบสุข ถือว่าโชคดีที่วีไม่เอาเรื่องที่จู่ๆเตชัสก็หายตัวไปนาน เพราะกำลังอารมณ์ดีที่ได้กลับมาเห็นหน้าพ่ออยู่ดีมีความสุข
ถึงอย่างนั้น เรื่องบ้าๆบอๆของวันก็ยังไม่จบไปเสียทีเดียว เมื่อจู่ๆเตชัสก็ลากวาสินีออกมาหาที่ห้องนอนของเปมเอากลางดึก นางบำเรอคนสวยในชุดนอนสบายๆเดินงัวเงียเปิดประตูห้องเข้ามาแกมหงุดหงิด ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียงของเปมอย่างถือวิสาสะ
“เฮ้ย ไม่ได้เรียกให้มานอน”
เตชัสหันไปตีแขนวาสินีแรงๆโดยไม่สนใจว่าจะเป็นการทำรุนแรงกับผู้หญิงแต่อย่างใด ผิดกับเปมที่กำลังตกใจกับแขกผู้มาเยือน ทั้งๆที่ตัวเองก็อยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยจะเรียบร้อยเท่าไร เหตุก็เพราะเพิ่งโดนไอ้ฉลามตัวใหญ่นี่ลวนลามเข้าให้เหมือนเคย เปมลนลานจัดแจงเสื้อผ้าตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนจะนั่งมองวาสินีที่ค่อยๆยกหัวตัวเองขึ้นจากหมอนอย่างยากลำบาก
“เต นี่มันอะไร” เปมถามอย่างงุนงง เตชัสก็เลยได้โอกาสตรงเข้ามาโอบกอดเอวบางไว้แน่น พลางพยักเพยิดไปทางวาสินีที่กำลังขยี้ตาอย่างแรง
“ข้าอยากได้ยินชัดๆ ว่าสรุปว่าเราเป็นอะไรกัน แล้วจะได้ให้วาสินีเป็นพยานด้วยไง”
“เอ่อะ...”
“ว่าไง ข้าเป็นอะไรสำหรับเจ้า บอกวาสินีไปสิ ไม่ใช่เพื่อนใช่ไหม”
เตชัสขยับเข้ามาอยู่ตรงหน้าเปมที่กำลังก้มหน้างุด ส่วนวาสินีที่นั่งอยู่ใกล้ๆก็ยังคงอ้าปากหาวหวอดอย่างไม่ใส่ใจเท่าไรนัก ถึงอย่างนั้นก็จับจ้องไปที่ปากที่ปิดสนิทของเปมอยู่ตลอด ความเงียบและความกดดันถูดพัดผ่านไปหลายนาที จนในที่สุดร่างเล็กก็สั่นน้อยๆด้วยความเขินอาย ก่อนที่ริมฝีปากบางจะค่อยๆเอื้อนเอ่ยเป็นคำพูดแผ่วเบาแต่ทว่าชัดเจนออกมา
“เต...ปะ เป็น..”
“...”
“เป็นคนรักของข้า!”
เปมรีบก้มหน้าก้มตาพูดรัวๆให้จบประโยคไปเสียที แต่แค่นี้ก็เรียกรอยยิ้มกว้างของเตชัสได้มากแล้ว เจ้าชายฉลามค่อยๆประคองใบหน้าหวานของเจ้าหอยนางรมที่บัดนี้กำลังแดงก่ำขึ้น ก่อนจะประทับริมฝีปากนุ่มลงไปอย่างอ่อนโยน
ทั้งสองคนเริ่มจูบตอบกันอย่างออกรสมากขึ้นทุกขณะ เหมือนจะลืมไปแล้วว่าภายในห้องนี้ไม่ได้มีกันแค่สองคน วาสินีที่กำลังง่วงๆจะหลับแหล่มิหลับแหล่เมื่อครู่ ตอนนี้ก็เอาแต่จิกหมอนข้างอย่างห้ามไม่ได้ สายตาจับจ้องไปที่ภาพผู้ชายสองคนกำลังแลกลิ้นกันอย่างดูดดื่ม จะว่าตกใจก็ตกใจ แต่จะว่าฟินก็ฟินอยู่มาก จนแทบละสายตาไม่ได้เลย
ไม่นานนัก เปมก็ผลักเตชัสออก และเริ่มหอบถี่ จนเมื่อนึกขึ้นได้ถึงค่อยๆหันมามองวาสินีที่ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อ
“อะ...อะ..”
“ไม่ต้องพูด ข้าจะกลับไปนอนแล้ว ถือซะว่าข้าไม่เห็นแล้วกัน” หญิงสาวรีบพูดรัวๆก่อนจะปาหมอนในมือทิ้งและวิ่งออกไปจากห้องทันที
“เปม ข้ารักเจ้านะ” เตชัสละสายตาจากประตูห้องที่ถูกปิดลง และหันมาสนใจผู้ชายร่างบางตรงหน้าที่เอาแต่เขินไปเขินมาจนตัวบิดไปหมดแล้ว
“อ..อือ”
“ไว้ข้าจะพาเจ้าไปที่แถบเทือกเขา แถวนั้นขายของเกี่ยวกับปักษายักษ์มากมาย เดี๋ยวเราไปซื้อมาให้เจ้าลูกชายกันนะ”
“อื้อ!”
คราวนี้เปมตอบขึ้นมาทันควันอย่างดีใจ เมื่อเตชัสพูดถึงเจ้าลูกชายที่ว่า ก็คือปักษายักษ์ขนน้ำตาลของเปมที่เพิ่งฟักออกมาจากไข่ ที่โรงเลี้ยงเมื่อไม่กี่วันก่อนนั่นเอง แล้วก็รู้ๆกันอยู่ ว่าเตชัสเป็นคนกำหนดเองเออเอง ให้เจ้านกตัวน้อยนั้นเป็นเหมือน ‘ลูก’ ของเขาและเปม และแม้คนตัวเล็กจะปฏิเสธขาดใจในตอนแรก ตอนนี้กลับยอมรับเอาดื้อๆซะอย่างนั้น ก็นะ บางที.. เจ้านกสีน้ำตาลตัวนี้ อาจจะกำเนิดออกมาจากความรักของทั้งคู่จริงๆก็ได้
“เอากรงไม้อันนี้แหละ”
“ไม่เอา”
“เอา”
“ไม่เอา!”
“เอา!”
“เฮ้ย!”
เปมขึ้นเสียงพร้อมๆกับผลักไหล่กว้างของเตชัสออก จนคนตัวสูงเซไปเล็กน้อย แต่ก็กลับมายืนเก๊ก ชักสีหน้าเอาแต่ใจใส่เจ้าหอยนางรมตรงหน้าได้เหมือนเคย ท่ามกลางสายตาลำบากใจของพ่อค้าแม่ขายละแวกนั้น
“เจ้านั่นเป็นปักษายักษ์พันธุ์ใหม่ ที่มีจำนวนไม่ถึงยี่สิบตัวในโลก จะให้อยู่ในกรงเหล็ดดัดกากๆได้ยังไง”
“แต่ก็ต้องไม่ใช่อันนี้!”
คนตัวเล็กรีบแย่งกรงไม้เนื้อดีฉลุลายมโนราห์ในมือของเตชัสกลับไปวางบนแท่นขายเหมือนเดิม ทั้งๆที่ออกมาจากปราสาทด้วยความอารมณ์ดีแท้ๆ กลับต้องมาหงุดหงิดเสียอย่างนั้น เพียงเพราะเตชัสจอมเอาแต่ใจ ที่คิดจะซื้อเฉพาะของดีราคาแพงเท่านั้น
“ไม่มีอันไหนสวยกว่าอันนี้แล้วนะ”
“จำเป็นมากปะ พอมันโต ก็ต้องออกจากกรงอยู่ดี”
“ก็แค่อยากเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกเราอะ ผิดมากปะ”
เปมแทบจะฟาดมือเล็กลงกับแขนแกร่งแทบจะทันทีที่เตชัสพูดจบ แก้มทั้งสองข้างก็ร้อนผ่าวขึ้นมาดื้อๆ แถมเจ้าของร้านยังมองมาด้วยสายตาจับผิดอีกต่างหาก ไอ้เจ้าชายบ้า ใครใช้ให้พูดคำว่า ‘ลูกเรา’ ตรงนี้มิทราบ! แล้วอะไร ลูกบ้านใครเป็นนกกันมั่ง!
“เออ จะซื้ออะไรก็ซื้อ แล้วออกไปจากตรงนี้ให้ไวเลย” เปมชี้นิ้วสั่งอย่างอารมณ์เสีย สุดท้ายก็ต้องยอมจนได้ เพราะขี้เกียจยืนต่อล้อต่อเถียงกับไอ้ฉลามนี่อีกแล้ว
“โห ทำตัวเป็นภรรยาเชียว”
“เตชัส!!”
เตชัสหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะหันไปจ่ายเงินให้เจ้าของร้านที่กำลังทำหน้าประหลาดใจ มองเตชัสกับเปมสลับกันไปมาอยู่นาน จนเมื่อรับเงินทอนมาเรียบร้อย เตชัสก็ยกเอากรงไม้ชั้นดีมาไว้ในมือ โดยที่โดนคนตัวเล็กเดินหนีออกไปไกลแล้ว
คนตัวสูงเอาแต่เดินตามสีหน้ายิ้มๆ เพราะรู้ดีว่าไม่มีทางที่เปมจะโกรธตัวเองได้จริง ทั้งสองคนยังคงเดินเล่นอยู่บนถิ่นที่อยู่อาศัยของพวกชาวบ้านแถบเทือกเขาเป็นเวลานาน กว่าจะรู้ตัวฟ้าก็มืดสนิทจนเห็นแสงดาวชัดเจน สักพักก็เกิดเสียงพลุดังขึ้นมาเรียกความสนใจของทุกคน ร้านค้าต่างๆก็เริ่มทยอยเก็บของ และผู้คนส่วนใหญ่พากันมุ่งหน้าไปที่ลานกว้างไม่ไกลนัก
จนเมื่อทั้งคู่เดินตามคลื่นผู้คนเข้าไป ก็ได้ยินเสียงประกาศ พร้อมโปสเตอร์ขนาดใหญ่ ที่แสดงว่าในคืนนี้ เวลาอีกไม่นาน จะมีฝนดาวตกระลอกใหญ่ลงมาให้ชม และจุดนี้ก็เป็นจุดรวมพลที่มองเห็นได้ชัดเจนที่สุด ตลาดข้างทาง ก่อนเข้าไปในตัวลาน มีการตั้งขายเครื่องดื่มแปลกๆมากมายหลายบูธ นั่นก็คือ ‘น้ำกุหลาบ’
“ดื่มเปล่า?”
เตชัสก้มลงถามเปมห้วนๆ ท่ามกลางความวุ่นวายของชาวบ้านมากมายที่กำลังแห่กันเข้ามาในบริเวณงาน คนตัวเล็กพยักหน้าสองสามทีและพยายามอย่างมากในการซ่อนความรู้สึกตื่นเต้นแบบเด็กๆเอาไว้ ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีวันลอดสายตาของเตชัสไปได้อยู่ดี ก็ที่ถามเพราะรู้อยู่แล้วว่าอยากลองดื่มน่ะสิ
คนตัวใหญ่ฝากกรงนกราคาสูงไว้ที่เปมก่อนจะแทรกผู้คนจำนวนมากเข้าไปยื้อแย่งกันซื้อน้ำกุหลาบที่บรรจุอยู่ในแก้วลวดลายสวยงาม ไม่นานเตชัสก็เดินออกมาพร้อมแก้วหนึ่งใบในมือ คนตัวเล็กจึงเลิกคิ้วถามขึ้นมาทันที
“ทำไมซื้อมาแก้วเดียวอะ”
“ก็แบ่งกันไง”
“เออดี ที่เรื่องงี้ล่ะทำเป็นงก”
เตชัสไม่สนใจเอาแต่หัวเราะน้อยๆพลางดันหลังคนตัวเล็กให้เดินตามฝูงคนเข้าไปภายในลานกว้าง ก่อนจะไปจับจองที่นั่งตรงมุมหนึ่ง เมื่อมองไปรอบๆก็เห็นผู้คนมากมาย ไม่ว่าจะมาเดี่ยวๆ เป็นคู่ หรือเป็นกลุ่ม และทุกๆที่ก็จะต้องมีแก้วน้ำกุหลาบอยู่ด้วยเสมอ
เวลาผ่านไปพอตัว จนคลื่นผู้คนเริ่มสงบลง ความเงียบและความหนาวเริ่มจับตัวไปทั่วบริเวณ สักพักดาวดวงแรกก็ร่วงหล่นอย่างสวยงาม ตามมาด้วยดาวอีกหลายร้อยดวงที่พัดผ่านลงมาเป็นสาย ไม่ว่าจะมองยังไงก็มีแต่ความสวยงามและน่าตื่นตาตื่นใจ หลายๆคนเริ่มยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ทำให้เตชัสต้องรีบสะกิดไหล่บางเพื่อให้ลองดื่มน้ำกุหลาบดูบ้าง
เปมยิ้มน้อยๆก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม สายตาก็ยังเหลือบมองไปบนท้องฟ้าที่อาบไปด้วยฝนดาวตกสุกไสว รสชาติหวานๆแตะกับปลายลิ้นยิ่งเร้าให้หัวใจดวงน้อยเต้นรัวอย่างตื่นเต้น เจ้าหอยนางรมค่อยๆดื่มด่ำความหอมหวานกลมกลืนอย่างน่าประหลาดของเครื่องดื่มในมือ สักพักก็ยื่นต่อให้เตชัสลองดื่มบ้าง
คนตัวสูงรับแก้วใบสวยมาดื่มทีเดียวหมดแก้วพลางยิ้มกว้างอย่างพอใจ เมื่อแลซ้ายมองขวาไม่เห็นว่าจะมีใครสนใจ ก็ถือโอกาสคว้าตัวร่างบางมาแนบชิดกับอกกว้างของตัวเอง เปมพยายามผละตัวออกแทบจะทันที แต่สุดท้ายก็ต้องยอมทำตัวนิ่งอยู่ในอ้อมแขนอุ่นๆจนได้
“ตอนที่ซื้อน้ำกุหลาบ คนขายเขาว่ามันเป็นประเพณีของคนพื้นเมือง”
“อ่าวเหรอ ว่าอย่างไรล่ะ” เตชัสกระชับอ้อมแขนขึ้น ก่อนจะละสายตาจากฟากฟ้า ก้มลงมองใบหน้าขาวซีดของคนรักในอ้อมกอด
“ถ้าคนหนึ่งชมฝนดาวตกแล้วดื่มน้ำกุหลาบไปด้วย เขาเชื่อว่าจะทำให้ชีวิตดีขึ้น แต่ถ้าแบ่งกันดื่ม... มันจะกลายเป็นสัญญา”
“สัญญา?” ฟังมาถึงตรงนี้ เปมก็ละสายตาจากฝนดาวตกด้านบนและหันมาสบสายตาอันลึกซึ้งของเตชัสแทน
“สัญญาที่จะแบ่งปันความสุขร่วมกัน และแบ่งเบาความทุกข์ให้แก่กันไง”
รอยยิ้มที่ไม่ต้องฝืนใดๆปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าหวาน กว่าที่เปมจะรู้สึกตัวว่าไม่อาจหุบยิ้มที่ลงได้ เตชัสก็เข้าครอบครองริมฝีปากของตนเองไปเสียแล้ว กลิ่นกุหลาบอ่อนๆยังคงโชยไปทั่ว ราวกับจะเร้าให้ทั้งสองคนแสดงความรักออกมาอย่างไม่ต้องเกรงกลัวสายตาใคร
ค่ำคืนนี้ เตชัสได้มอบจูบที่อ่อนโยนมากกว่าทุกครั้ง ทำเอาเปมแทบละลายไปกับสัมผัสอบอุ่นที่ได้รับ จนเมื่อทั้งคู่ค่อยๆผละออกจากกันอย่างอ้อยอิ่ง ใบหน้าที่ขาวซีดเมื่อครู่ ก็กลับขึ้นสีชัดเจนและร้อนผ่าวไปจนถึงหู ไม่รู้ด้วยความหนาวเย็นหรือเพราะรสจูบเมื่อครู่กันแน่
ทั้งเปมและเตชัสเลือกที่จะนั่งโอบกันมองฝนดาวตกต่อไป โดยไม่สนใจที่จะหันมองคนอื่นๆในบริเวณนี้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม แต่ในตอนนี้เท่านั้น ที่อยากจะปล่อยตัวปล่อยใจให้เป็นอิสระ ไม่อยากใส่ใจสายตาของคนอื่นๆ นอกเสียจากเราสองคนเท่านั้น
ฝนดาวตกแสนประทับใจนี้ดำเนินไปอีกสักพักก็ค่อยๆหยุดลง ท่ามกลางมวลชนที่เริ่มลุกออกจากลานกว้าง เปมคว้าแก้วน้ำเปล่าๆมา พร้อมกับเตชัสที่รีบยกกรงนกลุกขึ้น ค่ำคืนแสนหวานอีกคืนควรจบลงเพียงแค่นั้น ถ้าหากว่าสายตาเจ้ากรรมของหอยนางรมต้วน้อยไม่ไปปะทะเข้ากับแผ่นหลังคุ้นเคยไกลๆเสียก่อน
เจ้าของผมสีทรายที่เป็นเอกลักษณ์ ซอยสั้นระต้นคออย่างดูดี มาในชุดไปรเวทเรียบๆ กำลังยืนเคียงคู่กับผู้หญิงตัวเล็กเจ้าของผมสีน้ำตาลเพลิงแสบตา ในมือของเธอคนนั้นถือแก้วน้ำเปล่าที่เตรียมทิ้ง พร้อมรอยยิ้มกว้างที่ผิดกับผู้ชายข้างๆซึ่งเอาแต่ตีสีหน้าเรียบเฉย
“นั่นมัน... รเณศไม่ใช่เหรอ?”
--------------------------------------------
รเณศ มุงมีคนอื่นหราาาาาา !!?