บทที่ 6
หัวใจตัวเอง
หลังจากคืนแรกที่เปมได้พบกับเตชัสและรเณศ ชีวิตของเขาก็หาได้พบกับความสงบอีกมาเป็นเวลาร่วมสองอาทิตย์แล้ว เตชัสชอบมาวนเวียนอยู่แถวบ้านเขาเพื่อโอ้โลมพี่สาว บ้างก็หว่านเสน่ห์ใส่สาวนู้นทีนี้ทีจนน่ารำคาญลูกตา ทั้งยังไม่เลิกล้มความพยายามที่จะขอให้เขาไปเป็นองครักษ์บ้าบออะไรนั่นอีก ส่วนรเณศเองก็ไม่แพ้กัน วันดีคืนดีก็จะส่งปักษายักษ์ขนขาวมาคาบตัวเขาไปหา และทุกครั้งก็ต้องเต็มไปด้วยบาดแผลสาหัส ลำบากคนตัวเล็กต้องอยู่รักษาให้จนไม่ได้กลับบ้านมาหลายครั้งหลายครา
และเพราะว่าถูกก่อกวนจนไม่ได้มาดูแลช่วยเหลืองานที่บ้าน โดยเฉพาะช่วงเวลาที่พ่อเริ่มชรามากขึ้นทุกวันเช่นนี้ ก็ทำให้ครอบครัวของเปมถึงคราวที่ต้องพบกับฝันร้ายเข้าจนได้ เมื่อเขายังไม่สามารถหาเครื่องบรรณาการส่งให้กับปราสาทใหญ่สำหรับเดือนนี้ได้ แถมพอเผชิญวิกฤติแบบนี้ไอ้เจ้าชายโรคจิตนั่นกลับหายหัวไปอีก พึ่งพาไม่ได้เอาเสียเลย!
“คำสั่งจากปราสาทใหญ่ ขอตัดสินให้ครอบครัวเจ้าส่งตัวแม่นางจารวีให้กับเจ้าชาย เพื่อทดแทนเครื่องบรรณาการที่ส่งล่าช้าเกิดกำหนดผ่อนผัน”
“ข้าขอพบเจ้าชาย!”
เปมรุดเข้าหานายทหารที่อ่านประกาศทันทีอย่างเดือดดาล แต่พ่อก็รั้งตัวเอาไว้ได้ทันเพราะเกรงว่าเรื่องจะบานปลายใหญ่โตมากไปกว่านี้ แม้ในใจจะเจ็บปวดจากการสูญเสียลูกสาวมากเพียงใดก็ตาม ผิดกับวีที่มีท่าทีนิ่งเฉยและไม่ได้เกรงกลัวหรือตื่นตระหนกกับผลตัดสินเลยแม้แต่น้อย กลับยอมตามพวกทหารขึ้นขบวนรถไปอย่างว่าง่ายท่ามกลางความสงสาร และเสียงพูดคุยเซ็งแซ่ของทุกคนในหมู่บ้าน
ถ้าหากว่าเปมได้พูดคุยกับเตชัสก่อนล่ะก็ เรื่องแบบนี้จะต้องไม่เกิดขึ้นเป็นแน่ แต่ในเวลาเช่นนี้ เตชัสกลับไม่ปรากฏตัวให้เห็นเลย ถ้าหากจะไปหาที่ปราสาทก็ต้องจ้างขบวนรถซึ่งแพงพอตัว ถ้าจะเดินเท้าก็กินเวลาหลายวัน ทั้งๆที่เวลานั่งปักษายักษ์จะไปได้ทันในเวลาไม่กี่นาทีแท้ๆ ก็ทั้งที่เป็นแบบนั้น เตชัสกลับไม่มาหาเขาเลยเป็นเวลาหลายวันแล้ว
แต่ละวันผ่านไปอย่างเชื่องช้าท่ามกลางความสลดใจเศร้าหมองของครอบครัวเปม พ่อที่ค่อยๆอ่อนแรงลงเรื่อยๆเพราะความชราภาพซึ่งเป็นสิ่งที่เปมเองก็ช่วยอะไรไม่ได้ ยิ่งส่งผลให้บรรยากาศภายในบ้านดูหดหู่ตั้งแต่ที่เสียวีไป พ่อเอาแต่คร่ำครวญขอเพียงได้เห็นวีอยู่ดีมีสุขและสบายใจดี แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน ผู้หญิงที่ถูกพาตัวไปด้วยความไม่เต็มใจ เป็นได้แค่นางบำเรอที่ไร้ซึ่งความรัก จะหาความสุขได้จากที่ไหนกัน
แกว่ก แกว่ก
เสมือนท้องฟ้าวิปริตแปรปรวนทันใด เมื่ออยู่ๆก็มีนกยักษ์ขนสีขาวพราวสวยร่อนลงใกล้กับหน้าต่างบ้านของเปม เฉกเช่นความช่วยเหลือในยามทุกข์ยากของเขาจริงๆ นี่แหละหนทางที่จะนำไปสู่ปราสาทฉลาม!
“พ่อ ข้าจะไปหาพี่วีที่ปราสาทใหญ่!”
ชายหนุ่มรีบหันบอกพ่ออย่างดีใจ เรียกรอยยิ้มเล็กๆของชายชราขึ้นมาได้บ้าง หลังจากที่ผู้เป็นพ่อพยักหน้ารับ เปมก็รีบวิ่งออกมาหานกยักษ์สีขาวพลางลูบขนมันอย่างอ่อนโยน เจ้านกที่เริ่มคุ้นชินกับเปมก็ส่งเสียงมีความสุขก่อนจะคาบเปมขึ้นนั่งบนหลังและถลาขึ้นไปบนฟ้า จุดหมายของมันส่วนใหญ่ก็จะเป็นบ้านพักหินใกล้ตัวปราสาทของรเณศ และครั้งนี้ก็เช่นกัน เมื่อเปมมองเห็นชายร่างสูงในชุดองครักษ์เต็มยศที่กำลังขยับแว่นตารอคอยการมาของเขาอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว
“รเณศ!”
“ก็คิดอยู่แล้วว่าต้องมีปัญหา”
“เจ้าช่วยพาข้าไปที่ปราสาทที” หนังตารเณศกระตุกขึ้นทันทีอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อได้ยินคนตัวเล็กเรียกร้องอยากไปที่ปราสาท
“เจ้าจะไปหาเตชัสรึ?”
“เปล่า พี่สาวข้าโดนพาตัวมา”
รเณศบอกเปมที่เอาแต่ส่งสายตาเป็นประกายอย่างมีความหวังมาให้พลางกลั้นหัวเราะในท่าทีน่ารักของคนตรงหน้า เขาขยับเข้าหาเปมก่อนจะวางมือบนผมสีน้ำตาลประกายเทาและยีเบาๆอย่างเอ็นดู
“ก็ดีที่เป็นพี่สาว หากว่าเป็นเตชัส.. ข้าคงไม่ปล่อยเจ้าไป”
เปมเลิกสนใจหรือเรียกง่ายๆว่าปลงกับคำพูดและท่าทีแปลกๆของรเณศมาสักพักแล้ว จึงไม่ได้คิดอะไร เพียงแต่รั้งชายเสื้อของรเณศให้รีบพาตนไปปราสาทเท่านั้น ฝ่ายคนตัวสูงยิ่งเห็นท่าทีอ้อดออนเหมือนเด็กๆของเปมก็แทบทนไม่ไหวถึงได้ต้องแกล้งมองนกมองไม้หลบซ่อนอาการเขินที่ไม่ควรมีอยู่ในตัวคนเย็นชาอย่างเขาด้วยซ้ำ
จนแล้วจนรอดรเณศก็ยอมพาเปมขึ้นนกยักษ์ไปที่ปราสาทหลังจากอิดออดอยู่นาน แถมยังมอบนกหวีดสีเงินวาวคล้องคอบางไว้ให้ด้วย เพื่อใช้เรียกนกของตนเองเผื่อต้องการความช่วยเหลือเช่นครั้งนี้อีก
“เจ้าต้องคอยอยู่ข้างข้า แม้ว่าเตชัสจะห้ามก็ตาม เข้าใจไหม?”
“เออหน่า”
เปมตอบกลับปัดๆอย่างรำคาญเมื่อทั้งคู่เข้ามาถึงข้างในตัวปราสาท พร้อมการต้อนรับอย่างโอ่อ่าจากพวกเด็กรับใช้และทหารทุกนาย ดูเหมือนองครักษ์หนุ่มผู้นี้จะไม่ได้มีดีแค่หน้าตาหรือฝีมือแฮะ ท่าทางความยิ่งใหญ่และเกรงขามในหมู่ลูกน้องก็ใช่เล่น ไม่แพ้ระดับบรมวงศานุวงศ์เลย
“พี่วี!” ชายหนุ่มขานเรียกพี่สาวตนที่ยืนเคียงคู่มากับเจ้าชายฉลาม ตั้งแต่เข้าวังนางดูอิ่มเอมในชุดสวยหรูราคาแพงขึ้นมากทีเดียว
ทันทีที่เห็นหน้าน้องชาย วีก็ยิ้มกว้างอย่างดีใจ ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ผละตัวออกห่างจากเตชัสเลยแม้แต่ก้าวเดียว เปมจึงรีบรุดเข้าไปหาแต่ก็กลับถูกคว้าตัวไว้จากแขนใหญ่ด้านหลังพร้อมเสียงดุๆที่จงใจให้คนแถวนั้นได้ยินทั่วกัน
“เฮ้ย! บอกให้อยู่ข้างๆข้าไง”
“รเณศ ข้าขออนุญาตไปหาพี่”
เปมในตอนนี้ช่างเหมือนกับลูกนกน้อยในกำมือรเณศเสียจริง แค่เพียงเพราะซาบซึ้งในบุญคุณที่ยอมพามาพบพี่สาวก็ทำเอาเจ้าเด็กตัวเล็กนี่ว่านอนสอนง่ายถึงเพียงนี้ ต่อไปรเณศคงได้วางแผนเป็นหนี้บุญคุณเปมให้มากขึ้นอีกเป็นแน่ และอย่างที่คาด ยิ่งเปมกับรเณศมีท่าทีสนิทสนมกันมากเท่าไร ก็ยิ่งโหมไฟโกรธในใจของเตชัสให้มากขึ้นเท่านั้น
“พี่วี เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ข้ากับพ่อเป็นห่วงเจ้ามาก รู้ไหม”
“ข้ารู้ ข้าเองก็เป็นห่วงเจ้ากับพ่อ แต่ข้าอยู่ที่นี่สบายดี ข้ามีความสุขมาก เปม..ฝากเจ้าบอกพ่อด้วย ว่าไม่ต้องเป็นห่วงข้า และต้องฝากเจ้าดูแลพ่อแทนส่วนของข้าด้วย”
วีกุมมือน้องชายไว้พลางยิ้มแย้มแจ่มใส ทำเอาเปมค่อยโล่งใจ แม้จะต้องร้างลาไกลแต่เพียงแค่เห็นว่าพี่คนนี้มีความสุขดี ก็คงพอเป็นกำลังใจให้กับครอบครัวได้มากแล้ว
“เจ้ารออยู่นี่ ข้าจะไปนำอาหารมาให้ ที่นี่มีเครื่องครัวมากมายเชียว”
เปมพยักหน้าอย่างดีใจ ยิ่งเห็นพี่สุขสบายก็โล่งอก โดยเฉพาะเรื่องเข้าครัว วีน่ะถนัดและโปรดปรานนัก หากได้มาอยู่ในที่ที่เครื่องครัวครบครันเช่นนี้ คงไม่พลาดที่จะขอลงมือทำอาหารฝีมือตัวเองเป็นแน่ แต่ความคิดสุขสราญไม่อาจอยู่ได้นานสำหรับสถานการณ์ชวนมาคุนี้ เมื่อวีไม่อยู่ที่แห่งนี้ก็คงมีแค่เปม เตชัส และรเณศเท่านั้น
“เปม กลับมา”
รเณศกวักมือเรียกพลางย่างเท้าเข้ามาทางเปมและเตชัส เปมที่ทั้งกลัวรเณศจะเอ็ดทั้งยังเคืองเตชัสที่หายหัวไปนานรีบหันหลังจะเดินกลับไป แต่เมื่อเจ้าชายฉลามเห็นอย่างนั้นก็ยิ่งยอมไม่ได้ รีบคว้าตัวเปมเข้าไปใกล้และสวมกอดไว้จากทางด้านหลัง ก่อนจะก้มลงสูดเอาความหอมหวานจากเจ้าหอยนางรมตัวน้อยเข้าปอดอย่างคนที่อยากมานาน
“เตชัส!”
“ท่านรเณศ”
เสียงคำรามของรเณศดังขึ้นแทบจะทันทีกับเสียงเรียกของทหารนายหนึ่งที่คงต้องใช้ความกล้าอย่างมากที่จะเข้ามาขัดจังหวะในสภาพแบบนี้ เมื่อทหารนายนั้นเดินขาสั่นเข้ามาซุบซิบอะไรบางอย่างกับพ่อปลาหมึกยักษ์ ก็ทำเอาเขารีบร้อนเดินออกไปจากโถงกลางทันที เตชัสจึงได้กระตุกยิ้มขึ้นมาอย่างคนมีชัยพลางคลายอ้อมกอดให้หลวมขึ้นเผื่อคนตัวเล็กจะแหลกตายคามือเขาไปเสียก่อน
“ข้าขอโทษที่ไม่ได้ไปหาเลย”
“ข้าไม่ได้สนใจ”
เปมรีบสวนกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉยเสียจนคนตัวใหญ่เกิดความสงสัย เตชัสโน้มหน้าลงไล่หากลิ่นหอมจากคนตัวเล็กอีกครั้ง แต่กลับต้องชะงักผละตัวออกอย่างรวดเร็วพลางชักสีหน้าโมโหร้าย
“มีแต่กลิ่นปลาหมึกเต็มไปหมด”
“ตัวเจ้าก็มีแต่กลิ่นหอยแมลงภู่เช่นกัน” เปมดันแขนใหญ่ของเตชัสที่เกาะกุมตัวเองไว้ออกและหันมาเผชิญหน้ากับฉลามขาวที่บัดนี้ได้แต่แกล้งเสมองไปทางอื่นเท่านั้น
“เจ้านอนกับพี่ข้าแล้วรึ?” เปมถามเสียงเรียบเฉย เตชัสทิ้งเวลาให้ผ่านไปหลายวินาทีก่อนจะยอมพยักหน้าเอื่อยๆ “อือ...เพราะพี่เจ้าไม่ขัดขืนเลย”
“...”
“ข้าขอโทษ”
“ข้าขอตัวกลับ เจ้าช่วยให้คนไปส่งข้าได้หรือไม่”
“แล้วพี่เจ้าล่ะ”
“ไว้ข้าจะมาใหม่.. มาหาพี่น่ะนะ”
“ทำไมเจ้าไม่มาเป็นองครักษ์ให้ข้า จะได้อยู่ใกล้ชิดพี่สาวเจ้าด้วย” เตชัสขยับเข้ามาใกล้เปมอีกครั้งและคว้ามือเล็กมากุมไว้อย่างถือวิสาสะ
“ข้ามีพ่อต้องดูแล”
“เจ้าก็พาพ่อเข้ามาอยู่ด้วยสิ”
“เตชัส... ในฐานะองครักษ์ ไม่มีใครจะพาครอบครัวเข้าวังได้หรอกนะ”
เปมพูดเสียงเรียบก่อนจะสะบัดมือออกจากการเกาะกุมของเตชัสและรีบก้าวเท้าออกจากปราสาทโดยไม่สนใจเสียงเรียกไล่หลังของคนตัวสูง พร้อมๆกับที่หัวใจรู้สึกปวดร้าวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหต มีแต่เรื่องที่ไม่เข้าใจเต็มไปหมด ไม่เข้าใจที่คิดถึง ไม่เข้าใจที่น้อยใจ ไม่เข้าใจที่เจ็บปวดด้วย
“พ่อ ข้าไม่เข้าใจตัวเองเลย ข้าสับสน และปวดร้าวที่อกอยู่ตลอด”
เปมทรุดตัวลงข้างเตียงที่พ่อนอนพักอยู่พลางระบายความในใจ หลังจากที่รายงานเรื่องความเป็นอยู่ของวีให้พ่อรับรู้แล้ว ทางฝ่ายพ่อก็ดูเหมือนจะเดาใจลูกชายออกถึงได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พร้อมกับลูบหัวเปมอย่างเบามือ
“ปล่อยไปตามหัวใจตัวเองสิ”
คำพูดเดียวจากพ่อดูเหมือนจะทำให้หอยนางรมตัวน้อยเข้าใจอะไรมากขึ้น ถึงได้หน้าขึ้นสีชมพูชัดเจนจนลามไปถึงใบหู เหมือนกับรอคอยแค่ใครสักคนที่จะมาพูดคำนี้ให้ฟัง คำที่เป็นดั่งกุญแจที่ใช้เปิดความรู้สึกที่แท้จริงภายในใจ
ความรู้สึกที่มีต่อใครบางคน...
เปมกลับไปขังตัวเองในห้องนอนและใช้เวลาต่อจากนั้นอีกหลายชั่วโมงเพื่อทำความเข้าใจกับจิตใจในตอนนี้ของตนเอง และเพื่อยอมรับสิ่งที่เป็นด้วย จนในที่สุดเขาก็ยอมก้าวเท้าออกมาจากห้องและรีบตรงไปที่บ้านของคนรักสาหร่ายทันที
“ณิชา ข้ามีเรื่องต้องพูดกับเจ้า”
“อะไรเหรอ”
ณิชาที่โผล่หน้าออกมาทางหน้าต่างถามด้วยหน้าตาใสซื่อ ยิ่งมองเห็นท่าทีแบบนี้แล้วเปมก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองใจร้ายน่าดู เพราะสิ่งที่เขาคิดจะพูดกับณิชา มันไม่ใช่ข่าวดีสำหรับเธอนี่หน่า
“เป็นอะไรรึเปล่าเปม หน้าตาดูไม่ดีเลย”
ณิชารีบร้อนถามเมื่อเดินลงมาจากบ้านและปลีกตัวมาอยู่ด้วยกันสองคน ส่วนเปมก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆและกุมมือณิชาไว้แน่นเหมือนต้องการส่งกำลังใจอะไรบางอย่างให้ ทั้งสองคนนิ่งเงียบไปหลายนาทีจนเปมคิดว่าควรทำให้เรื่องนี้จบโดยไว ถึงได้รีบเอ่ยเสียงแข็ง
“ณิชา ข้าคิดว่าเราเลิกกันเถอะ”
เปมที่ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับอดีตคนเคยรักได้แต่เสมองไปทางอื่นอย่างเจ็บปวด แต่คนที่แทบล้มทั้งยืนคือฝ่ายหญิงต่างหาก ณิชาที่ไม่แสดงสีหน้าใดๆออกมาเลยเอาแต่ยืนนิ่งไม่ไหวติง มีเพียงแค่ดวงตาที่กลอกไปมาอย่างสับสน ทั้งที่ตัวเองก็เคยเผื่อใจสำหรับเหตุการณ์นี้ไว้บ้างแล้ว เนื่องว่าพักหลังมานี้ฝ่ายชายหายหน้าหายตา ไม่ค่อยเข้ามาสุงสิงกับตนเหมือนก่อน แต่พอต้องเจอของจริง มันก็เจ็บแรงอยู่เหมือนกัน
“ณิชา ข้าขอโทษ”
“...”
เมื่อเปมเห็นณิชาเอาแต่ก้มหน้าก้มตาโดยที่เนื้อตัวเริ่มสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ กลับยิ่งสะท้อนความผิดในใจเขาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่หากเปมยังมีความรู้สึกสับสนแบบนี้อยู่ ก็ไม่อาจที่จะรักผู้หญิงตรงหน้าคนนี้ได้อีกต่อไปแล้วเช่นกัน อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้ถึงกับสิ้นรักนางไปเลย เพียงแค่ในตอนนี้เขาได้เอาใจไปผูกติดไว้กับใครคนอื่นแทนแล้วเท่านั้น
“จำที่ข้าเคยพูดได้ไหม”
“อือ... สายสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง จะไม่มีวันจางหายไป มีแต่ความรู้สึกของคนเราต่อสายสัมพันธ์นั้นที่จะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ”
“ใช่แล้ว วันนี้อาจรัก พรุ่งนี้อาจเกลียด วันนี้อาจไม่ชอบใจ วันหน้าอาจต้องการ วันนี้อาจชอบพอ วันต่อไปอาจเบื่อและทิ้งขว้าง หรือแม้กระทั่งวันนี้รักอยู่แล้ว วันหน้าอาจยิ่งรักมากขึ้นก็ใช่เช่นกัน และที่ความรู้สึกของเราเปลี่ยนแปรผันไปทุกวันเช่นนี้ ก็เพราะว่าเรามีความเป็นมนุษย์อยู่อย่างไรล่ะ”
“เจ้ายกคำพูดนี้ขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อจะตอกย้ำข้าว่าในวันนี้เจ้ารักข้าน้อยลงแล้ว หรือต้องการปลอบข้าว่า อาจมีสักวันที่ความรู้สึกของเจ้าจะกลับมาเป็นเช่นดังเดิมอีกครั้งกันแน่ล่ะ”
“ข้าคงไม่เห็นแก่ตัวมากพอที่จะขอให้เจ้ารอในสิ่งที่อาจไม่มาถึง เพราะอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ข้าไม่อาจบอกได้ว่าวันหน้าข้าจะรักเจ้าน้อยลงไหม หรือจะกลับมารักเจ้ามากเหมือนเก่าหรือไม่ และข้าก็ไม่ได้เจตนาจะตอกย้ำซ้ำเติมเจ้าเช่นกัน ข้าเพียงอยากอธิบายสิ่งที่มันกำลังเกิดขึ้นให้เจ้าได้ฟังเท่านั้น”
“เปม... ถึงจะอย่างนั้น ข้าก็ไม่เข้าใจเลย”
ชายหนุ่มยิ่งกุมมือหญิงสาวที่เริ่มร้องไห้โฮอย่างลืมอายแน่นขึ้นด้วยความเห็นใจและรู้สึกผิดอย่างจริงใจ เปมดึงตัวณิชาเข้ามาในอ้อมกอดหวังจะปลอบ เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะมอบความเสียใจให้กับเธอเลย แต่ในเมื่อความรู้สึกมันเปลี่ยนไปแล้ว จะให้รั้งกันต่อไปก็มีแต่จะเจ็บไปทุกฝ่ายเท่านั้น
“ข้าขอโทษ.. ขอโทษจริงๆ”
“ฮึก... อือ..”
หญิงสาวได้แต่ตอบรับเสียงสั่นเป็นคำสุดท้ายก่อนจะผละตัวออกจากเปมและรีบวิ่งเข้าไปในบ้านทั้งน้ำตาอาบแก้ม พร้อมปิดม่านหน้าต่างห้องลงทันที แม้เปมจะรู้สึกเสียใจที่ทำแบบนี้ แต่ก็คิดว่าดีแล้วที่พูดออกไป ไม่อย่างนั้นขืนปล่อยไว้จะยิ่งมีแต่ทำให้เรื่องราวมันรวดร้าวมากขึ้น และอะไรๆก็คงลำบากกว่านี้มากนัก เพราะตอนนี้เขาเข้าใจแล้วถึงความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง เข้าใจแล้วถึงหัวใจตัวเอง...
ทางด้านเตชัสเมื่อถูกเปมเย็นชาใส่แบบนั้นก็เกิดอาการหงุดหงิดเจ็บปวดใจขึ้นมาดื้อๆ จนอดรนทนอยู่นิ่งๆไม่ไหวต้องออกเดินทางไปพบแม่เหยี่ยวอีกครั้งเพื่อขอคำปรึกษา โดยในใจเองก็แอบคิดไว้แล้วว่าผลของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร สิ่งที่ต้องการก็แค่คำบางคำ ที่จะทำให้ตนยอมรับและเปิดใจได้อย่างแท้จริงเท่านั้นเอง
“ว่ามา” แม่เหยี่ยวพูดสั้นๆ แต่ก็เหมือนรู้ไปถึงไส้ถึงพุงและความคิดต่างๆของแขกจากเขตสัตว์น้ำคนนี้
“ข้าสับสนมากจนทนไม่ไหวแล้ว ข้าพยายามไม่ติดต่อเปม แต่มันยิ่งทำให้ข้าทรมาน ข้า.. ข้าน่ะ..”
“คิดถึง?”
“หา!!”
เตชัสขมวดคิ้วเข้าหากันพลางตีมือลงกับพื้นไม้ของห้องเสียงดังอย่างกลบเกลื่อน ทั้งๆที่ตอนนี้ทั่วทั้งใบหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีชมพูเข้มชัดเจน ทำเอาแม่เหยี่ยวหัวเราะชอบใจในท่าทีเหมือนเด็กผู้ชายของคนตรงหน้า
“อะ..เอ่อ อาจจะใช่ก็ได้ ข้าคง.. คิดถึง แต่มันดูแปลกและผิดเหลือเกิน บุรุษเพศสองคนอย่างนั้นรึ”
“เคยได้ยินไหม รักไม่มีพรหมเดน รักไม่มีศาสนา เช่นนั้นก็คงไม่จำกัดอายุหรือแม้แต่เพศเช่นกัน”
“ถึงจะอย่างนั้น...”
“เต...”
“...”
“ลองปล่อยไปตามหัวใจตัวเองดูสิ”
เตชัสหยุดเงียบไปหลายนาที พลางนึกถึงคำทำนายของตัวเองที่ว่าถูกขีดให้คู่กับเพศชาย จนถึงวันที่ได้พบกับเปม ผู้ชายคนแรกในชีวิตที่เขานึกสนใจมากเป็นพิเศษ นึกถึงตอนที่พยายามคลุกคลีกับพวกผู้หญิงทั้งที่ในหัวมีแต่ภาพของเจ้าหอยนางรมนั่น รวมไปถึงความรู้สึกเจ็บปวดยามเห็นเปมอยู่กับผู้อื่นนอกเหนือจากตน คงใช่จริงๆสินะ... ความรู้สึกที่มีให้เด็กนั่น คงใช่รักจริงๆสินะ...
“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณท่านมาก”
เมื่อสามารถยอมรับความรู้สึกในใจได้แล้ว เตชัสก็รีบลาแม่เหยี่ยวขึ้นปักษาดำตรงไปที่แถบชายฝั่งทะเลทันที แต่กว่าจะข้ามเขตสัตว์ปีกมาถึงที่นี่เวลาก็ล่วงไปจนมืดค่ำแล้ว นกยักษ์ร่อนลงใกล้แนวป่าปล่อยให้เจ้านายวิ่งไปหาเปมที่บ้าน แต่เมื่อไปถึงกลับพบพ่อที่นอนพักอยู่ลำพัง ได้ความว่าเปมนั่งนกยักษ์อีกตัวไปที่ปราสาทแล้ว พอรู้ดังนั้นเตชัสก็รีบขึ้นขี่นกกลับไปที่ปราสาทด้วยหัวใจอันรุ่มร้อน หวังที่จะระเบิดความในใจออกมาให้หอยนางรมตัวน้อยได้รู้เสียตอนนี้
ประตูปราสาทเปิดออกท่ามกลางเสียงต้อนรับของบรรดาทหารและเด็กรับใช้หลายสิบ เตชัสไล่สายตาไปทั่วห้องโถงจนไปหยุดอยู่ที่เป้าหมายบนเก้าอี้ทรงสูง บนโต๊ะมีอาหารฝีมือจารวีวางเรียงมากมาย แต่ไม่ยักเห็นตัวสาวเจ้า คงไปวุ่นวายอยู่ในครัวตามเคย ซึ่งก็เป็นโอกาสเหมาะพอดี เจ้าชายฉลามรี่เข้าไปคว้าข้อมือของคนตัวเล็กที่เอาแต่หลบสายตาซ่อนความเขินอายไว้
“เปม”
“อ..อะไร”
“เจ้าน่ะ มาเป็...”
“โธ่ เจ้าเลิกขอให้ข้าไปเป็นองครักษ์อะไรนั่นเสียที ข้าไม่สนใจหรอก”
คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นสบตากับเตชัสพลางกล่าวอย่างอารมณ์เสีย อยู่ดีๆก็เข้ามาฉุดข้อมือกัน คิดว่าจะพูดอะไรเสียอีก ที่แท้ก็เรื่องไร้สาระเดิมๆ
“ไม่ใช่..”
“...”
“เจ้าน่ะ มาเป็นเมียข้าเถอะ!”
-------------------------------------------------------------------
- อั้ยย่ะ ฉลามแม่งแรงนะคะะ ไม่ให้ตั้งตัวกันเลยทีเดียว ขอกันโต้งๆงี้จะให้น้องเปมตอบว่าไงล่ะ 'เออ ข้าก็อยากได้เจ้าเป็นผัวมานานแล้ว' งี้อ่ออออ 55555 ก็บ้าละ ไม่ได้มีความโรแมนติกอะไรกันเล้ย!
- บทต่อไป บอกตรงๆ ไม่มีเนื้อหาสาระอะไรเลยค่ะ คือแต่งสนองอารมณ์ตัวเองมาก (อารมณ์ไรหว่า.... อารมณ์หื่นอ๊ะเปล่า 555555) อย่าคาดหวังมาก มันไม่มีอะไรจริงๆ TvT
- เหลืออีกแค่ 1 อาทิตย์จะสอบเสร็จแล้ว เย้!
- ฝากติดตามกันต่อๆไปด้วยนะค้า อย่าเพิ่งหายไปไหนน้า 55
- ป.ล. ชอบคอมเม้น 'ลิขิตฟ้าชะตาเกย์' 55555