> ที่เห็นเปมยอมฉลามง่ายๆ ไม่ได้แปลว่าเปมง่ายนะคะ 5555 แต่เราคิดว่าเวลาที่รักไปแล้ว ทุกอย่างมันก็มักจะดูไร้เหตุผลทั้งนั้นแหละค่ะ
> ฉลามรักเปมนะคะ แต่ชอบทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง เลยเผลอไปผูกปมปัญหาชิ้นใหญ่ๆเข้า ตอนนี้ก็ได้แต่แบกรับปมนั้นไปแหละค่ะ
> ตอนหน้า (บทที่10) จะได้เฉลยถึงคำพูดของพ่อเตที่ว่า 'รู้จักกับครอบครัวของเปม' แล้วนะคะ ><
> แล้วก็ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน กับทุกๆคอมเม้นเลยนะคะ ฝากติดตามกันต่อไปด้วยน้า~บทที่ 9
แผลในใจ
“เจ้าว่าอย่างไรนะ!?” เปมรีบคว้าตัววีไว้แล้วออกแรงเขย่าอย่างแรงจนพี่สาวตีสีหน้าเหยเก
“ข้าบอกว่าณิชาฆ่าตัวตาย เพราะเสียใจที่โดนเจ้าบอกเลิก ไปรักกับผู้ชาย!”
“ไม่จริง!!”
“ข้าเพิ่งได้รับข่าวจากครอบครัวของนางเมื่อวานนี้เอง”
“ไม่จริง พี่วี ณิชาเป็นคนฉลาด”
เปมเริ่มส่ายหน้าอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง เหงื่อซึมออกมาทั่วขมับและใบหน้า อีกทั้งยังเพิ่มแรงบีบที่แขนเล็กๆของวีมากขึ้นด้วยความสับสนตระหนกใจ
“ณิชาเป็นคนฉลาด แต่ณิชาเป็นผู้หญิง เปม! หัวใจผู้หญิงเปราะบางเหลือเกิน และวันนี้หัวใจของณิชาก็แตกสลาย ด้วยน้ำมือเจ้าเอง...”
วีเริ่มขึ้นเสียงใส่เปมที่บัดนี้ได้แต่กลอกตากลับไปกลับมาอย่างว้าวุ่น ก่อนที่เธอจะสะบัดตัวให้หลุดออกจากการเกาะกุม
“เปม ข้าไม่เสียใจที่เจ้ามาชิงท่านเตชัสไป แต่ข้าเสียใจ ว่าทำไมเจ้าต้องฆ่าณิชาด้วย”
วียังคงรุกไล่ตอกย้ำแต่ละคำให้เปมได้ยินอย่างชัดเจนราวกับจงใจจะกดดันคนตรงหน้าให้สติสตังนั้นขาดสะบั้นก็ไม่ปาน จนเปมถึงกับทรุดตัวลงไปกองอยู่ที่พื้นพลางยกมือทั้งสองข้างขึ้นกุมขมับซึ่งปวดร้าวคล้ายกับว่าจะระเบิดออกมาเสียเดี๋ยวนี้
“ไม่.. ณิชา...”
“ข้าถามหน่อย ว่าเจ้าคิดถึงณิชาบ้างไหม เวลาที่เจ้าพลอดรักกับท่านเตชัส เจ้าคิดถึงณิชาบ้างไหม?”
“ณิชา..ณิชา.. ข้า ขอโท..ษ..”
น้ำตาหยาดแล้วหยาดเล่าหยดรดลงกับพื้นปูนที่หน้าปราสาท ท่ามกลางเสียงสะอึกสะอื้นไห้ของเปมที่บัดนี้กลับสั่นไปทั้งร่างด้วยความเครียดและเสียใจ จารวีจ้องมองภาพน้องชายที่กำลังสับสนได้ที่ ก่อนจะค่อยๆย่อตัวลงลูบผมเปมเบาๆ
“แต่ความรักมันก็บังคับกันไม่ได้ ข้าเข้าใจที่เจ้าทิ้งณิ...”
“พอสักที!!”
ไม่ทันที่วีจะได้พูดจบประโยค เปมก็ปัดมือของเธอออกอย่างแรงพร้อมแผดเสียงดังลั่น ทำเอาแม่หอยแมลงภู่กรีดร้องเสียงหลง เมื่อตัวเองนั้นเซไปตามแรงผลักจนก้นกระแทกเข้ากับพื้นแข็งๆเต็มแรง
“ข้าแค่บอกในสิ่งที่เจ้าควรรู้!”
หลังจากโอดครวญได้สักพัก วีก็รีบยันตัวเองลุกขึ้นและปัดเอาฝุ่นบนเสื้อผ้าออกพลางตวาดกลับใส่เปมที่ยังคงนั่งสะอื้นเหมือนคนไร้สติ ไม่นานหลังจากนั้นเสียงประตูปราสาทก็เปิดออกดึงความสนใจของวีไปทันที และอย่างที่คาด คนที่กำลังก้าวเท้าตรงเข้ามาด้วยสีหน้ากังวลสุดขีดก็จะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจาก เจ้าชายฉลามเตชัส
“นี่มันอะไรกัน เปม เจ้าเป็นอะไร!”
เตชัสที่เดินผ่านหน้าวีไปพยุงร่างสั่นเทิ้มของเปมให้ค่อยๆยืนขึ้นรีบเอ่ยปากถามอย่างเป็นห่วง แต่สิ่งที่เปมตอบมากลับเป็นแรงผลักที่ทำเอาเตชัสถึงกับเซ
“อย่ามายุ่งกับข้า!”
เปมเงยหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาขึ้นจ้องเตชัสสลับกับวีสองสามที ก่อนจะตัดสินใจคว้านกหวีดที่ห้อยคอขึ้นมาเป่าแรงๆ เป็นผลให้เจ้าปักษาขนขาวที่นอนรออยู่ใกล้ๆรีบสยายปีก และย่างเท้าเข้ามาในบริเวณทันที
“เปม!!”
เตชัสได้แต่แผดเสียงตามหลังผู้ชายตัวเล็กที่กำลังวิ่งไปขึ้นหลังเจ้านกยักษ์โดยมีวีคอยรั้งไว้ ไม่ให้วิ่งตามออกไป จนในที่สุดนกยักษ์ก็ได้โผเอาร่างของเปมค่อยๆลอยสูงขึ้นเรื่อยๆจนลับสายตา
“จารวี! เจ้าพูดอะไรกับเปม” คราวนี้ก็คงถึงคราวลำบากของวีเสียเอง เมื่อเตชัสที่กำลังสับสนกับเหตุการณ์เมื่อครู่ หันกลับมาเอาเรื่องเธอด้วยสีหน้าดุดัน
“เปล่าสักหน่อย”
“ข้าถามว่าเจ้าพูดอะไร!”
“อึ่ก!” เตชัสตรงเข้าบีบกรามเล็กๆของผู้หญิงตรงหน้าทันทีที่เธอแสร้งเป็นไม่รู้เรื่องราวทั้งๆที่ภาพเมื่อครู่มันก็ฟ้องอยู่ตำตา
“ข้าก็บอกเรื่องณิชาน่ะส.. โอ๊ย”
มือหนาออกแรงมากขึ้นเมื่อรู้เหตุผลของเรื่องราว เตชัสได้แต่มองภาพใบหน้าบูดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวดของคนตรงหน้าด้วยสายตารังเกียจ พลางคิดได้เพียงว่าผู้หญิงคนนี้ช่างใจร้ายเสียเหลือเกิน ทั้งที่คุยกันจนเข้าใจแล้วถึงความสัมพันธ์ของตนและน้องชายเธอ และทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าหากบอกเรื่องนี้ออกไป ก็จะต้องทำให้ความสัมพันธ์ของตนกับเปมสั่นคลอน แต่ก็ยัง...
“สักวัน..เปมก็ต้องรู้ เรื่อง อึก..นี้อยู่ดี!”
วีพยายามตอกกลับเตชัสอย่างยากลำบาก จนเมื่อเวลาทิ้งช่วงไปสักพัก เจ้าชายฉลามถึงได้สงบลงบ้างและยอมปล่อยมือออกจากกรามของวีที่แทบจะร้าวอยู่แล้ว เมื่อหลุดจากการเกาะกุม วีก็ไม่ปล่อยให้โอกาสนี้ลอยหายไป ถึงได้ชิงพาตัวเองกลับเข้าปราสาทไปอย่างว่องไว ทิ้งให้เตชัสได้แต่ยืนแข็งทื่อโดยที่ในหัวก็เต็มไปด้วยความคิดมากมายเกี่ยวกับเรื่องเปมเพียงลำพัง
ทางด้านของเปมที่ยังคงร้องไห้โฮไม่หยุดพลางจิกทึ้งขนหนาๆของปักษายักษ์เพื่อระบายความตึงเครียดและว้าวุ่นใจ ส่วนเจ้านกสีสวยก็ดูจะพยายามเหลือเกินที่จะไม่สลัดตัวผู้โดยสารคุ้นเคยคนนี้ลงไปตายเอาที่พื้นเบื้องล่าง มันได้แต่ส่งเสียงร้องจากแรงดึงของเปมก่อนจะรีบพาตัวเองร่อนลงไปพักอยู่ที่หน้าบ้านหินของเจ้านายอย่างรวดเร็ว
แม้แต่แรงสะบัดเพียงเล็กน้อยของนกยักษ์ยามร่อนลงจอดก็ทำเอาคนตัวเล็กไถลลงมากองอยู่ที่พื้นเสียง่ายๆ ด้วยว่าในตอนนี้ร่างทั้งร่างมันไร้เรี่ยวแรงเหลือเกิน เปมได้แต่นั่งนิ่งเป็นหินพลางยกมือเปื้อนดินทั้งสองข้างขึ้นมาจ้องดูอย่างไร้จุดหมาย
เปมปล่อยให้เวลาผ่านไปแสนนาน ในหัวก็ยังคงคิดถึงแต่ภาพใบหน้าของอดีตคนรัก ณิชาที่ต้องมาตายไปเพราะความเห็นแก่ตัวของตนเอง ยิ่งคิดก็ยิ่งตอกย้ำให้เปมเจ็บช้ำมากเท่านั้น ไม่ว่าจะรอยยิ้มของณิชาที่เคยเชยชม เสียงหัวเราะที่ร่วมสุขกันมา อ้อมกอดที่เคยสัมผัส หรือแม้แต่กลิ่นกายที่คุ้นเคย ในตอนนี้มันกลับยิ่งชัดเจนขึ้นมาในโสตประสาท กลับมาคิดถึงที่สุดในวันที่ไม่อาจรับสัมผัสเหล่านั้นได้อีกแล้วชั่วชีวิต
“ณิชา...ฮึก..ข้า..”
ความทุกข์ทรมานแล่นพล่านไปทั่วร่างกายของเด็กหนุ่มยิ่งทำให้เปมสั่นไปหมด ยามเมื่อลมพัดต้องกาย ก็กลับกลายเป็นดั่งคมมีดที่ตรงเข้าเชือดเฉือนร่างเนื้อ ในหัวสมองมันอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกผิดที่เกินมหาศาล ความเจ็บปวดพุ่งเข้าเล่นงานที่ขมับขาว คิ้วทั้งสองข้างก็ทำได้แต่ขมวดมุ่ยจนแทบจะผูกเป็นโบ พร้อมๆกับหัวใจที่รวดร้าวราวกับจะแตกสลายออกมาเสียเดี๋ยวนี้
“ทำ..ไม...ข้า ฮึก... ข้า.. ฆ่า เจ้า...”
เปมยิ่งจ้องลงไปที่ฝ่ามือของตัวเองลึกขึ้นจนแทบทะลุ สมองเริ่มสั่งการผิดปกติจนภาพตรงหน้าค่อยๆเลือนราง กว่าจะรู้ตัว เจ้าหอยนางรมที่เอาแต่สั่นเทิ้มก็สูญสิ้นสัมปชัญญะทั้งปวงไปแล้ว
“อ๊ากกกกก!!!”
ฝ่ามือเปื้อนดินก่อนหน้านี้ ตอนนี้กลับดูคล้ายกับมือที่เปื้อนเลือด กลิ่นหญ้าและโคลนก็เหม็นฟุ้งจนค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นกลิ่นคาวน่ารังเกียจ เปมรีบสะบัดมือตัวเองไปมาหวังจะให้คราบสกปรกนั้นหลุดออกไป พร้อมแผดเสียงลั่นจนนกยักษ์ใกล้ๆต้องร้องออกมาเสียงหลงด้วยความเป็นห่วงระคนตกใจ
คนตัวเล็กพยายามคลานหนีภาพแอ่งโคลนเบื้องหน้าที่ดูคล้ายกับว่าเป็นบ่อของซากศพ เมื่อภาพหลอนในหัวมันยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ความกดดันที่เคยมีทั้งหมดก็ถึงเวลากระอักออกมา... ร่างบางอาเจียนออกมาโครกใหญ่อย่าควบคุมไม่ได้จนแสบในคอไปหมด
“ฮั่ก...มะ..ไม่!..”
“แกว่กก แกว่กก!”
เสียงหอบของเปมมันปะปนไปกับเสียงร้องระงมของเจ้านกยักษ์ที่พยายามจะพาตัวเองเข้ามาใกล้ แต่ยิ่งขยับเข้าหา เปมก็ยิ่งถอยหนีอย่างถุลักถุเล จนเนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปเสียทุกส่วน คนตัวเล็กหยุดจ้องนกยักษ์ที่พยายามรักษาระยะห่างด้วยดวงตาหวาดหวั่นพรั่นพรึงถึงที่สุด ก่อนจะหลุดเสียงกรีดร้องดังลั่นออกมา เป็นเหตุให้คนในบ้านหินต้องแง้มประตูออกมาดู จนเมื่อเห็นภาพตรงหน้า รเณศถึงได้รีบรุดเข้ามาพยุงตัวร่างบางไว้ในอ้อมแขนใหญ่พลางเขย่าตัวเปมเบาๆเพื่อเรียกสติ
“เปม เจ้าเป็นอะไร เปม!”
“อ..เอาคืนมา”
แม้ปากจะเอ่ยออกไปอย่างหาเรื่อง แต่แววตาที่จ้องมองรเณศกลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัว และพยายามทุบตีไปที่คนตรงหน้าทั้งๆที่แทบไม่เหลือแรงจะยกแขนด้วยซ้ำ
“ว่าไงนะ”
“เอาณิชา คืนมา!!... อ่อกกก”
“เปม!”
รเณศร้องขึ้นมาอย่างตกใจเมื่ออยู่ๆเปมก็เอาแต่ดิ้นพล่านจะหนีออกจากอ้อมกอดแถมยังตวาดอะไรแปลกๆที่เขาไม่ค่อยเข้าใจอีก จนเมื่อคนตัวเล็กตีสีหน้าไม่สู้ดี จนถึงกับอาเจียนซ้ำออกมาอีกกองนั่นแหละ ถึงได้รู้ว่าไม่สามารถปล่อยไว้ได้อีกแล้ว
คนตัวใหญ่ไม่สนใจแรงดิ้นหนีที่ก็ค่อยๆผ่อนลงตามลำดับ กลับอุ้มตัวเปมขึ้นและพาเข้าไปในตัวบ้านทันที ไม่รู้ว่าเพราะตัวเองแรงเยอะกว่ามากเกินไป หรือเพราะคนในอ้อมกอดคลั่งจนหมดเรี่ยวแรงไปแล้วกันแน่ ตอนนี้ถึงได้แต่นอนนิ่งบนเตียงอุ่นๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงบ่นเพ้อออกมาไม่หยุดปาก
“ทำไมถึงเป็นขนาดนี้”
รเณศวางอ่างใสไว้บนโต๊ะตัวเล็กที่หัวเตียง ก่อนจะพาตัวเองไปนั่งลงข้างๆร่างเล็กที่เอาแต่นอนคุดคู้และบ่นพึมพำกับตัวเอง คนตัวสูงยกผ้าเย็นในมือขึ้นซับเหงื่อบนใบหน้าของเปมอย่างระมัดระวัง มือที่ว่างก็ต้องคอยรั้งแขนคนตัวเล็กไว้ไม่ให้ดิ้นหนีอีก จนเมื่อรเณศเช็ดทำความสะอาดคราบดินคราบโคลนบนเนื้อขาวๆออกหมดแล้ว เปมถึงยอมนอนสงบๆได้เสียที
“เดี๋ยวข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เจ้านะ”
เปมไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ร่างทั้งร่างก็นิ่งจนแทบจะแข็งเป็นหิน มีแค่เพียงดวงตาสองข้างที่พยายามกลอกไปมาช้าๆเหมือนต้องการส่งสัญญาณ ฝ่ายรเณศเองก็ดูเหมือนไม่ได้สนใจจะเอาคำตอบอยู่แล้วถึงได้ลุกไปควานหาเสื้อผ้าของตัวเองมาและลงมือจัดแจงปลดกระดุมเสื้อที่อาบไปด้วยกลิ่นเหม็น ก่อนจะถอดกางเกงเน่าๆของเปมออกอย่างถุลักถุเล รเณศค่อยๆเช็ดทำความสะอาดรอยสกปรกที่หลงเหลือบนตัวร่างบางออก ก่อนที่ผ้าแพรของพวกผู้ดีจะถูกทาบลงไปบนเนื้อเนียนเพื่อแทนที่
คนตัวเล็กแทบจะไม่ขัดขืนอะไรเลย แม้ว่ามือใหญ่จะถูกเนื้อต้องตัวตนเองมากแค่ไหน อาจเพราะเหนื่อยเต็มที ผนวกกับสติสตังที่ยังคงกลับมาได้ไม่สมบูรณ์นัก ถึงได้ทำให้ดวงตาคู่สวยในตอนนี้กลับไร้แววจนดูน่ากลัว
“พักผ่อนก่อนนะ”
รเณศลูบหัวเปมเบาๆ พลางก้มลงจูบเรียกขวัญที่ขมับด้านหนึ่งซึ่งปรากฏร่องรอยเส้นเลือดชัดเจน เปมที่กำลังอยู่ในช่วงว่านอนสอนง่ายก็ได้แต่กลอกตาไปหยุดมองหน้ารเณศพักหนึ่งก่อนจะยอมหลับตาลงช้าๆ รเณศดูแลห่มผ้าห่มให้เปมอย่างเอาใจใส่และลุกไปทำความสะอาดผ้าที่เต็มไปด้วยคราบดิน
เวลาผ่านไปนานพอตัวจนแผ่นฟ้าด้านนอกถูกปูทับด้วยผ้ากำมะหยี่สีดำสนิทไปแล้ว พอดีกับที่เปมค่อยๆได้สติ ขยับตัวขึ้นมาเล็กน้อยพลางปรือตาตื่นขึ้น รเณศที่นั่งอ่านหนังสือว่าด้วยเรื่องกฎหมายเขตสัตว์บกอยู่ไม่ห่างก็รีบวางทุกอย่างแล้วรุดเข้ามาประคองตัวเปมให้ลุกขึ้นนั่งช้าๆ
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“อืม... ก็ดีขึ้นหน่อยแล้ว”
เปมตอบน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน คนตัวสูงก็เลยรีบวิ่งหายออกไปนอกห้องสักพัก ก่อนจะกลับมาพร้อมแก้วน้ำขิงร้อนๆในมือ
“ดื่มซะ”
“ขอบคุณเจ้ามากนะ”
เปมรับแก้วน้ำมาเป่าหน่อยๆ ส่วนรเณศก็ได้แต่พยักหน้ารับคำขอบคุณนั้นโดยไม่พูดอะไร เพราะแท้จริงแล้วเขาไม่ได้ต้องการคำขอบคุณใดๆ แต่ต้องการให้คนตรงหน้ากลับมาสดใสเหมือนเดิมโดยไวมากกว่า ก็ไอ้ภาพของเปมที่ทุรนทุรายอย่างวันนี้น่ะ เขาไม่อยากจะเห็นมันอีกแล้วน่ะสิ
“เตชัสเล่าเรื่องทั้งหมดให้ข้ารู้แล้วนะ”
“แค่กๆ...”
คนตัวเล็กสำลักน้ำขิงทันทีที่ได้ยินชื่อของเตชัสหลุดออกมา สายตารีบเลื่อนไปจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าจริงจังของรเณศซึ่งขยับเข้ามาใกล้ตนมากขึ้น
“การที่เตชัสยอมปล่อยให้เจ้าอยู่กับข้าแบบนี้ แปลได้ว่าหมอนั่นกำลังวิตกสุดๆจนทำอะไรไม่ถูก” รเณศเดินมานั่งลงบนเตียงข้างๆเปมพลางร่ายไปเรื่อยๆ “ข้าไม่คิดอยากช่วยมันหรอกนะ แต่พอเห็นแบบนี้แล้วมันก็รู้สึกหงุดหงิดอยู่เหมือนกัน”
“...”
“เปม ฟังข้านะ...”
รเณศเอื้อมมือขึ้นกุมไหล่บางไว้แน่นเหมือนพยายามจะส่งกำลังสักอย่างไปให้ร่างเล็กตรงหน้า ที่เริ่มสั่นน้อยๆตามแรงกดดันที่โถมกลับเข้ามาในหัวสมองอีกครั้ง
“ณิชาปลิดชีวิตตัวเอง เพื่อหลีกหนีจากสิ่งที่เรียกว่า ‘การตายทั้งเป็น’ เพราะไม่ว่าเจ้าจะบอกเลิกหรือไม่บอกเลิกนาง ความจริงที่ว่าเจ้าหมดรักนางแล้วก็ยังคงอยู่ ซึ่งหากฝืนรั้งกันต่อไป ก็มีแต่จะเจ็บปวด...มากยิ่งกว่าความตายเสียอีก”
“...”
“ผู้หญิงคนนั้นจะต้องได้พบกับความรักที่แท้จริงแน่ ซึ่งอาจจะกำลังรอนางอยู่ที่อีกภพภูมิหนึ่งก็เป็นได้ ฉะนั้น...เจ้าอย่าโทษตัวเองมากเกินไปเลย เพราะทั้งหมดมันคือการตัดสินใจของตัวณิชาเอง”
“ต..แต่ว่า...”
รเณศคว้าแก้วน้ำในมือเปมมาเพราะมือเขาสั่นจนประคองอะไรไม่ไหวแล้ว เปมที่นั่งฟังอย่างตั้งใจมาตลอดได้โอกาสเอ่ยปากขึ้นมาอย่างยากลำบาก ถึงอย่างนั้นรเณศก็ยังพูดแทรกขึ้นมาก่อน
“ข้าคิดว่าคนเราควรรู้สึกผิด แต่ก็ไม่ควรจมอยู่แต่กับอดีต ไม่อย่างนั้นเราจะก้าวขาเดินหน้าต่อไปได้อย่างไรกัน...”
“...”
“เปม... ไม่มีใครบนโลกนี้ ที่จะเศร้าเสียใจตลอดไปได้หรอกนะ”
“อึ่ก...”
“จริงๆข้าไม่ค่อยอยากพูดแบบนี้ แต่ถ้าหากณิชายอมตัดตัวเองทิ้งไป เพื่อให้เจ้าได้รักกับเตชัส เจ้าก็ไม่ควรหนีออกมาจากมันอย่างนี้นะ ไม่เช่นนั้นแล้ว..ความตายของณิชาคงต้องสูญเปล่าเป็นแน่”
ความเงียบถูกพัดพาเข้าปกคลุมไปทั่วทั่งห้องเป็นเวลานาน เปมยังคงเอาแต่จ้องหน้ารเณศอยู่อย่างนั้น โดยรเณศเองก็ยังคงไม่ปล่อยมือออกจากไหล่ขาว คนตัวเล็กได้แต่ทบทวนทุกคำ ทุกความหมาย ในสิ่งที่รเณศพยายามสื่อออกมาให้ชัดเจนซ้ำไปซ้ำมาในหัวสมอง
ณิชา...คือเพื่อนที่ดีที่สุด คือคนรักที่ดีมากจนยากจะลืมเลือน... ณิชาเคยเป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเปม แต่ในวันนี้คงต้องยอมรับว่ามันไม่ใช่อีกแล้ว ณิชาอาจเจ็บช้ำมากเหลือเกินที่เปมลดความสัมพันธ์ลง แต่หากว่ายังคงฝืนรั้งกันไปมา ก็ต้องยิ่งรวดร้าวมากไปกว่านี้เป็นแน่
และผู้หญิงอย่างณิชา...จะไม่มีวันกล่าวโทษใครอย่างแน่นอน เธอคงจะต้องกำลังยิ้มให้กับเปม ผู้ชายที่รักที่สุดอยู่แน่ๆ ยิ้มทั้งๆที่ตัวเองนั้นได้เดินหน้าไปสู่ความตาย และยิ้ม...ทั้งๆที่ต้องแบกรับความรู้สึกปวดใจ แต่คนอย่างณิชา... จะต้องไม่รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปแน่ๆ
“รเณศ...ข้าคิดว่า.. ข้าพอจะเข้าใจบ้างแล้ว”
หลังจากการทบทวบอันยาวนาน เปมก็ตัดสินใจเอ่ยออกมาก แม้ว่าจะไม่ได้เต็มปากเต็มคำนัก แต่ก็ยังพอเรียกรอยยิ้มจากทั้งสองคนขึ้นมาได้บ้าง
“ก็ดีแล้ว” รเณศยกมือขึ้นลูบหัวเปมเหมือนเคย ก่อนจะหันไปมองที่ประตูห้องซึ่งอ้ากว้างอยู่ ทอดให้เห็นโถงรับแขกเล็กๆของตัวบ้านด้านหน้า “เอ้า! ถ้าได้ยินแล้ว ก็เข้ามาเถอะ บ้านข้าสะอาดกว่าใจเจ้าเยอะนัก”
เปมตีหน้าสงสัยแทบจะทันทีที่รเณศตะโกนอะไรแปลกๆออกไปที่หน้าบ้าน คนตัวสูงจึงยอมหันมาเฉลย ทั้งๆที่กำลังมีสีหน้าไม่สบอารมณ์แท้ๆ
“แค่ไอ้บ้าที่มายืนตากแดดตากลมอยู่ครึ่งค่อนวันจนขาโดนตะคริวกินนั่นแหละ”
แอ๊ดด...
เสียงเปิดประตูดังขึ้นตามมาด้วยฝีเท้าหนักๆที่คุ้นดู ไม่นานนักร่างสูงของเจ้าชายฉลามก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าของเปมด้วยสีหน้าเป็นห่วงระคนโกรธเคือง
“ทำไมเจ้าชอบหลบมาอยู่กับไอ้โรคจิตนี่เรื่อยเลย” เตชัสตวัดสายตาไปมองรเณศแวบหนึ่ง ก่อนจะก้าวขาเข้ามาใกล้เปมมากขึ้น ส่วนรเณศก็ต้องยอมทำตัวเป็นชายผู้แสนดีด้วยการเดินออกไปจากห้องซะ
“เต...ข้า ข้าขอโทษ”
“ขอโทษที่หนีมาคลุกอยู่กับไอ้รเณศ หรือขอโทษ... ที่คิดจะเลิกรักข้ากันแน่ล่ะ”
คำพูดสุดท้ายของเตชัสถูกกล่าวออกมาอย่างแผ่วเบาผิดปกติ อาจด้วยไม่อยากยอมรับและหวาดกลัวในสิ่งสิ่งนั้นก็เป็นได้ แต่ดูเหมือนทั้งสองข้อกล่าวหาที่ว่ามาจะทำให้เปมยิ่งลนจนทำตัวไม่ถูก ได้แต่ซุกหน้าลงกับผ้าห่มและพึมพำแต่เพียงว่า ‘ขอโทษ’ ซ้ำไปซ้ำมาเท่านั้น
“เปม... เพราะมีความรัก เพราะมีความสุข ถึงได้ทำให้ความทุกข์จางหายไปไม่ใช่เหรอ...”
“...”
“หากว่าณิชาคือแผล...”
“อ้ะ...”
เตชัสหยุดหายใจแรงๆ และคว้าเอาร่างบางตรงหน้าเข้ามากอดไว้แน่น พลางเกยคางลงไปที่ไหล่ขาว ก่อนจะเอ่ยคำพูดศักดิ์สิทธิ์ที่พร้อมชำระล้างทุกความเศร้าหมองในใจของเปมให้มลายหายไปเช่นทุกครั้ง คำพูดที่ดังก้องไปมาภายในสมองและหัวใจของเปม...
‘หากว่าณิชาคือแผล...’
“ข้าก็ขอเป็นยา ที่จะสมานแผลในใจเจ้าแล้วกัน”