Chapter :: 11 :: ก้อนแรก“คุณแม่มีอาการซึมเศร้าเนื่องจากผิดหวังที่ไม่สามารถมีลูกได้มาก่อนหน้านี้แล้ว และการที่มีน้องเพชรเข้ามาในชีวิต ก็ทำให้คุณแม่เกิดปมขัดแย้งในใจขึ้น ใจหนึ่งก็นึกอยากรัก รู้สึกยินดีที่จะได้มีลูก แต่อีกใจกลับคัดค้าน เพราะเป็นลูกที่เกิดจากสามีกับผู้หญิงคนอื่น แต่เนื่องจากไม่สามารถแสดงความคิดด้านลบออกมาได้ อาจจะด้วยปัจจัยแวดล้อมหลายๆ อย่าง สุดท้ายคุณแม่จึงเลือกที่จะแสดงเฉพาะความรู้สึกรักที่มีต่อน้องเพชรเท่านั้น”
“.........” คุณแม่..
“คุณแม่ตัดสินใจว่าจะรักน้องเพชร แต่ความรู้สึกคัดค้านด้านลบในใจก็ไม่ได้หายไปไหน ยิ่งคุณแม่รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถรักน้องเพชรจากใจจริงได้ คุณแม่ก็ยิ่งทุ่มเทแสดงความรักที่มีต่อน้องเพชรให้มากขึ้นไปอีก
“.........”
"ส่วนน้องเพชรที่แทบจะไม่เคยได้รับการปฏิบัติด้วยความรักจากแม่พลอยซึ่งเป็นแม่แท้ๆ พอมาเจอความรักมากล้นจากคนที่เป็นเพียงแม่เลี้ยงก็ไม่แปลกหากจะนึกระแวงหรือต่อต้าน”
“.........” ใช่ ผมระแวงความรักของคุณแม่
“และยิ่งน้องเพชรแสดงอาการไม่ยอมรับ ความรู้สึกด้านลบในใจของคุณแม่ก็ยิ่งมีมากขึ้น ทำให้การแสดงความรักของคุณแม่ยิ่งมีมากขึ้นไปด้วย พูดง่ายๆ คือ ยิ่งรู้สึกเกลียดมาก ก็ยิ่งแสดงออกมาว่ารักมากจนผิดปกติ การแสดงปฏิกิริยาตรงข้ามกับความปรารถนาที่แท้จริงเช่นนี้เป็นหนึ่งในกลไกป้องการกันตัว มักเกิดขึ้นโดยที่บุคคลไม่รู้ตัว เพราะอยู่ในระดับของจิตไร้สำนึก”
“.........” ทั้งที่เกลียดผม แต่ก็ยังพยายามที่จะรักผม
“บางที.. แม่พลอยเองก็อาจจะมีพฤติกรรมคล้ายๆ กัน”
“แม่?”
“ครับ น้องเพชรบอกว่าแม่พลอยไม่เคยตีน้องเพชรเลยสักครั้ง เวลาเมา เธอก็ชอบมาขอโทษและปฏิบัติต่อน้องเพชรอย่างอ่อนโยนใช่ไหม? และการที่เธอยอมอุ้มท้องน้องเพชรจนคลอด หรือการเลี้ยงดูน้องเพชรตามลำพังมาตลอดเจ็ดปีก็ตาม ..ทั้งหมดก็เพราะรัก”
แม่เป็นคนทิฐิแรง เมื่อครอบครัวที่มีหน้ามีตาทางสังคมไม่ยอมรับการตั้งท้องโดยไม่มีพ่อ แม่ก็ออกจากบ้านมาโดยไม่ฟังเสียงใครอีก ไม่บอกคุณป๋าเพราะถือว่าเลิกกันไปแล้ว จนถึงช่วงท้ายๆ ของชีวิตที่แม่ป่วยหนัก จึงได้ยอมติดต่อคุณป๋า
ผมไม่ได้รู้เรื่องนี้จากปากแม่ แต่มารู้ทีหลังจากปากคุณป๋า เพราะตลอดชีวิตแม่ไม่เคยเล่าอะไรให้ผมฟังเลย ..แม้เพียงนิทานสักเรื่อง
“ความคับข้องใจของแม่พลอยอาจจะเกิดจากความกดดันทางครอบครัว สังคม จากที่เคยสุขสบายดีเพราะเกิดในครอบครัวมีฐานะ ก็ต้องออกมาหาเลี้ยงตัวเองและลูกตามลำพัง ความเหน็ดเหนื่อย ความคับแค้น ปัญหาจากชีวิตประจำวัน เหล่านี้คงผลักดันให้แม่พลอยนึกอยากจะโทษใครสักคน การโยนความผิดให้คนอื่นก็เป็นกลไกการป้องกันตัวอย่างหนึ่งเหมือนกัน เพื่อลดความเครียดความกังวลภายในจิตใจ”
“.........” แม่เลือกผม
“ยิ่งรักมาก แต่ไม่สามารถแสดงความรักได้ด้วยรู้สึกขัดแย้งในใจว่าน้องเพชรคือสาเหตุของปัญหาทั้งหมด(โยนความผิดให้) สิ่งที่แสดงออกจึงมีแต่ความเย็นชาและคำพูดทำร้ายจิตใจ เพื่อหวังจะให้อีกฝ่ายได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดที่ตัวเองก็รู้สึกเช่นกัน”
“คุณแม่กับแม่พลอย..”
ผมไม่รู้ว่าควรจะโกรธใครดีหรือเปล่า
“ตัวน้องเพชรเองก็เหมือนกัน..”
ผมหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงคนไข้ คุณหมอยังคงพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงโทนนุ่มดังเดิม
“การเลือกที่จะลืมความรู้สึกของตัวเอง หรือกำจัดให้มันออกไปจากจิตสำนึก ไม่ได้แปลว่ามันจะหมดไปจากจิตใต้สำนึกด้วยหรอกนะครับ ยิ่งกดยิ่งเก็บก็ยิ่งเป็นเหมือนระเบิดเวลา พิสูจน์ได้จากเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา”
“ผมแค่ปวดหัว..”
ผมเบือนหน้าไปมองกระบองเพชรรูปหัวใจที่วางอยู่ข้างหน้าต่าง ใครสักคนเอามาวางไว้ตั้งแต่เมื่อวานนี้
“.........”
“ทุกคนเอาแต่พูดขอโทษ”
“.........” คุณหมอยังคงเงียบรอฟัง
ผมถอนหายใจออกมา รู้สึกคันยุบยิบบนหลังมือที่ถูกแทงเข็มน้ำเกลือ
“คุณป๋าขอโทษ ที่ไม่สามารถปกป้องผมได้อย่างที่ให้สัญญา”
“.........”
“ตะนอยขอโทษ ที่ไม่อยู่ในเวลาที่ผมต้องการ”
“.........”
“พี่อินขอโทษ ที่ดูแลผมไม่ได้อย่างที่บอก”
“.........”
“แม่พี่อินขอโทษ ที่ห้ามไม่ให้เกิดเรื่องทั้งที่อยู่ในบ้านตัวเองไม่ได้”
“.........”
“พี่นทขอโทษ ที่วู่วามใช้อารมณ์ในวันนั้น แล้วก็ขอโทษแทนป้านีที่ทำร้ายผมด้วย”
“.........”
“พี่หมอจี้ขอโทษ ที่ปล่อยผมกลับไปอยู่คนเดียวทั้งที่เห็นว่าอาการไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
“.........”
“แม้แต่ต๊อกแต๊กที่ไม่มีเหตุผลอะไรมารองรับ ก็ยังพูดคำว่าขอโทษกับผม”
“หมอก็ต้องขอโทษ”
“.........” คนข้างเตียงทำให้ผมต้องหันกลับไปมองอีกครั้ง
“ที่ไม่สามารถทำให้น้องเพชรรู้สึกวางใจได้”
“ทุกคนเอาแต่พูดขอโทษ” ผมก้มมองหลังมือที่ยังรู้สึกคันยุบยิบอยู่
“แล้วน้องเพชรล่ะ ขอโทษตัวเองหรือยัง?”
“ผม..” ผมเลื่อนมือไปจับสายยางที่ต่ออยู่กับเข็มน้ำเกลือ
แต่ก่อนที่จะได้ดึงมันออกอย่างใจคิด มือเย็นๆ ของคุณหมอก็กดทับลงบนมือผมเบาๆ ..มันเย็นมาก ราวกับไม่ใช่อุณหภูมิของสิ่งมีชีวิต
คุณหมอลุกขึ้นยืน จับมือผมวางไว้ข้างตัวตามเดิม ปรับลดระดับหัวเตียงเป็นแนวราบ ดึงผ้าห่มมาคลุมให้จนถึงอก
“ขอโทษ.. ที่ไม่ได้ทานยาเพราะแค่อยากหายปวดหัวอย่างเดียว”
ผมเหม่อมองเพดานสีขาวที่ไม่มีอะไรน่าสนใจ
“.........” ได้ยินเสียงอีกฝ่ายกลับไปนั่งบนเก้าอี้
“ผมอยากหายไปจากโลกนี้ด้วย”
สีขาวนี่ไม่มีอะไรน่าสนใจจริงๆ ไม่ต้องเพ่ง ไม่ต้องมองหาว่าอาจจะมีอะไรซ่อนอยู่
“หมดหวังกับชีวิตแล้วเหรอครับ?”
“ผมไม่ควรเกิดมา.. ผมทำให้แม่พลอยลำบาก ทำให้คุณแม่ป่วยหนัก ทำให้คุณป๋าทุกข์ใจ ทำให้หลายคนมีปัญหา”
..เป็นสีที่ช่างสงบราบเรียบ
“จะสมควรหรือไม่สมควร แต่ในเมื่อได้เกิดมาแล้ว นั่นย่อมมีความหมาย”
เกิดมาเพื่ออะไร เกิดมาเพื่อใคร คำถามพวกนี้ไม่เคยมีอยู่ในสมองผม เพราะตั้งแต่เด็ก คำเดียวที่ถูกตอกย้ำให้แน่ใจอยู่เสมอ คือ ไม่ควรเกิดมา
“แม่พลอยยอมลำบากเลี้ยงน้องเพชรมาทำไม? คุณแม่พยายามจนป่วยหนักเพื่อใคร? คุณป๋าทุกข์ใจเพราะอะไร? และที่ทุกคนพูดขอโทษ เป็นเพราะรู้สึกยังไง? แทนที่จะตำหนิน้องเพชร ทำไมพวกเขาถึงเอาแต่โทษตัวเอง?”
“.........”
“คำตอบของคำถามเหล่านี้ น้องเพชรรู้หรือเปล่า?”
“.........” ผมชอบสีแดง.. สีแดงของอิฐ
“ถ้ายังไม่กล้าทุบกำแพง หรือมุดออกมาตามรูที่มันโหว่ งั้นลองดึงอิฐออกทีละก้อนดีไหมครับ?”
“.........” ดึงอิฐสีแดงออก..
“ไม่ต้องรีบร้อน เพียงแค่ดึงออกไปทีละก้อน ทีละก้อน..”
“.........” ทีละก้อน ทีละก้อน..
“ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของเวลา”
“.........” สักวันก็คง..
ไม่มีอิฐสีแดงที่ผมชอบ...
“เอาอีกชิ้นไหม?”
คุณป๋าที่ยื่นกลีบส้มมาให้ต้องชะงักมือเมื่อผมส่ายหน้าปฏิเสธ
“อิ่มแล้วฮะ”
“งั้นดื่มน้ำล้างคอนะ”
ผมดื่มน้ำอุ่นที่คุณป๋ายกมาจ่อปากให้
“วันนี้คุณป๋าไม่มีสอนเหรอฮะ?”
“วันนี้เป็นวันสถาปนามหาวิทยาลัย ไม่มีการเรียนการสอนหรอก อ้อ แต่พวกตะนอยต้องไปทำกิจกรรมนะ เดี๋ยวบ่ายๆ คงจะมา”
จริงสินะ ผมมาอยู่ที่นี่กี่วันแล้ว ..สามวัน สี่วัน หรือมากกว่านั้น?
ทั้งที่ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว ไม่รู้ทำไมเขาถึงยังไม่ให้ผมกลับบ้านสักที
“หนูจะดูทีวีไหม? เดี๋ยวป๋าเปิดให้นะ” ผมพยักหน้าตอบไปตามเรื่องราว ไม่ได้สนใจอยากดูอะไรหรอก
“คุณป๋าเหนื่อยไหมฮะ?”
คนที่กำลังกดรีโมทหาช่องหน้าสนใจหยุดชะงักมือ หันมามองผม
“ว่าไงนะ?”
“คุณป๋าต้องดูแลคุณแม่ ดูแลผม ต้องทนกับความเอาแต่ใจของแม่พลอย คุณป๋าเคยเหนื่อยบ้างไหมฮะ?”
“ไม่หรอก ได้ทำเพื่อคนที่ป๋ารัก ป๋ามีความสุข”
“.........”
“น้องเพชร..”
คุณป๋าขยับมาใกล้ๆ เอื้อมมืออุ่นๆ มาลูบหัวผมเบาๆ ปากยกยิ้มบาง
“ป๋ารักหนูนะ”
“ผมทำให้คุณป๋าร้องไห้” ผมยื่นมือไปลูบแก้มสากๆ จากการโกนหนวดเคราลวกๆ ของคุณป๋า ครั้งแรกที่ผมลืมตาขึ้นมาที่นี่ ผมเห็นคุณป๋ากำลังร้องไห้
“หนูจะไม่ทำอีกใช่ไหม?” คุณป๋ายกมือขึ้นทาบทับมือผมอีกที สายตาวิงวอนขอร้อง “ตอนนี้หนูเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจอย่างเดียวของป๋า ถ้าหนูเป็นอะไรไป ป๋าคงไม่เหลือแรงทำอะไรอีก”
“.........”
“รับปากป๋าสิ”
“ฮะ ผมจะไม่ทำอีก”
คุณป๋ายิ้มรับคำสัญญาของผม
“คุณป๋าฮะ ถ้าผมออกจากที่นี่ เราไปเยี่ยมคุณแม่กันอีกนะฮะ”
“ตัวเล็กร้อนยัง? กลับเข้าห้องกันไหม?” พี่ถามหลังพาผมออกมานั่งเล่นในสวนลอยฟ้าของโรงพยาบาลพักใหญ่
“ผมอยากนั่งต่ออีกสักพัก” ผมส่ายหัว
“งั้นขยับเข้าไปในร่มกันดีกว่า แดดเริ่มแรงแล้ว” พี่จูงมือผมเข้ามานั่งในร่ม
“พี่ฮะ”
“หือ?”
“พี่เหนื่อยไหมฮะ ที่ต้องมาคอยตามดูแลผมอยู่แบบนี้?”
“ไม่หรอก เพื่อคนที่พี่รัก พี่จะเหนื่อยได้ยังไง” พี่ยิ้มเต็มหน้า
“.........” บอกตามตรงว่าผมระแวงความรักของพี่ เหมือนที่เคยระแวงความรักของคุณแม่
“หือ?” พี่เลิกคิ้วเมื่อเห็นผมเอาแต่จ้องหน้า
“ทำไมพี่ถึงเลือกจะให้ความรักกับคนที่เป็นเพียงคนอื่นอย่างผมล่ะฮะ?”
“พ่อกับแม่พี่ก็เคยเป็นแค่คนอื่นของกันและกันมาก่อน แต่ตอนนี้พวกท่านเป็นคนรักกัน”
“พี่อยากให้เราเป็นแบบนั้นเหรอฮะ?”
“พี่หวังว่าเราจะเป็นแบบนั้น”
..มันจะเป็นไปได้เหรอ?
“ผมทำให้พี่เจ็บตัว” ผมยกมือลูบรอยเขียวจางบนโหนกแก้มพี่
จำได้ว่าครั้งแรกที่ผมเห็นพี่หลังจากตื่นขึ้นมา หน้าพี่บวมปูดเขียวช้ำจนน่ากลัว แต่ตอนนี้จางลงจนแทบไม่เห็นแล้ว
“ไม่ใช่หรอก ทั้งหมดนี่เป็นเพราะตัวพี่เอง” พี่จับมือข้างนั้นของผม ก่อนจะกดจูบลงกลางฝ่ามือ
“พี่ต้องผิดใจกับพี่นท แม่พี่ก็อาจต้องผิดใจกับป้านี”
“เรื่องนี้แก้ไขได้ ตัวเล็กไม่ต้องเป็นกังวลนะ พี่กับแม่เอาอยู่” พี่ยิ้มยิงฟันขาว ตาร้ายๆ ฉายแววทะเล้น
“บางทีที่พี่กำลังทำมันอาจจะเหมือนกับการขอเพชรพลอยจากขอทาน..” ผมเอนหัวไปพิงอกพี่ เสียงหัวใจของพี่ยังดังน่าฟังเหมือนเดิม
“.........” มือใหญ่โอบกระชับไหล่ผมเอาไว้
“เข้าใจใช่ไหมฮะ? ของที่ไม่มี ยังไงก็ให้ไม่ได้”
“งั้นพี่ก็จะหอบเพชรพลอยที่มีทั้งหมดไปให้ขอทานคนนั้น แล้วขอคืนกลับมาเพียงเม็ดที่เล็กที่สุดแค่เม็ดเดียวก็ยังดี เขาคงจะไม่ใจร้ายกับพี่นักหรอกมั้ง ตัวเล็กว่าไง?”
“แต่นั่นมันเป็นของของพี่นี่นา ไม่ใช่ของขอทานคนนั้นสักหน่อย” ผมเงยหน้าขึ้นไปแย้ง
“เมื่อยกให้ไปแล้ว ก็ถือว่าเป็นของของคนนั้นไปสิ” พี่ยิ้มบางให้
“แล้วพี่ไม่เสียดายเหรอฮะ?” ผมเบือนสายตากลับมามองท้องฟ้าเหมือนเดิม
“ถ้ามันจะทำให้ได้สิ่งมีค่ากลับมาแม้เพียงเล็กน้อย พี่ยอมเดิมพันด้วยทุกสิ่งที่มี”
แม้จะไม่เห็นหน้า แต่คำพูดกลับให้ความรู้สึกหนักแน่นราวกับเรากำลังจ้องตากันอยู่ จนผมเผลอพูดในสิ่งที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่เคยคิดว่าก่อน
“ผมภาวนาให้เขายอมใจอ่อนกับพี่”
พูดไปแล้วก็นึกแปลกใจตัวเองไม่น้อย
“พี่ก็ภาวนาให้เป็นแบบนั้นเหมือนกัน”
มือใหญ่บีบหัวไหล่ผมเบาๆ ก่อนพยุงให้ลุกขึ้น
“.........” ผมแหงนหน้ามองอีกฝ่าย พี่ยิ้มให้เต็มหน้าอีกครั้ง
“กลับเข้าข้างในกันเถอะ แดดแรงมากแล้ว เดี๋ยวจะไม่สบาย”
“ตะนอย เราอืดท้อง ขอยาหน่อย”
ผมลุกขึ้นนั่งเพราะรู้สึกอึดอัดท้อง หลังนอนอ่านหนังสือได้แค่พักเดียว
“หือ รอเดี๋ยวนะ” เจ้าของชื่อที่กำลังติวเข้มให้ลูกศิษย์คนพิเศษอยู่ที่พื้นข้างเตียงหันมาพยักหน้าให้ ก่อนลุกไปหยิบกล่องยาที่มีกุญแจล็อกแน่นหนา
ตั้งแต่เกิดเรื่องคราวนั้น ดูเหมือนตะนอยจะกวาดยาทุกชนิดไปเก็บไว้ในกล่องแพนโดรานั่นหมด แถมยังถือกุญแจแต่เพียงผู้เดียวด้วย
“โอยยย เพชรช่วยชีวิตเราไว้พอดี” ต๊อกแต๊กเหยียดแข้งเหยียดขาแล้วหงายหลังตึงอย่างหมดเรี่ยวแรง
เพราะตอนนี้เริ่มเข้าสู่เทศกาลสอบไฟนอลแล้ว ทุกคนก็เลยต้องเคร่งเครียดกับการอ่านหนังสือ
“อะไรหล่อ? แค่นี้ทำบ่น คิดว่าที่ทำอยู่นี่เพื่อใครกันห๊ะ?” คนที่กำลังวุ่นอยู่กับกล่องยาไม่วายหันมาต่อล้อต่อเถียงด้วย
“ก็มึงอ่ะ ยัดเยียดกูเกินไป สมองกูก็มีอยู่เท่านี้” คนบ่นกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นอย่างเกียจคร้าน
“เท่าเม็ดถั่วใช่ไหม? มีดีแค่หน้าตาจริงๆ” ประโยคหลังตะนอยบ่นเบาๆ ให้ผมได้ยินคนเดียวตอนเอายามายื่นให้
“.........” ผมลงจากเตียงไปหาน้ำดื่ม
“มึงชอบด่ากูตลอดๆ กูว่ากูไปติวกับพวกไอ้ก้องดีกว่า”
“ก็ลองไปดูดิ”
ทั้งสองคนหันไปสบตากัน ก่อนจะเป็นต๊อกแต๊กที่เบือนหน้าหนี
“ชอบบังคับกู” ต๊อกแต๊กบ่นพึมพำ ส่วนตะนอยถอนหายใจยาว
“กูกลัวมึงจะได้แดกเอฟเหอะ? คะแนนเก็บดีตายห่าเลยนี่ ขนาดแค่วิชาพื้นฐานเองนะ”
“แต่ตัดเกรดกับพวกแพทย์พวกทันตะเลยงี้ วิชาคำนวณก็ต้องไปตัดกับพวกวิศวะอีก โอยย ตายแน่ๆ กูตาย”
“.........” ผมเกือบเหยียบต๊อกแต๊กที่กลิ้งมานอนคว่ำหน้า มือทุบพื้นกระเบื้องอย่างอัดอั้นตันใจอยู่ใกล้ๆ เท้าผม
“ก็ถูกแล้วนี่ หรือมึงจะไปตัดกับพวกสถาปัตย์ล่ะ?”
“ได้ก็ดีดิ กูต้องคิดผิดแน่ๆ ที่มาเรียนคณะนี้”
“กูว่าคนตรวจข้อสอบเขาตรวจผิดมากกว่า ไม่งั้นมึงคงไม่ติดคณะนี้หรอก”
“มึงเลิกทับถมกูสักทีได้ไหมไอ้เอี้ย! เอ้า จะติวก็มาติวต่อ อย่าปล่อยให้คนหล่อรอนานๆ” เมื่อได้บ่นจนพอใจต๊อกแต๊กก็เด้งตัวขึ้นมานั่ง
ตะนอยเดินหัวเราะกลับไปนั่งที่เดิม ส่วนผมก็ทิ้งตัวนอนบนเตียง
แล้วเราสามคนก็เคร่งเครียดกับการอ่านหนังสือสอบกันต่อ..
“น้องเพชร”
เสียงเรียกคุ้นเคยทำให้ผมที่เพิ่งเดินลงบันไดอาคารเรียนรวมหันไปมอง
“คุณป๋า มาทำอะไรแถวนี้ฮะ?”
“พอดีป๋าไปธุระที่ตึกอำนวยการมาน่ะ แล้วนี่เพิ่งออกจากห้องสอบกันเหรอ ทำได้บ้างหรือเปล่า?”
“ได้มากกว่าไม่ได้ฮะ”
“ตะนอยกับต๊อกแต๊กล่ะ?”
“ผมน่ะสบายมาก แต่ไอ้หมอนี่ดูเหมือนจะถูกข้อสอบสูบวิญญาณไปแล้ว” ตะนอยในลุคเด็กแว่นเหมือนเดิมชี้นิ้วโป้งไปทางคนที่ยืนเหม่อลอยไร้สติอยู่ข้างๆ
“ฮ่ะๆๆ แล้วนี่ทานข้าวกันหรือยัง ไปทานด้วยกันไหม ป๋าก็ว่าจะมาหาอะไรทานแถวนี้พอดี”
“พอดีเลยครับ พวกเราก็กำลังจะไปอยู่เหมือนกัน” ตะนอยรับคำแล้วคว้าคอร่างไร้วิญญาณลากเดินตามผมกับคุณป๋ามาด้วย
“ถ้าน้องเพชรย้ายกลับไปอยู่บ้านแล้ว ตะนอยจะเหงาหรือเปล่าล่ะเนี่ย คนเคยอยู่ด้วยกันทุกวันนี่นะ” พอซื้อข้าวไปนั่งที่โต๊ะกันเรียบร้อย เราก็คุยเรื่องสัพเพเหระกันไปเรื่อยเปื่อย
“ก็คงมีบ้างแหล่ะครับ แต่เดี๋ยวผมจะแวะไปเล่นที่บ้านบ่อยๆ อาจารย์คงไม่ว่านะครับ”
“โอย ไม่หรอก ดีเสียอีก น้องเพชรจะได้ไม่เหงาด้วย”
“เฮ้ยเชี่ยแต๊ก! หายหัวไปตั้งแต่ก่อนสอบ แถมวันนี้มายังไม่ทักไม่ทาย เดี๋ยวนี้หยิ่งเหรอห๊ะ ตั้งแต่ไปคบกับไอ้เด็กท็อปมึงหยิ่งเหรอห๊ะ?” ฝ่ามือที่ตบทักทายลงบนหัวแบบเน้นๆ ช่วยเรียกวิญญาณเจ้าของชื่อกลับเข้าร่างได้ในที่สุด
“เชี่ยก้องงงงง กูคิดถึงมึงสุดตรีนเลยไอ้ที่เลิฟ” พอหันไปเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ต๊อกแต๊กก็ผวาเข้าไปกอดเอวทันที หน้าที่ซุกเอาไว้กับหน้าท้องของอีกฝ่ายส่ายไปมาราวกับเด็กอ้อนแม่
“โอ๋ๆๆ นิ่งนะๆ เอ่เอ๊~” อีกคนก็รับมุขลูบหัวลูบไหล่ต๊อกแต๊กใหญ่ เพื่อนๆ ในกลุ่มจึงพากันหัวเราะ แม้แต่คุณป๋าก็ยังขำไปด้วย
คงจะมีแค่ตะนอยนั่นแหล่ะที่คิ้วแทบจะผูกกันเป็นโบว์อยู่แล้วนั่น
“หวัดดีคร้าบ อาจารย์คุณป๋า” หยอกล้อทักทายกันพอสมควร เพื่อนกลุ่มก็ต๊อกแต๊กก็หันยกมือไหว้คุณป๋ากันถ้วนหน้า
“พวกเรานั่งด้วยนะเพชร”
ผมพยักหน้าตอบ วงสนทนาของพวกเราจึงก็ขยายใหญ่ขึ้น มีเรื่องคุยกันมากขึ้นจนแทบลืมเวลา..
“พอปิดเทอม ตัวเล็กก็จะย้ายกลับไปอยู่บ้านเลยใช่ไหม?” พี่เดินมาส่งผมหน้าหอ หลังจากพวกเราเพิ่งไปหาข้าวเย็นแถวนี้ทานกัน
“ฮะ”
“งั้นเวลาไปกลับก็มาพร้อมอาจารย์ธัชเลยล่ะสิ?”
“ฮะ”
“เฮ้อ~ แล้วทีนี้พี่จะไปเฝ้ารับส่งใครล่ะเนี่ย เหงาจัง” พี่ทำหน้าเศร้าเกินความเป็นจริง
“ก็หาคนใหม่สิฮะ”
“พูดจริงเปล่าเนี่ย?” พี่ทำตาดุใส่ผม
“.........” ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าพี่ไปตามรับส่งคนอื่นจริง ผมจะเป็นยังไง
“เดี๋ยวตีตายเลย” แต่เดี๋ยวเดียวพี่ก็เปลี่ยนไปยิ้มทะเล้น
“ตอนเช้าคงไม่จำเป็น แต่ตอนเย็นคุณป๋าบอกว่าไม่เป็นไร ถ้าพี่จะมารับผมไปทานข้าวบ้าง”
“จริงเหรอ?” ตาร้ายฉายประกายลิงโลด
“.........” ผมพยักหน้า
ก็แค่คิดว่าควรบอกพี่ให้รู้ไว้ว่าคุณป๋าพูดอะไร ..แค่นั้นแหล่ะ
“ว่าที่พ่อตาพี่นี่ก็สปอร์ตเหมือนกันแฮะ” พี่หลิ่วตาเจ้าชู้ใส่ผม
“.........” ผมเลือกที่จะเงียบ เบือนหน้าไปมองประตูหอแทน
“ตัวเล็ก..” แต่พี่กลับจับหน้าผมให้หันกลับมา ใช้นิ้วโป้งกดเบาๆ บนริมฝีปากผม “เคยบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่ากัดปากตัวเอง อยากยิ้มก็ยิ้มสิ”
“.........”
“ลองดูนะ ชี้สสสสสส” พี่ยังพยายามยิ้มนำ
“จูบผมหน่อยได้ไหมฮะ?”
“เอ้อ..” พี่ชะงักไป คงไม่ทันตั้งตัว
ก่อนจะยกมือเกาท้ายทอยเก้อๆ กวาดตามองรอบบริเวณ
“.........” ผมยังรอคำตอบ
ยังอยากได้รับสัมผัสที่ให้ความรู้สึกเหมือนวันนั้นอีก
“มาทางนี้ดีกว่า” พี่ดึงผมเข้ามาในมุมลับตาคน
เรายืนจ้องตากันเงียบๆ หลังผมติดกำแพง มีสองแขนพี่เท้าคร่อมอยู่ จากนั้นไม่กี่อึดใจจึงค่อยๆ โน้มหน้าลงมาหา ริมฝีปากเราแตะกัน พี่จูบย้ำเบาๆ อีกสองสามครั้ง ก่อนจะส่งลิ้นออกมาไล้เลียริมฝีปากผม พอผมเปิดปาก ลิ้นของพี่ก็ค่อยแทรกเข้ามาด้านใน..
“อืม..”
รู้สึกเหมือนกำลังละลาย
“.........”
เราผละออกจากกันพักใหญ่แล้ว แต่ยังยืนจ้องตากันอยู่อย่างนั้น มีเพียงเสียงหัวใจของเราทั้งคู่ ที่ดังอยู่ท่ามกลางความเงียบ
“ทำไมกำมือแน่นเลยล่ะฮะ?”
ผมคิดว่าคงทนมองตาร้ายๆ แต่กลับทอประกายหวานของพี่ได้อีกไม่ทาน จึงเบือนหน้าหนี แล้วก็ไปเจอมือของพี่กำลังกำแน่นอยู่ข้างหัว
“กลัวจะเผลอไปสัมผัสตรงอื่นเข้าน่ะสิ”
“แล้วยังไงต่อฮะ?”
“แล้วพี่ก็จะหยุดแค่จูบตามที่ตัวเล็กขอไม่ได้..”
พี่ก้มลงมาจูบผมอีกครั้ง โดยที่มือยังไม่ขยับไปจากที่เดิม
พอเราผละออก ผมก็พุ่งไปกอดเอวพี่ไว้ ซุกหน้าเอาไว้กับอกของพี่
“ตัวเล็ก.. หัวเราะเหรอ?” เสียงพี่ฟังตกใจพอสมควร
“อยู่กับผมอีกแป๊บนะ” ผมขอทั้งที่ยังซุกหน้าอยู่ในอกพี่
“ครับ” พี่กอดตอบ ฝังจมูกลงบนผมของผม
แม้จะมองไม่เห็น แต่ผมกลับรู้สึกแน่ใจว่าพี่กำลังยิ้มกว้าง
ทำไมนะ?
คืนนั้น..
ผมฝันว่าตัวเองค่อยๆ ยื่นมือไปดึงอิฐสีแดงก้อนแรกออกจากกำแพง
อย่างกล้าๆ กลัวๆ
TBC. 