EDEN
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: EDEN  (อ่าน 6965 ครั้ง)

space

  • บุคคลทั่วไป
EDEN
« เมื่อ27-10-2006 12:43:04 »

เอ่อ เรื่องเก่าเก็บ....เอามาลงใหม่
คือ อารมมันพาไป แหะๆๆๆ
ฝากด้วยนะค้าบบบบบ


EDEN

 

บทนำ

 

I shall love you

As the prairies love the spring,

And I shall live in you in the life of a flower under the sun’s rays.

I shall sing your name as the valley sings the echo of the bells of the village churches;

I shall listen to the language of your soul as the shore listens to the story of the waves.

I shall remember you as the stranger remembers his beloved country,

And as a hungry remembers a banquet,

And as a dethroned king remembers the days of his glory,

And as a prisoner remember his hours of ease and freedom.

I shall remember you as a sower remembers the bundles of wheat on his threshing flour,

And as a sheperd remembers the green prairies the sweet brooks

                                                                                       (Broken Wing/Kahlil Gibran)

 

ผลไม้สีแดงสดหล่นลงสู่พื้น

นั่นเป็นฤดูร้อนแรกที่ผมพบคุณ ผมลอบมองสีหน้าคุณผ่านหน้ากระดาษของหนังสือเมื่อมันไม่สามารถสื่อเรื่องราวใดๆแก่การรับรู้อันเลื่อนลอยของผมได้อีก

ผมจดจ่ออยู่กับการจ้องมองหยาดเหงื่อที่ผุดพรายอยู่ตามไรผมของคุณ

เพียงการมองดูรูปกายเท่านั้นที่ผมทำได้ ผมได้สัมผัสจิตวิญญานซึ่งซ่อนเร้นอยู่ภายใต้มวลอากาศร้อนอบอ้าว

และคล้ายคุณก็สนองตอบผม…แม้สายตาคุณจะไม่ได้เหลียวมองมาเลยก็ตาม

นั่นเป็นสิ่งซึ่งความสงบจะกล่าวบอกด้วยเสียงที่แผ่วเบายิ่งกว่าเสียงกระซิบยามราตรีอันเงียบสงัดที่สุด

หากแต่ผมได้ยินมัน ดังยิ่งกว่าลมหายใจของตนเอง ดังยิ่งกว่าเสียงจังหวะของหัวใจ

ผมรอจนหน้ากระดาษแผ่นสุดท้ายของหนังสือในมือคุณจะถูกปิด

และผมยังสงสัยว่าคุณอ่านมันด้วยสติ….หรือเพียงเปิดผ่านไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกเดียวกับผม

หากผมไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเอง ระยะเวลาในการอ่านของคุณดูจะสั้นเกินกว่าจะอ่านได้จบหมดทั้งเล่ม

ความตื่นเต้นและความปีติอิ่มเอมของความรักที่เพิ่งเริ่มต้นช่างหอมหวานน่าลุ่มหลงจนยากจะถอนตัวจากไป

ผมเองก็หลงลึกลงในวังวนนั้นโดยไม่รู้ตัว….

หลังจากคุณละสายตาจากหนังสือในมือ ใจผมเต้นแรงเมื่อคาดเดาถึงสิ่งที่คุณจะมองในวินาทีต่อมา

และเมื่อสายตาคุณสบกับสายตาผม เมื่อคุณยิ้มให้ มวลอากาศรอบกายก็ชะงักนิ่ง

ผมเริ่มรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่ร้อนที่สุดในรอบปี และผมกำลังจะทนกับอุณหภูมิสูงเช่นนั้นไม่ไหว

 

********************

 สวนสวรรค์

 

การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันของผมกับคุณเป็นดั่งความฝันกลางฤดูร้อน ผมรับรู้ถึงการคงอยู่ของบุคคลข้างกายซึ่งทำให้ความโดดเดี่ยวถูกขับไล่ออกไปไกลแสนไกล

ทันทีที่คุณเอ่ยพูดกับผมคำแรก ผมได้ตัดสินใจในการล่วงละเมิดเข้าสู่บาปมหันต์

สถานที่ๆผมจากมาเป็นเพียงความบริสุทธิ์ที่เวิ้งว้างว่างเปล่า ความไพศาลนั้นแทบจะกลืนกินผมให้หายเข้าไปในกระแสแห่งวันเวลา

การจะพบใครสักคนเป็นเรื่องยากเย็นมากมายเท่าไหร่? ผมรับรู้และพร้อมจะจมลงสู่ก้นบึ้งของความมืดมิด

พวกเราอาจเหมือนกันที่ใช้ความรู้สึกตัดสินสิ่งถูกผิด…และสื่อสารกันด้วยความรู้สึก

วจีเป็นสื่อที่นำพาความรู้สึกจากผู้หนึ่งไปยังอีกผู้หนึ่ง แต่ระหว่างเราไม่ต้องการสิ่งนั้น

เพราะทุกครั้งที่มีการกล่าวพูดคนเรามักปั้นแต่งถ้อยความปลิ้นปล้นออกมาเสมอเสียจนมันกลายเป็นสัญชาติญานซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยง

เช่นนั้นเราจึงเลือกความเงียบเป็นสื่อนำพาไปแทน…

 

ภายในห้องสีขาวสะอาด เราแบ่งเขตแดนของกันและกันไว้ แล้วใช้ชีวิตประจำวันร่วมกัน

ผมมีตู้หนังสือใหญ่เรียงรายอยู่ในห้องหนังสือซึ่งเป็นที่ๆผมใช้เวลาทั้งวันอยู่

คุณมีผืนผ้าใบขาวสะอาดและอุปกรณ์วาดภาพภายในห้องของคุณ

และเรามีโต๊ะอาหารสำหรับร่วมมื้อด้วยกัน

เรามีเตียงกว้างสำหรับคนสองคน.

เพียงเท่านี้ ทุกวันที่เคลื่อนผ่านก็มอบความสุขให้ผมมากมาย

 

ผมรอเวลาที่คุณจะกลับจากการทำงานด้วยการฟังเสียงนาฬิกาคลออยู่ข้างหูและจมอยู่ในโลกแห่งตัวอักษร

เสียงฝีเท้าคุณปลุกให้ผมเตรียมการต้อนรับ จัดเตรียมอาหารเย็น

อาจบางทีพวกเราต้องการเพียงแค่เพื่อนที่จะมาลบความเหว่ว้าของกันและกัน

ผู้ที่จะพบหน้าหลังจากเผชิญกับความเหนื่อยล้าที่สังคมมอบให้

ผู้ที่จะร่วมโต๊ะทานอาหารด้วย

ผู้ที่จะจดจ้องแผ่นหลังก่อนเข้าสู่นิทรารมย์

ผู้ที่จะอยู่เคียงข้างจนวาระสุดท้ายของชีวิต…และจิตวิญญาน

ผมมองสายฝนที่สาดซัดกระหน่ำอยู่ภายนอก และนึกไปว่ามันอาจเป็นอีกภูมิภพหนึ่งซึ่งผมไม่เคยพบเจอ

ในสถานที่ๆผมอยู่มันอบอุ่นและอวลไปด้วยแสงไฟสีทอง ที่ซึ่งความสับสนวุ่นวายไม่มีทางแทรกกายผ่านเข้ามาได้

ผมเป็นคนหนึ่งที่เกลียดการดำรงชีวิตท่ามกลางผู้คนมากมาย เกลียดความปลิ้นปล้อนหลอกลวงของผู้คนในสังคม

คุณรู้และสร้างสถานที่แห่งนี้ให้ผมใช้เป็นเกราะกำบังห่อหุ้มตนเองจากความโสมมที่คอยกัดกร่อนพลังของผมจนมันแทบสิ้นไป

 

ความรัก….หล่อหลอมรวมจิตวิญญานแห่งเรา

ผูกพันกันด้วยเศษธุลีซึ่งหยั่งลึกลงในห้วงธรณี

อยู่เบื้องหลังเปลวเพลิงและคราบน้ำตา

ด้วยการทะนุถนอมดูแลของเรา

ไม่มีสิ่งใดอาจกร้ำกรายเข้ามาได้

ไม่ว่าเมื่อใด- -

 

ผมรักคุณเสียจนสามารถร่ำไห้ให้กับความว่างเปล่าได้

ตั้งแต่วันที่พบคุณ ผมลืมวิธีการดำรงชีวิตโดยปราศจากคุณเสียสิ้นแล้ว

ผมจดจำท่าทางการเดินของคุณ รอยยิ้มของคุณ สำเนียงของคุณ

ผมจำทุกอย่างจนขึ้นใจ

 

ในวันหยุดของคุณ คุณนั่งวาดภาพโดยมีเสียงเพลงเปิดคลอไปเบาๆ

ผมอ่านหนังสือโดยมีสายลมแทนโน้ตดนตรี

เมื่อผมเริ่มไม่มั่นใจในความเงียบงันรอบกายที่แสดงบทของมันกลับซ้ำไปมาคล้ายละครเวทีเล่นย้อนซ้ำบท

คุณก็จะหันมายิ้มให้

นั่นทำให้ความอึดอัดคลายตัวลงในทันที

สีม่วงบนพู่กันของคุณเป็นประกายแสงแดด และเมื่อมันถูกทามทาบลงบนผืนผ้าใบมันก็แสดงประกายในอีกแบบซึ่งดูงดงามไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า

หากผมเมื่อยล้าสายตาจากการอ่านหนังสืออันยาวนานเมื่อใดก็จะหันไปมองคุณแทน

ทุกอิริยาบทของคุณแฝงอยู่ในสายตาของผม…

เรามีวิธีการในการร่วมชีวิตอยู่โดยเดินไปตามเส้นขนาน ธรรมชาติของเส้นขนานจะพาเราเคียงคู่กันตลอดไป

หากแม้เมื่อใดที่เส้นสองเส้นบรรจบตัดกัน มันจะแยกออกจากกันไปคนละทิศ

และเราสองคนไม่เคยเรียกร้องการตัดกันของเส้นเลยสักครา

 

ความสุข ส่งให้เราลืมตนว่ากำลังหลงระเริงอยู่ในบาป

แต่แม้คำนึงถึงอยู่ก็ยากที่จะถอนตัวจาก

มันยากเย็น-- -

 

*******************

ผลไม้สีแดง

 

มนุษย์หญิงชายถูกสร้างให้คู่กัน

นั่นเป็นสิ่งที่พระเจ้าลิขิต….หรือสังคม?

ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ ในตัวผม ความรักก่อเกิดโดยไม่ได้อาศัยปัจจัยเหล่านั้น

เพศไม่ใช่สิ่งกำหนดหรือขัดขวางหากความรู้สึกจะก่อตัวขึ้นกับใครสักคน

ไม่ใช่ ณ กายเนื้อ หากแต่อยู่ลึกเข้าไปข้างใน สถานที่ซึ่งความรักจะฝังตัวอยู่

ความกล้าในการคัดค้านคำตัดสินของสังคมทำให้ผมยิ่งมั่นใจในคุณ

เมื่อความรักของเราเป็นดั่งสายลมกลางสมรภูมิรบ ซึ่งพัดพามาทั้งกลิ่นอายแห่งเสรีและกลิ่นคาวเลือด

คำสาบานในพิธีศักดิ์สิทธิ์ของเราจึงคือการเผชิญหน้า

และเราสัญญา ถึงความสุจริตใจและความมั่นคงในย่างก้าว

ดั่งอดัมซึ่งรักเอวาที่ถูกสร้างขึ้นจากชิ้นแห่งชีวิตของตน ผมจะรักคุณเช่นดังนั้น

 

ในตอนที่เสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้นผมกำลังเก็บเช็ดโต๊ะรับประทานอาหารหลังมื้ออาหารค่ำเพิ่งผ่านพ้นไป

คุณลุกขึ้นจากโซฟาเพื่อรับโทรศัพท์

ผมชำเลืองมองคุณด้วยหางตา และสงสัยอย่างจริงจังว่าเกิดอะไรขึ้นสีหน้าคุณถึงได้แปรไปในฉับพลันเช่นนั้น

คุณคว้าเสื้อโค้ทและวิ่งออกไปจากห้องของเราโดยไม่ให้คำอธิบายใดแก่ผมที่ยืนนิ่งด้วยความไม่เข้าใจ

จากระเบียง ผมมองลงไปเห็นคุณแล่นรถออกด้วยความรีบร้อน

ใจผมพลอยกระวนกระวายอย่างไร้เหตุตามไปด้วย

สายลมเอื่อยโชยพัดเข้ามาปะทะผิวกาย ห้องเราอยู่ชั้น 17 จากบนนี้ทุกสิ่งเบื้องล่างดูเล็กเหลือเพียงเศษเสี้ยวเดียวจากความเป็นจริง

นาฬิกาหยุดเดินไปตั้งแต่เมื่อไรกัน? เหมือนผมเพิ่งไขลานมันไปเพียงชั่วครู่นี้

ผมรู้สึกหวาดกลัวบางอย่างขึ้นมาจนจับใจ-- -

 

ตอนที่คุณวิ่งออกไป...ในชั่วขณะนั้น

ภายในห้วงความคิดของคุณ หลงลืมผมไปใช่ไหม?

 

คุณเล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับอาการที่ทรุดหนักจากโรคร้ายที่เกาะกินลมหายใจแม่ของคุณมานาน

คุณยังเล่าให้ผมฟังถึงความเศร้าโศกของผู้เป็นแม่เมื่อรู้ว่าลูกชายอาศัยอยู่กับคนรักซิ่งเป็นบุรุษเพศ

ความวิปริตผิดปกตินี้แม่ของคุณไม่อาจทานรับมันได้

แน่ละ...คุณควรเข้ารับดูแลกิจการของบ้าน คุณควรมีลูกหลานสืบทอดเชื้อสาย

....คุณควรละทิ้งผมไปจากวงจรชีวิต นั่นคือสิ่งที่คุณควรทำเพื่อแทนคุณมารดา

หากแต่นั่นรวมไปถึงการละทิ้งจิตวิญญานแห่งเราด้วย

เมื่อมันผูกพันหลอมรวมกันอยู่จนมิอาจแยกจากได้ด้วยถ้อยคำใด สิ่งที่สามารถแยกออกอาจคือจิตวิญญานที่แกร่งแข็งล้ำลึกยิ่งกว่า

แต่เรามิได้แกร่งที่สุดหรอกหรือ?

เรามิได้ผูกพันกันไว้ด้วยเปลวแห่งพสุธาหรอกหรือ?

หรือความรักของเราอาจถูกตัดขาดได้ด้วยคมเหลี่ยมของเพชรจริงๆ

 

พระเจ้า...ลูกได้กัดผลไม้นั้นเข้าไปเสียแล้ว

ลูกผิดต่อคำสัญญาต่อพระองค์เสียแล้ว....

 

เมื่อเราได้รู้จักและรักกัน

ไม่มีสิ่งใดเลยที่สามารถกีดกั้นวันคืนของเราออกจากกันได้

เราต่างรู้ดีว่าได้กระทำสิ่งใด ความรักไม่ได้ทำให้เรามืดบอดลงไปแม้เพียงนิด

หากชายพเนจรเอ่ยขานถามว่า “เจ้าต้องการพบคนรักภายใต้เพลิงโลกันต์นั้นหรือไม่?”

เราสองคนจะพร้อมใจกันยกมือขึ้นยินยอมในทันที

เพียงแค่ให้ปลายนิ้วเราได้สัมผัสกันและกัน หรือเพียงให้เราได้สบตากัน

 

วินาทีเดียวที่มีเรา....ย่อมคุ้มค่ากว่านิรันดร์กาลที่เดียวดาย

 

********************

เนรเทศ

 

เป็นเวลาเนิ่นนานเท่าไรแล้วที่คุณเก็บกักขังตนเองอยู่ภายในห้องหลังข่าวการจากไปของแม่ของคุณ

คุณวาดรูปมากมายในห้องอันมืดอับไร้การถ่ายเทอากาศนั้น

ครั้งแรกที่คุณเปิดประตูออกมาคือตอนที่คุณต้องการน้ำสำหรับผสมสี

และอีกครั้งคือตอนที่คุณต้องการน้ำเพิ่มเมื่อของเก่าหมดไป

ผมมองดูคุณผ่านบานประตูโดยที่ไม่ได้รู้สึกว่าถูกกีดกันออกจากความใกล้ชิดแต่อย่างใด

อีกทั้งผมยังได้ยินคำกล่าวราตรีสวัสดิ์ทุกครั้งก่อนเข้าสู่นิทรารมย์โดยแฝงมากับบทบรรเลงยามค่ำคืน

 

เราสามารถหาคำกล่าวอ้างใดมาแก้ตัวได้

เราไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าเป็นต้นตอหนึ่งของความดำมืดที่ปลิดลมหายใจแม่ของคุณในเวลาอันรวดเร็วกว่าที่ควรเป็น

ผมจมอยู่ในความรู้สึกผิด แต่นั่นมันน้อยนิดเมื่อเทียบกับคุณ

ความรักเราเป็นบาปมหันต์ถึงเพียงนี้?

ขาของผมถูกวางทับด้วยสิ่งที่ถาโถมอยู่ในห้วงจิตของคุณจนขยับเขยื้อนไม่ได้

แต่คุณนั้นถูกทับถมอยู่ทั้งร่าง โดยที่ผมไม่สามารถช่วยปัดเป่าได้แม้แต่น้อย

ผมเสนอตนเข้าแบกรับด้วยกันกับคุณถึงแม้มันจะไม่ได้ช่วยบรรเทาความหนักหนาลงได้เลย

บางทีผมอาจทำลงไปเพียงเพื่อจะขีดฆ่าความผิดออกไป? หลายครั้งที่ความรู้สึกเช่นนั้นผ่านเข้ามาในห้วงความคิดของผม

และผมก็จะเลือนทิ้งมัน ด้วยการแบกรับความทุกข์ระทมที่หนักขึ้นกว่าเดิม

 

ลางร้ายแจ้งข่าวการมาถึงของมันด้วยสายลมที่คลื่นเหียนน่าสะอิดสะเอียน-- -

 

สองชั่วโมงกว่าแล้วที่ผมจมอยู่ในความงดงามแห่งบทกวี โดยปิดกั้นเสียงแวดล้อมอื่นใดออกไปบอกจากเสียงการเคลื่อนไหวภายในห้องของคุณ

เสียงประตูเปิดสร้างความประหลาดใจให้แก่ผมอยู่ไม่น้อย

คุณออกมาจากห้องด้วยสภาพไร้ดวงแห่งชีวี เหมือนซากของดอกไม้ที่ถูกเหล่าภมรสูบเอาน้ำเลี้ยงออกไปจนสิ้น

ผมจดจ้องสนองตอบสายตาคุณที่คล้ายมองมาที่ผม และคล้ายมองไปยังสถานที่เวิ้งว้างกว้างไกลไร้ขอบเขตลึกลงไปในดวงตาผม

ตัวของคุณเต็มไปด้วยคราบสีแห้งกรังทับถมซ้ำๆ

ผมไม่มั่นใจว่าคุณลากปลายพู่กันลงบนผ้าใบ? ร่างกายของคุณ?

....หรือดวงจิตของคุณ...?

คุณกล่าวบอกให้ผมช่วยซื้อสีให้คุณ...สีแดงสด

น้ำเสียงคุณแห้งผาก ผมนึกไปถึงทะเลทรายซึ่งถูกแผดเผาด้วยไอร้อนระอุและผมกำลังเปลือยกายทอดร่างอยู่บนเม็ดทรายเหล่านั้น

เมื่อสิ้นเจตนาคุณก็เดินกลับเข้าห้องไป

แผ่นหลังของคุณค่อยๆหายลับเข้าไปสู่อีกฝากฝั่งของบานประตู

ที่ซึ่งอวลไปด้วยกลิ่นสี และความเจ็บปวดที่คุณปล่อยให้มันรินไหลวนย้อนซ้ำอยู่รอบกาย

ผมหยิบเสื้อนอกมาสวมทับอาภรณ์ที่สวมใส่อยู่อีกชั้นหนึ่ง ก่อนจะเปิดประตูก้าวออกไปจากห้อง

 

ลิฟต์กำลังเลื่อนลงช้าๆ มีผมเพียงคนเดียวที่อยู่ ณ ที่นี้

ผมเพียงคนเดียว

ผมเพียงคนเดียว

ผมเพียงคนเดียว

คุณได้ยินเสียงอะไรไหม....?

 

เท้าของผมฝังจมอยู่ในหิมะทุกจังหวะการก้าวเดิน

เกล็ดหิมะพร่างพรมทั่วเมือง แต่งแต้มให้กลายเป็นภพแห่งสีขาว

หากแต่ผมรู้สึกคล้ายไร้หิมะแม้อณูเดียวที่ตกสู่ร่างกายผม มันถูกเผาไหม้หลอมละลายเสียก่อนหน้านั้นแล้ว

เสียงดนตรีจากโบสถ์บรรเลงอย่างเชื่องช้าเป็นทำนองแห่งการร่วงหล่นของหิมะ

มาถึงถนนหน้าตึกสูงอันเป็นที่พักของเราสองคน ผมหยุดยืนและแหงนมองขึ้นไปบนระเบียงห้อง

ตึกนั้นตั้งตระหง่าน ท้องฟ้ากว้างใหญ่เปล่งแสงเจิดจ้าบาดตา....หมุนวนบิดเบี้ยว

เงาตึกทอดลงมาในแนวที่ผมยืนอยู่

ผมรู้สึกคล้ายได้ยินเสียงก่นด่าของบรรดาญาติคุณซึ่งผ่านมาในความเป็นจริงเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา

และผมก็ต้องยกมือขึ้นกุมศีรษะ ความวิงเวียนทิ่มแทงภายในสมองของผม แล่นอย่างรวดเร็วสลับระหว่างซ้ายขวา

กระป๋องสีที่ซื้อมาแตะอยู่ข้างใบหน้าเมื่ออยู่ในอริยาบทเช่นนั้น

ผมสังเกตเห็นว่ามีสีเล็กน้อยไหลอาบลงมาข้างกระป๋อง

ในขณะที่ผมจะเช็ดมันออกรถยนต์คันหนึ่งก็แล่นผ่านตัดหน้าไป ร่างผมเซถอยหลังไปเล็กน้อย

ความตกใจส่งให้ผมปล่อยทิ้งกระป๋องสีนั้นลง

มันตกลงสู่พื้น ฝากระป๋องหลุดเปิดออก สีแดงสดสาดกระจายทั่วผืนหิมะบริเวณนั้น

ความงดงามของสีที่ตัดกันสองสีทำให้ผมจดจ้องอย่างหลงไหล

แล้วร่างกายของผมก็สะท้านวูบ

เสียงดนตรีบรรเลงกร้าวและขาดสะบั้นลง กลายเป็นเสียงระฆังมาแทนที่

มันดังระงมไปทั่ว ดั่งเสียงโหยหวนของภูติผีปิศาจที่ถูกโบยด้วยแส้หนาม

และบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนผ่านหลังผมไป

บางสิ่งบางอย่างซึ่งตกจากที่สูง

ของเหลวสีแดงสาดทับสีที่ผมทำหกไว้ มันแดงเข้มและอุ่นกว่า

สติสัมปชัญญะของผมขาดห้วงไป

หรือผมอาจลืมหายใจไปด้วยซ้ำ

ผมรู้โดยไม่ต้องหันกลับไปมอง

..........ดวงใจของผมถูกบดขยี้เสียสิ้นแล้ว.......

 

ณ ขณะนั้นผมมิได้ร่ำไห้ หรือกระทั่งเปล่งวาจาใด

ผมหยุดอยู่ในความนิ่งงัน เพียงชั่วครู่ดั่งชั่วกัลปาวสาน

ภาวนาให้ผมได้หลุดลอยไปกับหมอกเมฆเสีย ให้ดวงวิญญานผมเกิดเหนื่อยล้าและหลุดล่องไป

นั่นคือสิ่งที่ไร้หนทางจะอุบัติในความเป็นจริง

ผมยังคงยืนนิ่งอยู่ในที่เดิม ขณะที่เกล็ดหิมะซึ่งพร่างพรายเปลี่ยนรายรอบตัวมิได้หยุดนิ่งไปด้วยแต่อย่างใด

ริมฝีปากของผมเปิดขึ้นเมื่อร่างกายร้องเรียกหามวลอากาศสำหรับกระบวนการแห่งชีวี

แม้เช่นนั้นแล้วผมก็ยังรู้สึกเช่นดังขาดอากาศหายใจ มีผู้ใดกดทับปิดช่องรับอากาศไว้?

ความอึดอัดทรมานนี่?

ผมขยับร่าง ขยับมือขึ้นทาบกุมหน้าอก รู้สึกถึงจังหวะหายใจถี่ร้อนจนกลายเป็นหอบหายใจ

ไอสีขาวจากลมหายใจถูกพ่นออก ลิ่วละล่องไป

เมื่อจังหวะชีวิตเร่งรัวร้อนเช่นนั้นเส้นแบ่งเขตเวลาของผมจึงสะบั้นลง

และความรวดร้าวก็ไหลบ่าประดังเข้ามาในทันทีทันใด

ผมได้ยินเสียงตนเองหอบหายใจ ดังเสียยิ่งกว่าเสียงกว่าสรรพเสียงใดรอบกาย

และโดยไม่รู้ตัว....

ผมเปล่งความหวาดกลัวเสียขวัญออกด้วยการแผดเสียงดังสนั่น น้ำตามากมายทะลักออกมาในคราเดียว

ในจมูกร้อนเสียจนไม่สามารถสูดอากาศได้ ผมจึงเปล่งเสียงขาดห้วงเพราะคั่นด้วยการหายใจดังคนสะอื้น

ไม่ใช่เศร้าเสียใจ หากแต่ว่างเปล่าและไร้รูปร่าง....

ผมไม่ได้หยุดเสียงลงแม้ตอนที่มีผู้คนมาล้อมรอบ

แม้ตอนที่ทุกสิ่งวูบสลายลง ผมก็ยังคงไม่หยุดกรีดร้อง

 

ผมถูกนำส่งโรงพยาบาล

และมิได้เห็นร่างไร้ลมหายใจของคุณเลยแม้เพียงครั้งเดียว-- -

 

แม้กระทั่งอดัมและเอวายังได้เดินเคียงคู่จากไปด้วยกัน....

 

********************




























บาปกำเนิด

 

เหมันตฤดูช่างเนิ่นยาวนานเสียจนคำนึงไปว่าจะคงอยู่ชั่วนิจนิรันดร์ บรรดาหิมะปรายตัวเกลื่อนยึดจองเขตแดนไว้ทั่วทุกทิศสายตา

แต่เมื่ออรุณรุ่งมาเยือนกลับกลั่นตัวละลายหายไปโดยไม่บอกกล่าว

.....และเหมันต์ก็ผ่านลาไปเสียเช่นนั้น

 

ผมไม่ได้ไปงานศพซึ่งร่างคุณอยู่เพื่อร่วมอาลัย

ผมยึดมั่นในความรักของพวกเราและจิตวิญญาณของคุณซึ่งสิงสถิตอยู่กับผม

ผมจึงไม่ร้องไห้และพร่ำกล่าวคำเสียใจ ผมจึงยังคงใช้วันเวลาราวกับว่ามีคุณอยู่.....

..........

..................

...........?

 

มันมิอาจเป็นไปได้

ผมรับรู้เมื่อพบว่าตนเองกำลังเสแสร้งแกล้งทำ

 

หลังการจากลาของคนที่เคยเคียงข้างมาตลอดเช่นคุณ ผมพบที่ว่างเวิ้งว้างกว้างใหญ่ในการดำเนินชีวิตที่แปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

ผมจมอยู่ในความเศร้าทุกครั้งที่คิดถึงคุณ ซึ่งนั่นคือตลอดเวลา

มันไม่ควรเป็นเช่นนี้ ผมรู้และรู้ว่าคุณจะผิดหวังเพียงใดในเมื่อเราให้คำมั่นสัญญาถึงการคำนึงหากันในความเงียบงันที่มิต้องอาศัยรูปกายใดเพื่อจดจำน้ำเสียง และแสดงการคงอยู่

ในเวลาที่ผ่านพ้นมาเรามั่นใจว่าเป็นเช่นนั้น  แต่มันกลับสูญหายไปในความเป็นจริงที่โหดร้าย

มันกลับเป็นเพียงความเพ้อฝันอันด้อยค่า

ความรักปลุกให้เราตื่นขึ้นเพื่อพบเจอ และกล่อมให้เราหลับใหลเพื่อฝันถึง

มันเป็นเช่นนั้นเรื่อยมา.....

 

ในความว่างเปล่า ผมพินิจพิจารณาถึงสิ่งซึ่งเราสองเรียกว่ารัก เฝ้าค้นหาตัวตนของมันและแม้กระทั่งความหมาย

ในช่วงเวลาอันยาวนานนั้นผมใช้ชีวิตท่ามกลางความประหวั่นพรั่นพรึง

หากเมื่อผมได้รู้ว่าท้องฟ้าเป็นเพียงฝุ่นผง สายลมเป็นเพียงเศษกระดาษ....เมื่อนั้นเล่า?

ผมยังอาจเตรียมใจรับได้อีก?

เมื่อได้รับรู้ว่าสิ่งซึ่งเชื่อมั่นและดำรงอยู่เพื่อกลับถูกบิดเบือนหักเหความหมายไปเสียสิ้น

ผมไม่มั่นใจว่าจะยิ้มรับได้

ผมเคยเชื่อมั่นว่าเราจะได้ใช้วันเวลาร่วมกัน ทุกโมงยามที่เราจะได้สัมผัสซึ่งกันและกันเป็นดั่งความฝันอันเปี่ยมสุข และแม้เมื่อเวลานั่นเองได้พร้อมรับจะถดถอดลมหายใจจากใครสักคนในเราทั้งสอง อีกคนหนึ่งจะยังคงอยู่....ด้วยความเชื่อมั่นศรัทธาในคำสัญญาซึ่งอยู่เหนือกระแสเวียนว่ายของธรรมชาติ ความรักนั้นจะฝังสถิตแน่นอยู่ ณ ดินแดนที่มันเคยอยู่ ดอกไม้ในท้องทุ่งอันงดงามจะยังคงเบ่งบานอวดสีสันผ่านหลายล้านฤดูกาล

การครุ่นคิดของผมเริ่มปรากฏคำตอบชัดแจ้งอย่างที่ดวงใจมุ่งมาดปราถนาวอนให้มันสวนกระแสต่อต้าน

คำตอบที่ผมหวาดกลัวเริ่มร่ายร้องไปรอบๆห้อง สรรเสริญความสำเร็จที่ตนได้ผงาดชูขึ้นอีกครั้ง

ในห้องที่ปล่าวเปลี่ยวปราศจากคุณ ผมไร้เรี่ยวแรงจะขัดขืนสิ่งใดอีกต่อไป

ข้าวของๆคุณถูกพรากไปทีละชิ้นโดยคนรอบตัวคุณ ในที่สุดห้องนี้จะเหลือเพียงผมเท่านั้น

แต่จะสำคัญอย่างไร ในเมื่อผมเองก็จากห้องที่ควรมีคุณอยู่ไปนานแล้วเช่นกัน

ตั้งแต่วันนั้น เมื่อผมก้าวกลับมาในห้องก็พบว่าตนเองไม่สามารถเปิดประตูซึ่งเคยเปิดได้อีกแล้ว ผมกลับเปิดประตูอีกบานที่พาไปสู่ห้องอันไร้ความอบอุ่นและไร้อายแห่งความรักของเราสองคนโดยสิ้นเชิง

แม้จะมี หรือไม่มีข้าวของซึ่งบ่งถึงคุณแล้วจะต่างกันอย่างไร?

ในเมื่อไร้คุณ.....

ผมอยากร้องไห้ยิ่งกว่าลืมทุกอย่างและกลับไปยิ้มได้เสียอีก หากแต่กระทั่งน้ำตา....ผมยังไม่มีจะไหลออกมา

 

ผมยืนอยู่ ณ ระเบียงที่ซึ่งคุณยืนก่อนเวลาที่จะทิ้งร่างลงไป

ผมมองตาม เลียนแบบอิริยาบทท่าทางที่คิดว่าคุณจะทำ ผมมองไปเบื้องล่าง และนึกถึงชั่วขณะที่คุณมองลงไปยังสถานที่ตายของตนเอง

ที่นั่น....คุณเห็นผมยืนอยู่

ผมยืนอยู่ริมถนนนั่น ถือกระป๋องสีของคุณอยู่ในมือ และทำมันหกสาดสีแดงไปทั่ว

ตอนนั้นคุณอาจล่องลอยลงจากระเบียงแล้ว....พร้อมๆกับเสียงระฆัง

ผมเวียนศีรษะ จึงรั้งร่างตนจับยึดราวระเบียงแน่นเมื่อความคิดแล่นถึงบางสิ่งบางอย่าง

ภาพของผม....มิอาจรั้งคุณสู่ความงดงามของการมีชีวิตได้เลย?

ในทันใดนั้น ผมรับรู้ทันทีว่าความรักของเราเป็นเพียงดอกไม้สีม่วงในเทพนิยายซึ่งไม่มีอยู่จริง

ณ ช่วงเวลาที่คุณหายไปอยู่หลังบานประตู วาดภาพมากมายซึ่งผมพบว่ามันเป็นเพียงการวาดสีขาวลงบนผืนผ้าใบสีขาวในภายหลัง คุณใช้เวลาหมดไปกับการครุ่นคิดดังที่ผมกำลังกระทำอยู่ตอนนี้

ผมจึงกลายเป็นเพียงบุคคลเดียวที่ยังคงงมงายในภาพวาดระหว่างเรา....

ผมจึงเป็นบุคคลเดียวที่ต่อสู้ขัดขืนเพื่อจะลิ้มรสความงดงามของผลไม้แดงแห่งจิตภาพซึ่งสร้างขึ้นเองทั้งสิ้น

 

อาจบางที....เอวาอาจกัดกินไม้ผลเข้าไปด้วยกิเลสสัญชาตญานอยากรู้เช่นมนุษย์เท่านั้น

 

ผมเริ่มรับรู้ว่าเท้าสัมผัสอยู่บนพื้นที่แสนเย็น

ผมเริ่มรับรู้ว่าห้องนี้สร้างขึ้นจากอิฐและปูน....ถูกฉาบด้วยสีอันงดงาม

ผมเริ่มรับรู้ว่าตนเองเมื่อยล้าอ่อนแรงเพียงใด

ผมเริ่มรับรู้ว่าหนังสือทุกเล่มนั้นถูกประพันธ์ขึ้นโดยมนุษย์

 

และผมได้คำตอบ

 

ความรักของเราคือความว่างเปล่า-- - -

 

********************

 

 บทส่งท้าย

 

การรักผู้ใดย่อมต้องพบเห็นจึงจะรัก เช่นนั้นแล้วยังอาจกล่าวได้ว่ารักโดยไม่ต้องการรูปธรรม?

ภายหลังการจากลา ความทรงจำย่อมเลือนรางลงทุกเมื่อเชื่อวัน เช่นนั้นแล้วยังอาจกล่าวได้ว่ามันคือนิจนิรันดร์?

ความงดงามของความรักแห่งเรา จึงคือวันเวลาที่เราทั้งสองได้ร่วมใช้

ความหมายของมันกลับสู่สามัญธรรมดาอย่างไม่น่าเชื่อ

คุณจึงเป็นบุคคลซึ่งเรียกว่าความสุขในช่วงเวลาของเรา คุณจึงเป็นเพียงเท่านั้น

หากแต่ไม่ว่าอย่างไรมันยังคงทรงคุณค่า แม้เพียงเล็กน้อยสำหรับความกว้างใหญ่บนโลก

ในความเป็นจริง ไม่มีสิ่งใดอยู่นอกเหนือธรรมดา....ไม่มีเลย

การแต่งแต้มเป็นเพียงการเพิ่มสีสัน เพิ่มความน่าสนใจ

แก่นแท้ของมันเล่า....ผมพบมันเมื่อเวลาล่วงเลยนานมา

 

ขณะนี้ผมได้เขียนปัจฉิมบทแห่งเรื่องราวสิ้นไปแล้ว

ทุกตัวอักษร ยิ่งย้ำซ้ำเติมบอกความหมายให้เข้าใจชัดแจ้ง

ผมไม่สามารถแปรความรู้สึกที่เรียกว่าบาปได้...หากมันเกิดขึ้นและผ่านเลยไปแล้ว

 

รักมิใช่นิรันดร์กาล

หากแต่มันคงอยู่ในนิรันดร์กาลเสมอมา.....

 

จวบจนฤดูร้อนนี้ ก็ยังคงร้อนที่สุดเช่นดังฤดูร้อนแรกที่พบคุณ

EDENยังคงฤดูกาลแห่งมันอยู่ทุกโมงยาม-- - -

 

********************



เอ่อ~~จาอ่านกานรุเรื่องม้ายน้ออออ กังวลจิงๆกะไอ้เรื่องนี้ แหะๆๆๆ เริฟๆทุกคนนะ จู๊บๆๆ :-[
(มีคนที่เคยอ่านเรื่องนี้ด้วย เค้าจำตัวด้ายนะ ตัวแปกใจแมะที่เค้ามาโผล่ที่นี่ คริๆๆๆ :laugh:)

Share This Topic To FaceBook

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
Re: EDEN
«ตอบ #1 เมื่อ27-10-2006 23:19:04 »

อย่าว่าผมโง่นะ :try2:

ผมอ่านไม่รู้เรื่อง :3066:

faceless!~

  • บุคคลทั่วไป
Re: EDEN
«ตอบ #2 เมื่อ28-06-2008 18:49:20 »

ิอ่านจบละ
แต่ใช่เวลานานมาก
ผมว่า มันเศร้านะ
ที่ทำกระป๋องสีหกบนหิมะ  แล้วเค้ากระโดดลงมาอ่ะ
แต่ผมว่าเค้าทำถูกที่ยังใช้ชีวิตอยู่ อยู่กับความเศร้า
อ่านแล้วหดหู่ หันมามองตัวเอง
-*-
 :a6:

Plabu

  • บุคคลทั่วไป
Re: EDEN
«ตอบ #3 เมื่อ07-10-2008 21:37:30 »

เศร้า.. :o12:
อ่านแล้วสะเทือนใจมาก o7 o7
ไม่น่าเลย
พระเอกเรา
ไม่น่าคิดสั้นเลย
 :sad2: :sad2:

ออฟไลน์ Cressent

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: EDEN
«ตอบ #4 เมื่อ29-11-2010 00:53:03 »

ติสมาก


อ่านแล้ว รู้สึกจุกอยู่ในใจ


แต่ถึงรักเราจะไม่มีอยู่ แต่มันจะยังคงมีอยู่ไปนิรันดร์กาล อืมมม นะ o13

ออฟไลน์ funland

  • https://www.facebook.com/pew.pal
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
    • pew.pure
Re: EDEN
«ตอบ #5 เมื่อ16-03-2014 21:33:24 »

อ่าน จบ แล้ว ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ ap08572290

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: EDEN
«ตอบ #6 เมื่อ17-03-2014 15:34:44 »

เศร้าจริงๆ ค่ะ แต่กลับชอบตอนกระป๋องสีหก มันดู... :-)

ออฟไลน์ GMT101

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-2
Re: EDEN
«ตอบ #7 เมื่อ24-06-2017 18:33:58 »

 :mew1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด