พันธนาการ...รัก #31
เสียงคลื่นไส้ในยามเช้าที่ได้ยินจนเป็นกิจวัตรทำให้น้ำฟ้าต้องรีบสาวเท้าไปที่ประตูห้องน้ำให้เร็วขึ้น แผ่นหลังบอบบางคุ้นตาในชุดเสื้อนอนผ้าฝ้ายสีฟ้าอ่อนซึ่งมีตราของโรงพยาบาลติดกระจายอยู่ทั่วตัวกำลังยึดจับโถสุขภัณฑ์ไว้เป็นเพื่อนตายทำให้น้ำฟ้าต้องถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปที่อ่างล้างหน้า แล้วหยิบแก้วมารองน้ำเปล่าไปยื่นให้น้องชายต่างสายเลือดเพื่อล้างปาก
“ดีนะคราวนี้ไปที่โถทัน ไม่เหมือนเมื่อวานที่คุณแม่เข้ามาเห็นจันทร์อาเจียนเลอะพื้นห้องน้ำ เลยเข้าใจผิดว่าอาการหนักจนกดกริ่งเรียกพยาบาลกันให้วุ่นไปหมด”
“...อึ้ก...แค่ก...” พระจันทร์ไม่ตอบคำ เนื่องจากกำลังสำลักเล็กๆ อีกทั้งในลำคอมันแสบร้อนไปหมดจากการที่โดนกรดในกระเพาะมันตีวนขึ้น เด็กหนุ่มรับแก้วน้ำมาบ้วนปากทิ้งแล้วซับปากด้วยหลังมือ ท่าทางเหนื่อยอ่อนทำให้น้ำฟ้าต้องเข้าไปประคองตัวน้องชายให้กลับมานั่งรออยู่ที่เตียง ก่อนที่ตนเองจะไปหยิบถุงที่ถือติดมือมาตั้งแต่ตอนแรกมายื่นให้
“เอ้า อ่านซะจะได้ไม่เครียด ผู้ชายมีลูกได้ก็ไม่น่าจะต่างกับผู้หญิงมีลูกเท่าไหร่...พี่พยายามหาคู่มือพ่อและเด็กให้แล้วนะแต่แทบไม่มีร้านไหนขายเลย มีแต่คู่มือแม่และเด็ก คิดว่ากรณีของเราก็น่าจะมีประโยชน์บ้างแหละ” น้ำฟ้าหลิ่วตามองน้องอย่างล้อๆ พระจันทร์หยิบหนังสือออกจากถุงมาดูแล้วย่นจมูกใส่คนแซว
“คอยดูนะ จันทร์คลอดเมื่อไหร่จะไปบอกพี่หมอให้แอบผ่าตัดใส่มดลูกคืนให้พี่ฟ้าเหมือนเดิม จะได้รู้สึกเสียบ้างว่าเป็นผู้ชายแล้วตั้งท้องได้น่ะมันรู้สึกยังไง”
“อย่างกับพี่จะกลัวแน่ะพระจันทร์” น้ำฟ้ายักไหล่ไม่แคร์ มองคนเป็นน้องเอาหนังสือตัวเองไปวางไว้บนโต๊ะข้างเตียงโดยไม่คิดจะเปิดดูข้างใน เม็ดเหงื่อที่ผุดตรงไรผมทำให้น้ำฟ้าต้องหยิบยื่นทิชชู่ส่งให้น้อง
พระจันทร์รับทิชชู่มาปิดที่ปากเพราะยังมีอาการคลื่นเหียนตีขึ้นมาเป็นระยะ คนเป็นพี่ยื่นมือไปยีศีรษะน้องเบาๆแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง เขาไม่ได้คอยดูแลน้องอะไรมากมายเพราะถือว่าพระจันทร์ไม่ได้ถึงขั้นป่วยหนัก ยังสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้อยู่ แม้มันอาจจะมีอาการแพ้เข้ามาทำให้การใช้ชีวิตมันมีอุปสรรคอยู่บ้าง
ผ่านไปสักพักเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น ผู้ที่เปิดประตูเข้ามาคือคุณหญิงดารกานต์ที่มีสีหน้ายิ้มแย้มพร้อมแว่นตาอันโตอยู่บนศีรษะ ในมือข้างหนึ่งเป็นตะกร้าพลาสติกมีฝาปิด ซึ่งข้างในบรรจุผลไม้สารพัดอย่าง
“ฟ้า...น้องเป็นไงบ้าง”
“แม่” ชายหนุ่มเรียกผู้มาใหม่ ก่อนจะเดินเข้าไปช่วยหิ้วของแซงหน้าคนป่วยที่ลงจากเตียงมายืนบนพื้นเรียบร้อยเพื่อจะเดินไปช่วยหิ้วของเยี่ยมตัวเองจากดารกานต์
“น้องโอเคอยู่ครับแม่ มีแพ้ตอนเช้าอีกตามเคย” น้ำฟ้ารายงาน หยิบตะกร้าไปวางไว้ที่เคาเตอร์ครัว
“เหรอ...แล้วแพ้มากมั้ยลูก”
“ไม่เท่าไหร่ครับแม่...” พระจันทร์ตอบ เอียงแก้มเข้าหาฝ่ามือของคุณหญิงดารกานต์เมื่อหญิงสาวยื่นมือมาจะลูบหน้าผากกับศีรษะของเขาเหมือนที่คุณหญิงชอบทำเป็นประจำ
“ไม่เป็นไร ไม่มีไข้ เอ้อ...จริงสิงฟ้า แม่หาหนูลินไม่เจอ หลานอยู่กับหนูรึเปล่าลูก” ดารกานต์ถามขึ้นเมื่อสอดส่องสายตาไปทั่วห้องแล้วมองหาหลานตัวน้อยไม่เจอ
“อ๋อเปล่าครับ อยู่กับพี่หมอ...เขาขอไปด้วยตั้งแต่เช้าแล้ว” น้ำฟ้าตอบมารดาบุญธรรม
เมื่อได้รับคำตอบเป็นที่น่าพอใจคุณหญิงดารกานต์ก็พยักหน้ารับรู้แล้วเปลี่ยนท่านั่งเป็นไขว้ห้างอย่างสบายอารมณ์อยู่บนโซฟาบุหนังอย่างดีสำหรับที่นั่งคนเฝ้าผู้ป่วย พระจันทร์กลับขึ้นไปนั่งเอนหลังต่อบนเตียง ในขณะที่น้ำฟ้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาคุณหมอเชษฐาเพื่อถามหาลูกของตัวเองซึ่งไปเล่นวุ่นวายกับอีกฝ่ายตั้งแต่เช้า
“พี่หมอ ฟ้าเองนะครับ หนูลินเป็นไงบ้างครับดื้อมากหรือเปล่า...ถ้ายังไงให้ฟ้า...เอ่อ อ๋อ...ครับ ให้ฟ้าไปรับกลับมาเองก็ได้ครับ พี่หมออยู่ตึกไหนเดี๋ยวฟ้าไปหา...ไม่เป็นไรครับ...ครับ ครับ...ได้ครับ สวัสดีครับ”
คำพูดสั้นๆไม่กี่ประโยคผ่านทางโทรศัพท์ทำให้น้ำฟ้าหันมาบอกแม่บุญธรรมว่าตอนนี้คุณหมอให้คนเอาลูกมาส่งให้ถึงห้อง คนเป็นแม่พยักหน้ารับรู้แล้วยิ้มให้น้ำฟ้า ก่อนจะเบนสายตาไปมองคนบนเตียงที่ค่อยๆหลับตาลงเตรียมพร้อมที่จะจมลงสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง
“แม่พูดตามตรงนะฟ้า จนถึงตอนนี้แม่ก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าพระจันทร์จะมีหลานให้แม่ได้อีกคนจริงๆ แม่ยังคิดว่าจันทร์แค่ป่วยธรรมดาๆเสียอีก ถ้าไม่ใช่อาการที่จันทร์เป็นตอนนี้มันเหมือนแม่ตอนท้องเจ้าสามคนนั่นเปี๊ยบเลยล่ะก็นะ...แม่จะไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด”
“ฟ้าเข้าใจครับแม่ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่จะให้ใครมาจู่ๆก็เข้าใจหรือคิดว่ามันเป็นเรื่องจริงในสิ่งที่พวกเขาไม่คุ้นเคยหรือเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ผิดธรรมชาติมาโดยตลอด”
“...นั่นน่ะสินะ ขนาดแม่เองยังเชื่อยากขนาดนี้ แล้วสามีแม่กับเจ้าพวกนั้นจะปักใจเชื่อเรื่องนี้กันได้เหรอ...”
น้ำฟ้าเหลือบมองคนถามแล้วก็ส่ายหน้าให้อย่างปลงๆ
“ไม่รู้สิครับแม่...ฟ้าไม่อยากคาดหวังอะไรมาก”
“นั่นน่ะสินะ แม่เองก็ปล่อยเวลาให้ผ่านเลยมาขนาดนี้แล้ว ถ้าจะให้เริ่มต้นอธิบายอะไรใหม่ทั้งหมดให้ทั้งคุณศิลา ทั้งตาอาทิตย์แล้วก็ตะวันฟัง แม่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไงเหมือนกัน” พูดง่ายๆก็คือหล่อนเองก็ขี้เกียจเล่าเหมือนกัน ดารกานต์คิดเองต่อในใจ
ในระหว่างนั้นเอง เสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น น้ำฟ้าชะโงกหน้าไปดูที่ประตูแล้วจึงหันกลับมาหามารดาบุญธรรม หญิงสาวเงยมองสบตาก่อนเอ่ยออกไปว่า “สงสัยพยาบาลคงเอาหนูลินมาส่งแล้วล่ะมั้ง เดี๋ยวแม่ไปเปิดเอง ฟ้าจัดผลไม้ให้น้องอยู่นี่แหละลูก”
น้ำฟ้ารับคำ คุณหญิงดารกานต์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะเบี่ยงเท้าเดินไปทางประตู ระหว่างนั้นก็ออกเสียงบอกคนที่อยู่นอกบานประตูว่า ‘I’m coming.’
------------------------------------------------------
เบื้องหลังประตูบานนั้นมีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ยืนออกันอยู่สี่ห้าหกคน ซึ่งหนึ่งในนั้นกำลังยืนอยู่ด้วยใจตุ๊มต่อมจนมือเย็นไปหมด เขาโดนลากขึ้นเครื่องบินมาด้วยความไม่เต็มใจในตอนแรก แต่เมื่อมาถึงประเทศอังกฤษแล้วเพื่อนเขากับคนรักก็รีบพาเขาต่อรถมาที่โรงพยาบาลในทันที ซึ่งที่นั่นเขาพบน้องชายกับบิดากำลังยืนรออยู่พร้อมหน้า ที่สำคัญในมือของน้องชายเขามีร่างปุ้มปุ้ยของหลานชายที่หายตัวไปพร้อมแม่เขาเป็นเวลาหนึ่งเดือนกำลังยิ้มเหงือกแดงให้อยู่ สุริยะมณฑลออกอาการงงเล็กๆเมื่อก่อนหน้านี้ทั้งพ่อและน้องชายบอกเขาว่าอยู่ที่กรุงเทพฯ แต่ไหงมาโผล่ที่นี่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันได้
ทั้งคู่ไม่พูดอะไรนอกจากเดินนำเขามาพบคนคนหนึ่งในห้องทำงาน ซึ่งเป็นคนที่เขารู้จักหน้าค่าตาดีอยู่ เพราะเป็นคนที่มอบสิทธิอันชอบทำในการเป็นผู้ปกครองเจ้าของหัวใจให้กับเขา...คุณหมอเชษฐา...ผู้ซึ่งอยู่เบื้องหลังที่มาของตั๋วเครื่องบินบนโต๊ะทำงานของเขาเมื่อวาน และสิ่งที่คุณหมอเชษฐาบอกกล่าวกับเขาถึงสาเหตุสำคัญที่ต้องให้มังกรหาซื้อตั๋วเครื่องบินมาให้เขานั่นก็เพราะอาการป่วยของพระจันทร์ที่เขาจำเป็นต้องรู้...แต่กระนั้นกลับบอกให้เขามาหาเจ้าตัวเพื่อฟังอาการด้วยตัวเอง ทั้งที่คนเป็นหมอน่าจะอธิบายอาการได้ดีกว่าแต่กลับทำท่าอมพะนำไม่ยอมเอื้อนเอ่ยอะไรต่ออีกนอกจากเดินนำพวกเขาทั้งหมดมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องพักผู้ป่วยห้องนี้เอง
“Hey, Common in…เอ๊ะ คุ...คุณศิลา!!!” ดารกานต์ที่เป็นคนเปิดประตูออกอาการชะงักค้างหลังจากเรียกชื่อคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าตัวเองเสียงดังลั่น ซึ่งพลอยทำให้คนไข้และคนเฝ้าไข้อีกสองคนที่อยู่ในห้องพักพลอยสะดุ้งตามไปด้วย
“สวัสดีครับ คุณหญิงดารกานต์ ภูบดีอัศวเมศวร์...ที่รัก” เสียงเอ่ยเรียบนิ่งแต่แฝงความดุดันเคร่งขรึมของหนุ่มใหญ่ในชุดโอเวอร์โค้ทสีเทาเข้มดังตามมา มือกร้านใหญ่ทั้งสองข้างที่ซุกอยู่ในกระเป๋ารีบยกขึ้นมาคว้าท่อนแขนของหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าตัวเองเอาไว้เมื่อมันกำลังเอื้อมผลักประตูเตรียมปิด จากนั้นลูกชายทั้งสองคนที่ยืนขนาบเคียงซ้ายขวาก็ยกมือกั้นบานประตูแล้วแทรกกายเข้าไปด้านในตามลำดับโดยไม่ต้องบอก ปล่อยให้บิดาจัดการกับมารดาของตัวเองไปตามระเบียบ
น้ำฟ้าที่รีบเข้ามายืนชิดเตียงคนป่วยหันมองผู้มาใหม่ด้วยแววตาตกตื่น ร่างสูงใหญ่ที่ยืนเคียงกันตรงหน้าอยู่ในโอเวอร์โค้ทสีดำสนิท แววตาที่มองตรงมายังพวกเขาสองคนนั้นแลดูเยือกเย็นแบบที่ทำให้ขนต้นคอของน้ำฟ้าลุกชัน ดีหน่อยตรงที่ในอ้อมแขนของรังสิมันต์มีลูกชายของเขากำลังส่งยิ้มมาให้พร้อมร้องเรียกหาเขา ทำให้แววตาของรังสิมันต์ฉายแววอ่อนโยนมากขึ้นเมื่อถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกไปแล้ว
ทว่า...แววตาของสุริยะมณฑลที่มองอย่างพิจารณาคนป่วยบนเตียงนี่สิ...สายโหดของแท้เลย
“...พี่ตะวัน...” น้ำฟ้าเอ่ยเสียงเบา ยื่นมือออกไปรับตัวลูกชายที่เอนมาหาจากคนเป็นสามีแล้วเขยิบเข้าไปยืนเคียงกับรังสิมันต์เมื่อราวเอวถูกรั้งเข้าหาแผ่วเบา
“...พี่ยะ...” เสียงที่เบายิ่งกว่าเสียงเข็มนาฬิกาตกเป็นของพระจันทร์ เด็กหนุ่มมองจ้องคนที่ยืนนิ่งอยู่ข้างเตียงตัวเองด้วยแววตาสั่นไหว ใบหน้างดงามราวเทพสลักเสลามีร่องรอยของความเหนื่อยล้าให้เห็น รอยหนวดเคราที่เพิ่งโกนเขียวครึ้มอยู่เหนือริมฝีปากและใต้คางได้รูปทำให้พระจันทร์อยากเอื้อมมือเข้าไปจับให้หายคิดถึง ติดแต่ตรงที่ว่าตอนนี้ระหว่างพวกเขาสองคนเหมือนมีกำแพงบางๆที่ถูกก่อขึ้นเสียสูงกั้นอยู่ ทำให้เขาไม่สามารถปีนขึ้นไปหาพี่ยะอย่างที่อยากได้
“...พระจันทร์...” เสียงเรียกกลับมาแผ่วเบาพอกัน ดารกานต์ที่ดิ้นรนขัดขืนสามีในตอนแรกเมื่อถูกพาตัวเข้ามาจนเห็นลูกชายกับว่าที่ลูกสะใภ้คนโตอย่างเป็นทางการมีความเงียบเกิดขึ้นก็พลอยเงียบลงไปด้วย หล่อนกรอกตามองลูกชายกับคนป่วยสลับกัน ท้ายที่สุดก็ไปหยุดมองอยู่ที่สามีซึ่งคว้ามือหล่อนขึ้นไปจูบแบบไม่มีอาการอายผีสางเทวดาฟ้าดิน และนั่นก็ทำให้หล่อนต้องแอบแหนบที่ท้องคนหน้าด้านไปหนเมื่อมาทำหวานพร่ำเพรื่อแบบไม่รู้จักเวล่ำเวลา
“คุณศิลา...! หยุดนะ เห็นมั้ยว่าลูกกำลังอึดอัดที่จะต้องคุยกัน ทำไมจะมาไม่บอกกันก่อน...ห๊ะ พระจันทร์จะได้เตรียมใจ...” หญิงสาวกัดฟันพูด พยายามข่มเสียงให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทว่าคนเป็นสามีกลับเลิกคิ้วแล้วมองหล่อนเหมือนกำลังเห็นของแปลก
“อ้าว ก็คุณห้ามผมเอาไว้นี่ ขู่ไว้เสียดิบดีว่าถ้าผมตามคุณมาเมื่อไหร่คุณจะฟ้องหย่ากับผมเมื่อนั้น...นี่ แล้วอีกอย่างนะ คนที่ทำให้บรรยากาศระหว่างลูกกับคนรักต้องมีแต่ความอึดอัดน่ะมันก็คุณไม่ใช่เหรอ ถ้าคุณไม่พาพระจันทร์มาจากตายะเรื่องก็คงจบไปนานแล้ว”
“อะไร...อย่ามาโทษฉันนะคุณศิลา มันเป็นเพราะคุณต่างหากที่ทำอะไรลงไปโดยไม่ปรึกษา ไม่มีบอกฉันสักคำ...ฉันเลยต้องพาพระจันทร์ไปให้ไกลๆเสียก่อนที่จะช้ำเพราะน้ำมือลูกชายคนโปรดของคุณน่ะสิ”
“โฮ่...ไม่ยักรู้ว่าเดี๋ยวนี้คุณชอบเด็กพระจันทร์มากกว่าหนูหงส์ไปแล้ว”
“หึ ถ้าคุณได้รู้ว่าพระจันทร์ป่วยเป็นอะไรแล้วคุณก็จะชอบเขามากกว่าหนูหงส์เหมือนกับฉันนี่แหละ”
คำพูดกำกวมของคนเป็นภรรยาทำให้นายใหญ่ศิลาขมวดคิ้ว มองสบสายตาคมกล้าที่จ้องมองสบมาอย่างไม่ยอมแพ้ ก่อนที่สายตาทั้งสองคู่จะเบนไปหาคนสองคนกลางห้องที่กำลังเป็นจุดศูนย์รวมดวงตาของทุกคน
“มาฮะ...โคนนี้คราย” เสียงแหลมเล็กดังขึ้นเป็นภาษาจีนกวางตุ้ง ไวโอลินหันขวับไปมองต้นเสียง เห็นเด็กน้อยผิวคล้ำในอ้อมแขนของน้าเหวินจิ้งกำลังชี้มาที่น้าจันทร์ของตัวเองอย่างเสียมารยาทก็ทำหน้านิ่ว ดิ้นรนออกจากอ้อมแขนของน้ำฟ้าไปยืนเองที่พื้นเตรียมพร้อม
“นี่คือเพื่อนมาครับ ชื่อน้าลูน่า” เหวินจิ้งเอ่ยบอกลูกชาย เด็กน้อยทำท่าเขินอายตอนที่พระจันทร์หันไปมองสบตาด้วยเพราะได้ยินชื่อตัวเอง
“น้าลูน่า...น่ายัก...” เด็กน้อยเอ่ยชมแล้วทำท่าอายม้วนต้วนเมื่อพระจันทร์ส่งยิ้มน้อยๆให้
ทว่าไวโอลินกลับก้าวเข้าไปยืนจังก้าเท้าเอวขึ้นทั้งสองข้าง ทำหน้าตาขึงขังเลียนแบบคุณพ่อแล้วเอ่ยขึ้นเป็นภาษาจีนกวางตุ้งชัดถ้อยชัดคำว่า
“...นี่น้าเค้า อย่ามายุ่งนะ! ตัวเป็นใคร มาอยู่กับอาเหวินจิ้งได้ยังไง” ไวโอลินเอ่ยเสียงเข้ม ท่าทางเลียนแบบผู้ใหญ่ดูน่ารักน่าชัง มังกรที่ยืนอยู่เคียงกันกับเหวินจิ้งส่งยิ้มให้ไวโอลินก่อนเป็นทัพหน้า จากนั้นจึงค่อยย่อตัวลงแล้วอ้าแขนขออุ้ม ซึ่งไวโอลินก็ยอมเดินเข้าไปหาเพื่อให้อุ้มแต่โดยดีเพราะเป็นคนคุ้นเคย ทว่าสายตายังคงไม่ละไปจากเจ้าเด็กคิ้วเข้มผิวแทนในอ้อมแขนของน้าเหวินจิ้งอยู่ดี
“ไวโอลิน นี่ลูกของอาเอง น้องชื่อลูเซียโน่...ให้น้องเป็นน้องอีกคนของไวโอลินได้หรือเปล่า”
“น้องหนูเหรออากร...” ไวโอลินส่งเสียงถามพร้อมเอียงหน้าด้วยสงสัย “หนูมีแล้ว หนูไม่เอาหรอก...”
“เอ่อ...หนูลิน...” พระจันทร์สะดุ้งเฮือกเมื่อจบท้ายประโยคแล้วหนูน้อยชี้มือมาทางตน
“หืม? หมายความว่ายังไงครับคนเก่ง...” ด้วยความสงสัยมังกรเลยรีบเอ่ยปากรุกเด็กน้อยต่อ ซึ่งหนูลินก็ไม่ทำให้ผิดหวังเมื่อเด็กน้อยเอ่ยตอบออกไปฉะฉานพร้อมยิ้มแก้มปริอย่างภาคภูมิใจอีกต่างหากว่า
“ก็นี่ไง ตอนนี้น้องอยู่กับน้าจันทร์...น้องอยู่ในท้อง...แม่บอกว่าอีกนานเลยกว่าหนูจะได้เจอน้อง”
สิ้นสุดเสียงหนูลิน สุริยะมณฑลหันกลับมามองพระจันทร์แววตาเครียด เอื้อมมือออกไปคว้าแขนพระจันทร์ขึ้นมาจับไว้โดยไม่รู้ตัว ส่วนพระจันทร์ได้แต่เบิกตากว้าง มองสบกลับดวงตาคมดุที่จ้องมาที่เขาในระยะประชิด
“...หมายความว่ายังไง...ในท้อง...”
“พี่ยะ! ปล่อย...”
“ตอบพี่มาก่อน ที่ไวโอลินพูดนั่นเป็นเรื่องจริงใช่มั้ย”
“พี่ยะ! จันทร์เจ็บนะ...! ปล่อย...”
“ตายะ! เบามือหน่อยลูก น้องเจ็บอยู่นะไม่เห็นรึไง...” ดารกานต์รีบร้องบอกเมื่อเห็นลูกชายตัวเองเริ่มจับตัวพระจันทร์แรงขึ้นเรื่อยๆ ทว่าคนเป็นสามีกลับเอื้อมมือมาปิดปากภรรยาไว้แล้วจุ๊ปากที่ข้างหูเพื่อห้ามปราม
“ชู่ว...เรื่องของลูกก็ให้ลูกเคลียร์กันเองดีกว่า ส่วนคุณน่ะมาเตรียมใจโดนผมซักฟอกจนหมดเปลือกต่ออีกคนเถอะ”
ดารกานต์ฮึดฮัดขัดใจ ได้แต่มองไปขอความช่วยเหลือจากคุณหมอหนุ่มที่ยืนมองเงียบๆอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆตัวคนไข้บนเตียง แต่ทว่าก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้น
“ที่ไวโอลินบอกว่าจันทร์กำลังจะมีน้อง...คืออะไร ในท้องนี่มีเด็กอยู่อย่างนั้นน่ะเหรอ” เสียงของสุริยะมณฑลเข้มขึ้นเป็นลำดับ ในขณะที่พระจันทร์เอาแต่ส่ายหน้าอย่างเอาเป็นเอาตายแล้วเอ่ยปฏิเสธหนักแน่น
“ไม่ใช่! ในนี้ไม่ได้มีอะไร...จันทร์แค่ไม่สบายเฉยๆ” เสียงเอ่ยเคล้าสะอื้นทำให้โทสะในจิตใจของสุริยะมณฑลลุกโหม ชายหนุ่มรวบมือพระจันทร์มาจับรวมกันไว้ในมือข้างหนึ่ง แล้วละมือข้างที่ว่างไปจับอยู่บนหน้าท้องของพระจันทร์ เด็กหนุ่มรีบงอตัวจนคล้ายกุ้งเพื่อปกป้องตัวเองจากการสัมผัสนั้น ทว่ามันก็ไม่ได้ช่วยอะไร
“ไม่มีอะไร? งั้นถ้าในนี้ไม่มีอะไรจริงก็ไม่น่าจะเป็นอะไรมากใช่มั้ยถ้าพี่จะกดฝ่ามือลงไปแรงๆแบบนี้...”
“ยะ...อย่านะ!! อย่าทำ...”
“ห้ามทำไม พี่กดแค่นี้อย่างมากก็แค่เป็นรอย...พี่จะทำ...”
“อย่านะ...อย่าทำลูกของจันทร์!! ฮึก...ฮือ...เขาอยู่ข้างใน เดี๋ยวเขาจะเป็นอันตราย...ฮือ...”
“...”
ฝ่ามือหนาหนักที่วางทาบอยู่บนท้องของพระจันทร์แผ่วๆมาตั้งแต่ต้นค่อยเลื่อนนิ้วลูบมันแผ่วเบาไปตามผิวเนื้อนิ่มใต้เสื้อผ้าฝ้าย พระจันทร์ยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นและสะดุ้งตัวเป็นพักๆเมื่อรู้สึกถึงการขยับของฝ่ามือคนตัวใหญ่ และในที่สุดฝ่ามือข้างนั้นก็เอื้อมไปโอบรอบหลังของพระจันทร์ พร้อมๆกับที่สองมือของพระจันทร์ถูกปล่อยเป็นอิสระ เพื่อที่ร่างเล็กๆในชุดคนป่วยของโรงพยาบาลจะได้เข้าไปจมอยู่ในโอเวอร์โค้ทตัวหนา จนแทบจมหายลงไปในอ้อมแขนแข็งแกร่งซึ่งตอนนี้ได้กอดรัดพระจันทร์เอาไว้ทั้งตัว
“หมายความว่า...ในท้องของจันทร์...มีลูกของเราสองคนอยู่ในนั้น...ใช่มั้ย” ท้ายประโยคแทบหายลงไปในลำคอ เสียงสะอื้นร้องไห้ที่ดังอยู่ในอ้อมอกทำให้สุริยะมณฑลต้องกดศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมหอมๆให้กดอยู่กับแผ่นอกแน่นขึ้นอีก แต่ถึงจะแนบชิดกันขนาดนี้แล้วก็ยังรู้สึกว่ามันไม่พอ เขายังไม่รู้สึกถึงพระจันทร์ได้อย่างที่ต้องการได้เลย
“ฮือ...ฮึก...”
“นี่คือเรื่องจริงใช่มั้ย...รู้ตัวตั้งแต่เมื่อไหร่...แล้วทำไมไม่รีบบอกพี่...”
“รู้ตั้งแต่...ก่อนวันงานแต่ง...ของพี่ยะกับพี่หงส์” เด็กหนุ่มเอ่ยตอบเสียงเบาปนสะอื้น นัยน์ตาฉายแววเจ็บช้ำขึ้นมาวูบหนึ่ง เมื่อนึกถึงช่วงเวลานั้นที่เขาเหมือนเป็นคนโง่เง่าอยู่คนเดียวที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
“ไม่มีงานแต่งงานอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น...ถ้าไม่ใช่งานแต่งของเราสองคน มันจะไม่มีงานแต่งงานเกิดขึ้นในชีวิตของพี่แน่”
“แต่สักวัน...พี่ก็ต้องแต่ง ฮึก...เรื่องระหว่างเรา ให้มันจบลงตอนนี้เถอะนะ”
“เฮอะ ตลกน่ะ...มาบอกให้จบทั้งที่มีลูกของพี่ติดท้องไปทั้งคนคิดว่าพี่จะยอมงั้นเหรอ อย่ามาทำตัวน้ำเน่าลอกคำพูดในละครมาพูดกับพี่นะไอ้เด็กดื้อ”
“ไม่ได้ดื้อ...แล้วก็ไม่ใช่เด็กแล้วด้วย พี่อย่ามาว่าจันทร์อย่างนี้นะ...ฮือ...”
“ถ้าไม่ใช่เด็กเราก็ต้องพูดกันรู้เรื่องสิ...นี่ หมอ...นี่ใช่มั้ยเรื่องที่บอกว่าต้องให้ผมมาฟังจากปากของพระจันทร์ด้วยตัวเอง นี่ใช่มั้ย...คือเรื่องที่แม่พยายามปิดผม นี่ใช่มั้ย...คือสิ่งที่ทำให้พระจันทร์มีความคิดบ้าๆ ยอมทำตามแผนการของแม่ แล้วหนีจากผมมาไกลถึงอังกฤษนี่...”
“พี่ยะ...” น้ำเสียงพระจันทร์ฟังดูเว้าวอนคล้ายต้องการไม่ให้เขาเอื้อนเอ่ยเรื่องนี้อีก
“ตายะ เราก็เข้าใจสถานการณ์ของน้องบ้างสิ โดนปิดหูปิดตา รับรู้ข่าวแค่ว่าลูกจะแต่งงาน แล้วลูกจะให้น้องอยู่ยังไง อยู่ในฐานะอะไร...เราเคยทำอะไรให้น้องมั่นใจในที่ยืนของตัวเองบ้างมั้ย...คิดจะอยู่ด้วยกันแต่ไม่บอก ไม่พูด ไม่กล่าว มีอะไรก็ไม่คิดจะปรึกษากันก็พอเถอะ...เฮอะ!!” ดารกานต์ทนไม่ไหวจึงรีบออกปาก ตอนท้ายมีแอบเหน็บสามีเพราะตนเองก็เคยอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับพระจันทร์มาแล้วเลยเข้าใจความรู้สึกของสะใภ้คนโตดี หญิงสาวพูดพลางมือบางก็พยายามบิดให้หลุดจากการเกาะกุมจากคนเป็นใหญ่สุดในบ้านไปด้วย ทว่าหนุ่มใหญ่กลับรวบตัวคนเป็นภรรยาเข้ามากอดไว้แน่นแล้วเอ่ยปลอบ